The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เนื้อหา นิราศภูเขาทอง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by อาทิตย์ ต้น มูลคำมี, 2022-09-19 04:13:57

เนื้อหา นิราศภูเขาทอง

เนื้อหา นิราศภูเขาทอง

วดั ราชบุรณราชวรวหิ าร

โออ้ าวาสราชบูรณะ พระวหิ าร แต่น้ีนานนบั ทิวาจะมาเห็น

เหลือราลึกนึกน่าน้าตากระเด็น เพราะขกุ เขญ็ คนพาลมารานทาง
จะยกหยบิ ธิบดีเป็นท่ีต้งั กใ็ ชถ้ งั แทนสดั เห็นขดั ขวาง

จ่ึงอาลาอาวาสนิราศร้าง มาอา้ งวา้ งวญิ ญาณ์ในสาคร

วดั ราชบุรณราชวรวหิ าร กรุงเทพมหานคร เป็นวดั โบราณ เดิมช่ือวา่ วดั เลียบ ต้งั อยใู่ นเขตกาแพงพระนคร
แถบพาหุรัด พระสัมพนั ธวงศ์เธอ เจา้ ฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ ทรงปฏิสังขรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
มหาราช ทรงช่วยในการปฏิสังขรณ์ดว้ ย เม่ือปฏิสังขรณ์เสร็จแลว้ รัชกาลท่ี ๑ พระราชทานนามใหมว่ า่ วดั ราชบุรณะ
ต่อมา พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลยั โปรดใหถ้ อนสีมาเก่าแลว้ ทรงสร้างพระอุโบสถและพระวหิ ารใหม่
ถึงรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระน่งั เกลา้ เจา้ อยู่หวั โปรดให้สร้างพระปรางคอ์ งค์ใหญ่ และในรัชกาลต่อ ๆ มาก็ทรง
ปฏิสงั ขรณ์เพม่ิ เติมอีกบา้ ง

หน้าวงั (พระบรมมหาราชวงั )

ถึงหนา้ วงั ดงั หน่ึงใจจะขาด คิดถึงบาทบพติ รอดิศร
โอผ้ า่ นเกลา้ เจา้ ประคุณของสุนทร แต่ปางก่อนเคยเฝ้าทุกเชา้ เยน็

พระนิพพานปานประหน่ึงศีรษะขาด ดว้ ยไร้ญาติยากแคน้ ถึงแสนเขญ็
ท้งั โรคซ้ากรรมซดั วบิ ตั ิเป็น ไม่เล็งเห็นที่ซ่ึงจะพ่งึ พา

จะสร้างพรตอตส่าห์ส่งส่วนบุญถวาย ประพฤติฝ่ ายสมถะท้งั วสา
เป็นส่ิงของฉลองคุณมุลิกา ขอเป็นขา้ เคียงพระบาททุกชาติไป

หน้าวงั หรือพระบรมมหาราชวงั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ

ใหส้ ร้างข้ึนพร้อมกบั การสร้างกรุงเทพมหานคร เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ มีอาณาบริเวณคิดเป็นเน้ือที่ท้งั หมดประมาณ ๑๕๒ ไร่
มีกาแพงใบเสมาก่ออิฐถือปูนและป้อมปราการรายลอ้ มอยโู่ ดยรอบท้งั ๔ ดา้ น ภายในกาแพงพระบรมมหาราชวงั แบง่ แยก
อาณาบริเวณสาหรับปลูกสร้างอาคารไวเ้ ป็นสัดส่วน คือ พ้ืนที่ตอนเหนือซ่ึงเป็นดา้ นหนา้ ทางฟากตะวนั ออกเป็นวดั พระศรี
รัตนศาสดาราม หรือท่ีเรียกกนั เป็นสามญั วา่ วดั พระแกว้ มรกต ฟากตะวนั ตกเป็นอาคารสถานท่ีของทางราชการ พ้นื ท่ี
ตอนกลางเป็น หมูพ่ ระมหาปราสาทและพระราชมณเฑียรสถาน ส่วนพ้นื ท่ีตอนในเบ้ืองหลงั พระมหาปราสาทราชมณเฑียร
เป็นเขตฝ่ ายใน ซ่ึงในสมยั ก่อนใชเ้ ป็นท่ีประทบั ของสมเด็จพระอคั รมเหสี พระบรมวงศานุวงศฝ์ ่ ายใน และขา้ บาทบริจาริกา

ในองคพ์ ระมหากษตั ริย์

หมู่พระมหาปราสาทราชมณเฑียรในพระบรมมหาราชวงั น้ี ลว้ นก่อสร้างข้ึนดว้ ยความประณีต วจิ ิตรบรรจง เป็น
สมบตั ิทางศิลปวฒั นธรรมของชาติท่ีมีคา่ ประมาณมิได้ เป็นสถานที่สาคญั ที่ชาวต่างประเทศนิยมเขา้ มาชมมากที่สุดแห่ง

หน่ึงของประเทศไทย

อน่ึง คาวา่ “บพติ รอดิศร” ในกลอนขา้ งตน้ น้ี หมายถึงพระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั รัชกาลที่ ๒ แห่ง
กรุงรัตนโกสินทร์ ซ่ึงทรงพระมหากรุณาชุบเล้ียงสุนทรภูใ่ หร้ ับราชการอยู่ ในกรมพระอาลกั ษณ์และเป็ นกวที ่ีปรึกษาใน
ราชสานกั มีบรรดาศกั ด์ิเป็นที่ขนุ สุนทรโวหาร เมื่อรัชกาลท่ี ๒ สวรรคตแลว้ สุนทรภูก่ ็ตกอบั กล่าวไวใ้ นนิราศภูเขาทองวา่

“แตเ่ ราน้ีที่สุนทรประทานตวั ไม่รอดชวั่ เช่นสามโคกยงิ่ โศกใจ
สิ้นแผน่ ดินสิ้นนามตามเสด็จ ตอ้ งเที่ยวเตร็ดเตร่หาท่ีอาศยั
แมน้ กาเนิดเกิดชาติใดใด ขอใหไ้ ดเ้ ป็นขา้ ฝ่ าธุลี”

หน้าแพ (ตาหน้กแพ)

ถึง หนา้ แพ แลเห็นเรือท่ีนง่ั คิดถึงคร้ังก่อนมาน้าตาไหล
เคยหมอบรับกบั พระจม่ืนไวย แลว้ ลงเรือที่นงั่ บลั ลงั กท์ อง
เคยทรงแต่งแปลงบทพจนารถ เคยรับราชโองการอ่านฉลอง

จนกฐินสิ้นแมน่ ้าแลลาคลอง มิไดข้ อ้ งเคืองขดั หทั ยา
เคยหมอบใกลไ้ ดก้ ล่ินสุคนธ์ตลบ ละอองอบรสร่ืนช่ืนนาสา
สิ้นแผน่ ดินสิ้นรสสุคนธา วาสนาเราก็สิ้นเหมือนกล่ินสุคนธ์

หน้าแพ หรือตาหนกั แพ ปัจจุบนั คือ ท่าราชวรดิษฐ์ เดิมเป็ นแพลอยอยู่ในน้าเรียกว่า “ตาหนกั แพ” สาหรับพระเจา้
แผน่ ดินเสด็จออกประทบั ทอดพระเนตรงานซ่ึงมีในลาแม่น้า เช่น การลอยพระประทีป เป็ นตน้ และเสด็จออกให้ขา้ ราชการเฝ้า
แทนในเวลาเสด็จทางชลมารค ต่อมาในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระนั่งเกลา้ เจา้ อยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจา้ อยหู่ วั และพระบาทสมเด็จโปรดใหส้ ร้างข้ึนใหม่เปล่ียนจากแพของเดิมมาเป็ นต้งั เสาบนบก แลว้ พระราชทานนามวา่ “พระท่ี
นง่ั ราชกิจวนิ ิจฉยั ” ส่วนทา่ น้นั พระราชทานนามวา่ “ท่าราชวรดิษฐ”์

อน่ึง คาว่า “พระจม่ืนไวย” ในกลอนข้างต้นน้ี คือ จม่ืนไวยวรนารถ (เผือก) หัวหมื่นมหาดเล็กในสมัย
พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลยั ต่อมาในสมยั รัชกาลท่ี ๓ ไดเ้ ล่ือนบรรดาศกั ด์ิเป็ น พระยาธิเบศร์บดีจางวางมหาดเล็ก
แลว้ เป็นพระยาไชยวชิ ิต สิทธิสาตรามหาประเทศราช ชาติเสนาบดี ผูร้ ักษากรุงเก่า พระยาไชยวชิ ิต (เผอื ก) น้ี เป็ นผปู้ ฏิสังขรณ์
วดั หน้าพระเมรุ จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา และเป็ นกวีมีช่ือเสียงปรากฏผลงานกวีนิพนธ์หลายเรื่อง เช่น โคลงและกลอนยอ
พระเกียรติ ๓ รัชกาล (รัชกาลที่ ๑ รัชกาลท่ี ๒ และรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)
โคลงฤาษีดดั ตนท่าแกแ้ น่นหนา้ อก (พิมพร์ วมอยูใ่ นหนงั สือประชุมจารึกวดั พระเชตุพน) บททาขวญั นาค (ในหนงั สือประชุม
เชิญขวญั ) บทสักวาเรื่องอิเหนาเล่นถวายในรัชกาลที่ ๓

พระยาไชยวชิ ิต (เผอื ก) ถึงอนิจกรรมในสมยั รัชกาลที่ ๓

หอพระอฐั ิ

ดูในวงั ยงั เห็นหอพระอฐั ิ ต้งั สติเติมถวายฝ่ ายกศุ ล
ท้งั ปิ่ นเกลา้ เจา้ พิภพจบสกล ใหผ้ อ่ งพน้ ภยั สาราญผา่ นบุรินทร์

หอพระอัฐิ คือ หอพระธาตุมณเฑียร ต้งั อยู่ทางทิศตะวนั ตกของพระที่นง่ั ไพศาลทกั ษิณ เป็ นท่ีประดิษฐานพระ
บรมอฐั ิสมเด็จพระบรมราชบุรพการี คือ พระบรมอฐั ิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก พระบรมอฐั ิพระบาทสมเด็จพระทุทธยอด
ฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระบรมอฐั ิพระบาทสมเด็จพระทุทธเลิศหลา้ นภาลยั พระบรมอฐั ิพระบาทสมเด็จพระนง่ั เกลา้ เจา้ อยู่หัว
พระบรมอฐั ิสมเดจ็ พระอมรินทราบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๑ สมเด็จพระศรีสุริเยนทรา บรมราชินี ในรัชกาลท่ี ๒ สมเด็จพระศรี
สุลาลยั ในรัชกาล ท่ี 2 และสมเดจ็ พระมหิตลาธิเบศร์ อดุลยเดชวกิ รม สมเด็จพระบรมราชชนก

วดั ประโคนปัก

ถึงอารามนามวดั ประโคนปัก ไมเ่ ห็นหลกั ลือเล่าวา่ เสาหิน
เป็นสาคญั ปันแดนในแผน่ ดิน มิรู้สิ้นสุดชื่อท่ีลือชา

ขอเดชะพระพุทธคุณช่วย แมน้ มอดมว้ ยกลบั ชาติวาสนา
อายยุ นื หมื่นเทา่ เสาศิลา อยคู่ ู่ฟ้าดินไดด้ งั ใจปอง

วดั ประโคนปักคือ วดั ดุสิตาราม กรุงเทพมหานคร ต้งั อยรู่ ิมแมน่ ้าเจา้ พระยาฝั่งตะวนั ตก ใตส้ ะพานสมเดจ็ พระป่ิ นเกลา้
เหนือปากคลองบางกอกนอ้ ย เป็นวดั โบราณ เดิมช่ือวดั เสาประโคน สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้ากรมหลวงศรีสุนทรเทพ
ทรงสถาปนา สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาเสนานุรักษ์ ทรงปฏิสงั ขรณ์ใหม่ท้งั หมด เสด็จแลว้ พระราชทานนามใหมว่ า่
วดั ดุสิตาราม พระบาทสมเด็จพระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงปฏิสังขรณ์เพ่มิ เติมอีกบา้ ง

โรงเหล้า

ถึงโรงเหลา้ เตากลน่ั ควนั โขมง มีคนั โพงผกู สายไวป้ ลายเสา
โอบ้ าปกรรมน้านรกเจียวอกเรา ใหม้ วั เมาเหมือนหน่ึงบา้ เป็นน่าอาย
ทาบุญชวชกรวดน้าขอสาเร็จ สรรเพชญโ์ พธิญาณประมาณหมาย

ถึงสุราพารอดไมว่ อดวาย ไม่ใกลก้ รายแกลง้ เมินก็เกินไป
ไมเ่ มาเหลา้ แลว้ แตเ่ รายงั เมารัก สุดจะหกั หา้ มจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหลา้ เชา้ สายก็หายไป แต่เมาใจน้ีประจาทุกค่าคืน

โรงเหล้า คือ โรงงานสุราบางย่ีขนั ต้งั อยูร่ ิมแม่น้าเจา้ พระยาฝั่งตะวนั ตก เหนือสะพานสมเด็จพระปิ่ น
เกลา้ ตรงกนั ขา้ มกบั บางขุนพรหม อยูใ่ นทอ้ งที่ตาบลบางยข่ี นั เขตบางกอกนอ้ ย กรุงเทพมหานคร มองเห็นปล่อง
ไดเ้ ด่นชดั แต่ไกลเรียกกนั ติดปากมาจนทุกวนั น้ีวา่ “สุราบางยขี่ นั

วดั เขมาภิรตาราม

จะเหลียวกลบั ลบั เขตประเทศสถาน ทรมานหมน่ ไหมฤ้ ทยั หมอง
ถึงเขมาอารามอร่ามทอง พ่ึงฉลองเลิกงานเมื่อวานซืน
โอป้ างหลงั คร้ังสมเดจ็ บรมโกศ มาผกู โบสถก์ ไ็ ดม้ าบูชาชื่น
ชมพระพิมพร์ ิมผนงั ยงั ยง่ั ยนื ท้งั แปดหม่ืนส่ีพนั ไดว้ นั ทา

โอค้ ร้ังน้ีมิไดเ้ ห็นเล่นฉลอง เพราะตวั ตอ้ งตกประดาษวาสนา
เป็นบุญนอ้ ยพลอยนึกโมทนา พอนาวาติดชลเขา้ วนเวยี น

วดั เขมาภริ ตาราม อยทู่ างฝั่งตะวนั ออกของแม่น้าเจา้ พระยา เหนือวดั ปากน้า ตรงกนั ขา้ มกบั ปากคลอง
บางกรวย (คลองตลาดแกว้ ) ข้ึนตาบลสวนใหญ่ อาเภอเมืองนนทบุรี จงั หวดั นนทบุรี เดิมช่ือวดั เขมา เป็ นวดั
โบราณสมยั อยธุ ยา พ.ศ. ๒๓๗๑ สมเดจ็ พระศรีสุ่ริเยนทราบรมราชินีในรัชกาลท่ี ๒ ทรงปฏิสังขรณ์ และสร้างอคั ร
เจดียท์ ้งั ๔ ทิศ ไวม้ ุมพระอุโบสถ ต่อมาพ.ศ. ๒๓๙๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั โปรดให้ปฏิสังขรณ์
และสร้างพระมหาเจดียใ์ หม่สูง ๓๐ เมตร (๑๔ วา) และเล่ือนอคั รเจดียท์ ้งั ๔ องคไ์ ปต้งั อยู่ ๔ มุมของพระมหาเจดีย์
เสร็จแลว้ โปรดให้อญั เชิญพระพุทธรูปโลหะ จากวงั จนั ทรเกษม จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยามาประดิษฐานไวห้ นา้
พระประธานในพระอุโบสถ แล้วพระราชทานนามวดั น้ีใหม่ว่า “วดั เขมาภิรตาราม” หลงั จากปฏิสังขรณ์เสร็จ
เรียบร้อยแลว้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ก็โปรดใหม้ ีงานฉลอง ปรากฏหลกั ฐานในประกาศรัชกาลที่
๔ วา่ “… ก็ไดท้ รงพระศรัทธาเสด็จไปทามหกรรมการฉลอง ทรงบาเพญ็ พระกุศลในที่น้นั เป็ นอนั มาก ในปี ชวด
สัมฤทธิศก ศกั ราช ๑๑๙๐ (พ.ศ. ๒๓๗๑)”ตอ่ มาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ขณะที่ทางวดั กาลงั ร้ือสิ่งสลกั หกั พงั ท่ีองคพ์ ระ
มหาเจดีย์ เพื่อปฏิสังขรณ์น้นั ไดพ้ บพระบรมสารีริกธาตุ จึงไดท้ าพิธีอญั เชิญไปบรรจุไวใ้ นองค์พระมหาเจดีย์
โบราณวตั ถุสถานที่น่าสนใจภายในวดั เขมาภิรตาราม นอกจากท่ีกล่าวมาแลว้ คือ

บางจาก
ถึงบางจากจากวดั พลดั พ่ีนอ้ ง มามวั หมองมว้ นหนา้ ไม่ฝ่ าฝืน
เพราะรักใคร่ใจจืดไม่ยดื ยนื จึงตอ้ งขืนใจพรากมาจากเมือง
บ้านบางจาก อยทู่ างฝ่ังตะวนั ตกของแมน่ ้าเจา้ พระยาใตว้ ดั ภคินีนาถ แขวงบางพลดั เขตบางกอกนอ้ ย
กรุงเทพมหานคร มีคลองบางจาก ซ่ึงแยกจากแม่น้าเจา้ พระยาตรงเขตวดั ภคินีนาถดา้ นทิศใตเ้ ป็นสาคญั คลองน้ี
มีน้าตลอดท้งั ปี

บางพลดั
ถงั บางพลดั เหมือนพพี่ ลดั มาขดั เคือง ท้งั พลดั เมืองพลดั สมรมาร้อนรน
บ้านบางพลดั อยทู่ างฝั่งตะวนั ตกของแมน่ ้าเจา้ พระยา ตาบลบางพลดั น้ี เม่ือพ.ศ. ๒๔๕๘ มีฐานะเป็นอาเภอซ่ึงต้งั
ท่ีวา่ การอาเภอท่ีปากคลองบางพลดั ต่อมา พ.ศ. ๒๔๘๑ ถูกยบุ รวมเขา้ กบั อาเภอบางกอกนอ้ ย มีสะพานพระราม ๖
ขา้ มแมน่ ้าทางรถไฟสายใตใ้ หเ้ ดินเขา้ รวมสถานีกรุงเทพฯ เมื่อพ.ศ. ๒๔๖๙ ปัจจุบนั เป็นตาบลบางพลดั มีวดั บาง
พลดั ใน (จนั ทาราม) และคลองบางพลดั เป็นสาคญั ปาก¬กลองบางพลดั แยกจากแม่น้าเจา้ พระยาฝั่งตะวนั ตก ขา้ ง
วดั อาวธุ วกิ าสิตาราม (วดั บางพลดั นอก) คลองน้ี ยาว ๒ กิโลเมตร มีน้าตลอดท้งั ปี

สามโคก

ถึงสามโคกโศกถวลิ ถึงปิ่ นเกลา้ พระพุทธเจา้ หลวงบารุงซ่ึงกรุงศรี
ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี ช่ือปทุมธานีเพราะมีบวั
โอพ้ ระคุณสูญลบั ไม่กลบั หลงั แต่ช่ือต้งั ก็ยงั อยเู่ ขารู้ทวั่

โอเ้ ราน้ีที่ สุนทร ประทานตวั ไม่รอดชว่ั เช่นสามโคกยงิ่ โศกใจ
สิ้นแผน่ ดินสิ้นนามตามเสด็จ ตอ้ งเท่ียวเตร็ดเตร่หาที่อาศยั
แมน้ กาเนิดเกิดชาติใดใด ขอใหไ้ ดเ้ ป็นขา้ ฝ่ าธุลี
สิ้นแผน่ ดินขอใหส้ ิ้นชีวติ บา้ ง อยา่ รู้ร้างบงกชบทศรี
เหลืออาลยั ใจกตรมระทมทวี ทุกวนั น้ีกซ็ งั กายทรงกายมา

สามโคก เป็ นชื่อตาบลและอาเภอ ข้ึนจงั หวดั ปทุมธานี เดิมเป็ นเมืองท่ีต้งั ของเมืองสามโคก เป็ นช่ือเมืองเก่า
ของปทุมธานี มีชื่อปรากฏในพระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ของเจา้ พระยาทิพากรวงศ์ (ขา บุนนาค)
ฉบบั องค์การคา้ ของคุรุสภาพิมพจ์ าหน่าย พ.ศ. ๒๕๐๓ หน้า ๓๐ กล่าววา่ “เม่ือสมเด็จพระอนุชาธิราชกรมพระราชวงั
บวรสถานมงคล ทรงสร้างวดั ตองปุข้ึนใหม่ โปรดให้พระสงฆร์ ามญั มาอยวู่ ดั ตองปุ และให้พระมหาสุเมธาจารยเ์ ป็ นเจา้
อาวาส พระไตรสรณธชั น้นั มีพระราชโองการใหอ้ ยวู่ ดั บางหลวง เป็ นเจา้ คณะรามญั ในแขวงเมืองนนทบุรีและสามโคก
พระสุเมธนอ้ ยน้นั โปรดใหค้ รองวดั บางยี่เรือใน” ต่อมาเม่ือพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั พร้อมดว้ ยสมเด็จ
พระบวรราชเจา้ กรมพระราชวงั บวรมหาเสนานุรักษ์ ไดเ้ สด็จไปประทบั ที่พลบั พลาริมแม่น้าเจา้ พระยาฝั่งซา้ ย เย้ืองกบั
เมืองสามโคก มีราษฎรนาดอกบวั มาทูนเกลา้ ฯ ถวายเป็ นเนืองนิตย์ พระองคจ์ ึงพระราชทานนามเมืองสามโคกเสียใหม่
วา่ “เมืองปทุมธานี” โดยเหตุท่ีมีดอกบวั อยทู่ วั่ ไป ดงั ที่สุนทรภู่ไดก้ ล่าวไวใ้ นนิราศภูเขาทองวา่ “ประทานนามสามโคก
เป็นเมืองตรี ชื่อปทุมธานีเพราะมีบวั ” และใหย้ กจวนกลางทาเป็นวดั เรียกวา่ “วดั ปทุม” ท่ีต้งั เมืองปทุมธานี ปรากฏวา่
ยา้ ยหลายคร้ัง ปัจจุบนั คือจงั หวดั ปทุมธานี

วดั หน้าพระเมรุ

มาจอดท่าหนา้ วดั พระเมระขา้ ม ริมอารามเรือเรียงเคียงขนาน
บา้ งข้ึนล่องสองลาเล่นสาราญ ท้งั เพลงการเก้ียวแกก้ นั แซ่เซ็ง

บา้ งฉลองผา้ ป่ าเสภาขบั ระบาดรับรัวคลา้ ยกบั นายเส็ง
มีโคมรายแลอร่ามเหมือนสาเพง็ เมื่อคราวเคร่งกม็ ิใคร่จะไดด้ ู
อา้ ยลาหน่ึงคร่ึงท่อนกลอนมนั มาก ช่างยาวลากเล้ือยเจ้ือยจนเหน่ือยหู
ไมจ่ บบทลดเล้ียวเหมือนเง้ียวงู จนลูกคูข่ อทุเลาวา่ หาวนอนฯ

วดั หน้าพระเมรุ อยฝู่ ั่งขวาแมน่ ้าลพบุรีและริมคลองสระบวั ตรงขา้ มพระราชวงั โบราณดา้ นเหนือ ตาบลท่า
วาสุกรี อาเภอพระนครศรีอยธุ ยา จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา เป็นพระอารามหลวงสามญั ช้นั ตรี เป็นวดั โบราณที่สาคญั
วดั หน่ึง ตามตานานกล่าววา่ พระองคอ์ ินทร์ในรัชกาลสมเดจ็ พระรามาธิบดีที่ ๒ ทรงสร้างเม่ือจุลศกั ราช ๘๖๕ พ.ศ.
๒๐๔๗ ประทานนามวา่ “วดั พระเมรุราชิการาม” ต่อมาภายหลงั เรียกกนั ทวั่ ไปวา่ “วดั หนา้ พระเมรุ” คงจะสร้างตรงท่ี
ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระราชา พระองคใ์ ดพระองคห์ น่ึงท่ีครองกรุงศรีอยธุ ยา หรืออาจจะเอานามวดั พระเมรุซ่ึง
ปัจจุบนั เป็นวดั ร้างอยทู่ ี่สวนนนั ทอุทยาน ทางตะวนั ออกเฉียงใตข้ ององคพ์ ระปฐมเจดีย์ ตาบลหว้ ยจระเข้ อาเภอเมือง
นครปฐม จงั หวดั นครปฐม มาต้งั ชื่อวดั น้ีก็ได้

ตามพงศาวดารกล่าววา่ ก่อนท่ีสมเด็จพระมหาจกั รพรรดิจะทรงทาสญั ญาสงบศึกกบั พระเจา้ หงสาวดีบุเรง
นอง เมื่อพ.ศ. ๒๐๙๒ ไดโ้ ปรดใหพ้ นกั งานออกไปปลูกราชสณั ฐาคาร (พลบั พลา) ณ ตาบลวดั พระเมรุราชิการามกบั วดั
หสั ดาวาส ซ่ึงอยทู่ างทิศตะวนั ตกเฉียงเหนือ ห่างจากวดั หนา้ พระเมรุเล็กนอ้ ย มีราชบลั ลงั กาอาสน์ ๒ พระที่นงั่ สูงเสมอ
กนั ระหวา่ งพระท่ีนง่ั ห่าง ๔ ศอก แลว้ ใหแ้ ต่งรัตนตยาอาสนส์ ูงกวา่ ราชอาสน์อีกพระท่ีนง่ั หน่ึง ใหเ้ ชิญพระศรีรัตนตรัย
ออกไปไวเ้ ป็นประธาน

ตอ่ มาภายหลงั วดั น้ีไดช้ ารุดทรุดโทรม ปรากฎวา่ สมเดจ็ พระเจา้ บรมโกศไดท้ รงบูรณะปฏิสังขรณ์ และ
ตอ่ มาในสมยั กรุงรัตนโกสินทร์ พระยาไชยวชิ ิต (เผอื ก) ผรู้ ักษาพระนครศรีอยธุ ยา ไดท้ าการบูรณะปฏิสังขรณ์ เม่ือ พ.ศ.
๒๓๗๘ และ พ.ศ. ๒๓๘๑ ในรัชกาลที่ ๓ และเมื่อวนั เสาร์ เดือนอา้ ย แรม ๔ ค่า พ.ศ. ๒๔๐๒ พระบาทสมเด็จพระจอม
เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดโ้ ปรดใหพ้ ระยาเพทราชา พระยาโบราณบุรานุรักษ์ กรมการเร่งใหช้ ่างรักช่างกระจก ลงรักประดบั
กระจกพระพุทธรูปวดั หนา้ พระเมรุ และเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ทางราชการไดท้ าการบูรณะวดั น้ี โดยสร้างสะพานขา้ มแมน่ ้า
ลพบุรี ตรงหนา้ วดั และทาถนนเขา้ วดั ยาว ๑๑๘ เมตร ซ่อมพระอุโบสถและวหิ ารนอ้ ย

บางโพธ์ิ

ถึงบางโพธ์ิโอพ้ ระศรีมหาโพธ์ิ ร่มนิโรธรุกขมูลใหพ้ นู ผล
ขอเดชะอานุภาพพระทศพล ใหผ้ อ่ งพน้ ภยั พาลสาราญกาย

บ้านบางโพธ์ิ อยทู่ างฝั่งตะวนั ออกของแม่น้าเจา้ พระยา ข้ึนตาบลบางซื่อ เขตดุสิต กรุงเทพ¬นหานคร เดิมเป็นช่ือตาบล
เรียกตาบลบางโพธ์ิข้ึนเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ปัจจุบนั ไม่ไดเ้ ป็นตาบลแลว้ แตเ่ รียกกนั ตามช่ือเดิมวา่ บางโพธ์ิ
มีวดั บางโพโอมาวาสเป็นสาคญั

บ้านญวน

ถึงบา้ นญวนลว้ นแต่โรงแลสะพรั่ง มีขอ้ งขงั กุง้ ปลาไวค้ า้ ขาย
ตรงหนา้ โรงโพงพางเขาวางราย พวกหญิงชายพร้อมเพรียงเขาเมียงมอง

บ้านญวน อยทู่ างฝั่งตะวนั ออกของแม่น้าเจา้ พระยา ข้ึนตาบลบางซ่ือ เขตดุสิต กรุงเทพ¬นหานคร มีวดั อนมั นิกายา
ราม หรือที่เรียกกนั วา่ วดั ญวนบางโพธ์ิ เป็นสาคญั

ตลาดแก้ว
ตลาดแกว้ แลว้ ไม่เห็นตลาดต้งั สองฟากฝั่งกแ็ ต่ลว้ นสวยพฤกษา
โอร้ ินรินกลิ่นดอกไมใ้ กลค้ งคา เหมือนกล่ินผา้ แพรดาร่ามะเกลือ
บ้านตลาดแก้ว อยทู่ างฝ่ังตะวนั ออกของแมน่ ้าเจา้ พระยา ตรงขา้ มปากคลองบางสีทองข้ึนตาบลสวนใหญ่
อาเภอเมืองนนทบุรี จงั หวดั นนทบุรี คูก่ บั ตลาดขวญั ปัจจุบนั คือที่ต้งั ศาลากลางจงั หวดั นนทบุรี ซ่ึงยา้ ยมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑ ใน
สมยั รัชกาลท่ี ๗

ปากเกร็ด
ถึงเกร็ดยา่ นบา้ นมอญแตก่ ่อนเก่า ผหู้ ญิงเกลา้ มวยงามตามภาษา
เดี๋ยวน้ีมอญถอนไรจุกเหมือนตุก๊ ตา ท้งั ผดั หนา้ จบั เขมา่ เหมือนชาวไทย
โอส้ ามญั ผนั แปรไม่แทเ้ ท่ียง เหมือนอยา่ งเยย่ี งชายหญิงทิง้ วสิ ัย
นี่หรือจิตคิดหมายมีหลายใจ ที่จิตใครจะเป็นหน่ึงอยา่ งพึงคิด

บา้ น ปากเกร็ด อยทู่ างฝั่งตะวนั ออกของแมน่ ้าเจา้ พระยา ข้ึนตาบลปากเกร็ด อาเภอปากเกร็ด จงั หวดั นนทบุรี
เดิมเป็นที่อยขู่ องพวกมอญซ่ึงอพยพเขา้ มาพ่ึงพระบรมโพธิสมภาร ปัจจุบนั คงมีชาวมอญอาศยั อยเู่ ป็นจานวนมาก เรียกกนั ติด
ปากวา่ บา้ นมอญ

บ้านใหม่
ถึงบา้ นใหม่ใจจิตก็คิดอา่ น จะหาบา้ นใหม่มาดเหมือนปรารถนา

ขอใหส้ มคะเนเถิดเทวา จะไดผ้ าสุกสวสั ด์ิกาจดั ภยั

บ้านใหม่ อยทู่ างฝั่งตะวนั ออกของแม่น้าเจา้ พระยา อยใู่ นทอ้ งท่ีตาบลบา้ นใหม่ อาเภอเมือง ปทุมธานี จงั หวดั ปทุมธานี
บางเด่ือ

ถึงบางเด่ือโอม้ ะเดื่อเหลือประหลาด บงั เกิดชาติแมลงหวม่ี ีในไส้
เหมือนคนพาลหวานนอกยอ่ มขมใน อุปไมยเหมือนมะเด่ือเหลือระอา

บ้านบางเด่ือ หรือบางมะเดื่อ อยทู่ างฝ่ังตะวนั ตกของแมน่ ้าเจา้ พระยา อยใู่ นทอ้ งที่ตาบลบางเดื่อ อาเภอเมือง
ปทุมธานี จงั หวดั ปทุมธานี มีคลองบางเด่ืออยเู่ หนือวดั น้าวนและอยใู่ ตว้ ดั บางเดื่อ เป็นสาคญั

บางหลวง
ถึงบางหลวงเชิงรากเหมือนจากรัก สู้เสียศกั ด์ิสังวาสพระศาสนา

เป็นล่วงพน้ รนราคราคา ถึงนางฟ้าจะมาใหไ้ ม่ไยดี

บ้านบางหลวง อยทู่ างฝ่ังตะวนั ตกของแม่น้าเจา้ พระยา อยใู่ นทอ้ งท่ีตาบลบางหลวง อาเภอเมืองปทุมธานี จงั หวดั
ปทุมธานี มีวดั บางหลวงต้งั อยปู่ ากคลองบางหลวงเป็นสาคญั คลองน้ีมีน้าตลอด

ชิงราก (เชียงราก)
ถึงบางหลวง เชิงราก เหมือนจากรัก สู้เสียศกั ด์ิสังวาสพระศาสนา

บ้านเชิงราก ปัจจุบนั เรียก “เชียงราก” มีคลองเชียงรากซ่ึงแยกจากแมน่ ้าเจา้ พระยาทางฝั่งตะวนั ออก ท่ีเหนือปาก
คลองมีศาลเจา้ และวดั มะขามเป็นสาคญั มีท้งั คลองเชียงราก (ใหญ่) และคลองเชียงรากนอ้ ย นอกจากเชียงรากจะเป็นชื่อ
คลองแลว้ ยงั เป็นช่ือตาบล ๒ ตาบล คือ ตาบลเชียงรากนอ้ ย และตาบลเชียงรากใหญ่ ข้ึนอาเภอสามโคก จงั หวดั ปทุมธานี

บ้านงวิ้
ถึงบา้ นงิ้วเห็นแตว่ งิ้ ละลิ่วสูง ไม่มีฝงู สตั วส์ ิงกิ่งพฤกษา
ดว้ ยหนามดกรกดาษระดะตา นึกก็น่ากลวั หนามขามขามใจ
งิ้วนรกสิบหกองคุลีแหลม ดงั ขวากแซมเส้ียมแซกแตกไสว
ใครทาชูค้ ู่ทา่ นคร้ันบรรลยั กต็ อ้ งไปปี นตน้ น่าขนพอง
เราเกิดมาอายเุ พยี งน้ีแลว้ ยงั คลาดแคลว้ ครองตวั ไม่มวั หมอง
ทุกวนั น้ีวปิ ริตผดิ ทานอง เจียนจะตอ้ งปี นบา้ งหรืออยา่ งไรฯ

บ้านงวิ้ หรือบา้ นป่ างิ้ว อยทู่ างฝั่งตะวนั ออกของแมน่ ้าเจา้ พระยา อยใู่ นทอ้ งที่ตาบลบา้ นงิ้ว อาเภอสามโคก จงั หวดั
ปทุมธานี มีวดั ป่ างิ้วเป็นสาคญั

กาะใหญ่ราชคราม
โอค้ ิดมาสารพดั จะตดั ขาด ตดั สวาทตดั รักมิยกั ไหว
ถวลิ หวงั นง่ั นึกอนาถใจ ถึง เกาะใหญร่ าชคราม หอยามเยน็
ดูห่างยา่ นบา้ นช่องท้งั สองฝ่ัง ระวงั ท้งั สัตวน์ ้าจะทาเขญ็
เป็นที่อยผู่ รู้ ้ายไมว่ ายเวน้ เท่ียวซ่อนเร้นตีเรือเหลือระอา

เกาะใหญ่ เป็นชื่อที่ชาวบา้ นเรียกตาบลทา้ ยเกาะ อาเภอสามโคก จงั หวดั ปทุมธานี มีคลองเกาะใหญ่ ซ่ึงแยกจาก
แมน่ ้าเจา้ พระยาทางฝ่ังตะวนั ตก ตรงขา้ มกบั วดั โพธ์ิแตงเหนือ วดั โพธ์ิแตงใต้ มีวดั ทา้ ยเกาะใหญ่ ตาบลทา้ ยเกาะ อาเภอสาม
โคก จงั หวดั ปทุมธานี เป็นสาคญั

ส่วนคาวา่ “ราชคราม” เป็นช่ือเดิมของอาเภอบางไทร จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา ปัจจุบนั เป็นตาบลราชคราม
อาเภอบางไทร ต้งั อยตู่ รงท่ีร่วมของแม่น้านอ้ ย (แม่น้าสีกกุ ) กบั ลาแมน่ ้าใหญ่ คือ แม่น้าเจา้ พระยา ในสมยั รัชกาลที่ ๕
โปรดใหต้ ้งั เป็นอาเภอเรียกวา่ อาเภอราชคราม ต่อมาในสมยั รัชกาลท่ี ๖ ไดย้ า้ ยท่ีวา่ การไปต้งั อยทู่ างฝั่งขวาของลาน้าบาง
ไทร (แมน่ ้านอ้ ย) ท่ีตาบลราชคราม เมื่อพ.ศ. ๒๔๖๗. ถึงพ.ศ. ๒๔๘๑ กลบั เปล่ียนช่ือเป็นอาเภอบางไทร และเป็นช่ือที่
เรียกกนั ต่อมาจนกระทงั่ ปัจจุบนั น้ี

ตาบลกรุงเก่า
พอรอนรอนอ่อนแสงพระสุริยน ถึงตาบล กรุงเก่า ยง่ิ เศร้าใจ

ตาบลกรุงเก่า หมายถึงกรุงศรีอยธุ ยา คาวา่ “กรุงเก่า” เป็นช่ือเดิมของอาเภอพระนครศรีอยธุ ยา จงั หวดั
พระนครศรีอยธุ ยา อาเภอน้ีเดิมมีช่ือวา่ อาเภอรอบกรุง คร้ันต่อมาเมื่อเปลี่ยนช่ือจงั หวดั และมณฑลในสมยั พระบาทสมเด็จ
พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั จึงเปล่ียนช่ือเป็น อาเภอกรุงเก่า ตอ่ มาไดเ้ ปล่ียนชื่อ เป็นอาเภอพระนครศรีอยธุ ยา เม่ือวนั ท่ี ๑๓
มีนาคม ๒๕๐๐

ท่าหน้าจวน
มาถึงทา่ หนา้ จวน จอมผรู้ ้ัง คิดถึงคร้ังก่อนมาน้าตาไหล
จะแวะหาถา้ ท่านเหมือนเม่ือเป็นไวย ก็จะไดร้ ับนิมนตข์ ้ึนบนจวน
แต่ยามยากหากวา่ ถา้ ทา่ นแปลก อกมิแตกเสียหรือเราเขาจะสรวล
เหมือนเขญ็ ใจใฝ่ สูงไมส่ มควร จะตอ้ งมว้ นหนา้ กลบั อปั ระมาณ
ท่าหน้าจวน คือจวนผรู้ ักษากรุงเก่าในสมยั น้นั เขา้ ใจวา่ จะอยใู่ นวงั จนั ทรเกษม ผรู้ ักษากรุงเก่า คือ พระยา
ไชยวชิ ิต (เผอื ก) ซ่ึงเคยสนิทสนมกบั สนุทรภู่ในสมยั พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั ขณะมีบรรดาศกั ด์ิเป็น จม่ืน
ไวยวรนารถ กล่าวไวใ้ นนิราศภูเขาทองวา่
“เคยหมอบรับกบั พระจมื่นไวย แลว้ ลงในเรือที่นงั่ บลั ลงั กท์ อง”

เจดยี ์ภูเขาทอง

คร้ันรุ่งเชา้ เขา้ เป็นวนั อุโบสถ เจริญรสธรรมาบูชาฉลอง
ไปเจดียท์ ่ีชื่อ ภูเขาทอง ดูสูงล่องลอยฟ้านภาลยั
อยกู่ ลางทุง่ รุ่งโรจนส์ นั โดษเด่น เป็นท่ีเล่นนาวาคงคาใส

ท่ีพ้นื ลานฐานบทั มถ์ ดั บนั ได คงคาลยั ลอ้ มรอบเป็นขอบคนั
มีเจดียว์ หิ ารเป็นลานวดั ในจงั หวดั วงแขวงกาแพงก้นั

ที่องคก์ ่อยอ่ เหล่ียมสลบั กนั เป็นสามช้นั เชิงชานตระหง่านงาม

วดั ภูเขาทอง เป็นวดั ท่ีต้งั อยนู่ อกตวั เมืองพระนครศรีอยธุ ยาไปทางทิศตะวนั ตกเฉียงเหนือ ประมาณ ๒ กิโลเมตรเศษ
ประวตั ิการสร้างวดั และองคพ์ ระเจดียป์ ระธาน ซ่ึงพบหลกั ฐานจากพงศาวดาร ประกอบกบั คาใหก้ ารชาวกรุงเก่ามีความ
เป็น ๓ ประการ ดงั จะขอนามาเสนอเพ่ือเป็นแนวทางพิจารณาดงั น้ี

๑. พงศาวดารเหนือ กล่าววา่ สมยั หน่ึงพระนเรศวรหงสากษตั ริยม์ อญผคู้ รองเมืองสะเทิม ไดย้ กพยุหแสนยากร
๔๐ แสนมาลอ้ มกรุง ไดต้ ้งั คา่ ยอยู่ ณ ตาบลนนตรี เมื่อไดท้ ราบวา่ พระนารายณ์ไดค้ รองราชยส์ มบตั ิกเ็ กรงพระเดชานุภาพ
จึงแต่งหนงั สือแจง้ ไปยงั พระนารายณ์เป็นใจความวา่ ท่ีไดย้ กพลมาคร้ังน้ี เพ่ือจะสร้างวดั พนนั กนั คนละวดั
ฝ่ ายพระนารายณ์กร็ ับคาพนนั น้นั โดยตรัสวา่ “พระเจา้ พี่จะสร้าง กส็ ร้างเถิด คนละมุมเมือง เจา้ พ่ีสร้างทางทิศพายพั
เราจะอยขู่ า้ งทิศหรดี” พระนเรศวรหงสาจึงสร้างพระเจดียก์ วา้ ง ๓ เส้น สูง ๗ เส้น ๔ วา ๒ ศอก ก่ออยู่ ๑๕ วนั
ถึงบวั กลุ่มใหน้ ามว่า “วดั ภูเขาทอง” พระนารายณ์เห็นวา่ จะแพจ้ ึงคิดเป็ นกลอุบายทาโครงไมเ้ อาผา้ ขาวคาด พระนเรศวร
หงสา เห็นเช่นน้นั คิดกลวั ก็เลิกทพั กลบั ไป เจดียท์ ี่พระนารายณ์ทรงสร้างพงศาวดารเหนือกล่าววา่ คือ เจดียว์ ดั ชยั มงคล

๒. จากพงศาวดารฉบบั พระราชหัตถเลขากล่าวว่า สมเด็จพระราเมศวร ซ่ึงเป็ นราชโอรสของสมเด็จพระ
รามาธิบดีท่ี ๑ (อู่ทอง) ปฐมกษตั ริยค์ รองกรุงศรีอยธุ ยา เป็นผสู้ ถาปนาวดั น้ีข้ึน ซ่ึงมีความตามพงศาวดารวา่ “ศกั ราช ๗๔๙
เถาะ นพศก (พ.ศ. ๑๙๓๐) สถาปนาวดั ภูเขาทอง”
๓. สาหรับองค์พระเจดียป์ ระธานของวดั น้นั ตามหนงั สือคาให้การของชาวกรุงเก่าวา่ พระเจา้ หงสาวดีบุเรงนองเป็ น
ผสู้ ร้างเม่ือ พ.ศ.๒๑๑๒ อนั เป็นปี ที่ไทยตอ้ งเสียกรุงศรีอยธุ ยาแก่ขา้ ศึก ความในคาใหก้ ารของชาวกรุงเก่าเขียนไวด้ งั น้ี
“ในเวลาเม่ือพระเจา้ หงสาวดียงั ประทบั อยพู่ ระนครศรีอยธุ ยาน้นั ไดโ้ ปรดใหส้ ร้างพระเจดียใ์ หญ่องคห์ น่ึงท่ีตาบลทุ่งภูเขา
ทองขนานนามพระเจดียน์ ้นั วา่ เจดียภ์ ูเขาทอง ยงั ปรากฎอยจู่ นทุกวนั น้ี”

เมื่อพจิ ารณาจากหลกั ฐาน ๓ ประการที่ยกมา และไดอ้ า่ นพงศาวดารฉบบั อ่ืนๆ ประกอบ แลว้ ทาใหเ้ ชื่อไดว้ า่
สมเด็จพระราเมศวรทรงสถาปนาวดั ภูเขาทองข้ึน เมื่อปี พ.ศ. ๑๙๓๐ แต่องคพ์ ระเจดีย์ ซ่ึงเป็ นหลกั ของวดั น้นั ช้นั เดิมอาจ
เป็ นไดว้ ่าสมเด็จพระราเมศวรสร้างไวเ้ พียงองค์ขนาดเล็ก ต่อมาเมื่อพระเจา้ หงสาวดีบุเรงนองมีชยั ชนะ เหนือกรุงศรี
อยธุ ยา เมื่อ พ.ศ. ๒๑๑๒ แลว้ จึงโปรดใหส้ ร้างเจดีย์ ทบั หรือครอบเจดียเ์ ก่าของสมเด็จพระราเมศวรอีกช้นั หน่ึงส่วนความ
ตามพงศาวดารเหนือน้นั ถา้ จะพูดถึงศกั ราชและขนาดขององคเ์ จดียแ์ ละกาลงั พลทหารแลว้ ก็ไม่น่าเชื่อ อยา่ งไรก็ดีก็ยงั มี
เคา้ ซ่ึงแสดงถึงความจริงสอดคลอ้ งกบั คาใหก้ ารชาวกรุงเก่าอยบู่ า้ ง ในขอ้ ท่ีวา่ พระนเรศวรหงสาเป็นกษตั ริยห์ งสาวดียกพล
มาลอ้ มกรุง ต้งั อยทู่ ี่ทุ่งนนตรี ซ่ึงน่าจะหมายถึงกรุงศรีอยธุ ยา

มีขอ้ ท่ีน่าคิดและน่าพิจารณาอยูอ่ ีกประการหน่ึงวา่ พระเจดียอ์ งคท์ ี่พระเจา้ หงสาวดีทรงสร้างน้ี กล่าวกนั วา่ จะ
เป็ นแบบเจดียม์ อญวา่ โดยหลกั ฐานทางเอกสารจะเป็ นแบบน้นั จริงหรือไม่ ยงั ไม่พบหลกั ฐานที่แน่ชดั เมื่อคน้ ต่อไปก็ได้
หลกั ฐานวา่ หลงั จากที่พระเจา้ หงสาวดีสร้างครอบไวแ้ ลว้ ๑๒๑ ปี หมอแกมป์ เฟอร์ชาวเยอรมนั ซ่ึงเป็ นหมอประจาคณะ
ทูตของเนเธอร์แลนด์ ไดเ้ ดินทางไปยงั ประเทศญี่ป่ ุน และไดแ้ วะเขา้ มาพกั ณ กรุงศรีอยุธยา ๒๓ วนั (ต้งั แต่วนั ที่ ๑๒
มิถุนายน ถึงวนั ท่ี ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๒๓๓) ได้พรรณนาบรรยายภาพของพระเจดียภ์ ูเขาทองไว้ รู้สึกว่าใกลช้ ิดกบั
รูปทรงหรือแบบอยา่ งท่ีเป็นอยใู่ นปัจจุบนั มาก หมอแกมป์ เฟอร์ยงั ไดบ้ นั ทึกไวว้ า่ เจดียอ์ งคน์ ้ีไทยสร้างข้ึนเป็ นท่ีระลึกท่ีมี
ชยั ชนะแก่กษตั ริยม์ อญอยา่ งใหญห่ ลวง ณ ท่ีน้นั ไทยไดเ้ ข่นฆ่าและตีทพั อนั ใหญ่หลวงของขา้ ศึกแตกพา่ ยไป การที่แกมป์
เฟอร์เขียนวา่ ไทยเป็ นผูส้ ร้างน้นั พิจารณาแลว้ เป็ นไดท้ ้งั น่าเชื่อและไม่น่าเช่ือ ทว่าไม่น่าเชอื่ ก็เห็นจะมีอยูเ่ พียงประการ
เดียวคือ อาจไดร้ ับคาบอกเล่าผา่ นล่าม จึงไม่เขา้ ใจในภาษาอยา่ งซ้ึง หรืออาจไดร้ ับคาบอกเล่าจากฝร่ังซ่ึงเขา้ ใจเหตุการณ์
ผดิ พลาดก็ได้ ส่วนที่วา่ น่าเช่ือน้นั ดูออกจะมีน้าหนกั อยโู่ ดยเหตุผล ดงั น้ี

๑. พม่าจะสร้างเจดียเ์ ป็นที่ระลึกในชยั ชนะคร้ังน้ีข้ึนมาในประเทศไทย จนมีขนาดใหญ่ถึงปานน้ีเชียวหรือ
๒. จากคาใหก้ ารชาวกรุงเก่าที่วา่ พระเจา้ หงสาวดีบุเรงนองโปรดใหส้ ร้างน้นั คาใหก้ ารน้ี เกิดมีข้ึนกเ็ มื่อเสียกรุงแลว้
(หลงั พ.ศ. ๒๓๑๐) ไทยท่ีตกเป็นเชลยในเวลาน้นั อาจใหก้ ารไวก้ บั พมา่ ในเรื่องท่ีผา่ นมาแลว้ ถึง ๗๗ ปี ผดิ พลาดไปก็ได้
หรือบางทีจะใหก้ ารเสริมเกียรติพม่าเพอื่ เอาใจในฐานะที่ตนตกเป็ นเชลยกไ็ ด้
๓. แกมป์ เฟอร์รับฟังความจากคนไทยโดยผา่ นล่ามหรือไม่ผา่ นกต็ าม แตค่ นไทยผนู้ ้นั กย็ งั มีชีวติ อยใู่ นปี ๒๒๓๓
ก่อนคาใหก้ ารชาวกรุงเก่าอยา่ งนอ้ ยถึง ๗๗ ปี
๔. ในเร่ืองรูปทรงแบบอยา่ งของเจดียน์ ้นั แกมป์ เฟอร์ไดพ้ รรณนาไวล้ ะเอียดลออถ่ีถว้ นใกลเ้ คียงกบั ของจริง
ที่เป็นอยปู่ ัจจุบนั มาก ดงั จะยกขอ้ เขียนน้นั มาลงไวเ้ ป็นแนวทางพิจารณาดงั น้ี

“ เจดียน์ ้ีดูรูปป้อมๆ แต่งดงามมาก สูงราว ๔๐ ฟาทมเศษ ต้งั อยบู่ นฐานจตุรัส ยาวประมาณดา้ นละ ๑๔๐ เพซ สูงราว ๑๒ ฟา
ทม เรียวเป็นเถาข้ึนไป ทุกดา้ นยอ่ มุมเป็น ๓ แฉกข้ึนไป จนถึงยอด ดูเป็นรูปหลายเหล่ียม มี ๔ ช้นั ซอ้ นกนั ช้นั บนสอบแคบ
ลงทาใหย้ อดช้นั บนลงมามีท่ีวา่ ง เหลือเป็นระเบียงเดินไดร้ อบทุกช้นั เวน้ แต่ช้นั ล่างสุดทาเป็นรูปงอนอยา่ งประหลาด และท่ี
ริมระเบียงก้นั เป็นลูกกรง ยกหวั เมด็ ท่ีมุมอยา่ งดงาม ที่มุมตอนกลางของทุกๆ ช้นั ทาเหมือนกนั อยา่ งหนา้ ตึก ประกอบดว้ ย
ความงามและการประดบั ประดายงิ่ กวา่ ที่อ่ืนโดยเฉพาะช้นั ยอดตรงปลายเรียวแหลมน้นั งามเป็ นพิเศษ ตรงกลางมีบนั ไดแล่น
จากพ้นื ข้ึนไปยงั ช้นั บนซ่ึงเป็นบานของโครงช้นั ที่ ๒ มีช้นั บนั ได ๗๔ ช้นั ดว้ ยกนั (ปัจจุบนั ๗๕ ช้นั ) ช้นั หน่ึงสูง ๙ นิ้ว
(ปัจจุบนั วดั ได้ ๘ นิ้ว) ยาว ๔ เพซ (ปัจจุบนั วดั ได้ ๒.๑๐ เมตร) โครงช้นั ท่ี ๒ สร้างข้ึนบนพ้นื ช้นั บนของโครงแรก เป็นโครง
ส่ีเหล่ียมจตุรัสเหมือนกนั ยาวดา้ นละ ๓๖ เพซ เรียวชะลูดข้ึนไป ตรงก่ึงกลางฐานทาใหด้ ูงาม มีลูกกรงลอ้ มรอบเหมือนกนั
ปล่อยที่วา่ งบนพ้ืนฐานราวดา้ นละ ๕ เพซ บนั ไดสุดลงตรงระเบียงน้ี ปากทางประกอบดว้ ยเสางามขนาบท้งั ๒ ขา้ ง ฐานหรือ
ช้นั ล่างของโครงช้นั ที่ ๒ เป็นรูป ๘ เหล่ียม ทางดา้ นใต้ ดา้ นตะวนั ออก ดา้ นตะวนั ตก และดา้ นเหนือยาวด้านละ ๑๑ เพช ส่วน
ทางดา้ นตะวนั ออกเฉียงเหนือ ตะวนั ออกเฉียงใต้ และตะวนั ตก เฉียงเหนือยาวดา้ นละ ๑๒ เพซ มีหยกั งอนเหมือนโครงเบ้ือง
ล่าง สูงราว ๒-๓ ฟาทม ถดั ข้ึนไปไม่ต่างอะไรกบั ตึกยอดแหลม ซ่ึงช้นั บนทาเป็นเสาส้นั ๆ เวน้ ระยะห่างกนั เลก็ นอ้ ยระหวา่ ง
แตล่ ะเสาปล่อยวา่ ง เสาเหล่าน้ีหนุนติดกบั ตวั เจดียส์ ูงเรียวข้ึนไปเป็ นที่สุดดว้ ยยอดแหลมยาว น่าพิศวงอยา่ งยงิ่ ที่ยอดแหลมน้ี
ทนฟ้าทนลมเป็นเวลานานถึงเพียงน้ีไดอ้ ยา่ งไร นอกจากเจดียท์ ่ีกล่าวน้ีแลว้ กม็ ีโบสถ์ วหิ าร การเปรียญของพระ ซ่ึงกาแพง
ลอ้ มรอบก่อดว้ ยอิฐอยา่ งประณีต พระอุโบสถน้นั รูปร่างแปลก มีหลงั คาหลายช้นั มีเสาจุนอย”ู่

ลงั จากที่หมอแกมป์ เฟอร์ได้มาชม และพรรณนาลกั ษณะของเจดีย์องคน์ ีแ้ ล้ว ได้พบหลกั ฐานจากพงศาวดารฉบบั
พระราชหตั ถเลขาพอสรุปได้ความวา่ เม่ือ พ.ศ. ๒๒๘๗ สมเดจ็ พระเจ้าบรมโกศ โปรดให้ปฏิสงั ขรณ์องค์พระเจดยี ์และพระ
อารามวดั ภเู ขาทอง ความในพงศาวดารฉบบั นนั้ เขียนไว้วา่

“ในปีนนั้ (หมายถงึ จลุ ศกั ราช ๑๑๐๑ หรือ พ.ศ. ๒๒๘๗) ทรงพระกรุณาโปรดให้ปฏิสงั ขรณ์พระมหาเจดยี ์และ
พระอารามภเู ขาทอง ๑๐ เดือน จงึ สาเร็จ “พจิ ารณาจากเอกสารที่ยกมา ๒ ประการข้างบนนี ้ประกอบกบั แบบอยา่ งของพระ
เจดีย์ยคุ ตา่ งๆ ท่ีสร้างขนึ ้ ในสมยั กรุงศรีอยธุ ยา ทาให้เหน็ วา่ พระเจดยี ์ องคน์ ีเ้ป็นเจดยี ์แบบยุคที่ ๓ ของสมยั อยธุ ยาคอื
นบั ตงั้ แตส่ มยั สมเดจ็ พระเจ้าปราสาททองลงมาจนถงึ พระเจ้าอยหู่ วั ท้ายสระ (พ.ศ. ๒๑๗๓ ถึง พ.ศ. ๒๒๗๕) ฉะนนั้ หากเดมิ
เป็นเจดยี ์ทรงไทย (พระราเมศวรโปรดให้สร้าง) แล้วพระเจ้าหงสาวดีบเุ รงนองโปรดให้สร้างครอบไว้เป็นแบบมอญจริงแล้ว
ข้อสนั นิษฐานก็มีอยวู่ า่ จะต้องมีการซอ่ มแปลงแบบอยา่ งที่เป็นมอญมาเป็นแบบไทยอีกครัง้ หนง่ึ ใน ระหวา่ งปี ๒๑๗๓ ลงมา
ซง่ึ ไมเ่ กิน พ.ศ. ๒๒๓๓ (ปีท่ีแกมป์ เฟอร์มาสกู่ รุงศรีอยธุ ยา) และท่ีพงศาวดาร ได้บนั ทกึ ไว้วา่ พระเจ้าอยหู่ วั บรมโกศ
ปฏิสงั ขรณ์พระมหาเจดยี ์นนั้ สนั นิษฐานวา่ อาจเป็นเพียงปฏิ-สงั ขรณ์บางสว่ นที่ชารุด และแก้ไขลวดลายเทา่ ที่เหน็ วา่ งาม
เทา่ นนั้ หาใชเ่ ปล่ียนแปลงแบบอยา่ งจากมอญมาเป็นไทยไม่ ข้อนีม้ ีเหตผุ ลสนบั สนนุ อยกู่ ็คอื ระยะเวลาท่ีหมอแกมป์ เฟอร์เข้า
มาแล้วบรรยายภาพไว้ (คอื ปี ๒๒๓๓) นนั้ แบบอยา่ งเจดยี ์ก็เป็นทรงเหล่ียม ตอ่ มาอีก ๕๔ ปี ที่พงศาวดารกลา่ ววา่ สมเดจ็
พระเจ้าบรมโกศปฏิสงั ขรณ์ พระเจดยี ์คงไมช่ ารุดทรุดโทรมหกั พงั ลงมาถงึ รากฐานเป็นแน่ ประจกั ษ์พยานยังเหน็ อยใู่ น
ปัจจบุ นั นีอ้ ีกไมน่ ้อย ตอ่ จากนีย้ งั ไมพ่ บหลกั ฐานวา่ มีพระมหากษตั ริย์พระองคใ์ ดที่ครองกรุงศรีอยธุ ยา โปรดให้
บรู ณะปฏิสงั ขรณ์วดั หรือพระเจดีย์องคน์ ีเ้ลย ในสว่ นท่ีสมเดจ็ พระเจ้าบรมโกศบรู ณะ พระอาราม นอกจากองค์พระเจดีย์
ประธานแล้ว อาจจะบรู ณะพระอโุ บสถและอ่ืนๆ อีก เป็นต้นวา่ สร้างพระเจดีย์รายเพมิ่ ขนึ ้ เพราะลวดลายของพระเจดีย์ราย
บางองคส์ อ่ วา่ ทาอยา่ งประณีตบรรจง โดยเฉพาะลวดลายสว่ นบนของเสาประตซู ุ้มเข้าพระอโุ บสถเป็นลายเฟื่ องที่ประณีต
บรรจงสวยงามมาก ยงั ปรากฏอยจู่ นทกุ วนั นี ้หลงั จากเสียกรุงเวลาลว่ งมาอีกราว ๖๓ ปี สนุ ทรภ่ไู ด้มานมสั การ เมื่อปีขาล
เดอื น ๑๑ แรม ๘ คา่ พ.ศ. ๒๓๗๓ ได้เขียนนริ าศภเู ขาทองบรรยายภาพวดั และพระเจดยี ์ไว้ มีความดงั ตอ่ ไปนี ้

คร้ันรุ่งเชา้ เขา้ เป็นวนั อุโบสถ เจริญรสธรรมาบูขาฉลอง
ไปเจดียท์ ่ีช่ือภูเขาทอง ดูสูงล่องลอยฟ้านภาลยั
อยกู่ ลางทุง่ รุ่งโรจนส์ ันโดษเด่น เป็นท่ีเล่นนาวาคงคาใส
ที่พ้ืนลานฐานบทั มถ์ ดั บนั ได คงคาลยั ลอ้ มรอบเป็นขอบคนั
มีเจดียว์ หิ ารเป็นลานวดั ในจงั หวดั วงแขวงกาเพงก้นั
ท่ีองคก์ ่อยอ่ เหล่ียมสลบั กนั เป็นสามช้นั เชิงชานตระหง่านงาม
บนั ไดมีสี่ดา้ นสาราญรื่น ตา่ งชมชื่นชวนกนั ข้ึนช้นั สาม
ประทกั ษิณจินตนาพยายาม ไดเ้ สร็จสามรอบคานบั อภิวนั ท์
มีหอ้ งถ้าสาหรับจุดเทียนถวาย ดว้ ยพระพายพดั เวยี นอยเู่ หียนหนั
เป็นลมทกั ขิณาวฏั น่าอศั จรรย์ แต่ทุกวนั น้ีชราหนกั หนานกั
ท้งั องคฐ์ านรานร้าวถึงเกา้ แสก เผยอแยกยอดสุดก็หลุดหกั …

กลอนนิราศสุนทรภู่บรมครูกวีกลอน ไดใ้ ห้ภาพพจน์อยา่ งเห็นไดช้ ดั แสดงวา่ ไม่มีการเปล่ียนแปลงแบบอยา่ งหน่ึง
อยา่ งใด จนเม่ือปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ทางราชการไดบ้ ูรณะองค์พระเจดียใ์ ห้อยูใ่ นสภาพเดิมโดยต่อเติมปลอ้ งไฉน ปลี และ
ลูกแกว้ โดยเฉพาะลูกแกว้ ทาดว้ ยทองคาหนกั ๒,๕๐๐ กรัม ซ่ึงอาจจะเป็ นความหมายว่า ไดบ้ ูรณะข้ึนในคราวฉลองพุทธ
ศตวรรษท่ี ๒๕

ขอ้ คิดและเหตุผลต่างๆ ดงั ที่ไดเ้ สนอมาน้ี อาจเป็ นแนวทางที่จะไดค้ น้ ควา้ ศึกษาและสันนิษฐาน ในทางโบราณคดี
ต่อไป

ตลอดระยะเวลาท่ีกรุงศรีอยุธยาเป็ นราชธานี วดั น้ีมีฐานะเป็ นพระอารามหลวง โดยมีเหตุผลสนับสนุน ดงั น้ี
๑. หนงั สือบรรยาย ภูมิสถานกรุงศรีอยธุ ยา เขียนไวว้ า่ พระอารามอนั เป็นหลกั ของพระนคร นอกกรุงเทพมหานครศรีอยธุ ยา
มีวดั ภูเขาทองรวมอยดู่ ว้ ย ดงั จะขอคดั มาลงไว้ ดงั น้ี

“อน่ึง เป็ นหลกั กรุงเทพมหานครศรีอยุธยาราชธานีใหญ่น้ัน คือพระมหาปราสาทสามองค์ กบั พระมหาธาตุวดั
พระราม ๑ วดั หนา้ พระธาตุ ๑ วดั ราชบูรณะ ๑ และพระมหาเจดียฐ์ านวดั สวนหลวง สพสวรรย์ ๑ วดั ขนุ เมืองใจ ๑ กบั พระ
พทุ ธปฏิมากรวดั พระศรีสรรเพชญ ๑ วดั มงคลบพติ ร ๑ และนอกกรุงเทพฯ น้นั คือ พระมหาเจดียฐ์ านวดั พระยาไทสูง ๒ เส้น
๖ วา ๑ วัดภูเขาทอง สู ง ๒ เส้น ๕ วา กับประประธานวัดเจ้าพะแนงเชิ งของพระเจ้าสามโปเตียน ๑”
๒ . วั ด น้ี เ ป็ น วั ด ท่ี พ ร ะ ร า เ ม ศ ว ร พ ร ะ ม ห า ก ษั ต ริ ย์ ค ร อ ง ก รุ ง ศ รี อ ยุ ธ ย า ท ร ง ส ร้ า ง
๓. ทาเนียบวดั ในหนงั สือคาใหก้ ารชาวกรุงเก่าระบุไวว้ า่ วดั น้ีเป็นพระอารามหลวง รวมอยดู่ ว้ ยเป็นอนั ดบั ท่ี ๒๘

วดั น้ีคงตกเป็ นพระอารามราษฎร์หลงั จากเสียกรุงไปแล้ว ต่อมาราว พ.ศ. ๒๔๗๑ วดั น้ีชารุดทรุดโทรมจนไม่มี
พระภิกษุพานกั อยู่ จึงกลายเป็ นวดั ร้างเร่ือยมา คร้ันถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ไดบ้ ูรณะข้ึน จึงไดร้ ับสถาปนาเป็ นวดั มีพระสงฆ์อีก
คร้ังหน่ึง
มีเร่ืองตามพงศาวดารอนั เก่ียวกบั พระภิกบุวดั น้ีไดช้ ่วยเหลือในการป้องกนั พระนครศรีอยุธยา อยูเ่ ร่ืองหน่ึง คือเมื่อ พ.ศ.
๒๐๘๖ พระเจา้ หงสาวดีไดย้ กพลมาตีกรุงศรีอยธุ ยา พระมหานาคซ่ึงบวชอยวู่ ดั น้ีไดส้ ึกออกมาช่วยเหลือต้งั ค่ายกนั ทพั เรือ ต้งั
ค่ายแตว่ ดั ภูเขาทองลงมาจนถึงวดั ป่ าพลู ไดส้ ะสมกาลงั ญาติโยมทาสชายหญิงช่วยกนั ขดุ คู คือขดุ จากคลองวดั ภูเขาทองลงมา
ขา้ งใตเ้ ล้ียวมาทางตะวนั ตก ผา่ นวดั ขนุ ญวน วดั ป่ าพลู ไปออกแม่น้าใหญ่ คลองน้ียงั มีร่องรอยอยเู่ รียกวา่ คลองมหานาค


Click to View FlipBook Version