The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วัฒนธรรมการเเต่งกายชุดกิโมโน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kat_inphen, 2022-01-19 04:04:06

วัฒนธรรมการเเต่งกายชุดกิโมโน

วัฒนธรรมการเเต่งกายชุดกิโมโน

ยุคนะระ ก่อนที่ชุดกิโมโนจะเป็นที่นิยม ชาวญี่ปุ่นมักแต่งชุดท่อนบนกับท่อนล่าง

เหมือนกันหรือไม่ก็เป็นผ้าชิ้นเดียวกัน

ยุคเฮอัง ซึ่งถือเป็นช่วงเริ่มต้นการใส่กิโมโน ชาวญี่ปุ่นพัฒนาเทคนิคการตัดชุด

เสื้อผ้าด้วยการตัดผ้าเป็นเส้นตรง เพื่อให้ง่ายต่อการสวมใส่ หยิบมาคลุมตัวได้

ทันที ทั้งยังเป็นชุดที่เหมาะกับทุกสภาพอากาศ สามารถเปลี่ยนเนื้อผ้าที่ตัดเย็บให้

เหมาะกับฤดูกาล ความสะดวกสบายนี้ทำให้ชุดกิโมโนแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว

โดยวงการแฟชั่นสมัยนั้น ผู้ตัดเย็บก็จะคิดหาวิธีที่ทำให้ชุดกิโมโนมีสีสัน ผสม

ผสานกันด้วยสีต่างๆให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและชนชั้นทางสังคมถือว่าเป็น

ช่วงที่ชุดพัฒนาในเรื่อง สี มากที่สุด

ยุคคะมะกุระ ทั้งผู้หญงิ และผู้ชายจะนิยมใส่ชุดกิโมโนที่สีสันแสบทรวง ยิ่งเป็น

นักรบจะต้องยิ่งใส่ชุดที่สีฉูดฉาดมากๆเพื่อแสดงถึงความเป็นผู้นำ

ยุคเอโดะ เป็นยุคที่โชกุนตระกูลโทะกุงะวะปกครองญี่ปุ่น โดยให้ขุนนางไป

ปกครองตามแคว้นต่างๆ นั้น ในช่วงนี้นักรบซามูไรแต่ละสำนักจะแต่งตัวแบ่งแยก

ตามกลุ่มของตัวเอง เรียกว่าเป็น "ชุดเครื่องแบบ" ชุดที่ใส่นี้ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน

คือ ชุดกิโมโน ชุดคามิชิโม ตัดเย็บด้วยผ้าลินินใส่คลุมชุดกิโมโนเพื่อให้ไหล่ดูตั้ง

และกางเกงขายาวที่ดูเหมือนกระโปงแยกชิ้น ชุดกิโมโนของซามูไรจำเป็นต้อง

เนี้ยบมาก ดังนั้นจึงเป็นช่วงที่พัฒนากิโมโนไปอีกขั้น จนเป็นผลงานศิลปะชิ้นหนึ่ง

ยุคเมจิ ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากต่างชาติมากขึ้น ชาวญี่ปุ่นเปลี่ยนมาใส่ชุดสากลใน

ชีวิตประจำวัน และจะใส่ชุดกิโมโนเมื่อถึงงานที่เป็นพิธีการเท่านั้น

‘’กิโมโน’’แปลตรงตัวได้ว่า “สิ่งที่ใช้สวมใส่” และยังแบ่งออกเป็นกิโมโนหลาย

ประเภทที่ใช้ต่างโอกาสกันไป

振袖1. ฟุริโซเดะ ( )
เริ่มต้นด้วย “ฟุริโซเดะ” ชุดกิโมโนแบบที่เป็นทางการมากที่สุด ส่วนใหญ่จะเป็นหญิง


สาวที่ยังไม่แต่งงานสวมใส่กัน มีจุดสังเกตที่แขนของชุดซึ่งยาวถึง 100 – 107 ซม. บ่อย


ครั้งที่ฟุริโซเดะจะมีลวดลายฉูดฉาดดูเตะตา

ในฟุริโซเดะยังมีแบ่งประเภทออกไปอีก แต่ละแบบจะมีความยาวของแขนชุดต่างกัน


โคะฟุริโซเดะ จะเป็นแบบแขนสั้น จูฟุริโซเดะ เป็นแบบแขนยาวระดับกลาง และโอฟุริโซ


大振袖เดะ มีแขนชุดยาวที่สุดจจนเกือบจรดพื้น
โอฟุริโซเดะ ( ) เป็นฟุริโซเดะแบบที่เราเห็นได้บ่อยที่สุด และยังเป็นทางการมาก


ที่สุดเช่นกัน มีการบุนวมในชุดซึ่งเพิ่มน้ำหนักและความทนทาน โดยปกติจะได้เห็นโอฟุ


ริโซเดะบนนักแสดงในงานพิธีการ หรือบนเจ้าสาวในงานแต่งงานในฐานะชุดกิโมโนที่


中振袖หรูหรา มากที่สุด ) กลายเป็นชุดที่นิยมในหมู่สาววัยรุ่น ต่างกับโอฟุริโซเดะตรงที่ไม่มี

จูฟุริโซเดะ (

小振袖การบุนวมด้านใน ทำให้มีน้ำหนักเบาและเย็นสบายกว่า
โคฟุริโซเดะ ( ) ฟุริโซเดะแขนสั้น ใส่คู่กับกางเกงแบบทางการหรือฮากามะก็ได้


เทียบกับแบบอื่นแล้วโคฟุริโซเดะจะไม่ค่อยเห็นได้ทั่วไปนัก นักเรียนหญิงในยุคเมจิมัก


จะใส่โคฟุริโซเดะกับฮากามะและรองเท้าบูท

引きずり2. ฮิคิซึริ ()

ฮิคิซึริเป็นชุดของเหล่าหญิงชนชั้นสูงก่อนจะเข้าสู่ยุคเมจิ ในปัจจุบันแทบจะไม่เห็น


ตามท้องถนนแล้วนอกจากในเกียวโตหรือในเขตอาซากุสะ “ฮิคิซึริ” หมายถึง


“กระโปรงต่อท้าย” หมายถึงการใส่กิโมโนให้ชายกระโปรงลากยาว เป็นชุดกิโมโนที่มี


ผ้าโบกพริ้วอย่างงามสง่า ฮิคิซึริต่างจากกิโมโนแบบอื่นตรงที่มักจะสวมใส่โดยเกอิชา


ไมโกะ หรือนักแสดงการเต้นระบำญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมเป็นหลัก ในโลกยุคปัจจุบันผู้


หญิงมีโอกาสออกจากบ้านมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดเป็นสไตล์การใส่กิโมโนในปัจจุบัน


ที่รวมถึงการพันผ้าอีกผืนรอบเอว




留袖3. โทเมโซเดะ ( )

โทเมโซเดะเป็นกิโมโนแบบทางการสำหรับผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ลวดลายจะอยู่ต่ำ

กว่าเอวลงไปโดยเฉพาะ มีดีไซน์ที่สวยงามและบางครั้งมีส่วนประกอบของทองด้วย

ในวัฒนธรรมตะวันตกกิโมโนแบบนี้จะเทียบเท่ากับชุดราตรีเลย บนชุดจะมีตรา

ประจำตระกูล 3 หรือ 5 จุด และมีแบบหลากสีสันหรือสีดำ โทเมโซเดะสีดำหรือที่

เรียกว่า “คุโระโทเมโซเดะ” จะสวมใส่โดยผู้หญิงแต่งงานแล้วเท่านั้น ส่วนโทเมโซ

เดะสีสันหรือที่เรียกว่า “อิโระโทเมโซเดะ” อาจสวมโดยหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานก็ได้

กิโมโนแบบทางการประเภทนี้มักจะเห็นได้ตามงานพิธีการอย่างงานแต่งงาน หรือ

พิธีชงชา เรียกว่าเป็นหนึ่งในกิโมโนที่สวยที่สุดก็ว่าได้

訪問着4. โฮมงกิ ()

โฮมงกิคืออะไร? ถ้าแปลตรงตัวจะแปลว่า “ชุดใส่ไปเยี่ยม” เป็นกิโมโนแบบกึ่งทางการ


ที่ใส่ได้ทั้งผู้หญิงที่แต่งงานแล้วและยังไม่ได้แต่งงาน โฮมงกิมีหลากสีสันและดีไซน์


ซึ่งเหมาะกับงานพิธีการหลายแบบ หรืองานเลี้ยงกึ่งทางการในบ้าน ลวดลายจะอยู่บน

ไหล่พาดไปถึงตะเข็บด้านหลัง รวมถึงบนแขนชุดและใต้เอว

ลวดลายแบบนี้ใช้เทคนิคที่เรียกว่า “เอบะ” ทำให้ลวดลายเหมือนภาพวาดขนาดใหญ่


ที่ครอบคลุมกิโมโนทั้งชุด แม้จะมีประวัติศาสตร์มายาวนานแล้ว แต่ก็นับเป็นกิโมโน


แนวใหม่เมื่อปรากฏในยุคไทโช

色無地5. อิโระมุจิ ()

อิโระมุจิเป็นกิโมโนที่มีสีพื้นและไร้ลวดลาย ความงดงามของอิโระมุจิคือความเรียบ


ง่าย ไม่ฉูดฉาดเกินไป ทำให้ไม่เป็นการรบกวนงานที่ค่อนข้างเป็นทางการ หรือไม่


สะดุดตาต่อแขกคนอื่นจนเกินงาม ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะสวมอิโระมุจิกันในงานเศร้า


โศกเท่านั้น เรามักจะได้เห็นอิโระมุจิตามงานเลี้ยงครอบครัวหรือพิธีจบการศึกษา หรือ

หากเป็นพิธีชงชาจะมีชุดอิโระมุจิสำหรับงานนี้โดยเฉพาะเลย ระดับความทางการจะ


ขึ้นอยู่กับตราประจำตระกูลบนชุด

小紋6. โคะมง ( )

คนญี่ปุ่นรู้จักโคะมงว่าเป็นกิโมโนแบบลำลอง เทียบกับกิโมโนแบบอื่นแล้วเราจะมี

โอกาสได้เห็นโคะมงค่อนข้างบ่อย มีลวดลายแบบแพทเทิร์นประกอบกับลายทางแนว

ตั้ง แม้โคะมงจะตัดเย็บมาอย่างงดงาม แต่ต้องจำไว้ว่าห้ามใส่ไปงานทางการทุกรูป

แบบ โดยปกติจะใส่กันเดินเล่นรอบเมือง หรืองานเลี้ยงฉลองเล็กๆ มากกว่า
ในอดีตชุดแบบนี้แหละที่ใส่กันทั่วไปมากที่สุดก่อนที่เสื้อผ้าตะวันตกจะเข้ามาแพร่

หลายในญี่ปุ่น ลองนึกภาพถนนที่เต็มไปด้วยชาวเมืองที่ใช้ชีวิตในชุดโคะมงคงน่ารัก

น่าดูเลย




浴衣7. ยูกาตะ ( )

กิโมโนผ้าฝ้ายที่มีน้ำหนักเบา หรือที่เรียกว่ายูกาตะนี้เหมาะที่สุดสำหรับฤดูร้อน เป็น

เหตุผลว่าทำไมเราถึงได้เห็นยูกาตะกันบ่อยๆ ในช่วงเทศกาลฤดูร้อนนั่นเอง คนญี่ปุ่น

จะมารวมตัวกันในงานเทศกาลท้องถิ่น หรือเทศกาลดอกไม้ไฟฤดูร้อนในชุดยูกาตะ

เป็นส่วนมากเสียด้วยซ้ำ ยูกาตะเป็นกิโมโนแบบลำลองที่ยอดนิยมที่สุดในหมู่กิโมโน

ทั้งหมด พูดได้ว่าถ้านึกถึงวัฒนธรรมญี่ปุ่น สิ่งหนึ่งที่หลายๆ คนนึกถึงคงเป็นชุดยูกา

ตะ ควบคู่มากับเทศกาลญี่ปุ่นด้วย เกตะ หรือรองเท้าไม้จะใส่คู่กับยูกาตะ มีโอบิพัน

รอบเอวในแบบเรียบง่าย วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะได้มีประสบการณ์สวมยูกาตะคือการไปพัก

ที่เรียวคังหรือออนเซ็นในญี่ปุ่น

白無垢8. ชิโระมุคุ ()

กิโมโนสำหรับเจ้าสาวในวันแต่งงานจะมีสีขาวบริสุทธิ์ ชื่ออย่างเป็นทางการของชุดนี้


เรียกว่า “ชิโระมุคุ” สีขาวของกิโมโนนี้ย้อนไปถึงยุคแห่งซามูไร ในสมัยนั้นผู้หญิงจะ


แสดงความอ่อนน้อมต่อครอบครัวที่เธอจะแต่งงานด้วย จึงใส่สีขาวที่สื่อว่าจะกลมกลืน


กับสีของครอบครัวเจ้าบ่าวได้อย่างราบรื่น จึงถือว่าชิโระมุคุนั้นมีความสัมพันธ์อย่างลึก


ซึ้งกับวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังส่งเสริมความงดงามของเจ้า


สาวในวันสุดพิเศษด้วย

: แบบสำหรับผู้ชาย

ชุดกิโมโนชายมีแบบหนึ่งชิ้นหรือสองชิ้นและฮากามะ(กางเกง) ส่วนชุดกิโมโนของผู้

หญิงมีทั้งแบบชิ้นเดียวและแบบสองชิ้นและฮากามะด้วย แต่การสวมฮากามะของผู้

หญิงนั้นหาได้ยากมากกิโมโนแบบสองชิ้นกับฮากามะนั้น ส่วนใหญ่นิยมใส่เมื่อพบปะ

ผู้คน หรืออกงานสำคัญ สำหรับชุดกิโมโนแบบผ้าชิ้นเดียว ยังเป็นที่นิยมใส่ในชีวิต

ประวัน และรวมถึงชุดยูกาตะ ซึ่งตอนนี้ผู้ชายญี่ปุ่นยังคงนิยมใส่ในงานฤดูร้อนเช่น

เทศกาลดอกไม้ไฟในญี่ปุ่นสิ่งที่สวมภายใต้ชุดกิโมโนชายโดยทั่วไปผู้ชายจะสวมชุด

ชั้นในและเสื้อคลุมรัดรูป (juban) อย่างไรก็ตามสามารถใส่เสื้อยืดหรือเสื้อกล้าม ฯลฯ

ได้โดยไม่ต้องหาซื้อเพิ่ม และอย่าสวมเสื้อข้างในที่อาจมองเห็นช่วงบริเวณคอ แขน

เสื้อหรือชายเสื้อกิโมโน นอกจากนี้ในอดีตยังมีการสวมผ้าเตี๋ยว(fundoshiแบบที่ซูโม่

ใส่กัน) แต่ในสมัยนี้มองไม่เห็นชุดภายในแล้วก็สามารถใส่ชุดธรรมดาได้ส่วนรองเท้า

ผู้ชายสวมโซริ (zori) หรือ เกตะ (geta) ซึ่งดูเหมือนรองเท้าแตะชายหาด โดยปกติ

แล้วโซริทำจากฟาง แต่ไม่จำเป็นต้องสวมถุงเท้าทาบิ ในทางกลับกันเกตะทำจากไม้

และต้องสวมถุงเท้าทาบิ

ใส่ถุงเท้าที่เรียกว่า ทาบิ (Tabi) ซึ่งเป็นถุงเท้าทรงสองนิ้ว ซึ่งพอ

แต่งเต็มยศแล้วจะก้มลงสวมถุงเท้าลำบาก จึงแนะนำให้สวม

ถุงเท้าก่อนเป็นอย่างแรก
สวมเสื้อตัวในซึ่งเป็นเสื้อตัวยาวเนื้อบาง จุดสำคัญคือต้องเอาชาย

เสื้อซ้ายทับขวา
สวมเสื้อที่เรียกว่า นากะจูบัง (Nakajuban) ควรจัดคอเสื้อให้ดี ให้

เห็นปกเสื้อประมาณ 1 นิ้วเมื่อสวมกิโมโนทับ
สวมกิโมโนทับ จากนั้นผูกเชือกที่ชื่อว่า โคชิฮิโมะ (Koshihimo)

เพื่อยึดให้ชุดอยู่กับที่
พันผ้าคาดเอวที่เรียกว่า โอบิ (Obi) ให้แน่น วิธีการผูกโอบิมีหลาย

แบบ แต่เนื่องจากวิธีผูกโอบิค่อนข้างซับซ้อน ปัจจุบันจึงมีโบ

สำเร็จรูปให้เสียบกับโอบิเลย
รองเท้าที่ใส่กับกิโมโนเรียกว่า เกตะ (Geta) หรือเกี๊ยะ

วัฒนธรรมญี่ปุ่นในการเเต่งกายชุดกิโมโนนั้นมีมานานมากเเล้ว

โดยในปัจจุบันนั้นจะใส่ชุดกิโมโนเเค่เนื่องในโอกาสสำคัญๆ เช่นพิธี

งานเเต่ง งานเลี้ยงฉลอง เพราะชุดมีราคาเเพงมากขึ้น จึงอยากให้ทุกๆ

คนได้ทราบถึงการเเต่งกายของประเทศญี่ปุ่น เเต่ในทุกๆประเทศนั้น

วัฒนธรรมต่างๆก็สำคัญเป็นอย่างมากเช่นกันเพราะฉะนั้นทุกคนควร

ตระถึงวัฒนธรรมของเเต่ละประเทศที่มีมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน


Click to View FlipBook Version