The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บทความวิจัยนายพงษ์ศิริ ทองแดง-123-ทัศนศิลป์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by อาร์โลส' โอ๊ตซ์, 2024-02-05 22:51:20

บทความวิจัยนายพงษ์ศิริ ทองแดง-123-ทัศนศิลป์

บทความวิจัยนายพงษ์ศิริ ทองแดง-123-ทัศนศิลป์

Keywords: บทความ

การพัฒนาทักษะทัศนศิลป์ เรื่อง การสร้างสรรค์ผลงานประเภทจิตรกรรม โดยใช้รูปแบบการสอน Active Learning ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 IMPROVING VISUAL ARTS SKILLS ABOUT THE CREATION OF PAINTINGS USING THE ACTIVE LEARNING TEACHING MODEL FOR MATHAYOM 5 STUDENTS. นายพงษ์ศิริ ทองแดง1 PHONGSIRI THONGDAENG บทคัดย่อ งานวิจัยครั้งนี้ จุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาทักษะทัศนศิลป์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการสอน Active Learning รายวิชาทัศนศิลป์ เรื่อง การสร้างสรรค์ ผลงานทัศนศิลป์ประเภทจิตรกรรม โดยใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) จ านวน 1 ห้องเรียน รวม 32 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เรื่อง การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ประเภทจิตรกรรม 2) แบบทดสอบประเมินทักษะทัศนศิลป์ 1. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ วิชาทัศนศิลป์เรื่อง การสร้างสรรค์ผลงานประเภทจิตรกรรม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 1 นักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาทัศนศิลป์มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี; Master Student of Program in Visual Arts, Faculty of Education, Udon Thani Rajabhat University, Thailand


2 2. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning มี ความสามารถในการเรียนรู้และท าความเข้าใจเกี่ยวกับ วิชาทัศนศิลป์ เรื่อง การ สร้างสรรค์ผลงานประเภทจิตรกรรม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนมากกว่าร้อยละ 80 ค าส าคัญ: องค์ประกอบศิลป์, การสอนแบบ Active Learning,นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ABSTRACT This research The aim is to develop visual arts skills. By using learning management using the Active Learning teaching model in the visual arts subject, creating visual art works in the category of painting. Using the Cluster Random Sampling method, there were 1 classroom with a total of 32 people. The tools used in the research consisted of 1) a learning management plan using stories. Creation of visual art works in the category of painting 2) Visual arts skill assessment test 1. Students who receive learning using the Active Learning method have learning achievement. Visual arts subject: Creating works of art in the form of paintings. After studying higher than before studying 2. Students who are taught using the Active Learning method have the ability to learn and understand Visual arts subject: Creating works of art in the form of paintings. After studying, it was more than 80 percent higher than before studying. Keywords: Art elements, Active Learning teaching, secondary school students


3 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา การวิจัยในชั้นเรียนมีความส าคัญต่อวิชาชีพครูและต่อตัวผู้เรียนเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากครูจ าเป็นที่จะต้องท าการวิจัยในชั้นเรียนเพื่อพัฒนาหลักสูตร วิธีการเรียนการ สอน การสร้างแรงจูงใจ ให้ผู้เรียนเกิดความอยากเรียน การพัฒนาพฤติกรรม การเพิ่ม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การเสริมสร้างทักษะกระบวนการ และการสร้างบรรยากาศการ เรียนรู้ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวิจัยในชั้นเรียนเป็นกระบวนการแสวงหาความจริงด้วยวิธีการที่เชื่อถือได้ใน เนื้อหาที่เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน เพื่อน าไปสู่การแก้ปัญหาและพัฒนา ความสามารถของผู้เรียนอย่างเป็นระบบ (ประกอบ มณีโรจน์ 2544) กิจกรรมการเรียนรู้ ในกลุ่มสาระศิลปะ (ทัศนศิลป์) เป็นวิชาที่ประกอบด้วยภาคทฤษฏีและภาคปฏิบัติที่ช่วย พัฒนาให้ผู้เรียนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มีจินตนาการทางศิลปะ ชื่นชมความงามมี สุนทรียภาพ ความมีคุณค่า ซึ่งมีผลต่อคุณภาพชีวิตมนุษย์ กิจกรรมศิลปะช่วยพัฒนา ผู้เรียนทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม ตลอดจนน าไปสู่การพัฒนา สิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้ผู้เรียน มีความเชื่อมั่นในตัวเอง อันเป็นพื้นฐานในการประกอบ อาชีพได้ โดยมีกระบวนการสร้างสรรค์อย่างหลากหลาย การเรียนรู้จะเกิดขึ้นโดย สมบูรณ์ได้ต้องขึ้นอยู่กับการจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมสอดคล้องกับความถนัด ความ แตกต่างของผู้เรียน ฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการเผชิญสถานการณ์และการ ประยุกต์ใช้ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาให้ผู้เรียนเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการ ปฏิบัติให้ท าได้คิดเป็น ท าเป็น รักการอ่าน และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง ผสมผสาน ระหว่างสาระความรู้ต่าง ๆ อย่างสมดุล รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยม และ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา (ธนิตย์ เพียรมณีวงศ์ และ วิสูตร โพธิ์เงิน 2557) จากความเป็นมาและความส าคัญของหลักสูตรดังกล่าว ศิลปศึกษาเป็นรายวิชาหนึ่งซึ่งมี ความส าคัญในการช่วยพัฒนาคุณสมบัติของผู้เรียนให้เป็นผู้มีความคิดสร้างสรรค์ พัฒนา บุคลิกภาพของตนเอง ปลูกฝังให้มีความประณีตละเอียดอ่อน ท าให้สังคมอยู่ร่วมกัน อย่างสันติ ไม่ก่อให้เกิดปัญหากับสังคม (เชษฐา ผาจันทา 2541:4)


4 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะมุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ มีทักษะ วิธีการทางศิลปะ เกิดความซาบซึ้งในคุณค่าของศิลปะ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงออก อย่างอิสระในศิลปะแขนงต่าง ๆ ประกอบด้วย สาระส าคัญ คือ ทัศนศิลป์ มีความรู้ความ เข้าใจองค์ประกอบศิลป์ ทัศนธาตุ สร้างสรรค์และน าเสนอผลงานทางทัศนศิลป์จาก จินตนาการ โดยสามารถใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม รวมทั้งสามารถใช้เทคนิค วิธีการของ ศิลปินในการสร้างงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์คุณค่างาน ทัศนศิลป์ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทัศนศิลป์ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เห็นคุณค่า งานศิลปะที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล ชื่นชม ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ า (หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551: 1 บทน า) ตามทฤษฎีการเรียนรู้ของไทเลอร์ (Tylor) ซึ่งประกอบด้วย 1) ความต่อเนื่อง (continuity) หมายถึงในวิชาทักษะ ต้องเปิดโอกาสให้มีการฝึกทักษะในกิจกรรมและ ประสบการณ์บ่อย ๆ และต่อเนื่องกัน 2) การจัดช่วงล าดับ (sequence) หมายถึง การ จัดสิ่งที่มีความง่ายไปสู่สิ่งที่มีความยาก ดังนั้น การจัดกิจกรรมและประสบการณ์ จึงควร ให้มีการเรียงล าดับก่อนหลัง เพื่อให้ได้เรียนเนื้อหาที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และ 3) บูรณาการ (integration) หมายถึง การจัดประสบการณ์จึงควรเป็นในลักษณะที่ช่วยให้ผู้เรียนได้ เพิ่มพูนความคิดเห็นและได้แสดงพฤติกรรมที่สอดคล้องกัน เนื้อหา ที่เรียนเป็นการเพิ่ม ความสามารถทั้งหมดของผู้เรียนที่จะได้ใช้ประสบการณ์ได้ในสถานการณ์ต่างๆกัน ประสบการณ์การเรียนรู้จึงเป็นแบบแผนของปฏิสัมพันธ์ (interaction) ระหว่างผู้เรียน กับสถานการณ์ที่แวดล้อมไทเลอร์ (Tylor), 2012 : ออนไลน์ กิจกรรมการเรียนรู้ในกลุ่มสาระศิลปะ (ทัศนศิลป์) เป็นวิชาที่ประกอบด้วย ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติที่ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มี จินตนาการทางศิลปะ ชื่นชมความงาม มีสุนทรียภาพ ความมีคุณค่า ซึ่งมีผลต่อคุณภาพ ชีวิตมนุษย์ กิจกรรมศิลปะช่วยพัฒนาผู้เรียนทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ และสังคม ตลอดจนการน าไปสู่การพัฒนาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเชื่อมั่น ในตนเอง อันเป็นพื้นฐานในการประกอบอาชีพได้ โดยมีกระบวนการอย่างสร้างสรรค์ อย่างหลากหลาย การเรียนรู้จะเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ได้ต้องขึ้นอยู่กับการจัดเนื้อหาสาระ


5 และกิจกรรมสอดคล้องกับความถนัด ความแตกต่างของผู้เรียน ฝึกทักษะกระบวนการ คิด การจัดการเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาให้ ผู้เรียนเรียนรู้จากประสบการณ์จริง เกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง ผสมผสานระหว่างสาระ ความรู้ต่าง ๆ อย่างสมดุล รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ไว้ในทุกวิชา การเรียนศิลปะมีคุณค่าและมีความส าคัญการเรียนศิลปะมีคุณค่า และมีความส าคัญต่อการด าเนินชีวิต ดังนั้นการเรียนรู้ศิลปะ จึงจ าเป็นที่จะต้องเรียน อย่างเข้าใจ การสร้างความกระจ่างชัด และความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับผู้เรียน พื้นฐาน ที่ส าคัญส าหรับการเรียนรู้สาระวิชาทัศนศิลป์ คือความรู้ความเข้าใจ เรื่อง องค์ประกอบ ศิลป์และการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์เพื่อสื่อความหมายและเหตุการณ์ กล่าวคือ องค์ประกอบศิลป์ (composition) คือ การน าส่วนต่าง ๆ ทางทัศนธาตุมาจัด วางผ่านเป็นสื่อลักษณะทางความคิด ความรู้สึกและการแสดงออก ซึ่งจะมีอยู่ในผลงาน ทางทัศนศิลป์ประเภทต่าง ๆ โดยตัวเองอยู่แล้ว อาจจะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ดังนั้น แนวความคิดความรู้สึกและการแสดงออกนั้น จึงเป็นหน่วยทางทัศนธาตุที่มีความส าคัญ และจ าเป็นอย่างยิ่งในความสัมพันธ์กับการแสดงออกทางด้านองค์ประกอบ (การจัดวาง) ซึ่งจะส่งผลต่อการน าทัศนธาตุตัวอื่น ๆ มาใช้ให้มีความเหมาะสมกับแนวความคิด ความรู้สึกและการแสดงออกในลักษณะเฉพาะตนผ่านการสร้างสรรค์ผลงานทาง ทัศนศิลป์ต่อไป และในส่วนเรื่อง การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์เพื่อสื่อความหมาย และเหตุการณ์ ผลงานทัศนศิลป์ที่สร้างสรรค์ขึ้นมานั้น เป็นเสมือนภาษาสากลที่สามารถ สื่อความหมายให้ผู้ชมเข้าใจได้ว่า ผู้สร้างสรรค์มีแนวคิดเล่าเรื่องราวใด ๆ ผ่านเทคนิค วิธีการหรือเนื้อหาใด ดังนั้นการจัดกิจกรรมด้านทัศนศิลป์ ผู้สอนจ าเป็นต้องออกแบบกิจกรรมให้ เหมาะสมกับการเสริมสร้างศักยภาพของแต่ละบุคคล เพื่อให้ผู้เรียนได้เติบโตเต็ม ศักยภาพและเพื่อเป็นการรองรับการพัฒนาและส่งเสริมการจัดกระบวนการเรียนรู้ เพื่อ ส่งเสริมคุณลักษณะ เก่ง ดี มีสุข เป็นเป้าหมายส าคัญของการจัดการศึกษาในปัจจุบันที่ เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ จึงมีการจัดกิจกรรมการเรียนสอนแบบ Active Learning กล่าวคือ


6 การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning กระบวนการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดการสร้างสรรค์ทางปัญญา (Constructivism) ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้ มากกว่าเนื้อหาวิชา เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้ หรือสร้างความรู้ให้ เกิดขึ้นในตนเอง ด้วยการลงมือปฏิบัติจริงผ่านสื่อหรือกิจกรรมการเรียนรู้ ที่มีครูผู้สอน เป็นผู้แนะน า กระตุ้น หรืออ านวยความสะดวก ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ขึ้น โดย กระบวนการคิดขั้นสูง กล่าวคือ ผู้เรียนมีการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการประเมินค่า จากสิ่งที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนรู้ ท าให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีความหมายและ น าไปใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (สถาพร พฤฑฒิกุล 2558) จากที่กล่าวมา ผู้วิจัยจึงมีแนวคิดการจัดท าวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาทักษะ ทัศนศิลป์เรื่อง การสร้างสรรค์ผลงานประเภทจิตรกรรม โดยใช้รูปแบบการสอน Active Learning ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ขึ้นมา เพื่อให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะทาง ทัศนศิลป์ให้ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา วัตถุประสงค์ของการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ก าหนดวัตถุประสงค์การวิจัย ดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาทักษะทางทัศนศิลป์ การสร้างสรรค์ผลงานประเภทจิตรกรรม ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2. เพื่อผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้ หรือสร้างความรู้ให้เกิดขึ้นในตนเอง ด้วยการลงมือปฏิบัติจริงผ่านสื่อหรือกิจกรรมการเรียนรู้ ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้ มากกว่าเนื้อหาวิชาส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี่ที่ 5 สมมุติฐานของการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ก าหนดสมมติฐานการวิจัย ดังนี้ 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ วิชาทัศนศิลป์ เรื่อง การสร้างสรรค์ผลงานประเภทจิตรกรรม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน


7 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีความสามารถในการเรียนรู้และท าความ เข้าใจเกี่ยวกับ วิชาทัศนศิลป์ เรื่อง การสร้างสรรค์ผลงานประเภทจิตรกรรม หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนมากกว่า ร้อยละ 80 ขอบเขตของการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ก าหนดขอบเขตการวิจัย ดังนี้ 1. ประชากร ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 5 ที่ก าลังศึกษาอยู่ใน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนเทศบาล3 บ้านเหล่า จ านวน 3 ห้องเรียน รวม 78 คน 2. กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 5 ที่ก าลังศึกษาอยู่ใน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนเทศบาล3 บ้านเหล่า จ านวน 1 ห้องเรียน รวม 32 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) 3. ตัวแปรที่ศึกษา 3.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning 3.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ทักษะทางทัศนศิลป์ เรื่อง การสร้างสรรค์ผลงาน ประเภทจิตรกรรม 4. ระยะเวลาในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ท าการศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โดยใช้เวล ในการทดลอง 10 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 5 สัปดาห์


8 5. เนื้อหาการวิจัย ตามหลักสูตรแกนกลาง 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) กลุ่มสาระการ เรียนรู้ศิลปะวิชาทัศนศิลป์ หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง การสร้างสรรค์ผลงานทัศน์ศิลป์ การจัดสัดส่วนและความสมดุลของภาพ ทัศนธาตุกับการสร้างสรรค์ผลงานเพื่อสื่อเรื่องราว จังหวะและการซ้ ากับการสร้างสรรค์ผลงานเพื่อสื่อเรื่องราว ความกลมกลืนกับการสร้างสรรค์ผลงานเพื่อสื่อเรื่องราว ความขัดแย้งกับการสร้างสรรค์ผลงานเพื่อสื่อเรื่องราว ตารางที่ 1 เนื้อหาสาระที่ใช้ในการทดลองจัดกิจกรรมการสร้างสรรค์ผลงานประเภท จิตรกรรม โดยใช้รูปแบบการสอน Active Learning สัปดาห์ เรื่อง 1 - 2 การจัดสัดส่วนและความสมดุลของภาพ 3 - 4 ทัศนธาตุกับการสร้างสรรค์ผลงาน 5 - 6 จังหวะและการซ้ า 7 - 8 ความกลมกลืน 9-10 ความขัดแย้ง วิธีด าเนินการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้น ปีที่ 5 ที่ก าลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนเทศบาล3 บ้านเหล่า จ านวน 3 ห้องเรียน รวม 78 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ชั้นปีที่ 5 ที่ก าลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนเทศบาล3 บ้าน


9 เหล่า จ านวน 1 ห้องเรียนรวม 32 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. ประเภทของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าและสร้าง เครื่องมือที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัย ดังนี้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการเรียนการสอนแบบ Active Learning จ านวน 5 แผน ได้แก่ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การจัดสัดส่วนและความสมดุลของภาพ 2. แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ทัศนธาตุกับการสร้างเรื่องราว 3. แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง จังหวะและการซ้ า 4. แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง ความกลมกลืน 5 .แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง ความขัดแย้ง 2. การสร้างและพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1 แผนการสอนด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning ผู้วิจัยได้ ด าเนินการสร้างและพัฒนา ดังนี้ 1. ศึกษาจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2. เขียนแผนการสอนทักษะการใช้สีน้ าโดยใช้การสอนแบบสาธิต 3. เสนอแผนการสอนฉบับร่างให้ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 ท่าน 4. ด าเนินการปรับปรุงแก้ไขแผนการสอนตามค าแนะน าของผู้เชี่ยวชาญ 5. น าแผนการสอนไปทดลองใช้ (Try out) กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง 6. ปรับปรุงและแก้ไขแผนการสอนในจุดที่บกพร่อง และจัดพิมพ์เป็นแผนฉบับ สมบูรณ์และน าไปทดลองสอนกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง


10 การเก็บรวบรวมข้อมูล การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้การศึกษาการเรียนรูปแบบ Active Learning การพัฒนาทักษะทัศนศิลป์ เรื่อง องค์ประกอบศิลป์สู่การสร้างสรรค์ผลงาน ทัศนศิลป์เพื่อสื่อความหมายและเหตุการณ์ ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัย มีขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้ 1. เก็บรวบรวมข้อมูลที่เป็นคุณค่าทางวัฒนธรรม ที่กลุ่มตัวอย่างมี การน ามาใช้ประโยชน์ โดยการถ่ายรูป พร้อมกับเก็บตัวอย่างเพื่อใช้เป็นตัวอย่างในการ วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสรุปด้านคุณค่า 2. ตรวจสอบการเรียนรู้รูปแบบ Active Learning เรื่อง เรื่อง องค์ประกอบศิลป์สู่การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์เพื่อสื่อความหมายและเหตุการณ์ ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยน าตัวอย่างที่ได้มาเปรียบเทียบกับตัวอย่างที่มี อยู่ได้ถูกต้อง เพื่อระบุความส าคัญองค์ประกอบศิลป์สู่การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ เพื่อสื่อความหมายและเหตุการณ์ 3. ติดต่อประสานงานกับผู้บริหารโรงเรียนเพื่อขอความร่วมมือใน การศึกษาและการเรียนรู้รูปแบบ Active Learning เรื่อง องค์ประกอบศิลป์สู่การ สร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์เพื่อสื่อความหมายและเหตุการณ์ 4. เลือกนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ก าลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 1 ห้องเรียน รวม 32 คน 5. จัดท าแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทัศนศิลป์กับคุณค่าทาง วัฒนธรรมและประเมินความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (IOC) 6. สร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบรูปแบบ Active Learning เรื่อง องค์ประกอบศิลป์สู่การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์เพื่อสื่อความหมายและเหตุการณ์ และเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและประเมินความเหมาะสมโดย ผู้เชี่ยวชาญ


11 7. สร้างและหาคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผ่านเกณฑ์คัดเลือกคุณภาพ มีค่า IOC ค่าความยาก ค่าอ านาจจ าแนก และค่าความ เชื่อมั่นทั้งฉบับ 8. สร้างแบบวัดความพึงพอใจและประเมินความเหมาะสม 9. น าไปใช้จัดกรรมการเรียนรู้โดยการชี้แจงกระบวนการจัดการ เรียนรู้ด้วยการเรียนรู้รูปแบบ Active Learning เรื่อง องค์ประกอบศิลป์สู่การ สร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์เพื่อสื่อความหมายและเหตุการณ์ เพื่อให้ผู้เรียนปฏิบัติได้ อย่างถูกต้อง 10. ทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างด้วย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เพื่อน าคะแนนมาวิเคราะห์เป็น คะแนนก่อนเรียน 11. ด าเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้รูปแบบ Active Learning เรื่อง องค์ประกอบศิลป์สู่การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์เพื่อสื่อ ความหมายและเหตุการณ์ กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างใน โรงเรียนมัธยมขนาดกลาง โดยผู้วิจัยและผู้ช่วยนักวิจัยเป็นผู้ออกแบบการจัดกิจกรรม การเรียนรู้เอง ใช้เวลา 10 ชั่วโมง โดยผู้วิจัยด าเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กับ นักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้การเรียนรู้รูปแบบ Active Learning เรื่อง องค์ประกอบ ศิลป์สู่การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์เพื่อสื่อความหมายและเหตุการณ์ และแผนการ จัดการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ จ านวน 5 ชุด/แผน รวม 10 ชั่วโมง โดย ระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ครูผู้สอนและผู้ช่วยผู้วิจัยจะท าการสังเกตพฤติกรรม ด้านทักษะกระบวนการทางทัศนศิลป์ของนักเรียนไปด้วย 12. เมื่อสิ้นสุดการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท าการทดสอบหลังเรียน (Post-test)กับนักเรียนกลุ่มเดิมในโรงเรียน ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ศิลปะ แบบประเมินทักษะกระบวนการทางทัศนศิลป์ และแบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อ การจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้รูปแบบ Active Learning ซึ่งแบบทดสอบวัดผล


12 สัมฤทธิ์ทางการเรียนทัศนศิลป์ เป็นเอกสารทั้งสองฉบับเป็นชุดเดียวกันกับที่ใช้ทดสอบ ก่อนเรียน แบบประเมินทักษะกระบวนการทางทัศนศิลป์ 13. หาประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้รูปแบบ Active Learning เรื่อง องค์ประกอบศิลป์สู่การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์เพื่อสื่อ ความหมายและเหตุการณ์ E1/E2 14. น าคะแนนจากการตรวจแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนและแบบประเมินทักษะกระบวนการทางทัศนศิลป์ มาวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีทาง สถิติ เพื่อตรวจสอบสมมติฐาน 15. น าแบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุด กิจกรรมการเรียนรู้มาวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีทางสถิติ การวิเคราะห์ข้อมูล การท าวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ด าเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. ผู้วิจัยได้น าข้อมูลไปหาค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 2. ผู้วิจัยได้น าข้อมูลทักษะการใช้สีน้ ามาเปรียบเทียบกันระหว่างก่อน และหลังทดลองโดยใช้การทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t-test for Dependent Sample) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล การท าวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ด าเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. ผู้วิจัยได้น าข้อมูลไปหาค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 2. ผู้วิจัยได้น าข้อมูลทักษะการใช้สีน้ ามาเปรียบเทียบกันระหว่างก่อน และหลังทดลองโดยใช้การทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t-test for Dependent Sample)


13 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยเลือกใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือ 1.1 หาค่าความเที่ยงตรง (Validity) โดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง ระหว่างเนื้อหาข้อค าถามกับจุดประสงค์ (Index of Item-Objective Congruence : IOC) ค านวณจากสูตร สูตร IOC = เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญ SR แทน ผลรวมคะแนนของผู้เชี่ยวชาญ N แทน จ านวนผู้เชี่ยวชาญ 2. สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการบรรยายข้อมูล สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการบรรยายข้อมูล ค านวณโดยโปรแกรมส าเร็จรูป ทางสถิติประกอบด้วย 2.1 ร้อยละละ (Percentage) P.C = × 100 เมื่อ P.C แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง Sx แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน ผลรวมของคะแนนเต็ม 2.2 ค่าเฉลี่ย (Mean)


14 ̅ = เมื่อ ̅แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง Sx แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน ผลรวมของคะแนนเต็ม 2.3 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) .. = √ 2−() 2 (−1) เมื่อ S.D. แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง Sx2 แทน ผลรวมของคะแนนยกก าลังสอง (x)2 แทน ก าลังสองของผลรวมคะแนนทั้งหมด N แทน จ านวนข้อมูลทั้งหมด 3. สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน 3.1 สถิติที่ใช้ในการทดสอบมาตรฐาน ค านวณโดยโปรแกรมส าเร็จรูป ทางสถิติ 3.2 เปรียบเทียบทักษะการใช้สีน้ าของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังการเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนแบบสาธิต โดยใช้การสอบทีแบบไม่อิสระ (ttest for Dependent Sample) 4. สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน 4.1 การเปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางทัศนศิลป์ หลังเรียนกับเกณฑ์ ใช้สูตรค านวณหาค่า t-test แบบ One Samples n S X μ t


15 เมื่อ t แทน ค่าสถิติที่จะใช้เปรียบเทียบกับค่าวิกฤต เพื่อ ทราบ นัยส าคัญ X แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง n แทน จ านวนคะแนนในแต่ละกลุ่ม S แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน μ แทน ค่าเฉลี่ยของประชากร 4.2 การเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทัศนศิลป์ก่อนเรียน และหลังเรียน โดยใช้สูตรค านวณหาค่า t-test แบบ Dependent Samples (บุญชม ศรีสะอาด, 2556 : 68) (N 1) N D ( D) D t 2 2 เมื่อ t แทน ค่าสถิติที่จะใช้เปรียบเทียบกับค่าวิกฤตเพื่อ ทราบนัยส าคัญ D แทน ความแตกต่างระหว่างคะแนนแต่ละคู่ N แทน จ านวนกลุ่มตัวอย่างหรือจ านวนคู่ แทน ผลรวม df แทน ความเป็นอิสระมีค่าเท่ากับ N – 1 สรุปผลการวิจัย ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการเปรียบเทียบทักษะทัศนศิลป์ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 พบว่านักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 9.77 คิดเป็นร้อยละ 56 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน เท่ากับ 14.07 คิดเป็นร้อยละ 81.12 ซึ่งไม่น้อยกว่า เกณฑ์ร้อยละ 80 เป็นไปตามสมมติฐานของการวิจัย ผลปรากฏว่า นักเรียนที่ได้รับการ จัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอน Active Learning มีพัฒนาการทักษะทัศนศิลป์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน


16 การอภิปรายผล ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยมีประเด็นที่จะอภิปรายผลการวิจัย ดังนี้ ผลการประเมินทักษะทัศนศิลป์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการ จัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอน Active Learning หลังเรียน มีการพัฒนาทักษะ ทัศนศิลป์ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 จากการวิจัย ผลการประเมินทักษะทักษะทัศนศิลป์ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอน Active Learning หลังเรียน พบว่า มีนักเรียนผ่านเกณฑ์จ านวน 20 คน คิดเป็นร้อยละ 80 และมีนักเรียน ไม่ผ่านเกณฑ์จ านวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 20 ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 14.07 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 81.12 ซึ่งไม่น้อยกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 เป็นไปตามสมมติฐานที่ก าหนดไว้ ดังนั้น การจัดการเรียนรู้โดยใช้โดยใช้รูปแบบการสอน Active Learning จึงเป็นวิธีการ จัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้ หรือสร้างความรู้ให้เกิดขึ้นในตนเอง ด้วย การลงมือปฏิบัติจริงโดยเน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่าเนื้อหาวิชา และมีครูผู้สอนเป็น ผู้แนะน า กระตุ้น หรืออ านวยความสะดวก รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนาทักษะทัศนศิลป์ ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยคะแนนของนักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอน Active Learning เรื่อง การสร้างสรรค์ผลงานประเภทจิตรกรรม มีค่ามากกว่าร้อยละ 80 มีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นั่นคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสูงขึ้น ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้เกี่ยวกับการพัฒนาทักษะทัศนศิลป์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการสอน Active Learning กล่าวคือ การน าการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอน Active Learning เป็นวิธีการที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง ที่จะช่วยขจัดปัญหาในกระบวนการเรียนรู้ต่าง ๆ ของ นักเรียนให้หมดหรือลดน้อยลงผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงการเรียนรู้ด้วยความคิดต่าง ๆ ทักษะต่าง ๆ เจตคติหรือความเชื่อต่าง ๆ ได้ดี ส่งผลให้การจัดกิจกรรมการเรียนการ


17 สอนที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญผ่านการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอน Active Learning ส าเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ผู้เรียนสามารถได้เรียนรู้ขั้นตอนหรือกระบวนการทาง ทัศนศิลป์ ได้ฝึกลงมือปฏิบัติจริง ที่มีการจินตนาการสู่การสร้างสรรค์ภาพความคิดที่ช่วย ส่งเสริมและพัฒนาความสามารถ ทางสติปัญญาที่หลากหลาย และสนองต่อรูปแบบการ เรียนรู้ที่แตกต่างกัน ของผู้เรียนแต่ละคนได้เป็นอย่างดีจากข้อความดังกล่าว จะเห็นได้ว่า รูปแบบการจัดการเรียนการสอน Active Learning สามารถพัฒนาอารมณ์สังคม สติปัญญา บุคลิกภาพ ความคิดสร้างสรรค์ ทั้งทางด้าน สุนทรียะ ความดีงาม ความ อดทน ซึ่งมีอิทธิพลต่อความรู้สึก สามารถน าความรู้ และกระบวนการที่ได้จาการฝึก ปฏิบัติการสร้างสรรค์ผลงานไปใช้เพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ในรายวิชาอื่น ๆ ได้ ถือ เป็นการบูรณาการศาสตร์ความรู้ที่ผู้เรียนจะสามารถพัฒนาศักยภาพของตนมากเท่าที่จะ มากได้ในระดับช่วงอายุของผู้เรียนจนสามารถส่งผลให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพต่อไปใน อนาคต ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะเพื่อน าผลการวิจัยไปใช้ จากการวิจัย การพัฒนาทักษะทัศนศิลป์ เรื่อง การสร้างสรรค์ผลงาน ประเภทจิตรกรรม โดยใช้รูปแบบการสอน Active Learning ส าหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะในการน าวิจัยไปใช้ดังนี้ 1.1 การพัฒนาทักษะทัศนศิลป์ เรื่อง การสร้างสรรค์ผลงานประเภท จิตรกรรม โดยใช้รูปแบบการสอน Active Learning ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ 1.2 การพัฒนาทักษะทัศนศิลป์ เรื่อง การสร้างสรรค์ผลงานประเภท จิตรกรรม โดยใช้รูปแบบการสอน Active Learning ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 นักเรียนควรมีความกระตือรือร้นในการเรียนและให้ความร่วมมือให้กับครูผู้สอน


18 2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 2.1 ควรมีวิจัยการพัฒนาทักษะทัศนศิลป์ เรื่อง องค์ประกอบศิลป์สู่การ สร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์เพื่อสื่อความหมายและเหตุการณ์ โดยใช้วิธีการฝึกสอนใน รูปแบบอื่น ๆ และในระดับชั้นอื่น ๆ ต่อไป เพื่อพัฒนาการสอนเกี่ยวกับ การสร้างสรรค์ ผลงานประเภทจิตรกรรม ให้ดีมากยิ่งขึ้น 2.2 ครูผู้สอนควรน าการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอน Active Learning ไปใช้กับการจัดการเรียนรู้ในทักษะอื่น ๆ ในรายวิชาทัศนศิลป์ เพื่อให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ที่หลากหลายรูปแบบ และควรน าไปประยุกต์ใช้กับการจัดการเรียนการ สอนในรายวิชาอื่น ๆ


19 เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ, กรมวิชาการ. 2544. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพมหานคร : พัฒนาคุณภาพวิชาการ(พว). กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). ตัวชี้วัดและหลักสูตรแกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ ศิลปะ ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. กิตติมา กิจประเสริฐ. (2562). ได้ศึกษาการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์โดยใช้วิธีการจัด การเรียนการสอนแบบ CBL ร่วมกับอินโฟกราฟิก วิชาคอมพิวเตอร์ ส าหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2. อุตรดิตถ์ : มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์. ดิลก ดิลกานนท์. (2554). ความคิดสร้างสรรค์. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทร วิโรฒ. ทน เขตกัน. (2556). เทคนิคสอนศิลปะอย่างสร้างสรรค์โดยเน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: ปัญญาชน ดิสทริบิวเตอร์ ทิศนา แขมมณี. (2553). ศาสตร์การสอนองค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ ที่มีประสิทธิภาพ. กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ไพศาล สุวรรณน้อย. (ม.ป.ป.). การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน. ใน เอกสาร ประกอบการบรรยายพัฒนาการเรียนการสอน. หน้า 1-9. ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น เลิศ อานันทนะ. (2006). แนวคิดเกี่ยวกับศิลปศึกษา. กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์-มหาวิทยาลัย รัฐนนท์ สว่างผล. (2558). การศึกษาเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ก่อนและหลังการ ทดลองสอนด้วยชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ตามแนวคิดวิธีการของอารี สุทธิพันธุ์. (ปริญญานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต (Master's thesis). มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, กรุงเทพฯ.


20 สุคนธ์ สินธพานนท์. (2558). การจัดการเรียนรู้ของครูยุคใหม่เพื่อพัฒนาทักษะผู้เรียน. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: 9119 เทคนิคพริ้นติ้ง. Erosy, E., & Baser, N. (2014). The effect of problem-based learning method in higher education on creative thinking. Social and Behavioral Sciences, 116, 3493-3498.. Thakur, P., & Dutt, S. (2017). Problem based learning in biology: Its effect on achievement motivation of students of 9th standard. International Journal of Multidisciplinary Education and Research, 2(2), 99-104 Zahrani, A.M.A. (2015). From passive to active : the impact of the flipped classroom through social learning platforms on higher education students’ creative thinking. British Journal of Education Technology, 46, 1133-1148.


Click to View FlipBook Version