The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เกิดในช่วงปลายสมัยอยุธยา รับราชการในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน กรุงธนบุรี โดยมีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงสรวิชิต ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระยาพิพิ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by เจ้าหมา'า โง่'ง, 2022-06-13 05:09:28

เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เกิดในช่วงปลายสมัยอยุธยา รับราชการในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน กรุงธนบุรี โดยมีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงสรวิชิต ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระยาพิพิ

เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เกิดในช่วงปลายสมัยอยุธยา รับราชการในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน กรุงธนบุรี โดยมีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงสรวิชิต ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระยาพิพิ

ประวัติผู้แต่ง




เจ้าพระยาพระคลัง (หน)

เกิดในช่วงปลายสมัยอยุธยา รับราชการในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน กรุงธนบุรี
โดยมีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงสรวิชิตต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
มหาราช ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระยาพิพิฒนโกษา

ก่อนจะเลื่อนมาเป็นเจ้าพระยาพระคลัง เสนาบดีจตุสดมภ์กรมท่าซึ่งนอกจากผลงาน
ด้านราชการแล้วเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ยังมีผลงานด้านการประพันธ์จำนวนมาก
เช่น สามก๊ก (ฉบับแปล) ราชาธิราช บทมโหรีเรื่องกากี อิเหนาคำฉันท์
ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมาร และกัณฑ์มัทรี ฯลฯ

เจ้าพระยาพระคลัง (หน)

ลักษณะคำประพันธ์

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี มีลักษณะคำประพันธ์เป็นแบบร่ายยาว โดยหนึ่งบทจะมีกี่วรรคก็ได้
ส่วนใหญ่จะนิยมแต่ง ๕ วรรคขึ้นไป แต่ละวรรคมีจำนวนคำ ๖-๑๐ คำ และใช้คำสร้อย เช่น นั้นแล แล้วแล ดังนี้ ฯลฯ
ซึ่งคำสร้อยนี้จะมีก็ได้หรือไม่มีก็ได้ ฉันทลักษณ์ของร่ายยาว
จะมีการบังคับเฉพาะคำสุดท้ายของวรรคก่อนหน้าจะสัมผัสกับคำที่ ๑ ถึงคำที่ ๕ ของวรรคถัดไป เช่น
“...จึ่งตรัสว่าโอ้โอ๋เวลาปานฉะนี้เอ่ยจะมิดึกดื่น จวนจะสิ้นคืนค่อนรุ่งไปเสียแล้วหรือกระไรไม่รู้เลย พระพายรำเพยพัดมารี่เรื่อยอยู่เฉื่อยฉิว...”
จุดเด่นของร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก คือ การมีคาถาบาลีขึ้นต้น

ตัวละครในมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

พระเวสสันดร พระนางมัทรี

พระเวสสันดรเป็นตัวละครหลักของร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก พระนางมัทรีเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์มัทราช
อภิเษกสมรสกับพระเวสสันดร มีพระโอรสชื่อพระชาลี
เป็นพระโอรสของ พระเจ้ากรุงสัญชัยและพระนางผุสดีแห่งเมืองสีพี และมีพระธิดาชื่อพระกัณฑ์หา
พระเวสสันดรมักจะบริจาคทานด้วยวิธีต่าง ๆ มาตั้งแต่เด็ก ด้วยความภักดีต่อพระสวามีนางจึงพาลูก ๆ
ต่อมาเมื่ออภิเษกกับพระนางมัทรี และมีลูกชื่อพระกัณหา และพระชาลี ตามเสด็จพระเวสสันดรออกมาอยู่ในป่าด้วย
พระองค์ได้ตั้งโรงทานจำนวนมาก และบริจาคช้างปัจจัยนาเคนทร์ ทั้งยังทำหน้าที่ดูและปรนนิบัติรับใช้สามี
ทำให้ชาวเมืองไม่พอใจจึงเรียกร้องให้พระเจ้ากรุงสัญชัยเนรเทศพระเวสสันดรออกจากเมือง และดูแลลูกทั้งสองตามหน้าที่ของตน
พระเวสสันดร พระนางมัทรีและลูก ๆ จึงต้องออกจากเมืองไปอยู่ในป่า
ซึ่งพระเวสสันดรได้บำเพ็ญเพียรภาวนาประพฤติพรหมจรรย์อยู่ในอาศรม
ส่วนพระนางมัทรีได้ดูแลปรนนิบัติลูกและสามีที่อาศัยอยู่ในอาศรมแห่งนี้

ตัวละครในมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

พระชาลี พระกัณหา ชูชก

พระชาลีเป็นพระราชโอรส พระกัณหาเป็นพระราชธิดา ชูชกเกิดในตระกูลพราหมณ์
ของพระเวสสันดรกับพระนางมัทรี ของพระเวสสันดรกับพระนางมัทรี แต่กลับเที่ยวขอทานผู้อื่นเพื่อเลี้ยงชีพ
ซึ่งคำว่า ชาลี หมายถึง ตาข่าย และเป็นพระกนิษฐา (น้องสาว) ของพระชาลี และมีนิสัยที่เรียกว่า บุรุษโทษ ๑๘ ประการ
มาจากตอนที่พระชาลีประสูติ เช่น ความตระหนี่ ความโลภ
เหล่าพระประยูรญาติ ความฉลาดในกลอุบายและเล่ห์เหลี่ยมต่าง ๆ
ได้นำตาข่ายทองมารองรับพระชาลี

เรื่องย่อ

คืนก่อนที่พระนางมัทรีจะออกจากอาศรมไปเก็บผลไม้ในป่า
พระกุมารทั้งสองฝันร้าย
ทำให้พระนางหวั่นวิตกนึกถึงลูกตลอดเวลา
จนน้ำตาอาบแก้มทั้งสองข้าง
พลางสังเกตเห็นว่าต้นที่มีผลไม้กลับกลายเป็นดอกไม้
ส่วนต้นที่มีดอกไม้กลับกลายเป็นผลไม้ขึ้นแทน
ส่วนดอกไม้ที่เคยเก็บไปร้อยให้ลูกก็ถูกลมพัดปลิวร่วงลงมา
เมื่อมองไปรอบทิศก็มืดมัวทุกหนแห่ง ท้องฟ
้ากลับกลายเป็นสีแดงคล้ายกับลางบอกเหตุร้าย
สายตาของพระนางก็เริ่มพร่ามัว ตัวสั่นใจสั่น ของที่ถือก็หลุดจากมือ คานที่หาบไว้ก็ร่วงลงจากบ่าซึ่งเหตุการณ์นี้
ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยิ่งพระนางคิดเท่าไร ก็ยิ่งทุกข์ใจมากขึ้นเท่านั้น

เรื่องย่อ

ด้วยความหวั่นใจเรื่องลูก พระนางจึงรีบเก็บผลไม้เพื่อจะได้รีบกลับไปหาลูกที่อาศรม
แต่ระหว่างทางกลับเจอ สิงโต เสือเหลือง และเสือโคร่ง ขวางทางไว้
นางกลัวจนใจสั่นร่ำไห้ คิดไปว่าเป็นกรรมของตนเอง นางจะหนีไปทางไหนก็ไม่ได้
เพราะถูกสัตว์ทั้งสามกั้นไว้ทุกทิศทางจนฟ้ามืด พระนางมัทรีไม่รู้จะทำอย่างไร
จึงยกมือไหว้อ้อนวอนขอให้สัตว์หิมพานต์ทั้งสามเปิดทางให้ตน โดยกล่าวว่า
พระนางคือพระนางมัทรีเป็นภรรยาของพระเวสสันดร ตามมาอยู่ที่อาศรมในป่าด้วยความบริสุทธิ์ใจและกตัญญูต่อสามี
นี่ก็เวลาย่ำค่ำแล้วลูกคงหิวนม โปรดเปิดทางให้พระนางกลับไปที่อาศรมแล้วตนจะแบ่งผลไม้ให้
จากนั้นไม่นานสัตว์หิมพานต์ทั้งสามจึงยอมเปิดทางให้ พระนางมัทรีก็รีบวิ่งกลับไปที่อาศรมด้วยแก้มที่อาบน้ำตา

เรื่องย่อ

เมื่อถึงที่พักพระนางมัทรีก็ตกใจไม่เห็นลูกอยู่ในอาศรม ร้องเรียกหาเท่าไรก็ไม่มีใครตอบ
ทั้งที่ก่อนหน้านี้จะออกมาหาแม่กันพร้อมหน้า ทั้งกัณหาขอกินนม
ส่วนชาลีจะขอกินผลไม้ พระนางมัทรีเสียใจมาก พร่ำบอกว่าที่ผ่านมาก็ดูแลลูกอย่างดีแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม
หวังจะกลับมาพบลูกให้ชื่นใจ ก่อนหน้านี้ยังได้ยินเสียงลูกเล่นกันอยู่แถวนี้ นั่นก็รอยเท้าชาลี
นี่ก็ของเล่นกัณหา แต่เมื่อลูกหายไปอาศรมกลับดูเงียบเหงาเศร้าหม่น นางจึงไปถามพระเวสสันดรว่าลูกหายไปไหน
เหตุใดจึงปล่อยให้คลาดสายตา หากมีสัตว์ป่าจับไปจะทำอย่างไร แต่พระเวสสันดรกลับไม่ตอบอะไร ทำให้นางกลุ้มใจยิ่งไปว่าเก่า

ด้วยความกลุ้มใจ ตัวก็ร้อน น้ำตาก็ไหล กระวนกระวายพลางบอกว่า ไม่เคยมีครั้งใดที่นางรู้สึกแค้นเคืองใจขนาดนี้
เพราะนางออกจากเมืองมาก็หวังว่าอย่างน้อยจะได้สุขใจเพราะอยู่พร้อมหน้ากับลูกและสามี แต่เมื่อลูกหายตัวไป ความหวังนั้นก็คล้ายจะดับสิ้น

เรื่องย่อ

พระนางมัทรีอ้อนวอนขอให้พระเวสสันดรตรัสกับนางบ้าง
เพราะการนั่งนิ่งเหมือนโกรธเคืองพระนางมัทรีนั้นยิ่งทำให้ปวดใจ
ราวกับมีคนเอาเหล็กรนไฟมาแทงที่หัวใจ หรือเป็นคนไข้ที่หมอนำยาพิษมาให้ดื่ม
อีกไม่กี่วันคงสิ้นชีวิตอย่างแน่นอน เมื่อพระเวสสันดรได้ยินพระนางมัทรีดังนั้น
ก็คิดว่าหากใช้ความหึงหวงคงเป็นวิธีคลายความโศกให้พระนางได้ จึงตรัสว่า
ในป่าหิมพานต์แห่งนี้มีทั้งพระดาบสและนายพรานจำนวนมาก เจ้าออกไปเก็บผลไม้ตั้งแต่เช้าจนย่ำค่ำ
หากไปทำอะไรในป่าแห่งนี้ก็คงจะไม่มีใครรู้เห็น เหตุใดจึงทิ้งลูกหนีเข้าไปในป่านานถึงเพียงนี้
พอกลับมายังห่วงแต่ลูก ไม่ห่วงสามีแต่อย่างใด หรือหากไม่นึกถึงสามีก็ไม่ควรหายเข้าไปในป่านานถึงเพียงนี้
จะให้เราเข้าใจได้อย่างไร

เรื่องย่อ

เมื่อพระนางมัทรีได้ยินดังนั้น จึงกราบทูลว่า เหตุใดพระองค์จึงไม่ได้ยินเสียงของราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลือง
เพราะสัตว์ทั้งสามนี้ทำให้ทำให้พระนางไม่สามารถกลับอาศรมได้ ทั้งยังเกิดเหตุร้ายหลายประการขณะที่นางเข้าไปในป่า
ทั้งของที่ถือก็หลุดจากมือ คานที่หาบไว้ก็ร่วงลงจากบ่า ต้นไม้ที่เคยผลิดอกก็ออกผล
ต้นไม้ที่เคยออกผลก็ผลิดอกออกมา ชวนให้หวาดกลัวจนตัวสั่น
อธิษฐานภาวนาให้ลูกและสามีปลอดภัย แล้วรีบกลับมายังอาศรมแต่ถูกสัตว์ร้ายทั้งสามตัวนอนขวางทางเอาไว้
จึงต้องกราบอ้อนวอนสัตว์ทั้งสามให้เปิดทางให้จนพระอาทิตย์ตกดินสัตว์ทั้งสามจึงหลีกทาง
แล้วพระนางมัทรีก็รีบวิ่งกลับมายังอาศรมนี้ มิได้ไปทำสิ่งใดที่ไม่เหมาะไม่ควรแต่อย่างใด
ฝ่ายพระเวสสันดรเมื่อฟังคำตอบของพระนามัทรีก็เอาแต่นิ่งเงียบทั้งคืน จนกระทั่งรุ่งเช้า

เรื่องย่อ

ระหว่างนั้นพระนางมัทรีโศกเศร้าร่ำไห้ คร่ำครวญว่าตนปฏิบัติต่อสามีดั่งศิษย์ปฏิบัติต่อครู
ดูแลลูกทั้งสองแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ทั้งบดขมิ้นไว้ให้อาบน้ำ จัดหาอาหารมาให้มิได้ขาด
แล้วอ้อนวอนให้สามีเรียกลูกมากินอาหารที่ตนหามา ถามว่าลูกอยู่แห่งหนใดเหตุใดจึงยังไม่ยอมออกมา
แต่ไม่ว่าจะร้องขออ้อนวอนอย่างไรสามีก็นิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา พระนางจึงถวายบังคมลาออกไปตามหาลูกทั้งสองในป่าหิมพานต์
เมื่อออกตามหาจนทั่วแล้วไม่พบจึงกลับมาที่อาศรมพบว่าพระเวสสันดรยังคงนั่งนิ่งอยู่เหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด
พระนางจึงตัดพ้อว่า เหตุใดพระเวสสันดรจึงยังนั่งนิ่งอยู่ไม่ลุกมาผ่าฝืน ตัดน้ำใส่บ่อ หรือก่อไฟไว้อย่างที่เคยทำเป็นประจำทุกวัน
พร้อมกับบอกว่าพระเวสสันดรนั้นเป็นที่รักของพระนางมัทรีอย่างยิ่ง เมื่อกลับมาจากป่าเห็นพระพักตร์ของพระองค์และได้เห็นลูกทั้งสองวิ่งเล่น
ก็คลายความเหนื่อยล้าเป็นปลิดทิ้ง แต่วันนี้กลับกลายเป็นความทุกข์ร้อน เศร้าโศก เพราะพระองค์ไม่ยอมตรัสสิ่งใดกับพระนาง
แม้พระนางมัทรีจะได้ออกตามหาพระกัณหาและพระชาลีไปทั่วป่า ทั้งราตรี
แล้วกลับมาหาพระเวสสันดรอย่างไรพระองค์ก็ไม่ยอมตรัสสิ่งใดอยู่เช่นเดิม นางมัทรีสะอื้นไห้จนหมดสติล้มลงกับพื้น

เรื่องย่อ

พระเวสสันดรบรรพชาเป็นดาบสมากว่า 7 เดือน
ไม่เคยได้แตะต้องตัวพระนางมัทรี แต่วันนี้ด้วยความเศร้าโศก
และตระหนกตกใจเกรงว่าพระนางจะเป็นอะไรไป พระเวสสันดร
จึงเข้าไปตรวจชีพจรดูแลนางจนได้สติตื่นฟื้นขึ้นมา ฝ่ายพระนางมัทรี
เมื่อฟื้นขึ้นมาก็ทูลถามอีกครั้งว่าลูกทั้งสองอยู่แห่งหนใด กลับมาแล้วหรือไม่
พระเวสสันดรจึงตอบว่าตนได้ยกพระกัณหากับพระชาลีให้กับชูชกไปแล้ว
แต่พระองค์มิได้บอกกับพระนางมัทรีตั้งแต่ต้นเกรงว่าพระนางจะเศร้าโศกเสียใจ
เมื่อได้รู้ความจริงแล้ว พระนางมัทรีจึงคลายความทุกข์เศร้าลง

แล้วอนุโมทนาบุญกับบุตรทานที่พระเวสสันดรได้ปฏิบัติในครั้งนี้

คุณค่าด้านเนื้อหา

รูปแบบ
มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรีแต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทร่ายยาว นำด้วยคำภาษาบาลีท่อนหนึ่ง แล้วแต่งด้วยร่ายยาวมีคำบาลีแทรก

องค์ประกอบของเรื่อง

สาระสำคัญ
เป็นการแสดงความรักของแม่ที่มีต่อลูกว่าเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ การพลัดพรากจากลูกย่อมนำความทุกข์โศกมาสู่แม่อย่างยากที่จะหาสิ่งใดเปรียบได้

โครงเรื่อง

มีการวางโครงเรื่องได้ดีโดยผูกเรื่องให้เทพบุตร ๓ องค์นิรมิตกายเป็นสัตว์ร้ายมาขวางนางมัทรีไว้ จนกลับอาศรมได้ทันเวลาที่พระเวสสันดรจะให้ทานสองกุมารให้กับพราหมณ์ชูชก

เมื่อนางกลับมาแล้วไม่พบสองกุมารก็โศกเศร้าเสียพระทัยจนสลบไป ต่อมาภายหลังได้ทรงทราบว่าพระเวสสันดรทรงให้ทานสองกุมารให้แก่พราหมณ์ชูชก
นางมัทรีก็คลายความเศร้าโศกพระทัย และเต็มพระทัยอนุโมทนาในบุตรทานของพระเวสสันดร

ตัวละคร
พระเวสสันดร

มีคุณธรรมสูงเหนือมนุษย์ ยากที่มนุษย์ทั่วไปจะทำได้ นับเป็นการบำเพ็ญทานอันยิ่งใหญ่ประการหนึ่งมีความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์

มหาเวสสันดรชาดกนางมัทรี

มีความจงรักภักดีต่อพระสวามี เป็นยอดกุลสตรี ปฏิบัติหน้าที่ภรรยาและมารดาได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน มีความอดทน ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก มีจิตอันเป็นกุศล จึงอนุโมบุตรทานของพระเวสสันดร

ฉากและบรรยากาศ
ฉากเป็นป่าบริเวณอาศรมของพระเวสสันดร ผู้แต่งบรรยายบรรยากาศได้สมจริง และเหมาะสมสอดคล้องกับเนื้อเรื่อง

กลวิธีในการแต่ง
แต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทร่ายยาวที่มีคาถาบาลีนำ

คุณค่าด้านวรรณศิลป์

การใช้ถ้อยคำให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจ กวีเลือกใช้คำได้เหมาะสมกับอารมณ์ที่ต้องการจะถ่ายทอด ดังตัวอย่างต่อไปนี้

๑) การใช้ถ้อยคำรำพึงรำพัน เป็นการรำพึงรำพันบรรยากาศผ่านตัวละครที่ได้อารมณ์ความสะเทือนใจ และตรงใจผู้เป็นแม่ในชีวิตจริงในทุกยุคทุกสมัย
เป็นการเพิ่มความรักความผู้พันให้ผู้อ่านและผู้ฟังที่เป็นแม่และลูกได้เป็นอย่างดียิ่ง

๒) การใช้ถ้อยคำสำนวนเชิงตัดพ้อ ให้ให้เกิดอารมณ์สงสารเวทยาและบีบคั้นจิตใจผู้อ่านผู้ฟังเป็นอย่างยิ่ง
๓) การใช้แสดงอารมณ์หึงหวงให้เจ็บแค้นเพื่อดับความโศกเศร้า
๔) การใช้คำซ้ำและกลุ่มคำที่มีพื้นเสียงเดียวกัน
๕)การใช้โวหาร กวีได้เลือกใช้สำนวนภาษาก่อให้เกิดจินตภาพ ดังนี้

๕.๑ การใช้อุปมาโวหารที่แสดงความเศร้าโศกของนางมัทรีจนสลบไป เป็นจุดเด่นของกัณฑ์มัทรีที่ทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์สะเทือนใจด้วยความสงสาร
การใช้ถ้อยคำแสดงความสามารถของกวีในการประพันธ์ได้อย่างชัดเจน

๕.๒ การใช้คำอ้างอิงสำนวนสุภาษิต เป็นการใช้ถ้อยคำให้เกิดแง่คิดกับผู้อ่านและผู้ฟังได้เป็นอย่างดี

คุณค่าด้านสังคม

๑) สะท้อนค่านิยมเกี่ยวกับสังคมไทย ในสมัยโบราณถือว่าภรรยาเป็นทรัพย์สมบัติของสามี สามีมีสิทธิ์เหนือภรรยาทุกประการ
ถ้าสามีเป็นกษัตริย์ อำนาจนั้นก็มากขึ้น

๒) สะท้อนให้เห็นธรรมชาติของมนุษย์ ความรักนำมาซึ่งความทุกข์ ความโศกเศร้าเสียใจเช่น เมื่อลูกพลัดพรากจากไปพ่อแม่ย่อมมีความทุกข์

เพราะความรัก ความเป็นห่วง กังวล โศกเศร้า เมื่อคิดว่าลูกของตนล้มหายตายจากไป แต่ความโศกเศร้าเสียใจจะบรรเทาลงได้เมื่อมีความโกรธ เจ็บใจ
หรือเมื่อเกิดความเข้าใจในสิ่งที่ผู้อื่นทำ

๓) สะท้อนความเชื่อของสังคมไทย จากข้อความตอนที่พระนางมัทรีออกสู่ป่าเพื่อหาเก็บผลไม้ ผลไม้ก็เพี้ยนผิดปกติ ซึ่งถือว่าเป็นลางร้าย

แนวคิดสำคัญของเรื่อง

๑. ความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่นัก
๒. ผู้ที่จะปรารถนาสิ่งต่างๆ อันยิ่งใหญ่จะต้องทำด้วยความอดทนและเสียสละอันยิ่งใหญ่
๓. ความซื่อสัตย์ระหว่างสามีภรรยาทำให้ชีวิตครอบครัวมีความสุข
๔. ผู้มีปัญญาย่อมแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ดี
๕. การบริจาคบุตรทารทานหรือทานบุตรบารมีเป็นสิ่งที่กระทำได้ยากยิ่ง ไม่มีใครจะทำได้ง่ายๆ


Click to View FlipBook Version