The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

E-book ค่าวฮ่ำ
ล้านนา ความเป็นมาดอยสะเก็น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by papit.dear, 2022-05-25 23:16:12

E-book ค่าวฮ่ำล้านนา ความเป็นมาดอยสะเก็น

E-book ค่าวฮ่ำ
ล้านนา ความเป็นมาดอยสะเก็น

Keywords: ภาษาไทย,ดอยสะเก็น

ค่าวฮ่ำล้านนา

ความเป็นมาดอยสะเก็น

คำนำ

หนังสือฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นสื่อในการเผยแพร่โครงงาน
ภาษาไทย เรื่อง ค่าวฮ่ำล้านนา ความเป็นมาดอยสะเก็น ของนักเรียนโรงเรียน
เทศบาล ๖ นครเชียงราย ปีการศึกษา ๒๕๖๕

หนังสือฉบับมีเนื้อหาประกอบด้วย ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวคำประพันธ์
ประเภทค่าวฮ่ำ ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับชุมชนดอยสะเก็น เอกสารปฐมภูมิ คือ
ภาพถ่ายเอกสารบันทึกเรื่องความเป็นดอยสะเก็นของชาวบ้านในชุมชน
และเนื้อหาที่แปลจากเอกสารต้นฉบับเป็นภาษาไทยมาตรฐาน

คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือฉบับนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่
ได้ศึกษา ทั้งด้านความรู้และความบันเทิง

นางสาวปพิชญา สิทธิสาร
นางสาวจรีรัตน์ ธรรมสอน
นางสาวพัทธมน ณ เชียงใหม่

คณะผู้จัดทำ

-ก-

สารบัญ หน้า

เรื่อง ๑-๙
๑๐ - ๓๓
ข้อมูลทั่วไปของค่าว ๓๔ - ๔๘
ข้อมูลปฐมภูมิ
ถอดความเนื้อหาเป็นภาษาไทยมาตรฐาน

-ข-

ข้อมูลทั่วไปของค่าว

-๑-

“ค่าว” เป็นชื่อของลักษณะ
การเรียบเรียงถ้อยคำที่เป็นระเบียบ
เหมือนห่วงโซ่ คือ มีสัมผัสคล้องจองกันไป
ทางภาคเหนือเรียกเชือกเส้นโตๆ
ว่า "ค่าว" หรือ "เชือกค่าว" เพราะลักษณะเป็นค่าวเป็น
เครือต่อเนื่องกันลักษณคล้ายกลอนแปดของภาคกลาง ทั้ง
ในด้านสัมผัสและลีลากลอน

ค่าวถือเป็นวรรณกรรมของล้านนาอีกแบบหนึ่ง
ซึ่งต่อมาเมื่อการพิมพ์เจริญขึ้นจึงมีการพิมพ์
ต้นฉบับวรรณกรรมเหล่านั้นไว้เป็นหลักฐาน
โรงพิมพ์ที่พิมพ์ค่าวเรื่องไว้มาก
ได้แก่โรงพิมพ์เจริญเมือง

ของนายเมืองใจ ชัยนิลพันธ์ (เลิกกิจการไปเล้ว)
เดิมทีพิมพ์เป็นอักษรล้านนา กระทั่งคนอ่านอักษรมีน้อยลง

จึงพิมพ์เป็นอักษรไทยกลางสำเนียงล้านนา
ปัจจจุบันร้านประเทืองวิทยาในตลาดนวรัฐ อำเภอเมืองเชียงใหม่

ได้สืบทอดการพิมพ์วรรณกรรมล้านนาเผยแพร่ต่อมา



-๒-

พลวัตของค่าว



ค่าวเป็นชื่อฉันทลักษณ์
ประเภทหนึ่งของล้านนา
เป็นลักษณะการร้อยกรอง
ถ้อยคำให้รวมกันอย่างมีระเบียบ
ตามหลักเกณฑ์หรือวิธีการแต่ง
แห่งคำประพันธ์ ประเภทค่าวการ
เรียงร้อยถ้อยคำให้เป็นระเบียบ
เหมือนห่วงโซ่คือมีสัมผัส
คล้องจองกันไปนี้ศาสตราจารย์
เกียรติคุณมณี พยอมยงค์
จึงเปรียบการส่งสัมผัสของคำ
ประพันธ์ประเภทค่าวว่าเหมือน
เชือกค่าว

-๓-

คำประพันธ์ประเภทค่าว
นี้เกิดขึ้นเมื่อใดยังไม่สามารถ
หาหลักฐานระบุได้แน่นอน แต่
สันนิษฐานว่าน่าจะแต่งขึ้นใน
ช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ.
๒๓๐๐-๒๔๗๐ เพราะเป็นช่วง
ที่บ้านเมืองพ้นจากอำนาจการ
ปกครองของพม่า วัฒนธรรม
หลายอย่างรวมทั้งวรรณกรรมจึง
ได้รับการฟื้ นฟูขึ้น เพื่อให้เห็น
ลักษณะและพลวัตของค่าว
ผู้เขียนจะกล่าวถึงค่าวมุขปาฐะ
อันเป็นจุดเริ่ม และพัฒนามา
เป็นค่าวลายลักษณ์ดังนี้

-๔-

๑) ค่าวมุขปาฐะ นอกจากนี้ชาวล้านนายังนำ
“ค่าวก้อม” ที่มีเนื้อหาสั้นมาใส่
ในอดีต ฉันทลักษณ์ประเภทค่าวถูกนำ ท่วงทำนองร้องซ้ำบทไปมาเรียกว่า
มาใช้ในชีวิตประจำวันในรูปแบบมุขปาฐะ “ค่าวว้อง” หากขับขานทำนอง
ได้แก่ “ค่าวก้อม” และ “คำค่าวคำเครือ” ส่วน คร่ำครวญแสดงความรักของชาย
“ค่าวใช้ ค่าวร่ำ ค่าวธัมม์” มักปรากฏเป็นลาย หนุ่มที่มีต่อหญิงสาว ก็จะเรียกว่า
ลักษณ์อักษร ทั้งนี้เพราะผู้ที่แต่งค่าวเหล่านี้ “จ๊อย” จะเห็นได้ว่า “ค่าวก้อม” ของ
ได้ต้องเป็นผู้ที่อ่านออกเขียนได้ นอกเหนือ ชาวล้านนา สามารถปรับเปลี่ยน
จากความสามารถด้านโวหารกวี อันเป็นสิ่ง บทบาทได้หลายลักษณะอาจใช้
จำเป็นสำหรับผู้ชื่นชอบการแต่งค่าว เป็นภาษิตคำสอนก็ได้หรือใช้ขับ
ขานเป็นท่วงทำนองเพื่อความ
สนุกสนานก็ได้เช่นกัน “ค่าวก้อม”
เหล่านี้ใช้การจดจำสืบทอดกันรุ่น
ต่อรุ่น ผนวกกับวัฒนธรรมการอู้
บ่าวอู้สาวของชาวล้านนาในอดีต

จึงทำให้“ค่าวก้อม”ซึ่งเป็น
ภูมิปัญญาของชาวล้านนาดำรงอยู่
ได้ในอดีตกาล

-๕-

๒) ค่าวลายลักษณ์

วรรณกรรมค่าวลายลักษณ์ที่เป็นข้อมูลสำคัญทางประวัติศาสตร์จากการ
สำรวจพบว่า วรรณกรรมค่าวลายลักษณ์ที่เก่าสุดที่มีต้นฉบับเหลือถึงทุกวันนี้ คือ
พม่ารบไทย แต่งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๒ ถัดมาเป็น คร่าวเชียงแสนแตก ไม่ปรากฏ
ปีที่แต่ง แต่น่าจะหลังจากปี พ.ศ. ๒๓๔๖ ไม่นาน โดยพิจารณาจากเนื้อหาที่กล่าวถึง
สงครามระหว่างไทยกับพม่า ซึ่งในครั้งนั้นทัพไทยกับล้านนาสามารถขับไล่พม่า
ออกไปจากภาคเหนือได้เป็นผลสำเร็จ ส่วนพลเมืองเชียงแสนก็ถูกกวาดต้อนไปอยู่
ตามที่ต่าง ๆ

หลักฐานเกี่ยวกับค่าวปรากฏชัดเจนอีก
ครั้งเมื่อประมาณปีพ.ศ. ๒๓๗๐-๒๓๘๐
พระยาพรหมโวหารได้แต่งค่าวเล่าความรู้สึก
ของตนถึงภรรยา ด้วยความไพเราะของบท
ทำให้มีการคัดลอกและท่องจำกันมาจนกลาย
เป็นวรรณกรรมที่แพร่หลาย ปัจจุบันเรียก
วรรณกรรมเรื่องนี้ว่า ค่าวสี่บท หรือ ค่าวร่ำนาง
ชม หรือ ค่าวร่ำนางสรีชม

-๖-

วรรณกรรมค่าวลายลักษณ์เรื่อง ค่าวซอหงส์
ผาคำ เป็นเรื่องสำคัญที่เป็นจุดเปลี่ยนในวงวรรณกรรม
ล้านนา กล่าวคือ พระยาโลมาวิสัย แต่งโคลงเรื่องหงส์ผาคำ
ราว พ.ศ. ๒๓๙๖ จากนั้นจึงแต่งค่าวเรื่อง"หงส์ผาคำ"
จบเมื่อปีพ.ศ. ๒๔๐๐

เนื่องจากฉันทลักษณ์ประเภทค่าวมีลักษณะใกล้เคียงกับกลอนของ
ภาคกลาง และไม่ซับซ้อนเหมือนโคลง จึงทำให้ชาวบ้านนิยมแต่งกันมากขึ้น

ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีการพิมพ์เข้ามามีบทบาทมากขึ้น
ความนิยมในการเล่าค่าวก็แปรเปลี่ยนมาเป็นการอ่าน
ค่าวซึ่งพิมพ์เผยแพร่เป็นหนังสือค่าวซอเรื่องธรรม (ค่าว
ที่นำเนื้อหามาจากชาดก) พบค่าวซอเรื่องต่างๆ ที่นำมา
พิมพ์ประมาณ พ.ศ. ๒๔๗๔ อาทิ เรื่อง นกกระจาบ
สุวรรณ
เมฆะ, อุทธลา, จำปาสี่ต้น, บัวระวงศ์หงส์อำมาตย์, วรรณ
พราหมณ์, วงศ์สวรรค์, สุทธนู, จันต๊ะคา เป็นต้น

-๗-

ฉันทลักษณ์การแต่งค่าว

-๘-

บัญญัติ

๑. บทขึ้นตัน มี ๑๑ วรรค วรรคแรก ๓ คำ วรรคต่อไป ๔ คำ มีคำส่งท้ายอีก ๒ คำ
รวมเป็น ๔๕ คำ นอกจากนี้ยังอาจจะลดจำนวนคำได้ในจุดที่บังคับไว้ในแผนผัง
บทขึ้นต้นนี้ใช้แต่งเมื่อขึ้นต้นเรื่อง เป็นการอารัมภบท และไหว้ครู และขึ้นต้นบทใหม่

๒. บทที่ ๒ มี ๑๐ วรรค มีคำเสริมอีก ๒ แห่ง แห่งละ ๒ คำ รวมเป็น ๔๔ คำ
ยังอาจจะลดจำนวนคำได้ตามแผนผัง บทนี้ใช้แต่งบรรยายเนื้อเรื่องจนจบเรื่อง แผนผังนี้
ใช้มากที่สุด

๓. บทส่งท้าย มี ๗ วรรคและมีคำเสริมอีก ๒ แห่ง แห่งละ ๒ คำ รวมเป็น ๓๒ คำ
ยังอาจจะลดจำนวนคำตามแผนผังได้ บทส่งท้ายใช้แต่งตอนจบค่าว และจบบทหนึ่งมีวิธี
ใช้เหมือนบทขึ้นต้น

๔. สำหรับการส่งสัมผัส ค่าวมีสัมผัสเช่นเดียวกับกลอนสุภาพ คือ มีทั้งสัมผัสใน
และสัมผัสนอก รวมทั้งสัมผัสระหว่างบท เป็นไปตามแผนผังที่ได้แสดงไว้แล้ว สัมผัส
บังคับนั้น คือสัมผัสนอกและสัมผัสระหว่างบท ส่วนสัมผัสในวรรคเป็นสัมผัส
ที่อาจจะมี หรือไม่มีก็ได้ หากเพิ่มสัมผัสได้ครบถ้วนดังแผนผังนี้แล้วก็จะทำให้ค่าว
บทนั้นไพเราะสละสลวยยิ่งขึ้น เพราะแผนผังนี้ คำคง สุรวงศ์ จัดทำชั้นโดยอาศัยจากผล
งานกวีนิพนธ์ของพระยาพรหม กวีล้านนาผู้เป็นบรมครูของค่าวเป็นหลัก

๕. การกำหนดคำ เอก โท และตรี เป็นไปตามแผนผังที่แสดงไว้ มีบางแห่งที่เสียง
โท และเสียงตรี อาจจะใช้แทนกันได้




- ๙
-

ข้อมูลปฐมภูมิ

- ๑๐ -

บทที่



หน้าที่



- ๑๑ -

บทที่



หน้าที่



- ๑๒ -

บทที่



หน้าที่



- ๑๓ -

บทที่



หน้าที่



- ๑๔ -

บทที่



หน้าที่



- ๑๕ -

บทที่



หน้าที่



- ๑๖ -

บทที่



หน้าที่



- ๑๗ -

บทที่



หน้าที่



- ๑๘ -

บทที่



หน้าที่



- ๑๙ -

บทที่



หน้าที่

๑๐

- ๒๐ -

บทที่



หน้าที่

๑๑

- ๒๑ -

บทที่



หน้าที่

๑๒

- ๒๒ -

บทที่



หน้าที่

๑๓

- ๒๓ -

บทที่



หน้าที่

๑๔

- ๒๔ -

บทที่



หน้าที่

๑๕

- ๒๕ -

บทที่



หน้าที่

๑๖

- ๒๖ -

บทที่



หน้าที่

๑๗

- ๒๗ -

บทที่



หน้าที่

๑๘

- ๒๘ -

บทที่



หน้าที่

๑๙

- ๒๙ -

บทที่



หน้าที่

๒๐

- ๓๐ -

บทที่



หน้าที่

๒๑

- ๓๑ -

บทที่



หน้าที่

๒๒

- ๓๒ -

บทที่



หน้าที่

๒๓

- ๓๓ -

เป็น ถภอาดษคาวไาทมยเมนื้าอตหรา ฐาน

- ๓๔ -

บทที่ ๑

ขอสักการะบูชา พระมหาธาตุเจดีย์ ที่เป็นดั่งดวงประทีบที่ส่องแสง
ในอดีตกาล ชาวบ้านได้ก่อสร้างองค์พระธาตุเจดีย์ที่งดงาม บนดอย
สะเก็นแห่งนี้ ข้าพเจ้าจะขอกล่าวบรรยายหากผิดพลาดประการใด
ขออภัยและโปรดยกโทษให้ข้าพเจ้าด้วย และขอกราบไหว้บูชาองค์พระ
ยอดสร้อย และครูบาอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูง ตามคำเล่าขาน
ว่า ดอยแห่งนี้มีลักษณะเป็นหินดินแดง แต่เดิมชาวบ้านเรียกดอยแห่งนี้
ว่า “ดอยลั๊วะเก็น” เป็นเมืองโบราณ ผ่านการเปลี่ยนเจ้าผู้ครองเมือง
หลายองค์ ในสมัยเจ้าคำผิวเหลือง บ้านเมืองยังเป็นผืนป่าที่กว้าง
แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนก่อตั้ง ไม่มีตำนานกล่าวไว้ เมื่อครั้งข้าพเจ้าเป็น
เด็กน้อยซุกซน ได้เห็นป่าไม้ชุกชุม เขากะได้เปลี่ยนชื่อ มาเป็น
“ดอยตะเคียน” ทึบเต็มดอย พอตกตอนเย็นไม่มีใครกล้าเข้าไป
แม้แต่ต้นกระท้อนบนดอยก็มีจำนวนมาก

- ๓๕ -

หากย้อนไปถึงสมัย พ่อของข้าพเจ้ายังไม่เสียชีวิต เรียกชื่อดอยแห่งนี้
ตามป่าไม้ที่ขึ้นบริเวณนั้น เพราะที่นั่นมีต้นตะเคียนจำนวนมาก เมื่อก่อน
นั้น ยังมีป่าไม้ตะเคียนใหญ่ และมีต้นงิ้วดำ ต้นยาง สูงเต็มอยู่บนดอย
เขียวขจีคลุมผืนดอย และยังมีเครือเขาหลง ดูไปทางไหนก็มืด อีกทั้ง
ยังมีต้นแหน ต้นดูกสูง ต้นปอที่เขาทำเชือก ต้นปอเยื่อนแต่ก่อนนั้นมี
มากมาย ต้นมะกล่ำตาหนู มะเม่าก็เยอะ เอาผลมาตำกินเล่นอร่อยดี
มีต้นค้ำ ต้นดีหมี ต้นขะเจ๊าะต้นใหญ่ ต้นมะเดื่อ ต้นหูกวาง ต้นว้า
ต้นหาญช้างร้อง (หาญจ๊างฮ้อง) ขึ้นอยู่เต็มพื้นที่ ต้นมะข่วงที่เขาเอาใส่
แกงก็มี ต้นฮ้าง ต้นไฮ ต้นลูง ยังมีอยู่ในดอยแห่งนี้ ต้นเน่าใน เนื้อไม้สี
ดำแต่เปลือกเป็นสีเขียว ต้นราชพฤกษ์ ต้นหว้า ต้นบอ เป็นไม้ที่ทำ
เป็นการค้า และต้นม่วงเลือดเป็นไม้หอม ต้นเส้า ต้นป๋อเต้า ต้นไผ่
และพวกต้นชา ซึ่งหากจะให้บอกคงไม่ครบทั้งหมด เพราะต้นไม้
มากมาย

- ๓๖ -

ต่อไปนี้ผมจะกล่าวย้ำในเรื่อง พระธาตุดอยสะเก็นโดยสันนิษฐาน ตามที่มีคน
กล่าวขานมานานกว่าพันปี ปลายองค์พระธาตุนั้นถล่มลง เหลือแต่องค์กับฐานที่คง
อยู่ เป็นที่น่าเวทนาอย่างยิ่ง ยังไม่มีใครคิดที่จะบูรณะองค์พระธาตุ จนปล่อยเป็น
พื้นที่รกร้าง มีเถาวัลย์ปกคลุมอยู่กลางป่าใหญ่ เมื่อมีประเพณีสำคัญ ปีหนึ่งจะขึ้นไป
ทำความสะอาดแค่หนึ่งครั้ง จนกระทั่งช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๕
สงครามได้สร้างความเดือดร้อนมาก เมืองไทลานนา (จังหวัดเชียงราย) วุ่นวายมาก
ผู้คนไม่สามารถอยู่ในเมืองได้ เพราะมีการปล่อยระเบิดลงมาจากฟ้า เสียงก้องทั่ว
จังหวัด ระเบิดถูกปล่อยลงมาห้าลูก มีคนเสียชีวิตมากมาย ผู้คนพากันหนีตายจาก
ระเบิด ชาวบ้านที่อยู่ในตัวเมือง ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์ พากันมาหลบภัยแถวดอยสะ
เก็นหลายร้อยคน ห้าปีต่อมาสงครามยุติลง บ้านเมืองสงบขึ้น ผู้คนเหล่านั้น ได้กลับ
ไปยังบ้านของเขาในเมือง

ที่ผมกล่าวมานี้ไม่น่าจะผิดพลาดประการใดแม้จะจำไม่ค่อยได้ พอบ้านเมือง
เมืองสงบขึ้น ชาวบ้านก็อยู่อย่างมีความสุข ชื่นอกชื่นใจ เพราะที่ผ่านมาต่างหลุดพ้น
จากความตาย ผมได้แต่คิดบทค่าวนี้ขึ้นมา จากอดีตสู่ปัจจุบัน ขออดทนฟังหน่อยนะ
ส่วนบทที่สอง จะดำเนินการแต่งปี พ.ศ.๒๔๙๓ ส่วนบทหนึ่งขอยุติเพียงเท่านี้

- ๓๗ -

บทที่ ๒

ขอขอบคุณที่ท่านที่ติดตามบทค่าวมานี้ บทที่ ๒ นี้ ผมจะพูดถึงองค์พระธาตุบน
ดอยอยู่ในดงป่าไม้ เป็นป่าที่รกร้าง ไม่มีใครที่มาถากถาง โดยหลังจากสงคราม มี
ปาฏิหาริย์จากองค์พระธาตุ เป็นลูกดวงไฟดวงใหญ่บริเวณองค์พระธาตุ คาดว่าเป็นนิมิต
หมายอันดี เพราะว่าดวงพระธาตุแก่กล้า มีปาฏิหาริย์ให้ชาวบ้านได้พบเห็น ทำให้ผู้คนที่
อยู่ทั่วเมืองเชียงรายเกิดความศรัทธา หลังจบสงครามก็ได้ปรึกษาหารือกัน โดยมีหลวง
พ่อพระครูคำปัน จากวัดศรีบุญเรือง ซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่ที่คนเคารพนับถือ ท่านได้มาจำวัด
ที่วัดน้อยริมกรณ์ ให้ท่านมาช่วยคิดปฏิสังขรณ์ และชาวบ้านทุกคนก็เห็นด้วย อีกทั้งมี
ตำแหน่งเป็นเจ้าคณะตำบล ท่านจำวัดอยู่ที่บ้านทรายมูล พระรูปนี้มีรูปร่างสูง ดังที่ท่าน
เจ้าคณะตำบลพรมมาได้กล่าวไว้

ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๓๙ ศรัทธาบ้านริมกรณ์ ได้ร่วมด้วยช่วยกันช่วยกันบูรณะพระ
ธาตุ ทั้งยังมีคณะศรัทธาต่างหมู่บ้านมาช่วย เช่น หมู่บ้านศรีบุญเรือง หนองบัว
ศรีทรายมูล ป่าบง ป่ายาง ร่องปลาค้าว บ้านเกาะ ทุกคนก็มาช่วยทุกวัน ด้วยความสุข
ความสนุกสนาน แม้ทางขึ้นดอยจะความชันมาก บางคนหาบน้ำ หาบทรายขึ้นมาเหลือ
แต่ถังเปล่า เพราะมันหกลงตามทางและสมัยก่อนนั้นไม่มีรถขอ (รถแม็กโคร)
มีแค่มีดพร้าที่ใช้ถากถาง พื้นที่ก็มีความตื้นลึกต่างกันต่างล้มลุกคลุกคลานช่วยกันจน
สามารถลำเลียงทรายกับปูนขึ้นไปสร้างจนกระทั่งสร้างองค์ พระธาตุสำเร็จ เป็นที่
น่ายินดีของชาวบ้าน

- ๓๘ -

องค์พระธาตุเป็นที่เด่นสง่า รายล้อมไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ทำให้ป่าบริเวณนั้น
ร่มเย็น เหมือนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ เพราะมีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา เสียงลมที่พัดใบไม้ มีเสียง
คล้ายฝนตกแต่พอเงยหน้าขึ้นไปดูกลับกลายเป็นแค่เสียงลมพัด และยังมีนกนานาชนิด
อยู่ที่นั้น เช่น นกยูง นกฮูก นกเปล้า นกขมิ้น นกจี๋ นกอิปู่ นกป๊ก ขันร้องกันเสียงดังไพเราะ
ลั่นป่า นกกาเหว่า และยังมีสัตว์อีกมากมาย กระรอก ตะกวด กระต่าย แมว พังพอน หมี
ลิงลม นางอาย เป็นต้น ผลไม้หลายชนิดก็มีสามารถเลือกกินตามใจอยาก มีกระทั่ง มะกอก
สะเดา มะม่วง มะปราง มะไฟ มีเยอะจนร่วงเน่าตามทาง แต่ตอนนี้สัตว์ป่าหายไปค่อนข้าง
มาก เพราะชาวบ้านล่าไปทำอาหารจนหมด ในปัจจุบันคนรุ่นใหม่จึงไม่พบเจอสิ่งเหล่านี้แล้ว
เพราะไม่หลงเหลือ เนื่องจากหลักศีลธรรมในพุทธศาสนาของคนรุ่นใหม่ได้เสื่อมถอยลงไป
แม้แต่พระธรรมคัมภีร์ใบลานก็แทบจะสูญหายไป สมัยก่อนมักเขียนเป็นเนื้อเรื่องเกี่ยวกับ
พระเวสสันดรชาดก เช่น กัณฑ์กุมาร กัณฑ์มัทรี กัณฑ์มหาราช ซึ่งก็มีเนื้อหาที่สนุกสนาน
ตื่นเต้น ส่วนเทศนาธรรมของตุ๊จ๊ก (ตุ๊ลุงทอง) ก็สนุกสนาน ขบขันด้วยลีลาการเทศน์ สมัย
ก่อนการเขียนตัวเมือง (อักษรล้านนา) ก็เป็นที่นิยมนำมาเขียนพระธรรม แต่ปัจจุบันเริ่มไม่
นิยม มักเขียนเป็นอักษรภาษาไทย โดยนำกระดาษแข็งมาพับเป็นลักษณะคล้ายผ้า แล้ว
เขียนด้วยตัวอักษรภาษาไทยเพื่อใช้แทนคัมภีร์ธรรมใบลานภาษาล้านนาเหมือนแต่ก่อน
เอาไว้คิดอ่านให้เป็นพระธรรม คิดว่าอีกหน่อยคงใช้ภาษาอังกฤษแทน

กล่าวถึงองค์พระธาตุก็ได้ก่อสร้างเสร็จ ล่วงเวลาประมาณ ๓๐ ปี แต่ประเพณีประจำ
ปีก็ยังมีการจัดสมโภชเฉลิมฉลองอย่างสม่ำเสมอ เมื่อพระธาตุสร้างเสร็จสมบูรณ์ จึงมีจัด
งานปอยหลวงขึ้น และการผูกดวงพระธาตุ แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่โดยยึดตามปีที่เริ่มบูรณะ
ก่อนสร้าง คือ พ.ศ. ๒๕๙๓ ว่า “ดอยสะเก็น” ทำให้ชื่อเดิม “ดอยตะเคียน” จึงไม่มีใครเรียก
อีกต่อไป

- ๓๙ -

บทที่ ๓

มวลดอกไม้ส่งกลิ่นหอบคลุ้งทั่วเขตแดนโขง บทคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ท่านครู
บามานพกล่าวสอนไว้ เป็นบทที่ ๓ กล่าวถึงความดีงาม น่าจะเป็นผลกุศลเก่าตั้งแต่อดีตชาติ พระครู
บาเจ้าท่านหนึ่งได้เดินทางมา นับว่าเป็นบุญกุศลของญาติโยมวัดคิริชัย และพระธาตุองค์ดอยสะ
เก็น ที่ได้มีครูบาเจ้ามาจำพรรษา รวมทั้งเทวดาผู้รักษาป่าไม้ ได้นำพาท่านมาที่นี่ในเร็ววัน เพราะ
หากว่าท่านมาช้ากว่านี้ เกรงว่าลูกหลานคงลำบาก คงมีพฤติกรรมที่ไม่ดีเพราะบุญกุศลของญาติโยม
พ่อกำนัน พ่ออาจารย์ทองดี (หมอธรรม) ที่ท่านเข้าใจตำรา ท่านก็ได้ช่วยชี้แนะให้คนรุ่นใหม่มา
เข้าใจในการทำบุญ แม้ตุ๊พี่อินถาท่านก็ช่วยสนับสนุนอย่างเต็มที่

ผมมีความปรารถนาตั้งแต่ปีที่ผ่านมาว่า เมื่อไรบันไดนาคขึ้นดอยจะเสร็จ เพราะเห็นผู้สูงอายุ
ลื่นล้มบ่อย และทางขึ้นไปค่อนข้างลำบาก ซึ่งความปรารถนาของผมนี้นับว่าไม่เสียแรงเพราะปัจจุบัน
เหมือนถูกเนรมิตให้เกิดขึ้น เพราะท่านครูบาเจ้ามานพ ด้วยความเมตตาของท่าน ให้ศรัทธ
ญาติโยมทั้งเหนือ ใต้ ออก ตก มาร่วมด้วยช่วยกันสร้าง อีกทั้งทหารก็มาช่วยถางหญ้าเกลี่ยทาง จน
รู้สึกได้ว่าบนดอยสะเก็นแห่งนี้ไม่เงียบเหงาเหมือนแต่ก่อน ผู้คนขึ้นมาเยอะกว่าในหมู่บ้าน มีรถขุด
รถไถก็นำขึ้นมาถากถางทำทาง ช่วยเกลี่ยหินใหญ่ ตอไม้ จนเตียน ถนนที่สร้างขึ้นทำให้การเดินทาง
สะดวกสบาย ทั้งรถยนต์ รถมอเตอร์ไซต์สามารถขับขึ้นไปถึงบนพระธาตุได้ อีกทั้งครูบาเจ้าท่านยัง
มีความคิดเรื่องการบูรณะองค์พระธาตุ เนื่องจากเริ่มจะผุพังแล้ว เพราะบันไดนาคก็ทำเสร็จ ชาวบ้าน
จึงมาร่วมใจช่วยกันบูรณะอีกครั้ง โดยไม่บ่นแม้แดดร้อนฝนตกต่างร่วมด้วยช่วยกันด้วยความ
สนุกสนาน เมื่อพูดถึงเรื่องเงินทอง ก็จะให้ร่วมบริจาคตามกำลังศรัทธาของแต่ละคน และก็มีคนร่วม
ทำบุญกันมาอย่างคับคั่ง จนสุดท้ายทั้งบันไดและพระธาตุก็สร้างเสร็จ

- ๔๐ -

บทที่ ๔

บนดอยสะเก็นปัจจุบันเป็นที่ร่มรื่นร่มเย็น ผู้คนต่างขึ้นไปสักการะบูชา
เปรียบว่าสนุกกว่าการได้ดูทีวี แม้หนังจีนหนังไทยก็อย่าพูดถึง เพราะเมื่อขึ้นไปบนดอย
แล้วจะมีความสุขการได้ดูทีวีเสียอีก ฉากที่นางเอกออกมาหน้าตาก็งั้น ๆ ไม่ยิ้มแย้มเหมือน
แต่ก่อน คนที่ดูบางคนนั่งบางคนก็นอนจนเต็มหน้าห้อง แต่พอพระเอกออกฉากมาแล้วทำ
หน้างอ คนก็ไม่อยากดู ต่างกลับห้องไปหมด นักร้องเสียงใสร้องเพลงไปสักพักก็ร้องไห้
เพราะว่าไม่มีใครดู ต่างพากันขึ้นไปเที่ยวเล่นบนดอยสะเก็นไม่เว้นวัน เพราะต่างคิดว่า
เรื่องทีวีเอาไว้ทีหลัง ให้หมั่นทำบุญทำทานไปก่อน

พระธาตุอองค์ใหญ่บนดอยสะเก็นถูกตกแต่งบูรณะให้สวยงามและมีบันไดนาคที่
สร้างขึ้น ผลบุญนี้แหละจะส่งผลให้ถึงสวรรค์ทั้ง ๙ ชั้น พระครูบาเจ้าก็เปรียบเหมือนเรือ
สำเภาทองลำใหญ่ ที่เมตตาพาเราข้ามแม่น้ำมหาสมุทรใหญ่กว้าง
ซึ่งท่านครูบามานพเจ้าเป็นคนลำพูน แต่ได้มาช่วยสร้างบูรณปฏิสังขรณ์ องค์พระธาตุให้
งดงามซึ่งสิ่งเหล่านี้คงไม่สามารถสร้างเองได้ด้วยตัวคนเดียว แต่เป็นเมตตาของท่าน
ทำให้มีคนมาช่วยกันสร้าง เหมือนเชือกเกลียวที่แข็งแรง ในการสร้างหนทางบุญกุศลมันจะ
ไม่มีทางสูญหาย เราได้ทำบุญก็จะส่งผลให้เราสุขใจ

ผมต้องการบอกบุญให้ทั่วแคว้นแดนโขง ทั่วเมืองเชียงราย ให้ท่านทราบและขอ
เชิญท่านมาที่พระธาตุดอยสะเก็น ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากเมืองเชียงราย ขอเชิญชวน
ท่านมา

- ๔๑ -

ขอกล่าวสืบเนื่องต่อจากบทที่ ๓ พระธาตุดอยสะเก็น ตั้งอยู่หมู่ที่ ๘ หมู่บ้านริมกรณ์
ตำบลรอบเวียง หากหล่าวถึงพระธาตุดอยสะเก็นแล้ว ชาวบ้านที่อยู่รอบบริเวณย่อมรู้ดีว่าสถาน
ที่แห่งนี้มีสิ่งสำคัญอยู่ ในบริเวณของพระธาตุมีของโบราณอยู่มากมาย คือมีพระธาตุที่กราบไว้
นานนับพันปีขอเชิญท่านขึ้นไปดู เพื่อพิสูจน์ให้แน่ชัดจากที่เคยได้ยินมา

วัดคีรีชัยเป็นวัดเล็ก ๆ ตั้งอยู่เชิงดอยนี้ แต่ตอนนี้ผมจะกล่าวถึงองค์พระธาตุ
ที่แต่เดิมนั้น คนที่จะไปต่างท้อแท้ใจเพราะทางขึ้นไปค่อนข้างยาก เป็นทั้งหินกรวดและหน้าผา
ทางค่อนข้างขรุขระลดเลี้ยวอันตราย จนพระครูทองได้เทศนาเปรียบเทียบว่าเหมือนงูเมาเหล้า
ทั้งสองข้างทางก็มีแต่เครือเถาวัลย์รกชัฏ พอถึงคราวประเพณีประจำปีก็ค่อยมาถากถาง
หาบน้ำขนของค่อย ๆ ขึ้นไปจนถึงพระธาตุ บางคนก็อธิษฐานของให้ร่ำรวย ให้ถูกหวย
รางวัลที่ ๑ แต่ก็ไม่ซื้อหวยสักครั้ง ก็พูดคุยสนุกสนานกันไป ทุกคนต่างร่วมจิตร่วมใจมาช่วยกัน
ทั้งหมู่บ้าน ทั้งพระและสามเณร ท่านพระอินถาท่านก็มีมานะ
พาพระเณรมาช่วยตกแต่งทำทางขึ้นไปองค์พระธาตุ ร่วมกับคณะศรัทธา ปี่ หน้อยหนานถาม
แม้จะตัวเล็ก แต่ก็แข็งแรง ซึ่งแม้จะเป็นป่ารกก็ออกแรงทำเป็นตัวอย่างให้ชาวบ้าน แม้บริเวณ
นั้นจะมีต้นหมามุ่ยเยอะ ก็ช่วยกันกำจัดจนหมดแม้จะได้พิษคันจากหมามุ่ยก็ตาม

เรื่องพระธาตุแก้วบนดอย พระอินถาก็ได้ช่วยดูแลไม่ให้มัวหมอง ยังมีท่านผู้ใจบุญมา
ช่วยคิด ค้ำชู ทำนุบำรุงและมาช่วยสร้าง โดยการนำของแม่เลี้ยงบุญกว้าง ซึ่งเป็นเจ้าของร้าน
เยาวชนเชียงรายนั่นเอง ซึ่งท่านได้ไปไหว้ครูบาเจ้ามานพ และได้ไปกราบไหว้พระธาตุ และแม่
เที่ยงแก้วได้มาที่วัด ท่านได้ปรึกษาหารือกับทางวัดและนำทรัพย์สินส่วนตัวมาใช้ในการบูรณะ
แต่ท่านอยู่ไกลจากวัดไม่ได้มาควบคุมงาน เพราะบ้านท่านอยู่จังหวัดแพร่ เลยฝากทางกำนัน
ผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ควบคุมการจัดสร้างและบูรณะ

- ๔๒ -

ต่อมาพระครูบามานพ, ครั้นถึงกำหนด คือ เดือนสิบเป็ง หรือวันเข้า
กำนัน แม่เลี้ยงเที่ยงแก้ว พรรษา คณะญาติโยมที่มาวันนั้นพร้อมทั้งครูบา
พ่อหนานทองดี ซึ่งเป็น เจ้ามานพก็จะกลับมาที่เชียงรายอีกครั้ง ในวันแรม
มัคคทายกวัดก็ได้ปรึกษากันว่าจะ หนึ่งค่ำท่านจะมาตามกำหนดพอเดือนหนึ่งเหนือ
บูรณะพระธาตุครั้งที่ ๓ และจะ ท่านก็เดินมาพร้อมกับญาติโยมจากจังหวัดแพร่
ซ่อมแซมหนทางขึ้นไป กับบันได ด้วยรถ ๓ คัน ถึงบ้านริมกรณ์ ท่านก็ได้ขึ้นไปพัก
นาคแก้วด้วยเพราะทางขึ้นไปย บริเวณบนพระธาตุดอยสะเก็นซึ่งชาวบ้านก็ต่าง
อดดอยเริ่มลำบาก และทุกท่านก็ ดีใจตื่นเต้นที่พระครูบาเจ้ามานพได้มาถึงที่นี่แล้ว
เห็นด้วย และตกลงวันที่จะเริ่ม และได้เริ่มก่อสร้างบูรณะส่วนไหนที่แตกชำรุด
ก่อสร้างเป็นวันเข้าพรรษา ซึ่ง ก็ซ่อมแซมแก้ไขให้ดี ทำให้สวยงามเรียบร้อยกว่า
เป็นเป็นข้อตกลงก่อนที่แม่เลี้ยง เดิม ทำให้น่าดูน่าชม ทางขึ้นสำหรับรถยนต์ก็ได้
บุญเหลือ และท่านครูบาเจ้า สร้างถนนทางลัดเลียบกับทางหลวงทำให้เดินทาง
มานพจะกลับจังหวัดแพร่ จากนั้น สะดวกสบายขึ้น
ก็ได้ประกาศความประสงค์ให้ชาว
บ้านรู้ถึงเจตนารมณ์ว่าจะมีการ
ก่อสร้าง

- ๔๓ -

ต่อไปจะกล่าวถึงเรื่องการพัฒนาบันไดนาค วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๒๕ เป็นวันมงคลยิ่ง
สำหรับเดือนสิบเอ็ดเหนือ ขึ้น ๑๒ เป็นวันอาทิตย์พอดี เป็นฤกษ์งามยามดี
ที่จะได้วางศิลาฤกษ์บันไดนาค ชาวบ้านต่างหลั่งไหลมาทำบุญทั่วทุกสารทิศหลายร้อย
คน มีทั้งคนที่เดินเท้ามา ขับรถมา จนเต็มข้างทางของถนนนพรัตน์ มาทั้งเช้าและเย็น
จึงขอเชิญทุกท่านให้มาเที่ยวที่แห่งนี้ ชาวบ้านริมกรณ์ยินดีต้อนรับทุกท่าน บนพระ
ธาตุมีความปลอดภัย เพราะส่วนใหญ่เขาไปจำศีลปฏิบัติธรรมกันและกลายเป็นสถาน
ที่ท่องเที่ยว เป็นสถานที่จะสืบสานพระพุทธศาสนาสืบไป

- ๔๔ -

บทที่๕
คติเตือนใจ



ดวงดาวส่องแสงวาววับยามกลาง
คืนยังลับหายไป เมฆลอยอยู่บนฟ้ายามเช้า
ยังเคลื่อนหาย ฝูงนกกามีปีก บินได้ได้ไกล
ยังถูกพรานไล่ล่าฆ่าได้ ทะเลบึงแม้ลึก มีฝูง
ปลามากมาย ก็ยังโดนเบ็ดเกี่ยวพรากชีวิต
ให้ตาย คล้ายกับชีวิตคน จะมืดมัวเด่นดี
เพียงใด จะร่ำรวยหรือยากจนเข็ญใจ
ก็ไม่พ้นจากความตาย ที่เป็นจุดหมายที่
เหมือนกัน

การเกิดเป็นคนทั้งทีควรทำตนให้
เป็นประโยชน์ ศาสนาของเราจะรุ่งโรจน์
เท่านั้น อย่างมัวระเริงความสุขส่วนตัวเป็น
สำคัญ เพราะชีวิตของคนสั้นนิดเดียว

- ๔๕ -

ในบท ๕ เรื่องตำนานที่ได้ค้นคว้ามากำลังจะได้แต่งต่อไป
บทที่ ๕ กล่าวถึงเรื่องบันได ทางขึ้นพระธาตุเป็นบันไดนาคมี
ทั้งหมด ๘๗ ขั้น ส่วนตัวนาคกำลังก่อสร้างขยายพื้นที่ สองฝั่ ง
ตัวนาคตั้งตรง คาดว่าอีกไม่นานก็คงสร้างเสร็จ ต่อจากนั้น
มีการบวชชีพราหมณ์แต่ไม่ปรากฏนามผู้ที่บวช เพราะมีคน
ร่วมเยอะมาก แต่ที่รู้มามีชื่อว่า แม่ชีบัวแก้ว แม่ชี ก๋องคำ แม่ชี
ต่อม แม่ชีเขียว แม่ชีอิ่นคำ แก้วก้อง ทองคำ และแม่ชีนา
แต่ละคนที่มาบวชอายุก็ยังไม่มากเท่าไหร่ และแต่ละท่านน่าจะ
บวชกันมานานหลายเดือนแล้ว แต่ต่อจากนี้ไป จะกี่เดือนกี่ปี
ท่านต้องการบำเพ็ญบารมี ดั่งที่ตั้งใจไว้ ก็ให้ทำต่อไป และภาย
หลังมีชีมาบวชเพิ่มอีก ชื่อว่าแม่ชีอั้น บัวจำ บ้านอยู่สันขี้เบ้า
จริง ๆ แล้วหากใครที่ต้องการบวชชีพราหมณ์ก็ขอเชิญมาบวช
มากันเท่าไหร่ก็ยินดีรับบวชให้ทุกคน

- ๔๖ -

ในทางกุศถือว่าการบวชจะส่งผลบุญที่ยิ่งใหญ่ได้สืบพระศาสนา
หากจะบำเพ็ญบุญกุศลก็ให้รีบทำก่อนจะสายไป โดยพระที่วัดบนดอย
สะเก็นจะเป็นผู้บวชให้ บำเพ็ญกุศลอยู่บนดอย ละเว้นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
รังแกสัตว์จะเป็นบาปกรรมติดตัวไป หลีกหนีจากทางโลกที่ไม่ดี ที่ทำให้จิตใจ
มัวหมอง โลกเราเดี๋ยวนี้น่ากลัว ทำบาปกรรม ทำความชั่ว ผิดศีล ๕ ศีล ๘
เป็นเรื่องควรเกรงกลัว เมื่อเราได้รักษาศีลเป็นประจำ ผลบุญจะช่วยค้ำชูเราไว้
ให้ดูแม่ชีเป็นตัวอย่าง เพราะท่านได้บวชมานาน รักษาธรรมของพระพุทธเจ้า
เพื่อหวังผลบุญเท่านั้น ซึ่งหากใครที่สนใจก็สามารถมาบวชได้ทุกวันที่ดอยสะ
เก็นแห่งนี้ ที่นั่นมีของโบราณหลายอย่าง ขอเชิญนักบุญทั้งหลายไปเที่ยวดูได้

- ๔๗ -


Click to View FlipBook Version