ทรัพย์สินทางปัญญา
ผู้จัดทำ
นางสาวปิยนุช จองนาง
ความหมายและความสำคัญของ
ทรัพย์สินทางปัญญา
ทรัพย์สินทางปัญญา หมายถึง ผลงานที่เกิดจากการประดิษฐ์คิดค้น การออกแบบของมนุษย์ที่ได้รับความ
คุ้มครองตามกฎหมาย ทรัพย์สินทางปัญญาถือเป็นทรัพย์สินประเภทหนึ่ง ซึ่งผู้เป็นเจ้าของย่อม
มีสิทธิในการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินนั้นสามารถใช้ดำเนินการใดๆ อันเป็นการใช้หาประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้
เช่นเดียวกับ ทรัพย์สินประเภทอื่นๆ รวมทั้งมีสิทธิในการหวงกันมิให้บุคคลอื่นมาใช้ประโยชน์ หรืออธิบายอย่าง
ง่ายๆว่า ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นสิทธิตามกฎหมายของผู้สร้างสรรค์แต่เพี ยงผู้เดียวที่จะกระทำอย่างใดก็ได้
กับงานสร้างสรรค์ของตน
ประเภทของทรัพย์สิน
ทางปัญญา
ศิลปกรรม
งานวรรณกรรม ภาพยนต์ นาฏกรรม
ประเภทของทรัพย์สิน
ทางปัญญา
เครื่องหมายการค้า ภูมิปัญญาท้องถิ่น
สิทธิบัตร อนุสิทธิบัตร
ประเภทของทรัพย์สินทางปัญญา
ทรัพย์สินทางปัญญา ๒ ประเภทใหญ่ๆ ตามลักษณะของธรรมชาติของผลงานสร้างสรรค์ได้ ดังนี้
1.ลิขสิทธิ์ หมายถึง งานหรือความคิดสร้างสรรค์ ๙ ประเภท ได้แก่ งานวรรณกรรม นาฏกรรม ศิลปกรรม
ดนตรีกรรม โสตทัศนวัตถุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง งานแพร่เสียง แพร่ภาพ และงานอื่นใดในวรรณคดี
วิทยาศาสตร์ และศิลปะรวมไปถึงสิทธิข้างเคียง โปรแกรมคอมพิ วเตอร์ งานฐานข้อมูลต่างๆ
2.ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม หมายถึง ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่เกี่ยวกับสินค้าอุตสาหกรรม
ไม่ว่าจะเป็นการประดิษฐ์ คิดค้น ออกแบบผลิตภัณ์ทางอุตสาหกรรม แบ่งออกเป็น สิทธิบัตร อนุสิทธิบัตร
เครื่องหมายการค้า ความลับทางการค้า ภูมิปัญญาท้องถิ่น
กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครอง
ทรัพย์สินทางปัญญา
1.พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ (แก้ไขเพิ่ มเติมฉบับที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๕๘)
-มีเจตนารมณ์ในการรับรองสิทธิตามแบบธรรมชาติของผู้สร้างสรรค์ จูงใจให้เกิดการพั ฒนางานที่มีคุณค่าทาง
สังคมและส่งเสริมการลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ มีสาระสำคัญดังนี้
1.1 งานอันมลิขสิทธิ์ ได้แก่ งานสร้างสรรรค์ประเภทวรรณกรรม นาฏกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม
โสตทัศนวัตถุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง งานแพร่เสียง แพร่ภาพ ไม่ว่างานดังดังกล่าวจะแสดงออกโดย
วิธีการหรือรูปแบบใด การคุ้มครองลิขสิทธิ์ไม่ได้ครอบคลุมถึงความคิดหรือขั้นตอน กรรมวิธีหรือระบบ
หรือวิธีใช้
กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครอง
ทรัพย์สินทางปัญญา
1.2 การคุ้มครองลิขสิทธิ์เจ้าของลิขสิทธิ์มีสิทธิ แต่เพี ยงผู้เดียวในกาทำซ้ำหรือดัดแปลงเผยแพร่ต่อ
สาธารณชนให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนางานโปรแกรมคอมพิ วเตอร์ จ้าของลิขสิทธิ์อนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิได้
โดยจะกำหนด เงื่อนไขอย่างใดหรือไม่ก็ได้ แต่เงื่อนไขดังกล่าวจะกำหนดในลักษณะที่เป็นการ จำกัดการ
แข่งขันโดยไม่ เป็นธรรมไม่ได้ แต่ถ้าผู้อื่นกระทำการทำซ้ำหรือ ดัดแปลงหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนในงาน
อันมีลิขสิทธิ์ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ ลิขสิทธิ์ถือว่าเป็นการละเมิดจะต้องได้รับโทษ ตามบทบัญญัติ
ของกฎหมายเจ้าของลิขสิทธิ์ อาจโอนลิขสิทธิ์ของตนทั้งหมดหรือ แต่บางส่วนให้แก่บุคคลอื่นได้โดยมี
กำหนดเวลาหรือตลอดอายุแห่งการคุ้มครอง
กฎหมายเกี่ยวก
ับการคุ้มครอง
ทรัพย์สินทางปัญญา
1.3 อายุการคุ้มครองลิขสิทธิ์ จะมีผลเกิดขึ้นทันทีที่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ผล
งานโดยได้รับความคุ้มครองตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์และมีอยู่ต่อไปอีกเป็น
เวลา ๕๐ ปีนับ แต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตายในกรณีที่มีผู้สร้างสรรค์ร่วมให้
ได้รับความคุ้มครองตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์ร่วมและมีอยู่ต่อไปอีกเป็น
เวลา ๕๐ ปีนับ แต่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายถึงแก่ความตาย แต่ถ้าผู้
สร้างสรรค์หรือผู้สร้างสรรค์ร่วมทุกคนได้ถึงแก่ความตายก่อนที่จะมีการ
โฆษณาผลงานนั้นให้ลิขสิทธิ์ดังกล่าวมีอายุ ๕๐ ปีนับ แต่ได้มีการโฆษณา
เป็นครั้งแรก
กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครอง
ทรัพย์สินทางปัญญา
1.4 การละเมิดลิขสิทธิ์ แบ่งออกเป็น
(1) การละเมิดลิขสิทธิ์โดยตรง คือ การทำซ้ำ ดัดแปลง เผยแพร่โปรแกรมคอมพิ วเตอร์แก่สาธารณชน
รวมทั้งการนำต้นฉบับหรือ สำเนางานดังกล่าวออกให้เช่า โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์
(2) การละเมิดลิขสิทธิ์โดยอ้อม คือ การกระทำทางการค้า หรือการกระทำที่มีส่วนสนับสนุนให้เกิดการ
ละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าวข้างต้น โดยผู้กระทำรู้อยู่แล้วว่างานใดได้ทำขึ้น โดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น
แต่ก็ยังกระทำเพื่ อหากำไรจากงานนั้น ได้แก่ การขายมีไว้เพื่ อขายให้เช่าเสนอให้เช่าให้เช่าซื้อ
เสนอให้เช่าซื้อเผยแพร่ต่อสาธารณชน แจกจ่ายในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อ
เจ้าของลิขสิทธิ์และนำสั่งเข้ามาในราชอาณาจักร
กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครอง
ทรัพย์สินทางปัญญา
1.5 บทกำหนดโทษ
(1) การละเมิดลิขสิทธิ์โดยตรง มีโทษปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ 500,000 บาทหากเป็นการกระทำเพื่ อการค้า
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง ๔ ปีหวยปรับตั้งแต่ 900,000 บาทถึง 400,000 บาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
(2) การละเมิดลิขสิทธิ์โดยอ้อมมีโทษปรับตั้งแต่ ๑๐,๐๐๐ บาทถึง 900,000 บาทหากเป็นการกระทำ
เพื่ อการค้าต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๓ เดือนถึง ๒ ปีหรือปรับตั้งแต่ ๕๐,๐๐๐ บาท
400,000 บาทหรือทั้งจําทั้งปรับ
กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครอง
ทรัพย์สินทางปัญญา
2.พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ (แก้ไขเพิ่ มเติมฉบับที่ พ.ศ. ๒๕๔๒)
-มีเจตนารมณ์ในการรับรองสิทธิของผู้ประดิษฐ์และ ผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่ อจูงใจให้เกิดการพั ฒนา
เทคโนโลยีใหม่ๆ อันนำไปสู่การพั ฒนาอุตสาหกรรม เพื่ อส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างประเทศ
และ เพื่ อส่งเสริมการลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ มีสาระสำคัญดังนี้
2.1 ประเภทของสิทธิบัตร สิทธิบัตร หมายถึงหนังสือที่รัฐออกให้เื่อคุ้มครองการประดิษฐ์ การออกแบบ
ผลิตภัณฑ์ หรือผลิตภัณฑ์อรรถประโยชน์ ที่มีลักษณะตามที่กฎหมายกำหนด โดยแบ่งออกเป็น
3 ประเภท ได้แก่
(1) สิทธิบัตรการประดิษฐ์ หมายถึง ความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับลักษณะองค์ประกอบ โครงสร้างหรือ
กลไกของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งกรรมวิธีการในการผลิต รักษาหรือปรับปรุง คุณภาพของผลิตภัณฑ์
ให้ดีขึ้นหรือแแตกต่างจากเดิม เช่น กลไกของเครื่องยนต์
กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครอง
ทรัพย์สินทางปัญญา
(2) สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ หมายถึง ความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับรูปร่างลักษณะภายนอก
ของผลิตภัณฑ์ ที่แตกต่างไปจากเดิม เช่น การทำจานให้มีรูปแบบคล้ายใบไม้
(3) อนุสิทธิบัตรหรือผลิตภัณฑ์อรรถประโยชน์ คือ หนังสือที่สำคัญที่รัฐออกให้เพื่ อคุ้มครองการ
ประดิษฐ์จะมีลักษณะคล้ายกันกับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ แต่เป็นความคิดสร้างสรรค์ที่มีระดับการ
พั ฒนาเทคโนโลยีไม่สูงมาก หรือเป็นการประดิษฐ์คิดค้นเพี ยงเล็กน้อย
กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครอง
ทรัพย์สินทางปัญญา
2.2 การขอรับสิทธิบัตร การขอรับสิทธิบัตรในแต่ละประเภทจะต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครอง
ทรัพย์สินทางปัญญา
2.3 อายุการคุ้มครองสิทธิบัตร
-สิทธิบัตรการประดิษฐ์มีอายุ 20 ปี นับแต่วันขอรับสิทธิบัตร
-สิทธิบัตรการออกแแบบผลิตภัณฑ์มีอายุ 10 ปี นับแต่วันขอสิทธิบัตร
-อนุสิทธิบัตรให้มีอายุ 6 ปี นับแต่วันขอสิทธิบัตร
-ผู้ทรงอนุสิทธิบัตรอาจขอต่ออนุสิทธิบัตรได้ 2 ครั้ง ครั้งละ 2 ปี โดยให้ยื่ยคำขอต่ออายุต่อพนักงาน
เจ้าหน้าที่ภายใน 90 วัน ก่อนวันสิ้นอายุ
กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครอง
ทรัพย์สินทางปัญญา
2.4 บทกำหนดโทษการละเมิดสิทธิบัตร สำหรับความผิดฐานละเมิดสิทธิบัตรโดยไม่ได้รับอนุญาติ
จากผู้ทรงสิทธิบัตร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 400,000 บาท หรือทั้ง
จำทั้งปรับ ความผิดตามกฎหมายสิทธิบัตรนี้เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน จึงไม่อาจยอมความ
กันได้
กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครอง
ทรัพย์สินทางปัญญา
3.พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. ๒๕๓๔ (แก้ไขเพิ่ มเติมฉบับที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๕๙)
-มีเจตนารมณ์ในการป้องกันผลประโยชน์ ของเจ้าของเครื่องหมาย มิให้ถูกเอาเปรียนด้วยการนำเอา
เครื่องหมายการค้าไปใช้โดยมิได้รับอนุญาต
3.1 ประเภทของเครื่องหมายการค้าเครื่องหมายการค้าหมายถึงเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์หรือตราที่ใช้
กับสินค้าหรือบริการ มี 4 ประเภท ดังต่อไปนี้
(1) เครื่องหมายการค้า คือ เครื่องหมายที่ใช้เป็นที่หมายหรือเกี่ยวข้องกับสินค้าเพื่ อแสดงว่าสินค้าที่ใช้
เครื่องหมายนั้นแตกต่างกับสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นเช่นบรีสมาม่ากระทิงแดง
เป็นต้น
(2) เครื่องหมายบริการ คือ เครื่องหมายที่ใช้เป็นที่หมายหรือเกี่ยวข้องกับเพื่ อแสดงว่าบริการที่ใช้
เครื่องหมายนั้นมีความแตกต่าง กับบริการที่ใช้เครื่องหมายบริการของบุคคลอื่นเช่น เครื่องหมาย
ของสายการบิน ธนาคาร โรงแรม เป็นต้น
กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครอง
ทรัพย์สินทางปัญญา
(3) เครื่องหมายรับรอง คือ เครื่องหมายที่เจ้าของเครื่องหมายรับรองใช้เป็นที่หมายหรือ เกี่ยวข้องกับสินค้า
และของบุคคลอื่นเพื่ อ เป็นการรับรองคุณภาพของสินค้าหรือบริการเหล่านั้นเช่น เชลล์ชวนชิม แม่ช้อย
นางรํา เป็นต้น
(4) เครื่องหมายร่วม คือ เครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายบริการที่ใช้โดย บริษัท หรือวิสาหกิจในกลุ่ม
เดียวกันหรือ โดยสมาชิกของสมาคมหรือองค์กรอื่นใด ของรัฐหรือเอกชน เช่น ตราช้างของเครือ
บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด เป็นต้น
กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครอง
ทรัพย์สินทางปัญญา
3.2 การขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
(1) เป็นเครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะเฉพาะหมายถึงต้องทำให้ประชาชนหรือผู้ใช้สินค้านั้นทราบและเข้าใจ
ได้ว่าสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้านั้นแตกต่างไปจากสินค้าอื่นสิ่งที่มีลักษณะเฉพาะ ได้แก่ ชื่อสกุลของ
บุคคล นิติบุคคล
(2) เป็นเครื่องหมายการค้าที่ไม่มีลักษณะต้องห้าม เช่น ไม่เป็นตราแผ่นดินพระปรมาภิไธย พระบรม
ฉายาลักษณ์ขัดต่อศีลธรรมอันดี ฯลฯ ชื่อทางภูมิศาสตร์ เช่น ชื่อประเทศ ทวีปอื่นๆ หลายของ
บุคคลอื่นไม่ว่าเครื่องหมายดังกล่าวจะได้เป็นต้น
(3) ไม่เป็นเครื่องหมายการค้าที่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าที่คลอื่นได้จดทะเบียนไว้แล้ว
กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครอง
ทรัพย์สินทางปัญญา
3.3 การรับจดทะเบียนและผลแห่งการรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า เมื่อนายทะเบียนพิ จารณาแล้ว หรือ
เห็นควรรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า รายการใดให้นายทะเบียนมีคำสั่งให้ประกาศโฆษณา คำขอจด
ทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายนั้น
3.4 การต่ออายุและการเพิ กถอนการลดทะเบียนเครื่องหมายการค้า การจัดทะเบียนเครื่องหมายการค้าให้
มีอายุ ๑๐ ปีนับ แต่วันที่จดทะเบียนตามกฎหมายและอาจต่ออาได้โดยเป็นไปตามบทบัญญัติแห่ง
กฎหมาย
3.5 บทกำหนดโทษละเมิดเครื่องหมายการค้า บุคคลที่ปลอมแปลงเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ
เครื่องหมายรับรอง หรือเครื่องหมายร่วมของบุคคลอื่น ที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วต้องระวางโทษจำคุกไม่
เกิน ๔ ปีหรือปรับไม่เกิน 400,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนในกรณีที่เลียนแบบ
เครื่องหมายการค้าเครื่องหมายบริการ เพื่ อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นเครื่องหมายการค้าเครื่องหมาย
บริการต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครอง
ทรัพย์สินทางปัญญา
กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครอง
ทรัพย์สินทางปัญญา
4.พระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๕
- ความลับทางการค้าคือข้อมูลการค้าซึ่งยังไม่รู้จักกันโดยทั่วไปโดย เป็นข้อมูลที่นำไปใช้ประโยชน์ในทางการ
ค้า เนื่องจากการเป็นความลับและ เป็นข้อมูลที่เจ้าของ หรือ ผู้มีหน้าที่ควบคุมความลับทางการค้าได้ใช้วิธี
การที่เหมาะสมรักษาไว้เป็นความลับ ตัวอย่างเช่น สูตรยา สูตรอาหาร
4.1 การคุ้มครองความลับทางการค้า ตามปกติแล้วความลับทางการค้าจะได้รับความคุ้มครองตราบเท่าที่ยัง
เป็นความลับอยู่เพราะฉะนั้น สิทธิของเจ้าของความลับทางการค้าจึงมีอยู่ตลอดไป หากความลับทางการ
ค้านั้น ยังไม่ได้รับการเปิดเผยและความลับทางการค้า จะได้รับความคุ้มครองโดยไม่ต้องมีการจด
ทะเบียน แต่อย่างใดนอกจากนี้ความลับทางการค้า ยังสามารถโอนให้แก่บุคคลอื่นได้
4.2 การละเมิดสิทธิในความลับทางการค้า ได้แก่ การกระทำที่เปิดเผยหรือโดเอาไป
กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครอง
ทรัพย์สินทางปัญญา
4.3 บทกำหนดโทษการละเมิดความลับทางการค้า บุคคลที่เปิดเผยความลับทางการค้าของผู้อื่นให้เป็นที่
ล่วงรู้โดยมีเจตนากลั่นแกล้ง ให้ผู้ควบคุมความลับทางการค้าได้รับความเสียหายในการประกอบธุรกิจ
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ การละเมิดสิทธิใน
ความลับทางการค้าเป็นความผิดอันยอมความกันได้ แต่ถ้าหากผู้กระทําความผิด เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ
จะไม่สามารถยอมความได้