รูปแบบการแสดงนาฎศิลป์ ไทย
นางสาวอาภาศริ ิ แจง้ กระจ่าง
รายงานน้ีเป็ นส่วนหนึง่ ของการศึกษาวิชาการค้นคว้าและการเขียนรายงานเชิงวิชาการ
สาขานาฏศิลป์ ไทยศึกษา คณะศิลปกรรมศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศึกษา 2564
ก
คำนำ
รายงานฉบบั นีเ้ ปน� สว่ นหนึง่ ของวชิ าการคน้ ควา้ และเขียนรายงานเชิงวิชาการ
โดยมจี ดุ ประสงค์ เพอ่ื การศึกษาความรทู้ ไ่ี ด้จากเร่ืองรปู แบบนาฎการแสดงนาฎศลิ ปไ์ ทย นำมาจัดทำขึน้
รูปแบบการเขียนรายงาน ท้ังน้ี ในรายงานน้ีมเี น้อื หาประกอบด้วยความรเู้ ก่ยี วกบั
รปู แบบนาฎการแสดงนาฎศิลป์ไทยตลอดจนการนำมาประยุกตใ์ ช้
ผ้จู ัดทำไดเ้ ลือกหัวข้อนใ้ี นการทำรายงาน เนื่องมาจากเปน� เรือ่ งท่นี า่ สนใจ และหลาหลาย
ผูจ้ ัดทำต้องขอขอบคณุ อาจารย์ ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ พนดิ า สมประจบ
ผูใ้ ห้ความรู้และแนวทางการศึกษาหวังว่ารายงานฉบับน้ีจะให้ความรู้ และเป�นประโยชนแ์ กผ่ อู้ า่ นทกุ ๆท่าน หาก
มีขอ้ เสนอแนะประการใด
ผ้จู ัดทำขอนอ้ มรับไว้และขออภยั ผูจ้ ัดทำขอน้อมรับไว้และขออภัยมา ณ ท่ีน้ดี ว้ ย
นางสาวอาภาศิริ แจง้ กระจ่าง
วนั ท1่ี 2 กรกฎาคม พ.ศ.2564
ข
สารบญั
เรอื่ ง หน้า
คำนำ.................................................................................................................................................... ก
สารบัญภาพประกอบ........................................................................................................................... ง
บทท่ี
1 บทนำ............................................................................................................................................. 1
1.1 ความหมายของรูปแบบการแสดงนาฎศิลปไ์ ทย……………………………………………………… 1
1.2 ประเภทและลกั าณะของรูปแบบการแสดงนาฎศิลปไ์ ทย………………………………………… 3
1.2.1 ระบำ…………………………………………………………………………………………………. 3
1.2.2 รำ……………………………………………………………………………………………………… 3
1.2.3 ฟอ้ น………………………………………………………………………………………………….. 4
1.2.4 เซ้ิง……………………………………………………………………………………………………. 4
1.2.5 ละคร…………………………………………………………………………………………………. 5
1.2.6 โขน…………………………………………………………………………………………………… 5
2 ทฤษฎีการแสดงนาฎศลิ ป์ไทย…………………………………………………………………………………………. 6
2.1.1 เกิดจากกระบวนการธรรมชาต…ิ …………………………………………………………… 6
2.1.2 เกดิ จากการเซน่ สรวงบชู า…………………………………………………………………….. 7
2.1.3 การรับอารยะธรรมของอนิ เดยี ………………………………………………………………. 7
2.2 ทฤษฎีการรำเดย่ี ว…………………………………………………………………………………………….. 9
2.3 ทฤษฎกี ารรำคู่………………………………………………………………………………………………….. 10
2.3.1 การรำคูเ่ ชงิ ศลิ ปะการตอ่ ส…ู้ …………………………………………………………………. 10
2.3.2 การรำคูช่ ุดสวยงาม…………………………………………………………………………….. 10
2.4 ทฤษฎีรปู แบบระบำ…………………………………………………………………………………………. 12
2.4.1 ระบำมาตราฐาน………………………………………………………………………………… 12
2.4.2 ระบำเบด็ เตล็ด………………………………………………………………………………….. 13
2.5 องคป์ ระกอบของการแสดงนาฎศิลปไ์ ทย……………………………………………………………. 15
2.5.1 รปู แบบท่ารำ…………………………………………………………………………………….. 15
2.5.2 จังหวะ……………………………………………………………………………………………… 15
สารบญั (ตอ่ )
บทท่ี หนา้
2.5.3 เน้อื เพลงและทำนอง……………………………………………………………………… 15
2.5.4 การแต่งกาย…………………………………………………………………………………. 15
2.5.5 การแตง่ หน้า………………………………………………………………………………… 15
2.5.6 เครอื่ งดนตรที บ่ี รรเลงประกอบ………………………………………………………. 16
2.5.7 อปุ กรณก์ ารแสดง………………………………………………………………………… 16
3 รปู แบบการแสดงนาฎศิลปไ์ ทย……………………………………………………………………………….. 17
3.1 ตวั อยา่ งรูปแบบการแสดงและองค์ประกอบการแสดงชุด ฉยุ ฉายเบญจกาย……… 17
3.2 ประเภทเครื่องดนตรีทใ่ี ชป้ ระกอบการแสดงชุด ฉุยฉายเบญจกาย…………………… 17
3.3 รูปแบบการรำชุด ฉยุ ฉายเบญจกาย…………………………………………………………….. 18
3.4 บทร้องและทำนองเพลง…………………………………………………………………………….. 19
3.5 เคร่อื งแต่งกาย………………………………………………………………………………………….. 20
4 บทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ………………………………………………………………………………………… 21
บรรณานกุ รรม…………………………………………………………………………………………………………….. 24
ง
สารบญั ภาพประกอบ
ภาพที่ หน้า
1 ระบำสโุ ขทยั ……………………………………………………………………………………………………………… 3
2 ฉุยฉายพราหมณ์………………………………………………………………………………………………………. 3
3 ฟอ้ นผางประทีป………………………………………………………………………………………………………… 4
4 เซ้ิงโปงลาง……………………………………………………………………………………………………………….. 4
5 ละครรอ้ งเรอ่ื ง สาวเครอื ฟ้า ตอน แรกพบในสวน………………………………………………………… 5
6 โขนพระราชทาน ตอน พเิ ภกสวามภิ ักด์…ิ …………………………………………………………………… 5
7 มโนราหบ์ ูชายัญ………………………………………………………………………………………………………. 9
8 รำดาบสองมือ…………………………………………………………………………………………………………. 10
9 หนุมานจบั นางสุพรรณมัจฉา…………………………………………………………………………………….. 11
10 ระบำย่องหงิด………………………………………………………………………………………………………… 12
11 ระบำนพรตั น…์ ……………………………………………………………………………………………………….. 13
12 ระบำศรชี ยั สิงห์………………………………………………………………………………………………………. 14
13 ทา่ รำนางอัปสรบายน ในปราสาทของกมั พชู า……………………………………………………………… 14
14 ระบำกีป�สเรนงั (ระบำพัด) ………………………………………………………………………………………… 16
15 ฟ้อนที (ฟ้อนร่ม) ……………………………………………………………………………………………………… 16
16 วงปพ� าทยเ์ ครื่องห้า…………………………………………………………………………………………………… 18
17 ท่าสอดสร้อยมาลา…………………………………………………………………………………………………… 18
18 ท่าป้องหน้า…………………………………………………………………………………………………………….. 18
19 ฉุยฉายเบญจกาย……………………………………………………………………………………………………. 20
1
บทท่ี1
บทนำ
รปู แบบการแสดงนาฎศลิ ปไ์ ทยเป�นศิลปวฒั นธรรมท่ีแสดงถึงความเป�นไทย ทมี่ มี าต้ังแต่
ช้านาน และได้รับอิทธิพลแบบแผนตามแนวคิดจากต่างชาติเข้ามาผสมผสาน และนำมาปรับปรุง
เป�นเอกลักษณ์ประจำชาติไทย การแสดงนาฏศิลป์ไทยเป�นการแสดงที่มีความวิจิตรงดงาม ท้ัง
เสื้อผ้าการแต่งกายลีลาทา่ รำดนตรปี ระกอบและบทร้อง นอกจากนี้การแสดงนาฏศิลป์ไทยยังเกดิ
จากการละเล่นพื้นบ้าน วิถีชีวิตของชาวไทยในแต่ละภูมิภาคมีความสำคัญเป�นอย่างยิ่งเพราะเป�น
สิ่งที่บ่งบอกถึงความเป�นชาติไทย นักเรียนนาฏศิลป์ทกุ คนต้องอดทน และต้องมีความพยายามใน
การฝ�กซ้อมเพราะตัวละครในการแสดงนาฏศิลป์ไทยประเภทโขนนั้น มีต่างชนิดกัน จึงต้องอาศัย
ทกั ษะ การฝก� ฝนเพือ่ ความชำนาญไว้ใชใ้ นการแสดงและเพอ่ื ทจ่ี ะไดร้ กั ษาศลิ ปะประจำชาติไทย
ป�จจุบันได้มีวฒั นธรรมตะวันตกเข้ามาเป�นจำนวนมาก ทำให้เด็กสมัยใหม่นี้อาจจะไมค่ ่อยรู้จักการ
แสดงนาฏศิลป์ อย่างโขน ละครรำ เป�นต้น ดังนั้นกระทู้นี้จึงมุ่งให้ผู้คนรู้ถึง ความรู้เบื้องต้นของ
นาฏศิลปไ์ ทย เพอื่ ใหค้ นรนุ่ หลังไดส้ ืบทอด ได้ตระหนักถงึ คณุ ค่าความสำคัญของนาฏศิลป์ไทยและ
รกั ษาให้คงอยตู่ อ่ ไป
1.1ความหมายของการแสดงนาฎศิลป์ไทย
นาฏศิลป์ไทยเป�นการเล่นเครื่องดนตรีหลายๆชนดิ การละครฟอ้ นรำและดนตรีอันมคี ุณสมบตั ิตาม
คัมภีร์นาฏะหรือนาฏยะกำหนดว่า ต้องประกอบไปด้วย 3 ประการ คือ การฟ้อนรำ การดนตรี
และการขบั รอ้ ง รวมเข้าด้วยกนั ซ่ึงทัง้ 3 สง่ิ นี้ เปน� อุปนสิ ยั ของคนมาแต่ดึกดำบรรพ์ นาฏศิลป์ไทย
มที ่มี าและเกดิ จากสาเหตุแนวคิดต่าง ๆ เชน่ เกิดจากความรู้สึกกระทบกระเทอื นทางอารมณ์ไม่ว่า
จะอารมณ์แห่งสขุ หรอื ความทุกขแ์ ละสะทอ้ นออกมาเป�นทา่ ทางแบบธรรมชาตแิ ละประดิษฐ์ขึ้นมา
เป�นท่าทางลลี าการฟอ้ นรำ หรอื เกดิ จากลทั ธคิ วามเช่อื ในการนับถือสิ่งศกั ดส์ิ ิทธ์ เทพเจา้ โดยแสดง
ความเคารพบชู าด้วยการเต้นรำ ขับร้องฟ้อนรำให้เกดิ ความพงึ พอใจ เปน� ต้น นาฏศลิ ป์ไทยยงั ได้รับ
อิทธิพลแบบแผนตามแนวคิดจากต่างชาติเข้ามาผสมผสานด้วย เช่น วัฒนธรรมอินเดียเกี่ยวกับ
วรรณกรรมทเี่ ป�นเรอื่ งของเทพเจา้ และตำนานการฟ้อนรำโดยผ่านเขา้ สปู่ ระเทศไทยทั้งทางตรงและ
2
ทางอ้อมคือผ่านชนชาติชวาและเขมร ก่อนที่จะนำมาปรับปรุงให้เป�นรูปแบบตามเอกลักษณ์ของ
ไทย เชน่ ตัวอยา่ งของเทวรูปศิวะปางนาฏราชท่ีสร้างเปน� ท่าการร่ายรำของพระอิศวร ซึ่งมีทั้งหมด
108 ทา่ หรอื 108 กรณะ โดยทรงฟอ้ นรำครัง้ แรกในโลก ณ ตำบลจิทรัมพรมั เมืองมัทราส อนิ เดีย
ใต้ ป�จจบุ ันอยใู่ นรฐั ทมฬิ นาดูนับเปน� คมั ภรี ส์ ำหรับการฟ้อนรำ แตง่ โดยพระภรตมนุ ี เรยี กว่า"คัมภีร์
ภรตนาฏยศาสตร์" ถือเป�นอิทธิพลสำคัญต่อแบบแผนการสืบสานและถ่ายทอดนาฏศิลป์ของไทย
จนเกิดขึ้นเป�นเอกลักษณ์ของตนเองที่มีรูปแบบ แบบแผนการเรียน การฝ�กหัด จารีต
ขนบธรรมเนียมมาจนถึงป�จจบุ นั บรรดาผเู้ ช่ยี วชาญที่ศึกษาทางด้านนาฏศิลป์ไทยได้สันนิษฐานว่า
อารยธรรมทางศิลปะด้านนาฏศิลป์ของอินเดียนี้ได้เผยแพรเ่ ข้ามาสู่ประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรี
อยธุ ยา ตามประวัตกิ ารสรา้ งเทวาลยั ศวิ ะนาฏราชท่สี รา้ งขึน้ ในป� พ.ศ. 1800 ซงึ่ เป�นระยะท่ีไทยเรม่ิ
ก่อตั้งกรุงสุโขทัย ดังนั้นท่ารำไทยที่ดัดแปลงมาจากอินเดียในครั้งแรกจึงเป�นความคิดของ
นกั ปราชญใ์ นสมัยกรุงศรีอยุธยา และมกี ารแกไ้ ขปรบั ปรุงหรอื ประดษิ ฐข์ ึ้นใหมใ่ นกรุงรัตนโกสินทร์
จนนำมาสู่การประดษิ ฐ์ทา่ ร่ายรำและละครไทยมาจนถึงป�จจุบนั
3
1.2ประเภทและลักษณะของรูปแบบการแสดงนาฎศิลป์ไทย
1.2.1 ระบำ
ระบำ หมายถึง ศิลปะการร่ายรำที่แสดงพร้อมกันเป�นหมู่ ไม่ดำเนินเรื่องราว ใช้เพลง
บรรเลง อาจมีเนื้อร้องหรือไม่มีเนื้อร้องก็ได้ เน้นการแปรแถวในลักษณะต่าง ๆ อย่างมีระเบียบ
งดงามและเน้นความพร้อมเพียงเป�นหลัก เช่น ระบำชุมนุมเผ่าไทย ระบำโบราณคดี ระบำนก
สามหมู่ ระบำเชยี งแสน ระบำสโุ ขทัย ระบำทวารวดี ระบำลพบรุ ี ระบำศรวี ิชัย เปน� ต้น
ภาพท่ี1 ระบำสุโขทยั
(มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลธญั บรุ ,ี 2558:ออนไลน)์
1.2.2 รำ
รำ หมายถึง การแสดงท่าทางการเคลื่อนไหวร่างกายประกอบจังกวะเพลงร้องหรือเพลง
บรรเลงจะเปน� ศลิ ปะการรำเดี่ยว รำคู่ รำประกอบเพลง รำอาวุธ รำทำบทหรอื รำใชบ้ ท โดยเน้น
ทว่ งทา่ ลีลาการรา่ ยรำท่ีงดงาม เช่น รำสีนวล รำฉุยฉาย เป�นต้น
ภาพที่2 ฉุยฉายพราหมณ์
(คณะศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ออนไลน)์
4
1.2.3. ฟอ้ น
ฟ้อน หมายถึง ระบำที่มีนักแสดงพร้อมกันเป�นหมู่ เป�นศิลปะการร่ายรำที่มีลีลาเฉพาะใน
ท้องถ่ินลา้ นนา ทเี่ ปน� การเคลือ่ นไหวแขน ขา ยืดยบุ เขา่ ตามจังหวะ เพื่อความอ่อนช้อยสวยงาม
เช่น ฟอ้ นเมอื ง ฟอ้ นเงี้ยว ฟ้อนม่านมยุ้ เชียงตา ฟอ้ นสาวไหม ฟ้อนลาวดวงเดือน เปน� ต้น
ภาพท3่ี ฟ้อนผางประทีป
(วิทยาลัยนาฏศิลป์เชยี งใหม่, ออนไลน)์
1.2.4. เซิ้ง
เซ้ิง หมายถงึ การร้องรำทำเพลงแบบพื้นเมืองอีสาน ลลี าและจงั หวะการร่ายรำจะรวดเร็ว
กระฉบั กระเฉง การแตง่ กาย จะแตง่ กายตามแบบพน้ื เมืองของชาวอสี าน ส่วนใหญก่ ารเซิ้งจะใช้
สำหรับนำกระบวนแห่ต่าง ๆ แตต่ อ่ มาภายหลังไดม้ กี ารปรับปรุงการเซ้ิงแบบใหม่เพ่ิมเติมขึ้นมาอีก
เชน่ เซง้ิ สวงิ เซ้งิ กระติบข้าว เซิ้งโปงลาง เซ้งิ ตังหวาย เซ้ิงกระโป๋ เปน� ตน้
ภาพที่4 เซ้ิงโปงลาง
(sunareenan21.wordpress.com, ออนไลน)์
5
1.2.5. ละคร
ละคร หมายถึง มหรสพอย่างหนึ่งทีแ่ สดงเป�นเรือ่ งราว โดยนำภาพจากประสบการณแ์ ละ
จิตนาการของมนุษย์มาผูกเป�นเรื่อง มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงอารมณ์ความรู้สึกก่อให้เกิดความ
บันเทิง และความสนุกสนาน เพลิดเพลินโดยมีนักแสดงเป�นผู้สื่อความหมาย และเรื่องราวต่อ
ผู้ชม
ภาพท่ี5 ละครร้องเรอื่ งสาวเครือฟา้ ตอนแรกพบในสวน
(มูลนิธิโครงการสารานกุ รมไทยสำหรบั เยาวชน, ออนไลน)์
1.2.6. โขน
โขน หมายถงึ ศลิ ปะการแสดงนาฏศิลปข์ องไทยรปู แบบหน่ึง อากัปกริ ยิ าของตัวละคร
จะมที งั้ การรำ และการเต้นทอ่ี อกทา่ ทางเขา้ กบั ดนตรี นกั แสดงจะถูกสมมติใหเ้ ป�นตัวยกั ษ์ ตัวลิง
มนุษย์ เทวดา โดยการสวมหนา้ กากหรอื เรยี กว่า “หัวโขน” ส่วนนกั แสดงเป�นมนุษย์ และเทวดา
จะไม่สวมหวั โขน การแต่งกายแต่งยนื เคร่ืองครบถ้วนตามลักษณะของยกั ษ์ ลิง มนษุ ย์ นกั แสดง
ไมต่ ้องร้องหรอื เจรจาเอง เพราะจะมีผู้พากยเ์ จรจาขบั ร้องแทน
ภาพที่6 โขนพระราชทาน ตอนพิเภกสวามิภักด์ิ
(www.pinterest.com, ออนไ์ ลน)์
6
บทที่2
ทฤษฎีการแสดงนาฎศลิ ปไ์ ทย
นาฏศิลป์ไทย เป�นสาขาวิชาหนึ่งที่รวมเอาองค์ความรู้ทั้งทางศาสตร์และศิลป์โดยพื้นฐานของความคดิ
อย่างชาญฉลาดของศลิ ปน� รุน่ เก่า เปน� การบูรณาการองค์ความรจู้ ากภมู ปิ ญ� ญาไทยที่งดงาม ทัง้ วฒั นธรรมการ
แต่งกาย ภาษาและสัญลักษณ์ของการสื่อสารของมนุษย์ ศิลปะวิจิตรศิลป์ซึ่งเป�นภูมิป�ญญาทางช่างไทยแต่
โบราณ มาไวอ้ ยู่ท่เี ดียวกัน ทำใหผ้ ชู้ มเกิดสนุ ทรียภาพในการชมและประทับใจตราตรงึ ทำให้มีการสืบทอดมา
แต่อดตี จนป�จจุบนั
การศกึ ษาองค์ความรู้พน้ื ฐานทางการแสดงนาฏศิลป์ไทยจะทำให้ผู้เรยี นมีความกระจา่ งมีความลึกซึ้ง เกิดเจต
คติที่ดีต่อการเรียนนาฏศิลป์ไทย พร้อมที่จะอนุรักษ์และเผยแพร่เพื่อให้ศาสตร์ดังกล่าวนี้ดำรงอยู่เป�น
เอกลกั ษณไ์ ทยสืบไป ดงั น้ัน การศึกษารูปแบบของนาฏศลิ ปไ์ ทย จะต้องเข้าใจแหลง่ ทม่ี าและรูปแบบลักษณะ
กล่าวคือ ต้องเข้าในความหมายของนาฏศิลป์ ที่มาของนาฏศิลปไ์ ทย องค์ประกอบของการแสดงนาฏศิลป์
ไทย และประเภทของการแสดงนาฏศลิ ปไ์ ทย
ที่มาของนาฏศิลป์ไทยเข้าใจว่าเกิดจากสภาพความเป�นอยู่โดยธรรมชาติของมนุษย์โลกที่มีความสงบสุข มี
ความอุดมสมบูรณ์ในทางโภชนาหาร มีความพร้อมในการแสดงความยินดี จึงปรากฏออกมาในรูปแบบของ
การแสดงอาการท่ีบง่ บอกถงึ ความกำหนัดรู้ ดงั นัน้ เมอ่ื ประมวลทนี่ ักวิชาการเทยี บอ้างตามแนวคิดและทฤษฎี
จึงพบว่าที่มาของนาฏศิลป์ไทยเกดิ จากแหล่ง ๓ แหลง่ คอื เกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติ เกดิ จากการ
เซน่ สรวงบูชา และเกิดจากการรับอารยะธรรมของประเทศอินเดีย ดังนี้
2.1.1 เกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติ หมายถึง เกิดตามพัฒนาการของความเป�นมนุษย์ที่อยู่
ร่วมกันเป�นกลุ่มชน ซึ่งพอประมวลความแบ่งเป�นขนั้ ได้ ๓ ข้ัน ดังน้ี
ขั้นต้น เกิดแต่วิสัยสัตว์ เมื่อเวทนาเสวยอารมณ์ ไม่ว่าจะเป�นสุขเวทนาหรือทุกขเวทนาก็ตาม ถ้าอารมณ์แรง
กลา้ ไม่กล้ันไวไ้ ด้ ก็แสดงออกมาให้เหน็ ปรากฏ เช่น เดก็ ทารกเมื่อพอใจ ก็หัวเราะตบมอื กระโดดโลดเต้น เมื่อ
ไม่พอใจกร็ ้องไห้ ดน้ิ รน
ขั้นต่อมา เมื่อคนรู้ความหมายของกิรยิ าทา่ ทางมากขึ้น ก็ใช้กิริยาเหล่านั้นเป�นภาษาสื่อความหมาย ให้ผู้อื่นรู้
ความรู้สกึ และความประสงค์ เช่น ต้องการแสดงความเสนห่ ากย็ ิ้มแย้ม กรุ้มกริม่ ชม้อยชม้ายชายตา หรือโกรธ
เคอื งก็ทำหนา้ ตาถมึงทึง กระทืบ กระแทก เป�นตน้
7
ต่อมาอีกขั้นหนึ่งนั้น เมื่อเกิดปรากฏการณ์ตามที่กล่าวในขั้นที่ ๑ และขั้นที่ ๒ แล้วมีผู้ฉลาดเลือกเอากิริยา
ท่าทาง ซ่ึงแสดงอารมณ์ต่างๆ นั้นมาเรียบเรียงสอดคล้อง ตดิ ตอ่ กันเป�นขบวนฟอ้ นรำให้เหน็ งาม จนเป�นที่ต้อง
ตาตดิ ใจคน จนเกดิ เปน� วิวัฒนาการของนาฏศลิ ปท์ ี่สวยงามตามทีเ่ ห็นในป�จจบุ ัน
2.1.2 เกิดจากการเซ่นสรวงบูชา หมายถึง กระบวนการประกอบพธิ ีกรรมตามความเชื่อของกลุ่มชน
ซ่ึงพบว่าการเซ่นสรวงบชู า มนษุ ยแ์ ต่โบราณมามีความเช่ือถือในสงิ่ ศักดิ์สิทธ์ิ จึงมกี ารบชู า เซน่ สรวง เพ่ือขอให้
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานพรให้ตนสมปรารถนา หรือขอให้ขจัดป�ดเป่าสิ่งที่ตนไม่ปรารถนาให้สิ้นไป การบูชา มี
วิธีการตามแต่จะยึดถือมกั ถวายส่งิ ทีต่ นเห็นวา่ ดีหรือทีต่ นพอใจ เช่น ขา้ วปลาอาหาร ขนมหวาน ผลไม้ ดอกไม้
จนถงึ การขบั รอ้ ง ฟอ้ นรำ เพื่อใหส้ ิง่ ท่ีตนเคารพบูชานัน้ พอใจ ต่อมามีการฟอ้ นรำบำเรอกษตั รยิ ์ดว้ ย ถือว่าเป�น
สมมตุ ิเทพท่ีช่วยบำบดั ทกุ ข์บำรงุ สุขให้ มีการฟอ้ นรำรบั ขวัญขุนศึกนกั รบผู้กล้าหาญ ทีม่ ีชยั ในการสงครามปราบ
ขา้ ศึกศัตรู ตอ่ มาการฟ้อนรำก็คลายความศักดสิ์ ทิ ธ์ิลงมา กลายเปน� การฟ้อนรำเพ่อื ความบนั เทิงของคนทั่วไป
2.1.3 การรับอารยะธรรมของอินเดยี หมายถึง อทิ ธิพลของประเทศเพอ่ื นบ้านจากประวตั ศิ าสตร์ของ
ประเทศไทยที่ยาวนานวา่ เมื่อไทยมาอยู่ในสุวรรณภูมิใหม่ๆ นั้น มีชนชาติมอญ และชาติขอมเจริญรุ่งเรืองอยู่
ก่อนแล้ว ชาติทง้ั สองนน้ั ได้รบั อารยะธรรมของอนิ เดียไวม้ ากมายเปน� เวลานาน เมอ่ื ไทยมาอยู่ในระหวา่ งชนชาติ
ท้งั สองน้ี กม็ กี ารติดต่อกันอย่างใกล้ชดิ ไทยจึงพลอยได้รับอารยะธรรมอนิ เดยี ไวห้ ลายด้าน เช่น ภาษา ประเพณี
ตลอดจนศิลปะการแสดง ได้แก่ ระบำ ละครและโขน ซึ่งเป�นนาฏศิลป์มาตรฐานที่สวยงามดังปรากฏให้เห็นนี้
เอง
นอกจากน้แี ลว้ การสรา้ งนาฏศิลป์ไทยของเราน้ีอาจด้วยสาเหตหุ ลายประการ เชน่
1.จัดทำขึ้นเพื่อการสื่อสาร หมายความถึง การแสดงนั้นอาจบ่งบอกชาติพันธุ์ที่มีเอกลักษณ์ที่ดี ท้ัง
ทางด้านการแต่งกาย ภาษา ท่วงทีท่ีแชม่ ช้อย นอกจากนแี้ ล้วในการส่ือสารอีกทางนั้นคือนาฏศิลป์ได้พัฒนา
จากรูปลักษณ์ที่ง่าย และเป�นส่วนประกอบของคำพูดหรือวรรณศิลป์ ไปสู่การสร้างภาษาของตนเองขึ้นท่ี
เรียกว่า "ภาษาท่ารำ" โดยกำหนดกนั ในกล่มุ ชนที่ใช้นาฏศิลปน์ ้นั ๆ ว่าทา่ ใดมีความหมายอยา่ งไร เป�นต้น
2.เพ่อื ประกอบพิธกี รรม ดังที่ได้กล่าวอา้ งเรอื่ งการเซน่ สรวงไปแล้วในเบื้องตน้ วา่ กระบวนทศั น์ในเร่ือง
การฟ้อนรำนั้นกระแสสำคัญอีกกระแสหนึ่ง คือเรื่องความเชื่อ ความศรัทธาในสิ่งที่มองไม่เห็น นอกจากน้ี
แล้วอัตลักษณท์ ่โี ดดเดน่ ของคนไทยอกี ประการน้นั คอื การสำนกึ กตัญ�รู คู้ ุณตอ่ ผมู้ พี ระคุณ เชน่ พ่อแม่ ครู
อาจารย์ หรือบรรพชนที่ควรเคารพ อาจมีการจัดกิจกรรมขึ้นแล้วมีการร่วมแสดงความยินดีให้ปรากฏนัก
8
นาฏศิลป์หรือศิลป�นที่มีความชำนาญการจะประดิษฐ์รูปแบบการแสดงเข้าร่วมเพื่อความบันเทิงและเพื่อ
แสดงออกซ่ึงความรักและเคารพในโอกาสพธิ ีกรรมต่างๆ ก็ได้
3. เพื่องานพิธกี ารทสี่ ำคัญ กลา่ วคือเพื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองที่มาเย่ียมเยือน ท้ังนี้เราจะเหน็ วา่ ใน
ประวัตขิ องชุดการแสดง ๆ ชดุ เชน่ ระบำกฤดาภนิ ิหาร การเตน้ รองเงง็ หรอื อนื่ ๆ การจัดชดุ การแสดงส่วน
ใหญน่ น้ั จดั เพ่ือตอ้ นรบั แขกคนสำคัญ เพ่ือบ่งบอกความยง่ิ ใหญ่ของความเปน� อารยะชนคนไทย ท่ีมีความสงบ
สุขมาเป�นเวลาหลายป� แล้วเรามีความเป�นเอกลักษณ์ภายใต้การปกครองที่ดีงามมาแต่อดีต ดังนั้น
วตั ถุประสงคข์ องการจัดกิจกรรมการแสดงในครั้งนอี้ าจมีอย่างหลากหลาย เพือ่ เปน� สริ มิ งคลดว้ ยก็ได้
4.เพื่อความบันเทิงและการสังสรรค์ ตามนัยที่กล่าวนี้พบว่าในเทศกาลต่าง ๆ ทั้งที่เป�นประเพณีของคน
ไทยมีมากมาย เช่น งานป�ใหม่ ตรุษสงกรานต์ ลอยกระทง วันสาร์ท เป�นต้น เมื่อรวมความแล้วเราพบว่า
กิจกรรมที่หลากหลายนี้มีบางส่วนปรากฏเปน� ความบนั เทิงมีความสนกุ สนานร่ืนเริง เช่น อาจมีการรำวงของ
หนุ่มสาว หรือความบันเทิงอื่น ๆ บนเวทีการแสดง นอกจากนี้อาจรวมถึงการออกกำลังกายในสถานการณ์
ต่าง ๆ เราพบว่าป�จจุบันนี้จากประสบการณ์จัดกิจกรรมมักเกิดเป�นรูปแบบการแสดงที่สวยงามตามมาด้วย
เช่นเดียวกัน
5.เพื่อการอนุรกั ษ์และเผยแพร่ นาฏศิลป์เปน� เอกลักษณ์อยา่ งหน่ึงของชุมชน ในชุมชนหน่ึงๆ มักมีการสบื
ทอด และอนุรักษ์วัฒนธรรมทางนาฎศิลป์ของตนเอาไว้มิให้สูญหาย มีการสอนมีการแสดง และเผยแพร่
นาฏศิลป์ไทยให้ทอ้ งถ่นิ อื่น หรอื นำไปเผยแพร่ในต่างแดน
9
2.2 ทฤษฎีการรำเด่ียว
การรำเด่ียว คือ การแสดงทใ่ี ชผ้ ูแ้ สดงเพียงคนเดยี ว มจี ุดมงุ่ หมายเพือ่ อวดฝม� อื การร่ายรำท่ีประณีต
งดงาม ผู้แสดงรำเดี่ยวจึงต้องมีทักษะในการรำและไดร้ บั การฝก� ฝนมาเป�นอย่างดี การรำเดีย่ ว ได้แก่ มโนห์รา
บูชายัญ ในเรื่องพระสุธนมโนหร์ า รำพลายชุมพลในเรื่องขุนช้างขุนแผน ฯลฯ ซึ่งเป�นการรำท่ีมีลีลากรีดกราย
ท่วงทีงดงามใส่ความรู้สกึ บนใบหน้า ท่าทางและการเคลอื่ นไหว โดยเฉพาะการรำฉุยฉายซง่ึ มอี ยู่หลายชุด เช่น
ฉุยฉายพราหมณ์ ฉยุ ฉายศูรปนขาแปลง ฉยุ ฉายทศกณั ฐ์ เปน� ตน้ สว่ นใหญส่ อดแทรกอยู่ในการแสดงโขน เรื่อง
รามเกียรติ์ แต่ละเพลงผู้แสดงจะต้องรำด้วยลีลาการเคลื่อนไหวไปตามบุคลิกเฉพาะของตัวละครในบทนั้นๆ
ด้วย เช่น รำมโนราหบ์ ชู ายัญ รำมโนห์ราบูชายญั เปน� การรำเด่ียวท่ีมลี ลี าออ่ นช้อยงดงาม ของนางกนิ รีท่ีมชี อื่ วา่
"มโนหร์ า" ในตอนหน่งึ ของละครเร่อื งมโนห์ราที่กรมศิลปากรปรบั ปรงุ ขึ้นใหม่ กล่าวถึงนางมโนห์ราถูกปุโรหิตผู้
ริษยากราบทูลยุยงท้าวอาทิตยวงศ์ ให้พระสุธนไปปราบศึกจับนางกินรีมโนห์รามาบูชายัญ เพื่อสะเดาะพระ
เคราะห์ท้าวอทิตยวงศ์ นางมโนห์ราจึงอุบายทูลขอป�กหางและนำมาสวมใส่ แล้วรำตามแบบกินรีให้
ทอดพฦระเนตรเปน� คร้ังสุดท้าย การรำตอนนีเ้ องที่เรยี กว่า "มโนหร์ าบูชายัญ" จากนน้ั นางก็บินหนีกลับไปยัง
นครไกรลาศ
โอกาสทีใ่ ชแ้ สดง
- งานมงคลตา่ งๆ
- งานตอ้ นรบั ชาวต่างชาติ
ภาพท7่ี มโนราห์บชู ายญั ์
(คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2561:ออนไลน)์
10
2.3 ทฤษฎีการรำคู่
การรำคู่ คือ การรำที่ใช้ผู้แสดง ๒ คน ลักษณะการรำคู่มี ๒ ประเภท คือ การรำคู่เชิงศิลปะการต่อสู้
และการรำคู่ชดุ สวยงาม
2.3.1 การรำคเู่ ชงิ ศลิ ปะการตอ่ สู้ เปน� การรำท่ีไมม่ บี ทร้อง ผู้รำทง้ั คตู่ อ้ งมีทา่ รำท่ีสมั พนั ธ์กนั อยา่ งดี ใน
เชิงศลิ ปะการต่อสทู้ ห่ี วาดเสยี วกับความสวยงามในทางนาฏศิลป์ เป�นการอวดลลี าท่ารำเพราะการต่อสู้มีท้ังรุก
และรับ ผู้แสดงทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันด้วยลีลาคนละแบบ ดังนั้นผู้แสดงจึงต้องฝก� ทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกนั
มักใชแ้ สดงสลบั ฉากหรอื ในโอกาสต่างๆ ตามความเหมาะสม ได้แก่ รำกระบ่กี ระบอง รำดาบสองมือ รำทวน
รำโล่ รำดาบ รำกริช เป�นตน้
ภาพที่8 รำดาบสองมือ
(เว็บไซต์ ระบำรำฟ้อน sites.google.com, 2560:ออนไลน)์
รำดาบสองมือ เป�นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวของไทยมาแต่โบราณ ผู้ใช้ดาบเป�นอาวุธต้องมีความ
ชำนาญในการใช้ดาบของตนฟาดฟน� คู่ตอ่ สู้ และรบั รองปอ้ งกันอาวุธจากฝ่ายศัตรูด้วยความคล่องแคล่วว่องไว
ประเพณีการต่อสู้ดว้ ยอาวุธต่างๆ น้ี กอ่ นทจ่ี ะตอ่ สจู้ ะต้องรำไหว้ครูดว้ ยลีลาสง่างามตามเอกลกั ษณ์เฉพาะของ
แต่ละคน ตอ่ จากนั้นจึงเร่มิ ตอ่ สู้กันอย่างจรงิ จัง
2.3.2 การรำคู่ชดุ สวยงาม คนมักนยิ มดูกันมากเพราะเปน� ร่ายรำตามบทรอ้ ง หรอื ท่เี รียกว่า "การรำใช้
บท" หรือ "รำทำบท" หมายถึง การใช้ลีลาท่ารำตามบทท่ีวางไว้ ทำให้ท่ารำมีความหมายตามบท ในการ
แสดงรำค่นู ้ีผู้แสดงจะรำคนละบทลีลาท่ารำจะแตกต่างกนั ม่งุ เนน้ แสดงลลี าการรา่ ยรำอย่างสวยงามตลอดทั้ง
ชุด เช่น รำรจนาเสี่ยงพวงมาลัย รำหนุมานจบั สุพรรณมจั ฉา รำพระลอตามไก่ พระรามตามกวาง หนุมาน
จับนางเบญจกาย เมขลารามสูร ทุษยันต์ตามกวาง รถเสนจับม้า รำประเลง รำกิ่งไม้เงินทอง เปน� ต้น
11
ภาพท9่ี หนุมานจับนางสุพรรณมัจฉา
(โขนพระราชทาน ตอนจองถนน, 2555:ออนไลน)์
โขน ตอนหนุมานจบั นางสุพรรณมจั ฉา เป�นการแสดงตอนย่อยๆ ตอนหน่ึงท่ตี ัดตอนมาจากตอนจองถนน
จากเรือ่ งรามเกียรต์ิ โดยเนือ้ เรอื่ งมีอยูว่ ่า
หลงั จากท่ีทศกัณฐ์ได้ลักพานางสีดาไปจากพระราม มาไวย้ งั กรงุ ลงกาเพ่ือหวังได้นางสีดาเป�นพระมเหสีแล้ว
พระราม พระลักษณ์ พร้อมด้วยไพร่พลทัพวานรกอ็ อกติดตามเพื่อไปทวงคืนนางสีดา แต่แล้วหนทางที่จะม่งุ
หน้าสู่กรุงลงกานน้ั กลบั ถกู ขวางหน้าดว้ ยมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ จนยากทีจ่ ะยกกองทัพผา่ นไปได้ พระรามจึง
มีคำส่งั ใหน้ ำกำลงั พลทำการจองถนน (สรา้ งถนน) เพอ่ื ยกไพร่พลข้ามไปยังฝ�งกรงุ ลงกาได้สะดวก “สคุ รพี ” ให้
หนุมานคุมไพร่พลฝา่ ยเมืองขีดขิน และนิลพัทคุมไพร่พลเมืองชมพู ไประดมขนก้อนหินถมลงไปในมหาสมุทร
เพื่อทำถนน ในระหว่างการกอ่ สร้างนั้นหนุมานและนิลพัทเกิดวิวาทกัน พระรามจึงให้ท้ังคู่แยกจากกนั โดย
ให้นิลพทั กลับไปดูแลเมืองขีดขิน เป�นนายกองเสบยี งคอยส่งอาหารมาเล้ียงกองทัพ สว่ นหนมุ านทำโทษให้คุม
ไพรพ่ ลสร้างถนนต่อ กำหนดใหแ้ ลว้ เสร็จภายในสามวัน มเิ ชน่ น้ันจะไดร้ บั โทษ
ในขณะที่หนุมานกำลงั ควบคุมไพร่พลขนหินถมลงไปในมหาสมทุ รอยู่นัน้ นางสุพรรณมัจฉาซึง่ เปน� ลกู สาว
ของทศกัณฐไ์ ด้รับคำสัง่ จากทศกัณฐ์ผเู้ ป�นบิดา ใหค้ ุมบรวิ ารปลามาคาบขนก้อนหินไปทงิ้ ในทะเลลึก เพ่ือมิให้
ฝ่ายพระรามสร้างถนนข้ามมายังกรุงลงกาได้ ฝ่ายหนุมานเห็นผิดสังเกตด้วยเหตุที่ถมก้อนหินลงไปใน
มหาสมุทรเท่าไหร่ ก้อนหินก็กลับจมหายลงไปไม่ก่อตัวขึ้นเป�นถนน จึงดำน้ำลงไปใต้มหาสมุทร พบบริวาร
ปลาและนางสุพรรณมัจฉากำลังคาบขนก้อนหิน หนุมานจึงมุ่งเข้าไล่ตีเหล่าบริวารปลาจนแตกกระจาย และ
เข้าจับนางสุพรรณมัจฉาและได้นางเป�นภรรยาในที่สุด หนุมานจึงขอให้นางสัง่ บริวารปลาให้คาบขนก้อนหิน
กลับมาคนื ดังเดมิ ซึ่งนางกย็ นิ ดปี ฏบิ ัตติ าม
12
2.4 ทฎษฎีรปู แบบระบำ
ระบำ จัดอยู่ในประเภทที่คลายกับการรำคูเ่ พราะ จำนวนผู้แสดงมากกว่า2 คน จะถูกเรียกว่าระบำ
หรอื การแสดงรปู แบบหมู่ ตามพจนานกุ รมฉบับราชบัณฑิตยสถาน แปลว่า การฟ้อนรำเป�นชดุ หรืออีกนัยหน่ึง
คือ การฟ้อนรำมงุ่ หมายเพยี งเพ่ือความงดงามของศลิ ปะการรำ และการรน่ื เริงบันเทิงใจไมแ่ สดงเป�นเรอื่ งราว มี
จุดประสงค์เพื่อแสดงความงดงาม ความพร้อมเพรียง การแปรแถวในขณะแสดง ประกอบกับการแต่งกายท่ี
สวยงาม และเพลงดนตรีทไ่ี พเราะน่าฟง�
ระบำ แบ่งออกเป�นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภท คือ ระบำมาตรฐาน และ ระบำเบ็ดเตล็ด
2.4.1ระบำมาตรฐาน หมายถึง การแสดงที่มีลักษณะการแตง่ กายยืนเครื่องพระ-นาง ตลอดจนท่ารำ
เพลงร้องและดนตรีไดก้ ำหนดไว้เป�นแบบแผน มีลักษณะเฉพาะตัว ตามแบบของนาฏศิลป์ไทย ซึ่งบรมครทู าง
นาฏศิลป์ได้กำหนดแบบแผนกระบวนการรำ เป�นที่ยอมรับกนั มาชา้ นานแลว้ ไม่ควรแก้ไขดัดแปลงไปจากเดิม
เช่น ระบำสี่บท ต่อมาได้มีผู้ประดิษฐ์ระบำเลียนแบบระบำสี่บทขึ้นอีกหลายชุด ได้แก่ ระบำย่องหงิด ระบำ
ดาวดึงส์ ระบำกฤดาภินหิ าร ระบำพรหมมาสตร์ และระบำเทพบันเทงิ เป�นตน้
ภาพท1่ี 0 ระบำยอ่ งหงิด
(sites.google.com, ออนไลน)์
ระบำยอ่ งหงดิ เปน� การแสดงที่อยูใ่ นละคร เร่อื งอุณรทุ ตอนศุภลักษณว์ าดรปู เนื้อเรือ่ งมีอยวู่ า่
พระอณุ รุทกษัตริย์แห่งนครณรงกา ไดเ้ สดจ็ ประพาสปา่ กับพระนางศรีสดุ าชายา เม่ือนางศรสี ดุ าทอดพระเนตร
เหน็ กวางทองกน็ กึ อยากได้ จึงทูลออ้ นวอนใหพ้ ระอุณรุทตามจับ พระอณุ รทุ ตดิ ตามกวางทองมาในป่าจนพลัด
กบั พระชายา และไพร่พล ก็แบ่งพวกออกเป�นสองฝ่าย ฝา่ ยหน่ึงเชิญนางศรีสุดากลบั เมือง อีกฝ่ายติดตามพระ
อุณรุท เดินทางมาพบพระอุณรุทใต้ต้นไทร ในราตรีพระไทรเทพารักษ์จึงสนองการบวงทรวงด้วยการอุ้มพระ
อุณรุทไปสู่หอ้ งนางอุษา ธดิ าทา้ วกรุงพาณเมืองรัตนา แตร่ ่ายมนต์ผูกปากเสียทัง้ สองฝ่ายมิให้สนทนากันได้ พอ
ใกล้สว่าง ก็อุ้มพระอุณรุทกลับมาที่เดิม รุ่งเช้าต่างฝ่ายต่างคลั่งไคล้หลงใหล พระอุณรุทเดินทางกลับเข้าเมอื ง
13
ฝ่ายนางอุษาตื่นบรรทมไม่พบพระอุณรุทก็เศร้าโสกเสียใจเป�นยิ่งนัก นางศุภลักษณ์พี่เลี้ยงจึงทูลอาสาเที่ยว
เดินทางออกไปวาดรูปชายหนุ่มทั่วทุกแห่ง ตลอดจนชั้นฟ้า เทพเจ้าทั้งหลาย และได้พบกับเทพบุตร นางฟ้า
กำลงั ฟ้อนรำกันอยู่
2.4.2 ระบำเบ็ดเตลด็ หมายถงึ การแสดงทปี่ ระดษิ ฐ์คดิ ค้นหรือปรับปรุงขึ้นใหมต่ ามความประสงค์ ตาม
เหตุการณ์ ตามสมัยนิยม ตามเนื้อเรื่องที่ผู้ประพันธ์ต้องการ หรือเป�นระบำท่ีใช้ประกอบการแสดงละคร การ
แต่งกายจะแต่งตามรูปแบบลักษณะของการแสดงนั้นๆ เช่น ระบำนพรัตน์ ระบำกราวอาสา ระบำชุมนุมเผ่า
ไทย ระบำเริงอรุณ ระบำวิชนี ระบำไกรลาสสำเรงิ ระบำฉิง่ ระบำโบราณคดี รำสีนวล รำโคม เปน� ต้น
ภาพท่ี11 ระบำนพรัตน์
(www.bloggang.com ,2553:ออนไลน์)
ระบำนพรัตน์อยใู่ นละครนอกเรื่องสวุ รรณหงส์ ตอนสุวรรณหงสพ์ าพราหมณเ์ กศสรุ ยิ งไปชมถ้ำแกว้ ซง่ึ
กรมศิลปากรจดั แสดงใหป้ ระชาชนชม ณ โรงละครศิลปากร เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๔๙๒ ป�จจุบันระบำชุดน้ี
นิยมนำมาแสดงเป�นชุดระบำเอกเทศ เพราะบทร้องและทำนองเพลงไพเราะ ท่ารำและเครื่องแต่งกายงาม ผู้
แต่งบทร้องและทำนองเพลงนพรัตน์ คือ ครูมนตรี ตราโมทผู้เชี่ยวชาญด้านดุริยางค์ไทย กรมศิลปากร และ
ศิลป�นแหงชาติ ผู้ประดิษฐท์ า่ รำ คือ นางลมลุ ยมะคปุ ต์ ผ้เู ชย่ื วชาญการสอนนาฏศิลป์ วิทยาลยั นาฏศิลป
กรมศลิ ปากร ครูมัลลิ คงประภศั ร์ และครศู ภุ ลกั ษณ์ ภทั รนาวิก (หม่อมครตู ่วน)
14
ภาพท่1ี 2 ระบำศรชี ยั สงิ ห์
(ชมรมนาฏศลิ ป์ โรงเรยี นราชโบรกิ านุเคราะห์ จ.ราชบุร,ี 2563:ออนไลน)์
“ระบำศรีชัยสิงห์” เป�นระบำโบราณคดีที่วิทยาลัยนาฏศลิ ป กรมศิลปากร ได้สร้างสรรค์ประดษิ ฐ์ท่ารำ
ข้ึนใหม่จากจินตนาการศิลปกรรมภาพจำหลกั ซงึ่ ภาพจำหลักน้ี ไดล้ อกเลียนแบบมาจากปราสาทเมืองสิงห์ เปน�
โบราณสถานที่มีอายรุ าวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ดัดแปลงมาจากทา่ รำของนางอัปสรบายน ในสมัยขอมบายน มา
เป�นหมู่ระบำนางอปั สรฟ้อนรำถวายพระนางปรชั ญาปารมติ า ซึง่ เป�นพระมารดาแห่งพระโพธสิ ัตว์อวโลกเิ ตศวร
สาเหตทุ ี่ตง้ั ชื่อว่าศรีชยั สิงห์ คดิ ว่า น่าจะนำมาจาก ในสมัยพระเจา้ ชัยวรมันที่ ๗ เรยี กเมอื งกาญจน์ ว่า ศรชี ยั ยะ
สิงหปุระ
ประดิษฐ์ท่ารำโดย นางเฉลย ศุขวนิช ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนาฏศิลป์ไทย ของวิทยาลัยนาฏศิลปกรม
ศิลปากร การแต่งกายเลียนแบบภาพจำหลักนางอัปสร ปราสาทเมืองสงิ ห์ บรรเลงโดยเพลงเขมรชมจันทร์และ
เพลงเขมรเร็วการแสดงเพื่อสงเสริมแหล่งท่องเที่ยวของไทย โดยการแสดงชุดนี้มีที่มาจากแหล่งโบราณคดีท่ี
จงั หวดั กาญจนบรุ ี คอื ปราสาทเมืองสิงห์
ภาพท1ี่ 3 ทา่ รำนางอัปสรบายน ในปราสาทของกัมพชู า
(sites.google.com, ออนไลน)์
15
2.5องคป์ ระกอบของการแสดงนาฏศลิ ป์ไทย
นาฏศิลป์ได้หมายรวมไปถึงการร้องรำทำเพลง ดังนั้นองค์ประกอบของนาฏศิลป์ก็จะประกอบไป
ดว้ ยการขับร้อง การบรรเลงดนตรี และการฟ้อนรำ ทงั้ นเี้ พราะการแสดงออกของนาฏศิลปไ์ ทยจะต้องอาศัย
บทร้อง ทำเพลงประกอบการแสดง เพราะฉะนั้นก่อนที่จะมาเป�นนาฏศิลป์ไทยได้จะต้องประกอบไปด้วย
องค์ประกอบสำคัญ ๆ ดงั ต่อไปน้ี
2.5.1 รปู แบบท่ารำ เป�นท่าทางของการเย้อื งกรายฟอ้ นท่ีสวยงาม โดยมมี นุษย์เปน� ผปู้ ระดิษฐ์ท่ารำ
เหล่านั้นให้ถูกต้องตามแบบแผน รวมทั้งบทบาท และลักษะของตัวละคร ประเภทของการแสดงและการ
สอื่ ความหมายที่ชัดเจน
2.5.2 จังหวะ เป�นสว่ นยอ่ ยของบทเพลงที่ดำเนนิ ไปเป�นระยะและสม่ำเสมอ การฝก� หดั นาฏศลิ ป์ไทย
จำเป�นต้องใชจ้ งั หวะเป�นพ้นื ฐานในการฝก� หัดเพราะจงั หวะเปน� สงิ่ ท่ีเกิดข้ึนจากธรรมชาติ และมอี ยู่ในตัวมนุษย์
ทุกคน หากผู้เรียนมที ักษะทางการฟ�งจังหวะแลว้ ก็สามารถรำได้สวยงาม แตถ่ า้ ผเู้ รยี นไม่เข้าใจจังหวะก็จะทำ
ให้รำไมถ่ ูกจงั หวะหรอื เรียกว่า “ บอดจงั หวะ” การรำก็จะไม่สวยงามและไมถ่ กู ตอ้ ง
2.5.3 เน้อื ร้องและทำนอง เพลงการแสดงลีลาทา่ รำแต่ละครงั้ จะตอ้ งสอดคล้องตามเนือ้ รอ้ ง
และทำนองเพลง ท้งั น้เี พื่อบอกความหมายของท่ารำ ถา่ ยทอดอารมณ์ความรู้สกึ ในการแสดงได้ตามเน้ือเร่ือง
ตลอดจนสามารถสอ่ื ความหมายให้ผ้ชู มเขา้ ใจตรงกนั ได้ เชน่ การแสดงอารมณ์รัก ผรู้ ำจะประสานมือทาบไว้
ท่ีหนา้ อก ใบหน้ายม้ิ ละไม สายตามองไปยังตัวละครที่รำคู่กัน เป�นต้น
2.5.4 การแต่งกาย ในการแสดงนาฏศิลป์ สามารถบง่ บอกถงึ ยศ และบรรดาศักดขิ์ องนกั แสดงละคร
ตัวนั้น ๆ โดยเฉพาะการแสดงโขน การแต่งกายจะเปรียบเสมอื นแทนสีกายของตัวละคร เช่น เมื่อแสดงเป�น
หนุมาน นักแสดงจะต้องแต่งกายด้วยชุดสีขาวมีลายป�กเป�นลายทักษิณาวัตร สวมหัวโขนลิงสีขาว ปากอ้า
เปน� ตน้
2.5.5 การแต่งหน้า เปน� องคป์ ระกอบหนึง่ ที่ทำใหน้ ักแสดงสวยงาม และอำพรางข้อบกพร่องบนใบหน้า
ของนักแสดงได้ นอกจากนี้ก็ยังสามารถใช้วิธีการแต่งหน้า เพื่อบอกวัยบอกลักษณะเฉพาะของตัวละครได้
เชน่ แตง่ หน้านกั แสดงหน่มุ ใหเ้ ป�นคนแก่ แตง่ หนา้ ใหน้ กั แสดงเป�นตัวตลก เป�นต้น
16
2.5.6 เครื่องดนตรีที่บรรเลงประกอบการแสดง การแสดงนาฏศิลป์จำเป�นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เครื่อง
ดนตรีบรรเลงประกอบการแสดงดังนั้นนักแสดงจะต้องรำให้สอดคล้องตามเนื้อร้อง และทำนองเพลง ใน
ขณะเดียวกันดนตรีก็เป�นองค์ประกอบหลักที่สำคัญในการช่วยเสริมให้การแสดงสมบูรณ์ และสามารถส่ือ
ความหมายได้ชดั เจนมากขึ้น อกี ทัง้ ยังช่วยเสรมิ สรา้ งบรรยากาศในการแสดงให้สมจรงิ ย่ิงข้นึ ด้วย
2.5.7 อุปกรณก์ ารแสดงละครการแสดงนาฏศิลป์ไทยบางชดุ อาจตอ้ งมอี ปุ กรณ์ประกอบการแสดงละคร
ด้วย เช่น ระบำพัด ระบำนกเขา ฟ้อนเทียน ฟ้อนเล็บ ฟ้อนร่ม เป�นต้น อุปกรณ์แต่ละชนิดที่ใช้
ประกอบการแสดงจะต้องมีความสมบูรณ์ สวยงาม และสวมใส่ได้พอดี หากเป�นอุปกรณ์ที่ต้องนำมาใช้
ประกอบการแสดง เช่น กลอง ร่ม เป�นต้น นักแสดงจะต้องมีทักษะในการใช้อุปกรณ์ได้อย่างคล่องแคลว่
สามารถจดั วางตำแหนง่ ให้อยใู่ นระดับทีถ่ กู ต้องสวยงาม
ภาพท1ี่ 4 ระบำกีปส� เรนัง(ระบำพดั )
(นกั ศึกษาชนั้ ปท� ่ี 4 คณะศิลปนาฏดุริยางค์ สถาบันบณั ฑติ พฒั นศลิ ป์ ผู้สร้างสรรคผ์ ลงาน, 2557:ออนไลน)์
ภาพที่15 ฟ้อนท(ี ฟอ้ นรม่ )
(sites.google.com, ออนไลน)์
17
บทท่ี3
รูปแบบการแสดงนาฎศลิ ปไ์ ทย
นาฏศิลป์ไทย มีความสำคัญเป�นอย่างยิ่งเพราะเป�นสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป�นชาติไทย นักเรียน
นาฏศิลป์ทุกคนต้องอดทน และต้องมีความพยายามในการฝ�กซ้อมเพราะตัวละครในการแสดงนาฏศิลป์ไทย
ประเภทโขนนน้ั มีต่างชนดิ กัน จงึ ต้องอาศัยทกั ษะ การฝก� ฝนเพือ่ ความชำนาญไว้ใช้ในการแสดงและเพ่ือทีจ่ ะได้
รักษาศลิ ปะประจำชาติไทย
ป�จจุบันได้มีวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาเป�นจำนวนมาก ทำให้เด็กสมัยใหม่นี้อาจจะไม่ค่อยรู้จักการแสดง
นาฏศลิ ป์ อยา่ งโขน ละครรำ เป�นตน้ ดงั นั้นกระทนู้ ้ีจึงมุง่ ให้ผูค้ นร้ถู ึง ความรู้เบอ้ื งตน้ ของนาฏศิลป์ไทย เพื่อให้
คนรุ่นหลงั ไดส้ บื ทอด ไดต้ ระหนักถึงคณุ ค่าความสำคญั ของนาฏศลิ ป์ไทยและรกั ษาให้คงอยู่ตอ่ ไป
3.1 ตวั อยา่ งรูปแบบและองค์ประกอบการแสดงรำเดี่ยว
ฉุยฉายเบญกาย เป�นชดุ การแสดงรำเดีย่ วตวั นางทีส่ วยงามชุดหน่งึ อยใู่ นการแสดงโขน
เรื่องรามเกียรติ์ ตอนนางลอย กล่าวถึงนางเบญกายแปลงกายเป�นนางสีดาเมื่อแปลงกายใหม่จึงเกิดความ
ภาคภมู ใิ จในรา่ งแปลงที่แตง่ องคท์ รงเครื่องสวยงดงาม และท่วงทีกิริยางดงามเหมอื นนางสดี าจงึ เข้าเฝ้าทศกัณฐ์
เพอื่ อวดความงามของตนทำใหท้ ศกัณฐห์ ลงเช่ือและเขา้ ใจผดิ คิดวา่ เป�นนางสดี าจงึ เข้ามาเก้ยี วพาราสี
3.2 ประเภทเครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง วงป�พาทย์ไม้แข็งหรือป�พาทย์เครื่องห้า ประกอบด้วย
ระนาด ฆ้องวง ตะโพน กลองทัด ฉ่ิง และปใ� น เพลงท่ใี ช้ประกอบการแสดง ได้แก่ เพลงรัว เพลงฉุยฉาย เพลง
แมศ่ รี เพลงเร็ว และเพลงลา
เพลงรัว เปน� เพลงหน้าพาทยเ์ บ้อื งตน้ ใชส้ ำหรบั การแสดงฤทธิห์ รือการเกิดปรากฏการณ์โดยฉบั พลัน
เพลงฉุยฉาย เปน� เพลงหน้าพาทยท์ ี่ใช้ประกอบกริ ยิ าของตวั โขนและละครแสดงถงึ ความภาคภูมใิ จในความงาม
เพลงแม่ศรี เป�นเพลงหน้าพาทย์ที่ใช้ประกอบการแสดงกิริยาสนุกสนาน ร่าเริง แสดงอารมณ์และความ
ภาคภมู ิใจในความงาม
เพลงรัว เปน� เพลงหน้าพาทยท์ ใี่ ชป้ ระกอบการแสดงกริ ยิ าการเดินอย่างนวยนาด
เพลงลา เป�นเพลงหน้าพาทย์ที่บรรเลงต่อจากเพลงเร็ว เมอื่ จบการรำ การแตง่ กาย
18
ภาพที1่ 6 วงปพ� าทยเ์ ครือ่ งห้า
(http://thailandclassicalmusic.com, ออนไลน์)
3.3 รูปแบบการรำฉยุ ฉายเบญจกาย
1. ออกด้วยเพลงรัว รำทา่ สอดสร้อยมาลา แลว้ ป้องหนา้
2. บทร้อง รำตีบท ตามคำร้องฉุยฉายและแมศ่ รี
3. จบเพลงเรว็ - ลา รำตามทำนองเพลง
ภาพท1ี่ 7 ทา่ สอดสรอ้ ยมาลา
(นาฏยศาสตร์แห่งราชอาณาจกั รไทย, 2562:ออนไลน)์
ภาพท1ี่ 8 ท่าปอ้ งหนา้
(www.korattheatre.go.th, ออนไลน์)
19
3.4 บทรอ้ งฉยุ ฉายเบญจกาย
บทร้องฉุยฉายเบญจกาย อยู่ในบทละครเรื่องรามเกยี รติ์ ตอนนางลอย พระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจา้
บรมวงศ์เธอ เจ้าฟา้ กรมพระยานรศิ รานุวดั ตวิ งศ์
ปพ� าทยท์ ำเพลงรวั
- ร้องเพลงฉยุ ฉาย -
ฉยุ ฉายเอย จะเข้าไปเฝา้ เจ้ากก็ รดี กราย
เย้ืองย่างเจา้ ช่างแปลงกาย ให้ละเมยี ดละมา้ ยสดี านงลักษณ์
ถึงพระรามเห็นทรามวยั จะฉงนพระทัยให้อะเหลอ่ื อะหลกั
งามนกั เอย ใครเหน็ พมิ พพ์ ักตรก์ ็จะรกั จะใคร่
หลบั ก็จะฝน� ครัน้ ตื่นกจ็ ะคิด อยากจะเหน็ อีกสกั นิดหน่งึ ใหช้ น่ื ใจ
งามคมดจุ คมศรชัย
ถูกนอกทะลใุ นใหเ้ จ็บอุรา
- ร้องแม่ศรี -
แมศ่ รเี อย แม่ศรรี ากษสี
แม่แปลงอินทรีย์ เปน� แมศ่ รสี ดี า
ทศพกั ตร์มาลักเห็น
เหมอื นล้อเลน่ ใหเ้ ป�นบ้า จะตืน่ เต้นในวญิ ญา
ระอาเจ้าแมศ่ รีเอย ฯ
อรชรเอย อรชรออ้ นแอ้น
เอวขาแขนแมน
แม้นเหมือนกนิ นรี
ระทวยนวยนาด วิลาสจรลี
ข้นึ ปราสาทมณี
เฝา้ พระปต� ลุ าเอย ฯ
- ป�พาทย์ทำเพลงเรว็ - ลา -
20
3.5 เครอื่ งแต่งกาย
ผ้แู สดงแต่งกายยืนเครือ่ งนาง สีแดง นุง่ ผ้าจบี หนา้ นาง สวมศิราภรณ์มงกฎุ กษัตรยี ์
การแตง่ กายแบบยืนเครือ่ งนาง ประกอบดว้ ย
1. มงกฎุ นาง อบุ ะ ดอกไมท้ ดั
2. เส้อื ในนาง
3. ผา้ ห่มนาง (สแี ดงขลบิ เขียว)
4. ผา้ นงุ่ (สเี ขียว)
5. กรองคอหรือนวมนาง (สเี ขียว)
6. จน้ี าง
7. สะอง้ิ หรอื สรอ้ ยตัว
8. เขม็ ขัด, หัวเข็มขดั
9. กำไลขอ้ มือหรอื กำไลแผง
10. กำไลข้อเท้า
ภาพท่1ี 9 ฉยุ ฉายเบญจกาย
(คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, 2562: ออนไลน)์
21
บทท่ี4
บทสรุป และข้อเสนอแนะ
นาฎศลิ ปไ์ ทยหรอื รปู แบบการแสดงนาฎศิลป์ไทย คือ ศลิ ปะช้ันสูงเป�นมรดกของวฒั นธรรมไทย ที่มีกันมา
ตั้งแต่เนินนานาฏศิลป์ เป�นศิลปะแห่งการละคร ฟ้อนรำ และดนตรี อันมีคุณสมบัติตามคัมภีร์นาฏะหรือ
นาฏยะ กำหนดว่า ต้องประกอบไปด้วย ศิลปะ 3 ประการ คือ การฟ้อนรำ การดนตรี และการขับ
ร้อง รวมเข้าดว้ ยกนั ซ่ึงทัง้ 3 สงิ่ นีเ้ ป�นอุปนสิ ยั ของคนมาแตด่ ึกดำบรรพ์ นาฏศิลปไ์ ทยมีทมี่ าและเกิดขึ้นจาก
สาเหตุตามแนวคิดต่าง ๆ เช่น เกิดจากความรู้สึกกระทบกระเทือนทางอารมณ์ ไม่ว่าจะอารมณ์แห่ง
ความสุข หรือความทุกข์แลว้ สะท้อนออกมาเป�นท่าทาง แบบธรรมชาติและประดิษฐ์ขึ้นเป�นท่าทางลีลาการ
ฟ้อนรำ หรือเกิดจากลัทธิความเชื่อในการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้า โดยแสดงความเคารพบูชาด้วยการ
เตน้ รำ ขับรอ้ ง ฟ้อนรำใหเ้ กดิ ความพงึ พอใจ เป�นต้น
นอกจากน้ี นาฏศิลป์ไทย ยังได้รับอิทธิพลแบบแผนตามแนวคิดจากต่างชาติเข้ามาผสมผสาน
ดว้ ย เชน่ วฒั นธรรมอนิ เดียเกีย่ วกับวัฒนกรรมที่เปน� เรื่องของเทพเจา้ และตำนานการฟอ้ นรำ โดยผ่านเข้าสู่
ประเทศไทย ทงั้ ทางตรงและทางอ้อม คอื ผ่านชนชาติชวาและเขมร กอ่ นท่จี ะนำมาปรบั ปรงุ ให้เปน� รปู แบบตาม
เอกลักษณข์ องไทย เช่น ตัวอย่างของเทวรูปศิวะปางนาฏราช ทีส่ รา้ งเป�นท่าการร่ายรำของ พระอศิ วร ซ่ึงมี
ทั้งหมด 108 ท่า หรือ 108 กรณะ โดยทรงฟ้อนรำครั้งแรกในโลก ณ ตำบลจิทรัมพรัม เมืองมัท
ราส อินเดียใต้ ป�จจุบันอยู่ในรัฐทมิฬนาดู นับเป�นคัมภีร์สำหรับการฟ้อนรำ แต่งโดยพระภรต
มุนี เรียกว่า คัมภีร์ภรตนาฏยศาสตร์ ถือเป�นอิทธิพลสำคัญต่อแบบแผนการสืบสาน และการถ่ายทอด
นาฏศิลป์ของไทยจนเกิดขึ้นเป�นเอกลักษณ์ของตนเองที่มีรูปแบบ แบบแผนการเรียน การ
ฝก� หดั จารีต ขนบธรรมเนียม มาจนถึงป�จจบุ ัน
อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่ศกึ ษาทางด้านนาฏศิลป์ไทยได้สันนิษฐานว่า อารยธรรมทางศิลปะ
ด้านนาฎศิลป์ของอินเดียนี้ได้เผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศไท จยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุทธยาตามประวัติการสร้าง
เทวาลัยศิวะนาฎราชที่สร้าง ขึ้นในป� พ.ศ. 1800 ซึ่งเป�นระที่ไทยเริ่มก่อตั้งกรุงสุโขทัย ดังนั้นที่รำไทยที่
ดัดแปลงมาจากอินเดียในครั้งแรกจึงเป�นความคิดของนัก ปราชญ์ในสมัยกรุงศรีอยุทธยา และมีการ
แก้ไข ปรับปรุงหรือประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จนนำมาสู่การประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในสมัยกรุง
รตั นโกสินทรจ์ นนำมาสูก่ ารประดษิ ฐ์ ทา่ ทางรา่ ยรำและละครไทยมาจนถึงป�จจบุ นั
22
รูปแบบการแสดงนาฎศิลป์ไทย บ่งบอกถึงรายละเอียดที่แตกต่างกนั ออกไปโดยแบง่ เป�นประเภทตา่ งๆเมื่อ
แสดงออกมาผ้ชู มทีเ่ ห็นก็สามารถมองและแยกออกไดว้ า่ คือการแสดงในรูปแบบอะไร เช่น
1.การแสดงรำเดย่ี ว
การแสดงเดี่ยว คือ การแสดงที่มีผู้แสดงเพียงคนเดียว มุ่งเน้นความสวยงามของการ
เคลื่อนไหวไหวร่างกาย เป�นการแสดงฝ�มือของผู้แสดงที่ร่ายรำถูกต้องตามท่วงทำนอง จังหวะเพลง และ
งดงามตามแบบแผน
2.การแสดงรำคหู่ รือหมู่
การแสดงเป�นหมู่ คือการแสดงที่มีผู้แสดงตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ใช้เพลงบรรเลง ประกอบการ
แสดงทั้งมเี นื้ิอรอ้ งและไม่มเี นื้อรอ้ ง เน้นความความพร้อมเพรียง เปน� ตน้
องค์ประกอบของนาฏศลิ ปไ์ ทย
ดังได้กล่าวมาแลว้ วา่ นาฏศลิ ป์จะหมายรวมไปถงึ การรอ้ งรำทำเพลงดงั นน้ั องคป์ ระกอบของนาฏศิลป์
ก็จะประกอบไปดว้ ยการร้องการบรรเลง ดนตรแี ละการฟอ้ นรำ ทัง้ นี้เพราะการแสดงออกทางนาฏศลิ ปไ์ ทย
จะต้องอาศัยบทร้องทำนองเพลงประกอบการแสดง เพราะฉะนัน้ ก่อนทีจ่ ะมาเปน� นาฏศิลปไ์ ทย
ได้จะตอ้ งประกอบไปด้วยองค์ประกอบสำคัญๆดังต่อไปน้ี
การฟ้อนรำหรือลีลาท่ารำ เป�นท่าทางของการเยื้องกรายฟ้อนรำที่สวยงาม โดยมีมนุษย์เป�นผู้
ประดิษฐ์ท่ารำเหล่านั้นได้ถูกตอ้ งตามแบบแผนรวมทั้งบทบาทและลักษณะของตัวละคร ประเภทของการ
แสดง และการสื่อความหมายท่ชี ัดเจน
1.จังหวะ เป�นส่วนย่อยของบทเพลงที่ดำเนินไปเป�นระยะและสม่ำเสมอ การฝ�กหัดนาฏศิลป์ไทย
จำเปน� ต้องใช้จงั หวะเป�นพ้ืนฐานในการฝ�กหัด เพราะ จงั หวะ เปน� ส่งิ ทีเ่ กิดขึน้ จากธรรมชาติและมีอยู่ในตัว
มนษุ ยท์ กุ คนหากผ้เู รียนมีทักษะทางการฟ�งจงั หวะแลว้ กส็ ามารถรำได้สวยงามแต่ถ้าผู้เรยี นไม่เข้าใจจังหวะ
กจ็ ะทำใหร้ ำไมถ่ ูกจังหวะหรือเรยี กว่า "บอดจงั หวะ" ทำให้การรำกจ็ ะไมส่ วยงามและถูกต้อง
2.เนอื้ ร้องและทำนองเพลง การแสดงลลี าท่ารำแต่ละครงั้ จะต้องสอดคล้องตามเน้อื รอ้ ง และทำนอง
เพลง ทัง้ นเ้ี พอื่ บอกความหมายของทา่ รำ ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สกึ ในการแสดงไดต้ ามเน้อื เร่ือง ตลอดจน
สามารถสื่อความหมายให้กับผู้ชมเข้าใจตรงกันได้ เช่น การแสดงอารมณ์รัก ผู้รำจะประสานมือทาบไว้ท่ี
หน้าอก ใบหนา้ ยิม้ ละไม สายตามองไปยงั ตวั ละครที่รำคกู่ นั เป�นตน้
23
3.การแตง่ กาย ในการแสดงนาฏศิลป์ สามารถบ่งบอกถงึ ยศ ฐานะและบรรดาศักด์ิ ของผู้แสดงละคร
นน้ั ๆ โดยเฉพาะการแสดงโขน การแต่งกายจะเปรยี บเสมือนแทนสีกายของตัวละคร เช่น เม่อื แสดงเป�นหนุ
มานจะตอ้ งแต่งกายดว้ ยชดุ สีขาว มีลายป�กเปน� ลายทักษณิ าวัตร สวมหวั ขนลิงสีขาวปากอา้ เปน� ต้น
4.การแต่งหน้า เป�นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้ผูแ้ สดงสวยงาม และอำพรางข้อบกพรอ่ ง ของใบหน้า
ของผู้แสดงได้ นอกจากนี้ก็ยังสามารถใช้วิธีการแต่งหน้าเพื่อบอกวัย บอกลักษณะเฉพาะของตัวละครได้
เชน่ แตง่ หน้าคนหนุ่มให้เปน� คนแก่
แตง่ หน้าให้ผู้แสดงเปน� ตัวตลก เป�นต้น
5.เครื่องดนตรีทบ่ี รรเลงประกอบการแสดง การแสดงนาฏศิลป์ จำเปน� อย่างยงิ่ ทจี่ ะต้องใช้เคร่ืองดนตรี
บรรเลงประกอบการแสดง ดงั น้ันผแู้ สดงจะตอ้ งรำให้สอดคล้องตามเนอ้ื ร้อง และทำนองเพลงในขณะเดียวกัน
ดนตรีก็เป�นองค์ประกอบหลักที่สำคัญในการช่วยเสริมให้การแสดงสมบูรณ์ และสามารถสื่อความหมายได้
ชัดเจนมากขนึ้ อีกท้งั ยงั ชว่ ยเสรมิ สรา้ งบรรยากาศในการแสดงใหส้ มจริงยิง่ ขนึ้ ดว้ ย
6.อปุ กรณก์ ารแสดงละคร การแสดงนาฏศิลป์ไทยบางชุด ตอ้ งมอี ปุ กรณป์ ระกอบการแสดงละครด้วย
เช่น ระบำพัด ระบำนกเขา ฟ้อนเทียน ฟ้อนเล็บ ฟ้อนร่ม เป�นต้น อุปกรณ์แต่ละชนิดที่ใช้ประกอบการแสดง
จะต้องสมบูรณ์ สวยงาม และสวมใสไ่ ดพ้ อดี หากเปน� อปุ กรณ์ที่ต้องใช้
ประกอบการแสดง เช่น ร่ม ผู้แสดงจะต้องมีทกั ษะในการใช้อุปกรณไ์ ด้อย่างคล่องแคล่ว วางอยู่ในระดับท่ี
ถูกตอ้ งสวยงาม
ข้อเสนอแนะนำ
เนื้อหาดงั กวา่ ทีผ่ ูจ้ ัดทำรายงานไดม้ ีความสนใจจงึ ตง้ั ใจจดั ทำขน้ึ โดยมแี หลง่ อา้ งอิงท่มี คี วามรู้จากแหล่งแห่ง
ถกู นำมารวมและได้สรุปพอเปน� แนวทางให้กับผทู้ ี่สนใจใน เร่อื ง รูปแบบการแสดงนาฎศิลป์ ผู้จัดทำหวังว่า
จะเปน� ประโยชนใ์ ห้แก่ผู้อา่ นและผูจ้ ัดทำไมม่ าก็น้อย
24
บรรณานุกรม
ครอู ัษ.(2552).รักษ์นาฏศิลป์ไทย.สืบคน้ เมอื่ วนั ท่ี 9 กนั ยายน,2560,website : [ออนไลน]์
http://oknation.nationtv.tv/blog/assada999/2009/11/23/entry-3[สบื ค้นเมือ่ วันที่12 สงิ หาคม
2564].
นาฏศิลปไ์ ทยby kru kai คุณครู นาฏจรยี ์ วงษส์ ิรภัคเว็บไซค์ krukainatcharee.com สรา้ งสำหรบั เปน�
แหลง่ เรยี นรู้ทางดา้ นงานนาฏศลิ ป์ และบนั ทึกเป�นเกยี รตแิ กค่ รผู ู้สอนเพ่ือถ่ายทอดความสูค่ นรนุ่ หลงั ได้
ศึกษา [ออนไลน์]
:http://www.oknation.net/blog/5441603354/2012/04/ [สบื คน้ เมื่อวันท่1ี 2 สิงหาคม 2564].
สำนักการสังคีตสงวนลิขสิทธ์ิ © 2563 กรมศิลปากร. กระทรวงวัฒนธรรม - นโยบายเวบ็ ไซต์ | มาตรฐาน
[ออนไลน]์
https://www.finearts.go.th/performing/view/6954-[สืบค้นเม่อื วันท1่ี 2 สงิ หาคม 2564].
วิชานาฏศลิ ป์ ครูพนมพร [ออนไลน]์
http://krupanomporn.blogspot.com/2012/11/blog-post.html[สบื ค้นเมอื่ วันท1่ี 2 สิงหาคม 2564].
รำวงมาตรฐาน ศิลปะแห่งการฟ้อนรำอนั งดงามทค่ี วรอนรุ กั ษ์ไว้ [ออนไลน]์
https://hilight.kapook.com/view/78920[สบื ค้นเมือ่ วนั ท1่ี 2 สิงหาคม 2564].
บล็อกครศู ุภรตั นป์ ระเภทของรำไทยPosted by suparat3016 in นาฏศิลปไทย and tagged with รำ,
รำไทย, ศภุ รัตน์ มว่ งทอง, โรงเรียนป�ยะบุตร์ [ออนไลน]์
https://suparat3016.wordpress.com/category/[สบื คน้ เม่อื วนั ที1่ 2 สงิ หาคม 2564].
ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ สาขานาฏศิลปโ์ ขน (ยักษ์) วิทยาลยั นาฏศิลปเชียงใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดเชยี งใหม่
[ออนไลน]์
http://somphopphenchan.blogspot.com/2013/06/blog-post_1394.html[สบื คน้ เมือ่ วันท1่ี 2
สงิ หาคม 2564].
ความหมายของคำว่า "ระบำ รำ ฟ้อน" [ออนไลน์]
https://nachuakpit.ac.th/client-
upload/np/uploads/files/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%A
3%E0%B8%B3%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99%204_1.pdf[สืบคน้ เม่อื
วนั ท1ี่ 2 สงิ หาคม 2564].
การรำเดยี่ ว [ออนไลน]์
http://nichapat0605.blogspot.com/[สืบค้นเมอื่ วนั ที่12 สงิ หาคม 2564].
25
ประวัตคิ วามเป�นมารำวงมาตรฐาน นางระวิวรรณ มหาชัยศลิ ปบณั ฑติ (ศบ.) นาฏศิลปไ์ ทย จากสถาบนั
บณั ฑติ พัฒนศลิ ป์ กรมศิลปากรครู อนั ดบั คศ. ๑ [ออนไลน]์
https://sites.google.com/a/bualai.ac.th/kruraviwan/prawati-khwam-pen-ma-rawng-
matrthan[สืบค้นเมอ่ื วันที่12 สิงหาคม 2564].