รายงาน การศึกษาดูงานการสัมมนา เรื่อง สอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก (Dialogue) โดย นางสาวสุธาสินี สุกรรม รหัสนักศึกษา 6410121250010 นางสาวกิตติมา ผิวอ่อน รหัสนักศึกษา 6410121250015 นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาการประถมศึกษา เสนอ อาจารย์ทรงศักดิ์ สุริโยธิน รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิชาการสัมมนาการประถมศึกษา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 วิทยาลัยการฝึกหัดครูมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
เอกสารการเข้างานสอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก (Dialogue) หลักฐานการลงทะเบียนเข้าร่วมงานสอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก (Dialogue)
ประมวลภาพการเข้างานสอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก (Dialogue)
หลักฐานการเข้ารับการทดสอบงานสอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก (Dialogue) เพื่อรับเกียรติบัตร แบบประเมินการเข้าร่วมงานสอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก (Dialogue) เพื่อรับเกียรติบัตร
เกียรติบัตรการเข้าร่วมงานสอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก (Dialogue)
รูปภาพนักศึกษาเข้าร่วมงานสอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก (Dialogue) นางสาวสุธาสินี สุกรรม รหัส 010 นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาการประถมศึกษา นางสาวกิตติมา ผิวอ่อน รหัส 015 นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาการประถมศึกษา หลักฐานการเข้าร่วมงานสอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก (Dialogue)
รูปแบบการฝึกอบรมงานสอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก (Dialogue) ใช้รูปแบบการฝึกอบรมแบบบรรยาย ซึ่งเป็นการสื่อสารทางเดียว จึงที่เหมาะสมสำหรับเนื้อหาเชิง วิชาการ เทคนิคอบรมประเภทนี้ ต้องมีผู้เชี่ยวชาญและผู้มีความรู้ในทฤษฎีนั้น ๆ ผู้ให้การอบรมหรือวิทยากรมี ความรู้ในเนื้อหามากพอสมควร แต่ไม่เหมาะกับเนื้อหาที่มีการลงมือปฏิบัติ เพราะเป็นการบรรยายอย่างเดียว แต่อาจมีเอกสารประกอบ กระบวนการฝึกอบรม 1.วัตถุประสงค์ของการฝึกอบรมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ - เพื่อการเรียนรู้ที่พาให้ครูเข้าถึงคำตอบที่คาดไม่ถึงซึ่งจะรับรู้ได้ก็ต่อเมื่อครูเปิดโอกาสให้เกิดการ “สานเสวนา” ขึ้นในชั้นเรียน ซึ่งการพูดคุยสานเสวนาเป็นส่วนหนึ่งของ Learning by Doing โดยมี Dialogue เป็นเครื่องมือของครูในการชวนพูดชวนคุย นำความคิดของนักเรียนมาพูดคุยและรับฟังวิธีคิด - เพื่อเรียนรู้ซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้งที่ต้องอาศัยความตั้งใจจริง ความต่อเนื่อง ความอดทน ไม่ใช้การ โต้เถียงเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความไม่เข้าใจ และส่งเสริมสร้างความปรารถนาดีต่อกันนำไปสู่ความ ร่วมมือ ร่วมใจในการแก้ปัญหาร่วมกัน 2.คัดเลือกกลุ่มเป้าหมาย มีวิธีการโดยประชาสัมพันธ์ลงในเพจ facebook. ชื่อ เรียนออนไลน์กับ Starfish Labz รวมหลักสูตร พัฒนาตนเอง (มีชื่อเดิมเพจตอนเก็บหลักฐานไว้ว่า Starfish Academy พัฒนานักการศึกษา ผู้ปกครอง เพื่อ การจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ) ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนผ่านลิงก์ได้ทันที ดังนั้น กลุ่มเป้าหมายคือผู้ที่สนใจ เข้าร่วมการฝึกอบรม ไม่กำหนดอายุ เพศ หรืออาชีพ 3.เนื้อหาในการฝึกอบรม มีดังนี้ การเรียนรู้ที่พาให้ครูเข้าถึงคำตอบที่คาดไม่ถึงซึ่งจะรับรู้ได้ก็ต่อเมื่อครูเปิดโอกาสให้เกิดการ “สาน เสวนา”ขึ้นในชั้นเรียน ซึ่งการพูดคุยสานเสวนาเป็นส่วนหนึ่งของ Learning by Doing โดยมี Dialogue เป็น เครื่องมือของครูในการชวนพูดชวนคุย นำความคิดของนักเรียนมาพูดคุยและรับฟังวิธีคิด เพื่อเรียนรู้ซึ่งกันและ กันอย่างลึกซึ้งที่ต้องอาศัยความตั้งใจจริง ความต่อเนื่อง ความอดทน ไม่ใช้การโต้เถียงเป็นเครื่องมือสำคัญใน การลดความไม่เข้าใจ และส่งเสริมสร้างความปรารถนาดีต่อกันนำไปสู่ความร่วมมือ ร่วมใจในการแก้ปัญหา ร่วมกัน Learning by Doing แปลว่า การเรียนรู้ผ่านการกระทำ ซึ่งเป็นวิธีการเรียนรู้เชิงรุกโดยอิงจาก ประสบการณ์ของเด็กๆ ผ่านการกระทำ เพื่อซึมซับแนวคิดต่างๆ ทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้มากขึ้นเมื่อลงมือทำ กิจกรรมจริงๆ นอกจากนี้ยังกระตุ้นให้เด็กๆ ได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาด และมีสรุปผลหลังจากวิเคราะห์การ ปฏิบัติวัตถุประสงค์หลักที่สำคัญของ Learning by Doing คือการป้องกันไม่ให้นักเรียนลืมความรู้ที่เรียนรู้มา เมื่อเวลาผ่านไป เน้นย้ำผ่านประสบการณ์ แทนที่จะซึมซับแนวคิดผ่านความทรงจำอย่างเดียว นอกจากนี้ยัง
เป็นแรงจูงใจให้เด็กๆ ได้ศึกษา ค้นคว้าในเรื่องที่สนใจ ก่อนนำไปปฏิบัติจริง จึงทำให้เด็กๆ กระตือรือร้นอยากมี ส่วนร่วมในการเรียนมากขึ้น ทำให้เกิดความสนุกและมีความสุขในการเรียนมากกว่าที่เคยเป็น Learning by Doing คือทฤษฎีที่เกิดจาก จอห์น ดิวอี (John Dewey) ครูชาวอเมริกันในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งถือว่า เป็นบิดาแห่งการศึกษารูปแบบใหม่ โดยดิวอีคิดว่าการศึกษาควรจะมีความกระตือรือร้น Learning by Doing เลยยึดตามหลักปรัชญาที่มนุษย์มีการปรับตัวเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด จึงมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาให้เป็น ได้รับการ เรียนรู้จากการกระทำ จากกระบวนการต่างๆ ของประสบการณ์ที่มนุษย์ต้องได้เจอ 2 ประเภท ประเภทแรกคือ ขั้นปฐมภูมิ ประสบการณ์ใหม่ที่ยังไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ไตร่ตรอง และประเภทที่สองคือ ขั้นทุติยภูมิ ประสบการณ์ที่กลายมาเป็นความรู้ ผ่านกระบวนการทางความคิดไตร่ตรองมาเรียบร้อยแล้ว โดยประสบการณ์ ในขั้นปฐมภูมิมักจะเป็นรากฐานของประสบการณ์ในขั้นทุติยภูมิวิธีการสร้างองค์ความรู้แบบ Learning by Doing จากหลักการของทฤษฎี Learning by Doing คือการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองในสิ่งแวดล้อมที่ เหมาะสมสำหรับการเรียนรู้ โดยสามารถเกิดขึ้นได้ผ่านวิธีการดังต่อไปนี้ การสำรวจ (Explore) การสำรวจเป็นการสำรวจหรือค้นคว้า เริ่มจากตนเองว่ามีความสนใจในเรื่องใด ระหว่างที่มีการสำรวจ ก็จะได้ค้นพบกับสิ่งใหม่มากมาย ทำให้เด็กๆ ได้พยายามเรียนรู้ ทำความเข้าใจในเรื่องราวนั้นๆ เพิ่มเติม ไป จนถึงการได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากรอบตัวและเรื่องราวในชีวิตประจำวัน ถือเป็นการสำรวจอย่างหนึ่งเช่นกัน การทดลอง (Experiment) การทดลอง เป็นการนำสิ่งต่างๆ ที่ได้จากขั้นตอนการสำรวจมาเพื่อปรับใช้ไปในรูปแบบที่ต่างออกไป เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ใหม่ๆ ซึ่งอาจจะเป็นผลลัพธ์ที่ถูกต้องหรือผิดพลาดก็ได้ ถือเป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ นำมาเป็นความรู้กักเก็บไว้ในสมองต่อไป การเรียนรู้จากการกระทำ (Learning by Doing) การเรียนรู้จากการกระทำ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการสำรวจ ทดลอง โดยจะต้องลงมือทำ ผ่านการ ปฏิบัติกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้ได้รับการเรียนรู้ผ่านการกระทำนั้นๆ จนสามารถสร้างเป็นองค์ความรู้ ของตนเองขึ้นมาได้การกระทำเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ (Doing by Learning) การกระทำเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ คือการนำองค์ความรู้ที่ได้จากการกระทำมาต่อยอดให้เกิดการเรียนรู้อื่นๆ โดยส่วนใหญ่มักจะได้เรียนรู้ในการ ปรับตัวให้เข้ากับแต่ละสภาพแวดล้อม การแก้ไขปัญหา การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เป็นต้น ซึ่งช่วยส่งเสริมให้เด็ก มีการเรียนรู้ที่ดีได้ การสอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก คือแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบที่เรียกว่า Active Learning หรือการเรียนรู้เชิงรุก โดยมีเป้าหมายเพื่อฝึกนักเรียนให้เรียนรู้จากการปฏิบัติตามด้วยการคิดที่เรียกว่าการ ใคร่ครวญสะท้อนคิด (reflection) ที่นำไปสู่การฝึกทักษะการเรียนรู้ที่นักเรียนทำกับการเรียนรู้ของตนเอง
(self-directed learning) ผ่าน กระบวนการสานเสวนา (Dialogue) ระหว่างนักเรียนกับครูและระหว่าง นักเรียนกับเพื่อนนักเรียนด้วยกัน สานเสวนา (Dialogue) คือ การแลกเปลี่ยนกันทางวาจาที่มีความพิถีพิถันด้านสารสนเทศความคิด (idea) ข้อมูลหรือสารสนเทศ (information) และข้อคิดเห็น โดยสานเสวนามีมิติด้านการฟังกัน และการไม่ ด่วนตัดสินอยู่ด้วย ซึ่งครูต้องมีความสามารถในการตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนคิด และสามารถสร้าง บรรยากาศให้ผู้เรียนได้ถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นคำพูดคือการสะท้อนความคิดของตัวเองแล้วก็ต้องสร้าง บรรยากาศให้เกิดความสนใจ อยากฟังซึ่งกันและกัน เป้าหมายของการพูดในห้องเรียนมีอย่างน้อย 6 ประการคือ 1.การกระตุ้นการคิด 2.การกระตุ้นการเรียนรู้ 3.การสื่อสาร 4.การสร้างความสัมพันธ์เชิงประชาธิปไตย 5.เพื่อการสอน 6.เพื่อการประเมิน ดังนั้นครูต้องใช้คำพูดที่ช่วยเปิดทางหรือการชี้ทางเพื่อให้นักเรียนเข้าถึงหลักการและกรอบความคิดได้ ง่ายขึ้น โดยครูจะต้องทำตัวเป็นนักปฏิบัติการ ที่มีความสร้างสรรค์ในการจัดบรรยากาศเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ได้มากที่สุด เช่นแทนที่ครูจะเป็นผู้ถามฝ่ายเดียวครูจะต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนเป็นผู้ตั้งคำถาม เพื่อถามเปิดประเด็นการเรียนรู้ เป็นต้น ข้อแตกต่างของกิจกรรมในชั้นเรียนที่ใช้ “การสอนเสวนา” กับชั้นเรียนที่สอนแบบเดิม 1.การใช้คำถามปลายปิดกับคำถามปลายเปิด ครูในกลุ่มการสอนแบบเสวนาจะใช้คำถามปลายเปิด มากกว่าครูที่ใช้การสอนแบบเดิม 2.มีการเปลี่ยนรูปแบบของการพูดของครูที่ต้องพูดให้นักเรียนได้คิดและได้ตอบด้วยตัวเอง 3.คุณครูใช้คำถามปลายเปิดมากขึ้นอย่างชัดเจน โดยใช้คำถาม 3 ระดับคือ 1.) คำถามเพื่อหาข้อมูลทั่วไป 2.) คำถามเพื่อหาเหตุผล 3.) คำถามเพื่อชวนหาทางเลือก 4.มีดุลยภาพระหว่างคำพูดของนักเรียนแบบตอบสั้นๆกับการพูดแบบมีการขยายความ 5.รูปแบบการพูดของนักเรียนเป็นการพูดคำอธิบายที่สะท้อนการคิดระดับสูงเพิ่มขึ้น
“สิทธิที่จะเงียบ” (GRIGHT TO BE SILENT) นักเรียนมีสิทธิที่จะไม่พูด ไม่ตอบคำถามไม่เปล่งวาจา คุณครูจะต้องตระหนักและจัดการสิทธิของเด็กอย่างถูกวิธี ครูต้องรู้ว่านักเรียนมีปัญหาในการสื่อสารหรือไม่ อย่างไร ถ้ามีปัญหาต้องหาทางช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีไม่ปล่อยให้เป็นปัญหาระยะยาวของนักเรียนผู้นั้น การพูดเพื่อนำไปสู่การขยายความ คือครูจะต้องมีเป้าหมายว่านักเรียนแต่ละคนจะแชร์และทำความ ชัดเจนต่อความคิดของตนเอง นั่นคือ เด็กจะมีเวลาคิด จะมีคนพูดและคนฟัง มีการเขียนในช่วงเวลาที่กำลัง คิด หรือถ้าฟังไม่ชัดเจนก็สามารถที่จะขอให้พูดอีกทีได้ไหม หรือให้ยกตัวอย่างได้ไหม เป็นต้น ดังนั้นเป้าหมายที่ สำคัญที่สุดคือ นักเรียนจะต้องฟังซึ่งกันและกันอย่างตั้งใจมากขึ้น โดยมีการใช้คำพูดใหม่หรือพูดซ้ำ เพื่อให้เกิด ความเข้าใจได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น อาจจะมีการหาหลักฐานมาสนับสนุนความคิดได้มากขึ้น หลักฐานคืออะไร หา ข้อสรุปร่วมกัน หรือหาเหตุการณ์ที่ท้าทายหรือยกตัวอย่างข้อโต้แย้งในชั้นเรียนเพื่อสร้างความเข้าใจมากยิ่งขึ้น อย่างมีประชาธิปไตย อาจจะมีการไม่เห็นด้วย จะต้องมีการเคารพความคิดเห็นส่วนใหญ่นั่นเอง สุดท้ายที่สำคัญ ที่สุดในการจัดบรรยากาศในชั้นเรียนไม่ให้เงียบเหงาให้เป็นบรรยากาศที่ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ได้มาก ที่สุดในการส่งเสริมความสนใจใคร่รู้ใคร่เรียนให้แก่ผู้เรียน ย่อมเป็นแรงจูงใจภายนอกที่กระตุ้นให้ผู้เรียนรักการ เรียน รักการอยู่ร่วมกันในชั้นเรียน และช่วยปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ความประพฤติอันดีงามให้แก่นักเรียน เรียนรู้อย่างมีความสุขและสนุกในการเรียนรู้นั่นเอง ดังนั้น สอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก (Dialogue) เป็นแนวทางสอนด้วยคำพูด ที่ใช้พลังของการสาน เสวนา เพื่อกระตุ้นและขยายความคิด การเรียนรู้ และความเข้าใจของนักเรียน และเพื่อเอื้อให้นักเรียนอภิปราย ให้เหตุผล และโต้แย้งการสอนด้วยสานเสวนา (Dialogue) เป็นการเชื่อมการพูด การคิด ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ความรู้ และวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน ก่อตัวเป็นกรอบความคิด ความเชื่อและคุณค่า รวมทั้งพัฒนาวิธีพูดและวิธีฟัง เพื่อการพัฒนานักเรียนได้อย่างมีคุณภาพตามแนวทางของการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ทั้งนี้สามารถรับฟัง เพิ่มเติมได้ที่
4.ขั้นตอนการฝึกอบรม มีดังนี้ 4.1 พิธีกรทักทาย มีกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนเริ่มการฝึกอบรม ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาการฝึกอบรม เน้นไปที่ ความสนุกสนาน เช่น ให้ผู้เข้าร่วมอบรมทายชื่อเพลง โดยจะมีพยัญชนะ หรือสระมาให้ แต่จะมีพยัญชนะ หรือ สระบางตัวหายไป 4.2 พิธีกรแนะนำวิทยากร โดยกล่าวถึงประวัติส่วนตัวเล็กน้อย ชื่อ-นามสกุล ปัจจุบันทำอาชีพอะไร สามารถให้ ความรู้ ความเข้าใจในหัวข้อการฝึกอบรบได้ 4.3 วิทยากรให้ความรู้ มีกิจกรรมให้ทำเล็กน้อย ได้ให้ประเด็นความหมายของ Dialogue ไว้อย่างชัดเจนคือ “การทำให้เด็กมีความมุ่งมั่นต่อการทำอะไรก็แล้วแต่ ต้องทำให้มีคุณภาพสูง สิ่งนี้ยิ่งใหญ่ที่สุด” เป็นความหมาย ที่ให้ไว้อย่างน่าคิดและเป็นความหมายที่คุณครูจะต้องนำมายึดถือปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก คือแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบที่เรียกว่า Active Learning หรือการ เรียนรู้เชิงรุก โดยมีเป้าหมายเพื่อฝึกนักเรียนให้เรียนรู้จากการปฏิบัติตามด้วยการคิดที่เรียกว่าการใคร่ครวญ สะท้อนคิด (reflection) ที่นำไปสู่การฝึกทักษะการเรียนรู้ที่นักเรียนทำกับการเรียนรู้ของตนเอง (selfdirected learning) ผ่าน กระบวนการสานเสวนา (Dialogue) ระหว่างนักเรียนกับครูและระหว่างนักเรียนกับ เพื่อนนักเรียนด้วยกัน สานเสวนา (Dialogue) คือ การแลกเปลี่ยนกันทางวาจาที่มีความพิถีพิถันด้านสารสนเทศความคิด (idea) ข้อมูลหรือสารสนเทศ (information) และข้อคิดเห็น โดยสานเสวนามีมิติด้านการฟังกัน และการไม่ด่วนตัดสิน อยู่ด้วย ซึ่งครูต้องมีความสามารถในการตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนคิด และสามารถสร้างบรรยากาศให้
ผู้เรียนได้ถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นคำพูดคือการสะท้อนความคิดของตัวเองแล้วก็ต้องสร้างบรรยากาศให้ เกิดความสนใจ อยากฟังซึ่งกันและกัน เป้าหมายของการพูดในห้องเรียนมีอย่างน้อย 6 ประการคือ 1.การกระตุ้นการคิด 2.การกระตุ้นการเรียนรู้ 3.การสื่อสาร 4.การสร้างความสัมพันธ์เชิงประชาธิปไตย 5.เพื่อการสอน 6.เพื่อการประเมิน ดังนั้นครูต้องใช้คำพูดที่ช่วยเปิดทางหรือการชี้ทางเพื่อให้นักเรียนเข้าถึงหลักการและกรอบความคิดได้ ง่ายขึ้น โดยครูจะต้องทำตัวเป็นนักปฏิบัติการ ที่มีความสร้างสรรค์ในการจัดบรรยากาศเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ได้มากที่สุด เช่นแทนที่ครูจะเป็นผู้ถามฝ่ายเดียวครูจะต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนเป็นผู้ตั้งคำถาม เพื่อถามเปิดประเด็นการเรียนรู้ เป็นต้น ข้อแตกต่างของกิจกรรมในชั้นเรียนที่ใช้ “การสอนเสวนา” กับชั้นเรียนที่สอนแบบเดิม 1.การใช้คำถามปลายปิดกับคำถามปลายเปิด ครูในกลุ่มการสอนแบบเสวนาจะใช้คำถามปลายเปิดมากกว่าครูที่ ใช้การสอนแบบเดิม 2.มีการเปลี่ยนรูปแบบของการพูดของครูที่ต้องพูดให้นักเรียนได้คิดและได้ตอบด้วยตัวเอง 3.คุณครูใช้คำถามปลายเปิดมากขึ้นอย่างชัดเจน โดยใช้คำถาม 3 ระดับคือ 1.) คำถามเพื่อหาข้อมูลทั่วไป 2.) คำถามเพื่อหาเหตุผล 3.) คำถามเพื่อชวนหาทางเลือก 4.มีดุลยภาพระหว่างคำพูดของนักเรียนแบบตอบสั้นๆกับการพูดแบบมีการขยายความ 5.รูปแบบการพูดของนักเรียนเป็นการพูดคำอธิบายที่สะท้อนการคิดระดับสูงเพิ่มขึ้น “สิทธิที่จะเงียบ” (GRIGHT TO BE SILENT) นักเรียนมีสิทธิที่จะไม่พูด ไม่ตอบคำถามไม่เปล่งวาจาคุณครู จะต้องตระหนักและจัดการสิทธิของเด็กอย่างถูกวิธี ครูต้องรู้ว่านักเรียนมีปัญหาในการสื่อสารหรือไม่อย่างไร ถ้ามีปัญหาต้องหาทางช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีไม่ปล่อยให้เป็นปัญหาระยะยาวของนักเรียนผู้นั้น การพูดเพื่อ นำไปสู่การขยายความ คือครูจะต้องมีเป้าหมายว่านักเรียนแต่ละคนจะแชร์และทำความชัดเจนต่อความคิด
ของตนเอง นั่นคือ เด็กจะมีเวลาคิด จะมีคนพูดและคนฟัง มีการเขียนในช่วงเวลาที่กำลังคิด หรือถ้าฟังไม่ชัดเจน ก็สามารถที่จะขอให้พูดอีกทีได้ไหม หรือให้ยกตัวอย่างได้ไหม เป็นต้น ดังนั้นเป้าหมายที่สำคัญที่สุดคือ นักเรียน จะต้องฟังซึ่งกันและกันอย่างตั้งใจมากขึ้น โดยมีการใช้คำพูดใหม่หรือพูดซ้ำ เพื่อให้เกิดความเข้าใจได้ชัดเจน มากยิ่งขึ้น อาจจะมีการหาหลักฐานมาสนับสนุนความคิดได้มากขึ้น หลักฐานคืออะไร หาข้อสรุปร่วมกัน หรือ หาเหตุการณ์ที่ท้าทายหรือยกตัวอย่างข้อโต้แย้งในชั้นเรียนเพื่อสร้างความเข้าใจมากยิ่งขึ้นอย่างมีประชาธิปไตย อาจจะมีการไม่เห็นด้วย จะต้องมีการเคารพความคิดเห็นส่วนใหญ่นั่นเอง สุดท้ายที่สำคัญที่สุดในการจัด บรรยากาศในชั้นเรียนไม่ให้เงียบเหงาให้เป็นบรรยากาศที่ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ได้มากที่สุดในการ ส่งเสริมความสนใจใคร่รู้ใคร่เรียนให้แก่ผู้เรียน ย่อมเป็นแรงจูงใจภายนอกที่กระตุ้นให้ผู้เรียนรักการเรียน รักการ อยู่ร่วมกันในชั้นเรียน และช่วยปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ความประพฤติอันดีงามให้แก่นักเรียนเรียนรู้อย่างมี ความสุขและสนุกในการเรียนรู้นั่นเอง ดังนั้น สอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก (Dialogue) เป็นแนวทางสอนด้วยคำพูด ที่ใช้พลังของการสาน เสวนา เพื่อกระตุ้นและขยายความคิด การเรียนรู้ และความเข้าใจของนักเรียน และเพื่อเอื้อให้นักเรียนอภิปราย ให้เหตุผล และโต้แย้งการสอนด้วยสานเสวนา (Dialogue) เป็นการเชื่อมการพูด การคิด ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ความรู้ และวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน ก่อตัวเป็นกรอบความคิด ความเชื่อและคุณค่า รวมทั้งพัฒนาวิธีพูดและวิธีฟัง เพื่อการพัฒนานักเรียนได้อย่างมีคุณภาพตามแนวทางของการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ทั้งนี้สามารถรับฟัง เพิ่มเติมได้ที่ 4.4 เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมอบรมถามคำถามที่สงสัยกับวิทยากร 4.5 ทำแบบทดสอบการประเมินการฝึกอบรบ เพื่อรับเกียรติบัตร
5.การประเมินผลการฝึกอบรม มีวิธีการประเมินผลการฝึกอบรม คือ การให้ผู้ที่เข้าร่วมการอบรมทุกคน หลัง จบการอบรมแล้วต้องทำแบบทดสอบจำนวน 10 ข้อ เป็นข้อสอบปรนัยแบบ 4 ตัวเลือก ข้อสอบเกี่ยวกับเรื่องที่ อบรมไปทั้งหมด เช่น ครูควรใช้คำถามกับนักเรียนอย่างไร ถึงจะเห็นมุมมองแนวคิดของผู้เรียน, สานเสวนา มี องค์ประกอบการพูดที่สำคัญอะไรบ้าง เป็นต้น และเมื่อทำถูกทั้ง 10 ข้อ ผู้เข้าร่วมอบรมจะได้รับเกียรติบัตร สรุปเนื้อหาการเข้าร่วมงานสอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก (Dialogue) Dialogue คือ การแลกเปลี่ยนทางวาจาที่มีความพิถีพิถันด้านสารสนเทศ ความคิด ข้อมูลหรือ สารสนเทศ และข้อคิดเห็น ทำไมจึงต้องมีการสานเสวนา 1.นักเรียนให้ในห้องไม่ค่อยตอบ หรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ครูถาม ดังนั้น ในคาบการเรียนการ สอนนั้นก็จะมีแต่ครูที่เป็นผู้พูดคนเดียว ไม่มีการตอบสนองของนักเรียน การสานเสวนาจะเป็นตัวช่วยให้เกิด การพูดคุยกัน ระหว่างนักเรียน และครูผู้สอน การสานเสวนาควรเป็นอย่างไร 1.ครูผู้สอนพูดคุยกับนักเรียน หรืออาจให้นักเรียนพูดคุยกันบ้าง โดยการสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ ให้เกิดบรรยากาศที่อิสระ เพื่อให้รู้สึกสบาย ๆ ผู้เรียนกล้าที่จะถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นคำพูด กล้าตอบ กล้าพูด กล้าแสดงความคิดเห็น และต้องสร้างบรรยากาศให้สนใจอยากฟังซึ่งกันและกัน 2.สลับบทบาทให้นักเรียนเป็นผู้ตั้งคำถามบ้าง อาจจะถามเพื่อน หรือถามครู วิธีการนี้นั้นครูผู้สอน อาจจะต้องปรีบเปลี่ยนวิธีการสอน หรือมีสื่อการสอนที่สามารถทำให้นักเรียนเป็นผู้ถามได้อย่างธรรมชาติ ไม่เช่นนั้นหากสลับบทบาทกะทันหัน นักเรียนจะเกิดความกดดันกว่าเดิมและไม่สามารถกลายเป็นการสาน เสวนาที่ดีได้ 3.มีเป้าหมายในการพูด ซึ่งเป้าหมายการพูดในห้องเรียน มีอย่างน้อย 6 ประการ คือ 3.1 กระตุ้นความคิด 3.2 กระตุ้นการเรียนรู้ 3.3 สื่อสาร 3.4 สร้างความสัมพันธ์เชิงประชาธิปไตย 3.5 เพื่อสอน 3.6 เพื่อประเมิน
4.ครูต้องช่วยชี้ทาง นั้นคือ ครูใช้คำพูดที่ช่วยเปิดทางหรือชี้ทาง (scaffold) ให้นักเรียนเข้าถึงหลักการ และกรอบความคิดได้ง่ายขึ้น โดยหนังสือแนะนําว่า ครูพึงทำตัวเป็นนักปฏิบัติการ สร้างสรรค์ (creative practitioner) สบายใจที่จะปล่อยให้มีบรรยากาศเงียบเป็นช่วง ๆ และส่งเสริมให้มีการสับบทบาท คือแทนที่ ครูเป็นผู้ตั้งคำถาม กลับมอบหมายหรือเปิดโอกาสให้นักเรียนเป็นผู้ตั้งคำถามเปิดประเด็นเรียนรู้ข้อ แตกต่างของการสอนในชั้นเรียนปกติ กับในชั้นเรียนที่มีกิจกรรมการสานเสวนา 1.ครูที่มีการสานเสวนาจะมีคำถามปลายเปิดมากกว่าครูในชั้นเรียนปกติ ซึ่งจะทำให้เวลานักเรียนตอบ หรือถามกลับ ครูผู้สอนจะสามารถใคร่ครวญเกี่ยวกับนักเรียนได้ดีกว่าเดิม ได้เห็นความรู้ ความเข้าใจของ นักเรียน 2.มีการเปลี่ยนรูปแบบคำพูดของครูครูต้องมีการเซ็ตคำถามอยู่ในใจว่า จะถามอย่างไร อาจถามเพื่อ เน้นย้ำให้กับนักเรียน หรือถามเพื่อสังเกตนักเรียน 3.ครูใช้คำถามปลายเปิดมากขึ้นอย่างชัดเจน โดยครูต้องมีการวางแผนมาแล้วว่าจะถามเด็กอย่างไร เพื่อให้เด็กเกิดกระบวนการคิดอย่างชัดเจน ซึ่งมีการถาม 3 ระดับ ได้แก่ • คำถามเพื่อหาข้อมูลทั่วไป เช่น เกิดอะไรขึ้น, เหตุการณ์เป็นยังไง, นักเรียนมีความรู้สึกอะไร ต่อ เหตุการณ์นั้น • คำถามเพื่อหาเหตุผล เช่น คิดว่าเหตุการณ์นั้น เกิดจากอะไร, อะไรทำให้นักเรียนคิดและเชื่อแบบ นั้น • คำถามเพื่อชวนหาทางเลือก เช่น ถ้าสถานการณ์ เป็นเช่นนี้ เราจะทำยังไงได้บ้าง, มีทางเลือกอื่น อีกไหม อะไรบ้าง, คิดว่าแต่ละทางเลือกที่นึกออก ตอนนี้ ถ้าเกิดขึ้นจริง จะมีผลอะไรตามมาบ้าง 4.มีดุลยภาพระหว่างคำพูดของนักเรียนแบบตอบสั้น ๆ กับพูดแบบมีการขยายความ คำตอบสั้นๆ มัก เป็นการตอบคำถามปลายปิดที่เน้นดู ว่าตอบถูก หรือผิด ส่วนคำตอบยาวมักเป็นคำตอบ ต่อคำถามปลายเปิด ที่นักเรียน ให้คำตอบพร้อม ข้อมูลหลักฐานสนับสนุนหรืออ้างอิง และมีคำ อธิบายการคิด หรือให้เหตุผล การ สอนแนวสานเสวนามุ่งให้มีคำตอบแบบขยายความเพิ่มพื้น เพื่อเป็นการเน้นให้นักเรียนตอบคำถามด้วยความ คิดเห็นของตนเอง 5.รูปแบบการพูดคุยของนักเรียน นักเรียนในกลุ่มเรียนแนวสานเสวนาให้ คำอธิบายที่สะท้อนการคิด ระดับสูงเพิ่มขึ้น ทั้งที่คำอธิบาย การวิเคราะห์ การโต้แย้ง และการตัดสิน รวมทั้งคำพูดมีลักษณะ สานเสวนา เพิ่มขึ้น ประโยชน์ เมื่อเราเป็นนักศึกษาฝึกสอน เราอาจจะได้เจอสภาพนักเรียนจริง ๆ ที่ไม่ใช่การทดลองสอนกับ เพื่อนในห้องเรียน เราอาจจะได้พบความแตกต่างว่า นักเรียนไม่กล้าพูด ไม่กล้าตอบ หรือเราอาจจะไม่รู้ว่าต้อง คุยกับนักเรียนอย่างไร การที่เราฝึกอบรมเรื่องสานเสวนาก็จะเป็นตัวช่วยให้เราได้ว่า เราจะพูดคุยกับนักเรียน
อย่างไร ซึ่งการสานเสวนา นอกจากจะทำให้เราสามารถพูดคุยกับนักเรียนได้มากขึ้นแล้ว ยังสามารถใช้เพื่อ ตรวจสอบความรู้ ความเข้าใจของนักเรียนหลังจากที่เราสอนจบบทเรียนลงอีกด้วย และที่สำคัญหากเราได้เจอ นักเรียนที่ไม่กล้าตอบ ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น สนใจอย่างอื่นมากกว่าครู ไม่สนใจที่จะตอบครู การสานเสวนา นี้ จะทำให้เกิดบรรยากาศการเรียนรู้ที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น จะทำให้อยากฟังซึ่งกันและกัน การเรียนการสอน เป็นไปอย่างราบรื่น ครูบรรลุวัตถุประสงค์ในการสอน ได้รู้ว่านักเรียนเข้าใจมากน้อยเพียงไรจากคำถาม ความ คิดเห็น นักเรียนมีความสุขเมื่อได้ถามสิ่งที่สงสัย ได้แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ ความประทับใจ 1.วิทยากรใช้คำพูด และอธิบายได้เข้าง่าย มีการยกตัวอย่างจากประสบการณ์จริงที่เจอ มีการให้ ผู้เข้าร่วมอบรมพูดถึงปัญหาของตน แล้วพูดถึงว่าจะใช้การสานเสวนาแก้ไขปัญหาได้อย่างไร ทำให้สามารถ เข้าใจได้กว่าการพูดบรรยายเฉย ๆ 2.สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง เพราะการสานเสวนาเป็นเรื่องที่ใกล้ตัว หากเราประยุกต์ใช้ได้เป็น อย่างดีก็จะทำให้การเรียนการสอนเป็นไปอย่างดีด้วยเช่นกัน ความพัฒนาตนเอง 1.เมื่อเราเรียนรู้ในเรื่องการสานเสวนา จากการที่เราเคยทดลองสอน เราอาจจะพอรู้สไตล์การสอนของ ตนเอง เราก็สามารถนำการสานเสวนามาปรับเปลี่ยนวิธีการสอนของตนเองด้วย เราต้องเป็นครูที่ชวนนักเรียน คุยมากขึ้น รู้จักใช้คำถามปลายเปิด ใช้คำถามจากสิ่งที่นักเรียนพูดขึ้นมา เพื่อให้นักเรียนพูดมากขึ้น หรืออาจใช้ คำถามต่อจากเรื่องที่พูด เพื่อเป็นการเชื่อม
เอกสารอ้างอิงงานสอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก (Dialogue)