ยุคนะระ ก่อนที่ชุดกิโมโนจะเป็นที่นิยม ชาวญี่ปุ่นมักแต่งชุดท่อนบนกับท่อนล่าง
เหมือนกันหรือไม่ก็เป็นผ้าชิ้นเดียวกัน
ยุคเฮอัง ซึ่งถือเป็นช่วงเริ่มต้นการใส่กิโมโน ชาวญี่ปุ่นพัฒนาเทคนิคการตัดชุด
เสื้อผ้าด้วยการตัดผ้าเป็นเส้นตรง เพื่อให้ง่ายต่อการสวมใส่ หยิบมาคลุมตัวได้
ทันที ทั้งยังเป็นชุดที่เหมาะกับทุกสภาพอากาศ สามารถเปลี่ยนเนื้อผ้าที่ตัดเย็บให้
เหมาะกับฤดูกาล ความสะดวกสบายนี้ทำให้ชุดกิโมโนแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว
โดยวงการแฟชั่นสมัยนั้น ผู้ตัดเย็บก็จะคิดหาวิธีที่ทำให้ชุดกิโมโนมีสีสัน ผสม
ผสานกันด้วยสีต่างๆให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและชนชั้นทางสังคมถือว่าเป็น
ช่วงที่ชุดพัฒนาในเรื่อง สี มากที่สุด
ยุคคะมะกุระ ทั้งผู้หญงิ และผู้ชายจะนิยมใส่ชุดกิโมโนที่สีสันแสบทรวง ยิ่งเป็น
นักรบจะต้องยิ่งใส่ชุดที่สีฉูดฉาดมากๆเพื่อแสดงถึงความเป็นผู้นำ
ยุคเอโดะ เป็นยุคที่โชกุนตระกูลโทะกุงะวะปกครองญี่ปุ่น โดยให้ขุนนางไป
ปกครองตามแคว้นต่างๆ นั้น ในช่วงนี้นักรบซามูไรแต่ละสำนักจะแต่งตัวแบ่งแยก
ตามกลุ่มของตัวเอง เรียกว่าเป็น "ชุดเครื่องแบบ" ชุดที่ใส่นี้ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน
คือ ชุดกิโมโน ชุดคามิชิโม ตัดเย็บด้วยผ้าลินินใส่คลุมชุดกิโมโนเพื่อให้ไหล่ดูตั้ง
และกางเกงขายาวที่ดูเหมือนกระโปงแยกชิ้น ชุดกิโมโนของซามูไรจำเป็นต้อง
เนี้ยบมาก ดังนั้นจึงเป็นช่วงที่พัฒนากิโมโนไปอีกขั้น จนเป็นผลงานศิลปะชิ้นหนึ่ง
ยุคเมจิ ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากต่างชาติมากขึ้น ชาวญี่ปุ่นเปลี่ยนมาใส่ชุดสากลใน
ชีวิตประจำวัน และจะใส่ชุดกิโมโนเมื่อถึงงานที่เป็นพิธีการเท่านั้น
‘’กิโมโน’’แปลตรงตัวได้ว่า “สิ่งที่ใช้สวมใส่” และยังแบ่งออกเป็นกิโมโนหลาย
ประเภทที่ใช้ต่างโอกาสกันไป
振袖1. ฟุริโซเดะ ( )
เริ่มต้นด้วย “ฟุริโซเดะ” ชุดกิโมโนแบบที่เป็นทางการมากที่สุด ส่วนใหญ่จะเป็นหญิง
สาวที่ยังไม่แต่งงานสวมใส่กัน มีจุดสังเกตที่แขนของชุดซึ่งยาวถึง 100 – 107 ซม. บ่อย
ครั้งที่ฟุริโซเดะจะมีลวดลายฉูดฉาดดูเตะตา
ในฟุริโซเดะยังมีแบ่งประเภทออกไปอีก แต่ละแบบจะมีความยาวของแขนชุดต่างกัน
โคะฟุริโซเดะ จะเป็นแบบแขนสั้น จูฟุริโซเดะ เป็นแบบแขนยาวระดับกลาง และโอฟุริโซ
大振袖เดะ มีแขนชุดยาวที่สุดจจนเกือบจรดพื้น
โอฟุริโซเดะ ( ) เป็นฟุริโซเดะแบบที่เราเห็นได้บ่อยที่สุด และยังเป็นทางการมาก
ที่สุดเช่นกัน มีการบุนวมในชุดซึ่งเพิ่มน้ำหนักและความทนทาน โดยปกติจะได้เห็นโอฟุ
ริโซเดะบนนักแสดงในงานพิธีการ หรือบนเจ้าสาวในงานแต่งงานในฐานะชุดกิโมโนที่
中振袖หรูหรา มากที่สุด ) กลายเป็นชุดที่นิยมในหมู่สาววัยรุ่น ต่างกับโอฟุริโซเดะตรงที่ไม่มี
จูฟุริโซเดะ (
小振袖การบุนวมด้านใน ทำให้มีน้ำหนักเบาและเย็นสบายกว่า
โคฟุริโซเดะ ( ) ฟุริโซเดะแขนสั้น ใส่คู่กับกางเกงแบบทางการหรือฮากามะก็ได้
เทียบกับแบบอื่นแล้วโคฟุริโซเดะจะไม่ค่อยเห็นได้ทั่วไปนัก นักเรียนหญิงในยุคเมจิมัก
จะใส่โคฟุริโซเดะกับฮากามะและรองเท้าบูท
引きずり2. ฮิคิซึริ ()
ฮิคิซึริเป็นชุดของเหล่าหญิงชนชั้นสูงก่อนจะเข้าสู่ยุคเมจิ ในปัจจุบันแทบจะไม่เห็น
ตามท้องถนนแล้วนอกจากในเกียวโตหรือในเขตอาซากุสะ “ฮิคิซึริ” หมายถึง
“กระโปรงต่อท้าย” หมายถึงการใส่กิโมโนให้ชายกระโปรงลากยาว เป็นชุดกิโมโนที่มี
ผ้าโบกพริ้วอย่างงามสง่า ฮิคิซึริต่างจากกิโมโนแบบอื่นตรงที่มักจะสวมใส่โดยเกอิชา
ไมโกะ หรือนักแสดงการเต้นระบำญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมเป็นหลัก ในโลกยุคปัจจุบันผู้
หญิงมีโอกาสออกจากบ้านมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดเป็นสไตล์การใส่กิโมโนในปัจจุบัน
ที่รวมถึงการพันผ้าอีกผืนรอบเอว
留袖3. โทเมโซเดะ ( )
โทเมโซเดะเป็นกิโมโนแบบทางการสำหรับผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ลวดลายจะอยู่ต่ำ
กว่าเอวลงไปโดยเฉพาะ มีดีไซน์ที่สวยงามและบางครั้งมีส่วนประกอบของทองด้วย
ในวัฒนธรรมตะวันตกกิโมโนแบบนี้จะเทียบเท่ากับชุดราตรีเลย บนชุดจะมีตรา
ประจำตระกูล 3 หรือ 5 จุด และมีแบบหลากสีสันหรือสีดำ โทเมโซเดะสีดำหรือที่
เรียกว่า “คุโระโทเมโซเดะ” จะสวมใส่โดยผู้หญิงแต่งงานแล้วเท่านั้น ส่วนโทเมโซ
เดะสีสันหรือที่เรียกว่า “อิโระโทเมโซเดะ” อาจสวมโดยหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานก็ได้
กิโมโนแบบทางการประเภทนี้มักจะเห็นได้ตามงานพิธีการอย่างงานแต่งงาน หรือ
พิธีชงชา เรียกว่าเป็นหนึ่งในกิโมโนที่สวยที่สุดก็ว่าได้
訪問着4. โฮมงกิ ()
โฮมงกิคืออะไร? ถ้าแปลตรงตัวจะแปลว่า “ชุดใส่ไปเยี่ยม” เป็นกิโมโนแบบกึ่งทางการ
ที่ใส่ได้ทั้งผู้หญิงที่แต่งงานแล้วและยังไม่ได้แต่งงาน โฮมงกิมีหลากสีสันและดีไซน์
ซึ่งเหมาะกับงานพิธีการหลายแบบ หรืองานเลี้ยงกึ่งทางการในบ้าน ลวดลายจะอยู่บน
ไหล่พาดไปถึงตะเข็บด้านหลัง รวมถึงบนแขนชุดและใต้เอว
ลวดลายแบบนี้ใช้เทคนิคที่เรียกว่า “เอบะ” ทำให้ลวดลายเหมือนภาพวาดขนาดใหญ่
ที่ครอบคลุมกิโมโนทั้งชุด แม้จะมีประวัติศาสตร์มายาวนานแล้ว แต่ก็นับเป็นกิโมโน
แนวใหม่เมื่อปรากฏในยุคไทโช
色無地5. อิโระมุจิ ()
อิโระมุจิเป็นกิโมโนที่มีสีพื้นและไร้ลวดลาย ความงดงามของอิโระมุจิคือความเรียบ
ง่าย ไม่ฉูดฉาดเกินไป ทำให้ไม่เป็นการรบกวนงานที่ค่อนข้างเป็นทางการ หรือไม่
สะดุดตาต่อแขกคนอื่นจนเกินงาม ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะสวมอิโระมุจิกันในงานเศร้า
โศกเท่านั้น เรามักจะได้เห็นอิโระมุจิตามงานเลี้ยงครอบครัวหรือพิธีจบการศึกษา หรือ
หากเป็นพิธีชงชาจะมีชุดอิโระมุจิสำหรับงานนี้โดยเฉพาะเลย ระดับความทางการจะ
ขึ้นอยู่กับตราประจำตระกูลบนชุด
小紋6. โคะมง ( )
คนญี่ปุ่นรู้จักโคะมงว่าเป็นกิโมโนแบบลำลอง เทียบกับกิโมโนแบบอื่นแล้วเราจะมี
โอกาสได้เห็นโคะมงค่อนข้างบ่อย มีลวดลายแบบแพทเทิร์นประกอบกับลายทางแนว
ตั้ง แม้โคะมงจะตัดเย็บมาอย่างงดงาม แต่ต้องจำไว้ว่าห้ามใส่ไปงานทางการทุกรูป
แบบ โดยปกติจะใส่กันเดินเล่นรอบเมือง หรืองานเลี้ยงฉลองเล็กๆ มากกว่า
ในอดีตชุดแบบนี้แหละที่ใส่กันทั่วไปมากที่สุดก่อนที่เสื้อผ้าตะวันตกจะเข้ามาแพร่
หลายในญี่ปุ่น ลองนึกภาพถนนที่เต็มไปด้วยชาวเมืองที่ใช้ชีวิตในชุดโคะมงคงน่ารัก
น่าดูเลย
浴衣7. ยูกาตะ ( )
กิโมโนผ้าฝ้ายที่มีน้ำหนักเบา หรือที่เรียกว่ายูกาตะนี้เหมาะที่สุดสำหรับฤดูร้อน เป็น
เหตุผลว่าทำไมเราถึงได้เห็นยูกาตะกันบ่อยๆ ในช่วงเทศกาลฤดูร้อนนั่นเอง คนญี่ปุ่น
จะมารวมตัวกันในงานเทศกาลท้องถิ่น หรือเทศกาลดอกไม้ไฟฤดูร้อนในชุดยูกาตะ
เป็นส่วนมากเสียด้วยซ้ำ ยูกาตะเป็นกิโมโนแบบลำลองที่ยอดนิยมที่สุดในหมู่กิโมโน
ทั้งหมด พูดได้ว่าถ้านึกถึงวัฒนธรรมญี่ปุ่น สิ่งหนึ่งที่หลายๆ คนนึกถึงคงเป็นชุดยูกา
ตะ ควบคู่มากับเทศกาลญี่ปุ่นด้วย เกตะ หรือรองเท้าไม้จะใส่คู่กับยูกาตะ มีโอบิพัน
รอบเอวในแบบเรียบง่าย วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะได้มีประสบการณ์สวมยูกาตะคือการไปพัก
ที่เรียวคังหรือออนเซ็นในญี่ปุ่น
白無垢8. ชิโระมุคุ ()
กิโมโนสำหรับเจ้าสาวในวันแต่งงานจะมีสีขาวบริสุทธิ์ ชื่ออย่างเป็นทางการของชุดนี้
เรียกว่า “ชิโระมุคุ” สีขาวของกิโมโนนี้ย้อนไปถึงยุคแห่งซามูไร ในสมัยนั้นผู้หญิงจะ
แสดงความอ่อนน้อมต่อครอบครัวที่เธอจะแต่งงานด้วย จึงใส่สีขาวที่สื่อว่าจะกลมกลืน
กับสีของครอบครัวเจ้าบ่าวได้อย่างราบรื่น จึงถือว่าชิโระมุคุนั้นมีความสัมพันธ์อย่างลึก
ซึ้งกับวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังส่งเสริมความงดงามของเจ้า
สาวในวันสุดพิเศษด้วย
: แบบสำหรับผู้ชาย
ชุดกิโมโนชายมีแบบหนึ่งชิ้นหรือสองชิ้นและฮากามะ(กางเกง) ส่วนชุดกิโมโนของผู้
หญิงมีทั้งแบบชิ้นเดียวและแบบสองชิ้นและฮากามะด้วย แต่การสวมฮากามะของผู้
หญิงนั้นหาได้ยากมากกิโมโนแบบสองชิ้นกับฮากามะนั้น ส่วนใหญ่นิยมใส่เมื่อพบปะ
ผู้คน หรืออกงานสำคัญ สำหรับชุดกิโมโนแบบผ้าชิ้นเดียว ยังเป็นที่นิยมใส่ในชีวิต
ประวัน และรวมถึงชุดยูกาตะ ซึ่งตอนนี้ผู้ชายญี่ปุ่นยังคงนิยมใส่ในงานฤดูร้อนเช่น
เทศกาลดอกไม้ไฟในญี่ปุ่นสิ่งที่สวมภายใต้ชุดกิโมโนชายโดยทั่วไปผู้ชายจะสวมชุด
ชั้นในและเสื้อคลุมรัดรูป (juban) อย่างไรก็ตามสามารถใส่เสื้อยืดหรือเสื้อกล้าม ฯลฯ
ได้โดยไม่ต้องหาซื้อเพิ่ม และอย่าสวมเสื้อข้างในที่อาจมองเห็นช่วงบริเวณคอ แขน
เสื้อหรือชายเสื้อกิโมโน นอกจากนี้ในอดีตยังมีการสวมผ้าเตี๋ยว(fundoshiแบบที่ซูโม่
ใส่กัน) แต่ในสมัยนี้มองไม่เห็นชุดภายในแล้วก็สามารถใส่ชุดธรรมดาได้ส่วนรองเท้า
ผู้ชายสวมโซริ (zori) หรือ เกตะ (geta) ซึ่งดูเหมือนรองเท้าแตะชายหาด โดยปกติ
แล้วโซริทำจากฟาง แต่ไม่จำเป็นต้องสวมถุงเท้าทาบิ ในทางกลับกันเกตะทำจากไม้
และต้องสวมถุงเท้าทาบิ
ใส่ถุงเท้าที่เรียกว่า ทาบิ (Tabi) ซึ่งเป็นถุงเท้าทรงสองนิ้ว ซึ่งพอ
แต่งเต็มยศแล้วจะก้มลงสวมถุงเท้าลำบาก จึงแนะนำให้สวม
ถุงเท้าก่อนเป็นอย่างแรก
สวมเสื้อตัวในซึ่งเป็นเสื้อตัวยาวเนื้อบาง จุดสำคัญคือต้องเอาชาย
เสื้อซ้ายทับขวา
สวมเสื้อที่เรียกว่า นากะจูบัง (Nakajuban) ควรจัดคอเสื้อให้ดี ให้
เห็นปกเสื้อประมาณ 1 นิ้วเมื่อสวมกิโมโนทับ
สวมกิโมโนทับ จากนั้นผูกเชือกที่ชื่อว่า โคชิฮิโมะ (Koshihimo)
เพื่อยึดให้ชุดอยู่กับที่
พันผ้าคาดเอวที่เรียกว่า โอบิ (Obi) ให้แน่น วิธีการผูกโอบิมีหลาย
แบบ แต่เนื่องจากวิธีผูกโอบิค่อนข้างซับซ้อน ปัจจุบันจึงมีโบ
สำเร็จรูปให้เสียบกับโอบิเลย
รองเท้าที่ใส่กับกิโมโนเรียกว่า เกตะ (Geta) หรือเกี๊ยะ
วัฒนธรรมญี่ปุ่นในการเเต่งกายชุดกิโมโนนั้นมีมานานมากเเล้ว
โดยในปัจจุบันนั้นจะใส่ชุดกิโมโนเเค่เนื่องในโอกาสสำคัญๆ เช่นพิธี
งานเเต่ง งานเลี้ยงฉลอง เพราะชุดมีราคาเเพงมากขึ้น จึงอยากให้ทุกๆ
คนได้ทราบถึงการเเต่งกายของประเทศญี่ปุ่น เเต่ในทุกๆประเทศนั้น
วัฒนธรรมต่างๆก็สำคัญเป็นอย่างมากเช่นกันเพราะฉะนั้นทุกคนควร
ตระถึงวัฒนธรรมของเเต่ละประเทศที่มีมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน