๑๕๐ ยสฺส โข ปน (ปรมินฺทธมฺมิกมหาราชาธิราชวรสฺส)* สนฺตเกน ก ินทุสฺเสน, อมฺเหหิ ก ินํ อตฺถตํ. โส อตฺตโน ทานมเยนปิ อนุโมทนามเยนปิ ปุญฺเ น, อมฺหากํ จ ธมฺมานุธมฺมปฏิปตฺติมเยนปิ ปุญฺเ น, สุขิโต ว โหตุ อโรโค นิรุปทฺทโว. ธมฺมิกาย อาสาย ธมฺมิกาย ปตฺถนาย สมิทฺธึ ปาปุณาตุ. ตสฺส อโตปิอมฺหากํ ปุญฺ โต ปตฺตึอาทิสาม, ตสฺสาปิ วุฑฺฒิเยว โหตุ มา ปริหานิ. ยสฺส โข ปน ปรเมนฺทมหามกุฏมหาราชาธิราชวรสฺส สํวิธาเนน, อมฺเหหิ กินตฺถาโร เอวํ อนุกริยติ. ตสฺสปิ มูลภูตสฺส มหาราชาธิราชวรสฺส, อิโต อมฺหากํ ปุญฺ โต ปตฺตึ อาทิสาม. ชานมาโน โส มหาราชาธิราชวโร สยํ อนุโมทตุ. อชานมานสฺส ปน ตสฺส มหาราชาธิราชวรสฺส อตฺถกามา เทวา นิเวเทนฺตุ. นิเวทิโต โส มหาราชาธิราชวโร อนุโมทตุ. เตน สํวิธานมเยนปิอนุโมทนามเยนปิ ปุญฺเ น, ตสฺสปิ มหาราชาธิราชวรสฺส วุฑฺฒิเยว โหตุ. มา ปริหานีติ. * ระหว่างนี้ เปลี่ยนตามพระนามของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินปัจจุบัน.
๑๕๑ คำสวดถวายพระราชกุศลสำหรับกฐินหลวง ยสฺส โข ปน, (ปรมินฺทมหาภูมิพลอตุลเตชราชาธิราชวรสฺส ), สนฺตเกน ก ินทุสฺเสน, อมฺเหหิ ก ินํ อตฺถตํ. โส อตฺตโน ทานมเยนปิ อนุโมทนามเยนปิ ปุญฺเ น, อมฺหากํ จ ธมฺมานุธมฺมปฏิปตฺติมเยนปิ ปุญฺเ น, สุขิโต ว โหตุ อโรโค นิรุปทฺทโว. ธมฺมิกาย อาสาย, ธมฺมิกาย ปตฺถนาย, สมิทฺธึ ปาปุณาตุ. ตสฺส อิโตปิ อมฺหากํ ปุญฺ โต ปตฺตึ อาทิสาม, ตสฺสปิ วุฑฺฒิเยว โหตุ มา ปริหานีติ. คำสวดแผ่ส่วนกุศลสำหรับกฐินราษฎร เยสํ โข ปน, ทายกานํ สนฺตเกน ก ินทุสฺเสน, อมฺเหหิ ก ินํ อตฺถตํ, เต อตฺตโน ทานมเยนปิ อนุโมทนามเยนปิ ปุญฺเ น, อมฺหากํ จ ธมฺมานุธมฺมปฏิปตฺติมเยนปิ ปุญฺเ น, สุขิโน ว โหนฺตุ อโรคา นิรุปทฺททา, ธมฺมิกาย อาสาย, ธมฺมิกาย ปตฺถนาย, สมิทฺธึ ปาปุณนฺตุ, เตสมิโตปิ อมฺหากํ ปุญฺ โต ปตฺตึ อาทิสาม, เตสมฺปิ วุฑฺฒิเยว โหตุ มา ปริหานีติ. ระหว่างนี้เปลี่ยนตามพระนามสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินปัจจุบัน.
๑๕๒ คำสวดถวายพระราชกุศลในรัชกาลที่ ๔ ยสฺส โข ปน, ปรเมนฺทมหามกุฏมหาราชาธิราชวรสฺส สํวิธาเนน, อมฺเหหิ ก ินตฺถาโร เอวํ อนุกริยติ. ตสฺสปิ มูลภูตสฺส มหาราชาธิราชวรสฺส, อิโต อมฺหากํ ปุญฺ โต ปตฺตึ อาทิสาม. ชานมาโน โส มหาราชาธิราชวโร สยํ อนุโมทตุ. อชานมานสฺส ปน ตสฺส มหาราชาธิราชวรสฺส อตฺถกามา เทวา นิเวเทนฺตุ. นิเวทิโต โส มหาราชาธิราชวโร อนุโมทตุ. เตน สํวิธานมเยนปิ อนุโมทนามเยนปิ ปุญฺเ น, ตสฺสปิ มหาราชาธิราชวรสฺส วุฑฺฒิเยว โหตุ. มา ปริหานีติ. จบคำมคธที่ใช้สวดในท้ายแห่ง อนุญฺ าสิ โข เท่านี้.
๑๕๓ ปกิณณกะ คำพินทุผ้า ภิกษุได้ผ้ามีจีวรเป็นต้นใหม่มา ก่อนจะใช้ต้องทำพินทุกัปปะก่อน ถ้า ไม่ทำท่านปรับอาบัติปาจิตตีย์ การทำพินทุ คือการใช้ดินสอ หรือสี ๓ อย่าง คือ เขียวคราม โคลน ดำคล้ำ อย่างใดอย่างหนึ่ง ทำจุดหรือวงกลมที่ส่วนใด ส่วนหนึ่งของผ้า เพื่อทำให้เสียสีหรือให้จำได้ในขณะที่ทำจะเปล่งวาจาหรือ นึกในใจก็ได้ คำพินทุว่าดังนี้ “อิมํ พินฺทุกปฺปํ กโรมิ” คำอธิษฐาน บริขารที่ใช้ประจำมีบาตรเป็นต้น ต้องอธิษฐาน คือการตั้งใจไว้ว่าจะ ใช้เฉพาะบริขารสิ่งนี้เท่านั้น ไม่ใช้บริขารอื่นนอกจากที่อธิษฐานไว้ วิธีปฏิบัติ มี ๒ อย่าง คือ ๑. อธิษฐานด้วยกาย เอามือจับหรือลูบบริขารที่จะอธิษฐาน แล้วทำ ความผูกใจตามคำอธิษฐาน ๒. อธิษฐานด้วยวาจา กล่าวคำอธิษฐาน ไม่ถูกต้องบริขารด้วยกาย คำ อธิษฐานว่าดังนี้ บาตร “อิมํ ปตฺตํ อธิฏฺ ามิ.” สังฆาฏิ “อิมํ สงฺฆาฏึ อธิฏฺ ามิ.”
๑๕๔ จีวร “อิมํ จีวรํ อธิฏฺ ามิ.” สบง “อิมํ อนฺตรวาสกํ อธิฏฺ ามิ.” ผ้าอาบน้ำฝน “อิมํ วสฺสิกสาฏิกํ อธิฏฺ ามิ.” ผ้าปูนั่ง “อิมํ นิสีทนํ อธิฏฺ ามิ.” ผ้าปูนอน “อิมํ ปจฺจตฺถรณํ อธิฏฺ ามิ.” ถ้าบริขารอยู่นอกหัตถบาส ให้เปลี่ยนบทว่า “อิมํ” เป็น “เอตํ” เมื่อต้องการเปลี่ยนบริขารใหม่ ต้องถอนอธิษฐานหรือยกเลิกบริขาร เดิมก่อน การถอนอธิษฐานเรียกว่า ปัจจุทธรณ์ยกเลิกบริขารใด ก็ระบุชื่อ บริขารนั้น เช่นยกเลิกบาตรว่าดังนี้ “อิมํ ปตฺตํ ปจฺจุทฺธรามิ.” คำวิกัป บริขารมีบาตรและจีวรเป็นต้น นอกจากที่ได้อธิษฐานไว้เรียกว่าอติเรก บาตร อติเรกจีวร เก็บเป็นสิทธิ์ไว้ได้ไม่เกิน ๑๐ วัน ถ้าเกินปรับอาบัติ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ และให้สละของนั้นเสีย หากต้องการจะเอาไว้ใช้ให้ทำ วิกัป การทำวิกัปคือการทำให้เป็นของ ๒ เจ้าของ ระหว่างตนกับภิกษุอื่น คำวิกัปว่าดังนี้ บาตรใบเดียว “อิมํ ปตฺตํ ตุยฺหํ วิกปฺเปมิ.” บาตรหลายใบ “อิเม ปตฺเต ตุยฺหํ วิกปฺเปมิ.” จีวรผืนเดียว “อิมํ จีวรํ ตุยฺหํ วิกปฺเปมิ.” จีวรหลายผืน “อิมานิ จีวรานิ ตุยฺหํ วิกปฺเปมิ.”
๑๕๕ บริขารที่วิกัปไว้เมื่อจะใช้สอย ต้องขอให้ผู้รับถอนวิกัปก่อน คำถอนว่า ดังนี้ จีวรผืนเดียว “อิมํ จีวรํ มยฺหํ สนฺตกํ ปริภุญฺช วา วิสชฺเชหิ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรหิ.” จีวรหลายผืน “อิมานิ จีวรานิ มยฺหํ สนฺตกานิ ปริภุญฺช วา วิสชฺเชหิ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรหิ.” คำเสียสละไตรจีวรล่วงราตรี ภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวร แม้เพียงคืนเดียวก็ไม่ได้ ปรับอาบัติ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ได้สมมติให้เสียสละ ไตรจีวรนั้น คำเสียสละว่า ดังนี้ ผืนเดียวว่า “อิมํ เม ภนฺเต จีวรํ รตฺติวิปฺปวุตฺถํ อญฺ ตฺร ภิกฺขุสมฺมติยา นิสฺสคฺคิยํ, อิมาหํ อายสฺมโต นิสฺสชฺชามิ.” สองผืนว่า “ทฺวิจีวรํ” สามผืนว่า “ติจีวรํ” คำคืนให้ว่า ดังนี้ ผืนเดียวว่า “อิมํ จีวรํ อายสฺมโต ทมฺมิ.” สองผืนว่า “อิมานิ จีวรานิอายสฺมโต ทมฺมิ.” ถ้าผู้เสียสละแก่พรรษากว่าผู้รับ ให้ว่า “อาวุโส” แทน “ภนฺเต”
๑๕๖ คำเสียสละอติเรกจีวรล่วง ๑๐ วัน ผืนเดียวว่า “อิทํ เม ภนฺเต จีวรํ ทสาหาติกฺกนฺตํ นิสฺสคฺคิยํ, อิมาหํ อายสฺมโต นิสฺสชฺชามิ.” หลายผืนว่า “อิมานิ เม ภนฺเต จีวรานิ ทสาหาติกฺกนฺตานิ นิสฺสคฺคิยานิ, อิมานาหํ อายสฺมโต นิสฺสชฺชามิ.” คำคืนให้ว่า ดังนี้ ผืนเดียวว่า “อิมํ จีวรํ อายสฺมโต ทมฺมิ.” หลายผืนว่า “อิมานิ จีวรานิ อายสฺมโต ทมฺมิ.” คำเสียสละอติเรกบาตรล่วง ๑๐ วัน “อยํ เม ภนฺเต ปตฺโต ทสาหาติกฺกนฺโต นิสฺสคฺคิโย, อิมาหํ อายสฺมโต นิสฺสชฺชามิ.” คำคืนให้ ว่าดังนี้“อิมํ ปตฺตํ อายสฺมโต ทมฺมิ.” คำแสดงอาบัติ ผู้แสดงพรรษาอ่อนกว่า :- “อหํ ภนฺเต สมฺพหุลา (---) อาปตฺติโย อาปนฺโน ตา ปฏิเทเสมิ.” ผู้รับ “ปสฺสสิ อาวุโส.” ผู้แสดง “อาม ภนฺเต ปสฺสามิ.”
๑๕๗ ผู้รับ “อายตึ อาวุโส สํวเรยฺยาสิ.” ผู้แสดง “สาธุ สุฏฺฐุ ภนฺเต สํวริสฺสามิ.” (๓ หน) ผู้แสดงพรรษาแก่กว่า :- “อหํ อาวุโส สมฺพหุลา (---) อาปตฺติโย อาปนฺโน ตา ปฏิเทเสมิ.” ผู้รับ “ปสฺสถ ภนฺเต.” ผู้แสดง “อาม อาวุโส ปสฺสามิ.” ผู้รับ “อายตึ ภนฺเต สํวเรยฺยาถ.” ผู้แสดง “สาธุ สุฏฺฐุ อาวุโส สํวริสฺสามิ.” (๓ หน) ในวงเล็บให้ใส่ชื่ออาบัติตามลำดับ ดังนี้- นานาวตฺถุกาโย ถุลฺลจฺจยาโย - นานาวตฺถุกาโย ปาจิตฺติยาโย - นานาวตฺถุกาโย ทุกฺกฏาโย - ทุพฺภาสิตาโย คำขอนิสัย ภิกษุมีพรรษาต่ำกว่า ๕ จัดเป็นนวกะผู้ใหม่ ต้องถือนิสัย การถือนิสัย คือการขออยู่อาศัยพึ่งพิงท่าน ยอมอยู่ในปกครอง ยอมรับโอวาท ยอมให้ ท่านว่ากล่าวตักเตือน
๑๕๘ ตามปกติผู้บวชใหม่ถือนิสัยจากพระอุปัชฌาย์ แต่ถ้าไม่ได้อยู่ในสำนัก ของพระอุปัชฌาย์ ก็ให้ถือนิสัยในภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ผู้ถึงพร้อมด้วย คุณสมบัติ มีทรงธรรม ทรงวินัย เป็นต้น อนึ่ง ภิกษุเดินทางไปแรมคืนที่อื่น ถือว่านิสัยขาด กลับมาต้องขอนิสัย ใหม่ คำขอนิสัยจากพระอุปัชฌาย์ “อุปชฺฌาโย เม ภนฺเต โหหิ.” คำขอนิสัยจากอาจารย์ “อาจริโย เม ภนฺเต โหหิ, อายสฺมโต นิสฺสาย วจฺฉามิ.” เมื่อพระอุปัชฌาย์หรืออาจารย์ยอมรับด้วยคำว่า “โอปายิกํ” “ปฏิรูปํ” “ปาสาทิเกน สมฺปาเทหิ” ผู้ขอพึงรับว่า “สาธุ ภนฺเต”ๆ แล้วกล่าวรับเป็นธุระให้ท่านสืบไปว่า “อชฺชตคฺเคทานิ เถโร มยฺหํ ภาโร, อหมฺปิ เถรสฺส ภาโร” คำอปโลกน์แจกภัตร ยคฺเฆ ภนฺเต สงฺโฆ ชานาตุ, อยํ ป มภาโค มหาเถรสฺส ปาปุณาติ, อวเสสา ภาคา อมฺหากํ ปาปุณนฺติ. (๓ หน) หรือ ยคฺเฆ ภนฺเต สงฺโฆ ชานาตุ, อยํ ป มภาโค เถรสฺส ปาปุณาติ, อวเสสา ภาคา อวเสสานํ ภิกฺขุสามเณรานํ ปาปุณนฺตุ, ยถาสุขํ ปริภุญฺชนฺตุ. (๓ หน) หรือ
๑๕๙ ยคฺเฆ ภนฺเต สงฺโฆ ชานาตุ, อยํ ป มภาโค เถรสฺส ปาปุณาติ, อวเสสา ภาคา อมฺหากํ ปาปุณนฺตุ, ภิกฺขู จ สามเณรา จ ยถาสุขํ ปริภุญฺชนฺตุ. (๓ หน) การทำกัปปิยะ มีพระบัญญัติห้ามฉันผลไม้ที่มีพืช คือสามารถที่จะงอกได้ หากจะฉัน ให้เอาพืชหรือเมล็ดออกเสียก่อน มีพระพุทธานุญาตไว้ว่า เราตถาคต อนุญาตให้บริโภคผลไม้ด้วยสมณกัปปกรรมที่ควรแก่สมณะ ๕ คือ ๑. ผลจดด้วยไฟ ๒. ผลจดด้วยศัสตรา ๓. ผลจดด้วยเล็บ ๔. ผลไม้ไม่มีพืช ๕. ผลมีพืชจะพึงปล้อนเสียได้ พืชมีรากไม้เป็นต้น ที่เกิดอยู่กับที่ ชื่อว่า ภูตคาม เป็นวัตถุแห่ง ปาจิตตีย์เมื่อพรากให้พ้นจากที่แล้ว ชื่อว่า พีชคาม เป็นวัตถุแห่งทุกกฏ พีชคามนั้น เมื่อจะบริโภคให้สั่งบังคับอนุปสัมบันว่า “กปฺปิยํ กโรหิ” (ท่านจงทำกัปปิยะ) ดังนี้แล้วจึงบริโภค เมื่อเป็นเช่นนี้ ชื่อว่าให้พ้นจาก พีชคาม การใช้ไฟ หรือศัสตรา หรือเล็บ จดแทง หรือตัดผลไม้ หรือพีชคาม นี้เรียกว่า “ทำกัปปิ” หรือ “ทำกัปปิยะ”
๑๖๐ ในทางปฏิบัติ เมื่อภิกษุพูดว่า “กปฺปิยํ กโรหิ” อุบาสก หรืออุบาสิกา มักใช้เล็บ จิกหรือเด็ดพืชให้ขาด พร้อมกล่าวคำว่า “กปฺปิยํ ภนฺเต” กาลิก กาลิก คือของที่ภิกษุจะฉันได้ภายในเวลาที่กำหนด จำแนกออกเป็น ๔ อย่างคือ ๑. ยาวกาลิก ของที่อนุญาตให้ฉันได้ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงมี ๕ ชนิด คือ ข้าว ขนมสด ขนมแห้ง ปลา เนื้อ รวมถึงจำพวกผลไม้ด้วย ๒. ยามกาลิก ของที่อนุญาตให้ฉันได้ชั่วระยะเวลาวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง คือก่อนอรุณของวันใหม่ ได้แก่ของจำพวกน้ำผลไม้ ที่เรียกว่า น้ำปานะ ทำ ด้วยผลไม้ ๘ ชนิด คือ (๑) น้ำมะม่วง (๒) น้ำชมพู่หรือน้ำหว้า (๓) น้ำกล้วยมีเมล็ด (๔) น้ำกล้วยไม่มีเมล็ด (๕) น้ำมะซาง (๖) น้ำลูกจันทร์หรือองุ่น (๗) น้ำเหง้าอุบล (๘) น้ำมะปรางหรือลิ้นจี่ ปานะนี้ให้ใช้ของสดทำ ห้ามมิให้ต้มด้วยไฟ เป็นของที่อนุปสัมบันทำ จึงควรในวิกาล ถ้าภิกษุทำมีคติอย่างยาวกาลิก เพราะรับประเคนทั้งผล ๓. สัตตาหกาลิก ของที่รับประเคน เก็บไว้ฉันได้ไม่เกิน ๗ วัน ได้แก่ ของที่เป็นเภสัชทั้ง ๕ คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อย
๑๖๑ ๔. ยาวชีวิก ของที่อนุญาตให้ใช้ได้ตลอดชีวิต เพื่อประกอบยา รับประทาน มีรากไม้น้ำฝาด ใบไม้ ผลไม้ (ที่เป็นยา) ยางไม้และเกลือ เป็น ต้น กาลิก ทั้ง ๔ อย่างนี้ ถ้าระคนกัน ให้ถือเอาตามกาลิกที่มีอายุสั้นที่สุด เป็นเกณฑ์ คำอธิษฐานจำพรรษา ว่าพร้อมกัน “อิมสฺมึ อาวาเส, อิมํ เตมาสํ, วสฺสํ อุเปม.” ว่าทีละรูป “อิมสฺมึ อาวาเส, อิมํ เตมาสํ, วสฺสํ อุเปมิ.” ถ้ากำหนดเฉพาะกุฏิกับบริเวณเป็นเขตจำพรรษา พึงอธิษฐาน ดังนี้ “อิมสฺมึ วิหาเร, อิมํ เตมาสํ, วสฺสํ อุเปมิ.” คำปวารณา สงฺฆมฺภนฺเต ปวาเรมิ, ทิฏฺเ น วา สุเตน วา ปริสงฺกาย วา, วทนฺตุ มํ อายสฺมนฺโต อนุกมฺปํ อุปาทาย, ปสฺสนฺโต ปฏิกฺกริสฺสามิ. ทุติยมฺปิ ภนฺเต สงฺฆํ ปวาเรมิ, ทิฏฺเ น วา สุเตน วา ปริสงฺกาย วา, วทนฺตุ มํ อายสฺมนฺโต อนุกมฺปํ อุปาทาย, ปสฺสนฺโต ปฏิกฺกริสฺสามิ.
๑๖๒ ตติยมฺปิ ภนฺเต สงฺฆํ ปวาเรมิ, ทิฏฺเ น วา สุเตน วา ปริสงฺกาย วา, วทนฺตุ มํ อายสฺมนฺโต อนุกมฺปํ อุปาทาย, ปสฺสนฺโต ปฏิกฺกริสฺสามิ. คำขอขมา ผู้ขอหลายรูปพึงว่า ดังนี้ ผู้ขอว่า “เถเร ปมาเทน, ทฺวารตฺตเยน กตํ, สพฺพํ อปราธํ ขมตุ โน ภนฺเต.” ผู้รับว่า “อหํ ขมามิ ตุมฺเหหิปิ เม ขมิตพฺพํ.” ผู้ขอว่า “ขมาม ภนฺเต.” รูปเดียวพึงว่า ดังนี้ ผู้ขอว่า “เถเร ปมาเทน, ทฺวารตฺตเยน กตํ, สพฺพํ อปราธํ ขมตุ เม ภนฺเต.” ผู้รับว่า “อหํ ขมามิ ตยาปิ เม ขมิตพฺพํ.” ผู้ขอว่า “ขมามิ ภนฺเต.” ถ้าผู้รับขมาเป็นพระมหาเถระผู้มีอาวุโสมากให้ใช้ว่า “มหาเถเร” ถ้า เป็นพระอุปัชฌาย์ ใช้คำว่า “อุปชฺฌาเย” เป็นอาจารย์ให้ใช้คำว่า “อาจริเย” นอกนั้นใช้คำว่า “อายสฺมนฺเต” ตามความเหมาะสม
๑๖๓ คำให้พรเมื่อมีผู้ขอขมา เอวํ โหตุ, เอวํ โหตุ, เอวํ โหตุ. โย จ ปุพฺเพ ปมชฺชิตฺวา ปจฺฉา โส นปฺปมชฺชติ โสมํ โลกํ ปภาเสติ อพฺภา มุตฺโต ว จนฺทิมา. ยสฺส ปาปํ กตํ กมฺมํ กุสเลน ปหียติ, โสมํ โลกํ ปภาเสติ อพฺภา มุตฺโต ว จนฺทิมา. อภิวาทนสีลิสฺส นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน, จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ. คำขอโอกาส เป็นธรรมเนียมที่ดีของภิกษุ ก่อนแสดงธรรมหรือสวดปาฏิโมกข์ ต้อง ขอโอกาสจากพระเถระในที่ประชุมนั้นก่อน คำขอโอกาสว่าดังนี้ ขอโอกาสแสดงปาฏิโมกข์“โอกาสํเม ภนฺเต เถโร เทตุ, ปาฏิโมกฺขํ อุทฺเทสิตุํ.” หรือ “โอกาสํ เม ภนฺเต เถโร เทตุ, วินยกถํ กเถตุํ.” ขอโอกาสแสดงธรรม “โอกาสํ เม ภนฺเต เถโร เทตุ, ธมฺมํ เทสิตุํ.” ขอโอกาสอ่านธรรมานุศาสน์ “โอกาสํ เม ภนฺเต เถโร เทตุ, ธมฺมกถํ กเถตุํ.” ขอโอกาสอ่านวินัย “โอกาสํเม ภนฺเต เถโร เทตุ, วินยกถํ กเถตุํ.” ขอโอกาสอ่านธรรมานุศาสน์และวินัย “โอกาสํ เม ภนฺเต เถโร เทตุ, ธมฺมวินยกถํกเถตุํ.”
๑๖๔ คำกล่าวหลังจบการอ่านธรรมวินัย “อยํ ธมฺมวินยกถา มยา เทสิตา, สาธายสฺมนฺเตหิ สลฺลกฺเขตพฺพา.”
๑๖๕ แบบบอกศักราช แบบที่ ๑ ใช้ตั้งแต่วันวิสาขบูชา จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ตัวอย่าง วันอาทิตย์ที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ (ซึ่งเป็นวัน วิสาขบูชา) อิทานิ ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส, ปรินิพฺพานโต ปฏฺ าย, เอกวีสติสํวจฺฉรุตฺตรปญฺจสตาธิกานิ, เทฺว สํวจฺฉรสหสฺสานิ อติกฺกนฺตานิ, ปจฺจุปฺปนฺนกาลวเสน, เวสาขมาสสฺส เอกวีสติมํ ทินํ, วารวเสน ปน รวิวาโร โหติ, เอวํ ตสฺส ภควโต ปรินิพฺพานา, สาสนายุกาลคณนา สลฺลกฺเขตพฺพา. ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนายุกาล จำเดิมแต่ปรินิพพาน แห่งพระองค์ สมเด็จพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น บัดนี้ล่วงแล้ว ๒๕๒๑ พรรษา ปัจจุบันสมัย พฤษภาคมมาส สุรทินที่ ๒๑ อาทิตยวาร พระพุทธศาสนายุกาล นับจำเดิมแต่ปรินิพพาน แห่งพระองค์สมเด็จพระผู้มี พระภาคเจ้านั้น มีนัยอันจะพึงกำหนดนับ ด้วยประการฉะนี้. อิโต ปรํ สกฺกจฺจํ ธมฺโม โสตพฺโพ. เบื้องหน้าแต่นี้ พึงตั้งสมันนาหารจิต สดับธรรมภาษิต ดังจะได้แสดง ต่อไป โดยเคารพ เทอญ. ขัดย่อจากหนังสือสวดมนต์ฉบับหลวง ของสมเด็จพระสังฆราช (ปุสฺสเทวมหาเถร) .
๑๖๖ แบบที่ ๒ ใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม จนถึงวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือนที่ทำวิสาขบูชา ตัวอย่าง วันจันทร์ ที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๒ อิทานิ ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส, ปรินิพพานโต ปฏฺ าย, ทฺวาวีสติสํวจฺฉรุตฺตรปญฺจสตาธิกานิ, เทฺว สํวจฺฉรสหสฺสานิ ปวตฺตมานานิ, ปจฺจุปฺปนฺนกาลวเสน ปุสฺสมาสสฺส ป มํ ทินํ, วารวเสน ปน จนฺทวาโร โหติ. เอวํ ตสฺส ภควโต ปรินิพฺพานา สาสนายุกาลคณนา สลฺลกฺเขตพฺพา. ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนายุกาล จำเดิมแต่ปรินิพพาน แห่งพระองค์ สมเด็จพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น บัดนี้เป็นไปอยู่ ๒๕๒๒ พรรษา ปัจจุบันสมัยมกราคมมาส สุรทินที่ ๑ จันทรวาร พระพุทธศาสนายุกาล นับจำเดิมแต่ปรินิพพาน แห่งพระองค์สมเด็จพระผู้มี พระภาคเจ้านั้น มีนัยอันจะพึงกำหนดนับ ด้วยประการฉะนี้. อิโต ปรํ สกฺกจฺจํ ธมฺโม โสตพฺโพ. เบื้องหน้าแต่นี้พึงตั้งสมันนาหารจิต สดับธรรมภาษิต ดังจะได้แสดง ต่อไป โดยเคารพ เทอญ. เฉพาะพิธีวิสาขบูชาและพิธีมาฆบูชา เทศน์กัณฑ์แรกสำหรับวัดบวร นิเวศวิหาร เรียกว่า กัณฑ์ศักราช ใช้บอกศักราชว่า อิทานิ ตสฺส ภควโต ฯเปฯ สาสนายุกาลคณนา สลฺลกฺเขตพฺพา. แปลตอนนี้จบแล้ว (ไม่ตั้ง นโม) เริ่มเทศน์ปรารภพระพุทธคุณ เป็นต้น และความสำคัญเกี่ยวกับวัน นั้น จบแล้วจึงว่า อิโต ปรํ สกฺกจฺจํ ธมฺโม โสตพฺโพ. แปลตอนนี้จบแล้ว จึง
๑๖๗ ลงจากธรรมาสน์. พระรูปอื่นก็ขึ้นธรรมาสน์ ตั้ง นโม ฯเปฯ สมฺพุทฺธสฺส. และตั้งบาลีนิเขปบทแล้วเทศน์ต่อไป. การเปลี่ยน พ.ศ. ตัวอย่าง พ.ศ. ๒๕๒๓ ว่า เตวีสติ พ.ศ. ๒๕๒๔ ว่า จตุวีสติ พ.ศ. ๒๕๒๕ ว่า ปญฺจวีสติ พ.ศ. ๒๕๒๖ ว่า ฉพฺพีสติ พ.ศ. ๒๕๒๗ ว่า สตฺตวีสติ พ.ศ. ๒๕๒๘ ว่า อฏฺ วีสติ พ.ศ. ๒๕๒๙ ว่า เอกูนตึส พ.ศ. ๒๕๓๐ ว่า ตึส พ.ศ. ๒๕๓๑ ว่า เอกตฺตึส พ.ศ. ๒๕๓๒ ว่า ทฺวตฺตึส พ.ศ. ๒๕๓๓ ว่า เตตฺตึส การเปลี่ยนเดือน ตามประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์ ให้เปลี่ยนตามทาง สุริยคติ ดังต่อไปนี้ เดือนมกราคม ใช้ศัพท์มคธว่า ปุสฺสมาส. เดือนกุมภาพันธ์ ใช้ศัพท์มคธว่า มาฆมาส. เดือนมีนาคม ใช้ศัพท์มคธว่า ผคฺคุณมาส. เดือนเมษายน ใช้ศัพท์มคธว่า จิตฺตมาส. เดือนพฤษภาคม ใช้ศัพท์มคธว่า เวสาขมาส.
๑๖๘ เดือนมิถุนายน ใช้ศัพท์มคธว่า เชฏฺ มาส. เดือนกรกฎาคม ใช้ศัพท์มคธว่า อาสาฬฺหมาส. เดือนสิงหาคม ใช้ศัพท์มคธว่า สาวณมาส. เดือนกันยายน ใช้ศัพท์มคธว่า โปฏฺ ปทมาส. เดือนตุลาคม ใช้ศัพท์มคธว่า อสฺสยุชมาส. เดือนพฤศจิกายน ใช้ศัพท์มคธว่า กตฺติกมาส. เดือนธันวาคม ใช้ศัพท์มคธว่า มิคสิรมาส. การเปลี่ยนวันที่ วันที่ ๑ ว่า ป มํ วันที่ ๒ ว่า ทุติยํ วันที่ ๓ ว่า ตติยํ วันที่ ๔ ว่า จตุตฺถํ วันที่ ๕ ว่า ปญฺจมํ วันที่ ๖ ว่า ฉฏฺํ วันที่ ๗ ว่า สตฺตมํ วันที่ ๘ ว่า อฏฺ มํ วันที่ ๙ ว่า นวมํ วันที่ ๑๐ ว่า ทสมํ วันที่ ๑๑ ว่า เอกาทสมํ วันที่ ๑๒ ว่า ทฺวาทสมํ วันที่ ๑๓ ว่า เตรสมํ วันที่ ๑๔ ว่า จตุทฺทสมํ วันที่ ๑๕ ว่า ปณฺณรสมํ วันที่ ๑๖ ว่า โสฬสมํ วันที่ ๑๗ ว่า สตฺตรสมํ วันที่ ๑๘ ว่า อฏฺ ารสมํ วันที่ ๑๙ ว่า เอกูนวีสติมํ วันที่ ๒๐ ว่า วีสติมํ วันที่ ๒๑ ว่า เอกวีสติมํ วันที่ ๒๒ ว่า ทฺวาวีสติมํ วันที่ ๒๓ ว่า เตวีสติมํ วันที่ ๒๔ ว่า จตุพฺพีสติมํ
๑๖๙ วันที่ ๒๕ ว่า ปญฺจวีสติมํ วันที่ ๒๖ ว่า ฉพฺพีสติมํ วันที่ ๒๗ ว่า สตฺตวีสติมํ วันที่ ๒๘ ว่า อฏฺ วีสติมํ วันที่ ๒๙ ว่า เอกูนวีสติมํ วันที่ ๓๐ ว่า ตึสติมํ วันที่ ๓๑ ว่า เอกตฺตึสมํ การเปลี่ยนวัน วันอาทิตย์ว่า รวิวาโร วันจันทร์ว่า จนฺทวาโร วันอังคาร ว่า ภุมฺมวาโร วันพุธ ว่า วุธวาโร วันพฤหัสบดีว่า ครุวาโร หรือ ว่า วหปฺปติวาโร วันศุกร์ว่า สุกฺรวาโร วันเสาร์ว่า โสรวาโร
๑๗๐ กฐิน คำอปโลกน์กฐิน รูปที่ ๑ อิทานิ โข อาวุโส, (หรือ อิทานิ โข ภนฺเต) อิทํ สปริวารํ กินทุสฺสํ สงฺฆสฺส ก ินตฺถารารหกาเลเยว อุปฺปนฺนํ, อีทิเส จ กาเล เอวํ อุปฺปนฺเนน ทุสฺเสน ก ินตฺถาโร วสฺสํ วุตฺถานํ ภิกฺขูนํ ภควตา อนุญฺ าโต, เยน อากงฺขมานสฺส สงฺฆสฺส ปญฺจ กปฺปิสฺสนฺติ. อนามนฺตจาโร อสมาทานจาโร คณโภชนํ ยาวทตฺถจีวรํ, โย จ ตตฺถ จีวรุปฺปาโท โส เนสํ ภวิสฺสติ. จตูสุปิ เหมนฺติเกสุ มาเสสุ จีวรกาโล มหนฺตีกโต ภวิสฺสติ. อิทานิ ปน สงฺโฆ อากงฺขติ นุ โข ก ินตฺถารํ, อุทาหุ นากงฺขติ. สงฆ์ทั้งปวงรับว่า “อากงฺขาม ภนฺเต” รูปที่ ๒ โส โข ปน ภนฺเต ก ินตฺถาโร, ภควตา ปุคฺคลสฺส อตฺถารวเสเนว อนุญฺ าโต, นาญฺ ตฺร ปุคฺคลสฺส อตฺถารา อตฺถตํ โหติ ก ินนฺติ หิ วุตฺตํ ภควตา. น สงฺโฆ วา คโณ วา ก ินํ อตฺถรติ. สงฺฆสฺส จ คณสฺส จ สามคฺคิยา ปุคฺคลสฺเสว อตฺถารา, สงฺฆสฺสปิ คณสฺสปิ ตสฺเสว ปุคฺคลสฺสปิ อตฺถตํ โหติ ก ินํ. อิทานิ กสฺสิมํ กินทุสฺสํ ทสฺสาม ก ินํ อตฺถริตุํ, โย ชิณฺณจีวโร วา ทุพฺพลจีวโร
๑๗๑ วา, โย วา ปน อุสฺสหิสฺสติ อชฺเชว จีวรกมฺมํ นิฏฺ าเปตฺวา, สพฺพวิธานํ อปริหาเปตฺวา ก ินํ อตฺถริตุํ, สมตฺโถ ภวิสฺสติ. สงฆ์ทั้งปวงพึงนิ่งอยู่ รูปที่ ๓ อิธ อมฺเหสุ อายสฺมา (อิตฺถนฺนาโม), สพฺพมหลฺลโก พหุสฺสุโต ธมฺมธโร วินยธโร, สพฺรหฺมจารีนํ สนฺทสฺสโก สมาทปโก สมุตฺเตชโก สมฺปหํสโก, พหุนฺนํ อาจริโย วา (อุปชฺฌาโย*วา) หุตฺวา โอวาทโก อนุสาสโก, สมตฺโถ จ ตํ ตํ วินยกมฺมํ อวิโกเปตฺวา ก ินํ อตฺถริตุํ. มญฺ ามหเมวํ สพฺโพยํ สงฺโฆ อิมํ สปริวารํ ก ินทุสฺสํ, อายสฺมโต (อิตฺถนฺนามสฺส) ทาตุกาโม. ตสฺมึ ก ินํ อตฺถรนฺเต, สพฺโพยํ สงฺโฆ สมฺมเทว อนุโมทิสฺสติ. อายสฺมโต (อิตฺถนฺนามสฺส) อิมํ สปริวารํ ก ินทุสฺสํ ทาตุํ, รุจฺจติ วา โน วา สพฺพสฺสิมสฺส สงฺฆสฺส. สงฆ์ทั้งปวงพึงรับว่า “รุจฺจติ ภนฺเต.” รูปที่ ๔ ยทิ อายสฺมโต (อิตฺถนฺนามสฺส), อิมํ สปริวารํ ก ินทุสฺสํ ทาตุํ, สพฺพสฺสิมสฺส สงฺฆสฺส รุจฺจติ, สาธุ ภนฺเต สงฺโฆ, อิมํ กินทุสฺสปริวารภูตํ ติจีวรํ วสฺสาวาสิกฏฺ ิติกาย อคาเหตฺวา, อายสฺมโต * ถ้าเป็นอาจารย์อย่างเดียวให้ตัดคำว่า อุปชฺฌาโย วา ออกเสีย.
๑๗๒ (อิตฺถนฺนามสฺส) อิมินา อปโลกเนน ททาตุ. ก ินทุสฺสํ ปน อปโลกเนน ทิยฺยมานํปิ น รูหติ. ตสฺมา ตํ อิทานิ ตฺติทุติเยน กมฺเมน อกุปฺเปน านารเหน, อายสฺมโต (อิตฺถนฺนามสฺส) เทมาติ, กมฺมสนฺนิฏฺ านํ กโรตุ. สงฆ์ทั้งปวงพึงรับว่า “สาธุ ภนฺเต.” ตฺติทุติยกมฺมวาจา (นโม ๕ ชั้น) นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส นโม ตสฺส, ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส, นโม ตสฺส ภควโต, อรหโต สมฺมา-, สมฺพุทฺธสฺส. สุณาตุ เม ภนฺเต สงฺโฆ. อิทํ สงฺฆสฺส ก ินทุสฺสํ อุปฺปนฺนํ, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สงฺโฆ อิมํ ก ินทุสฺสํ, อายสฺมโต (อิตฺถนฺนามสฺส) ทเทยฺย, กินํ อตฺถริตุํ เอสา ตฺติ. สุณาตุ เม ภนฺเต สงฺโฆ. อิทํ สงฺฆสฺส ก ินทุสฺสํ อุปฺปนฺนํ, สงฺโฆ อิมํ กินทุสฺสํ, อายสฺมโต (อิตฺถนฺนามสฺส) เทติ, ก ินํ อตฺถริตุํ. ยสฺสายสฺมโต ขมติ, อิมสฺส ก ินทุสฺสสฺส, อายสฺมโต (อิตฺถนฺนามสฺส) ทานํ ก ินํ อตฺถริตุํ, โส ตุณฺหสฺส. ยสฺส น ขมติ, โส ภาเสยฺย.
๑๗๓ ทินฺนํ อิทํ สงฺเฆน กินทุสฺสํ, อายสฺมโต (อิตฺถนฺนามสฺส) ก ินํ อตฺถริตุํ. ขมติ สงฺฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี, เอวเมตํ ธารยามิ. คำกรานกฐิน ถ้ากรานด้วยผ้าสังฆาฏิว่า“อิมาย สงฺฆาฏิยา ก ินํอตฺถรามิ.” ถ้ากรานด้วยผ้าจีวร ว่า “อิมินา อุตฺตราสงฺเคน ก ินํ อตฺถรามิ.” ถ้ากรานด้วยผ้าสบง ว่า “อิมินา อนฺตรวาสเกน ก ินํอตฺถรามิ.” คำเสนออนุโมทนากฐิน อตฺถตํ อาวุโส สงฺฆสฺส กินํ, ธมฺมิโก กินตฺถาโร อนุโมทถ. คำอนุโมทนากฐิน ถ้าว่าพร้อมกันว่า “อตฺถตํ ภนฺเต สงฺฆสฺส ก ินํ, ธมฺมิโก กินตฺถาโร อนุโมทาม.” ถ้าว่าทีละรูปว่า “อตฺถตํ ภนฺเต สงฺฆสฺส ก ินํ, ธมฺมิโก กินตฺถาโร อนุโมทามิ.”
๑๗๔ คำลาสิกขา “สิกฺขํ ปจฺจกฺขามิ.” ข้าพเจ้าขอลาสิกขา “คิหีติ มํ ธาเรถ.” ขอท่านทั้งหลาย จงจำไว้ว่า ข้าพเจ้าเป็น คฤหัสถ์ (๓ ครั้ง) คำแสดงตนเป็นอุบาสก เอสาหํ ภนฺเต, สุจิรปรินิพฺพุตมฺปิ, ตํ ภควนฺตํ สรณํ คจฺฉามิ, ธมฺมญฺจ ภิกฺขุสงฺฆญฺจ, อุปาสกํ มํ สงฺโฆ ธาเรตุ, อชฺชตคฺเค ปาณุเปตํ สรณํ คตํ. การลาสิกขา (๑) กราบลาและขอขมาพระอุปัชฌาย์และอาจารย์(หน้า ๑๖๒) (๒) แสดงอาบัติ(หน้า ๑๕๖) (๓) ว่าบท “อตีตปจฺจเวกขณปาโ ” (หน้า ๑๗) (๔) กล่าวคำลาสิกขา (หน้า ๑๗๔) (๕) กล่าวคำแสดงตนเป็นอุบาสก (หน้า ๑๗๔) (๖) สมาทานนิจศีล (หน้า ๑๘๐) (๗) กรวดน้ำ-รับพร (หน้า ๑๑๑) (๘) รับน้ำพระพุทธมนต์
๑๗๕ คำอาราธนาและคำถวายทานต่าง ๆ คำอาราธนาศีล ๕ มยํ ภนฺเต ติสรเณน สห ปญฺจ สีลานิ ยาจาม. ทุติยมฺปิ มยํ ภนฺเต ติสรเณน สห ปญฺจ สีลานิ ยาจาม. ตติยมฺปิ มยํ ภนฺเต ติสรเณน สห ปญฺจ สีลานิ ยาจาม. คำอาราธนาศีล ๕ อีกแบบหนึ่ง มยํ ภนฺเต วิสุํ วิสุํ รกฺขณตฺถาย ติสรเณน สห ปญฺจ สีลานิ ยาจาม. ทุติยมฺปิ มยํ ภนฺเต วิสุํ วิสุํ รกฺขณตฺถาย ติสรเณน สห ปญฺจ สีลานิ ยาจาม. ตติยมฺปิ มยํ ภนฺเต วิสุํ วิสุํ รกฺขณตฺถาย ติสรเณน สห ปญฺจ สีลานิ ยาจาม. คำประกาศองค์อุโบสถ อชฺช โภนฺโต ปกฺขสฺส อฏฺ มีทิวโส (ปณฺณรสีทิวโส, จาตุทฺทสี- ทิวโส) เอวรูโป โข โภนฺโต ทิวโส, พุทฺเธน ภควตา ปญฺ ตฺตสฺส ธมฺมสฺสวนสฺส เจว ตทตฺถาย อุปาสกอุปาสิกานํ อุโปสถสฺส จ กาโล
๑๗๖ โหติ, หนฺท มยํ โภนฺโต สพฺเพ อิธ สมาคตา ตสฺส ภควโต ธมฺมานุธมฺมปฏิปตฺติยา ปูชนตฺถาย อิมญฺจ รตฺตึ อิมญฺจ ทิวสํ อฏฺ งฺคสมนฺนาคตํ อุโปสถํ อุปวสิสฺสามาติ กาลปริจฺเฉทํ กตฺวา ตํ ตํ เวรมณึ อารมฺมณํ กริตฺวา อาวิกฺขิตฺตจิตฺตา หุตฺวา สกฺกจฺจํ อุโปสถํ สมาทิเยยฺยาม อีทิสํ หิ อุโปสถํ สมฺปตฺตานํ อมฺหากํ ชีวิตํ มา นิรตฺถกํ โหตุ. คำแปล ขอประกาศเริ่มเรื่องความที่จะสมาทานรักษาอุโบสถ อันพร้อมไปด้วย องค์ ๘ ประการ ให้สาธุชนที่ได้ตั้งจิตสมาทานทราบทั่วกันก่อนแต่สมาทาน ณ บัดนี้ ด้วยวันนี้เป็นวันอัฏฐะมีดิถีที่แปด (ถ้าเป็นวันพระ ๑๕ ค่ำ ว่า “วัน ปัณณะระดิถีที่สิบห้า”, วันพระ ๑๔ ค่ำ ว่า “วันจาตุททะดิถีที่สิบสี่”) แห่ง ปักษ์มาถึงแล้ว ก็แหละวันเช่นนี้ เป็นกาลที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงบัญญัติ แต่งตั้งไว้ให้ประชุมกันฟังธรรม และเป็นกาลที่จะรักษาอุโบสถ ของอุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย เพื่อประโยชน์แก่การฟังธรรมนั้นด้วย เชิญเถิดเรา ทั้งหลายทั้งปวง ที่ได้มาประชุมพร้อมกัน ณ ที่นี้ พึงกำหนดกาลว่า จะรักษา อุโบสถตลอดวันหนึ่ง กับคืนหนึ่งนี้ แล้วพึงทำความเว้นจากโทษนั้น ๆ ให้ เป็นอารมณ์ คือ - เว้นจากฆ่าสัตว์ ๑
๑๗๗ - เว้นจากการถือเอาสิ่งที่ของเจ้าของเขาไม่ให้ ๑ - เว้นจากประพฤติกรรมที่เป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ๑ - เว้นจากเจรจาคำเท็จล่อลวงผู้อื่น ๑ - เว้นจากดื่มสุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑ - เว้นจากบริโภคอาหาร ตั้งแต่เวลาพระอาทิตย์เที่ยงแล้ว ไปจนถึง เวลาอรุณขึ้นมาใหม่ ๑ - เว้นจากฟ้อนรำขับร้องและประโคมเครื่องดนตรีต่าง ๆ แต่บรรดาที่ เป็นข้าศึกแก่บุญกุศลทั้งสิ้น และทัดทรงประดับตกแต่งร่างกายด้วยดอกไม้ ของหอม เครื่องประดับเครื่องทาเครื่องย้อม ผัดผิวทำกายให้วิจิตรงดงาม ต่าง ๆ อันเป็นเหตุที่ตั้งแห่งความกำหนัดยินดี ๑ - เว้นจากนั่งนอนเหนือเตียง ตั่ง ม้า ที่มีเท้าสูงเกินประมาณ และที่นั่ง ที่นอนใหญ่ ภายในมีนุ่นและสำลี และเครื่องปูลาดที่วิจิตรด้วยเงินและทอง ต่าง ๆ ๑ อย่าให้มีจิตฟุ้งซ่านส่งไปในที่อื่น พึงสมาทานเอาองค์อุโบสถทั้ง ๘ ประการโดยเคารพ เพื่อจะบูชาสมเด็จพระผู้มีพระภาคพระพุทธเจ้านั้น ด้วยธรรมมานุธรรมปฏิบัติ อนึ่ง ชีวิตของเราทั้งหลายที่ได้เป็นอยู่รอดมาถึง วันอุโบสถเช่นนี้ จงอย่าได้ล่วงไปเสียเปล่าปราศจากประโยชน์เลย.
๑๗๘ คำอาราธนาอุโบสถศีล มยํ ภนฺเต ติสรเณน สห อฏฺ งฺคสมนฺนาคตํ อุโปสถํ ยาจาม. ทุติยมฺปิ มยํ ภนฺเต ติสรเณน สห อฏฺ งฺคสมนฺนาคตํ อุโปสถํ ยาจาม. ตติยมฺปิ มยํ ภนฺเต ติสรเณน สห อฏฺ งฺคสมนฺนาคตํ อุโปสถํ ยาจาม. คำอาราธนาธรรม พฺรหฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปติ, กตฺอญฺชลี อนฺธิวรํ อยาจถ, สนฺตีธ สตฺตาปฺปรชกฺขชาติกา, เทเสตุ ธมฺมํ อนุกมฺปิมํ ปชํ. คำสาธุการเวลาจบพระธรรมเทศนา อหํ พุทฺธญฺจ ธมฺมญฺจ สงฺฆญฺจ สรณํ คโต, อุปาสกตฺตํ เทเสสิ ภิกฺขุสงฺฆสฺส สมฺมุขา. เอตํ เม สรณํ เขมํ เอตํ สรณมุตฺตมํ, เอตํ สรณมาคมฺมา สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจเย. ยถาพลํ จเรยฺยาหํ สมฺมาสมฺพุทฺธสาสนํ, ทุกฺขนิสฺสรณสฺเสว ภาคี อสฺสํ อนาคเต.
๑๗๙ กาเยน วาจาย ว เจตสา วา, พุทฺเธ กุกมฺมํ ปกตํ มยา ยํ, พุทฺโธ ปฏิคฺคณฺหตุ อจฺจยนฺตํ, กาลนฺตเร สํวริตุํ ว พุทฺเธ. กาเยน วาจาย ว เจตสา วา, ธมฺเม กุกมฺมํ ปกตํ มยา ยํ, ธมฺโม ปฏิคฺคณฺหตุ อจฺจยนฺตํ, กาลนฺตเร สํวริตุํ ว ธมฺเม. กาเยน วาจาย ว เจตสา วา, สงฺเฆ กุกมฺมํ ปกตํ มยา ยํ, สงฺโฆ ปฏิคฺคณฺหตุ อจฺจยนฺตํ, กาลนฺตเร สํวริตุํ ว สงฺเฆ. คำอาราธนาพระปริตร วิปตฺติปฏิพาหาย สพฺพสมฺปตฺติสิทฺธิยา, สพฺพทุกฺขวินาสาย ปริตฺตํ พฺรูถ มงฺคลํ. วิปตฺติปฏิพาหาย สพฺพสมฺปตฺติสิทฺธิยา, สพฺพภยวินาสาย ปริตฺตํ พฺรูถ มงฺคลํ. วิปตฺติปฏิพาหาย สพฺพสมฺปตฺติสิทฺธิยา, สพฺพโรควินาสาย ปริตฺตํ พฺรูถ มงฺคลํ.
๑๘๐ คำสมาทานศีล ๕ นมัสการ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส. (๓ หน) สรณคมน์ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ, ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ, สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ. ทุติยมฺปิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ, ทุติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ, ทุติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ. ตติยมฺปิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ, ตติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ, ตติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ. สิกขาบท ปาณาติปาตา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ อทินฺนาทานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ กาเมสุ มิจฺฉาจารา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ มุสาวาทา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
๑๘๑ สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺ านา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ อิมานิ ปญฺ จ สิกฺขาปทานิ, สีเลน สุคตึ ยนฺติ, สีเลน โภคสมฺปทา, สีเลน นิพฺพุตึ ยนฺติ, ตสฺมา สีลํ วิโสธเย. คำสมาทานอุโบสถศีล นมัสการ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส. นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส. นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส. สรณคมน์ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ, ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ, สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ. ทุติยมฺปิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ, ทุติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ, ทุติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ. ตติยมฺปิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ, ตติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ, ตติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ.
๑๘๒ สิกขาบท ปาณาติปาตา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ อทินฺนาทานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ อพฺรหฺมจริยา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ มุสาวาทา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺ านา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ วิกาลโภชนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนมาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺ- านา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ อิมํ อฏฺ งฺคสมนฺนาคตํ, พุทฺธปญฺ ตฺตํ อุโปสถํ, อิมญฺจ รตฺตึ อิมญฺจ ทิวสํ, สมฺมเทว อภิรกฺขิตุํ สมาทิยามิ. อิมานิ อฏฺ สิกฺขาปทานิ, อชฺเชกํ รตฺตินฺทิวํ อุโปสถสีลวเสน สาธุกํ รกฺขิตพฺพานิ, (ผู้สมาทานรับว่า อาม ภนฺเต) สีเลน สุคตึ ยนฺติ, สีเลน โภคสมฺปทา, สีเลน นิพฺพุตึ ยนฺติ, ตสฺมา สีลํ วิโสธเย. คำถวายภัตตาหาร (สังฆทาน) อิมานิ มยํ ภนฺเต, ภตฺตานิ สปริวารานิ ภิกฺขุสงฺฆสฺส โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต, ภิกฺขุสงฺโฆ, อิมานิ ภตฺตานิ, สปริวารานิ, ปฏิคฺคณฺหาตุ, อมฺหากํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย.
๑๘๓ ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย ภัตตาหาร กับ ทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้ แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ ภัตตาหาร กับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อ ประโยชน์และความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนานเทอญ. คำถวายมตกภัตตาหาร (สังฆทานอุทิศ) อิมานิ มยํ ภนฺเต, มตกภตฺตานิ สปริวารานิ ภิกฺขุสงฺฆสฺส โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต, ภิกฺขุสงฺโฆ อิมานิ มตกภตฺตานิ สปริวารานิ ปฏิคฺคณฺหาตุ, อมฺหากญฺเจว มาตาปิตุอาทีนญฺจ าตกานํ กาลกตานํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย มตก ภัตตาหาร กับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้ แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์ จงรับ มตกภัตตาหาร กับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์และความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วย แก่ญาติทั้งหลายมี มารดาบิดาเป็นต้น ที่ล่วงลับไปแล้วด้วย ตลอดกาลนานเทอญ. คำถวายผ้ากฐิน อิมํ ภนฺเต, สปริวารํ ก ินจีวรทุสฺสํ สงฺฆสฺส โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต, สงฺโฆ อิมํ สปริวารํ ก ินจีวรทุสฺสํ ปฏิคฺคณฺหาตุ,
๑๘๔ ปฏิคฺคเหตฺวา จ อิมินา ทุสฺเสน ก ินํ อตฺถรตุ, อมฺหากํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย ผ้ากฐินจีวร กับทั้งบริวารนี้ แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ ผ้ากฐินจีวร กับทั้ง บริวารนี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย ครั้นรับแล้ว จงกรานกฐินด้วยผ้านี้เพื่อ ประโยชน์และความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนานเทอญ. คำถวายผ้าป่า อิมานิ มยํ ภนฺเต, ปํสุกูลจีวรานิ สปริวารานิ ภิกฺขุสงฺฆสฺส โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต, ภิกฺขุสงฺโฆ อิมานิ ปํสุกูลจีวรานิ สปริวารานิ ปฏิคฺคณฺหาตุ, อมฺหากํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย ผ้าบังสุกุลจีวร กับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้ แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ ผ้า บังสุกุลจีวร กับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อ ประโยชน์และความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนานเทอญ. คำชักผ้าป่าบังสุกุล อิมํ ปํสุกูลจีวรํ อสฺสามิกํ มยฺหํ ปาปุณาติ.
๑๘๕ คำถวายผ้าอาบน้ำฝน อิมานิ มยํ ภนฺเต, วสฺสิกสาฏิกานิ สปริวารานิ ภิกฺขุสงฺฆสฺส โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต, ภิกฺขุสงฺโฆ อิมานิ วสฺสิกสาฏิกานิ สปริวารานิ ปฏิคฺคณฺหาตุ, อมฺหากํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย ผ้าอาบน้ำฝน กับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ ผ้า อาบน้ำฝน กับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อ ประโยชน์และความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนานเทอญ. คำถวายดอกไม้ธูปเทียน อิมานิ มยํ ภนฺเต, ทีปธูปปุปฺผวรานิ สปริวารานิ รตนตฺตยสฺส ปูชนตฺถาย ภิกฺขุสงฺฆสฺส โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต, ภิกฺขุสงฺโฆ อิมานิ ทีปธูปปุปฺผวรานิสปริวารานิ ปฏิคฺคณฺหาตุ, อมฺหากํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย เทียนธูปและ ดอกไม้กับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้ แด่พระภิกษุสงฆ์ เพื่อประโยชน์แก่ การบูชาพระรัตนตรัย ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ เทียนธูปและดอกไม้ กับทั้ง บริวารทั้งหลายเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์และความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนานเทอญ.
๑๘๖ คำถวายเทียนพรรษา อิมานิ มยํ ภนฺเต, วสฺสิกทีปานิ สปริวารานิ ภิกฺขุสงฺฆสฺส โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต, ภิกฺขุสงฺโฆ อิมานิ วสฺสิกทีปานิ สปริวารานิ ปฏิคฺคณฺหาตุ, อมฺหากํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย เทียนพรรษา กับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ เทียนพรรษา กับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อ ประโยชน์และความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนานเทอญ. คำถวายเสนานสนะ กุฏิ วิหาร อิมานิ มยํ ภนฺเต, เสนาสนานิอาคตานาคตสฺส จาตุทฺทิสสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต, ภิกฺขุสงฺโฆ อิมานิ เสนาสนานิ ปฏิคฺคณฺหาตุ, อมฺหากํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย เสนาเสนะ เหล่านี้แด่พระภิกษุสงฆ์ผู้มีในทิศทั้ง ๔ ที่มาแล้วก็ดี ยังมิได้มาก็ดี ขอ พระภิกษุสงฆ์จงรับ เสนาเสนะเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์ และความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนานเทอญ.
๑๘๗ คำถวายพระพุทธรูป อิมํ ภนฺเต, พุทฺธรูปํ สงฺฆสฺส โอโณชยาม, อายตึ สาสนสฺส อติโรจนาย จ ถาวราย จ, สาธุ โน ภนฺเต, สงฺโฆ อิมํ พุทฺธรูปํ ปฏิคฺคณฺหาตุ, อมฺหากํ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย. ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย พระพุทธรูปนี้ แด่พระภิกษุสงฆ์ เพื่อความเจริญรุ่งเรือง และเพื่อความถาวรแห่งพระ ศาสนาต่อไป ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ พระพุทธรูปนี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์และความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนานเทอญ. คำถวายข้าวพระพุทธ อิมํ สูปพฺยญฺชนสมฺปนฺนํ สาลีนํ โภชนํ อุทกํ วรํ พุทฺธสฺส ปูเชมิ. คำลาข้าวพระพุทธ เสสํ มงฺคลา ยาจามิ. คำลาพระสงฆ์ หนฺททานิ มยํ ภนฺเต อาปุจฺฉาม พหุกิจฺจา มยํ พหุกรณียา. ครั้นเมื่อพระสงฆ์ผู้รับลา กล่าวว่า “ยสฺสทานิ ตุมฺเห กาลํมญฺ ถ.” ผู้ลาพึงรับพร้อมกันว่า “สาธุ ภนฺเต.” แล้วกราบ ๓ ครั้ง.
๑๘๘ ระเบียบศาสนพิธี ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ของวัดปทุมวนาราม ๑. พิธีมาฆบูชา (ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓) เวลา ๐๙.๐๐ น. - ทำวัตรเช้า - มีพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์ เวลา ๑๓.๐๐ น. - พระภิกษุสงฆ์ลงอุโบสถสังฆกรรม ฟังสวด พระปาฏิโมกข์ เวลา ๑๙.๓๐ น. - ทำวัตรเย็น - เจริญพระพุทธมนต์ตามสูตรที่กำหนดไว้ - เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม กล่าวถึงประวัติ ความเป็นมาและความสำคัญ ของวัน มาฆบูชา, เสร็จแล้ว - กล่าวนำคำถวายเครื่องสักการะ - ออกไปนมัสการ - เดินเวียนเทียนประทักษิณรอบพระอุโบสถ พระเจดีย์ พระวิหาร และเรือนพระศรีมหา โพธิ์
๑๘๙ เวลา ๒๑.๐๐ น. - แสดงพระธรรมเทศนาตลอดคืน เวลา ๐๕.๐๐ น. - ทำวัตรเช้า - เป็นเสร็จพิธี ๒. พิธีวิสาขบูชา (ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ หรือ วันโกน) เวลา ๑๗.๐๐ น. - ตั้งน้ำมนต์ - วงด้ายสายสิญจน์ - ทำวัตรเย็น - กล่าวอัญเชิญเทวดา - เจริญพระพุทธมนต์ (ทำน้ำมนต์ประจำปี) (ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖) เวลา ๐๙.๐๐ น. - ทำวัตรเช้า - มีพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์ เวลา ๑๓.๐๐ น. - พระภิกษุสงฆ์ลงอุโบสถสังฆกรรม ฟังสวด พระปาฏิโมกข์ เวลา ๑๙.๓๐ น. - ทำวัตรเย็น - เจริญพระพุทธมนต์ตามสูตรที่กำหนดไว้ - เจ้าอาวาสวัดปทุมวนารามกล่าวถึงประวัติ ความเป็นมา และความสำคัญของวัน วิสาขบูชา, เสร็จแล้ว
๑๙๐ - กล่าวนำคำถวายเครื่องสักการะ - ออกไปนมัสการ - เดินเวียนเทียนประทักษิณรอบพระอุโบสถ พระเจดีย์ พระวิหาร และเรือนพระศรีมหา โพธิ์ เวลา ๒๑.๐๐ น. - แสดงพระธรรมเทศนาตลอดคืน เวลา ๐๕.๐๐ น. - ทำวัตรเช้า - เป็นเสร็จพิธี ๓. พิธีวิสาขอัฏฐมีบูชา (วันถวายพระเพลิง) (แรม ๘ ค่ำ เดือน ๖) เวลา ๐๙.๐๐ น. - ทำวัตรเช้า - มีพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์ เวลา ๑๙.๓๐ น. - ทำวัตรเย็น - สวดพระพุทธมนต์ตามสูตรที่กำหนดไว้ - เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม แสดงพระธรรม เทศนา ๑ กัณฑ์, จบแล้ว - กล่าวนำคำถวายเครื่องสักการะ - ออกไปนมัสการ
๑๙๑ - เดินเวียนเทียนประทักษิณรอบพระอุโบสถ พระเจดีย์ พระวิหาร และเรือนพระศรีมหา โพธิ์ - เป็นเสร็จพิธี ๔. พิธีอาสาฬหบูชา (ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘) เวลา ๐๙.๐๐ น. - ทำวัตรเช้า - มีพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์ - ถวายผ้าอาบน้ำฝน - พระสงฆ์อนุโมทนา เวลา ๑๓.๐๐ น. - พระภิกษุสงฆ์ลงอุโบสถสังฆกรรม ฟังสวด พระปาฏิโมกข์ เวลา ๑๙.๓๐ น. - ทำวัตรเย็น - เจริญพระพุทธมนต์(ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร) - เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม กล่าวถึงประวัติ ความเป็นมา และความสำคัญของวัน อาสาฬหบูชา, เสร็จแล้ว - กล่าวนำคำถวายเครื่องสักการะ - ออกไปนมัสการ
๑๙๒ - เดินเวียนเทียนประทักษิณรอบพระอุโบสถ พระเจดีย์ พระวิหาร และเรือนพระศรีมหา โพธิ์ - เป็นเสร็จพิธี ๕. พิธีอธิษฐานจำพรรษา (แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘) เวลา ๐๘.๓๐ น. - ทำวัตรเช้า เวลา ๑๘.๐๐ น. - ทำวัตรเย็น - เจริญพระพุทธมนต์ - เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม บอกเขตจำ พรรษา ข้อวัตรปฏิบัติ และกิจกรรมที่จะมี ขึ้นในระหว่างพรรษากาล - กล่ าวค ำอ ธิษ ฐาน จำพ รรษ าที ละ รูป ตามลำดับพรรษา - ขอขมากันและกันทีละรูป ตามลำดับพรรษา (จนถึงสามเณรรูปสุดท้าย) - เป็นเสร็จพิธี
๑๙๓ ๖. พิธีปวารณาออกพรรษา (ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑) เวลา ๐๙.๐๐ น. - ทำวัตรเช้า - มีพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์ เวลา ๑๗.๐๐ น. - ทำวัตรเย็น - ตั้งญัตติปวารณา - ปวารณา - เจริญพระพุทธมนต์, จบ - พระเถระรูปหนึ่ง อ่าน มหามกุฏราชวรสฺส ปตฺติทานคาถา โดยสรภัญญวิธี (ทั้งบาลี และคำแปล) - เป็นเสร็จพิธี หมายเหตุ : ระเบียบศาสนพิธีนี้เปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม.
๑๙๔ ธรรมานุศาสน์ ของ สมเด็จพระวันรัต (พุทฺธสิริมหาเถร) วัดโสมนัสวิหาร ๑. เราทั้งหลายได้ปฏิญาณตนว่า เป็นผู้นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งอันอุดมกว่าสิ่งอื่น ๆ ฉะนี้แล้ว ควรที่เราทั้งหลาย จะเคารพนับ ถือพระธรรมและวินัยให้ยิ่งขึ้นไป จึงจะชอบ เพราะว่า ธรรมและวินัยนั้น เมื่อผู้ใดปฏิบัติตาม ย่อมยังผู้นั้นให้ได้ ความสุขสบาย ไม่ลุ่มหลงเดือดร้อนต่อกิเลสบาปธรรมทั้งปวง เมื่อเป็นเช่นนี้พึงทราบเถิดด้วยตนเองว่า อันนี้เป็นบุญ คือความดี ความชอบในพระพุทธศาสนา เราได้ประสบแล้ว ก็เมื่อเราทั้งหลาย ละเพศฆราวาสมาบรรพชาอุปสมบท ปรารถนาบุญ กุศล ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความสุข ไม่รุมจิตให้เร่าร้อนด้วยเพลิงกิเลส เป็นเหตุ จะนำผลคือทุกข์มาให้ ฉะนี้แล้ว จำต้องศึกษาสำเหนียกไว้ในข้อธรรมและ วินัยให้ถ่องแท้และไม่แกล้งล่วงหวงดองอาบัติน้อยใหญ่ ไว้ให้เป็นอนาวีติกกมันตราย เพราะฉะนั้น บัดนี้จะได้แสดงวินัยกถา จงมนสิการทำไว้ในใจ แล้ว ปฏิบัติไปให้สำเร็จประโยชน์ของตน ๆ เทอญ ฯ
๑๙๕ ๒. เราทั้งหลายนับถือพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าว่า เป็นที่พึ่งอัน ประเสริฐ และรู้ชัดว่าเพศสมณะนี้ เป็นเพศอันดีเป็นหนทางที่จะทำให้ออก จากทุกข์ ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานได้ ดังนี้ จึงได้ละฆราวาสคิหิพรรณออก บรรพชา นุ่งห่มผ้าย้อมฝาดสีเดียว เป็นอุบายที่จะระงับกิเลส ข่มกิเลส ด้วยพระสุคตเจ้านั้น พระองค์เป็นผู้ดำเนินดีแล้ว ในสัมมาปฏิปทา หนทางข้อปฏิบัติชอบ กำจัดกิเลสดับขาดสิ้นเชิง ด้วยพระปรีชาที่รู้แจ้ง ประจักษ์ชัด ในของที่เป็นจริงทั้งเหตุและผลทั้งสองประการ อาโลกชัชวาล ความสว่างแจ่มแจ้งเกิดขึ้นแก่พระทัยของพระองค์ ความมืดคือกิเลสนั้น ดับหายไปจากพระสันดาน ดังนี้ เป็นคุณธรรมที่ทรงทราบชัดเจนในของจริง แล้วพระองค์ทรงประกาศความดีและความชอบ คือธรรมและวินัย ซึ่งเป็นอุบายที่จะประสบของจริงให้ไว้จนถึงเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายได้ ประพฤติตาม ละความโลภ ละความโกรธ ละความหลง ขาดจากสันดานได้ สิ้นทุกข์ด้วยประการทั้งปวงแล้ว ไม่ต้องเป็นทาสของตัณหาต่อไป เป็นคุณ แห่งความปฏิบัติชอบ ในหนทางสิ้นทุกข์ ก็เราทั้งหลายมาชอบใจนับถือศาสนา คือคำสอนของผู้สิ้นกิเลส เป็น หนทางดับทุกข์ ฉะนี้แล้ว จงศึกษาธรรมวินัย จะได้เป็นเครื่องขัดเกลา ชำระ ธุลี คือกิเลสอันเป็นบาป เป็นของชั่วหยาบ ลามก หมักหมมพอกสันดาน ให้ เกลี้ยงสะอาดเบาบางไป จึงสมกับปฏิญาณว่า เป็นผู้นับถือพระพุทธเจ้าว่า เป็นที่พึ่งฉะนี้ เพราะเหตุนั้น บัดนี้จะได้แสดงวินัยกถา จงตั้งใจฟังแล้วปฏิบัติศึกษา ให้สำเร็จประโยชน์ของตน ๆ เทอญ ฯ
๑๙๖ ๓. ผู้ที่หวังศึกษา มาบรรพชาอุปสมบท เป็นภิกษุและสามเณรในพระ ศาสนาของพระพุทธเจ้า เป็นมรรคาทางดับทุกข์และเพลิงกิเลสให้เบาบาง จากสันดานของผู้ปฏิบัติได้จริง ประเสริฐกว่าศาสนาของครูอาจารย์ติตถิย ปริพาชก เหล่าที่มีศาสนาคำสอนอื่นทั้งปวง เพราะฉะนั้น จึงได้ละเพศออกบรรพชา มิได้ชอบอยู่ในเรือนกับด้วย บุตรภรรยาและญาติของตน และมิได้ชอบใจศาสนาคำสอนของอัญญ เดียรถีย์นั้น ๆ ก็เมื่อมาชอบใจศาสนาคำสอนของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า อันเป็นสันติวรบท หนทางพระนิพพานเป็นเครื่องระงับกิเลส ฉะนี้แล้ว ควร จะต้องศึกษาในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ศึกษาข้อปฏิบัติกาย วาจา จิต ให้ สมกับศาสนาที่เป็นของจริง ไม่ใช่ของเล่น ไม่ใช่ของคนมีกิเลสบัญญัติ พึงนุ่งสบง ห่มจีวร เป็นต้น ให้เป็นปริมณฑลตามเสขิยวัตร ศึกษา มรรยาทเครื่องปฏิบัติกายวาจาให้เรียบร้อย นุ่งห่มพ้นจากคฤหัสถ์ มีนุ่งผ้าสี ต่าง ๆ แสดงตัวอย่างผู้บริโภคกาม พึงหัดวาจาที่จะพูด พูดแต่ในที่ควรแก่กาล เมื่อกาลควรจะ ประกอบการบุญกุศล ก็พร้อมเพรียงกัน และกาลที่จะรับฟังธรรมคำสั่งสอน ควรฟังโดยเคารพ อย่าทำความฟุ้งซ่านให้เกิดขึ้นในจิต ดังคนเสียจริต ไม่ รู้จักกาลควรพูด และไม่ควรพูด ให้เป็นอันตรันตรกถา พึงหัดจิตในกาลที่ควรจะสงบระงับ และในกาลที่ควรจะเจริญสมถะ และวิปัสสนากัมมัฏฐาน ยังจิตให้เกิดความเลื่อมใส ในพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และในกาลควรประกอบบุญกุศลนั้น ๆ ควรจะสงบจิต
๑๙๗ ไม่ควรแสดงความเพ่งต่อสิ่งที่จะยังจิตให้เพลิดเพลินหัวเราะเล่น ยังความ ประมาทให้เป็นไป แสดงความไม่เลื่อมใสดังของเล่น เมื่อเป็นเช่นนี้ จิตของผู้นั้น ก็จะเหินห่างจากบุญกุศล เพราะบุญกุศล จะเกิดขึ้น เป็นไปในจิตของบุคคล ก็ด้วยประพฤติในสิ่งที่ดี ที่ชอบ ที่ควรแก่ กาล ยังสันดานให้ผ่องแผ้ว สงบระงับอดกลั้นไม่ฟุ้งซ่านต่อกิเลสและอารมณ์ ที่จะพาจิตให้รื่นเริงหัวเราะ เป็นนิสัยพาลชนนั้น ๆ จึงยังบุญกุศลให้เกิดขึ้น ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายควรตั้งใจศึกษาฟังธรรมวินัยโดยเคารพ อย่ามาตรว่าทำเล่น ดังพรรณนามาแล้วนั้น ให้เป็นการศึกษา จะได้คุ้ม อาบัติโทษโดยกาลสมควรตามพระธรรมวินัย ให้สำเร็จประโยชน์ส่วนกุศล ของตนเทอญ ฯ ๔. ผู้ที่ถึงพร้อมแล้วด้วยสิกขาและสาชีวะของภิกษุทั้งหลาย คือ อธิศีลและอาชีวสิกขาบท ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้จึงเป็นภิกษุได้ เพราะเหตุนั้น เราทั้งหลายปฏิญาณตนว่าเป็นภิกษุแล้ว ก็จำต้องศึกษาให้รู้ ทั่วไปในสิกขาบทน้อยใหญ่ทั้งปวง ถ้ายังไม่รู้ให้ไต่ถามซักถามความใน สิกขาบทนั้น ๆ ให้รู้ให้เข้าใจ อย่างนี้แหละเป็นกิจของภิกษุผู้ที่ยังไม่รู้จะพึง ทำ ถ้าภิกษุใดยังไม่รู้และทอดธุระเสีย ไม่ศึกษาหรือไปประกอบกิจอื่น ๆ เสีย ไม่ควรเลยแก่ผู้นั้น เป็นอาบัติโดยพุทธบัญญัติว่า ให้ภิกษุผู้ที่ศึกษาอยู่ พึงรู้ทั่วไป ถ้ายังไม่รู้ให้ไต่ถาม ซักถาม ให้รู้ให้เข้าใจในสิกขาบทน้อยใหญ่ อันนี้เป็นความชอบในเธอนั้น
๑๙๘ เหตุดังนั้น เราทั้งหลายพึงเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ตั้งใจศึกษาฟัง สิกขาบทโดยเคารพ ที่จะแสดงไปเดี๋ยวนี้ให้สำเร็จประโยชน์จริง ๆ อย่า หลอกกัน อย่าลืมคำเดิมที่ปฏิญาณไว้ว่า จะออกจากทุกข์ทำให้แจ้งซึ่งพระ นิพพาน ศาสนานั้นหายาก ความเป็นมนุษย์ก็ได้ด้วยยาก อย่าปฏิบัติผิดให้ เป็นคนนอกศาสนาเสียเลย ฯ ๕. เราทั้งหลายมาประพฤติพรหมจรรย์ บวชเป็นภิกษุและสามเณร ณ ศาสนานี้ เพื่อจะหลอกให้คนในโลกเลื่อมใสนับถือก็หามิได้เพื่อที่จะได้ พูดจาปราศรัยกับชนมีศักดิ์ คือเจ้านายเป็นต้น ก็หามิได้เพื่อจะอวดให้เขารู้ ว่าตนเป็นคนสุกมิใช่คนดิบ คือได้บวชประพฤติพรหมจรรย์แล้ว สึกไปจะได้ หาเมียง่าย ๆ ก็หามิได้ เราทั้งหลายมาบวชเป็นภิกษุและสามเณร ประพฤติพรหมจรรย์ใน ศาสนานี้ หวังจะออกจากทุกข์ ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน จึงได้ลั่นวาจาว่า “สพฺพทุกฺขนิสฺสรณนิพฺพานสจฺฉิกรณตฺถาย” ดังนี้ ทุก ๆ คน การที่ ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานนั้น ก็ต้องปิดกั้นบาป อกุศลเสีย อย่าให้เกิดขึ้นได้ ถ้าเกิดขึ้นแล้วก็ต้องเพียรละเสีย เว้นเสีย ด้วย ทำกายวาจาใจให้บริสุทธิ์ อยู่ด้วยสติความระวัง ปิดกั้นบาปและอกุศลเสีย อย่างนี้แหละ เป็นความชอบ สมควรแก่เราทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติจะออกจาก ทุกข์ ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน จะระวังปิดกั้นบาปอกุศลเสียได้ก็ต้อง อาศัยปฏิบัติดีในพระธรรมวินัยนี้ เหตุดังนั้น บัดนี้จะได้แสดงวินัยกถา จงพากันตั้งใจฟังโดยเคารพ ให้ สำเร็จการศึกษาวินัยของตน ๆ นั้น เทอญ ฯ
๑๙๙ ๖. เราทั้งหลายมาบวชด้วยศรัทธาในศาสนานี้ บริโภคจตุปัจจัยสี่ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช ที่ทายกหวังผล แล้วให้ด้วยศรัทธา เลื่อมใส แล้วแลไปทำกิจนอกพระศาสนาเสีย ก่อกิเลสให้กำเริบกล้าขึ้น หา ทำกิจในศาสนา คือ ปฏิบัติดับราคะ โทสะ โมหะไม่ อย่างนี้ไม่ชอบเลยแก่ เราทั้งหลาย เพราะว่า พระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายนั้น พระองค์สิ้นราคะ โทสะ โมหะแล้ว จึงทรงพระนามว่า “อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ” พระองค์นั้น ตรัสเทศนาสั่งสอนสัตว์ เพื่อให้ละราคะ โทสะ โมหะ อย่างเดียวเท่านั้น คำสั่งสอนของพระองค์นั้น จึงชื่อว่า “สฺวากฺขาโต” ผู้ปฏิบัติตามพระองค์นั้นเล่าก็ละ ราคะ โทสะ โมหะ ได้แล้ว จึงชื่อว่า “สุปฏิปนฺโน” เพราะเหตุนั้น ผู้ใดมาบวชในพระศาสนานี้ พึงรู้ว่า เราจะต้องปฏิบัติ รบข้าศึก คือ ราคะ โทสะ โมหะ เท่านั้น พระอุปัชฌาย์จึงได้ให้ ตจปัญจก กัมมัฏฐาน คือ เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ดังนี้ แต่เมื่อแรกอุ้มผ้ากาสาว พัสตร์เข้ามาขอบรรพชา เพื่อจะให้เป็นอาวุธสำหรับประหารข้าศึก คือ ราคะ โทสะ โมหะ อนึ่ง ศีลจะบริสุทธิ์ไม่เป็นอาบัติเล่า ก็ต้องรู้จักสิกขาบท วินัย ที่ พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ถ้าไม่รู้ไซร้ยากอยู่ที่จะรักษาตนให้เป็นคนพ้น จากอาบัติมีศีลบริสุทธิ์ได้ เพราะเหตุนั้น เราทั้งหลายพึงเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ตั้งใจศึกษาฟัง สิกขาบทโดยเคารพ ที่จะแสดงเดี๋ยวนี้ ให้สำเร็จประโยชน์เทอญ ฯ