PARTOF SPEECH
ลิ้งสำ หรับเรียนรู้พื้นฐาน โดยในวิดีโอการสอนจะมีบทเพลงเกี่ยวกับชนิดของคำ สั้นๆให้ เรียนรู้ และหลังจากนั้นจะเป็นการสอนบทเรียนพื้นฐาน เช่น การ บอกความหมาย และยกตัวอย่างคำ ศัพท์
Parts of Speech คืออะไร Parts of Speech คือ ชนิดหรือประเภทของคำ ในภาษาอังกฤษ ซึ่งมีหน้าที่และ ตำ แหน่งในประโยคแตกต่างกันออกไป ความเข้าใจเกี่ยวกับ Parts of Speech ถือเป็นพื้นฐานที่สำ คัญอย่างยิ่งสำ หรับการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารให้ถูก ต้อง การเรียนรู้เพื่อทำ ความเข้าใจประเภทของคำ หรือ Parts of Speech นั้นมี ประโยชน์ เพราะจะช่วยให้เราเข้าใจส่วนย่อยของภาษา ตั้งแต่คำ วลี ไปจนถึง ประโยคที่ใช้ในภาษาอังกฤษ พื้นฐานที่สำ คัญเริ่มต้นด้วยการตอบคำ ถามที่ว่า Parts of Speech มีกี่ประเภท เราสามารถแบ่งประเภทคำ ในภาษาอังกฤษตามหน้าที่ได้หลัก ๆ เป็น 8 ชนิด ได้แก่ Noun (คำ นาม), Pronoun (คำ สรรพนาม), Verb (คำ กริยา), Adjective (คำ คุณศัพท์), Adverb (คำ กริยาวิเศษณ์), Preposition (คำ บุพบท), Conjunction (คำ สันธานหรือคำ เชื่อม) และ Interjection (คำ อุทาน) นอกจากประเภท Parts of Speech ข้างต้นแล้ว บางตำ รายังมีคำ ประเภท Determiner หรือคำ นำ หน้านาม เช่น a, an, the, that หรือ some อีกชนิดด้วย
คำ นาม หรือ Noun คือ คำ ในภาษาอังกฤษซึ่งใช้เรียกชื่อของ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ รวมไปถึง ความรู้สึก อารมณ์ แนวคิด สามารถแบ่งย่อยไปได้อีกหลาก หลายประเภท เช่น Proper Nouns (คำ นามชี้เฉพาะ), Common Nouns (คำ นามทั่วไป) เป็นต้น Proper Nouns (คำ นามชี้เฉพาะ) เป็นคำ นามที่เป็นชื่อเฉพาะของ จะ ต้องขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่เสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ใดของประโยค เช่น ชื่อคน (Person Name) เช่น Somsak, Tom, Daeng ชื่อสถานที่ (Place Name) เช่น Australia, Bangkok, Sukhumvit Road ชื่อบอกระยะเวลา (Time name) เช่น Saturday, January, Christmas Common Noun (นามทั่วไป) เป็นคำ นามที่ใช้เรียก คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ทั่วไป ความคิด โดยไม่เฉพาะเจาะจง คน/สิ่งของ boy, sign, table, hill, water, sugar, atom, elephant สถานที่ city, hill, road, stadium, school, company เหตุการณ์ revolution, journey, meeting Common Nouns แบ่งออกเป็น - นามรูปธรรม (Concrete Nouns) คำ นามที่จับต้องได้ เช่น โต๊ะ (table), เก้าอี้ (chair) - นามนามธรรม (Abstract Nouns) คำ นามที่จับต้องไม่ได้ เช่น hope(ความหวัง), Beauty (ความสวย)
1. คำ นามทำ หน้าที่เป็นประธาน (subject) จะอยู่ต้นประโยค เช่น My boss bought a new Lamborghini for his wife. 2. คำ นามทำ หน้าที่เป็นกรรม (object) จะตามหลังกริยา เช่น My boss bought a new Lamborghini for his wife. 3. คำ นามต้องตามหลัง article (a, an, the) เช่น a car, an apple, The boy 4. ถ้ามีการแสดงความเป็นเจ้าของ คำ นามจะตามหลัง Possessive adjective และ ’s เสมอ เช่น My boss, his cat, John's book 5. ถ้าในประโยคมีคำ คุณศัพท์ (adjective) คำ นามจะตามหลังคำ คุณศัพท์เสมอ เช่น new car, blue dress 6. คำ นามจะอยู่หลังคำ บุพบท (Preposition) เสมอ เช่น My boss bought a new Lamborghini for his wife. ** for เป็น Preposition ตามหลังด้วยคำ นาม wife ที่ ตามหลังสรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ his หน้าที่และตำ แหน่งของนาม
คำ สรรพนาม หรือ Pronoun คือ คำ ที่ใช้เรียกแทนคำ นาม เพื่อให้เกิด ความกระชับและหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงคำ นามเดิมซ้ำ ๆ เช่น I, you, he, she, it, we และ they เป็นต้น We took the car to the garage because it needed fixing. ตัวอย่างการใช้ Pronoun (คำ สรรพนาม) ในประโยค แทนที่จะเขียนว่า We took the car to the garage because the car needed fixing.
1. คำ กริยาหลัก (Main Verbs) แบ่งออกเป็น 1.1.คำ กริยาแสดงอาการหรือการกระทำ (Dynamic Verb/Action Verb) เป็นคำ กริยาที่มีการเคลื่อนไหว เช่น run, walk, eat, drink โดยผันไปตาม โครงสร้าง Tense ของประโยค 1.2.คำ กริยาแสดงสภาวะ ความรู้สึก ความคิด ความเป็นอยู่ (Stative Verb) เป็นกริยาที่เป็นนามธรรม มักใช้ใน Simple Tense และไม่ใช้รูปเติม -ing ใน Continuous Tense 2. คำ กริยาช่วย (Auxiliary Verbs/Modal Verb) คือ คำ กริยาที่เข้ามาเสริม กริยาหลักเพื่อขยายความให้กว้างขึ้น และยังช่วยในการสร้างประโยคปฏิเสธ และประโยคคำ ถามอีกด้วย คำ กริยา (Verb) คือ คำ ที่บอกอาการหรือการกระทำ (action) หรือ ความ เป็นอยู่ (being) ในภาษาอังกฤษนอกจากแบ่งประเภทของคำ กริยาออกเป็น คำ กริยาหลัก (Main Verbs) และคำ กริยาช่วย (Auxiliary Verbs) แล้ว แต่ละ ประเภทยังแยกย่อยออกได้อีกหลายแบบด้วย แบ่งออกได้ดังนี้
ประธาน did I, You, We, They Present Tense รูปของ Verb To Do ในแต่ละ Tenses Past Tense Prefect Tense Continuous Tense do did have/had done are/were doing รูปของ Verb to have He, She, It, Sarah, a dog (เอกพจน์บุรุษที่ 3) does has/ had done is/ was doing I/You/We/They และประธานพหูพจน์ อื่น ๆ Present Tense Past Tense Continuous Tense have had He/She/it และประธาน เอกพจน์อื่น ๆ has having Subject/ Tenses had having
was I Present Form รูปของ Verb to be Past Form Prefect Form Continuous Form am was have / had been am / was being he/she/it และ ประธานเอกพจน์ อื่น ๆ is has/ had been is/ was being Pronoun he/she/it และ ประธานเอกพจน์ อื่น ๆ are were have/ had been are/ were been
ADJECTIVE (คำ คุณศัพท์) คำ คุณศัพท์ หรือ Adjective คือ คำ ที่นำ มาใช้ขยายคำ นามหรือสรรพนาม เพื่อบอก ลักษณะหรือคุณสมบัติให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น beautiful, tasty, red, good, sunny เป็นต้น My mum picked some pretty flowers. She is the fastest member of our team. Every member of the team scored a point. I love Japanese food. ตัวอย่างการใช้ Adjective (คำ คุณศัพท์) ในประโยค
คำ วิเศษณ์หรือคำ กริยาวิเศษณ์ (Adverb) คือ คำ ที่ทำ หน้าที่ขยายคำ กริยา (Verb), คุณศัพท์ (Adjective) และคำ กริยาวิเศษณ์ (Adverb) เพื่อบอกรายละเอียดเพิ่มเติม ให้เห็นภาพชัดขึ้นว่าสิ่งที่พูดถึงเกิดขึ้นอย่างไร (How) เมื่อไหร่ (When) บ่อยแค่ไหน (How often) ที่ไหน (Where) และเท่าไร (How much) โดย Adverb หลายคำ มักจะ ลงท้ายด้วย -ly เช่น absolutely, certainly, definitely, probably, entirely,
คำ บุพบท หรือ Preposition คือ คำ ที่ใช้ทำ หน้าที่เชื่อมคำ นาม (Noun), นามวลี (Noun Phrase), คำ สรรพนาม (Pronoun) หรือคำ กริยา (Verb) เพื่อแสดงความสัมพันธ์ เช่น การบ่งบอกเวลา สถานที่ ตำ แหน่ง ทิศทาง และอื่น ๆ เพื่อแสดงความเกี่ยวข้องในประโยค เช่น in, on, at, under, in front of, between, beside, with, without เป็นต้น โดยส่วนใหญ่จะอยู่ หน้าคำ นามหรือสรรพนาม I am sitting next to my best friend. We had a picnic outside yesterday. I'll be there in an hour. Nick lives with two dogs and a cat. ตัวอย่างการใช้ Preposition (คำ บุพบท) ในประโยค
Conjunction (คำ สันธาน) คำ สันธาน หรือ Conjunction คือ คำ ที่เชื่อมคำ ประโยค วลี หรือประโยคย่อยเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ ความหมายที่สมบูรณ์และมีความสละสลวยมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น and, but, so, because, when, if, that, although, even if, neither...nor, either...or เป็นต้น I am sitting next to my best friend. We had a picnic outside yesterday. I'll be there in an hour. Nick lives with two dogs and a cat. ตัวอย่างการใช้ Preposition (คำ บุพบท) ในประโยค
A f t e r B e c a u s e I fAl t h o u g h B e f o r e Sin c e T h a t U n l e s s U n til W h e n a s s o o n a s W h e r e W h e r e a s W h e r e v e r W hil e I n o r d e r t h a t ห ลั ง จ า ก เ พ ร า ะ ว่ า ถ้ า แ ม้ ว่ า ก่ อ น ตั้ ง แ ต่ เ พื่ อ ว่ า ว้ น เ สี ย แ ต่ ว่ า จ น ก ร ะ ทั่ ง เ มื่ อ ไ ร ทั น ที ที่ ที่ ไ ห น ข ณ ะ ที่ เ มื่ อ ใ ด ก็ ต า ม ข ณ ะ ที่ เ พื่ อ ว่ า
คำ อุทาน หรือ Interjections คือ คำ ที่ใช้เพื่อแสดงอารมณ์หรือความรู้สึกต่าง ๆ ในทางบวกหรือทางลบ เช่น ความพอใจ ความแปลกใจ ความประหลาดใจ หรือความรังเกียจ เป็นต้น โดยอาจมีการใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ (!) ร่วมด้วย ทั้งนี้ การบอกว่าคำ อุทานแสดงอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ นั้นจะต้องอาศัยบริบท ร่วมด้วย Whew! We finally reached the peak of Mount Kinabalu. เห้อ! ในที่สุดเราก็มาถึงยอดเขาคินาบาลู Aah! Get that crawling insect away from me! อ่า! เอาแมลงตัวนั้น ไปจากฉันซะ! Eww! I can’t stand seeing all that blood from his injury. อี๊! ฉันทนเห็นเลือดทั้งหมดจากอาการบาดเจ็บของเขาไม่ได้ Oh, we thought you already left the airport. โอ้, เราคิดว่าคุณออกจากสนามบินแล้ว ตัวอย่าง คําอุทานภาษาอังกฤษ :