The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยในชั้นเรียน เรื่อง ระบบสุริยะ ป.4

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by jittanan.25, 2022-09-06 10:49:15

วิจัยในชั้นเรียน เรื่อง ระบบสุริยะ ป.4

วิจัยในชั้นเรียน เรื่อง ระบบสุริยะ ป.4

การศกึ ษาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นรายวิชาวทิ ยาศาสตร์ เรื่อง ระบบสรุ ยิ ะ ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 4
โรงเรียนบ้านตาราม โดยการใช้นวตั กรรมแบบคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน (CAI)

จติ ตานนั ท์ บุญบรรลุ
ตาแหน่ง ครผู ชู้ ว่ ย

โรงเรยี นบ้านตาราม
สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาบุรีรมั ย์ เขต 2

สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน
กระทรวงศึกษาธกิ าร

ชอ่ื งานศึกษา วจิ ยั ในช้นั เรียน

ชือ่ ผู้วจิ ยั การศึกษาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบสุรยิ ะ ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 4
ตาแหน่ง โรงเรียนบา้ นตาราม โดยการใช้นวตั กรรมแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI)
ปกี ารศกึ ษา นางสาวจิตตานนั ท์ บุญบรรลุ
ครูผชู้ ่วย
2564

บทคัดยอ่

การวิจัยในคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียน-หลังเรียน
วิชาวิทยาศาสตร์ โดยการใช้นวัตกรรมแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของ
นกั เรียนต่อการเรียนรโู้ ดยการใชน้ วัตกรรมแบบคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน (CAI)

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยโดยกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านตาราม
จานวน 26 คน ได้มาโดยการเลือกแบบยกช้ัน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ประกอบด้วย 1) ชุดกิจกรรมการ
สอนนวัตกรรมแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) เรื่อง ระบบสุริยะ 2) แบบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชา
วิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบสุริยะ 3) แบบวัดประเมินผลด้านทักษะกระบวนการในการใช้นวัตกรรม แบบวัด
ประเมินผลด้านความมีวินัย แบบวัดประเมินผลด้านความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ใช้
ค่าสถิติที (t-test) แล้วสรุปเป็นความเรียงและแบบประเมินความพึงพอใจ ในการจัดการเรียนรู้ด้วยนวัตกรรม
แบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) เร่อื ง ระบบสุรยิ ะ โดยใชเ้ กณฑม์ าตราประมาณค่า 5 ระดับ

ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียน
บ้านตาราม โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบนวัตกรรมแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) เร่ือง ระบบสุริยะ มี
คะแนนเฉลี่ยจากการทดสอบก่อนเรยี นเท่ากับ 7.35 และคะแนนเฉล่ยี จากการทดสอบหลงั เรยี นเท่ากับ 10.50
ตามลาดับ โดยเฉลี่ยแล้วมีความก้าวหน้าเท่ากับ 3.15 ซ่ึง มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูงกวา่ ก่อนเรยี น
อยา่ งมีนัยสาคัญทางสถติ ิที่ระดับ 0.01 2) ผลการวิเคราะห์แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรยี นส่วนใหญ่มี
ความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้การจดั การเรียนรู้แบบนวัตกรรมแบบคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน (CAI) เรื่อง ระบบ
สรุ ิยะ โดยคา่ เฉล่ียเทา่ กับ 3.84 อยใู่ นระดับมาก

บทนาและความสาคัญ

ปจั จุบนั องค์ความร้ใู นศาสตร์ต่าง ๆ มกี ารพฒั นาอย่างรวดเรว็ โดยเฉพาะอย่างยิงองค์ ความรู้ทางด้าน
เทคโนโลยีท่ีลาหน้า ทาให้ความรู้ท่ีเป็นปัจจุบันเกิดข้ึนยากตามไปด้วย การเรียนรู้จึงมิได้เป็นเพียงการถ่ายถอด
ความรู้จากผู้สอนสู่ผู้เรียน หรือ ที่เรียกว่าการเรียนการ สอนในระบบ Education 1.0 อย่างเช่นในอดีตท่ีผ่าน
มา ซงึ การพัฒนาระบบการเรียนการ สอนดว้ ยการนาเทคโนโลยี มาใชเ้ ป็นเคร่ืองมอื ในการจดั การเรียนการสอน
หรอื ทีเ่ รยี กว่า Education 2.0 แต่กย็ งั ไมส่ ามารถนาไปสกู่ ารพฒั นาผเู้ รยี นให้มีคณุ ลักษณะอันพึงประสงคไ์ ด้ ดี
เท่าท่ีควร และได้มีการปรับการเรียนการสอนเข้าสู่ระบบ Education 3.0 ด้วยการส่งเสริมให้ ผู้เรียนแสวงหา

ความรู้ด้วยตนเองจากสื่อการสอนทุกรูปแบบ ทั้งส่ือส่ิงพิมพ์และสื่อดิจิทัล ผสม กับการทางาน เป็นกลุ่มและ
ปรับการสอนให้มีรูปแบบ Interactive learning รวมทัง การนาส่ือ สังคมออนไลน์ (Social Media) เข้ามา
เปน็ เคร่ืองมือช่วยในการพัฒนาการเรยี นการสอนมาก ย่ิงขนึ้ ซึงคลาวดเ์ ป็นตน้ เหตุทาให้รปู แบบการศึกษากลับ
ด้าน “Flipped model” สิงท่ีครตู อ้ ง เข้าใจ Gen Z ในเรอื ง life style ที่เปล่ียนไป การเรียนที่เปล่ียนไป การ
เข้าสังคมแบบใหม่ การเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่ในยุคดิจิทัล ความรู้ล่องลอยอยู่บนคลาวด์ ความรู้ที่เป็นเน้ือหา
มองเห็นงา่ ย ซึงต้องใช้ทฤษฎีการเรยี นร้แู บบBehaviorism, Cognitivism, Constructivism, 9 Connectivism
โดยการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล โมเดลการเรียนรู้ไปสู่การค้นหา ใช้ขุมความรู้ ดิจิทัล ความรู้บนคลาวด์เป็นหัวใจ
การศึกษายุคใหม่ เมืออยากรู้อะไรก็สอยลงมา เมือครูถาม ผู้เรียนก้มดูจากสมาร์ทโฟน แล้วเงยหน้าตอบ การ
เรียนการสอนในวนั น้ีตอ้ งเน้นทักษะ มากกว่าเน้ือหา โดยที่ผู้สอนเป็นผู้บรรยายหรอื สอนหนังสือ ซึงผู้เรียนเปน็
ผู้ตรวจสอบข้อมูลท่ี สอนได้ทันที่ โดยเข้าถึงกลุ่มข้อมูล จากความรู้ในคลาวด์ ได้ง่ายและเร็วมาก ถ้าผู้สอนมี
เน้ือหาถกู ตอ้ งขอ้ มลู แม่น เพราะถูกตรวจสอบ

ความท้าท้ายสู่กรอบความคิดใหม่ (New Paradigm) ต้องคานึงถึง การศึกษาที่จัดข้ึน เฉพาะบุคคล
(individual person) การนาจดุ เดน่ ความเก่งของแต่ละคนออกมา (Bring the Best in one’s Talents) การ
เกี่ยวข้องกับสิงแวดล้อมทางดิจิทัลที่เปล่ียนแปลงเร็ว (Information Climates) ความรู้จะไม่มีประโยชน์อะไร
ถ้าเอามาใช้ไม่เป็น (Knowledge is Useless without Application) การเข้ากันได้กับระบบเดิม (Least
Partially Compatible with Old System) การมีต้นทุนต่า (Cost Effective) การเช่ือมโยงกับการพัฒนา
ความเจรญิ ของมนุษย์ การเปลีย่ นกรอบความคดิ สาหรับ Generation Z ในการมีทกั ษะ (Skill) มี ความสาคญั
มากกว่าเนื้อหา (Content) กระบวนการเรียนรู้มีความสาคัญมากกว่าหลักสูตร ความรู้มีมากกว่าหลักสูตร ไม่
ควรมีกรอบความคิด บูรณาการความรู้กับชีวิต และการใช้ ประโยชน์ คิดได้เอง สร้างสรรค์ วิเคราะห์
สังเคราะหไ์ ด้ มีความสาคญั มากกว่าการทอ่ งจา 10 และเทคโนโลยชี ่วยการเรียนรู้และพฒั นา มีความสาคญั กว่า
การเรียนในห้อง ทิศทางทักษะ ต้องมากกว่า 3Rs คือ การอ่าน R การเขียน wRite และการคิดเลข–
aRithematics ยังต้องมองหาทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 เชน่ ทกั ษะการเปน็ ผู้นาผู้ตามทด่ี ี (Leadership) ทกั ษะ
ความรู้ ความเข้าใจใช้ดิจิทัล (Digital Literacy) ทักษะการสื่อสาร (Communication) ทักษะการรู้จัก ตัวตน
และอยู่ร่วมกับผู้อื่น (Emotional Intelligence) ทักษะการเป็นผู้ริเริมก่อการ (Entrepreneurship) ทักษะ
ความเป็นนานาชาติ (Global citizen) ทักษะการแก้ปัญหา (Problem Solving) ทักษะการทางานเป็นทีม
(Teamwork) เป็นการปฏิวตั ิ Arab Spring ผ่านการใช้ Social Media

ในยุคปัจจุบันวิทยาศาสตร์มีความสาคัญและมีบทบาทอย่างมากในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคตทั้งน้ี
เนื่องจากวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับชีวิตของทุกคนท้ังในการดาเนินชีวิตประจาวัน การประกอบอาชีพต่าง ๆ
ล้วนต้องเก่ียวข้องกับวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น ประกอบกับในปัจจุบันเครื่องมือเคร่ืองใช้ต่าง ๆ มากมายผลิตมาเพ่ือ
อานวยความสะดวกในชวี ิตและการทางานลว้ นเกี่ยวข้องและเปน็ ผลมาจากการคิดค้นทางวิทยาศาสตร์ ในทาง
กลับกันเทคโนโลยีท่ีทันสมัยก็มีส่วนสาคัญในการศึกษาค้นคว้าความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างไม่หยุดยั้งเช่นกัน
(อไุ ร จนั ทมตั ตกุ าร. 2549 : 1)

จากหลักการและเหตุผลดังกล่าว ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ เร่ือง
ระบบสุริยะ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านตาราม โดยการใช้นวัตกรรมแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI)
สามารถเพม่ิ ประสิทธิภาพการสอนของครูให้ผู้เรียนมีผลการเรียนทด่ี ีข้ึน ในดา้ นผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น ทกั ษะ
กระบวนการในการใชน้ วัตกรรม ความมีวินัยและความพึงพอใจ เพ่ือจะนาผลที่ได้ไปใช้ใหเ้ ป็นประโยชน์ในการ
นาไปพฒั นาการจัดการเรียนร้วู ิชาวทิ ยาศาสตร์ ให้มปี ระสิทธภิ าพ และได้มาตรฐานตอ่ ไป

วัตถปุ ระสงคข์ องการวิจยั

1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียน-หลังเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ โดยการใช้
นวตั กรรมแบบคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน (CAI)

2. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนกั เรยี นต่อการเรยี นรู้โดยการใชน้ วัตกรรมแบบคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน (CAI)

สมมติฐานการวิจยั

1. ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นหลังเรยี นวชิ าวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียน
บ้านตาราม โดยการใช้นวตั กรรมแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) มผี ลสัมฤทธ์ิหลงั เรยี นสูงกว่าก่อนเรียน

2. นักเรียนมีความพึงพอใจที่ดตี ่อการจดั การเรยี นการสอนโดยการใช้นวตั กรรมแบบคอมพวิ เตอรช์ ว่ ย
สอน (CAI) ในรายวิชาวทิ ยาศาสตร์ ผ่านเกณฑ์ทก่ี าหนดไวห้ รือไม่อยา่ งไร

ตวั แปรท่ศี กึ ษา

ตวั แปรต้น คอื วิธีการจัดการเรียนรโู้ ดยใชน้ วตั กรรมแบบคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน (CAI) เรอ่ื ง ระบบสุรยิ ะ
ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เร่ือง ระบบสุริยะ และความพึงพอใจของ
นกั เรยี นตอ่ การเรยี นรโู้ ดยการใช้นวตั กรรมแบบคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน (CAI)

นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ
1. ผลการเรียนรู้ หมายถึง ผลท่ีเกิดจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในรายวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบสุริยะ

ประกอบดว้ ยผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน ทักษะกระบวนการในการใชน้ วตั กรรม ความมีวินัย และความพงึ พอใจ
1.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนที่ได้จากการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการ

เรียนร้วู ิทยาศาสตร์ หน่วยโครงสร้างอะตอม ที่วัดได้จากการทดสอบท่ีผู้วิจัยสรา้ งข้ึน
1.2 ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง คะแนนทไ่ี ด้จากการประเมนิ ความสามารถในการทา

ข้อสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ในด้านทักษะการวิเคราะห์โจทย์ ทักษะการวางแผนแก้ปัญหา
ทกั ษะการดาเนินการแกป้ ญั หาและทักษะการตรวจคาตอบ

1.3 ความมีวินัยในการเรียน หมายถึง คะแนนท่ีได้จากการประเมินคุณลักษณะของนักเรียนด้านการแต่งกาย
ถกู ระเบียบของโรงเรยี น การเขา้ เรยี น และความรับผิดชอบต่อการทางานทผ่ี วู้ จิ ัยสรา้ งข้ึน

1.4 ความพึงพอใจในการเรียน หมายถึง คะแนนท่ีได้จากการประเมินความรู้สึกในทางท่ีดีต่อการ
เรียนกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ หน่วยโครงสร้างอะตอม ภายหลังการเรียนการสอน วัดได้จากแบบสอบถามความพึง

พอใจ ในด้านเนอ้ื หา การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน ส่อื และประโยชนท์ ีไ่ ด้รับจากการเรียนการสอนตามที่ผู้วิจัย
สร้างข้นึ

2. นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านตาราม อาเภอกระสัง จังหวัดบุรรี มั ย์
ปกี ารศกึ ษา 2564 จานวน 26 คน

3. วิธีการจัดการเรียนรู้ หมายถึง วิธีท่ีผู้สอนนามาใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนในท่ีน้ีคือ นวัตกรรม
แบบคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน (CAI) ซ่งึ มีข้ันตอนในการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน คอื

3.1 ข้ันนาเข้าสู่บทเรยี น
3.2 ข้ันสอน มรี ายละเอยี ดดงั น้ี

1) ขั้นสรา้ งความสนใจ
2) ขน้ั แสวงหาความรู้
3) ข้ันอธิบายและลงข้อสรปุ
4) ขนั้ ขยายความรู้
5) ขน้ั ประเมิน
3.3 ข้ันสรุป

ประโยชนข์ องการวิจยั

1. ทาให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนบ้านตาราม จังหวัดบุรีรัมย์ มีผลการเรียนรู้ในด้าน
ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น ทกั ษะกระบวนการในการใชน้ วตั กรรม ความมีวนิ ยั และความพึงพอใจสูงข้นึ

2. ครูได้วิธีการสอนนวัตกรรมแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) หน่วยการเรียนรู้ ความหลากหลาย
ของสิ่งมีชวี ิต เพื่อใชใ้ นการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนสาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรียนบ้านตา
ราม อาเภอกระสัง จงั หวัดบุรีรมั ย์

3. ครูได้จัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) และเคร่ืองมือ
ประเมิน ผลการเรยี นรทู้ ีม่ คี ุณภาพ ในการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนรายวชิ าวิทยาศาสตร์ เรอ่ื ง ระบบสุริยะ
เป็นแนวทางในการวิจัยรูปแบบการเรียนการสอนแบบอ่ืน ๆ ได้แนวทางในการทาวิจัยในช้ันเรียนเรื่องอ่ืน ๆ
ตอ่ ไป

4. ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นในรายวิชาวิทยาศาสตรส์ ูงขน้ึ

เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กยี่ วขอ้ ง

ในการวจิ ัยในครง้ั นี้ ผวู้ ิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กี่ยวขอ้ ง ซ่ึงผวู้ ิจยั แบ่งออกเปน็ 3 ตอนดงั นี้
- หลกั การและทฤษฎเี กีย่ วกับนวัตกรรมการสอน
- แนวคิดและทฤษฎีเก่ียวกบั คอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน (CAI)
- ความหมายของผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นและความพึงพอใจ

หลกั การและทฤษฎเี กี่ยวกับนวตั กรรมการสอน

นวัตกรรมการสอนเป็นองค์ประกอบที่สาคัญย่ิงอย่างหน่ึงของการศึกษา หรือการเรียนการสอน ทาให้
ผูเ้ รยี นเรยี นรู้ได้ง่ายขน้ึ นักการศึกษาต่างมคี วามเห็นสอดคล้องกันว่านวัตกรรมการเรยี นการสอน เปน็ ตวั กระตุ้นให้
ผเู้ รยี นเกดิ การเรยี นรูอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ เพราะผู้เรียนสามารถเรยี นไดม้ ากขึ้น โดยเสยี เวลาน้อยลง

1. หลกั การและทฤษฎีทว่ั ไปเกีย่ วกับนวตั กรรมการสอน
1.1 ความหมายของนวตั กรรมการสอน
กิดานันท์ มลิทอง (2540 : 245) ให้ความหมาย นวัตกรรมการสอน ว่า นวัตกรรมชนิดใดก็ตามไม่

ว่าจะเป็นเทปบันทึกเสียง สไลด์ วิทยุ โทรทัศน์ วีดีทัศน์ แผนภูมิ ภาพน่ิง ฯลฯ ซ่ึงบรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับการเรียน
การสอน ส่ิงเหล่าน้ีเป็นวัสดุอุปกรณ์ทางกายภาพที่นามาใช้ในเทคโนโลยีการศึกษา เป็นสิ่งท่ีใช้เป็นเคร่ืองมือ หรือ
ช่องทางสาหรับทาให้การสอนของผู้สอนส่งไปถึงผู้เรียนทาให้ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ หรือ
จดุ มุ่งหมายทีผ่ ู้สอนวางไว้ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี

1.2 ประเภทของนวัตกรรมการเรียนการสอน
สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2535 : 44 - 45) ได้กล่าวถึง การจาแนกประเภท

ของนวัตกรรมการเรยี นการสอนว่า อาจจาแนกไดห้ ลายประเภท ทง้ั นข้ี ึ้นอยู่กับการจาแนกประเภท ไดแ้ ก่
จาแนกตามผ้ใู ชป้ ระโยชนโ์ ดยตรง แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ นวัตกรรมการเรยี นการสอนสาหรับครู และ

สาหรับนักเรยี น
จาแนกตามลักษณะของนวัตกรรม แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ นวัตกรรมการเรียนการสอนประเภท

เทคนคิ วิธสี อน และประเภทส่อื
จาแนกตามจุดเน้นของนวัตกรรม แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ นวัตกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผลผลิต

เน้นเทคนิคกระบวนการ และเนน้ ท้งั ผลผลิตและเทคนิคกระบวนการ
อย่างไรก็ตาม วิธีการจาแนกประเภทของนวัตกรรมการเรียนการสอน ท่ีเข้าใจได้ง่าย สะดวกต่อการ

คดิ คน้ พฒั นา หรอื สรา้ งนวตั กรรม ไดแ้ ก่ การจาแนกตามลกั ษณะของนวัตกรรมซง่ึ แบง่ เป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่
1.2.1 ประเภทเทคนิควิธีการหรือกิจกรรม เช่น วิธีการสอนโดยใช้สื่อประสม วิธีการสอนแบบ

อปุ นยั วธิ ีการสอนแบบนิรนยั วิธีการสอนแบบโครงงาน วิธีการสอนแบบศูนย์การเรียน วธิ กี ารสอนแบบสาธิต และ
วธิ กี ารสอนแบบทดลอง เปน็ ต้น

1.2.2 ประเภทสื่อการเรียนการสอน เช่น บทเรียนสาเร็จรูป ชุดการสอน ชุดสื่อประสม วีดีทัศน์
สไลด์ประกอบเสยี ง แผน่ โปรง่ ใส เกม เพลง ใบงาน ชุดการสอน และคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน เปน็ ตน้

1.3 คุณค่าของนวตั กรรมการสอน
จากผลการวิจัย จนั ทร์ฉาย เตมยิ าคาร (2537 :37) กิดานนั ท์ มลิทอง (2540 : 245) ฐาปนยี ์ ธรรม

เมธา (2541 : 45) ได้กล่าวถึงคุณค่าของนวัตกรรมการเรียนการสอน โดยแบ่งคุณค่าของนวัตกรรมการเรียน

การสอน ออกเป็น 3 ด้าน คือ คุณค่าของนวัตกรรมการเรียนการสอนต่อผู้สอน ต่อผู้เรียน และคุณค่าของ
นวตั กรรมการเรียนการสอนท่ีมาจากผลวจิ ัย ดังน้ี

1.3.1 คณุ ค่าของนวตั กรรมการสอนต่อผ้สู อน
1) ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้สอน ในด้านการเตรียมเนื้อหา เพราะบางครั้งอาจให้ผู้เรียน

ศกึ ษาเนื้อหาจากนวัตกรรมเอง เชน่ บทเรยี นโปรแกรม ชดุ การสอน
2) ผู้สอนสนุกสนานไปกับการสอน เน่ืองจากบรรยากาศในช้ันเรียนเปลย่ี นไป จากการท่ีครู

พดู คนเดยี วหนา้ ช้นั มาเปน็ การใช้นวตั กรรม อปุ กรณ์ตา่ ง ๆ ประกอบการเรยี นการสอนหรือกจิ กรรมต่าง ๆ เม่อื
ผเู้ รียนมชี วี ิตชีวา สนใจการเรยี น สนกุ กับการเรียน ทาใหผ้ ู้สอนเกิดกาลังใจและมีความภาคภูมิใจในการจัดการ
เรยี นการสอน เช่นกัน

3) เปน็ การกระตุ้นใหผ้ ู้สอนต่ืนตวั อยู่เสมอในการเตรียม และผลติ อปุ กรณ์ คน้ คว้าหาวิธีการ
ใหม่ๆ เพ่อื ใหก้ ารเรยี นรู้น่าสนใจ ทาใหบ้ รรยากาศทางการศึกษาไมซ่ บเซา

4) ทาใหผ้ ู้สอนมีความเชื่อมน่ั ในการสอนมากขนึ้ เช่น กรณที ผ่ี ูส้ อนจาเนือ้ หา หรือลาดับการ
สอนไม่ได้ ผ้สู อนอาจจะดจู ากนวตั กรรมประกอบคาบรรยาย เป็นต้น

5) ช่วยทดแทนจานวนผู้สอนที่มีน้อย หรืออยู่ไกล เช่น การจัดการศึกษาทางไกลการใช้
โทรทัศน์วงจรเปิด การใชน้ วัตกรรมการเรยี นการสอนรายบุคคล เปน็ ตน้

1.3.2 คุณค่าของนวัตกรรมการสอนตอ่ ผู้เรยี น
1) กระตุ้นและสร้างความสนใจให้กับผู้เรียน ทาให้เกิดความสนุกสนาน และไม่รู้สึกเหน่ือย

หนา่ ยต่อการเรยี น
2) ชว่ ยใหผ้ ้เู รียนเกดิ การเรยี นรู้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ เข้าใจส่ิงทีย่ ่งุ ยากซบั ซ้อน ในเน้อื หาวชิ า

ไดถ้ กู ตอ้ งและรวดเรว็
3) การใช้นวัตกรรมจะทาให้ผู้เรียนมีความเข้าใจตรงกัน และเกิดประสบการณ์ร่วมกันใน

วิชาท่ีเรียน
4) ช่วยแก้ปัญหาความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยการจัดให้มีการใช้นวัตกรรมการศึกษา

รายบุคคล
5) ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนมากข้ึน ทาให้เกิดมนุษยสัมพันธ์อันดี

ระหวา่ งผเู้ รยี นด้วยกนั และผูส้ อนด้วย
1.3.3 คุณค่าของนวัตกรรมการสอนท่ีเปน็ ผลมาจากการวจิ ัย
1) ช่วยให้ผเู้ รยี นเรยี นรู้ได้ดีข้ึนจากประสบการณ์ทม่ี คี วามหมายในรูปแบบต่าง ๆ
2) ชว่ ยให้ผ้เู รียนเรียนรู้ได้มากข้นึ ในเวลาท่นี อ้ ยลง
3) ช่วยใหผ้ ูเ้ รยี นจา สรา้ งความประทบั ใจ และการเรยี นรมู้ ีความคงทน
4) ชว่ ยส่งเสรมิ การคดิ และการแก้ปัญหาในการเรียนรู้
5) ช่วยลดการบรรยายของผสู้ อน แต่ชว่ ยใหผ้ ู้เรียนเข้าใจไดง้ ่ายข้ึน
6) ช่วยลดการสูญเปล่าทางการศึกษา

7) ชว่ ยใหส้ ามารถเรียนร้ใู นสง่ิ ทม่ี ขี อ้ จากดั ต่าง
สรุปได้ว่า การนานวัตกรรมการสอนมาใช้ในการเรียนการสอน จะมีผลทาให้การเรียนการสอนมี
ประสทิ ธิภาพสูงขนึ้ ตรงตามจดุ ประสงคท์ ี่ต้ังไว้ การใชน้ วตั กรรมการสอนเป็นการนาประสบการณ์จรงิ ท่ี พบท้ัง
ในและนอกห้องเรียนมาสู่ผู้เรียน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ และประหยัดเวลา ตลอดจนนวัตกรรมบางอย่าง
สามารถทดแทนการสอนของผ้สู อนได้
1.4 การเลอื กใชน้ วัตกรรมการสอน
กิดานันท์ มลิทอง (2540 : 245) กล่าวถึงการเลือกนวัตกรรมการสอนว่าการเลือกนวัตกรรมการ
สอนเพื่อนามาใช้ประกอบการสอน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นสิ่งสาคัญ ผู้สอน
จะต้องตั้งจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมในการเรียนการสอนให้แน่นอน เพื่อให้วัตถุประสงค์นั้นเป็นตัวช้ีนาในกา ร
เลือกนวัตกรรมท่ีเหมาะสม และมหี ลกั การอ่นื ๆ เพอื่ ประกอบการพจิ ารณา คอื

1.4.1 นวตั กรรมน้นั ต้องเหมาะสมกบั เน้ือหา ควรมีความสมั พันธ์กบั วัตถุประสงค์ของการสอน
1.4.2 นวัตกรรมนั้นต้องมีเน้ือหาท่ีมีความถูกต้อง ทันสมัย น่าสนใจและเป็นนวัตกรรมที่จะ
ส่งผลต่อการเรยี นการสอนมากที่สดุ ชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นเข้าใจเน้ือหาน้นั ไดด้ ี เปน็ ลาดบั ขัน้ ตอน
1.4.3 เปน็ นวัตกรรมท่เี หมาะสมกับวัย ระดับชั้นเรียน จานวนผ้เู รียน ความสามารถ ความสนใจ
รวมทง้ั ทกั ษะ และรูปแบบการเรียนของผเู้ รียน
1.4.4 เปน็ นวัตกรรมท่ีเหมาะสมกบั ทัศนคติ ทกั ษะของผูส้ อนใช้การได้ดี ก่อให้เกิดประสทิ ธภิ าพ
ในการเรียนรู้ได้ดี สะดวกต่อการใช้และเก็บรักษา คุณค่าของนวัตกรรมต้องเหมาะสมกับราคา มีราคาไม่แพง
จนเกินไป หรอื ถา้ ผลิตเองควรคมุ้ กบั เวลา และการลงทนุ
1.4.5 นวัตกรรมนั้นช่วยให้ผู้เรียนร่วมกิจกรรมตามที่ผู้สอนต้องการ ระยะเวลาในการนาเสนอ
นวัตกรรมเหมาะสม นวตั กรรมนั้นช่วยเสนอแนะกิจกรรมอื่น ๆ ทนี่ กั เรยี นอาจปฏิบตั ิเพม่ิ เตมิ ได้
1.4.6 เหมาะสมกบั สภาพแวดล้อมในการใช้นวัตกรรมน้ัน เช่น สานที่ แสงสวา่ ง อากาศ และสิ่ง
อานวยความสะดวกอื่น ๆ
การเลือกใช้นวัตกรรมได้อย่างเหมาะสมจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่าง มีประสิทธิภาพ โดย
คานึงถึงวัตถปุ ระสงคเ์ ป็นหลัก ส่ือทเ่ี หมาะสมกบั ขอบเขตเนอื้ หา

แนวคดิ และทฤษฎเี กี่ยวกบั คอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน (CAI)

ความหมายของคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน (Computer Assisted Instruction) หรือ ซีเอไอ (CAI) มีผู้
รวบรวมและให้ความหมายไวค้ ล้ายคลึงกนั ดังนี้

CAI มาจากคาย่อในภาษาอังกฤษ คอื Computer Assisted Instruction หรือ Computer Aided
Instrucion เป็นโปรแกรมบทเรียนคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอนครู ทาหน้าที่เป็นสื่อการเรียนบทเรยี นสามารถโต้ตอบ
กบั ผู้เรียนได้ ประกอบดว้ ย ตัวอกั ษร ภาพนิง่ ภาพเคล่อื นไหว เสียง (Multimedia) ทาให้ผูเ้ รียนสนกุ ไปกับการ
เรียนไม่รู้สึกเบ่ือหน่าย การสร้างบทเรียนแบบน้ี อาศัยแนวคิดจากทฤษฎีการเชื่อมโยงส่ิงเร้ากับการตอบสนอง

โดยการออกแบบโปรแกรม จะเร่ิมต้นจากการให้สิ่งเร้าแก่ผู้เรียน ประเมินการตอบสนองของผู้เรียน ให้ข้อมูล
ย้อนกลบั เพ่ือเสริมแรงและใหผ้ เู้ รียนเลอื กสงิ่ เรา้ อันดบั ต่อไป (สมรัก ปรยิ ะวาที, 2544)

คอมพิวเตอรช์ ่วยสอนหรือโปรแกรมชว่ ยสอน คือสื่อที่ใชใ้ นการเรียนการสอนอนั หนง่ึ CAI คล้ายกบั
ส่ือการสอนอ่ืน ๆ เช่น วิดีโอช่วนสอน บัตรคาช่วยสอน โปสเตอร์ แต่คอมพิวเตอร์ช่วย-สอนจะดีกว่าตรงที่ตัว
สื่อการสอน คอื คอมพิวเตอรส์ ามารถโต้ตอบกับนักเรียนได้ ไมว่ า่ จะเป็นการรับคาสง่ั เพื่อมาปฏิบัติ ตอบคาถาม
หรือไมเ่ ช่นน้นั คอมพวิ เตอร์ก็จะเป็นฝ่ายปอ้ นคาถาม (นยั นา เอกบูรณวฒั น์, 2539)

คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI : Computer Assisted Instruction) หมายถึง การประยุกต์นา
คอมพิวเตอร์มาช่วยในการเรียนการสอน โดยมีการพัฒนาโปรแกรมข้ึนเพ่ือนาเสนอเนื้อหาในรูป-แบบต่าง ๆ
เช่น การเสนอแบบติวเตอร์ (Intorail) แบบจาลองสถานการณ์ (Simlation) หรือแบบการแก้ไขปัญหา
(Problem Solving) เป็นต้น การเสนอเนอ้ื หาเปน็ การเสนอโดยตรงไปยงั ผูเ้ รียนผ่านทางจอภาพ หรอื แป้นพมิ พ์
โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วม วัสดุทางการสอนคือ โปรแกรมหรือ Coursware ซึ่งปกติจะถูกเก็บไว้ใน
แผ่นดิสก์หรือหน่วยความจาของเครื่อง พร้อมที่จะเรียกใช้ได้ตลอดเวลา การเรียนในลักษณะนี้ ในบางคร้ัง
ผู้เรียนจะต้องโต้ตอบ หรือตอบคาถามเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยการพิมพ์ การตอบคาถามจะถูกประเมินโดย
คอมพิวเตอร์ และจะเสนอแนะขั้นตอนหรือระดับในการเรียนข้ันต่อไป กระบวนการเหล่าน้ีเป็นปฏิกิริยาที่
เกดิ ขนึ้ ระหวา่ งผู้เรียนกับคอมพวิ เตอร์ (ศิริชัย สงวนแกว้ , 2534)

ความหมายของผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน

ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นความสามารถของนักเรียนในด้านต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากนักเรียนได้รับ
ประสบการณ์จากกระบวนการเรียนการสอนของครู โดยครูต้องศึกษาแนวทางในการวัดและประเมินผล การ
สร้างเคร่อื งมือวดั ใหม้ ีคณุ ภาพนัน้ ได้มีผ้ใู หค้ วามหมายของผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นไวด้ งั น้ี

สมพร เชื้อพันธ์ (2547,หน้า53) สรุปว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ หมายถึง
ความสามารถ ความสาเร็จและสมรรถภาพด้านตา่ ง ๆ ของผู้เรียนทีไ่ ดจ้ ากการเรียนร้อู ันเปน็ ผลมาจากการเรียน
การสอน การฝกึ ฝนหรือประสบการณ์ของแตล่ ะบคุ คลซึ่งสามารถวดั ไดจ้ ากการทดสอบดว้ ยวิธีการต่าง ๆ

พมิ พนั ธ์ เดชะคุปต์ และพะเยาว์ ยินดสี ุข (2548,หน้า 125) กล่าวว่า ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนหมายถึง
ขนาดของความสาเรจ็ ทไ่ี ด้จากกระบวนการเรยี นการสอน

สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ผลท่ีเกิดจากกระบวนการเรียนการสอนท่ีจะทาให้
นักเรียนเกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม และสามารถวัดได้โดยการแสดงออกมาทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย
ดา้ นจิตพิสัย และดา้ นทกั ษะพิสยั

ความหมายของความพึงพอใจ

ความหมายของความพึงพอใจ ในการทางานเป็นปัจจัยสาคัญประการหนึ่งในการผลักดัน ให้บุคคล
ทางานสาเร็จบรรลุเป้าหมายท่ีวางไว้อย่างมีประสิทธิภาพอันเป็นผลจากการได้รับการตอบ สนองต่อแรงจูงใจ
หรือความตอ้ งการของแต่ละบุคคลในแนวทางท่ีประสงคซ์ ่ึงในเร่ืองความพึงพอใจนี้ได้มีผู้ให้ความหมายไว้หลาย
ทา่ น ดังนี้

ราชบัณฑิตสถาน (2546) ได้กล่าวถึง ความหมายของคาว่า ความพึงพอใจ ดังนี้ คาว่า “พึง” เป็น
คากรยิ าอน่ื หมายความวา่ ยอมตาม เชน่ พึงใจ และคาวา่ “พอใจ” หมายถึง สมชอบ ชอบใจ

กชกร เป้าสุวรรณ และคณะ (2550) ได้กล่าวถงึ ความหมายของความพึงพอใจวา่ สง่ ที่ควรจะเป็นไป
ตามความต้องการ ความพึงพอใจเป็นผลของการแสดงออกของทัศนคติของบุคคลอีกรูปแบบหน่ึง ซ่ึงเป็น
ความร้สู กึ เอนเอียงของจิตใจที่มปี ระสบการณ์ท่ีมนุษยเ์ ราได้รับอาจจะมากหรือน้อยก็ได้ และเป็นความรู้สึกที่มี
ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซ่ึงเป็นไปได้ท้ังทางบวกและทางลบ แต่ก็เมื่อได้ส่ิงนั้น สามารถตอบสนองความต้องการ หรือ
ทาใหบ้ รรลจุ ดุ มุง่ หมายได้ กจ็ ะเกิดความร้สู ึกบวก เป็นความรสู้ กึ ทพ่ี งึ พอใจ แต่ในทางตรงกันข้าม ถา้ สง่ิ นน้ั สรา้ ง
ความรสู้ ึกผิดหวัง กจ็ ะทาให้เกิดความรู้สกึ ทางลบ เป็นความรสู้ กึ ไมพ่ ึงพอใจ

สรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกของบุคคลต่อสิ่งใดสิ่งหน่ึงบุคคลหรือสภาพการณ์อย่าง
ใดอย่างหนึ่งซึ่งอาจเปน็ ความรสู้ ึกในทางบวกเป็นกลาง หรือ ทางลบความรู้สึกเหลา่ นี้มผี ลต่อประสิทธิภาพของ
การทางาน กล่าวคือ หากความรู้สึกโน้มเอียงไปในทางบวก การปฏิบัติงานจะมีประสิทธิภาพสูงแต่หาก
ความรู้สึกโน้มเอียงไปในทางลบการปฏบิ ัติงานจะมีประสทิ ธิภาพต่าได้ โดยสามารถวัดได้จากองค์ประกอบตา่ ง
ๆ ท่ีเขา้ มาเก่ยี วขอ้ ง

งานวิจัยท่ีเกยี่ วข้อง

ในการวจิ ยั ครั้งนี้ผู้วิจยั ได้นาวิจยั ทีเ่ กยี่ วข้อง เพ่ือใชป้ ระกอบในการวิจยั ดังน้ี
จุลศักด์ิ สุขสบาย (2558) ได้ศึกษาการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์ เร่ืองเทคโนโลยี
สารสนเทศ และการส่ือสาร สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิ
โรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) มีจุดมุ่งหมายสาคัญเพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการเรียนรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์ 2)
ศึกษาประสิทธิภาพของรูปแบบการเรียนรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์ 3) ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการเรียนรู้ทาง
อิเล็กทรอนิกส์ โดยเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิหลังการเรียนของนักเรียนท่ีเรียนโดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ทาง
อิเล็กทรอนิกส์กับเกณฑ์ร้อยละ 80 และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการเรียนรู้ทาง
อิเล็กทรอนิกส์เรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศ และการส่ือสาร กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี
สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ เป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6
โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556
โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection) จานวน 52 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1)
แผนการเรียนรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์ เรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 2) แบบประเมินความเหมาะสม
ของรูปแบบการเรียนรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และ 4) แบบสอบถาม
ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อรูปแบบการเรียนรู้ทางอิเล็กทรอนิกส์ เร่ืองเทคโนโลยีสารสนเทศและการ
ส่ือสาร กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 สถิติที่ใช้ใน
การวิเคราะห์ขอ้ มูล คือ ค่าเฉลย่ี สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน คา่ ร้อยละ และค่าที (t-test)
จติ ตานนั ท์ บุญบรรลุ (2564) ผลการวจิ ัยพบวา่ 1) ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นของนักเรียนท่ีเรยี นโดยใช้
นวัตกรรมแบบคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน (CAI) หน่วยการเรียนรู้ ความหลากหลายของสง่ิ มีชวี ิต ผลสมั ฤทธทิ์ างการ

เรยี นหลังเรียนสูงกวา่ กอ่ นเรยี นอยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถติ ิทีร่ ะดับ .05 2) ทักษะกระบวนการในการใชน้ วตั กรรม
แบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 คิดเป็นร้อยละ 100 3) นักเรียนมีวินัยในรายวิช
วิทยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ ความหลากหลายของส่ิงมีชีวิต ในด้านการแต่งกาย ด้านการมาเรียน และด้าน
ความรับผิดชอบ ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 และนักเรียนมีความพึงพอใจท่ีดีต่อการจัดประสบการณ์การเรียนการ
สอนในรปู แบบ On-Line ในรายวชิ าวิทยาศาสตร์ อยู่ในระดบั มากท่สี ุด โดยมคี ่าเฉลี่ยเท่ากบั 4.60 คดิ เป็นร้อย
ละ 91.97

ศิริพร มีพรบูชา (2563) การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพ่ือพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ
ออนไลน์ โดยใช้ระบบห้องเรียนออนไลน์ Google Classsroom 2) เพ่ือประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนท่ีมี
ต่อการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ 3) เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนท่ีเรียนจาก
การจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ โดยใช้ระบบห้องเรียนออนไลน์ Google Classsroom โดยกลุ่ม
ตัวอย่างในคร้ังนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จานวน 28 คน และเคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังน้ีคือ การ
จัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ โดยใช้ระบบห้องเรียนออนไลน์ Google Classsroom รายวิชา วิทยาการ
คานวณ เร่ืององค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ แบบทดสอบเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ แบบ
ประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนท่ีมีต่อ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบออนไลน์ และผลการวิจัยใน ครั้งน้ี
พบว่า ผลการหาประสิทธิภาพของส่ือท่ีพัฒนาจากแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบออนไลน์มีค่า ความ
เช่ือม่นั เท่ากับ .90 ซ่งึ อยใู่ นเกณฑ์ท่ีมีความเชื่อมั่นสูง และจากการวเิ คราะหผ์ ลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน
ระหว่างเรียนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 และผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อ
การจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบออนไลน์ในระดับมาก เพราะผู้เรียนสามารถศึกษาบทเรียนได้ด้วยตนเองใน
ช่วงเวลาท่ตี อ้ งการ

กรอบแนวคดิ ในการวิจยั

จากการศึกษาเอกสาร แนวคิด งานวิจัยที่เก่ียวข้อง ผู้วิจัยกาหนดกรอบความคิดการวิจัย การศึกษา
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ เร่ือง ระบบสุริยะ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านตาราม
โดยการใช้นวัตกรรมแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ดังนี้

ตวั แปรตน้ ตวั แปรตาม

นวัตกรรมแบบคอมพิวเตอร์ช่วย ผลการเรียนรู้
สอน (CAI)
1. ดา้ นผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น
2. ด้านความพงึ พอใจ

แผนภูมิท่ี 2.1 กรอบแนวคิดในการวิจัย การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ เร่ือง
ระบบสุริยะ ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 โรงเรยี นบา้ นตาราม โดยการใช้นวัตกรรมแบบคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน (CAI)

วิธีดาเนนิ การวิจัย

การศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ เร่ือง ระบบสุริยะ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4
โรงเรียนบ้านตาราม โดยการใช้นวัตกรรมแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ผู้วิจัยได้กาหนดแบบแผนการ
ทดลองโดยใช้รูปแบบกลุ่มเดียวกัน ทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน (One - Group Pretest - Posttest Design)
(มนต์ชัย . 2555) โดยการศึกษาและพัฒนาคร้ังนี้ ผู้วิจัยได้สร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ในการ
จัดการเรียนรู้และทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในการทาวิจัยกับกลุ่มเป้าหมายที่คัดเลือกไว้ คือนักเรียน
ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 โรงเรียนบา้ นตาราม จานวน 26 คน ซ่งึ มเี ก็บรวบรวมข้อมลู และขั้นตอนการทดลองดังนี้

วธิ กี ารเก็บรวบรวมขอ้ มลู

1. เปน็ การวิจยั ปฏิบัตกิ ารชัน้ เรยี น (pre-test , post-test Desing วันกรุป๊ ดีไซ์)
2. กลมุ่ เปา้ หมาย ท่ีใช้ในการวิจยั ในครั้งนี้นักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรยี นบ้านตาราม
ปีการศกึ ษา 2564 จานวน 26 คน ไดม้ าดว้ ยวธิ กี ารเลอื กแบบเจาะจง (purposive sampling)
3. เครือ่ งมือ

3.1 เครอื่ งมือท่ีใชใ้ นการวิจยั
3.1.1 นวัตกรรมแบบคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน (CAI) เรื่อง ระบบสรุ ิยะ
3.1.2 แผนการจดั การเรียนรู้ เรอ่ื ง ระบบสุรยิ ะ

3.2 เคร่อื งมือเก็บรวบรวมขอ้ มูล
3.2.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เร่ือง ระบบสุริยะ ที่ผู้วิจัยสร้างข้ึนเป็นแบบทดสอบ ปรนยั
4 ตัวเลือกจานวน 20 ขอ้ โดยให้คะแนน 0,1 คอื ตอบถูกให้ 1 แนน ตอบผิด ให้ 0 คะแนน

3.2.2 แบบประเมินความพึงพอใจ ในการจัดการเรียนรู้ด้วยบทเรียน
ออนไลน์ เรื่องการเปล่ียนแปลงของสาร โดยใช้เกณฑ์ มาตราประมาณค่า 5 ระดับ โดยกาหนดเกณฑ์ค่าเฉลี่ย
ดงั นี้

คะแนนเฉลี่ย 4.50 – 5.00 หมายถงึ พงึ พอใจมากท่สี ดุ
คะแนนเฉล่ีย 3.50 – 4.49 หมายถงึ พึงพอใจมาก
คะแนนเฉลีย่ 2.50 – 3.49 หมายถงึ พงึ พอใจปานกลาง
คะแนนเฉลย่ี 1.50 – 2.49 หมายถึง พึงพอใจนอ้ ย
คะแนนเฉล่ีย 1.00 – 1.49 หมายถงึ พงึ พอใจน้อยท่ีสุด

ข้ันตอนในการสร้างเครอ่ื งมือ

1. ขัน้ ตอนในการสรา้ งเครอื่ งมอื ท่ีใชใ้ นการวิจัย
1.1 ศึกษาเอกสาร ตารา และงานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วข้องกับการจดั การเรยี นร้ดู ว้ ยนวัตกรรมแบบ

คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) เร่อื ง ระบบสุรยิ ะ เพื่อกาหนดเป็นกรอบแนวคิดในการวจิ ัย
1.2 ศกึ ษาการสร้างนวตั กรรมแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) เรือ่ ง ระบบสุรยิ ะ
1.3 ศึกษาตวั ชี้วดั วิชาวทิ ยาศาสตร์ ท่ีมผี ลการเรียนต่า เพ่ือทาแผนการจัดการเรยี นรู้หนา้

เดียวโดยอ้างองิ จากแผนการจดั การเรียนรู้ฉบบั เต็มรูปแบบ และออกแบบบทเรียนออนไลนใ์ ห้สอดคล้องกบั
ตัวช้วี ัด

1.4 ออกแบบนวตั กรรมแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) เรอ่ื ง ระบบสุริยะใหส้ อดคลอ้ งกับ
ตัวชว้ี ัดและแผนการจดั การเรียนรู้ และเผยแพร่ให้กบั นกั เรียน

2. ขั้นตอนในการสรา้ งเคร่ืองมือเก็บรวบรวมขอ้ มลู
2.1 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และ

เทคโนโลยี ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 4 เรอ่ื ง ระบบสุริยะ จานวน 20 ขอ้ โดยยึดตวั ช้ีวัดผลการเรียนรูเ้ ปน็ หลกั
2.2 นาขอ้ สอบฉบบั สมบรู ณใ์ ห้ผู้เชย่ี วชาญตรวจสอบ จานวน 3 ท่าน เพ่ือวเิ คราะหห์ าค่า IOC
2.3 นาขอ้ สอบทีผ่ ้เู ชี่ยวชาญตรวจสอบแลว้ มาวเิ คราะหห์ าค่า IOC และจดั ทาข้อสอบฉบบั จริง
2.4 นาข้อสอบฉบบั จริง ไป Try out กลับกลมุ่ นักเรียนทีค่ ลา้ ยกบั กล่มุ เปา้ หมาย
2.5 จดั ทาข้อสอบฉบบั สมบูรณ์ ไปทดสอบกลับกลุม่ เป้าหมาย กอ่ นเรียนและหลงั เรยี น เพื่อ

หาความกา้ วหนา้ ทางการเรียน โดยข้อสอบก่อนเรยี นและหลงั เรยี นเป็นข้อสอบชุดเดยี วกันแตใ่ ชก้ ารสลับข้อ
และการสลบั ตัวเลอื ก

2.6 ศึกษาและเลือกวธิ ีการสร้างแบบประเมนิ ความพงึ พอใจ โดยใช้มาตราสว่ นประเมนิ คา่
(Rating scale) 5 ระดับ

2.7 กาหนดประเด็นคาถามตามกรอบแนวความคดิ โดยแบ่งออกเปน็ 4 ดา้ น 15 ขอ้
2.8 สร้างแบบประเมนิ ความพึงพอใจฉบบั รา่ ง ตามโครงสร้างเน้อื หาของแบบประเมนิ ความ
พึงพอใจ แลว้ ตรวจสอบปรบั ปรงุ แกไ้ ขดว้ ยตนเอง
2.9 นาแบบประเมนิ ความพึงพอใจฉบบั สมบรู ณ์ไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย

ขน้ั ตอนในการดาเนินการวจิ ยั

1. ผวู้ จิ ัยสร้างบทเรียนออนไลน์ ชี้แจงและอธิบายการเรยี นจากนวัตกรรมแบบคอมพวิ เตอร์
ชว่ ยสอน (CAI) เร่ือง ระบบสุริยะ สาหรบั นกั เรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 4 ใหน้ ักเรียนเข้าใจและมคี วามพร้อมที่
จะศกึ ษาบทเรยี น

2. นักเรียนศกึ ษาวธิ ใี ชง้ านนวตั กรรมแบบคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน (CAI) เรือ่ ง ระบบสุริยะ
สาหรบั นักเรียนช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 4 และเนือ้ หาในเรอื่ งการเปล่ียนแปลงของสาร ใหค้ รบทุกหัวข้อ รายวชิ า
วทิ ยาศาสตร์ ว14101

3. นักเรยี นทาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นก่อนเรยี น (Pre-test) เรอ่ื ง ระบบสุรยิ ะ

จานวน 20 ข้อ

4. ผูว้ จิ ยั ดาเนินการจดั การเรยี นรู้ด้วยนวตั กรรมแบบคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน (CAI) เรอื่ ง ระบบ

สุริยะ สาหรับนกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 4 จานวน 1 เรอ่ื ง รวม 7 ชัว่ โมง (ไม่รวมช่ัวโมงทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์

ทางการเรยี น) โดยใช้เวลาในการเรยี นบทเรียนออนไลนด์ งั น้ี

เรือ่ งท่ี 1 องคป์ ระกอบของระบบสรุ ิยะ จานวน 7 ช่ัวโมง

โดยในนวัตกรรมแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) มีกิจกรรมการเรียนรู้ ประกอบด้วย การศึกษา

สาระสาคญั จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ตวั ชว้ี ดั การทาแบบทดสอบกอ่ นเรียน การศกึ ษาเน้ือหายอ่ ย การทาแบบใบ

งาน การศึกษาวีดีโอทาการทดลอง และการทาแบบทดสอบหลังเรียน ซึ่งนักเรียนต้องดาเนินกิจกรรมการ

เรียนรใู้ ห้เกิดความรคู้ วามเขา้ ใจและฝึกปฏิบตั จิ นสามารถไปปรบั ประยุกต์ใช้ในชวี ิตประจาวันไดจ้ รงิ

5. เม่ือนักเรียนศึกษานวัตกรรมแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) เรื่อง ระบบสุริยะ สาหรับ

นักเรียนช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 4 ครบแลว้ นกั เรียนจึงทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียน (Post

- test) ซ่ึงเป็นฉบับเดียวกับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียน (Pre - test) โดยใช้วิธีการสลับ

ข้อคาถามและตวั เลอื กในแตล่ ะข้อ

6. นักเรียนทาการประเมินความพึงพอใจท่ีมีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยบทเรียนออนไลน์

ภายหลงั จากทีน่ กั เรยี นไดเ้ ขา้ ศึกษาบทเรยี นทงั้ หมดเสรจ็ สิน้ แล้ว

7. ผู้วิจัยนาข้อมูลจากแบบสอบถามความพึงพอใจ คะแนนแบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิก่อนเรียน

หลังเรียน ของนักเรยี นกล่มุ ตวั อยา่ งไปวเิ คราะห์ทางสถติ ิต่อไป

การวเิ คราะห์ขอ้ มูล

การวิเคราะห์ขอ้ มูล มีการดาเนนิ การ ดังน้ี

1. วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากผลการทาแบบทดสอบก่อนและหลังเรียน ในการเรียนด้วย

นวตั กรรมแบบคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน (CAI) โดยการใชส้ ถิตคิ า่ เฉลยี่ และคา่ ร้อยละ ซ่ึงดาเนนิ การดังน้ี

1.1 นามาเปรียบเทียบค่าเฉล่ียของคะแนนสอบระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้

ค่าสถติ ิ

1.2 หาคะแนนความกา้ วหนา้ หรือคะแนนทเ่ี พ่มิ ขึน้

1.3 หาค่าร้อยละของความก้าวหน้าของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้สูตรร้อยละของ

ความกา้ วหน้า

2. นาข้อมูลท่ีได้จากแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรยี น นามาวเิ คราะห์คา่ สถิติพ้ืนฐาน

ได้แก่ ค่าเฉล่ยี แลว้ สรปุ เป็นความเรียง

เกณฑ์การประเมนิ มีดังตอ่ ไปน้ี

ค่าเฉลย่ี ความหมาย

4.50 –5.00 ระดบั ความพงึ พอใจตอ่ รายการนน้ั มากที่สดุ

3.50 –4.49 ระดบั ความพงึ พอใจตอ่ รายการนัน้ มาก
2.50 –3.49 ระดับความพึงพอใจตอ่ รายการน้ันปานกลาง
1.50 –2.49 ระดับความพึงพอใจตอ่ รายการนั้นนอ้ ย
1.00 –1.49 ระดบั ความพึงพอใจตอ่ รายการน้ันนอ้ ยทส่ี ุด

ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู

ลาดับขั้นตอนในการเสนอผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล

ผูศ้ กึ ษาคน้ คว้า ได้วิเคราะห์ข้อมูลตามลาดบั ขั้นตอนดังนี้

ตอนที่ 1 เปรยี บเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรยี นระหว่างก่อนและหลังเรียนที่ใช้การ

จัดการเรียนรู้ดว้ ยนวตั กรรมแบบคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน (CAI) เร่ือง ระบบสรุ ิยะ

ตอนท่ี 2 ความพงึ พอใจนกั เรียนท่มี ีตอ่ นวตั กรรมแบบคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน (CAI) เร่ือง

ระบบสรุ ยิ ะ

ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูลการวจิ ยั ไดผ้ ลดงั น้ี

ตอนท่ี 1 ผลการวิจัยคร้ังน้ีพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4

ท่ีเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยนวัตกรรมแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) เร่ือง ระบบสุริยะดังแสดง

ในตารางที่ 1

ตารางที่ 1 ค่าเฉล่ียของคะแนนสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ท่เี รยี นด้วยนวัตกรรมแบบคอมพิวเตอร์

ช่วยสอน (CAI) เรอื่ ง ระบบสุริยะ โดยการหาคา่ สถิติ (t-test)

ลาดบั ที่ ช่อื -สกุล ก่อนเรยี น หลังเรยี น ผลตา่ ง

1 เดก็ ชายกานตพงศ์ สายทา่ เสา 5 9 4

2 เด็กชายธีรกานต์ การัมย์ 8 11 3

3 เดก็ ชายสุรัตน์ ลายทอง 68 2

4 เดก็ ชายอาแลนด์ ชาร์ป 10 12 2

5 เด็กชายธีรเดช อาจทวกี ลุ 7 11 4

6 เดก็ ชายธรี เทพ นิ่มนวล 6 10 4

7 เด็กชายปญุ ญพัฒน์ บญุ เหลอื 9 11 2

8 เดก็ ชายณฐั พงษ์ เพชรนอก 12 14 2

9 เด็กชายพสั กร สุทธิ 59 4

10 เดก็ ชายธติ สิ รณ์ ศรภี ูธร 8 12 4

11 เด็กชายจิราธิป เทพบตุ ร 7 12 5

12 เดก็ ชายอนนั ต์ วิเสริฐรมั ย์ 48 4

13 เด็กชายพงศกร อาญาเมือง 7 11 4

ลาดับที่ ช่อื -สกุล กอ่ นเรียน หลังเรยี น ผลต่าง
14 เดก็ ชายทยากร จารมั ย์ 5 8 3
15 เด็กหญงิ ภชิ านนั ท์ เคร่ืองรัมย์ 6 10 4
16 เด็กหญงิ ปยิ ะธดิ า มลุ ะชีวะ 6 9 3
17 เดก็ หญงิ ปยิ มาศ วโิ สรมั ย์ 9 12 3
18 เด็กหญิงกัญญ์ณณัฐ เกรมั ย์ 8 10 2
19 เดก็ หญงิ นยั นา คนั ทอง 8 10 2
20 เด็กหญงิ ขวัญนภา บญุ หลาย 10 13 3
21 เด็กหญิงกนกพิชญ์ ชาติรมั ย์ 10 13 3
22 เด็กหญิงรัตติกาล โจมรมั ย์ 7 11 4
23 เดก็ หญิงดารินทร์ ชาวนา 10 12 2
24 เดก็ หญงิ ววิ าห์ โลมไธสง 8 10 2
25 เดก็ หญงิ โชติกา การกระสงั 7 11 4
26 เด็กชายบญั ชาชยั วันสี 3 6 3
7.35 3.15
เฉล่ีย 10.50

จากตารางท่ี 1 แสดงให้เห็นถึงนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านตาราม โดยการจัดการ
เรียนรู้ด้วยนวัตกรรมแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) เรื่อง ระบบสุริยะ ที่ผู้วิจัยคิดค้นข้ึนพบว่า ค่าเฉลี่ยของ
คะแนนสอบก่อนเรียนและหลังเรียนเท่ากับ 7.35 และ 10.50 ตามลาดับ โดยเฉล่ียหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
และมีผลตา่ งเทา่ กบั 3.15

ดังนั้นสรุปได้ว่าผลการทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน
บ้านตาราม วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบสุริยะ ท่ีเรียนด้วยนวัตกรรมแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI)
มีผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นหลงั เรยี นสูงกว่ากอ่ นเรียน

ตอนที่ 2 ผลการประเมนิ ความพึงพอใจของนกั เรียนท่ีมตี ่อการการเรยี นโดยใชก้ ารจัดการเรยี นรู้

ด้วยนวตั กรรมแบบคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน (CAI) เร่อื งการเปลีย่ นแปลงของสาร ผลปรากฏดังแสดงใน

ตารางที่ 2

ตารางที่ 2 ผลการวเิ คราะหค์ วามพงึ พอใจต่อการจัดการเรียนรู้ดว้ ยบทเรียนออนไลน์ เรื่องการ

เปลย่ี นแปลงของสาร ของนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรยี นชมุ ชนวดั หนองโนใต้

ขอ้ ที่ รายการ คา่ เฉลย่ี แปลผล

ดา้ นเนือ้ หาและบทเรียน

1 ภาษาท่ใี ช้ในบทเรียนเข้าใจงา่ ย 3.76 มาก

ข้อท่ี รายการ ค่าเฉลย่ี แปลผล

2 เนอ้ื หาเรยี งลาดบั จากง่ายไปยาก 4 มาก

3 เนื้อหาสอดคล้องกบั จุดประสงค์การเรยี นรู้ 3.82 มาก

4 ปรมิ าณเนื้อหาในแตล่ ะเรือ่ งมีความเหมาะสมกับเวลาเรียน 3.88 มาก

ด้านการออกแบบบทเรียน

5 วดี ีโอประกอบในบทเรียนมีความชดั เจนเขา้ ใจไดง้ ่าย 4 มาก

6 มกี ารทาการทดลองทเี่ ขา้ ใจงา่ ยและชัดเจน 3.88 มาก

7 ใบความรู้และเวลามคี วามเหมาะสมกบั เน้ือหา 3.88 มาก

8 วดี ีโอมีการแนะนาบทเรียนและชแี้ จงชัดเจน 3.59 มาก

ด้านการจดั การเรียนรู้

9 การเรยี นด้วยนวตั กรรมแบบคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน (CAI) อานวยความ 3.94 มาก

สะดวกใหน้ ักเรยี นเขา้ ศึกษาบทเรยี นไดท้ ุกที่ทุกเวลา

10 การเรยี นดว้ ยนวตั กรรมแบบคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน (CAI) ชว่ ยให้นักเรียนลง 3.53 มาก

มอื ปฏิบตั กิ ิจกรรมดว้ ยตนเองไดจ้ ริง

11 การเรียนดว้ ยนวัตกรรมแบบคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน (CAI) ชว่ ยใหน้ ักเรยี นทา 3.70 มาก

ความเขา้ ใจเนื้อหาและสรปุ ความรไู้ ดด้ ้วยตนเอง

12 การเรยี นด้วยนวัตกรรมแบบคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน (CAI) ชว่ ยให้นกั เรียน 3.94 มาก

เขา้ มาทบทวนความรู้ของตนเองได้ตลอดเวลา

ดา้ นการประเมนิ

13 แบบทดสอบมคี วามสอดคล้องกบั จดุ ประสงค์และคลอบคลุมเนือ้ หา 3.94 มาก

14 นักเรยี นได้เรียนรู้ผา่ นนวัตกรรมแบบคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน (CAI) แล้ว 4 มาก

สามารถทาแบบทดสอบหลังเรยี นไดด้ กี ว่าก่อนเรยี น

15 นักเรยี นรับทราบคะแนนของตนเองทนั ทหี ลังการทาแบบทดสอบ ทาให้ 3.76 มาก

ทราบความก้าวกนา้ ของตนเอง

รวมคา่ เฉลย่ี 3.84 มาก

จากตารางท่ี 2 แสดงให้เห็นถงึ ระดบั ความพึงพอใจของนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 ท่ีมตี ่อการเรียน

โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยนวัตกรรมแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) เร่ือง ระบบสุริยะ จากการวิเคราะห์

ข้อมูลพบว่านักเรยี นสว่ นใหญ่มีความพงึ พอใจโดยเฉลี่ยเท่ากับ 3.84 อย่ใู นระดับมาก

สรปุ ผลการวจิ ยั

1. พัฒนาการของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยนวัตกรรมแบบคอมพิวเตอร์
ช่วยสอน (CAI) เรอ่ื ง ระบบสรุ ิยะ ของนกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรียนนวตั กรรมแบบคอมพวิ เตอร์ช่วย

สอน (CAI) มีคะแนนเฉล่ียจากการทดสอบก่อนเรียนเท่ากับ 7.35 และคะแนนเฉลี่ยจากการทดสอบหลังเรียน
เท่ากบั 10.50 โดยเฉลี่ยแลว้ มีผลต่างเท่ากับ 3.15 ซง่ึ มผี ลสัมฤทธท์ิ างการเรียนหลงั เรียนสูงกว่ากอ่ นเรยี น

2. ผลการวิเคราะห์แบบสอบถามความพึ่งพอใจของนกั เรียนสว่ นใหญม่ คี วามพึงพอใจต่อการเรยี นโดย
ใช้การจัดการเรียนรดู้ ว้ ยนวตั กรรมแบบคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน (CAI) เร่ือง ระบบสุริยะ โดยมคี า่ เฉลยี่ 3.84 อยู่
ในระดบั มาก

อภิปรายผล

การวิจัยปฏิบัติการในชัน้ เรียน กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ที่เรียน
รายวิชาวิทยาศาสตร์ ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านตาราม อาเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์
สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive
Sampling) จานวน 26 คน

ผลการเปรียบเทียบพัฒนาการของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยนวัตกรรม
แบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านตาราม มีคะแนนเฉล่ียจาก
การทดสอบก่อนเรียนเท่ากับ 7.35 และคะแนนเฉล่ียจากการทดสอบหลังเรียนเท่ากับ 10.50 ตามลาดับ โดย
เฉล่ียแล้วมีผลตา่ งเท่ากับ 3.15

ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 ท่ีมีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วย
นวัตกรรมแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่มีความพึงพอใจโดยเฉลี่ยเท่ากับ 3.84 อยู่
ในระดบั มาก

นักเรยี นท่ที าคะแนนก่อนและหลังเรียนออนไลน์ เม่อื ได้เรยี นดว้ ยนวตั กรรมแบบคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน
(CAI) แล้ว จากการเปรียบเทียบผลการบันทึกคะแนนจากเกณฑ์ที่วัดและหาค่าเฉลี่ยของความก้าวหน้าในการ
เรียนออนไลน์จะเห็นได้ว่าคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนแสดงว่าบทเรียนออนไลน์ทาให้นักเรียนมี
พัฒนาการที่ดีข้ึน เป็นเคร่ืองชี้ชัดว่า นวัตกรรมแบบคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน (CAI) มีความเหมาะสม และกระตุ้น
ใหน้ ักเรียนอยากเรียนมากข้นึ

ขอ้ เสนอแนะ

1. การจัดการเรียนรู้ด้วยนวตั กรรมแบบคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน (CAI) อาจจะไม่เหมาะสมกับผู้เรียนทุก
คน เน่ืองจากเด็กมีความพร้อมท่ีแตกต่างกัน ครูผู้สอนควรมีการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสานเพ่ือให้
ผเู้ รยี นเรยี นรูไ้ ดเ้ ทา่ เทยี มกัน

2. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบนวัตกรรมแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ควรให้ผู้เรียนได้มี
บทบาทในการทางานของ ตนเองมากท่ีสุด ผู้สอนควรส่งเสริมให้ผู้เรียนทางาน ร่วมกันเป็นทีมได้ ทางานด้วย
ตนเองได้

3. ครูผสู้ อนควรมีสอื่ ทีห่ ลากหลายเพือ่ กระตนุ้ ใหผ้ ู้เรียนเกดิ ความสนใจและสนองตอบความ แตกตา่ ง
ระหวา่ งบุคคลได้

เอกสารอา้ งอิง

กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2553). หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551.
พิมพ์ครัง้ ท่ี 3. กรงุ เทพฯ. : โรงพมิ พ์ชุมนุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากดั .

ฐาปนยี ์ ธรรมเมธา. (2541). การออกแบบบทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอนโดยใชค้ วามรู้เกีย่ วกับ
ความคดิ ตนเอง. เอกสารทางวิชาการเทคโน – ทับแก้ว, (51)
สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. (2535). คูม่ อื อบรมครูแนวการใช้หลักสตู ร
ประถมศกึ ษา พทุ ธศักราช 2521 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2533) และการจดั กจิ กรรมการเรียน
การสอน. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พก์ ารศาสนา, 2535

อนนั ต์ ศรีโสภา. (2542). การจดั การประเมนิ ผลการศึกษา. (พิมพ์ครั้งท่ี 2). กรงุ เทพฯ :
ไทยวัฒนาพานิช, 2524.


Click to View FlipBook Version