ภาคอสี าน
วัฒนธรรมภาคอีสาน
ระบอบการปกครองบ้านเมอื งอันเป็นกติกาควบคมุ สังคมสมยั เก่านนั้ คนไทยทางภาคกลาง
หรือทางใต้ได้รับอิทธิพลจากทางตะวันตกมาก เพราะยึดถือหลักคัมภีร์พระมนู พระธรรมศาสตร์
ของชาวอินเดีย โดยเฉพาะวัฒนธรรมที่มาจากทางด้านนี้มันจะโน้มไปทางจิตนิยม หรือเชื่อในส่ิง
สมมติขึ้น เช่น นรกสวรรค์-สงิ่ ศกั ด์ิสทิ ธทิ์ ค่ี นไม่เคยเห็น
ส่วนระบอบบการปกครองของชาวอีสานสมัยเก่านั้นยังมีอิทธิพลของความเชื่อดั้งเดิมตก
ทอดมาจากทางเหนืออยู่มากโดยเฉพาะอิทธพิ ลแบบจีนซง่ึ มกั จะโนม้ ไปทางวัตถุนยิ ม หรอื เชือ่ ในส่ิง
ที่เคยเห็นคุณเห็นโทษมาแล้ว เช่น บิดา-มารดา-บรรพบุรุษ-วีรบุรุษ ผู้ที่ล่วงลับตายเป็นผีไปแล้ว
(ไมใ่ ช่ผหี ลอก)ไดร้ ับการยกยอ่ งเชดิ ชูบชู ามากจนมีการเซ่นไหว้บวงสรวงกันหลายระดับ
ถึงแม้คนไทยทางใตต้ ่างกับทางอสี านแตก่ เ็ ปน็ ศษิ ยช์ าวชมภูทวปี ด้วยกัน แตล่ ักษณะการ
ปกครองของคนใต้นัน้ ค่อนไปในทางทใี่ ชป้ ระมวลกฎหมายคลา้ ยฝร่ังเศส เช่นมีการใช้กฎหมายตรา
สามดวง ซึ่งมีลักษณะเป็นประมวลกฎหมายเป็นหลัก ส่วนชาวอีสานนั้นยังไม่ปรากฏว่ามีการใช้
กฎหมายประมวล ข้อบังคับหรือกติกาของสังคมส่วนใหญ่เป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณี
คลา้ ยแบบอังกฤษ เผา่ ชนซ่งึ อาศัยอยตู่ ามลุ่มน้ำโขงสมยั เกา่ ใชศ้ าสนาและขนบธรรมเนียมประเพณี
เป็นเคร่อื งมือ หรือวธิ กี ารปกครองบา้ นเมอื งมากกว่าเผ่าชนทางลมุ่ น้ำเจ้าพระยา
การปกครองบ้านเมืองแต่ละยุคสมัยนน้ั จะตอ้ งวางวธิ กี ารใหเ้ หมาะสมกบั สังคม แม้แตก่ าร
อบรมเผยแพร่พระพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน มีความจำเป็นอย่างย่ิงที่จะต้องใชก้ ุศโลบาย ซึ่งเป็น
อบุ ายในทางท่ีดี เช่น การฆา่ สัตวต์ ัดชวี ิต การลักขโมย การผดิ ลกู ผิดเมยี ผู้อ่ืน ก็ว่าเป็นบาปจะต้อง
ตกนรกหมกไหม้ ทำให้คนมีส่วนกลัวไม่กล้าประพฤติ การทำความดีเช่นการทำงานเพื่อสังคม
ส่วนรวม การบริจาคทาน เสียสละ หรอื ชว่ ยเหลือผู้ประสบเคราะห์กรรมจะได้บญุ หรอื ได้ขึ้นสวรรค์
เหล่านี้ เป็นต้น นอกจากนั้นยงั มกี ารสรา้ งกตกิ าหรอื กรอบควบคมุ ความประพฤติปฏบิ ตั ขิ องสมาชิก
ในสังคมขนึ้ อีกมากมายในรูปต่างๆกัน อันได้แกข่ นบธรรมเนียมประเพณี หรือข้อเว้นข้อห้ามนานา
ชนดิ
ภายหลังต่อมาเมื่อสังคมมนุษย์เปลี่ยนไป ข้อสมมติหรือกุศโลบายต่าง ๆ เหล่านั้นไร้
สมรรถภาพลง แตผ่ ู้ปกครองไมไ่ ด้หาวธิ ีการเข้ามาแทนหรือชแ้ี จงแสดงเหตุผลใหค้ นรุน่ ใหม่ได้เข้าใจ
จงึ กอ่ ให้เกิดช่องว่างได้มาก เพราะของเดมิ ของเก่าเขากไ็ มเ่ ชื่อแลว้ แต่เหตุผลทางด้านคุณและโทษ
ตามหลักวิทยาศาสตร์เขาก็ยังเข้าไม่ถึง จึงเกิดปฏิกิริยาต่อตา้ นกันมากเพราะไม่เคยทราบถึงความ
เป็นมาหรือเบือ้ งหลังของกศุ โลบายท้งั หลายเหลา่ นน้ั เลย
คนอีสาน มีวัฒนธรรมที่นับถือกันมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว จนถือเป็นฮีตเป็นคองต้อง
ปฏบิ ตั ิสบื กนั มาจนเปน็ ประเพณีทรี่ จู้ กั กนั ดี และพดู จนติด ปากว่า "ฮตี สบิ สองคองสิบส"่ี
ฮตี สบิ สอง คองสบิ สี่
ภาคอสี านเป็นภาคที่มีขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมคติความเชือ่ วถิ ีปฏิบัติที่หลากหลายแต่
ละฤดู เดือน จะมีพิธีปฏิบัตกิ ิจกรรมตามความเชือ่ หลากหลาย ชาวอีสานจะรู้จักดีคือ "ฮีตสิบสอง
คลองสบิ ส่ี"
ฮีตสบิ สอง มาจากคำ 2 คำ คือ ฮตี กับ สบิ สอง ฮีตมาจากคำวา่ จารตี หมายถงึ สง่ิ ที่ปฏิบตั สิ ืบ
ต่อกันมาจนกลายเป็นประเพณีที่ดีงามชาวอีสาน เรียกว่า จาฮีตหรือฮีต ส่วนคำว่า สิบสอง
หมายถึงเดือนทัง้ 12 เดือน
ดังนั้น คำว่า ฮีตสิบสอง จึงหมายถึง จารีตประเพณีสิบสองรายการคือประเพณีประจำสิบสอง
เดอื นนน่ั เอง ฮีตสิบสองเดือนมดี ังนี้
เดือนอา้ ย (ฮตี บุญเขา้ กรรม)
เดือนย่ี (ฮีตบญุ คณู ลาน)
เดือนสาม (ฮีตบญุ ข้าวจี่)
เดือนส่ี (ฮีตบญุ เผวส หรอื บญุ มหาชาต)ิ
เดอื นหา้ (ฮีตบญุ สงกรานต์)
เดอื นหก (ฮตี บญุ บ้งั ไฟ)
เดือนเจ็ด (ฮตี บุญซำฮะ)
เดือนแปด (ฮีตบญุ เข้าพรรษา)
เดอื นเก้า (ฮตี บุญข้าวประดบั ดิน)
เดือนสบิ (ฮีตบุญข้าวสาก)
เดอื นสบิ เอด็ (ฮีตบญุ ออกพรรษา)
เดือนสิบสอง (ฮีตบุญกฐิน)
โดยสามารถแบ่งจุดมุ่งหมายของฮีตไดช้ ัดเจน คือบญุ เกี่ยวกับพระสงฆ์โดยตรง บุญลักษณะนี้มี
6 บุญ บุญเข้ากรรม บุญข้าวจี่ บุญเผวส บุญเข้าพรรษา บุญออกพรรษาและบุญกฐนิ บุญเก่ยี วกบั
การทำมาหากิน เกี่ยวกับการขอพรหรอื บวงสรวงสิ่งศักดิส์ ิทธ์ิให้ดลบันดาลความอุดมสมบูรณ์ทาง
ธรรมชาติเช่นฟ้าฝน ข้าวปลาอาหาร มีบุญคูณลานและบุญบั้งไฟ บุญเกี่ยวกับขวัญกำลังใจการ
ดำรงอาชีพ เกี่ยวข้องกับความเช่ือที่วา่ สิ่งสักดิ์สทิ ธิ์จะอำนวยความสขุ สวัสดีภาพมี บุญสงกรานต์
และบุญซำฮะ บุญเกี่ยวกับความกตญั ญู ซึ่งจะเน้นเกี่ยวกับการทำบุญอุทิศเปน็ สำคัญ คือ บุยข้าว
ประดบั ดินและบญุ ข้าวสาก
คองสิบส่ี หมายถึง แนวทางปฎิบัติวิถีทางที่ดีที่นักปราชญ์บรรพบุรุษชาวอีสานวางไว้ เพื่อให้
ผปู้ กครองนำไปเป็นแนวทางในการปกครอง พ่อแมน่ ำไปสอนลูกป่ยู ่าตายายนำไปสอนหลาน พระ
นำไปสอนพุทธศาสนิกชนและประชาชนเพื่อนำไปปฏิบัติ คองสิบสี่ เป็นแนวแบบแผนประพฤติ
ปฏิบัติของบุคคลกลุ่มต่างๆที่ให้ผู้คนต้องปฏิบัติตามจึงทำให้สังคมอีสานมีความสุขสงบ ร่มเย็น
ตลอดมา แนวทางปฏบิ ัติมีท้ังหมด 14 ขอ้ ดังน้ี
คอง 1 ผลผลติ ไดใ้ ห้เอาไปทานก่อน(เอาไปทำบุญทีว่ ัด)
คอง 2 ล้อมรั้วบ้าน บ้านหมายถึง หมู่บ้าน ไม่ใช่เรือน ล้อมรั้วบ้าน หมายถึง ความสามัคคี
กลมเกลยี วเป็นอันหน่งึ อนั เดยี ว ลอ้ มไว้หมดบา้ น(หมูบ่ า้ น) ไมใ่ ช่ตา่ งคนตา่ งอยู่
คอง 3 ล้างตนี แล้วจงึ ขน้ึ เฮอื น
คอง 4 ตาส่งั เจา้ อยา่ ได้โลภโมโห ใหอ้ ยใู่ นปัจจยั สี่ ให้พอดอี ย่าโลภ
คอง 5 สมมา ฟัวเมียถงึ วั นศีลห้า เหมือนทีพ่ ระผู้นอ้ ยไปขอขมาพระผใู้ หญ่ คือการขมาโทษ
กันและกนั ระหว่างผัวเมยี ลกู
คอง 6 สมมากอ้ นเส้า ผิงไฟใหข้ อโทษ ไฟเปรียบเสมือนสง่ิ บริสทุ ธ์ิ
คอง 7 ทำสะอาดเรยี บร้อยแล้วจึงเขา้ บอ่ นนอน
คอง 8 ลุกแต่เชา้ เตรยี มตกั บตารจังหนั
คอง 9 ยามพระสงฆ์มา อย่าเหยยี บเงาใหเ้ ว้นหนี
คอง 10 ของทานนน้ั อย่าเปน็ เดนหรอื เศษ
คอง 11 ให้เจา้ เก็บดอกไมท้ ่ลาและเทยี นธูป ไปฟังธรรมทกุ เชา้ คำ่ ยามพระเจา้ เข้ากรรม
คอง 12 อย่ารว่ มเพศเมือ่ วันศลี วนั สำคญั ให้หลกี ไกลละเวน้
คอง 13 ฮอดเดอื นห้าใหส้ มมาพอ่ แม่ ทัง้ เฒา่ แกเ่ พ่อื นบา้ น มารฮา้ ยสหิ ลีกไกล
คอง 14 ใหส้ มมาหมู่เทวดา ให้คร้ัวเฮอื นฮุ่งเฮืองเหลืองเล่ือม ไผผู้ทำตนไดต้ ามฮตี สิบสองคอ
งสบิ สี่ บุญหากมมี ากล้นเพราะฮฮู้ ีตคอง
"ฮีตสบิ สอง คลองสบิ ส่ี" ถือวา่ เปน็ สงิ่ ท่ีมคี า่ ที่ชาวอีสาน และคนภาคอื่นควรเรียนรู้
แล้วนำไปประยุกตใ์ หเ้ กิดประโยชน์แก่การปกครอง การอยรู่ ว่ มกันของคนในสงั คมได้
การแต่งกาย
ลกั ษณะการแตง่ กาย
ผชู้ าย สว่ นใหญน่ ิยมสวมเส้อื แขนสนั้ สีเขม้ ๆ ทีเ่ ราเรยี กว่า "ม่อหอ่ ม" สวมกางเกงสเี ดียวกับเส้ือจรด
เข่า นยิ มใช้ผา้ คาดเอวด้วยผ้าขาวม้า
ผู้หญิง การแต่งกายส่วนใหญ่นิยมสวมใส่ผ้าซ่ินแบบทอทั้งตัว สวมเสื้อคอเปิดเล่นสสี ัน ห่มผ้าสไบ
เฉยี ง สวมเครอ่ื งประดบั ตามข้อมือ ขอ้ เท้าและคอ
กลมุ่ อีสานเหนอื
เป็นกลมุ่ ชนเชือ้ สายลาวที่มีกำเนิดในบริเวณลุ่มแมน่ ้ำโขง และยงั มีกลุ่มชนเผ่าต่างๆ เช่น ข่า ผู้
ไท โส้ แสก กระเลิง ย้อ ซึ่งกลุ่มไทยลาวนี้มีความสำคัญบิ่งในการผลิตผ้าพื้นเมืองของอีสาน ส่วน
ใหญ่เปน็ ผลผลติ จากฝา้ ยและไหม แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการนำเอาเส้นใยสงั เคราะห์มาทอร่วมดว้ ย
ผ้าทีน่ ิยมทอกัยในแถบอสี านเหนอื คอื ผา้ มัดหม่ี ผ้าขิด และผ้าแพรวา
ผ้ามัดหมี่ เป็นศิลปะการทอผ้าพื้นเมืองที่ใช้กรรมวิธีในการย้อมสีท่ีเรยี กว่า การมัดย้อม (tie dye)
เพื่อทำให้ผ้าทีท่ อเกิดเป็นลวดลายสีสันต่างๆ เอกลักษณ์อนั โดดเด่นก็อยู่ตรงที่รอยซึมของสีที่วิ่งไป
ตามบริเวณของลวดลายทีผ่ กู มดั และการเหล่ือมลำ้ ในตำแหนง่ ต่างๆ ของเส้นดา้ ยเมื่อถูกนำข้ึนกี่ใน
ขณะทที่ อ ลวดลายสีสนั อันวจิ ติ รจะได้มาจากความชำนาญของการผูกมัดและย้อมหลายคร้ังในสีท่ี
แตกต่าง ซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรษุ การทอผ้ามดั หม่ีจะมีแม่ลายพ้ืนฐาน 7 ลาย คือ หมี่ขอ หม่ี
โคม หมี่บักจัน หมี่กงน้อย หมี่ดอกแก้ว หมี่ข้อและหมี่ใบไผ่ ซึ่งแม่ลายพื้นฐานเหล่านี้ดัดแปลงมา
จากธรรมชาติ เช่น จากลายใบไม้ ดอกไมช้ นิดต่างๆ สัตว์ เป็นต้น ผ้ามัดหมี่ที่มชี ือ่ เสยี งได้แก่ เขต
อำเภอชนบท จงั หวัดขอนแกน่ อำเภอบ้านเขวา จงั หวัดชยั ภมู ิ เป็นต้น
ผ้าขดิ หมายถงึ ผ้าทีท่ อโดยวิธีใช้ไม้เขย่ี หรือสะกิดซ้อนเสน้ ยืนขึ้นตามจังหวะที่ต้องการ เว้นแล้ว
สอดเส้นด้ายพุ่งให้เดินตลอด การเว้นเส้นยืนถี่ห่างไม่เท่ากันจะทำให้เกิดลวดลายต่างๆ ทำนอง
เดียวกับการทำลวดลายของเครื่องจักสาน จากกรรมวิธีที่ต้องใช้ไม้เก็บนี้จึงเรียกว่า การเก็บขิด
มากกวา่ ทีจ่ ะเรียก การทอขิด เช่น
ผ้าตีนซิ่น เป็นผ้าขิดที่ทอเพื่อใช้ต่อชายด้านล่างของผ้าซิ่น เนื่องจากผ้าทอพื้นเมืองจะมี
ข้อจำกัดในเรื่องของขนาดผืนผ้า ดังนั้นเวลานุ่งผ้าซิ่นผ้าจะสั้นจงึ ต่อชายผ้าท่ีเปน็ ตีนซิน่ และหัวซ่ิน
เพอื่ ใหย้ าวพอเหมาะ
ผา้ หวั ซน่ิ กเ็ ช่นเดียวกนั เป็นผา้ ขดิ ท่ใี ช้ตอ่ ชายบนของผ้าซิ่น
ผา้ แพรวา มลี กั ษณะการทอเช่นเดยี วกบั ผ้าจก แพรวา มคี วามหมายว่า ผ้าไหมหรือผ้าฝ้ายท่ี
ทอเป็นผืนมคี วามยาวประมาณวาหนงึ่ ของผ้ทู อ ซงึ่ ยาวประมาณ 1.5-2 เมตร
กลุ่มอีสานใต้
คอื กลุ่มคนไทยเช้ือสายเขมรทกี่ ระจดั กระจายต้ังถิน่ ฐานอยใู่ นแถบจงั หวัดสุรินทร์ ศรสี ะเกษและ
บุรีรัมย์ เป็นกลุ่มที่มีการทอผ้าท่ีมีเอกลกั ษณ์โดยเฉพาะของตนเอง มีสีสันที่แตกต่างจากกลุ่มไทย
ลาว
ผ้ามัดหมี่ ในกลมุ่ อีสานใต้กม็ ีการทอเช่นเดียวกนั นยิ มใช้สีทีท่ ำเองจากธรรมชาติเพียงไม่ก่ีสี ทำ
ให้สีของลวดลายไม่เด่นชัดเหมือนกลุ่มไทยลาว แต่ที่เห็นเด่นชัดในกลุ่มนี้คือการทอผ้าแบบอื่นๆ
เพอื่ การใช้สอยกันมากเชน่
ผา้ หางกระรอก จะมสี ีเลือ่ มงดงามดว้ ยการใชเ้ สน้ ไหมต่างสสี องเส้น
คว่ันทบกนั ทอแทรก
ผ้าปูม เป็นผ้าที่มีลักษณะการมัดหมี่ที่พิเศษเป็นเ อกลักษณ์ต่างจ าก ถิ่น
อ่ืน
ผา้ เซยี ม (ลุยเซียม) ผ้าไหมทนี่ ิยมใชใ้ นกล่มุ ผสู้ ูงอายุ
ผ้าขิด การทอผ้าขิดในกลุ่มอีสานใต้มที ้ังการทอด้วยผา้ ฝ้ายและผ้าไหม แตส่ ่วนมากมักจะใช้
ต่อเปน็ ตีนซน่ิ ในหมูค่ น
ที่มีฐานะทางเศรษฐกจิ และสังคมดี เพราะชาวบ้านทวั่ ไปไม่นยิ มใช้กนั ลกั ษระการต่อตีนซิ่นของ
กลุ่มน้นี ยิ มใชเ้ ชงิ ตอ่ จาก
ตัวซ่นิ ก่อน แลว้ จงึ ใช้ตีนซ่ินตอ่ จากเชงิ อีกทหี นึง่ ซึ่งแตกตา่ งจากกลุ่มไทยลาวอย่างเดน่ ชดั
ผา้ พนื้ เมือง
ผ้าพนื้ เมอื งอสี าน
ชาวอีสานถือว่าการทอผา้ เปน็ กจิ กรรมยามว่างหลงั จากฤดกู ารทำนา หรอื วา่ งจากงานประจำอื่น
ๆ ดังนน้ั ใต้ถนุ บ้านของชาวอสี านในอดตี จะมีการกางหกู ทอผ้ากนั ไว้แทบทกุ ครัวเรือน โดยผหู้ ญิงใน
วัยต่างๆ จะสืบทอดการทอผ้าต้ังแต่เด็ก โดยผ้าทอมือเหล่านี้ทำจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย
และผ้าไหม และจะถูกนำไปใช้ตัดเย็บทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม หมอน ที่นอน ผ้าห่ม และการทอผ้ายงั
เป็นการเตรียมผ้าสำหรับการออกเรือนของฝ่ายหญิง รวมถึงเป็นการผ้าที่ทอไว้สำหรับฝ่ายชาย
ดว้ ย
ผา้ ทอของภาคอีสาน สามารถจำแนกออกเป็น 2 ชนดิ ดังนี้
1. ผ้าทอสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน โดยผ้าทอชนิดนี้จะเป็นผ้าพื้นไม่มีลวดลาย เพราะต้องการ
ความทนทานจึงทอด้วยฝา้ ยย้อมสี
2. ผ้าทอสำหรบั โอกาสพิเศษ เช่น ใช้ในงานบุญประเพณีต่างๆ งานแต่งงาน งานฟ้อนรำ ดังนั้นผ้า
ทอจึงมกั มลี วดลายสวยงาม และมีสีสันหลากหลาย
ทั้งนี้ จะมีประเพณีที่คู่กนั มากับการทอผา้ คือการลงข่วง โดยบรรดาสาว ๆ ในหมู่บ้านจะ
พากันมารวมกลุ่มก่อกองไฟ บ้างก็สาวไหม บ้างกป็ ั่นฝา้ ย กรอฝา้ ย ฝา่ ยชายก็ถอื โอกาสมาเก้ียวพา
ราสีและนั่งคุยเป็นเพื่อน บางครั้งก็มีการนำดนตรีพื้นบ้านอย่าง พิณ แคน โหวต มาบรรเลง
จ่ายผญาโต้ตอบกัน
เนื่องจากอีสานมีชนอยู่หลายกลุ่มวัฒนธรรม การผลิตผ้าพื้นเมืองจึงแตกต่างกันไปตาม
กลุ่มวัฒนธรรม เช่น กลุ่มอีสานใต้ คือกลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมรที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในแถบจังหวัด
สุรนิ ทร์ ศรีสะเกษ และบุรรี ัมย์ เปน็ กลุม่ ทมี่ กี ารทอผา้ ท่ีมีสสี นั แตกตา่ งจากกลุ่มไทยลาว
อย่างไรก็ตาม รูปแบบการแต่งกายของชาวอีสานทั่ว ๆ ไป คือ ผู้ชาย มักนิยมสวมเสื้อ
ม่อฮ่อม ซึ่งเป็นเสื้อแขนสั้นสีเข้ม ๆ สวมกางเกงสีเดียวกับเสื้อจรดเข่า นิยมใช้ผ้าคาดเอวด้วย
ผ้าขาวม้า ขณะที่ ผู้หญิง มักสวมใส่ผ้าซิ่นแบบทอทั้งตัว สวมเสื้อคอกลม แขนยาว เล่นสีสัน แต่
หากเป็นงานพธิ ตี ่าง ๆ อาจมีการหม่ ผ้าสไบเฉียง สวมเครือ่ งประดบั ตามขอ้ มอื ข้อเทา้ และคอ เพ่ิม
ดว้ ย
ลกั ษณะผ้าพน้ื เมอื งอีสาน
ลวดลายผ้าพื้นเมืองอีสานทั้งสองกลุ่มนิยมใช้ลายขนานกับตัว ซึ่งต่างจากผ้าซิ่นล้านนาที่นิยม
ลายขวางตัวและนุ่งยาวกรอมเท้า ในขณะท่ชี าวไทยลาวนิยมนุ่งผ้าซิ่นสูงระดบั เข่าแต่ไม่ส้ันเหมือน
ผหู้ ญิงเวยี งจนั ทร์และหลวงพระบาง การตอ่ หวั ซิ่นและตีนซิน่ จะตอ่ ดว้ ยผ้าชนิดเดยี วกัน ส่วนหัวซิ่น
นิยมด้วยผา้ ไหมช้ินเดียวทอเก็บขดิ เป็นลายโบควำ่ และโบหงายมีสแี ดงเป็นพืน้ ส่วนการต่อตะเขบ็
และลักษณะการนุ่งจะมีลักษณะเฉพาะแตกต่างไปจากภาคอื่นคือ การนุ่งซิ่นจะนุ่งป้ายหน้าเก็บ
ซ่อนตะเข็บ ยกเว้นกลุ่มไทยเชื้อสายเขมรในอีสานใต้ ซึ่งมักจะทอริมผ้าเป็นริ้วๆ ต่างสีตามแนว
ตะเข็บซน่ิ จนดูกลมกลนื กบั ตะเข็บและเวลานุ่งจะใหต้ ะเข็บอยขู่ ้างสะโพก
การใชผ้ า้ สำหรบั สตรชี าวอีสาน
ผา้ ซิ่นสำหรบั ใช้เป็นผา้ นุง่ ของชาวอีสานนนั้ จะมลี ักษณะการใชแ้ บง่ ออกเป็น 2 ประเภท คอื
• ผา้ ซ่ินสำหรับผหู้ ญงิ ทีม่ ีสามีแลว้ จะใช้ผา้ สามชน้ิ มาต่อกนั โดยแบง่ เป็นผ้าหัวซิ่น ผ้าตัวซิ่น
และผ้าตนี ซ่นิ ผ้าแต่ละชิน้ มีขนาดและลวดลายต่างกนั ผ้าหัวซนิ่ จะมีขนาดกว้างประมาณ
20 ซม. ยาวเท่ากับผ้าซิ่น มีลวดลายเฉพาะตัว คือ ทอเป็นลายขวางสลับเส้นไหมแทรก
เล็กๆ สลับสีสวยงามส่วนตัวซิ่น คือส่วนกลางของผ้าซิ่นมีความกว้างมากกว่าส่วนอื่น ซ่ึง
ส่วนใหญ่มีขนาดเท่าฟืมที่ใช้ทอ ซึ่งนิยมทอเป็นลายมัดหมี่ ส่วนตีนซิ่น คือส่วนล่างของ
ผ้าซิ่นจะมีความกว้างเพียง 10 ซม. และยาวเท่ากับความยาวของผ้าซิ่น เมื่อต่อเข้ากับตัว
ซิน่ แล้วลายจะเป็นตรงกันข้ามกับผา้ หัวซ่ิน ความงามอยู่ที่การ สลบั สีส่วนใหญจ่ ะเลียนแบบ
จากลวดลายของสัตว์ เชน่ ลายงูทำเปน็ ลายปล้องสเี หลืองและดำ
• ผ้าซิ่นสำหรบั หญงิ สาว จะเป็นผ้าซิ่นมัดหมี่เหมือนกันแต่เป็นผืนเดียวกันตลอด ใช้วิธีการ
มัดหมี่เป็นดอกและลวดลายติดต่อแล้วทอเป็นผืนเดียวกันตลอด ในผืนซิ่นจะมีลายที่ริม
ขอบด้านล่างในลักษณะเชงิ ซิ่นลวดลายส่วนใหญ่ทั้งตัวซิ่นและเชงิ นิยมใช้ลายรูปสัตว์ เช่น
ไก่ฟา้ หงษ์ทอง เปน็ ตน้
การละเลน่ พื้นเมือง
เนือ่ งจากภมู ิประเทศภาคอีสานเปน็ ท่รี าบสูง คอ่ นข้างแห้งแล้ง เพราะพนื้ ดินไม่เก็บน้ำ ฤดูแล้งจะ
กันดาร ฤดูฝนน้ำจะท่วม แต่ชาวอสี านก็มีอาชีพทำไร่ทำนา และเป็นคนรักสนุก ดังนั้นจึงสามารถ
หาความบนั เทิงไดท้ ุกโอกาส โดยจะมที ้งั การร้องเพลง และฟ้อนรำ ทงั้ น้ี การแสดงของภาคอีสาน
มักเกิดจากกิจวัตรประจำวัน หรือประจำฤดูกาล และลักษณะการแสดงซึ่งเป็นลีลาเฉพาะของ
อีสาน คือ ลีลา และจังหวะในการก้าวเท้า ที่มีลักษณะคลา้ ยเต้น แต่นุ่มนวลกว่า และมักเดินด้วย
ปลายเทา้ โดยจะสบัดเท้าไปข้างหลงั สงู
ซ่ึงตัวอย่างเพลงพนื้ เมอื ง ทม่ี ักนยิ มขบั รองกนั ไดแ้ ก่ หมอลำ เพลงโคราช เจรียง กันตรึม เพลง
ลอ่ งโขง เพลงแอ่วแคน ขณะที่ การฟอ้ นรำ ไดแ้ ก่ แห่นางแมว เซิ้งบ้งั ไฟ เซ้งิ สวงิ เซ้งิ โปงลาง เซ้ิง
ตงั หวาย เซิ้งกระตบิ รำลาวกระทบไม้ ฟอ้ นภไู ท เป็นต้น
เพลงพ้นื บ้าน
สำหรับเพลงพื้นบ้านของภาคอีสานนั้น จะมีท่วงทำนองแตกต่างกันตามแต่ละพื้นที่ โดยจะ
แบง่ เป็นพน้ื ทใ่ี หญ่ ๆ ไดแ้ ก่ อีสานเหนอื และอสี านใต้ ซง่ึ เพลงพ้นื บ้านของภาคอีสาน มกั สอดแทรก
แง่คิด เกี่ยวกับวิถีชวี ิต และความเป็นอยู่ของคนในพื้นท่ีไว้อย่างชดั เจน และสามารถแบ่งประเภท
ของเพลงพ้ืนบา้ น ได้ดังนี้
1. เพลงพิธีกรรม
ตัวอย่างเพลงพิธีกรรมของกลุ่มอีสานเหนือ ได้แก่ การลำพระเวส หรือการเทศน์มหาชาติ
การแหลต่ ่าง ๆ การลำผีฟา้ รกั ษาคนป่วย การสวดสรภัญญะ และการบายศรสี ่ขู วัญในโอกาสต่าง ๆ
ฯลฯ
งานบายศรสี ูข่ วญั
ส่วนตัวอย่างเพลงพิธีกรรมของกลุ่มอีสานใต้ ได้แก่ เรือมมมว็ ต เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งของ
ชาวสุรินทร์ ซ่ึงมีความเช่ือมาแต่โบราณวา่ "เรือมมม็วต" จะช่วยใหค้ นทก่ี ำลงั เจบ็ ไข้ไดป้ ่วยมีอาการ
ทุเลาลงได้ ผ้เู ล่นไม่จำกัดจำนวน แต่จะต้องมีหัวหน้าหรือครูมม็วตอาวโุ สทำหน้าท่ีเป็นผู้นำพิธีต่าง
ๆ และเปน็ ผูร้ ำดาบไล่ฟนั ผหี รือเสนียดจัญไรทัง้ ปวง
เรอื มมม็อต
2. เพลงรอ้ งเพือ่ ความสนกุ สนาน
กลุ่มอีสานเหนือ ได้แก่ หมอลำ ซึ่งแบ่งได้ 5 ชนิด คือ หมอลำพื้นบ้าน หมอลำกลอน หมอ
ลำหมู่ หมอลำเพลิน หมอลำผีฟ้า
ลำพ้นื บ้าน ลำกลอน ลำเพลนิ ลำผีฟ้า ลำหมู่
กลุ่มอสี านใต้ ไดแ้ ก่ กันตรึม เจรียง เพลงโครา
กันตรึม
ทั้งนี้ ในปัจจุบนั สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ของภาคอีสานมักนิยมประดิษฐ์การฟ้อนรำขึ้นมา
ใหม่ ทำให้มีผู้แบ่งศิลปะการฟอ้ นทั้งชุดเก่า และชุดใหม่ที่ปรากฏอยูใ่ นภาคอีสานออกเป็น 8 กลุ่ม
ใหญ่ ซึ่งแต่ละกลุ่มจะออกมาในรปู ของการแสดงพ้ืนเมอื ง ได้แก่
1. การฟ้อนเลียนกริ ยิ าอาการของสัตว์ เช่น กระโนบติงตอ๊ ง แมงตบั เต่า และกบกินเดือน
ฯลฯ
2. การฟ้อนชุดโบราณคดี เช่น ระบำบ้านเชียง รำศรีโคตรบูรณ์ ระบำพนมรุ้ง และ
ระบำจัมปาศรี
3. การฟ้อนประกอบทำนองลำนำ เช่น ฟ้อนคอนสวรรค์ รำตังหวาย เซิ้งสาละวัน และ
เซง้ิ มหาชัย
4. การฟอ้ นชุดชุมนมุ เผา่ ภูไท 3 เผ่า คือ เผ่าไทภพู าน เผา่ ไทยบรุ รี ัมย์ และเผา่ ไทยโคราช
5. การฟอ้ นดว้ ยเร่อื งราวจากวรรณกรรม เชน่ มโนห์ราเลน่ น้ำ
6. การฟ้อนเซ่นสรวงบูชา เช่น ฟ้อนภูไท แสกเต้นสาก โส้ทั่งบั้ง เซิ้งผีหมอ ฟ้อนผี ฟ้า
ฟ้อนไทดำ เรือมปัลโจล ฟ้อนแถบลาน รำบายศรี เรือมมม็วต เซิ้งบั้งไฟ เซิ้งนางด้ง รำดึงครกดึง
สาก และเซง้ิ เซยี งข้อง ฯลฯ
7. การฟ้อนศิลปาชีพ เช่น รำตำหูกผูกขิก ฟ้อนทอเสื่อบ้านแพง เรือมกลอเตียล (ระบำ
เสื่อ) เซิ้งสาวย้อตำสาด รำปนั้ หมอ้ รำเข็นฝาย เซ้งิ สาวไหม รำแพรวา เซ้ิงข้าวป้นุ รำบ้านประโคก
เซ้งิ ปลาจอ่ ม เซง้ิ แหย่ไข่มดแดง และเรือมศรีผไทสมันต์ ฯลฯ
8. การฟอ้ นเพ่อื ความสนกุ สนานรน่ื เรงิ เชน่ เซิง้ แคน ฟอ้ นชดุ เลน่ สาว เป่าแคน รำโปงลาง
ฟ้อนกลองตุ้ม เซิ้งกะโป๋ เซิ้งทำนา เซิ้งสวิง เซิ้งกะหยัง รำโก๋ยมือ รำกลองยาวอีสาน ระบำโคราช
ประยุกต์ เรือมอนั เดร เรือมซนั ตรจู น์ เรอื มตลอก (ระบำกะลา) และเรือมจับกรบั ฯลฯ
อาหารประจำภาคอสี าน
ในปัจจุบัน อาหารจากภาคอีสาน ถือเป็นอาหารยอดนิยมที่แพร่หลายทั้งในประเทศ และ
ต่างประเทศ ซึ่งเมนูที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี ได้แก่ เมนูส้มตำ โดยเฉพาะส้มตำไทย ที่สามารถ
รับประทานไดท้ กุ ท่ี ทุกเวลา เน่อื งจากสม้ ตำมีสว่ นประกอบหลกั คอื ผกั และสามารถรับประทานคู่
กับ ข้าวเหนยี ว ขา้ วสวย ขนมจีน ไดต้ ามที่ต้องการ
นอกจากเมนูส้มตำแล้ว อาหารอีสานที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ได้แก่ ลาบ ก้อย ข้าว
เหนยี วไกย่ า่ ง ปลาร้าหลน ข้าวจ่ี ผัดหมี่โคราช แกงอ่อม แกงผกั หวานไข่มดแดง เป็นตน้
ตัวอย่างอาหารประจำภาคอสี าน
สม้ ตำ
ส้มตำ เป็นอาหารคาวของไทยอย่างหนึ่ง มีต้นกำเนิดไม่แน่ชัดโดยน่าจะมาจากภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ ของไทยและ ประเทศลาว ส่วนมากจะทำโดยนำมะละกอดิบที่ขูดเป็นเส้น
มาตำในครกกับ มะเขือเทศลูกเล็ก ถั่วลิสงคั่ว กุ้งแห้ง พริก และกระเทียม ปรุงรสด้วยน้ำตาลปีบ๊
น้ำปลา ปูดองหรือปลาร้า ให้มีรสเปรี้ยว เผ็ด และออกเค็มเล็กนอ้ ย นิยมกินกับข้าวเหนียวและไก่
ยา่ ง โดยมีผกั สด เชน่ กะหลำ่ ปลี หรือถว่ั ฝักยาวผักบุ้ง เป็นเคร่อื งเคยี ง
ลาบปลาดกุ
“ลาบ” เป็นอาหารประเภทหนึ่ง ที่ใชป้ ลาหรอื เน้ือดิบสับให้ละเอียด ผสมด้วยเคร่ืองปรุงมีพริก
ปลาร้า เป็นต้น ถ้าใส่เลือดวัวหรือเลือดหมู เรียกว่า “ลาบเลือด” ชาวอีสานทุกครัวเรือน มักนยิ ม
ทำอาหารประเภทลาบ ในงานบุญต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานบวชพระ งานศพ งานทำบุญข้ึน
บ้านใหม่ เป็นต้น
“ลาบปลาดุก” ก็เป็นอาหารประเภทหนึง่ ในบรรดาลาบทัง้ หมดที่ขึ้นชื่อของอาหารอสี าน และ
ทุกภาครู้จักกันดี เนื่องจากปลาดกุ เป็นปลานำ้ จืดท่ีหาได้ในท้องถิ่น มีรสมัน หวาน เป็นปลาที่ไม่มี
เกล็ด และกา้ งน้อย
แจว่ บอง
แจ่วหรือ น้ำพริก เป็นอาหารที่ชาวอีสานนิยมรับประทานกัน เพราะทำได้ง่ายมีเครื่องปรุงไม่
มากนัก แค่มีพริกและปลาร้าในครัวก็สามารถทำแจ่วได้แล้ว ด้วยความที่ทำได้ง่ายจึงจะพบว่า
อาหารของชาวอสี านเกอื บทุกมอื้ จะต้องมีแจ่วเป็นอาหารหลกั ๆนน่ อน ชาวอีสานนิยมรับประทาน
แจ่วกบั ผกั ท่เี ก็บได้จากรั้วบ้าน หรือกับพวกเนอ้ื ย่าง ปลาย่าง หรอื นง่ึ ปัจจุบันถึงแม้วิถีชีวิตของ
ชาวอีสานจะเปลี่ยนไปแต่อาหารต่างโดยเฉาะแจว่ ไม่ได้เสือ่ มความนิยมลงไปเลย เพราะเหตุนี้เรา
จึงหาทานแจว่ แบบอสี านได้ทั่วๆไป
ไสก้ รอกอีสาน
ไส้กรอกอีสาน เป็นอาหารที่นิยมกันอย่างแพร่หลายทำโดยนำเอาหมูบดมาผสมกับเกลือ
กระเทยี มสบั หยาบ เคล้ากับข้าเหนยี วน่ึง กรอกลงในไสห้ มู ผูกเป็นขอ้ ๆ แขวนผึ่งลมไว้ เมอ่ื หมักไว้
จะเกิดรสเปรี้ยว เนื่องจากเช้ือจุลินทรยี ์ยอ่ ยเนือ้ สัตว์ทำให้เกิดกรดแลกติก จึงเกิดรสเปรี้ยวขึน้ ย่ิง
ถ้าหมักไว้หลายวันจะเกิดรสเปรี้ยวมากยิ่งขึ้น ฉะนั้นเมื่อมีรสเปรี้ยวแล้วจึงควรเก็บไว้ในตู้เย็นไส้
กรอกอีสานทำให้สุกด้วยวิธีการทอดปิง้ คั่ว รับประทานกับถั่วทอด ต้นหอม พริกขี้หนูสด ขิงดอง
หรือพริกข้ีหนแู หง้ ทอด