The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กองธรณีวิทยาสิ่งแวดล้อม, กรมทรัพยากรธรณี 2564

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by DMR_Landslide, 2022-01-31 04:11:37

รายงานพื้นที่อ่อนไหวต่อการเกิดดินถล่มจังหวัดน่าน

กองธรณีวิทยาสิ่งแวดล้อม, กรมทรัพยากรธรณี 2564

Keywords: ดินถล่ม,จังหวัดน่าน,landslide

- 27 -
รูปที่ 3.4 แผนท่ีธรณวี ทิ ยาจงั หวดั นา น และคำอธบิ ายแผนที่ (กรมทรัพยากรธรณี, 2564)

- 28 -

ตารางท่ี 3.1 คำอธบิ ายแผนทีธ่ รณีวทิ ยาจังหวดั นาน

คำอธบิ าย
(EXPLANATION)

ยุค หนิ ตะกอน หินช้นั และหินแปร
PERIOD SEDIMENTARY AND METAMORPHIC ROCKS

Qa ตะกอนนำ้ พา : กรวด ทราย ทรายแปง และดนิ เหนียว

ควอเทอรนารี Qc ตะกอนเศษหินเชงิ เขา กรวดปนทราย ถงึ ทรายปนดินเหนยี ว ท่ีเปน พวกตะกอนรว น
QUATERNARY
Qt ตะกอนบนตะพกั นำ้ กรวด ทราย และแมรงั

เทอรเ ชยี รี T หนิ เคลย หินทรายแปง หินทราย หินโคลน ดินเบา และถา นหินลกิ ไนต
Tertiary
Kbk หินทรายแปงสลับหินโคลน สีแดง สีแดงแกมน้ำตาล ช้ันหนา หินทรายเนื้ออารโคส
ครีเทเชยี ส
CRETACEOUS สีแดงอิฐ เนื้อปานกลาง ช้ันบาง แสดงช้ันเฉียบระดับรอยร้ิวคลื่นและระแหงโคลน
พบแหลงเกลอื หนิ
Ksp หินทราย เนื้ออารโคส สีแดงอิฐ ชั้นหนา แสดงชน้ั เฉียงระดับ สลับดว ยหินทรายแปงและ
หนิ โคลน

Ksk หินทรายแปง สีน้ำตาลแกมแดง สีแดงแกมมวง และสีมวง บางสวนเนื้อปนปูน สลับช้ัน
ดว ยหนิ ทราย

JK หินทรายเนื้อควอตซ สีน้ำตาล สีเทา ชั้นหินหนา แสดงช้ันเฉียงระดับแบบมุมสูง

แทรกสลับกบั หินทราย สเี ทาเขียวและหนิ โคลนสีนำ้ ตาลแดง

JKkc หินทรายเน้ือควอตซ สนี ้ำตาล เทา หินทรายเนอ้ื อารโ คส สเี ทา สลบั หินทรายแปง สแี ดง
และหินกรวดมน แสดงการวางช้ันเฉียงระดับ ลักษณะแถบช้ันบาง การเรียงขนาด

ตะกอน และรอยร้วิ คล่ืน

JKpw หินทราย และหินทรายเน้อื กรวดมน สีขาวแกมนำ้ ตาลถึงนำ้ ตาลแกมแดง เน้ือปานกลางถงึ หยาบ

J หินกรวดมน สีแดง หินทรายสีน้ำตาลแดง แทรกสลับกับหินทรายแปงและหินโคลน

สีน้ำตาลแดง และหนิ กรวดมนพบหอยสองฝา

จแู รสซิก Jdk หินกรวดมน สีน้ำตาลแกมแดง เม็ดแรสวนใหญเปนหินปูนและหินออน สีเทาออน
JURASSIC ขนาดเสนผาศนู ยกลางใหญกวา 5-25 ซม.ชัน้ หนาปานกลางแทรกสลบั ดวยหินทรายแปง

สนี ำ้ ตาลแกมแดงถงึ แดงแกมมว ง ช้นั บาง ตามแนวรอยเลื่อน

Jnr หินทรายอารโคส หินทรายเน้ือควอตซ หินทรายแปงและหินโคลน สีน้ำตาลแดง และ
สีเทา แสดงช้ันเฉยี งระดบั ลักษณะแถบชั้นบาง รอยรวิ้ คลน่ื หินกรวดมนถึงหินทราย เน้ือกรวดมน

Jpk หินทรายแปงสีมารูน สีน้ำตาลแกมแดง เน้ือไมกา หินทราย และหินดินดาน สีน้ำตาล
สีเทา สีเหลือง

Jpkk หินกรวดมน สีน้ำตาลแกมแดง สีเทา ชั้นปานกลาง หินทรายเนื้ออารโคส สลับช้ันกับ
หินทรายแปง หินโคลน สีแดงแกมมวงเน้ือปูน แสดงชั้นเฉียงระดับและรอยร้ิวคล่ืน

หนิ ปูนเนื้อทรายสีเทา

- 29 -

ตารางที่ 3.1 คำอธบิ ายแผนที่ธรณวี ทิ ยาจังหวดั นาน (ตอ )

คำอธิบาย
(EXPLANATION)

ยุค หินตะกอน หินชน้ั และหินแปร
PERIOD SEDIMENTARY AND METAMORPHIC ROCKS

ไทรแอสซกิ TrJ หินทราย และหินทรายแปง สีเทาแกมเขียว สีเทาแกมมวง หินดินดาน หินกรวดบน
TRIASSIC
หินฟลไลต
เพอรเ มียน
PERMIAN Trwc หินโคลน สเี ทาดำ แทรกสลับบางบริเวณดว ยหินทราย ชนั้ บางถึงช้นั หนา
Trkp หินปนู สเี ทา ช้นั บางถงึ ช้ันหนา
คารบอนิฟอรัส Trpd หินทราย หินทรายแปง หนิ โคลน และหินกรวดมน สแี ดง
Trkhp หินดนิ ดาน สเี ทา แสดงแนวช้ันบาง สลับดวยหินทรายเกรยแวก หินโคลน หินโคลนสลบั
CARBONIFEROUS
หนิ เชิรต และหนิ เชริ ตชน้ั บางพบซากดกึ ดำบรรพ จำพวก เรดิโอลาเรีย
ไซลเู รียน-
ดโี วเนียน PTr หินดินดาน หินทรายแปง และหินทราย สีเทาดำถึงสีเทาเขียว แทรกสลับกับหินเชิรต
SILURIAN-
DEVONIAN ช้ันบาง
Pph หนิ ปนู สเี ทา ชนั้ หนา แสดงลักษณะหนา ผาหินปนู ชัดเจน และหินทรายเนอ้ื ภเู ขาไฟ และ
ยคุ
PERIOD หินดินดาน
จแู รสซิก
JURASSIC Pkl หินฟล ไลต หินทราย หนิ ทรายแปง หนิ ดนิ ดาน หนิ เชริ ต หินกรวดมน และหินปนู
ไทรแอสซิก CP หินทราย สีเทา แทรกสลับกับหินดินดาน สีเทา หินทรายแปงเน้ือภูเขาไฟ และ
TRIASSIC
คารบอนฟิ อรัส หินกรวดมน สีน้ำตาลแดง บางแหงพบหินปูนสีเทาดำ มีซากปะการัง บางแหง
ถกู แปรสภาพกลายเปนหินฟลไลต และหนิ ออน.
CARBONIFEROUS
C หินทรายเน้ืออารโคส และเน้ือควอตซ สลับกับหินดินดาน และหินทรายแปง

ถูกแปรสภาพเลก็ นอย แตลักษณะชนั้ หนิ ถกู เปลี่ยนรนุ แรง

SD หินแปรขั้นตำ่ หนิ ฟลไลต หินชีสเนอื้ ฟลไลต สลบั ดวยหนิ ควอรตไซต

หินอัคนี
IGNEOUS ROCKS

Jv หินภูเขาไฟชนิด ไรโอไลต แอนดีไซต บะซอลตท่ีมีรูพรุนมาก พบหินดินดานและ

หนิ ทรายเนอ้ื เฟลดส ปาร

Trgr หินอัคนีชนิดหินไบโอไทตแกรนิต เนื้อปานกลางถึงหยาบ เน้ือเปนดอก หินมัสโคไวต

แกรนิต

CPu หินอัลตราเบสิค: หินเพ อริโดไทต หินฮอรนแบลนไดต หินเซอรเพนทิไนต

หินไพรอกซไิ นต และหินบะซอลต

- 30 -

3.5 ธรณีวิทยาโครงสราง

ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต ตงั้ อยบู นแผนเปลือกโลกทมี่ าบรรจบกัน 4 แผน
ดวยกัน ไดแก แผนเปลือกโลกยูเรเชีย แผนเปลือกโลกอินเดีย-ออสเตรเลีย (แผนเปลือกโลกอินเดีย)
แผนเปลือกโลกทะเลฟลิปปนสและแผนเปลือกโลกแปซิฟก นอกจากนี้ยังมีรอยตอของแผนธรณีภาค
(Plate boundary) ตั้งแตตะวันตกของประเทศไทย ออมหมูเกาะสุมาตรา และหมูเกาะชวาไปทางใต
แสดงในรูปท่ี 3.5 ในชวงอายุทางธรณีกาลลาสุด (Late Cenozoic) พบวาสวนของประเทศไทย และ
ประเทศใกลเ คยี งเปนสวนใตส ุดของแผนเปลอื กโลกยเู รเชีย (ชนิดแผนทวปี ) จากหลักฐานการเคลื่อนที่ของ
เปลือกโลกบงชี้วาแผนเปลือกโลกแปซิฟกยังคงเคล่ือนตัวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ สวนแผนเปลือกโลก
ยูเรเชียแทบจะหยุดนิ่งอยูกับท่ี ขณะท่ีแผนเปลือกโลกอินเดียเคลื่อนข้ึนมาทางดานทิศเหนือ
(Tapponnier et al., 1982, 1986) แ ละชน กับ แ ผ น เป ลื อ กโลกยูเรเชีย สงผ ลทำให ข อบ ขอ ง
แผนเปลือกโลกเปนรองลึก (Trench) มีแนวรอยเลื่อนเน่ืองจากแนวการแยกตัวออกจากกัน
(Spreading zone) และมีแนวการมุดตัว (Subduction zone) ระหวางรอยตอระหวางแผนตางๆ
การเคล่ือนท่ีข้ึนมาทางดานทิศเหนืออยางตอเน่ืองของแผนเปลือกโลกอินเดียออสเตรเลีย ทำใหเกิด
การชนกันระหวางแผนเปลือกโลกอินเดีย-ออสเตรเลียกับแผนเปลือกโลกยูเรเชีย และสงผลทำใหเกิด
รอยเลื่อนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใตเปนจำนวนมาก เชน รอยเล่ือนสะกาย (Sagaing Fault)
ในสาธารณรฐั แหงสหภาพเมยี นมารและรอยเล่ือนแมน้ำแดง (Red River Fault) ในสาธารณรัฐสังคมนิยม
เวียดนาม รวมทั้งรอยเล่ือนมีพลังในบริเวณตอนใตของสาธารณรัฐประชาชนจีน สามเหลี่ยมทองคำ
ภาคเหนือประเทศไทย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ปจจุบันรอยเลื่อนเหลานี้ยังคงมี
การเคลอ่ื นท่แี ละทำใหเกดิ แผน ดนิ ไหว

- 31 -

รูปที่ 3.5 ก) แผนท่ีแสดงธรณีแปรสัณฐานของภูมิภาคเอเชียใตและตะวันออกของสองเปลือกโลกและ
การกระจายตัว ของรอยเล่ือนตางๆ ระหวางโครงรางเปลือกโลก ข) แบบจำลองโดยใชเปลือกโลกอินเดีย-
ออสเตรเลีย ชนเปลือกโลกยูเรเชีย ค) ภาพขยายใกลของลักษณะที่ปรากฏเม่ือมีการเกิดการชนกันข้ึน
(Tapponnier และคณะ, 1982)

- 32 -

รูปที่ 3.6 แผนท่ีธรณีวิทยาประเทศอยางงายแสดงการกระจายตัวของหินในมหายุคตาง ๆ และแผนเปลือกโลก
ท่ีสำคัญตลอดจนตะเข็บธรณีและแนวรอยเลื่อนหลัก ๆ ท่สี ำคัญของไทย (ปญ ญา จารุศริ ิ และคณะ, 2545)

3.5.1 ชั้นหินคดโคง (Fold)

รอยตะเข็บธรณีนาน-อุตรดิตถ และรอยตะเข็บธรณีสระแกว-จันทบุรี (Nan-Uttaradit and
Sa Kaeo-Chanthaburi Geosuture) เปนรอยตะเข็บด้ังเดิม ซึ่งเกิดจากการชนกันของแผนเปลือกโลก
ชานไทยกับแผนเปลือกโลกอินโดจีน (Shan-Thai Terrane collided with Indochina Terrane)
โดยปรากฏลักษณะหินของธรณีแอนตัวเททิสบรรพกาล (Paleo-Tethys) ตามแนวหินน้ี พบอยูระหวาง
แนวชั้นหินคดโคงสุโขทัยและแนวช้ันหินคดโคง เลย (Sukhothai and Loei Fold Belt) รอยตอ (Suture)
ปรากฏใหเห็นชัดเจนในประเทศไทย พบอยู 2 สวน โดยทางตอนเหนอื เรียกวา รอยตะเข็บนาน-อุตรดิตถ
(Nan-Uttaradit Suture) และทางตอนใต เรียกวา รอยตะเขบ็ สระแกว-จันทบุรี (Sa Kaeo-Chanthaburi
Suture) โดยมีรอยเลื่อนแมป งซ่ึงเปนรอยเลือ่ นตามแนวระดบั (strike-slip fault) ที่เคล่ือนที่ไปทางซาย
(sinistral movement) ตัดผานรอยตะเข็บนี้ คาดวาเดิมเปนธรณีแอนตัวเธทิสหลักบรรพกาล
(Main Paleo-tethys) (Sengor et al., 1990; Metcalfe, 1997) ที่มีแนวตอเนื่องไปทางเหนือถึง

- 33 -

รอยตะเข็บ Chiangning-Menglian (Liu et al., 1991) ในมณฑลยนู นานทางดานตะวนั ตก และขยายไป
ถงึ เมอื งเบตง-รวบ (Bentong-Raub Suture) ในแหลมมลายู (Hutchison, 1975; Bunopas and Vella,
1983; Chaodumrong, 1992) ในสวนนีม้ ีประกอบดว ยหินเซอรเ พนทิไนตแ ละหินเชริ ตชั้นบาง และยังพบ
หินบลูชีสตและหินแกบโบร ซึ่งบริเวณน้ีท้ังหมดคาดวาอยูในสวนของเซอรเพนทิไนตเมลานจ
(Serpentinite Mélange zone) (Hada and Bunopas, 1997) แ ล ะ ยั งพ บ ก า ร แ ผ กระจ าย ขอ ง
กลุมหินแพร ซึ่งเปนชุดหินฟลิช (Flysch) หินปูนชั้นบาง หินเรดิโอลาเรียนเชิรต (Radiolarian chert)
หินอัลตราเบสิก หินบะซอลตรูปหมอน (Pillow basalt) หินทรายเกรยแวก และหินเถาภูเขาไฟ
อายุเพอรเมียนตอนกลางถึงไทรแอสซิกตอนกลาง (Middle Permian to Middle Triassic) ในบริเวณ
ใกลเ คยี ง

3.5.2 รอยแตกและแนวเสน (Join and lineament)

รอยแตกและแนวเสนในพ้ืนท่ีจังหวัดนาน พบมีความสัมพันธกันกับการเคลื่อนตัวของ
แผน เปลือกโลก ตามแนวแรงทมี่ ากระทำใหเกิดการเคลือ่ นตัว พบรอยแตกและแนวเสนหลกั ในพ้นื ท่วี างตวั
ในแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ-ทิศตะวันตกเฉียงใต และแนวทิศเหนอื -ทิศใต รอยแตกและแนวเสนรองใน
พื้นท่ีวางตวั ในแนวทิศตะวันตกเฉียงเหนอื -ทิศตะวนั ออกเฉียงใต

3.5.3 กลุมรอยเลือ่ น (Fault zone)

กลุมรอยเลื่อนปว หนึ่งในรอยเลื่อนมีพลังของประเทศไทยที่พาดผานจังหวัดนานเปน
กลุมรอยเลื่อนท่ีวางตัวในแนวเหนือ-ใต มีจุดเร่ิมตนทางทิศเหนือของตัวอำเภอเฉลิมพระเกียรติ
ผานอำเภอบอเกลือมาตามแนวแมน้ำวา แมน้ำมาง ตามแนวทิวเขาดอยภูคา อำเภอปว เปนแนวลงไป
ทางทิศใต และส้ินสุดท่อี ำเภอสันติสุข มีความยาวประมาณ 100 กิโลเมตร สวนใหญหินตะกอนยุคครีเทเชียส
บริเวณอำเภอเฉลิมพระเกียรติและอำเภอบอเกลือจะไดรับอิทธิพลจากกลุมรอยเลื่อนปว แยกออกจาก
หินยุคจูแรสซกิ เปนสวนใหญ และบริเวณอำเภอเมืองนานนั้น ตัง้ อยูทางฝงตะวันตกของแมน้ำนานในแอง
ท่ีราบระหวางหุบเขา ซ่ึงเปนแองท่ีเกิดจากการเคลอ่ื นตัวของเปลือกโลกตามแนวรอยเล่ือนในอดตี เกิดทรุดตัว
ของช้ันหินตรงกลางของแอง และขอบแองทั้งสองดานยกตัวสูงข้ึน กลายเปนแองท่ีราบระหวางหุบเขาขึ้น
กระบวนการพัดพาและกัดเซาะของแมน้ำนาน ชวยพัดพาตะกอนมาสะสมตัว จนเปนพื้นท่ีอุดมสมบูรณ
แกการเกษตรกรรมและชว ยพัฒนาท่ีราบใหขยายตวั กวางขนึ้

- 34 -
รูปที่ 3.7 แผนท่แี สดงกลมุ รอยเลื่อนปว ท่พี าดผา นในพ้นื ที่จงั หวัดนา น

- 35 -

3.6 ธรณีวทิ ยาประวัติ

ธรณีประวตั ิในพื้นที่จังหวัดนาน กลุมหินที่มีอายุเกาแกท่ีสุดที่พบ ไดแก หินยุคไซลูเรยี นถึง
ดีโวเนียน จากการลำดับชั้นหินโดย สงัด พันธุโอภาส(1981) เปนหินตะกอนที่เกิดท่ีเปนหินตะกอนท่ีมี
การสะสมตัวในบริเวณรองทะเลลึกตอนใน (inner trench slopes) สวนใหญถูกแปรสภาพเปนหินแปร
และหินตะกอนก่ึงแปรจากการแปรสัณฐานของแผนเปลือกโลก ตอมาหินยุคคารบอนิเฟอรัสวางตัว
แบบรอยชั้นไมตอเน่ืองอยูบนหินยุคไซลูเรียน-ดีโวเนียน (Piyasin, 1972) พบวามีหินช้ันภูเขาไฟและ
หินภูเขาไฟ สลับกับ หินตะกอนสีแดง (Bunopas, 1983) สวนการวางตัวของชั้นหินระหวาง
หนิ ยุคคารบอนิเฟอรัสและหินยคุ เพอรเ มยี นเปนไปอยางตอเนือ่ ง มีการหยุดตกตะกอน ระยะเวลาหนึง่ ชวง
ตนยุคไทรแอสซิก เปนผลมาจากการแปรสัณฐานของแผนเปลือกโลกตอนปลายยุคเพอรเมียน
(Hahn and Siebentuner, 1982: Chonglakmani, 1973) ซ่ึงเก่ียวเนื่องจากผลของการเคลื่อนที่ขึ้นมา
ทางเหนือของแผนเปลือกโลกมีการส้ินสุดลงในปลายยุคไทรแอสซิก และพบมีการแทรกดันตัวของ
หินอัคนีแทรกซอน แตอยางไรก็ตามในชวงนั้นน้ำทะเลไดเขามาทางเหนือทวมพื้นที่ของลำปาง และ
แองนาน (Chonglak mani, 1973) ทำใหมีการสะสมหินตะกอนที่สะสมตัวในทะเลในแองลำปาง
พวกกลุมหินลำปาง และมีการสะสมของในแองนาน ในขณะเดียวกันก็มีการสะสมพวกหินตะกอนที่
สะสมตัวบนบกตามขอบแอง การยกตัวข้ึนของแผนเปลือกโลกยังคงมีตอเนื่อง พรอมกับมีการสะสม
หินตะกอนท่ีสะสมตัวบนบกในหินยุคจูแรสซิกถึงครีเทเซียส และมีการแทรกดันตวั ข้ึนมาของหินภูเขาไฟ
ยคุ จูแรสซิก จากอิทธิพลของการแปรสัณฐานของแผนเปลือกโลกในปลายยุคครีเทเซียสและไดกอใหเกิด
แองตะกอนตามหุบเขาทำใหมีการสะสมตัวของหินตะกอนในยุคเทอรเชียรี การแปรสัณฐานของ
แผนเปลือกโลกในชวงหลังสุดทำใหเกิดแนวแตกในแนวทิศทางเหนือ-ใต และตะวันออกเฉียงเหนือ-
ตะวันตกเฉยี งใต ทำใหเกิดเปน ภมู ิประเทศเหมือนเชน ในปจจุบันและการกดั เซาะและสะสมตัวของตะกอน
ที่มาจากแมน้ำนาน และลำน้ำสายตางๆ เกิดการสะสมของเปนตะกอนเศษหินเชิงเขา ตะพักลำน้ำ และ
ตะกอนนำ้ พา

3.7 กลุม วทิ ยาหนิ

จากการจำแนกลักษณะเดนของแตละวิทยาหินท่ีพบในพื้นท่ีจังหวัดนาน โดยอาศัยเกณฑ
4 ประการของ Dearman (1991) คือ ชนิดของหิน ลักษณะโครงสรางทางกายภาพของมวลหิน
เนื้อหิน และแรองคประกอบ นำไปสูการจำแนกลักษณะวิทยาหินเปนกลุม ๆ โดยสามารถจำแนก
กลมุ วิทยาหินในพื้นทไ่ี ดเ ปน 18 กลุม (รูปที่ 3.21 และตารางท่ี 3.2) มลี กั ษณะเดนและการกระจายตวั ของ
แตล ะกลุมวิทยาหินดงั นี้

3.7.1 กลมุ วทิ ยาหิน CG1

กลุมวิทยาหิน CG1 หินกรวดมนที่มีเม็ดกรวดเปนแรควอตซและเศษหิน ประกอบดวย
หินกรวดมนเปนสวนใหญ ท่ีมีเม็ดกรวดเปนแรควอตซและเศษหิน และมีตัวเชื่อมประสานเปนเศษหิน
ขนาดทรายละเอียดถึงทรายปานกลาง ประกอบดวย หินกรวดมนชน้ั หนาไปจนถึงชั้นหนามาก มีเม็ดกรวด
เปนแรควอตซและเศษหิน ขนาด granule-cobble มีตัวเช่ือมประสานเปนเศษหินขนาดทรายละเอียดถึง
ทรายปานกลาง บางบริเวณพบแทรกชั้นหรือแทรกสลับกับหินทรายเนื้อกรวดมน หินทรายเม็ดหยาบถึง
หยาบมาก หินโคลน และหินดินดาน มักพบแผกระจายตัวเปนหยอม ๆ แสดงลักษณะภูมิประเทศเปน

- 36 -

ท่ีเนินและภูเขา บริเวณดานทิศตะวันออก และครอบคลุมลักษณะภูมิประเทศท่ีเปนภูเขาใน
ตำบลศรษี ะเกษ อำเภอนานอ ย กลุมวทิ ยาหินน้ีสามารถเช่ือมโยงไดกับหนิ ยุคไทรแอสซิก (Tr) ในหมวดหิน
ผาแดง (Trpd) กลุมหินลำปาง

3.7.2 กลุมวทิ ยาหิน CG2

กลุมวิทยาหิน CG2 หินกรวดมนที่มีเม็ดกรวดเปนหินปูน ประกอบดวยหินกรวดมนที่มี
เม็ดกรวดเปนหินปูนเปนสวนใหญ และมีตัวเชื่อมประสานเปนตะกอนขนาดทรายแปงถึงดินเหนียว
ประกอบดวย หินกรวดมนช้ันหนาไปจนถึงชั้นหนามาก มีเม็ดกรวดเปนเศษหินปูน ขนาด granule-
cobble มีตัวเชื่อมประสานเปนตะกอนขนาดทรายแปงถึงดินเหนียวสีน้ำตาลแดง มักพบแทรกช้ันหรือ
แทรกสลบั กับหินโคลนและหนิ ดินดานสีน้ำตาลแดง ประกอบดว ย หินกรวดมนช้ันหนาไปจนถึงช้ันหนามาก
มีเม็ดกรวดเปนเศษหินปูน ขนาด granule-cobble มีตัวเช่ือมประสานเปนตะกอนขนาดทรายแปงถึง
ดินเหนียวสีน้ำตาลแดง มักพบแทรกชั้นหรือแทรกสลับกับหินโคลนและหินดินดานสีน้ำตาลแดง มักพบ
แผกระจายตัวเปนหยอม ๆ แสดงลักษณะภูมิประเทศเปนที่เนินและภูเขา บริเวณดานทิศตะวันออกของ
จงั หวัดนาน พบเปนหินกรวดมน แผกระจายตัวครอบคลุมลักษณะภูมิประเทศท่ีเปนภูเขาในแนวเหนอื -ใต
ในพื้นที่ตำบลหวยโกน ตำบลขุนนาน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ ตำบลภูคา ตำบลศิลาเพชร อำเภอปว
ตำบลบอเกลือเหนือ อำเภอบอเกลือ กลุมวิทยาหินนี้สามารถเชื่อมโยงไดกับหินยุคจูแรสซิก (J)
ในหมวดหนิ ภูคา (Jpkk)

กข
รูปที่ 3.8 กลุมวิทยาหิน CG2 ในพื้นที่จังหวัดนาน ก. ลักษณะหินกรวดมนท่ีมีเม็ดกรวดเปนหินปูน
เปน สวนใหญ ข. หินกรวดมนที่มีเม็ดกรวดเปนหินปนู รวงลงมาตามรองนำ้ ในพ้ืนท่ีบริเวณบานหวยทรายขาว
ตำบลหว ยโกน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนาน พิกดั 47P 723372 E 2164390 N สูงจากระดับน้ำทะเล
737 เมตร

- 37 -

3.7.3 กลุมวิทยาหิน CG3

กลุม วิทยาหิน CG3 หินกรวดมนเชื่อมประสานดวยเหล็กออกไซต ประกอบดวยหินกรวดมน
น้ำตาลแดงเปนสวนใหญ ท่ีมีเม็ดกรวดเปนแรควอตซ และมีตัวเชื่อมประสานเปนตะกอนทรายสีน้ำตาล
แดงขนาดทรายละเอียดถึงทรายหยาบ พบรวมกับหินทรายเนื้อกรวดมนสีน้ำตาลแดง ประกอบดวย
หินกรวดมนชั้นหนาไปจนถึงชั้นหนามาก มีเม็ดของหินปูนและหินออน มีตัวเชื่อมประสานเปนตะกอน
ขนาดทราย ขนาดทรายละเอียดถึงทรายหยาบสีน้ำตาลแดง แทรกชั้นกับหินทรายแปงสีน้ำตาลแดงและ
หินทรายเนื้อกรวดมนสีน้ำตาลแดง มักพบแผกระจายตัวเปนหยอม ๆ แสดงลักษณะภมู ปิ ระเทศเปนทเ่ี นิน
และภูเขา บริเวณดานทิศตะวันออกของอำเภอบานหลวง และอำเภอเวียงสา ครอบคลุมลักษณะ
ภูมิประเทศท่ีเปนภูเขาในตำบลสวด อำเภอบานหลวง ไดแก บริเวณขุนหวยลู และแนวภูเขาใน
ตำบลบานฟา อำเภอบานหลวง ไดแก ขุนหวยลู ดอยผีเจ็ด ดอยผาดาง ซ่ึงเปนหินกรวดมน ท่ีมีเม็ดกรวด
เปนหินปูนและหินออน บริเวณดานทิศตะวันตกเฉียงใตของอำเภอบานหลวง และดานทิศตะวันตก
เฉียงเหนือของอำเภอเวียงสา ครอบคลุมลกั ษณะภูมิประเทศที่เปนภูเขาบริเวณดอยขุนหวยเคียน ในพื้นท่ี
ตำบลบานฟา อำเภอบานหลวง ดอยขุนหวยฮึก ขุนหวยยาทาย ในพ้ืนท่ีตำบลยาบหัวนา อำเภอเวียงสา
กลุมวิทยาหินนี้สามารถเชื่อมโยงไดกับหินยุคจูแรสซิก (J) บางสวนของหนวยหิน J หนวยหินน้ีในแผนท่ี
ธรณีวิทยาไมไดกำหนดชือ่ หมวดหนิ ไวเ พียงกำหนดไวเปน หนว ยหนิ J

3.7.4 กลมุ วทิ ยาหิน SS1

กลุมวิทยาหิน SS1 หินทรายเน้ือเกรยแวก ประกอบดวยหินเกรยแวก หินทรายลิทิคแว็ก
และหินทรายเน้ือทัฟฟ เปนสว นใหญ ไดแ ก หนิ ทรายเกรยแวก หินทรายลิทิคแวก็ และหินทรายเนื้อทัฟฟ
ชั้นหนาไปจนถึงมวลหนาไมแสดงชั้น บางบริเวณพบเปนหินทรายชั้นหนาแทรกสลับหรือแทรกชั้นกับ
หินตะกอนเน้ือละเอียดชั้นบาง การแผกระจายตัวของกลุมวิทยาหินน้ีมักแสดงลักษณะภูมิประเทศเปน
ภูเขาสูง บริเวณตะวันตกของจังหวัดนาน ในพ้ืนที่อำเภอบานหลวง แสดงลักษณะภูมิประเทศเปนภูเขา
ท่ีทอดตัวในแนวเหนือ-ใต ในพื้นที่ตำบลบานพ้ี ตำบลปาคาหลวง ตำบลบานสวด ตำบลบานฟา
อำเภอบานหลวง และบริเวณตอนกลางและตอนใตของจังหวัดบริเวณตำบลอายนาไลย อำเภอเวียงสา
และตำบลศรษี ะเกษ อำเภอนานอย กลมุ วิทยาหินนส้ี ามารถเช่อื มโยงไดกับหินยคุ เพอรโ มไทรแอสซกิ (PTr)
หินยุคจูแรสซิก (J) หินยุคไทรแอสซิกถึงจูแรสซิก (TrJ) หมวดหินผาแดง (Trpd) และหมวดหินวังช้ิน
(Trwc) ในกลมุ หินลำปาง และหนิ ยุคจูแรสซกิ ถึงครเี ทเชยี ส (JK)

- 38 -

กข
รูปท่ี 3.9 กลุมวิทยาหิน SS1 ในพื้นที่จังหวัดนาน ก. หินทรายเนื้อเกรยแวกที่มากดวยเศษแตกหัก
บริเวณดอยปางหวาย ตำบลนาทะนุง อำเภอนาหมื่น จังหวัดนาน พิกัด47P 677088E 1998642 N
สูงจากระดับน้ำทะเล 376 เมตร ข. ลักษณะหินทรายเน้ือเกรยแวก สีเทาเหลือง ขนาดเม็ดตะกอนทราย
ปานกลางถึงทรายหยาบ

3.7.5 กลุมวทิ ยาหิน SS2

กลุมวิทยาหิน SS2 หินทรายอารโคส หินทรายเนื้อควอตซ ประกอบดวยหินทรายอารโคส
หินทรายเนื้อควอตซ เปนสวนใหญ ไดแก หินทรายเน้ืออารโคส หินทรายเนื้อควอตซ ช้ันบางไปจนถึง
ชั้นหนามากบางบริเวณพบเปนหินทรายชน้ั หนาทมี่ กี ารแทรกสลบั หรอื แทรกชัน้ กบั หนิ ตะกอนเนอื้ ละเอยี ด
ชั้นบาง การแผกระจายตัวของกลุมวิทยาหินน้ีพบบริเวณดานทิศตะวันออกของจังหวัดนาน ในพ้ืนท่ี
ตำบลขุนนาน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ ตำบลบอเกลือเหนือ ตำบลดงพญา ตำบลบอเกลือใต ตำบลภูคา
อำเภอบอเกลือ ตำบลภูคา ตำบลศิลาเพชร อำเภอปว ตำบลพงษ อำเภอสันติสุข ตำบลแมจริม
ตำบลหนองแดง อำเภอแมจริม ตำบลสานนาหนองใหม ตำบลน้ำมวน อำเภอเวียงสา ตำบลศรีษะเกษ
ตำบลเชียงของ ตำบลสถาน อำเภอนานอย ตำบลนาทะนุง อำเภอนาหมื่น แสดงลักษณะภูมิประเทศ
เปนภูเขาที่ทอดตัวในแนวเหนือ-ใต บริเวณดานทิศตะวันตกและตอนกลางของจังหวัดนาน ตำบลชนแดน
อำเภอสองแคว ตำบลเปอ ตำบลพระพุทธบาท อำเภอเชียงกลาง ตำบลสะเนียน ตำบลเรือง ตำบลสวก
อำเภอเมืองนาน ตำบลบานฟา ตำบลยาบหัวนา ตำบลทุงศรีทอง อำเภอเวียงสา ตำบลน้ำตก ตำบลบัวใหญ
อำเภอนานอย แสดงลักษณะภูมิประเทศเปนภูเขาท่ีทอดตัวในแนวเหนือ-ใต กลุมวิทยาหินน้ีสามารถ
เชื่อมโยงไดกับหมวดหินผาแดง (Trpd) ในกลุมหินลำปาง หมวดหินน้ำรี (Jnr) หมวดหินภูคา (Jpkk)
หมวดหินภูกระดึง (Jpk) ในกลุมหินโคราช หินยุคจูแรสซิก (J) หินยุคจูแรสซิกถึงครีเทเชียส (JK)
หมวดหนิ สะปน (Ksp) หมวดหินเสาขวั (Ksk) ในกลุม หินโคราช และหมวดหนิ บอ เกลอื (Kbk)

- 39 -

กข
รปู ที่ 3.10 กลุมวิทยาหิน SS2 ในพื้นท่ีจังหวัดนา น ก. หนิ ทรายสีมวงแดงแทรกชั้นดวยหินดินดานสมี วงแดง
บริเวณบานปูดู ตำบลขุนนาน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนาน พิกัด 47P 726197 E 2144928 N
สูงจากระดับน้ำทะเล 731 เมตร ข. ลักษณะหินทรายอารโคสสีมวงแดงขนาดเม็ดตะกอนทรายละเอียดถึง
ทรายปานกลาง

3.7.6 กลุมวิทยาหิน FS1

กลุมวิทยาหิน FS1 หินตะกอนเน้ือละเอียด แทรกสลับหินทรายเนื้อเกรยแวก
ประกอบดวยหินตะกอนเน้ือละเอียด เม็ดตะกอนขนาดดินเหนียวถึงทรายแปงเปนสวนใหญ ไดแก
หินโคลน หินดินดาน และหินทรายแปง สวนใหญมีสีเทาเขียว สีเทาชมพู สีเทาเหลือง บางบริเวณ
มีสีน้ำตาลแดง มักพบแทรกสลับ หรือแทรกชั้นกับหินทรายเกรยแวก หินทรายเนื้อทัฟฟ บางบริเวณ
หินดินดานมีการแปรสภาพเปนหินดินดานกึ่งชนวน หินดินดานบางบริเวณมีลักษณะเน้ือมันวาวคลาย
หินฟลไลต การแผก ระจายตัวที่แสดงลกั ษณะภูมิประเทศทีค่ อ นขางหลากหลาย ต้ังแตลักษณะภูมิประเทศ
ที่เปนท่ีราบ ท่ีเนิน ไปจนถึงภูเขาสูง และเปนกลุมวิทยาหินที่พบกระจายตัวมากท่ีสุดในพ้ืนที่จังหวัดนาน
พบบริเวณดานทิศตะวันตกและตอนกลางของจังหวัดนาน ในพื้นท่ีอำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอทุงชาง
อำเภอเชียงกลาง อำเภอสองแคว อำเภอปว อำเภอทาวังผา อำเภอบานกลาง อำเภอเมืองนาน
อำเภอสันติสุข อำเภอแมจริม อำเภอเวียงสา อำเภอนานอย อำเภอนาหมื่น กลุมวิทยาหินน้ีสามารถ
เชื่อมโยงไดกับหินยุคคารบอนิเฟ อรัส-เพอรเมียน(CP) หมวดหินก่ิวลม (Pkl) ในกลุมหินงาว
หินยุคเพอรโมไทรแอสซิก (PTr) หมวดหินวังชิ้น (Trwc) และหมวดหินผาแดง (Trpd) ในกลุมหินลำปาง
หินยุคไทรแอสซิกถึงจูแรสซิก (Trj) หมวดหินน้ำรี (Jnr) หมวดหินภูคา (Jpkk) หมวดหินภูกระดึง (Jpk)
ในกลุมหินโคราช หินยคุ จูแรสซกิ (J) และหินยุคจแู รสซิกถงึ ครเี ทเชยี ส (JK)

- 40 -

กข
รูปท่ี 3.11 กลุมวิทยาหิน FS1 ในพื้นที่จังหวัดนาน ก. หินดินดาน แสดงลักษณะธรณีวิทยาโครงสราง
ชั้นหินคดโคง บริเวณเสนทางระหวางบานผาเวียง-บานแมสาคร อำเภอเวียงสา จังหวัดนาน พิกัด 47P
678005 E 2042344 N สูงจากระดับน้ำทะเล 302 เมตร ข. ลักษณะหินดินดานสีผิวผุสมเหลือง สีผิวสด
สเี ทาเหลือง

3.7.7 กลมุ วทิ ยาหิน FS2

กลุมวิทยาหิน FS2 หินตะกอนเนื้อละเอียดเชื่อมประสานดวยเหล็กออกไซด
ประกอบดวยหินตะกอนเน้ือละเอียด เม็ดตะกอนขนาดดินเหนียวถึงทรายแปงเปนสวนใหญ มักพบแทรก
สลับหรือแทรกช้ันกับหินทรายเน้ืออารโคสและหินทรายเนื้อควอตซ ไดแก หินโคลน หินดินดาน และ
หินทรายแปง สวนใหญมีสีน้ำตาลแดง และสีมวงมารูน บางบริเวณมีสีเทาเขียว เนื้อหินมักแสดงการแตก
เปนแทงคลายดินสอ และการแตกแบบกลีบหัวหอมจากการผุพังทางกายภาพ มักพบแทรกสลับหรือ
แทรกช้ันกับหินทรายเน้ืออารโคส หินทรายเน้ือควอตซ การแผกระจายตัวท่ีแสดงลักษณะภูมิประเทศท่ี
คอนขางหลากหลาย ตั้งแตลักษณะภูมิประเทศท่ีเปนท่ีราบ ที่เนิน ไปจนถึงภูเขาสูง บริเวณดาน
ทิศตะวันออกและตอนกลางของจังหวัดนาน ในพื้นท่ีอำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอทุงชาง
อำเภอเชียงกลาง อำเภอสองแคว อำเภอปว อำเภอทาวังผา อำเภอเมืองนาน อำเภอสันติสุข
อำเภอแมจริม อำเภอเวียงสา อำเภอนานอย อำเภอนาหม่ืน บริเวณดานทิศตะวันตกของจังหวัดนาน
ในพื้นที่อำเภอทุงชาง อำเภอปว อำเภอทาวังผา อำเภอบานกลาง อำเภอเมืองนาน อำเภอเวียงสา
กลุมวิทยาหินนี้สามารถเชื่อมโยงไดกับหมวดหินผาแดง (Trpd) ในกลุมหินลำปาง หินยุคไทรแอสซิกถึง
จูแรสซิก (TrJ) หมวดหนิ ภูกระดึง (Jpk) และหมวดหนิ เสาขัว (Ksk) ในกลุมหินโคราช หมวดหินภูคา (Jpkk)
หมวดหินน้ำรี (Jnr) หินยุคจูแรสซิก (J) หมวดหินสะปน (Ksp) หมวดหินบอเกลือ (Kbk) และ
หนิ ยุคครีเทเชยี ส (K)

- 41 -

กข

รูปท่ี 3.12 กลุมวิทยาหิน FS2 ในพื้นที่จังหวัดนาน ก. หินโคลนแทรกช้ันกับหินทรายแปงสีน้ำตาลแดง
บริเวณบานน้ำโคง ตำบลสะเนียน อำเภอเมืองนาน จังหวัดนาน พิกัด 47P 674758 E 2085216 N
สูงจากระดบั นำ้ ทะเล 303 เมตร ข. ลักษณะหินโคลนสนี ำ้ ตาลแดง แสดงลกั ษณะการแตกแบบกลีบหวั หอม

3.7.8 กลมุ วิทยาหิน CB1

กลุมวิทยาหิน CB1 หินคารบอเนต ประกอบดวยหินจำพวกหินคารบอเนต ท่ีมีลักษณะเปน
ช้ันหนามากไปจนถึงเปนมวลหนาท่ีไมแสดงชั้นเปนสวนใหญ บางบรเิ วณพบแทรกช้ันหรือแทรกสลับกับ
หินดินดานและหินโคลน ไดแก หินปูนหินปูนเน้ือโดโลไมต หินโดโลไมต หินปูนเนื้อดิน รวมถึงหินออน
บริเวณที่เปนช้ันหนาถึงมวลหนาไมแสดงชั้น มักแสดงลักษณะธรณีสัณฐานแบบคาสต และมักพบมี
การแทรกสลับกับหินดินดานและหินโคลน พบแผกระจายตัวบนที่เนินและที่ราบ ซึ่งแสดงลักษณะ
ธรณีสัณฐานเปนสุสานหินปูน (lapies) บริเวณทางตอนกลางของจังหวัดนาน ในพื้นท่ีตอนกลางของ
ตำบลผาสิงห และบางสวนของตำบลบอ อำเภอเมืองนาน พบการแผกระจายของหินปูนชั้นหนาเปนสวน
ใหญ แสดงลักษณะภูมิประเทศเปนภูเขาท่ีทอดตัวในแนวตะวันตกเฉียงใต-ตะวันออกเฉียงเหนือ และ
บางบริเวณพบแผกระจายตัวบนที่เนินและท่ีราบ โดยบริเวณวนอุทยานถ้ำผาตูบพบเปนหินปูนช้ันหนา
สีเทาดำพบซากดึกดำบรรพปะการังเขาสัตว (coral) บริเวณตอนกลางคอนไปทางใตของจังหวัดนาน
ในพน้ื ที่อำเภอเวียงสา บริเวณบานผาเวียง ตำบลสา น และบางสวนของตำบลแมสาคร พบการแผกระจาย
ของหินปูนที่สวนใหญมีลักษณะเปนช้ันหนา แสดงลักษณะภูมิประเทศเปนภูเขาและบริเวณโดยรอบพบ
หินปูนแผกระจายตัวบนที่เนินและที่บริเวณทางตอนใตของจังหวัดนาน พ้ืนท่ีตำบลศรีสะเกษ
อำเภอนานอย ที่บริเวณวนอุทยานผาชู และอุทยานแหงชาตดิ อยเสมอดาว พบแนวภูเขาหินปูนโผลปรากฏ
ในแนวประมาณเหนือ-ใต แสดงลักษณะภูมิประเทศเปนภูเขาสูง และมีลักษณะธรณีสัณฐานแบบคาสต
ชัดเจน บริเวณโดยรอบพบหินปูนแผกระจายตัวบนที่เนิน บริเวณดานทิศตะวันตกคอนไปทางตอนใตของ
จังหวัดนาน ในพ้ืนท่ีตำบลสันทะ อำเภอนานอย พบภูเขาหินปูนโผลปรากฏในแนวประมาณเหนือ-ใต
แสดงลักษณะธรณีสัณฐานแบบคาสตชัดเจน และบริเวณโดยรอบพบแผกระจายตัวของหินปูน
บนท่ีเนินเขา บริเวณตอนกลางคอนไปทางดานทิศตะวันตกของจังหวัดนาน ซึ่งไดแก พื้นที่ตำบลปงสนุก
และบางสวนของตำบลแมสา อำเภอเวียงสา พบภูเขาหินปูนโผลปรากฏชัดเจน บริเวณผาดังควาย
บานวังตูบ ซ่ึงบางบริเวณในพ้ืนที่บานวังตูบ พบหินปูนเลนสช้ันหนาแทรกปรากฏชั้นในช้ันหินโคลนและ
หินดินดาน บนท่ีเนิน พ้ืนท่ีตำบลแมขะนิงและบางสวนของตำบลยาบหัวนา และท่ีบริเวณพื้นท่ีระหวาง
บ าน ป าคา-บ าน เป า ตำบลน้ำตก และพื้ นท่ี บ านแม สาคร ตำบ ลแมสาคร อำเภ อเวียงสา
พบหินปูนแผก ระจายตวั เปนบริเวณกวา งบนท่ีราบและที่เนนิ บริเวณขอบดา นทศิ ตะวันตกของจังหวัดนาน
ที่มีอาณาเขตติดตอกับดานทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดแพร การแผกระจายตัวของหินปูน

- 42 -

แสดงลักษณะภูมิประเทศเปนภูเขา ไดแก บริเวณบานบอหอย แนวเทือกเขาบริเวณบริเวณดอยผาเรือน
กลมุ วิทยาหินนส้ี ามารถเช่ือมโยงไดกับหมวดหนิ ผาหวด (Pph) กลุมหินงาว หินยคุ เพอรโมไทรแอสซกิ (PTr)
หมวดหินวังช้ิน (Trwc) หมวดหินกางปลา (Trkp) และหมวดหินผาแดง (Trpd) ในกลุมหินลำปาง และ
หมวดหนิ ภูคา (Jpkk)

กข
รูปท่ี 3.13 กลุมวิทยาหิน CB1 ในพื้นที่จังหวัดนาน ก. หินปูนช้ันหนา แสดงลักษณะธรณีสัณฐานวิทยา
แบบคาสตชัดเจน ที่บริเวณวัดบานเชตะวัน ตำบลสันทะ อำเภอนานอย จังหวัดนา น พิกดั 47P 666038 E
2021122 N สงู จากระดับนำ้ ทะเล 303 เมตร ข. ลักษณะหนิ ปูนสเี ทาดำ

3.7.9 กลมุ วทิ ยาหิน CT

กลุมวิทยาหิน CT หินแปรสัมผัสท่ีมากดวยแรควอตซ ไดแก หินควอรตไซต หินฮอรนเฟลส
พบแผกระจายตัวบนภูมิประเทศท่ีเปนภูเขาสูง ท่ีเนิน และท่ีราบ บริเวณพ้ืนที่บานดูใต ตำบลดูใต
อำเภอเมืองนาน พบเปนหินควอรตไซต และหินฮอรนเฟลส โผลปรากฏบนภูมิประเทศแบบท่ีราบและท่ี
เนิน บริเวณดานทิศตะวันออกเฉียงใตของดอยภูคา ในพ้ืนที่ทางตอนเหนือของตำบลอวน อำเภอปว
แสดงลักษณะภมู ปิ ระเทศท่ีเปน ภเู ขาสงู

กข
รูปที่ 3.14 กลุมวิทยาหิน CT ในพ้ืนท่ีจังหวัดนาน ก. หินฮอรนเฟลส บริเวณบานดูใต ตำบลดูใต
อำเภอเมืองนาน จังหวัดนาน พิกัด 47P 683097 E 2072269 N สูงจากระดับน้ำทะเล 238 เมตร
ข. ลักษณะหินฮอรน เฟลสสีดำ

- 43 -

3.7.10 กลมุ วิทยาหิน F-MET1

กลุมวิทยาหิน F-MET1 หินแปรที่มีร้ิวขนานเกรดต่ำ เปนกลุมวิทยาหินจำพวกหินแปร
ท่ีมีริ้วขนาน ไดแก หินชนวน หินดินดานก่ึงชนวน หินดินดานเนือ้ มันวาวคลายฟลไลต คาตาคลาไซต และ
หนิ ไมโลไนต หินชนวนที่พบรว มกบั หินดนิ ดานกึ่งแปร มีการแผกระจายตัวบรเิ วณดานทศิ ตะวันตกเฉียงใต
ของจังหวัดนาน ในพ้ืนที่อำเภอนาหม่ืน ซ่ึงมีอาณาเขตติดตอกับดานทิศตะวันออกเฉียงเหนือของ
จังหวัดแพร และดานทิศเหนือของจังหวดั อุตรดิตถ แสดงลักษณะภูมิประเทศเปนภูเขาเปนสวนใหญ และ
ยังพบโผลปรากฏในบริเวณที่มีลักษณะธรณีสัณฐานวิทยาเปนหุบเขา รองเขา หินชนวนและหินดินดาน
กึ่งแปรที่พบในจังหวัดนานสวนใหญมีการผุพังคอนขางสูง จากหลักฐานแนวแตกเรียบแบบหินชนวน
(slaty cleavage) ในหินชนวนและหินดินดานกึ่งชนวน ที่สามารถตรวจวัดทิศทางการวางตัวไดในสนาม
พบวาสว นใหญวางตวั ในแนวตะวนั ตกเฉียงใตต ะวนั ออกเฉียงเหนือ หินไมโลไนตทพ่ี บแผก ระจายตวั ในพน้ื ที่
จังหวัดนาน โผลปรากฏเพียงบริเวณขอบเขตแคบ ๆ เทาน้ัน ไมกวา งพอที่จะระบุขอบเขตการกระจายตัว
ลงในแผนที่กลุมวิทยาหิน มาตราสวน 1:25,000 ได แตเปนหลักฐานสำคัญที่สามารถบงช้ีวาบริเวณท่ีพบ
หินดังกลาวมีลักษณะธรณีวิทยาโครงสรางเปนเขตรอยเล่ือนและเขตรอยเฉือนได โดยมักพับรวมกับ
หินกรวดเหล่ียมรอยเล่ือน (fault breccia) ลักษณะวิทยาหินแบบดังกลาวเกิดจากการแปรสภาพ
แบบพลวัตร (dynamic metamorphism) (Sibbon, 1977) อันเนื่องมาจากแรงและความดันในบริเวณ
เขตรอยเล่ือนและเขตรอยเฉือน โดยหินไมโลไนต ในพ้ืนที่ศึกษาจังหวัดนานมักพบโผลปรากฏใน
บริเวณภูมิประเทศท่ีเปนหุบเขา รองเขา หรือทางน้ำ ยังไมพบดินถลมท่ีเกิดจากมวลหินและมวลดินที่
อยูกับท่ีแตพบตะกอนเชิงเขาซ่ึงเปนรองรอยดินถลมที่ถูกพัดพามาจากที่อ่ืน มาสะสมตัวบริเวณดังกลาว
กลมุ วิทยาหินนสี้ ามารถเช่อื มโยงไดกบั อยใู นหนิ ยคุ เพอรโมไทรแอสซกิ (PTr) หนิ ยคุ คารบ อนิเฟอรัส (C)

กข

รูปท่ี 3.15 กลุมวิทยาหิน F-MET1 ในพ้ืนที่จังหวัดนาน ก. หินชนวนโผลปรากฏ บริเวณดอยปางหวาย
ตำบลนาทะนุง อำเภอนาหมื่น จังหวัดนาน พิกัด 47P 676576 E 1999041 N สูงจากระดับน้ำทะเล
408 เมตร ข. หนิ ชนวนสเี ทาเขยี ว-เทาดำ ปรากฏลกั ษณะรอยแตกเรยี บแบบหนิ ชนวนชดั เจน

- 44 -

3.7.11 กลุมวทิ ยาหนิ MU1

กลุมวิทยาหิน MU1 หินอัคนีชนิดเมฟกและอัลตราเมฟก ไดแก หินดันไนท หินเพอริโดไทต
หินแกบโบร และหินบะซอลต สวนใหญมีเนื้อแนนและแข็ง การกระจายตัวของกลุมวิทยาหินน้ี
โดยสวนใหญพบที่บริเวณทางตอนใต และดานทิศตะวันออกเฉียงใตของจังหวัดนาน บริเวณทางตอนใต
ของจังหวัดนาน ในพ้ืนที่อำเภอนานอย แ-/-ละอำเภอนาหม่ืน แสดงลักษณะภูมิประเทศที่เปนภูเขาสูง
กลุมวิทยาหินนี้สามารถเช่ือมโยงไดกับหินอัคนีชนดิ เมฟกและอัลตราเมฟก ยุคคารบอนิเฟอรัส-เพอรเมียน
(CPu)

กข

รูปที่ 3.16 กลุมวิทยาหิน MU1 ในพื้นท่ีจังหวัดนาน ก. หินอัคนีสีเขมชนิดหินดันไนทและหินเพอริโดไทต
โผลปรากฏบริเวณริมทางหลวงหมายเลข 1083 ตำบลเชียงของ อำเภอนานอย จังหวัดนาน พิกัด 47P
706158 E 2022273 N สูงจากระดับน้ำทะเล 408 เมตร ข. ลักษณะหินอัคนีสีเขมชนิดหินดันไนทและ
หินเพอริโดไทต

3.7.12 กลมุ วทิ ยาหิน MU2

กลุมวิทยาหิน MU2 หินเซอรเพนทิไนตพบรวมกับหินอัคนีชนิดอัลตราเมฟก โดยเปนกลุม
วิทยาหินจำพวกหินอัคนีชนิดเมฟกและอัลตราเมฟกท่ีมวลหินโดยสวนใหญมีการเปล่ียนสภาพเปน
หินเซอรเพนทิไนตพบรวมกันกับอัคนีชนิดอัลตราเมฟก การกระจายตัวของกลุมวิทยาหินนี้ พบบริเวณ
ดานทิศตะวันออกเฉียงใตของจังหวัดนาน ในพื้นท่ีตำบลหมอเมือง และตำบลน้ำพาง อำเภอนานอย
แสดงลักษณะภูมิประเทศที่เปนภูเขาสูง และบริเวณทางตอนเหนือของจังหวัดนาน บริเวณใกลโรงเรยี น
บานสบเปด ตำบลผาตอ อำเภอทาวังผา พบหินเซอรเพนทิไนต ปรากฏกระจายตัวบริเวณแคบ ๆ
บนภูมิประเทศท่ีเปนที่ราบและเนินเขา กลุมวิทยาหินน้ีสามารถเช่ือมโยงไดกับหินเซอรเพนทิไนต
พบรวมกบั หินอคั นีชนิดอลั ตราเมฟกยคุ คารบอนิเฟอรสั -เพอรเ มยี น (CPu)

- 45 -

กข
รูปท่ี 3.16 กลุมวิทยาหิน MU2 ในพ้ืนที่จังหวัดนาน ก. หินอัคนีสีเขมชนิดหินเซอรเพนทิไนต
บรเิ วณบา นสบเปด ตำบลผาตอ อำเภอทาวงั ปรากฏกระจายตัวบริเวณแคบๆ บนภูมิประเทศท่เี ปนทเี่ นินเขา
และท่ีราบ พิกัด 47P 683795 E 2129853 N สูงจากระดับน้ำทะเล 271 เมตร ข. ลักษณะหินอัคนีสีเขม
ชนดิ หนิ เซอรเ พนทนี ไนท

3.7.13 กลมุ วิทยาหิน GR

กลมุ วิทยาหิน GR เปน กลุมวทิ ยาหินจำพวกหนิ แกรนิต ไดแก หนิ แกรนติ หินแกรโนไดโอไรต
รวมถึงหินไดโอไรต การกระจายตัวของกลมุ วิทยาหิน พบบริเวณตอนกลางของจังหวัดนาน ในพ้ืนท่ีตำบล
ศิลาเพชร ตำบลอวน อำเภอปว ตำบลยม อำเภอทาวังผา แสดงลักษณะภูมิประเทศที่เปนภูเขาสูง และ
บริเวณตำบลพงษ อำเภอสันติสุข ตำบลน้ำพาง อำเภอแมจริม ตำบลยาบหัวนา อำเภอเวียงสา ปรากฏ
กระจายตัวเปนยอมๆ ขนาดพ้ืนท่ีไมใหญนัก แสดงลักษณะภูมิประเทศที่เปนภูเขา เนินเขาและท่ีราบ
กลุมวทิ ยาหินน้ีสามารถเช่ือมโยงไดกบั หนิ แกรนิตและหินแกรโนไดออไรตย ุคไทรแอสซิก (Trgr)

กข
รูปที่ 3.17 กลุมวิทยาหิน GR ในพ้ืนท่ีจังหวัดนาน ก. หินไบโอไทตแกรนิต บริเวณทางเขาน้ำตกตาดหลวง
บานทุงเฮา ตำบลอวน อำเภอปว ปรากฏเปนภูมิประเทศที่เปนที่ภูเขา และเนินเขา พิกัด 47P 703953 E
2106389 N สูงจากระดับน้ำทะเล 345 เมตร ข. ลกั ษณะหินไบโอไทตแ กรนติ

- 46 -

3.7.14 กลุมวทิ ยาหิน VOL1

กลุมวิทยาหิน VOL1 หินอัคนีภูเขาไฟประกอบดวยแรสีจางถึงปานกลาง เปนกลุมวิทยาหิน
ท่ีประกอบดวยหินอัคนีที่มากดวยแรสีจางพบรวมกับหินอัคนีสีปานกลาง ไดแก หินไรโอไลต
หินไรโอลิติกทัฟฟ และหินแอนดีไซต พบแผกระจายตัวท้ังบนภูมิประเทศที่เปนภูเขาสูง ที่เนิน และที่ราบ
แตมักพบบริเวณภูเขาสูงเปนสวนใหญ พบบริเวณตอนกลางของจังหวัดนาน พบแผกระจายตัวของ
หินไรโอไลต หินเดไซต หินไรโอลิติกทัฟฟ แผกระจายตัวตอเนื่องในแนวเหนือ-ใต บางบริเวณแผกระจาย
ตัวเปนหยอม ในพื้นที่ตำบลสะเนียน ตำบลสวก ตำบลดใู ต ตำบลกองควาย อำเภอเมืองนาน ตำบลแมขะนิง
ตำบลทุงศรีทอง ตำบลน้ำปว และตำบลไหลนาน อำเภอเวียงสา กลุมวิทยาหินน้ีสามารถเชื่อมโยงไดกับ
หนิ ภูเขาไฟยคุ จูแรสซกิ (Jv)

กข

รูปท่ี 3.18 กลุมวิทยาหิน VOL1 ในพ้ืนท่ีจังหวัดนาน ก. หินแอนดีไซต โผลปรากฏบริเวณบานปาแพะ
ตำบลแมขะนิง อำเภอเวียงสา จังหวัดนาน ซ่ึงมีการผุพังคอนขางมาก ใหช้ันดินคอนขางหนา พิกัด 47P
666551 E 2069972 N สงู จากระดบั นำ้ ทะเล 467 เมตร ข. ลกั ษณะผวิ สดของหนิ เดไซต

3.7.15 กลมุ วทิ ยาหนิ VOL2

กลมุ วทิ ยาหิน VOL2 หินอัคนีภูเขาไฟประกอบดวยแรสีจาง เปนกลุมวิทยาหินที่เปนหินอัคนี
ภูเขาไฟ ท่ีประกอบดวยหินอัคนีท่ีมากดวยแรสีจาง ไดแก หินไรโอไลต หินไรโอลิติกทัฟฟ และหินเดไซต
พบแผกระจายตวั ทั้งบนภูมิประเทศท่ีเปนภูเขาสูง ที่เนิน และที่ราบ แตมักพบบริเวณภเู ขาสูงเปนสวนใหญ
พบบริเวณดานทิศตะวันตกของจังหวัดนาน พบการแผกระจายตัวของหินไรโอไลต หินไรโอลิติกทัฟฟ
แผกระจายตัวตอเน่ืองในแนวประมาณเหนือ-ใต ในพื้นท่ีตำบลบานพี้ ตำบลปาคาหลวง ตำบลสวด
ตำบลบานฟา อำเภอบานหลวง ตำบลยาบหัวนา ตำบลแมขะนิง ตำบลอายนาไลย อำเภอเวียงสา
ตำบลปงสนุก ตำบลแมสาคร อำเภอเวียงสา ตำบลน้ำตก ตำบลสันทะ ตำบลบัวใหญ อำเภอนานอย
กลมุ วทิ ยาหินนส้ี ามารถเชื่อมโยงไดกบั หนิ ภูเขาไฟยุคจแู รสซกิ (Jv)

- 47 -

กข

รูปที่ 3.19 กลุมวิทยาหิน VOL1 ในพ้ืนท่ีจังหวัดนาน ก. หินไรโอลิติกทัฟฟ โผลปรากฏบริเวณภูเขา
ริมทางหลวงหมายเลข 1216 บานขุนสถาน ตำบลสันทะ อำเภอนานอย จังหวัดนาน พกิ ัด 47P 662092 E
2021476 N สงู จากระดบั น้ำทะเล 1,049 เมตร ข. ลกั ษณะหนิ ไรโอลติ ิกทัฟทสมี วงและสีเทาขาว

3.7.16 กลุมวิทยาหิน COL

กลุมวิทยาหิน COL ตะกอนเชิงเขา ไดแก ตะกอนกรวดเปนสวนใหญ คละขนาด
มีการคัดขนาดไมดี พบตะกอนทราย ทรายแปง และดินเหนียวรวมดวย พบกระจายตัวเปนหยอม ๆ
บนภูมิประเทศท่ีเปนเนิน หรือเปนหุบเขา รองเขา และที่ราบเชิงเขา แตบางบริเวณอาจพบบนภูเขาสูง
ซึ่งเกิดจากการสะสมตัวเปนช้ันหนา โดยหนวยตะกอนน้ีเปนหน่ึงในหลักฐานสำคัญท่ีสามารถบงชี้ถึง
รองรอยดินถลมในพ้ืนที่ตาง ๆ ได พบบริเวณทางดานทิศตะวันตกของจังหวัดนาน ในพ้ืนที่ตำบลปาคาหลวง
ตำบลบานฟา และตำบลบานพี้ อำเภอบานหลวง จังหวัดนาน พบตะกอนเชิงเขาที่มีลักษณะเปน
ช้นั แผกระจายตัวเปนบริเวณกวางบนภูมปิ ระเทศที่เปนที่เนินเขา โดยเม็ดตะกอนจะคอ นขางกลมมน และ
มคี วามเปนทรงกลมสูง สวนตะกอนเชิงเขาท่ีพบกระจายตัวบรเิ วณราบเชิงเขา และบริเวณทางน้ำ ลำหวย
พบเปนเศษหินที่มีลักษณะเปนกึ่งเหลี่ยม ถงึ กึ่งกลมมน ไมมีการสะสมตัวเปนชั้น อนุมานวาสะสมตัวจาก
เหตุการณการเกิดดินถลมเม่ือไมนานมานี้ บริเวณทางตอนกลางคอนไปทางตะวันตกของจังหวัดนาน
ในพื้นที่ตำบลยาบหัวนา ตำบลอายนาไลย อำเภอเวียงสา จังหวัดนาน พบตะกอนเชิงเขาแผกระจายตัว
เปนหยอมๆ โดยตะกอนเชิงเขาที่พบบนสภาพภูมิประเทศที่เปนเนินเปนสวนใหญไปจนถึงภูเขาท่ีมี
ความสูงไมมากจะมีลักษณะเปนช้ัน เม็ดตะกอนจะคอนขางกลมมน และมีความเปนทรงกลมสูง
โดยที่บริเวณใกลดอยวังเย็น ตำบลแมสาคร พบชั้นตะกอนเชิงเขาท่ีมีการสะสมตัวของตะกอนท่ีมากดวย
เศษหิน (clast supported) ซ่ึงเศษหินประกอบดวยหินทราย หินฮอรนเฟลส หินชนวน หินไรโอไลต
มเี น้ือพื้น (matrix) เปนตะกอนทรายขนาดทรายละเอียดถึงทรายปานกลาง สะสมตัวเปนช้ันหนามากกวา
40 เมตร สวนตะกอนเชิงเขาที่พบกระจายตัวบริเวณราบเชิงเขา และในบริเวณทางน้ำ ลำหวย พบเปน
เศษหินแผกระจายบนพ้ืนราบ ไมมีการสะสมตัวเปนชั้น บริเวณดานทิศตะวันออกและทางตอนเหนือ
ในพ้ืนที่อำเภอบอเกลือ พบตะกอนเชิงเขาแผกระจายตัวเปนหยอม ๆ โดยตะกอนเชิงเขาท่ีพบบนสภาพ
ภูมิประเทศท่ีเปนเนินเปนสวนใหญไปจนถึงภูเขาท่ีมีความสูงไมมากจะมีลักษณะเปนชั้น เม็ดตะกอน
จะคอนขางกลมมน และมีความเปนทรงกลมสูงมีขนาดตะกอนที่ตางกันในแตละบริเวณตามแองสะสม
ตะกอนยอยแตล ะบริเวณ กลมุ วทิ ยาหินนี้สามารถเชือ่ มโยงไดก บั หนวยตะกอนเชงิ เขา (Qc)

- 48 -

กข
รูปท่ี 3.20 กลุมวิทยาหิน COL ในพื้นที่จังหวัดนาน ก. ตะกอนเชิงเขาท่ีสะสมตัวเปนชั้นหนา ปรากฏเปน
ลักษณะภูมิประเทศแบบภูเขา บริเวณใกลดอยวังเย็น ตำบลแมสาคร อำเภอเวียงสา จังหวัดนาน พิกดั 47P
678744 E 2050088 N สูงจากระดับนำ้ ทะเล 255 เมตร ข. ลักษณะตะกอนเชิงเขาประกอบดวย กรวดเปน
สวนใหญ คละขนาด มีการคดั ขนาดไมด ี พบตะกอนทราย ทรายแปง และดินเหนียวรวมดวย

3.7.17 กลุมวทิ ยาหนิ AL

กลุมวิทยาหิน AL ตะกอนน้ำพา ไดแก ตะกอนกรวด ทราย ทรายแปง และดินเหนียว
พบกระจายตัวเปนที่ราบระหวางเขา ท่ีราบตามลำน้ำสายตางๆ เชน แมน้ำนาน แมน้ำวา เปนตน
ประชาชนในพ้ืนท่ีใชประโยชนเปนพื้นที่ทำการเกษตรเพาะปลูก เชน นาขาว ไรขาวโพด เปนตน และเปน
ที่ต้งั ของชุมชนที่อยอู าศัยสวนใหญในจังหวดั นาน กลมุ วิทยาหินน้ีสามารถเช่ือมโยงไดกับหนว ยตะกอนน้ำ
พา (Qa) เปนกลมุ ตะกอนน้ำพาเดมิ และปจ จบุ นั

3.7.18 กลุมวิทยาหนิ TER

กลมุ วิทยาหิน TER ตะกอนตะพักลำน้ำ ไดแก ตะกอนกรวด ทราย ทรายแปง และดนิ เหนียว
พบกระจายตัวเปนเนินเขาตามลำน้ำสายตางๆ เชน แมนำ้ นาน แมน ้ำวา เปนตน พบถัดจากบริเวณที่เปน
ทรี่ าบน้ำพาเดิม และปจ จุบัน กลุมวทิ ยาหินนีส้ ามารถเชอ่ื มโยงไดกับหนว ยตะกอนตะพักลำน้ำ (Qt)

- 49 -
รูปที่ 3.21 แผนที่กลุมวทิ ยาหินจังหวัดนา น (กรมทรัพยากรธรณี, 2564)

- 50 -

ตารางที่ 3.2 คำอธิบายกลุมวิทยาหนิ ในพน้ื ทจ่ี ังหวัดนาน

คำอธิบาย
(EXPLANATION)

กลมุ วิทยาหิน

LITHOLOGIC GROUP

CG1 หินกรวดมน ที่มีเม็ดกรวดเปนแรควอตซและเศษหิน (Trpd) กลุมวิทยาหินท่ีประกอบดวย

หนิ กรวดมนเปน สว นใหญ ที่มีเมด็ กรวดเปน แรควอตซแ ละเศษหิน และมีตวั เชื่อมประสานเปนเศษหิน

CG1 ขนาดทรายละเอียดถึงทรายปานกลาง ประกอบดวย หินกรวดมนช้ันหนาไปจนถึงช้ันหนามาก
มีเม็ดกรวดเปนแรควอตซและเศษหิน ขนาด granule-cobble มีตัวเช่ือมประสานเปนเศษหิน

ขนาดทรายละเอียดถึงทรายปานกลาง บางบริเวณพบแทรกชั้นหรือแทรกสลับกับหินทราย

เน้อื กรวดมน หินทรายเม็ดหยาบถึงหยาบมาก หินโคลน และหนิ ดนิ ดาน

CG2 หินกรวดมน ท่ีมีเม็ดกรวดเปนหินปูน (Jpkk)กลุมวิทยาหินที่ประกอบดวยหินกรวดมนเปน

สวนใหญ ที่มเี มด็ กรวดเปน หินปูนเปน สวนใหญ และมีตวั เชือ่ มประสานเปนตะกอนขนาดทรายแปง ถึง

ดินเหนียว ประกอบดวย หินกรวดมนช้ันหนาไปจนถึงช้ันหนามาก มีเม็ดกรวดเปนเศษหินปูน

CG2 ขนาด granule-cobble มีตัวเชื่อมประสานเปนตะกอนขนาดทรายแปงถึงดินเหนียวสีน้ำตาลแดง
มักพบแทรกชั้นหรือแทรกสลับกับหินโคลนและหินดินดานสีน้ำตาลแดง ประกอบดวย หินกรวดมน

ชั้นหนาไปจนถึงชั้นหนามาก มีเม็ดกรวดเปนเศษหินปูน ขนาด granule-cobble มีตัวเช่ือมประสาน

เปนตะกอนขนาดทรายแปงถึงดินเหนียวสีน้ำตาลแดง มักพบแทรกช้ันหรือแทรกสลับกับหินโคลน

และหินดนิ ดานสนี ำ้ ตาลแดง

CG3 หินกรวดมนเชื่อมประสานดวยเหล็กออกไซต กลุมวิทยาหินท่ีประกอบดวยหินกรวดมน
สีน้ำตาลแดงเปนสวนใหญ ที่มีเม็ดกรวดเปนแรควอตซ และมีตัวเช่ือมประสานเปนตะกอนทราย

CG3 สีน้ำตาลแดงขนาดทรายละเอียดถึงทรายหยาบ พบรวมกับหินทรายเนื้อกรวดมนสีน้ำตาลแดง
ประกอบดวย หินกรวดมนช้ันหนาไปจนถึงชั้นหนามาก มีเม็ดของหินปูนและหินออน มีตัวเช่ือม

ประสานเปนตะกอนขนาดทรายขนาดทรายละเอียดถึงทรายหยาบสีน้ำตาลแดง แทรกชั้นกับ

หินทรายแปง สีน้ำตาลแดงและหนิ ทรายเน้ือกรวดมนสีน้ำตาลแดง

SS1 หินทรายเนื้อเกรยแวก (J/JK/Jpk/TrJ/Trpd/Trwc/PTr) กลุมวิทยาหินท่ีประกอบดวย

SS1 หินเกรยแวก หินทรายลิทิคแว็ก และหินทรายเนื้อทัฟฟ เปนสวนใหญ ไดแก หินทรายเกรยแวก
หินทรายลิทิคแว็ก และหินทรายเนื้อทัฟฟ ช้ันหนาไปจนถึงมวลหนาไมแสดงช้ัน บางบริเวณพบเปน

หนิ ทรายชั้นหนาแทรกสลับหรอื แทรกชัน้ กับหนิ ตะกอนเนื้อละเอียดชั้นบาง

SS2 หินทรายอารโคส หินทรายเนื้อควอตซ (Kbk/Kck/Ksk/Ksp/J/JK/Jnr/Jpk/Jpkk /Trpd)

SS2 กลุมวิทยาหินท่ีประกอบดวยหินทราย อารโคส หินทรายเน้ือควอตซ เปนสวนใหญ ไดแก หินทราย
เน้ืออารโคส หินทรายเน้ือควอตซ ชั้นบางไปจนถึงช้ันหนามาก บางบริเวณพบเปนหินทรายช้ันหนาท่ี

มีการแทรกสลบั หรอื แทรกชน้ั กับหนิ ตะกอนเน้ือละเอียดชน้ั บาง

- 51 -

ตารางที่ 3.2 คำอธบิ ายกลมุ วทิ ยาหนิ ในพน้ื ที่จงั หวัดนา น (ตอ )

คำอธิบาย
(EXPLANATION)

กลุมวิทยาหิน

LITHOLOGIC GROUP

FS1 หิ น ต ะ ก อ น เน้ื อ ล ะ เอี ย ด แ ท ร ก ส ลั บ หิ น ท ร า ย เนื้ อ เก ร ย แ ว ก (J/JK/Jnr/Jpk/

Jpkk/Trj/Trpd/Trwc/Thk/PTr/Pkl/CP) กลุมวิทยาหินที่ประกอบดวยหินตะกอนเน้ือละเอียด

FS1 เม็ดตะกอนขนาดดินเหนียวถึงทรายแปงเปนสวนใหญ ไดแ ก หินโคลน หินดินดาน และหินทรายแปง
สวนใหญมีสเี ทาเขียว สีเทาชมพู สีเทาเหลือง บางบริเวณมีสีนำ้ ตาลแดง มักพบแทรกสลับหรือแทรก

ช้ันกับหินทรายเกรยแวก หินทรายเน้ือทัฟฟ บางบริเวณหินดินดานมีการแปรสภาพเปนหินดินดาน

กงึ่ ชนวน หินดินดานบางบรเิ วณมลี กั ษณะเนื้อมนั วาวคลา ยหนิ ฟลไลต

FS2 หินตะกอนเนื้อละเอยี ดเชือ่ มประสานดว ยเหล็กออกไซด

(K/Ksk/Ksp/Kbk/Kck/J/Jnr/Jpk/Jpkk/TrJ/Trpd)

FS2 กลุมวิทยาหินที่ประกอบดวยหินตะกอนเน้ือละเอียด เม็ดตะกอนขนาดดินเหนียวถึงทรายแปงเปน
สวนใหญ มักพบแทรกสลับหรือแทรกช้ันกับหินทรายเน้ืออารโคส และหินทรายเน้ือควอตซ ไดแก

หินโคลน หินดินดาน และหินทรายแปง สวนใหญมีสีน้ำตาลแดง และสมี วงมารูน บางบริเวณมีสีเทา

เขียว เนื้อหินมักแสดงการแตกเปนแทงคลายดินสอ และการแตกแบบกลีบหัวหอมจากการผุพังทาง

กายภาพ มกั พบแทรกสลับหรอื แทรกชน้ั กบั หินทรายเนอ้ื อารโคส หินทรายเนื้อควอตซ

CB1 หนิ คารบอเนต (Jpkk/Trkp /Trpd /Trwc /Pph /PTr) กลุมวทิ ยาหินจำพวกหินคารบ อเนต
ทม่ี ีลักษณะเปนชน้ั หนามากไปจนถึงเปนมวลหนาท่ีไมแสดงช้ันเปนสว นใหญ บางบริเวณพบแทรกชั้น

CB1 หรือแทรกสลับกับหินดินดานและหินโคลน ไดแก หินปูน หินปูนเนื้อโดโลไมต หินโดโลไมต หินปูน

เน้ือดิน รวมถึงหินออน บริเวณท่ีเปนชั้นหนาถึงมวลหนาไมแสดงช้ันมักแสดงลักษณะธรณีสัณฐาน
แบบคาสต และมักพบมีการแทรกสลบั กับหินดินดานและหินโคลน

CT CT หินแปรสัมผสั ท่ีมากดวยแรค วอตซ กลุม วิทยาหินท่ีเปนหินแปรสัมผัสทีม่ ากดวยแรควอตซ ไดแ ก
หินควอรต ไซต หนิ ฮอรนเฟลส

F-MET1 F-MET1 หินแปรท่ีมีริ้วขนานเกรดต่ำ (Jv/C/PTr) กลุมวิทยาหินจำพวกหินแปรที่มีร้ิวขนาน ไดแก
หินชนวน หินดินดานก่งึ ชนวน หนิ ดินดานเนอื้ มนั วาวคลา ยฟล ไลต คาตาคลาไซต และหินไมโลไนต

MU1 หินอัคนีชนิดเมฟกและอัลตราเมฟก (CPu) กลุมวิทยาหินจำพวกหินอัคนีชนิดเมฟกและ

MU1 อัลตราเมฟก ไดแก หินดันไนท หินเพอริโดไทต หินแกบโบร และหินบะซอลต สวนใหญมีเนื้อแนน

และแข็ง

- 52 -

ตารางที่ 3.2 คำอธิบายกลุมวทิ ยาหนิ ในพ้นื ท่จี ังหวดั นา น (ตอ)

คำอธิบาย
(EXPLANATION)

กลุมวิทยาหนิ

LITHOLOGIC GROUP

GR GR หินแกรนิต (Tgr) กลุมวิทยาหินจำพวกหินแกรนิต ไดแก หินแกรนิต หินแกรโนไดโอไรต รวมถึง
หนิ ไดโอไรต

VOL1 หนิ อัคนีภเู ขาไฟประกอบดวยแรสีจางถึงปานกลาง (Jv) กลุมวิทยาหินจำพวกหินอัคนีภูเขา

VOL1 ไฟ ท่ีประกอบดวยหินอัคนีท่ีมากดวยแรสีจางพบรวมกับหินอัคนีสีปานกลาง ไดแก หินไรโอไลต

หินไรโอลิติก-ทัฟฟ และหนิ แอนดไี ซต

VOL2 VOL2 หินอัคนีภูเขาไฟประกอบดวยแรสีจาง (Jv) กลุมวิทยาหินที่เปนหินอัคนีภูเขาไฟ
ท่ปี ระกอบดว ยหินอคั นีท่ีมากดว ยแรสีจาง ไดแก หนิ ไรโอไลต หินไรโอลิติก-ทฟั ฟ และหินเดไซต

COL COL ตะกอนเชิงเขา (Qc) กลุมตะกอนเชิงเขา ไดแก ตะกอนกรวดเปนสวนใหญ คละขนาด
มกี ารคดั ขนาดไมด ี พบตะกอนทราย ทรายแปง และดนิ เหนยี วรวมดว ย

AL AL ตะกอนตะพักลำน้ำ (Qa) กลุมตะกอนน้ำพาเดิม และปจจุบัน ไดแก ตะกอนกรวด ทราย
ทรายแปง และดนิ เหนยี ว

TER TER ตะกอนน้ำพา (Qt/T) กลุมตะกอนตะพักลำน้ำ ไดแก ตะกอนกรวด ทราย ทรายแปง และ
ดนิ เหนียว

บทท่ี 4
วธิ ีการศึกษา

4.1 ขนั้ รวบรวมขอ้ มลู

การศึกษาและรวบรวมงานวจิ ัยทเี่ ก่ียวข้องกับการทำแบบจำลองต่าง ๆ เพื่อนำมาประยุกตใ์ ช้
ในการศึกษาพื้นท่ีอ่อนไหวต่อการเกิดดินถล่มให้มีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปล่ียนข้อมูลได้ง่าย และ
ทันสมยั โดยทำการเกบ็ รวบรวมข้อมูล 3 ลักษณะ ดังนี้

1) รวบรวมข้อมูลพื้นฐานและปัจจัยท่ีเก่ียวข้องกับการดินถล่ม เพื่อจัดทำฐานข้อมูล
สารสนเทศภูมิศาสตร์ ประกอบด้วย ข้อมูลด้านธรณีวิทยา ธรณีโครงสร้าง ข้อมูลแบบจำลองภูมิประเทศ
เชงิ เลข (DEM) ปริมาณน้ำฝน และขอ้ มูลตำแหนง่ รอ่ งรอยดินถลม่ ในอดีต

2) การเก็บรวบรวมข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้อง จากแหล่งเอกสารต่าง ๆ เช่น ห้องสมุด
ฐานขอ้ มูลของกรมทรพั ยากรธรณี และเว็บไซตต์ ่าง ๆ

3) การรวบรวมผลงานท่ีเคยทำมาก่อนในพ้ืนที่ศึกษา โดยการค้นหาจากฐานข้อมูลของ
กรมทรัพยากรธรณี และเว็บไซต์ต่าง ๆ

4.2 การสำรวจลักษณะทางธรณวี ิทยา

การสำรวจธรณีวทิ ยาในพ้ืนที่ศึกษา มีจุดประสงค์หลักเพ่ือรวบรวมข้อมูลธรณีวิทยาในสนาม
ทั้งหมด ได้แก่ ข้อมูลชนิดหิน โครงสร้างทางธรณีวิทยา การแผ่กระจายตัวของหิน การลำดับชั้นหิน
ความต่อเน่ืองของชั้นหิน และข้อมูลเกี่ยวกับธรณีพิบัติภัยดินถล่มในพื้นท่ีศึกษา โดยการสำรวจธรณีวิทยา
มขี น้ั ตอนการสำรวจดังตอ่ ไปน้ี

1) การเตรียมข้อมลู พ้นื ฐานก่อนการเกบ็ ขอ้ มลู ภาคสนาม ไดแ้ ก่ การเตรียมแผนทีภ่ ูมิประเทศ
ข้อมูลพ้ืนฐาน และการรวบรวมข้อมูลด้านธรณีวิทยาของพื้นที่จากรายงานการสำรวจธรณีวิทยาในพ้ืนท่ี
เช่น แผนที่ธรณีวิทยามาตราส่วน 1:50,000 และแผนที่ธรณีวิทยามาตราส่วน 1:250,000 และรายงาน
จำแนกเขตเพือ่ การจดั การดา้ นธรณวี ิทยาและทรัพยากรธรณี จงั หวดั น่าน ปี พ.ศ. 2549

2) การวางแผนการสำรวจโดยการกำหนดเส้นทางการสำรวจให้ครอบคลุมพื้นท่ีเส่ียงภัย
ดนิ ถล่ม และตรวจสอบความถกู ต้องของข้อมลู เดิม

3) การเตรียมอุปกรณ์สำรวจภาคสนาม เช่น ค้อนธรณีวิทยา (Geological hammer)
เข็มทิศ (Compass) แฮนด์เลนส์ (Hand lens) สมุดบันทึก (Field notebook) อุปกรณ์บอกพิกัด
ตำแหน่งด้วยดาวเทียม (Global Positioning System, GPS) กล้องถา่ ยรูป และอปุ กรณ์เก็บตัวอย่าง

4) สำรวจเก็บข้อมูลข้ันรายละเอียด รวบรวม และบันทึกข้อมูลทางธรณีวิทยา เพ่ือจัดกลุ่มหิน
ในพ้ืนที่ศึกษาตามลักษณะทางวิทยาของหิน เช่น ข้อมูลชนิดหิน การลำดับช้ันหิน การกระจายตัวของหิน
ธรณีวทิ ยาโครงสร้าง และถา่ ยภาพเพ่อื ใช้ประกอบการเขียนรายงาน

- 54 -

4.2.1 หลักการจำแนกกลมุ่ วิทยาหนิ สำหรบั การศกึ ษาดินถล่ม

วิทยาหิน (lithology) เป็นหนึ่งในปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดดินถล่ม อีกทั้งเป็น
หินต้นกำเนิดของดินชนิดต่าง ๆ ท่ีมีคุณสมบัติทางวิศวกรรมท่ีอาจเก่ียวข้องกับประเภทการเกิดดินถล่ม
ชนิดต่าง ๆ ทั้งนี้ข้ึนอยู่กับชนิดของดินที่เป็นผลมาจากการผุพังของชั้นหินต้นกำเนิด ซึ่งในการศึกษาครั้งน้ี
ได้ทำการจำแนกลักษณะวิทยาหินแบบต่าง ๆ ท่ีพบกระจายตัวในพื้นที่ศึกษาให้เป็นหน่วยหินที่มีลักษณะ
วิทยาหินแบบต่าง ๆ ที่มีความคล้ายคลึงกันให้อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม เรียกว่า กลุ่มวิทยาหิน (lithological
group) เพ่ือบ่งช้ีความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มวิทยาหินกับร่องรอยดินถล่มท่ีเกิดข้ึนทั้งในอดีตและปัจจุบัน
และความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มวิทยาหินท่ีเป็นหินต้นกำเนิดดินกับกลุ่มดินชนิดต่าง ๆ ท่ีกระจายตัว
ในพ้นื ทีศ่ กึ ษาทมี่ ีคณุ สมบัตทิ างวศิ วกรรมทแ่ี ตกต่างกันให้มีความชดั เจนมากข้ึน

4.2.2 ปัจจัยที่เป็นเกณฑใ์ นการจำแนกหนว่ ยหิน

หน่วยหิน (rock unit) หมายถึง เนื้อหินมีลักษณะปรากฏที่สม่ำเสมอและสามารถทำแผนที่ได้
ซง่ึ หนว่ ยหินถือเป็นหนว่ ยขั้นพื้นฐานสำหรบั การทำแผนทใ่ี นระบบการจำแนกประเภทของวัสดุหินในสนาม
(Rock Material Field Classification system; RMFC) (Natural Resources Conservation Service,
2012) ซึ่งในการศึกษาครั้งน้ีใช้การทำแผนที่เพื่อระบุการกระจายตัว (distribution) ของกลุ่มวิทยาหิน
แบบต่าง ๆ ที่ปรากฏบนพ้ืนผิวภูมิประเทศ โดยได้กำหนดกลุ่มวิทยาหินข้ึนมาเป็นหน่วยหินเท่าน้ัน ไม่ได้มี
การลำดับช้ันหินหรือพิจารณาอายุและการวางตัวของชั้นหินแต่อย่างใด พิจารณาจากลักษณะเด่นของ
วิทยาหนิ แบบต่าง ๆ ท่มี ีความคล้ายคลึงกัน เพื่อกำหนดเป็นหน่วยหนิ ของกลุ่มวิทยาหินนั้น ๆ โดยใช้เกณฑ์
การจำแนกวิทยาหินของ Dearman (1991) ซึ่งเป็นการจำแนกลักษณะวิทยาหินสำหรับงานใน
ทางวิศวกรรมและการทำแผนท่วี ิศวกรรมธรณี โดยประกอบด้วยเกณฑ์หลัก ๆ 4 ประการ ได้แก่

1) ชนิดหนิ โดยทั่วไป (genetic type)

ชนิดหนิ โดยทัว่ ไปประกอบด้วยหินหลัก ๆ 3 ชนิด โดยแต่ละชนดิ มรี ายละเอียดดงั นี้

(1) หินอัคนี (igneous rock): เป็นหินท่ีเกิดจากการเย็นตัวของแมกมา (magma) ท้ังที่
เย็นตัวบนผิวโลกเรียกว่า หินอัคนีพุ (extrusive igneous rock) และเย็นตัวใต้เปลือกโลกเรียกว่า หินอคั นี
แทรกซอน (intrusive igneous rock) ดงั ตารางท่ี 4.1

(2) หินตะกอน (sedimentary rock): เป็นหินที่มีการเกิดหลากหลายรูปแบบ ได้แก่
เกิดจากอนุภาคที่แตกหักมาจากที่อ่ืน (detritus or terrigenous sediment) เกิดจากการตกผลึกของ
สารละลายเคมี หรือชีวเคมี (chemical or biochemical precipitation) และเกิดจากการทับถมของ
ซากอนิ ทรยี วตั ถุ (organic material) ดงั ตารางท่ี 4.2

(3) หินแปร (metamorphic rock): เป็นหินที่เกิดจากการแปรสภาพ อันเน่ืองมาจาก
ความร้อน (heat) ความดัน (pressure) และสารละลายเคมี (chemical fluid) ซ่ึงสามารถแปรสภาพ
มาจากหินต้นกำเนดิ ที่เป็นได้ทง้ั หนิ อัคนี หินตะกอน และหินแปร ดงั ตารางที่ 4.3

- 55 -

ตารางที่ 4.1 ตารางการจำแนกหินอัคนี (Dearman, 1991)

PYROCLASTIC IGNEOUS GENETIC GROUP

Massive Usual structure
Composition
At least 50% of Quartz, felspars, micas, Feldspar, Dark
grains are of
igneous rock dark minerals dark minerals minerals

Acid Intermediate Basic Ultrabasic

Rounded grains: Very เ
Agglomerate coarse-
Pegmatite grained

Angular grains: Granite Diorite Gabbro Coarse- 60 Predominant grain size (mm)
Volcanic breccia Dolerite grained 2
0.006
Tuff Pyroxenite Medium-
Peridotite grained

Fine-grained tuff Fine- 0.002
grained
Very fine- Rhyolite Andesite Basalt
grained tuff Very fine-
Volcanic grained
Glasses
Glassy
Amorphous

* A tuff containing both pyroclastic and detrital material, but predominantly pyroclastic, is called tuff.

- 56 -

ตารางท่ี 4.2 ตารางการจำแนกหินตะกอน (Dearman, 1991)

DETRITAL SEDIMENTARY CHEMICAL/ GENETIC GROUP
ORGANIC Usual structure

Bedded

Grains of rock, quartz, At least 50% of grains Salts, Composition
feldspar and clay minerals are of carbonate Carbonates,
Silica
Carboneceous

Grains are of Saline rock: Very
rock fragment Halite coarse-
Anhydrite grained
Rounded grains: Gypsum Coarse-
conglomerate grained
Agilliceous or Lutaceous Arenaceous RudaceousCalcirudite 60
Marlstone Medium- 2
Angular grains: breccia Limestone (undifferntiated) grained 0.006
Predominant grain size (mm) 0.002
Grains are mainly Fine-
grained
mineral fragments Calarenite
Calcisiltite
Sandstone: grain are

mainly mineral fragments Calcreous rocks:
Limestone
Siltstone: Dolomite

50% fine

Mudstone grained Chalk Siliceous rocks: Very fine-
Shale: particles Calcilutite Chert grained
Fissile Flint
mudstone Claystone: Carbonaceous
50% very rock:
fine-fine Lignite
Coal
grained

particles

Glassy
Amorphous

- 57 -

ตารางท่ี 4.3 ตารางการจำแนกหินแปร (Dearman, 1991)

METAMORPHIC GENETIC GROUP
Usual structure
Foliated Massive

Quartz, felspar, micas, Quartz, felspar, micas, Composition
dark minerals dark minerals, carbonates

Tectonic Very
breccia coarse-
grained
Migmatite 60
Gneiss
Schist Hornfels Coarse-
Phyllite Marble grained
Granulite
Quartzite 2 Predominant grain size (mm)

Amphiolite Medium-
grained
0.006

Slate Fine- 0.002
grained

Mylonite Very fine-
grained

Glassy
Amorphous

- 58 -

2) ลกั ษณะโครงสรา้ งทางกายภาพของมวลหิน (physical structure of rock mass)

(1) เป็นชั้น (bedded): มักพบในหินตะกอน และช้ันตะกอนท่ีมีการสะสมตัวเป็นชั้น
บางครงั้ อาจพบในหินอัคนีพุหรือหนิ อคั นภี ูเขาไฟท่มี ีการปะทหุ ลาก

(2) เป็นริ้วขนาน (foliation): มักพบในหินแปร ที่เกิดจากกระบวนการแปรแบบไพศาล
(regional metamorphism) และกระบวนการแปรในบริเวณเขตรอยเลื่อนและเขตรอยเฉือน ซ่ึงเป็นการแปร
แบบพลวตั ร (dynamic metamorphism)

(3) เป็นมวลหนาท่ีไม่แสดงชั้น (massive): พบได้ทั่วไปในหินทุกชนิด โดยมักพบใน
หินอัคนีแทรกซอนจำพวกหินแกรนิต หินตะกอนที่เกิดจากการสะสมตัวของสารละลายเคมีเป็นชั้นหนา
จำพวกหินปูน และหินแปรจำพวกหินอ่อน (marble) หินควอร์ตไซต์ (quartzite) และหินฮอร์นเฟลส์
(hornfels) เปน็ ตน้

3) ขนาดของอนุภาคทเ่ี ป็นองคป์ ระกอบของหินท่ีปรากฏเด่นชดั (predominant grain size)
ซึง่ ประกอบกันเปน็ เนื้อหนิ (texture)

(1) เมด็ หยาบมาก (very coarse-grained): ขนาดเสน้ ผา่ นศูนย์กลางใหญ่กวา่ 60 มลิ ลิเมตร

(2) เมด็ หยาบ (coarse-grained): ขนาดเสน้ ผ่านศูนย์กลาง 2-60 มิลลิเมตร

(3) เม็ดปานกลาง (medium-grained): ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.06-2 มลิ ลิเมตร

(4) เมด็ ละเอียด (fine-grained): ขนาดเสน้ ผา่ นศนู ย์กลาง 0.002-0.06 มลิ ลเิ มตร

(5) เมด็ ละเอียดมาก (very fine-grained): ขนาดเส้นผ่านศนู ย์กลางเล็กกว่า 0.002 มลิ ลเิ มตร

(6) เน้ือแกว้ (glassy) หรือ อสัณฐาน (amorphous): เปน็ เนือ้ ทปี่ ระสานกันเป็นเน้ือเดยี ว

4) แรอ่ งคป์ ระกอบ (mineralogical composition)
แร่องค์ประกอบ เป็นหนึ่งในปัจจัยท่ีทำให้มวลหินมีคุณสมบตั ิเฉพาะต่าง ๆ ทางวศิ วกรรม ได้แก่
ความแข็งแรง ความถ่วงจำเพาะ และความคงทนต่อการผุพัง การจำแนกลักษณะของแร่องค์ประกอบ
สามารถแบ่งออกเป็น 8 ลักษณะ ดงั น้ี

(1) เศ ษ หิ น (rock grains or lithic fragment): เป็นเศษแตกหักของหิ นด้ังเดิม
(pre-existing rock) ท่ีถูกพัดพาจากตัวกลางมาสะสมตัวเป็นหินใหม่ มักพบในหินทราย หินกรวดมน และ
บางครั้งอาจพบในหินอัคนีแทรกซอนชนดิ หินภเู ขาไฟท่เี กดิ จากการประทุหลาก เชน่ หนิ ทัฟฟ์ (tuff)

(2) ควอตซ์ (quartz): เป็นแร่จำพวกแร่สีจาง (felsic mineral) ในชุดปฏิกิริยาของโบเวน
(Bowen’s reaction series) พบได้ในหินทุกชนิด มีความแข็งระดับ 7 ตามมาตรวัดความแข็งของโมห์
(Moh’s scale)

(3) เฟลด์สปาร์ (feldspars): พบอยู่ในหินอัคนีทุกชนิด หินตะกอน และหินแปร
โดยแรเ่ ฟลดส์ ปาร์ประกอบดว้ ย โพแทสเซียมเฟลดส์ ปาร์ และแพลจโิ อเคลสเฟลด์สปาร์

- 59 -

(4) แร่ชนิดเมฟิก (mafic) แร่สีเข้ม (dark-coloured) และแร่อื่นท่ีเกี่ยวข้องกัน: แร่ชนิดเมฟิก
หรือแร่สีเข้มในชุดปฏิกิริยาของโบเวนประกอบด้วย แร่จำพวกโอลิวีน (olivine) ไพร็อกซีน (pyroxene)
และแอมฟิโบล (amphibole) โดยมักพบในหินอัคนีชนิดอัลตราเมฟิก (ultramafic igneous rock) ได้แก่
หินดันไนท์ (dunite) หินเพอริโดไทต์ (peridotite) และหินอัคนีชนิดเมฟิก (mafic igneous rock) ได้แก่
หนิ บะซอลต์ (basalt) และหนิ แกบโบร (gabbro)

(5) แร่ดินเหนียว (clay minerals): แร่ดินเหนียวจัดเป็นแร่ท่ีมีการเกิดแบบทุติยภูมิ
(secondary mineral) กล่าวคือ เกิดจากการเปลี่ยนสภาพ (alteration) ของแร่เดิมในหินจากการผุพัง
ทางเคมีของหิน (chemical weathering) ให้เกิดเป็นแร่ใหม่ ตัวอย่างเช่น แร่เฟลด์สปาร์ที่มีการผุพัง
ทางเคมีแล้วเปลี่ยนสภาพเป็นแร่ดินขาว (kaolinite) โดยการผุพังนี้สามารถพบได้ในหินทุกชนิด
ทีอ่ ยูใ่ นลกั ษณะภูมอิ ากาศแบบร้อนชืน้ และแร่ดินเหนียวโดยสว่ นใหญ่พบเป็นแร่ประกอบหนิ ในหินตะกอน
ทมี่ เี นือ้ คอ่ นข้างละเอยี ด ซ่ึงมักพบมากในหนิ โคลน และหินดินดาน

(6) คาร์บอเนต (carbonates): ประกอบด้วย แร่ที่มีองค์ประกอบเป็นคาร์บอเนต (CO3)
เป็นหลัก เช่น แคลไซต์ (calcite) อะราโกไนต์ (aragonite) และโดโลไมต์ (dolomite) มักพบมากใน
หินตะกอนท่ตี กผลึกจากสารละลายเคมแี ละชวี เคมี ได้แก่ หนิ ปนู หนิ โดโลไมต์ รวมถึงหินแปรอย่างหนิ อ่อน

(7) วัตถุจำพวกเกลือกนิ ระเหย (salt, evaporite) วัตถุจำพวกเน้ือปนซิลิกา (siliceous
materials) และวัตถุจำพวกเนื้อปนคาร์บอเนต (carbonaceous materials): วัตถุจำพวกเกลือหิน
ระเหยซึ่งเกิดจากสารละลายเกลือ โดยท่ัวไปจะไม่พบโผล่ปรากฏบนผิวดิน วัตถุจำพวกเน้ือปนซิลิกา
โดยทั่วไปมักพบเป็นลักษณะหินท่ีถูกแทนท่ีด้วยซิลิกา (silicification) เช่น หินปูนที่ถูกแทนที่ด้วยซิลิกา
(silicified limestone) ส่วนวัตถุจำพวกคาร์บอเนต โดยท่ัวไปมักพบในหินที่เกิดในสภาพแวดล้อมร่วมกับ
หินคาร์บอเนต เช่น หินดินดานเน้ือคาร์บอเนต (carbonaceous shale) และหินโคลนเนื้อคาร์บอเนต
(carbonaceous mudstone) เปน็ ตน้

(8) แก้ว (glass): เป็นเนื้อหินที่มีลักษณะเป็นแก้ว มีแก้วเป็นองค์ประกอบ โดยท่ัวไปมักพบ
เหน็ ไดไ้ ม่มากนกั สว่ นใหญพ่ บในหินอัคนีพทุ ่เี ยน็ ตัวบนผวิ โลกอยา่ งรวดเร็ว เชน่ หนิ ออบซิเดียน (obsidian)

4.3 การจดั การข้อมูล

ข้อมูลพ้ืนฐานเบื้องต้นจะถูกทำให้อยู่ในระบบข้อมูลสารสนเทศภูมิศาสตร์ ประกอบด้วย
ข้อมูลด้านธรณีวิทยา ข้อมูลธรณีโครงสร้าง ข้อมูลลักษณะภูมิประเทศ ข้อมูลแบบจำลองระดับสูงเชิงเลข
ปริมาณน้ำฝน การใช้ประโยชน์ที่ดิน และตำแหน่งร่องรอยดินถล่มในอดีต ซึ่งข้อมูลเหล่าน้ีจะถูกจัดเก็บ
อยู่ในลักษณะเป็นกริด (raster data) คือ ข้อมูลท่ีมีโครงสร้างเป็นช่องเหล่ียม เรียกว่า จุดภาพ หรือ grid cell
ที่มีการเรียงต่อเนื่องกันในแนวราบและแนวดิ่ง ซ่ึงมีความละเอียด 10x10 เมตร และในรูปแบบข้อมูล
เชิงเส้นสำหรับข้อมูลร่องรอยดินถล่ม ทั้งนี้การวิเคราะห์ การประมวลผล และการแสดงผลข้อมูลเชิงพื้นท่ี
จะอย่ใู นรูปแบบระบบสารสนเทศภมู ศิ าสตร์ ดงั ตารางท่ี 4.4

- 60 -

ตารางที่ 4.4 สรุปชนิดและแหล่งทม่ี าของขอ้ มูล

ชนิดขอ้ มูล ปี รูปแบบขอ้ มลู ความละเอียด ค่าพิกดั แหล่งท่มี า
12.5 เมตร(m) อ้างอิงทาง
ALOS PALSAR 2009 ข้อมูลแสดงลกั ษณะ ภูมศิ าสตร์ https://vertex.daac.
asf.alaska.edu/#
WGS84 Google earth pro

DEM เปน็ กรดิ (raster data)

Google images 1989- ข้อมูลแสดงลกั ษณะ 10 เมตร (m) WGS84

2021 เปน็ กริด (raster data)

การใช้ประโยชน์ 2020 ขอ้ มูลแสดงลักษณะ 10 เมตร (m) WGS84 https://www.arcgis.
com/apps/instant/m
ทดี่ นิ (Landuse) เปน็ กรดิ (raster data) 1:50,000 และ WGS84 edia/index.html?appi
1:250,000 d=fc92d38533d4400
แผนท่ีธรณีวิทยา 2559 ขอ้ มลู แสดงทิศทาง 1:50,000 WGS84 78f17678ebc20e8e2
(vector Data) กรมทรพั ยากรธรณี
แผนที่ 2527
ภมู ปิ ระเทศ 2561 ข้อมลู แสดงทศิ ทาง กรมแผนทีท่ หาร
(vector Data)
ปริมาณนำ้ ฝน รายวนั WGS84 กรมอตุ ุนิยมวทิ ยา
ข้อมูลแสดงทศิ ทาง
(vector Data)

4.4 การทำแผนทร่ี อ่ งรอยดินถล่ม

แผนท่ีร่องรอยดินถล่มเป็นแผนที่แสดงตำแหน่ง ความหนาแน่น การกระจายตัวของดินถล่ม
ชนิดของดินถล่ม รวมถึงวันที่เกิดเหตุการณ์ดินถล่มแต่ละพื้นที่ ซ่ึงมีความสัมพันธ์กับปัจจัยที่ควบคุม
การเกิดดินถล่ม เช่น ลักษณะทางธรณีวิทยา ธรณีวิทยาโครงสร้าง ลักษณะภูมิประเทศ และสภาพอากาศ
ด้วยเหตุนี้การทำแผนที่ร่องรอยดินถล่มจึงมีความสำคัญที่ใช้สำหรับเป็นข้อมูลตั้งต้นในการทำนายการเกิด
ดินถลม่ ในอนาคตได้

ในการศึกษาครั้งน้ีจัดทำข้อมูลตำแหน่งร่องรอยดินถล่ม โดยอาศัยเทคนิคการรับรู้ระยะไกล
ด้วยการแปลด้วยสายตา (visual interpretation) จากภาพถ่ายดาวเทียมภายใต้แอปพลิเคชัน Google
Earth Pro โดยมีหลักการจำแนกลักษณะของดินถล่มตามชนิดและลักษณะท่ีเห็นบนภาพถ่าย ดังตารางที่
4.5 เป็นการหาความแตกต่างของพื้นท่ีระหว่างลักษณะรอยดินถล่ม ซ่ึงมักแสดงสีของดินอาจเป็น
สีน้ำตาลแดง หรือขาว (รูปท่ี 4.1) ซึ่งเกิดจากการเปิดหน้าดิน/หินในบริเวณน้ัน กับลักษณะพ้ืนที่รอบข้าง
ซ่ึงมักเป็นพื้นท่ีป่าสีเขียว หรือพื้นท่ีร้างโล่งเตียน (bare land) โดยสามารถตรวจจับร่องรอยดินถล่ม และ
สามารถกำหนดตำแหน่งจากภาพดาวเทียมโดยอาศัยความเข้าใจเกี่ยวกับชนิดของดินถล่มกับลักษณะ
ภูมิประเทศโดยรอบ รวมถึงความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะของดินถล่มที่แสดงออกมาบนภาพดาวเทียมหรือ
ภาพถา่ ยทางอากาศ โดยท่วั ไปแล้วมเี กณฑก์ ารแปลตามปัจจัยต่อไปนี้

1) ลักษณะธรณีสัณฐาน

2) ลกั ษณะทางนำ้ การผุพงั และระบบอทุ กวทิ ยา

3) ลักษณะของสขี องดนิ /หิน

- 61 -

4) ลกั ษณะพืชพรรณท่ปี กคลุม

5) กิจกรรมของมนุษย์ และการใช้ประโยชนท์ ดี่ นิ

อย่างไรก็ตามการเข้าพื้นท่ีเพื่อตรวจสอบ ความถูกต้องของการแปลข้อมูลจากภา พถ่าย
จะทำให้แผนทร่ี ่องรอยดินถลม่ มีความละเอยี ด แมน่ ยำ และถูกตอ้ งมากย่ิงขึ้น (รปู ท่ี 4.2)

ตารางที่ 4.5 หลักการจำแนกลักษณะของดินถล่มจากการแปลความหมายภาพถ่ายทางอากาศและ
ภาพดาวเทยี ม (ดดั แปลงจาก Miller, 2007 และ Soeters and Westen, 1996)

Type of Characteristic based on morphology, vegetation, and drainage visible on stereo images
Movement
Fall and Morphology Distinct wall or free face in association with scree slopes (20 to 30 degrees)
Vegetation and dejection cones; jointed rock wall (>50 degrees) with fall chutes.
topple Drainage
Morphology Linear scars in vegetation along frequent rock fall paths; vegetation density
Rotational low on active scree slopes.
slide Vegetation
Drainage No specific characteristics.
Compound Morphology
slide Abrupt changes in slope morphology characterised by concave (niche) and
Vegetation convex (runout lobe) forms; often steplike slopes; semilunar crown and
Translational Drainage lobate frontal part; back-tilting slope facets, scarps, hummocky morphology
slide Morphology on depositional part; D/L = ratio 0.3 to 0.1 slope 20 to 40 degrees.

Vegetation Clear vegetational contrast with surrounding, absence of land use indicative
for activity; differential vegetation according to drainage conditions.
Drainage
Contrast with nonfailed slopes; bad surface drainage or ponding in niches or
back-tilting areas; seepage in frontal part of runout lobe.

Concave and convex slope morphology; concavity often associated with
linear grabenlike depression; no clear runout but gentle convex or bulging
frontal part; back-tilting facet associated with (small) antithetic faults; D/L
ratio 0.3 to 0.1, relatively broad in size.

As with rotational slides, although slide mass will less disturbed.

Imperfect or disturbed surface drainage, ponding in depressions and in rear part
of slide.

Joint controlled crown in rock slides, smooth planar slip surface, relatively
shallow, certainly in surface material over bedrock; D/L < 0.1 and large width;
runout hummocky, rather chaotic relief, with block size decreasing with larger
distance.

Source area and transportational path denuded, often with lineation in
transportation directions; differential vegetation on body in rock slides;
no landuse on body.

Absence of ponding below crown, disordered or absent surface drainage
on body; streams deflected or blocked by frontal lobe.

- 62 -

ตารางท่ี 4.5 หลักการจำแนกลักษณะของดินถล่มจากการแปลความหมายภาพถ่ายทางอากาศและ
ภาพดาวเทียม (ดดั แปลงจากจาก Miller, 2007 และ Soeters and Westen, 1996) (ต่อ)

Type of Characteristic based on morphology, vegetation, and drainage visible on stereo images
Movement
Morphology Irregular arrangement of large blocks tilting in various directions; block size
Lateral decreases with distance and morphology becomes more chaotic; large cracks
spread Vegetation and linear depressions separating blocks; movement can originate on very
Drainage gentile slopes (<10 degrees).
Earth flows Morphology
Differential vegetation enhancing separation of blocks; considerable contrast
Debris flow Vegetation with unaffected areas.
Drainage
Mudslide Morphology Disrupted surface drainage; frontal part of movement is closing off valley,
causing obstruction and asymmetric valley profile.
Vegetation
Drainage One large or several smaller concavities, with hummocky relief in source area;
Morphology main scars and several small scars resemble slide type of failure; path
following stream channel and body is infilling valley, contrasting with V-
Vegetation shaped valleys; lobate convex frontal part; irregular micromorphology with
Drainage pattern related to flow structures; slope > 25 degrees; D/L ratio very small.

Vegetation on scar and body strongly contrasting with surrounding, land use
absent if active; linear pattern in direction of flow.

Ponding frequent in concave upper path of flow; parallel drainage channels on
both sides of body in valley; deflected or blocked drainage by frontal lobe.

Large amount of small concavities (associated with drainage system) or one
major scar characterising source area; almost complete destruction along
path, sometimes marked by depositional levees; flattish desolate plain,
exhibiting vague flows structures in body of debris flow.

Absence of vegetation everywhere; recovery will take many years.

Disturbed by main body; original streams blocked or deflected by body.

Shallow concave niche with flat lobate accumulative part, clearly wider than
transportation path; irregular morphology contrasting with surrounding areas;
D/L ration0.05 to 0.01; slope 15 to 25 degrees.

Clear vegetational contrast when fresh; otherwise differential vegetation
enhances morphological features.

No major drainage anomalies beside local problems with surface drainage.

- 63 -

รูปท่ี 4.1 ตัวอย่างร่องรอยดินถล่มแสดงสีขาว (บน) และสีแดง (ล่าง) จากภาพ Google earth
จงั หวดั นครศรธี รรมราชและพ้นื ที่ใกลเ้ คียง ถ่ายภาพเมือ่ วนั ท่ี 18 มนี าคม 2556

- 64 -

รูปท่ี 4.2 (บน) ดินถล่มชนิดการไหลของเศษหินและดิน น้ำตกคลองนารายณ์ ตำบลคลองนารายณ์
อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี ตำแหน่ง 48P 0193269 E 1392548 N (ล่าง) รอยดินถล่มชนิดการเลื่อนไถล
ระนาบโค้ง บ้านโขดทราย ตำบลหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ตำแหน่ง 48P 02771880 E
1296422 N

- 65 -

4.5 การวิเคราะหแ์ บบจำลองดนิ ถล่มทางคณติ ศาสตร์

ปัจจัยที่นำมาวิเคราะห์ความอ่อนไหวต่อการเกิดดินถล่มทั้ง 7 ปัจจัย ได้แก่ ข้อมูลวิทยาหิน
หน้ารับน้ำฝน ทิศทางการไหลของน้ำ ระดับความสูง ความลาดชัน การใช้ประโยชน์ท่ีดิน และระยะห่าง
จากโครงสร้างทางธรณีวิทยา โดยจะถูกแบ่งเป็นกลุ่มย่อย (reclassify) เพ่ือเป็นการจัดกลุ่มข้อมูลก่อน
การประมวลผล และทำช้ันระยะกันชน (multi-buffer) สำหรับข้อมูลธรณีวิทยาโครงสร้างและทางน้ำ
รายละเอียด ดังตารางที่ 4.6 การจัดเก็บฐานข้อมูลจะอยู่ในรูปแบบกริด (raster data) ที่มีขนาดความละเอียด
10x10 เมตร เพื่อนำไปใช้ประมวลผลในแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ โดยแบ่งออกเป็น 5 ข้ันตอนหลัก
ดงั รูปท่ี 4.3 โดยแตล่ ะข้ันตอนมรี ายละเอยี ดดงั ตอ่ ไปนี้

10x10 เมตร

รปู ที่ 4.3 แผนภมู ิการวเิ คราะหแ์ บบจำลองดินถล่ม

- 66 -

ตารางท่ี 4.6 ปจั จัยท่ีนำมาใชใ้ นแบบจำลองดินถล่ม

ปจั จยั ลำดบั กล่มุ
1 CG1 หินกรวดมน ที่มเี มด็ กรวดเปน็ แร่ควอตซ์และเศษหิน
1. วทิ ยาหนิ 2 CG2 หนิ กรวดมน ท่ีมีเมด็ กรวดเปน็ หนิ ปนู
(Lithology) 3 CG3 หนิ กรวดมนเชอื่ มประสานดว้ ยเหล็กออกไซด์
4 SS1 หินทรายเนอื้ เกรย์แวก
5 SS2 หินทรายอารโ์ คส หินทรายเนอื้ ควอตซ์
6 SS3 หินทรายแทรกสลบั กับหนิ ตะกอนเน้อื ละเอยี ดกึ่งแปรสภาพ
7 SS4 หนิ ทรายสนี ำ้ ตาลแกมม่วง ช้ันหนา
8 FS1 หินตะกอนเนอ้ื ละเอียด บางส่วนกงึ่ แปรสภาพ
9 FS2 หนิ ตะกอนเนอื้ ละเอียดเชอ่ื มประสานด้วยเหล็กออกไซด์
10 FS3 หินตะกอนเนอ้ื ละเอียด เนอื้ ปนปูน
11 FS4 หนิ ตะกอนเนอ้ื ละเอยี ด หินโคลน หนิ โคลนปนซากพืช
12 CB1 หินคาร์บอเนต
13 CB2 หินคารบ์ อเนตเน้อื ดนิ
14 CH หนิ ตะกอนเนอื้ ผลึกซลิ ิกา
15 CT หินแปรสมั ผสั ที่มากดว้ ยแร่ควอตซ์
16 F-MET1 หินแปรทม่ี ีรวิ้ ขนานเกรดตำ่
17 F-MET2 หินตะกอนกึง่ แปรสภาพ
18 MU1 หินอัคนชี นดิ เมฟิกและอัลตราเมฟิก
19 MU2 หนิ เซอรเ์ พนทไิ นตพ์ บรว่ มกบั หนิ อคั นีชนิดอัลตราเมฟิก
20 GR หินแกรนติ
21 VOL1 หนิ อคั นีภูเขาไฟประกอบดว้ ยแรส่ ีจางถึงปานกลาง
22 VOL2 หนิ อคั นภี ูเขาไฟประกอบดว้ ยแร่สีจาง

23 GY หนิ กเี ซอไรต์
24 COL ตะกอนเชงิ เขา
25 AL ตะกอนนำ้ พา
26 TER ตะกอนตะพกั ลำนำ้
27 BEA ตะกอนชายหาด และตะกอนสนั ทรายเก่า
28 MC ตะกอนป่าชายเลน และตะกอนท่ีราบน้ำทะเลขน้ึ ถงึ

- 67 -

ตารางที่ 4.6 ปัจจัยที่นำมาใช้ในแบบจำลองดินถลม่ (ต่อ)

ปจั จัย ลำดับ กลมุ่
2. หนา้ รบั นำ้ ฝน
(Aspect) 1 Flat (-1)
2 North (0-22.5)
3.ทิศทางการไหลของนำ้ 3 Northeast (22.5-67.5)
(Flow Direction) 4 East (67.5-112.5)
5 Southeast (112.5-157.5)
4.ระดับความสงู (เมตร) 6 South (157.5-202.5)
(Elevation) 7 Southwest (202.5-247.5)
8 West (247.5-292.5)
9 Northwest (292.5-337.5)
10 North (337.5-360)
1 1 (90 deg)
2 2 (135 deg)
3 4 (180 deg)
4 8 (225 deg)
5 16 (270 deg)
6 32 (315 deg)
7 64 (0 deg)
8 128 (45 deg)
1 0-200
2 200-400
3 400-600
4 600-800
5 800-1000
6 1000-1200
7 1200-1400
8 1400-1600
9 1600-1800
10 1800-2000
11 2000-2200
12 > 2200

- 68 -

ตารางที่ 4.6 ปัจจัยที่นำมาใช้ในแบบจำลองดินถล่ม (ต่อ)

ปจั จัย ลำดับ กลุ่ม
5.ความลาดชัน (องศา) 1
(Slope) 2 0-10
3 10-20
6.การใชป้ ระโยชน์ท่ีดนิ 4 20-30
(Landuse) 5 30-40
6 40-50
7. ระยะห่างจาก 7 50-60
โครงสรา้ งทางธรณีวิทยา 8 60-70
(เมตร) 9 70-80
(The distance to 80-90
geological structure) 1 แหลง่ นำ้ (Water)

2 พน้ื ท่ปี ่ามตี ้นไม้ใหญ่ (Trees)

3 ทุ่งหญา้ (Grass)

4 พืชพรรณในพื้นที่ลมุ่ น้ำทว่ มถงึ (Flooded Vegetation)

5 พื้นท่เี กษตรกรรม (Crops)

6 พมุ่ ไม้ (Scrub/Shrub)

7 สิง่ ปลกู สรา้ ง (Built Area)

8 พ้นื ทโ่ี ล่งไมม่ พี ชื พรรณใบเขียว (Bare Ground)

1 0-200
2 200-400
3
4 400-600
5
6 600-800
7
8 800-1000
9
10 1000-1200
11
12 1200-1400
13
14 1400-1600
15
16 1600-1800

1800-2000

2000-2200

2200-2400

2400-2600
2600-2800
2800-3000
>3000

- 69 -

4.5.1 Area cross tabulation

การนำข้อมูลปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับดินถล่มมาหาความสัมพันธ์กับข้อมูลดินถล่มที่เกิดขึ้น
ในอดีต หรือแผนที่ร่องรอยดินถล่ม (ลักษณะจุด) โดยจุดประสงค์ของวิธีนี้ คือ การเปรียบเทียบลักษณะ
พื้นที่เดียวกันบนข้อมูลสองตัว การรวมข้อมูลที่มีพ้ืนที่ทับซ้อนกันของแต่ละปัจจัยกับจุดร่องรอยดินถล่ม
ในอดีต และนำออกมาในรูปแบบตาราง โดยคำนวณพ้ืนที่ของปัจจัยแต่ละกลุ่มท่ีทับซ้อนกับจุดดินถล่ม
การสร้างตารางนำเอาตัวแปรมาไขว้กันตามแนวนอนและแนวตั้ง ตารางที่ได้จะแสดงรายละเอียดของตัวแปร
หนง่ึ ในแตล่ ะอีกคา่ ตวั แปรหน่งึ ทีใ่ ช้อธบิ ายความสมั พันธร์ ะหว่างตัวแปรทั้งสอง

4.5.2 Frequency ratio (Fr)

การประเมินผลของความน่าจะเป็นของการเกิดดินถล่มด้วยแบบจำลองทางสถิติ Bivariate
statistical model (ตัวอย่างดูได้จาก Teerarungsigul (2006) และ Nawawitphisit (2010) ด้วยการหา
ความสมั พนั ธท์ ีเ่ กี่ยวข้องระหว่างดินถลม่ และปัจจัยทคี่ วบคุมดินถลม่ โดยแตล่ ะปจั จัยสามารถคำนวณหาได้
จากสมการที่ 1

สมการที่ 1

เมื่อได้ความสัมพันธ์ของดินถล่มและปัจจัยแต่ละกลุ่มแล้ว ค่า Frequency ratio ของแต่ละ
กลุ่มของปัจจัย จะถูกนำมาคำนวณเพื่อหาความอ่อนไหวของพ้ืนที่ดินถล่ม (Landslide susceptibility
index, LSI) ตามสมการท่ี 2

สมการที่ 2

4.5.3 การใหน้ ำ้ หนัก (weighting)

เน่ืองจากค่าความสำคัญของปัจจัยท่ีนำมาวิเคราะห์การเกิดดินถล่มน้ันไม่เท่ากัน การนำ
วิธีการให้น้ำหนักกับแต่ละปัจจัยมาใช้เพื่อเพ่ิมความถูกต้องและแม่นยำมากย่ิงขึ้น (ตัวอย่างดูได้จาก
Pantanahiran (1994) และ Teerarungsigul (2006)) ในรายงานนี้นำ 2 วิธีการให้น้ำหนักมาหาค่าเฉลี่ย
โดยแต่ละวิธีการมกี ารคำนวณคือ

1. Reliability probability method (RP) = the value of factor corresponding to
landslide

สมการที่ 3

2. Accountability probability method (AP) = the value of landslide accounted
for by factor

สมการที่ 4

- 70 -

3. คา่ เฉลยี่ ทัง้ สองวธิ ีด้านบน (RP และ AP)

สมการที่ 5

เมื่อได้ค่าน้ำหนักเฉล่ียของแต่ละปัจจัยจะถูกนำมาคูณกับ ค่า Frequency ratio ของแต่ละ
กลุ่มของปจั จัย และจะถูกนำมาคำนวณเพือ่ หาความออ่ นไหวของพนื้ ที่ดนิ ถล่ม

4.6 การตรวจสอบแบบจำลองดนิ ถล่ม (validation)

ใน ก า ร ท ำ แ ผ น ท่ี พ้ื น ท่ี อ่ อ น ไห ว ต่ อ ก า ร เกิ ด ดิ น ถ ล่ ม สิ่ ง ที่ ส ำคั ญ แ ล ะ มี ค ว า ม จ ำ เป็ น ม า ก
คือ การตรวจสอบโมเดล (Chung and Fabbri, 2003) การตรวจสอบท่ีได้ผลจริง คือ การที่มีเหตุการณ์
ดินถล่มเกิดขึ้นจริงในบริเวณท่ีโมเดลได้ทำนายไว้ หรือ ที่เรียกว่า “Wait and See” (Neuhauser and
Terhorst, 2007) แต่ปัญหาก็คือต้องรอเป็นเวลานานกว่าเหตุการณ์ดินถล่มจะเกิดขึ้นหรืออาจจะ
ไม่เกิดเลย (Van Den Eeckhaut and others, 2006) การทำนายหรอื โมเดลก็กลายเป็นสิ่งท่ไี ร้ประโยชน์
ไปเลย ดังน้ันแทนท่ีจะรอให้ธรรมชาติเป็นสิ่งพิสูจน์ว่าโมเดลที่ทำถูกต้องหรือไม่ การทดสอบ
ทางคณิตศาสตร์จึงถูกนำมาช่วยในการบ่งชี้ความถูกต้องของโมเดล (Carrara and Pike, 2008) ซ่ึงโมเดล
ทด่ี ีตอ้ งมีความน่าเชอ่ื ถือทางสถติ ิดว้ ย

4.6.1 สมมตุ ฐิ าน

สมมุติฐานหลักในการตรวจสอบแบบจำลองดินถล่มสามารถแบ่งออกเป็น 2 สมมุติฐาน คือ
(1) เหตุการณ์ดินถล่มทเี่ กดิ ข้นึ สัมพันธ์กับตัวแปรต่าง ๆ ไดแ้ ก่ ธรณีวิทยา ภูมิประเทศ การใช้ประโยชนท์ ี่ดิน
และป่าไม้ และ (2) เหตุการณ์ดินถล่มท่ีจะเกิดในอนาคตถูกกระตุ้นโดยตัวแปรเฉพาะ ได้แก่ ปริมาณนำ้ ฝน
และแผ่นดินไหว

4.6.2 เทคนิคที่ใชใ้ นการตรวจสอบ

วิธีการสำหรับตรวจสอบแบบจำลองดินถล่มมีอยู่หลากหลายวิธี โดยวิธีที่นิยมใช้กันมาก
ได้แก่ วิธีการตรวจสอบเชิงคุณภาพ (qualitative method) จะใช้วิธีการซ้อนทับข้อมูลดินถล่มบน
แบบจำลองการเกิดดินถล่มและวิเคราะห์ด้วยตาเปล่า และวิธีการตรวจสอบเชิงปริมาณ (quantitative)
จะใช้ความเก่ียวข้องของดินถล่ม และโซนของพิบัติภัยดินถล่ม โดยใช้การคำนวณทางคณิตศาสตร์เข้ามาช่วย
ตวั อยา่ งเทคนคิ ท่ีใช้ ไดแ้ ก่

(1) การตรวจสอบภาคสนามและการซ้อนทับแบบง่าย (ground-truthing and simple overlay)
ในการประเมินพื้นที่อ่อนไหวต่อการเกิดดินถล่ม การตรวจสอบแบบจำลองสามารถทำได้โดย
การไปตรวจสอบภาคสนาม หรือใช้การแปลภาพถ่ายทางอากาศ

(2) กราฟบอกความถูกต้องของโมเดล (success rate curve) กับกราฟความถูกต้องของ
การทำนาย (prediction rate curve) สามารถเป็นตัวทดสอบความถูกต้องของโมเดลได้ ซึ่งท้ังสองวิธีนี้
มีลักษณะคล้ายคลึงกัน จะต่างกันตรงท่ีข้อมูลดินถล่มที่ใช้ในการตรวจสอบโมเดล โดยแบบกราฟบอก
ความถูกต้องของโมเดลจะใช้ข้อมูลดินถล่มชุดเดียวกับข้อมูลดินถล่มท่ีใช้ในการสร้างโมเดล ซึ่งสามารถ
บอกได้วา่ โมเดลท่ีทำออกมามีค่าความถูกต้องหรือมีผลลัพธ์ดีขนาดไหน แตก่ ารตรวจสอบโมเดลแบบกราฟ

- 71 -

ความถูกต้องของการทำนายจะใช้ข้อมูลดินถล่มคนละชุดกับดินถล่มท่ีใช้ในการสร้างโมเดล ซึ่งผลของ
การตรวจสอบสามารถบอกได้ว่าโมเดลท่ีสร้างขึ้นมีความถูกต้องมากน้อยเพียงใดและใช้ในการทำนาย
การเกิดดินถล่มในอนาคตได้หรือไม่ สามารถทำได้โดยการเปรียบเทียบร่องรอยดินถล่มกับระดับ
ความอ่อนไหว (susceptibility classes) ที่ได้จากโมเดล โดยมีวิธีการง่าย ๆ โดยใช้โปรแกรมทาง GIS ใน
การรวม (ซ้อนทับ) ขอ้ มูลดินถล่มและข้อมูลความอ่อนไหว (susceptibility) จะได้ตำแหนง่ พิกเซล (pixel)
ที่ มีค่ าดิน ถล่ม และไม่มี ดิ น ถล่ม แล้วน ำผลรวม ของต ำแห น่ งท่ี มี ค่าดิ น ถล่ม ไป สร้างกราฟ
โดยค่าความอ่อนไหวจะอย่ใู นแนวนอน (X-axis) ค่าผลรวมตำแหน่งท่ีมีดินถล่มอยใู่ นแนวตง้ั (Y-axis)

(3) การตรวจสอบแบบจำลองโดยใช้วิธีกราฟแสดงความถูกต้อง การตรวจสอบแบบจำลอง
ในรายงานฉบับน้ีเลือกใช้วิธีกราฟแสดงความถูกต้อง โดยใช้ร่องรอยดินถล่มชุดเดียวกับท่ีใช้ในการทำ
แบบจำลอง เป็นการนำค่าตำแหน่งของความอ่อนไหวมาสร้างกราฟร่วมกับค่าการสะสมตัวของตำแหน่ง
ดินถล่มที่ตกอยบู่ นพื้นท่ีออ่ นไหวน้ัน ๆ ดังรปู ที่ 4.4

(4) การแปลความหมายกราฟ กราฟท่ีได้เรียกว่า Success rate curve ซึ่งสามารถคำนวณ
พ้ืนที่ใต้กราฟได้ เรียกว่า AUC-Area under curve ดังตารางที่ 4.7 ถ้าหากเส้นกราฟอยู่บนเส้นทแยงมุม
ของค่า 0 ถึง 1 (หรือ 0 ถึง 100%) แสดงว่ากราฟมีความเหมาะสม ยิ่งเส้นกราฟอยู่เหนือเส้นทแยงมุมขึ้น
ไปมากเท่าไหร่แสดงว่าแบบจำลองมีความเหมาะสมมากเท่านั้น (Remondo et al., 2003) และถ้าหาก
ค่า AUC ใกล้ 1 มากเท่าใด แสดงว่า แบบจำลองน้ันมีค่าความถูกต้องและสามารถนำไปใช้ประโยชน์
ในการทำนายพ้นื ที่ออ่ นไหวต่อการเกิดดนิ ถล่มได้

- 72 -

รปู ที่ 4.4 ตวั อย่างกราฟแสดงความถูกตอ้ ง (success rate curve) ของแบบจำลอง

ตารางท่ี 4.7 ตารางแสดงช่วงค่า AUC ท่ีใช้อ้างอิงความถูกต้องของโมเดล (Hasanat and others,
2010)

AUC Performance

0.90-1.00 Excellent (A)

0.80-0.90 Good (B)
0.70-0.80 Fair (C)
0.60-0.70 Poor (D)

0.50-0.60 Fail (F)

บทที่ 5
การวิเคราะหพ้นื ทอ่ี อ นไหวตอการเกดิ ดนิ ถลม

การวิเคราะหพนื้ ที่ออนไหวตอดินถลมเปนการวเิ คราะหพนื้ ท่ีที่มีโอกาสเกิดดินถลม ในอนาคต
ดวยระบบสารสนเทศภูมิศาสตรและเทคนิคการรับรูระยะไกล โดยใชแบบจำลองทางสถิติ Bivariate
probability และการใหคาน้ำหนัก (Weighting) ในพื้นที่จังหวัดนาน ผลการวิเคราะหอธิบายคา
ความสัมพันธระหวางรองรอยดินถลมและปจจัยที่ควบคุมดินถลม 7 ปจจัย คือ วิทยาหิน หนารับน้ำฝน
ทิศทางการไหลของน้ำ ความสูง ความลาดชัน การใชประโยชนที่ดิน และระยะหางจากโครงสรางทาง
ธรณีวทิ ยา

5.1 แผนที่รอ งรอยดินถลม

แผนท่ีแสดงตำแหนงของดินถลมท่ีเกิดในอดีตจนถึงปจจุบัน จำนวน 874 รอย ไดจาก
การแปลภาพถายดาวเทียมในชวง 45 ป ที่ผานมา ระหวางป พ.ศ. 2520-2564 จำนวน 749 รอย และ
การสำรวจภาคสนามพบดินถลมในพ้ืนที่ศึกษา จำนวน 125 รอย (รูปที่ 5.1) จากการสำรวจรองรอย
ดนิ ถลม ในภาคสนาม ปง บประมาณ พ.ศ.2564 พบวา ในพนื้ ที่ จังหวัดนานมกี ารสำรวจพบรองรอยดินถลม
อยตู ามภเู ขาสูง และทีล่ าดเชิงเขาครอบคลุมพ้ืนที่ 30 ตำบล 13 อำเภอ โดยพบรองรอยดินถลมกระจายตัว
อยูเกือบท่ัวท้ังบริเวณของจังหวัดนาน สวนใหญพบเกิดในบริเวณดานตะวันออกเฉียงเหนือและ
ดานตะวันตกเฉียงใตของจังหวัด บริเวณอำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอบอเกลือ อำเภอเวียงสา
อำเภอนานอย อำเภอปว อำเภอภูเพียง อำเภอทุงชาง อำเภอสองแคว อำเภอทาวังผา อำเภอนาหม่ืน
อำเภอแมจริม อำเภอเมืองนาน จากการสำรวจพบรอยดนิ ถลมในพ้ืนที่ศึกษาพบดินถลมหลายชนิด ไดแก
ดินถลมชนิดการเลื่อนไถล (slides) จำนวน 108 รอย ดินถลมชนิดการรวงหลน (falls) จำนวน 2 รอย
ดินถลมชนิดการไหล (flow) จำนวน 12 รอย และดินถลมชนิดการเคล่ือนที่แบบซับซอน (Complex)
จำนวน 3 รองรอย พบกระจายในกลุมวิทยาหินท้ังหมด 8 กลมุ (รายละเอยี ดเพม่ิ เติมในบทที่ 6)

แผนท่ีรองรอยดินถลมสามารถเห็นถึงการกระจายตัวของดินถลมในพื้นท่ีตาง ๆ และ
การเคล่ือนยายตำแหนงดินถลมในอดีตจนถึงปจจุบัน อยา งไรก็ตามแผนที่รอ งรอยดินถลม นั้นยังไมสามารถ
บอกถึงกลไกลการเกิดดินถลม และปจจัยท่ีเปนตัวกระตุนหรือเรงใหเกิดดินถลม แตหากนำไปหา
ความสัมพันธกับปจจัยหลักท่ีเก่ียวของกับดินถลม อาจจะเปนแนวทางในการทำนายตำแหนงดินถลม
ในอนาคตได ดังน้ันการทำแผนที่พ้ืนท่ีรองรอยดินถลม จงึ มีความสำคัญมากในการวิเคราะหพ้ืนท่ีมีโอกาส
เกิดดินถลมในอนาคต นอกจากนี้ขอมูลรองรอยดินถลมท่ีมีรายละเอียดถึงขนาด ชนิด และความสดใหมของ
การเกดิ ดินถลม ยังมปี ระโยชนต อ งานสำรวจวิศวกรรม และงานฟนฟูพื้นท่ี

- 74 -

รูปท่ี 5.1 แผนท่ีรองรอยดินถลมที่เกิดขึ้นในชวง 45 ปที่ผานมา (พ.ศ. 2520-2564) พื้นท่ีจังหวัดนาน
จำนวน 874 รอย

- 75 -

5.2 ปจจยั ทีเ่ กี่ยวขอ งกับดินถลม

การวิเคราะหพื้นที่ท่ีมีโอกาสเกิดดินถลมดวยวิธี Bivariate approach (Frequency ratio)
อาศัย 7 ปจจัยที่เกี่ยวของกับดินถลม (Landslide controlling factors) มาหาคาความสัมพันธระหวาง
รอยดินถลมในอดีตในรูปแบบอัตราสวนความนาจะเปน (b/a) หรือความหนาแนนของการกระจายตวั ของ
ดินถลม ในแตละกลุมยอยในปจจัยที่เกย่ี วขอ งกับดินถลม ในตารางท่ี 5.1

5.2.1 วทิ ยาหนิ (Lithology)

หินแตละชนิดมีความแตกตางทงั้ ทางกายภาพ และคุณสมบัตทิ างเคมี ทำใหพน้ื ท่ีมคี วามเส่ียง
ตอการเกิดดินถลมมากนอยแตกตางกันออกไป ดังนั้นเพื่อใหการวิเคราะหคาความออนไหวตอดินถลม
มีความถูกตอง ในพื้นที่จังหวัดนานจำแนกวิทยาหินออกเปน 21 กลุม (รูปที่ 5.2) คือ (1) CG1
หินกรวดมน ท่ีมีเม็ดกรวดเปนแรควอตซและเศษหิน (2) CG2 หินกรวดมน ท่ีมีเม็ดกรวดเปนหินปูน
(3) CG3 หินกรวดมนเชื่อมประสานดวยเหล็กออกไซต (4) SS1 หินทรายเนื้อเกรยแวก (5) SS2
หินทรายอารโคส หินทรายเน้ือควอตซ (6) FS1 หินตะกอนเนอื้ ละเอียด แทรกสลับหินทรายเนื้อเกรยแวก
(7) FS2 หินตะกอนเนื้อละเอียดเช่ือมประสานดวยเหล็กออกไซด (8) CB1 หินคารบอเนต (9) F-MET1
หินแปรที่มีร้ิวขนานเกรดต่ำ (10) CT หินแปรสัมผัสที่มากดวยแรควอตซ (11) VOL1 หินอัคนีภูเขาไฟ
ประกอบดวย แรสีจางถึงปานกลาง (12) VOL2 หินอัคนีภูเขาไฟประกอบดวยแรสีจาง (13) MU1
หินอัคนีชนิดเมฟกและอัลตราเมฟก (14) MU2 หินเซอรเพนทิไนตพบรวมกับหินอัคนีชนิดอัลตราเมฟก
(15) GR หินแกรนิต (16) COL ตะกอนเชิงเขา (17) TER ตะกอนตะพักลำนำ้ และ (18) AL ตะกอนน้ำพา
พบการกระจายตัวของรองรองดินถลม หนาแนน มาก ในกลุม วิทยาหิน FS1 (67.39% ของรอ งรอยดนิ ถลม )
ซ่ึงเปนหินตะกอนเน้ือละเอียด แทรกสลับหินทรายเน้ือเกรยแวก เปนสวนใหญ ทำใหมีการผุพังงาย
นอกจากน้ียังพบการกระจายตัวของรอยดินถลม (% of Landslide scar) ในกลุมวิทยาหิน FS2
หนิ ตะกอนเนอื้ ละเอียดเชอื่ มประสานดว ยเหลก็ ออกไซด (17.22% ของรอ งรอยดนิ ถลม)

5.2.2 หนารับนำ้ ฝน (Aspect)

หนารับน้ำฝนมีความเกี่ยวของกับบริเวณดานรับแสงแดด ลม และน้ำฝน ซึ่งสงผลตอ
การเกิดดินถลม หนารับน้ำฝนสามารถแบงออกเปน 10 กลุม คือ 1) พื้นที่ราบ Flat 2) ทิศเหนือ North
(0-22.5 องศา) 3) ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ Northeast (22.5-67.5 องศา) 4) ทิศตะวันออก East
(67.5-112.5 องศา) 5) ทิศตะวันออกเฉียงใต Southeast (112.5-157.5 องศา) 6) ทิศใต South
(157.5-202.5 องศา) 7) ทิศตะวันตกเฉียงใต Southwest (202.5-247.5 องศา) 8) ทิศตะวันตก West
(247.5-292.5 องศา) 9) ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ Northwest (292.5-337.5 องศา) และ 10) ทิศเหนือ
North (337.5-360 องศา) (รูปท่ี 5.3) จากการเปรียบเทียบกับรองรอยดินถลมพบวา หนารับน้ำฝนท่ีมี
อิทธิพลตอการเกิดดินถลม คือ ทิศตะวันออก (Fr = 1.33) ทิศตะวันออกเฉียงใต (Fr = 1.33)
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (Fr = 1.24) ทิศใต (Fr = 1.20) และทิศตะวันตกเฉียงใต (Fr = 1.05) ซึ่งนาจะมี
สัมพันธกับ 2 มรสุม คือลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ซ่ึงพัดพามวลอากาศเย็นและแหงจากประเทศจีน
ปกคลุมประเทศไทยในชวงฤดูหนาว ทำใหมีอากาศหนาวเย็นและแหงท่ัวไป ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต
ซ่ึงพัดพามวลอากาศชื้นจากทะเลและมหาสมุทรปกคลุมประเทศในชวงฤดูฝน ทำใหมีฝนตกท่ัวไป
(รูปที่ 3.1 บทท่ี 3)

- 76 -

ตารางที่ 5.1 ความสมั พันธร ะหวางรอยดินถลม กบั ปจจัยทีค่ วบคมุ การเกิดดินถลม

ปจ จัย กลุม Classes % of total % of Landslide Frequency
area (a) scar (b) ratio = (b/a)
1. วิทยาหนิ 1 CG1 หินกรวดมน ที่มเี มด็ กรวดเปน แรค วอตซและเศษหิน 0.02 0.00
(Lithology) 2 CG2 หินกรวดมน ท่ีมเี ม็ดกรวดเปนหินปูน 0.09 0.19 0.00
3 CG3 หินกรวดมนเชือ่ มประสานดวยเหลก็ ออกไซต 0.12 0.02 2.07
4 SS1 หินทรายเน้อื เกรยแวก 3.29 2.65 0.16
5 SS2 หินทรายอารโ คส หนิ ทรายเน้อื ควอตซ 8.85 6.01 0.81
6 SS3 หินทรายแทรกสลบั หนิ ตะกอนละเอียดกึ่งแปรสภาพ 1.20 0.17 0.68
7 SS4 หินทรายสีนำ้ ตาลแกมมว ง ชั้นหนา 0.00 0.14
8 FS1 หินตะกอนเนอ้ื ละเอยี ด แทรกสลับหินทรายเนือ้ เกรยแ วก 0.66 0.00
67.39
35.05 1.92
17.22
9 FS2 หินตะกอนเนือ้ ละเอยี ดเช่อื มประสานดว ยเหลก็ ออกไซด 20.09 0.86
0.80
10 CB1 หนิ คารบอเนต 0.95 0.43 0.84
3.52 0.00 0.12
11 F-MET1 หินแปรทมี่ รี ว้ิ ขนานเกรดตำ่ 0.41 0.02 0.00
0.01 1.49 1.26
12 F-MET2 หนิ ตะกอนกึ่งแปรสภาพ 1.09 0.99 1.37
2.01 0.32 0.49
13 CT หนิ แปรสัมผสั ท่ีมากดวยแรค วอตซ 1.24 1.08 0.26
2.20 0.02 0.49
14 GR หินแกรนิต 0.08 0.62 0.24
1.66 0.30 0.37
15 VOL1 หินอคั นภี ูเขาไฟประกอบดว ยแรส ีจางถึงปานกลาง 3.48 0.28 0.09
12.38 0.00 0.02
16 VOL2 หินอัคนภี ูเขาไฟประกอบดว ยแรสีจาง 1.47 5.70 0.00
6.31 12.92 0.90
17 MU1 หินอัคนีชนิดเมฟกและอัลตราเมฟก 10.42 16.22 1.24
12.19 15.76 1.33
18 MU2 หินเซอรเ พนทไี นทพ บรว มกบั หินอคั นชี นิดอัลตราเมฟก 11.85 16.47 1.33
13.72 12.97 1.20
19 COL ตะกอนเชงิ เขา 12.32 10.90 1.05
13.56 5.70 0.80
20 TER ตะกอนตะพักลำนำ้ 11.61 3.36 0.49
6.55 20.87 0.51
21 AL ตะกอนนำ้ พา 15.78 10.56 1.32
7.63 20.63 1.38
2. หนารับน้ำฝน 1 Flat (-1) 18.96 8.75 1.09
(Aspect) 8.00 14.15 1.09
2 North (0-22.5) 19.24 4.11 0.74
7.37 12.22 0.56
3 Northeast (22.5-67.5) 16.48 8.71 0.74
6.55 1.33
4 East (67.5-112.5)

5 Southeast (112.5-157.5)

6 South (157.5-202.5)

7 Southwest (202.5-247.5)

8 West (247.5-292.5)

9 Northwest (292.5-337.5)

10 North (337.5-360)

3.ทิศทางการ 1 1 (90 deg)
ไหลของน้ำ 2 2 (135 deg)
(Flow 3 4 (180 deg)
Direction) 4 8 (225 deg)

5 16 (270 deg)

6 32 (315 deg)

7 64 (0 deg)

8 128 (45 deg)


Click to View FlipBook Version