พุทธประวัติ History of Buddha วิชาพระพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้า พระนามเดิมว่า “ สิทธัตถะ “ เป็นพระราชโอรสของ พระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายา แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้น สักกะ พระองค์ทรงถือกำ เนิดในศากยวงค์ สกุลโคตมะ พระองค์ ประสูติ ในวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ( เดือนวิสาขะ ) ปีจอ ก่อน พุทธศักราช ๘๐ ปี ณ สวนลุมพินีวัน ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ กับกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ ( ปัจจุบันคือตำ บลรุมมิ นเด ประเทศเนปาล ) พุทธประวัติ ประสูติ
พระราชกุมารได้รับการทำ นายจากอสิตฤาษีหรือ กาฬเทวิลดาบส มหาฤาษีผู้บำ เพ็ญฌานอยู่ในป่า หิมพานต์ซึ่งเป็นที่ทรงเคารพนับถือของพระเจ้าสุทโธ ทนะว่า “ พระราชกุมารนี้เป็นอัจฉริยมนุษย์ มีลักษณะ มหาบุรุษครบถ้วน บุคคลที่มีลักษณะดังนี้ จักต้องเสด็จ ออกจากพระราชวังผนวชเป็นบรรพชิตแล้วตรัสรู้เป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ไม่มีกิเลสในโลกเป็นแน่ “ การขนานพระนาม และทรงเจริญพระชนม์
หลังจากประสูติได้ ๕ วัน พระเจ้าสุทโธทนะโปรดให้ประชุมพระประยูรญาติ และ เชิญพราหมณ์ผู้เรียนจบไตรเพท จำ นวน ๑๐๘ คน เพื่อมาทำ นายพระลักษณะของ พระราชกุมาร พระประยูรญาติได้พร้อมใจกันถวายพระนามว่า “สิทธัตถะ” มีความหมายว่า “ ผู้มีความสำ เร็จสมประสงค์ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนตั้งใจจะทำ ” ส่วนพราหมณ์เหล่า นั้นคัดเลือกกันเองเฉพาะผู้ที่ทรงวิทยาคุณประเสริฐกว่าพราหมณ์ทั้งหมดได้ ๘ คน เพื่อทำ นายพระราชกุมาร พราหมณ์ ๗ คนแรก ต่างก็ทำ นายไว้ ๒ ประการ คือ การขนานพระนาม และทรงเจริญพระชนม์
“ ถ้าพระราชกุมารเสด็จอยู่ครองเรือนก็จักเป็นพระเจ้า จักรพรรดิผู้ทรงธรรม หรือถ้าเสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต จักเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ไม่มีกิเลสในโลก” ส่วน โกณฑัญญะพราหมณ์ ผู้มีอายุน้อยกว่าทุกคน ได้ทำ นายเพียง อย่างเดียวว่า พระราชกุมารจักเสด็จออกจากพระราชวัง ผนวชเป็นบรรพชิต แล้วตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ เจ้าผู้ไม่มีกิเลสในโลก “ การขนานพระนาม และทรงเจริญพระชนม์
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้ ๗ วัน พระราชมารดาก็เสด็จสวรรคต (การเสด็จสวรรคตดังกล่าวเป็นประเพณีของผู้ที่เป็นพระมารดาของ พระพุทธเจ้า) พรเจ้าสุทโธทนะทรงมอบหมายให้พระนางมหาปชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายา เป็นผู้ถวายอภิบาลเลี้ยงดู เมื่อ พระสิทธัตถะทรงพระเจริญมีพระชนมายุได้ ๘ พรรษา ได้ทรงศึกษาใน สำ นักอาจารย์วิศวามิตร ซึ่งมีเกียรติคุณแพร่ขจรไปไกลไปยังแคว้นต่างๆ เพราะเปิดสอนศิลปวิทยาถึง ๑๘ สาขา เจ้าชายสิทธัตถะทรงศึกษา ศิลปวิทยาเหล่านี้ได้อย่างว่องไว และเชี่ยวชาญจนหมดความสามารถของ พระอาจารย์ การขนานพระนาม และทรงเจริญพระชนม์
ด้วยพระราชบิดามีพระราชประสงค์มั่นคงที่จะให้เจ้าชายสิทธั ตถะทรงครองเพศฆราวาสเป็นพระจักพรรดิผู้ทรงธรรม จึง พระราชทานความสุขเกษมสำ ราญ แวดล้อมด้วยความบันเทิง นานาประการแก่พระราชโอรสเพื่อผูกพระทัยให้มั่นคงในทางโลก เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเจริญพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา พระเจ้าสุทโธ ทนะมีพระราชดำ ริว่าพระราชโอรสสมควรจะได้อภิเษกสมรส ทรงสู่ขอพระนางพิมพาหรือยโสธรา พระราชธิดาของพระเจ้า สุปปพุทธะและพระนางอมิตา แห่งเทวทหะนคร ในตระกูลโกลิ ยวงค์ ให้อภิเษกด้วย เจ้าชายสิทธัตถะได้เสวยสุขสมบัติ จนพระ ชนมายุมายุได้ ๒๙ พรรษา พระนางพิมพายโสรธาจึงประสูติพระ โอรส อภิเษกสมรส
ออกบรรพชา เจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นผู้มีพระบารมีอันบริบูรณ์ ถึงแม้ พระองค์จะทรงพรั่งพร้อมด้วยสุขสมบัติมหาศาลก็มิได้พอพระทัย ในชีวิตคฤหัสถ์ พระองค์ยังทรงมีพระทัยฝักใฝ่ใคร่ครวญถึง สัจธรรมที่จะเป็นเครื่องนำ ทางซึ่งความพ้นทุกข์อยู่เสมอ พระองค์ ได้เคยสด็จประพาสอุทยาน ได้ทอดพระเนตรเทวทูตทั้ง ๔ คือคน แก่ คนเจ็บ คนตาย และบรรพชิต พระองค์จึงสังเวชพระทัยในชีวิต และพอพระทัยในเพศบรรพิต มีพระทัยแน่วแน่ที่จทรงออกผนวช เพื่อแสวงหาโมกขธรรมอันเป็นทางดับทุกข์ถาวรพ้นจากวัฏสงสาร ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก พระองค์จึงตัดสินพระทัยเสด็จ ออกทรงผนวช
เข้าศึกษาในสำ นักดาบส หลังจากทรงผนวชแล้ว สมณสิทธัตถะได้ทรงศึกษาใน สำ นักอาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทกดาบส รามบุตร ณ กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ พระองค์ได้ทรงประพฤติ พรหมจรรย์ในสำ นักของอาฬารดาบส กาลามโคตร ทรงได้ สมาบัติเมื่อสำ เร็จการศึกษาจากทั้งสองสำ นักนี้แล้ว พระองค์ทรงทราบว่ามิใช่หนทางพ้นจากทุกข์ บรรลุพระ โพธิญาณ ตามที่ทรงมุ่งหวัง พระองค์จึงทรงลาอาจารย์ทั้ง สอง เสด็จไปใกล้บริเวณแม่น้ำ เนรัญชรา ที่ตำ บลอุรุเวลา เสนานิคม กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ
เมื่อพระองค์ทรงหันมาศึกษาค้นคว้าด้วยพระปัญญาอันยิ่ง ด้วยพระองค์เอง พระองค์ได้ทรงบำ เพ็ญทุกรกิริยา คือการบำ เพ็ญ อย่างยิ่งยวดในลักษณะต่างๆเช่น การอดพระกระยาหาร การ ทรมานพระวรกายโดยการกลั้นพระอัสสาสะ พระปัสสาสะ ( ลม หายใจ ) การกดพระทนต์ การกดพระตาลุ ( เพดาน) ด้วยพระ ชิวหา (ลิ้น) เป็นต้น พระมหาบุรุษได้ทรงทรงบำ เพ็ญทุกรกิริยาเป็น เวลาถึง ๖ ปี ก็ยังมิได้ค้นพบสัจธรรมอันเป็นทางหลุดพ้นจากทุกข์ พระองค์จึงทรงเลิกการบำ เพ็ญทุกรกิริยา แล้วกลับมาเสวยพระ กระยาหารเพื่อบำ รุงพระวรกายให้แข็งแรง ในการคิดค้นวิธีใหม่ พระองค์ได้ทรงตั้งพระสติดำ เนินทางสายกลาง คือการปฏิบัติใน ความพอเหมาะพอควร นั่นเอง บำ เพ็ญทุกรกิริยา
พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เวลารุ่งอรุณ ในวันเพ็ญเดือน ๖ ( เดือนวิสาขะ ) ปีระกา ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี นางสุชาดาได้นำ ข้าวมธุปายาสเพื่อไปบวงสรวงเทวดา ครั้นเห็นพระมหาบุรุษ ประทับที่โคนตันอชปาลนิโครธ (ต้นไทร) ด้วยอาการอันสงบ นาง คิดว่าเป็นเทวดา จึงถวายข้าวมธุปายาส แล้วพระองค์เสด็จไปสู่ทำ สุปดิษฐริมฝั่งแม่น้ำ เนรัญชรา ทรงวางถาดทองคำ บรรจุข้าวมรุ ปายาสแล้วลงสรงสนานชำ ระล้างพระวรกาย แล้วทรงผ้า กาสาวพัสตร์ อันเป็นธงชัยของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก พระองค์ หลังจากเสวยแล้วพระองค์ทรงจับถาดทองคำ ขึ้นมา อธิษฐานว่า ตรัสรู้
ต รั สรู้ " ถ้ าเร า จั ก ส า ม า ร ถ ต รั ส รู้ใ ด้ใ น วั น นี้ ก็ ข อใ ห้ ถ า ด ท อ ง คำ ใ บ นี้ จ ง ล อ ย ท ว น ก ร ะ แ ส น้ำ ไ ป แ ต่ ถ้ า มิไ ด้เป็ น ดั ง นั้ น ก็ ข อใ ห้ ถ า ด ท อ ง คำ ใ บ นี้ จ ง ล อ ยไ ป ต า ม ก ร ะ แ ส น้ำ เถิ ด " แ ล้ ว ท ร ง ถ า ด ท อ ง คำ ล อ ย ตั ด ก ร ะ แ ส น้ำ ไ ป จ น ถึ ง ก ล า ง แ ม่ น้ำเนรัญชราแล้วลอยทวนกระแสน้ำ ขึ้นไปไกลถึง ๘๐ ศอกพระองค์ประทับหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และทร ง ตั้ ง จิ ต อ ธิ ษ ฐ า น ว่ า " แ ม้เลื อ ดใ น ก า ย ข อ งเร า จ ะเหื อ ด แ ห้ งไ ปเห ลื อ แ ต่ ห นั ง เอ็ น ก ร ะ ดู ก ก็ ต า ม ถ้ า ยั งไ ม่ บ ร ร ลุ ธ ร ร ม วิเศ ษ แ ล้ ว จ ะไ ม่ ย อ ม ห ยุ ด ค ว า มเพียรเป็นอันขาด"
ต รั สรู้เมื่ อ ท ร ง ตั้ ง จิ ต อ ธิ ษ ฐ า นเช่ น นั้ น แ ล้ ว พ ร ะ อ ง ค์ ก็ ท ร ง สำ ร ว ม จิ ตใ ห้ ส ง บ แ น่ ว แ น่ มี พ ร ะ ส ติ ตั้ ง มั่ น มี พ ร ะ ว ร ก า ย อั น ส ง บ มี พ ร ะ ห ทั ย แ น่ ว แ น่เป็ น ส ม า ธิ บ ริ สุ ท ธิ์ ผุ ด ผ่ อ ง ป ร า ศ จ า ก กิเล ส ป ร า ศ จ า ก ค ว า มเศ ร้ า ห ม อ ง อ่ อ นโย นเหมาะแก่การงาน ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ทรงน้อมพระทัยไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ( ญาณเป็นเหตุระลึกถึงขันธ์ ) ที่อาศัยในชาติปางก่อนได้ ในปฐมยามแห่งราตรีต่อจากนั้นทรงน้อมพระทัยไปเพื่อจูตุปาตญาณ ( ญาณกำ หนดรู้การตาย การเกิดของสัตว์ทั้งหลาย ) ในมัชฌิมยามแห่งราตรี
ตรัสรู้ ต่อจากนั้นทรงน้อมพระทัยไปเพื่ออาสวักขย ญาณ คือทรงรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ ทุกขสมุทัย นี้ทุกชนิโรธ นี้ทุกชนิโรธคามินีปฏิปทา นี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธ คามินีปฏิปทา เมื่อทรงรู้เห็นอย่างนี้ จิตของพระองค์ก็ทรงหลุด พันจากกามสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ นั่นคือ พระองค์ทรงบรรลุวิชชาที่ ๓ คือ อาสวักขยญาณ ในปัจฉิมยาม แห่งราตรีนั้นเอง
ต รั สรู้ ซึ่ ง ก็ คื อ ก า ร ต รั ส วั พ ร ะ สั พ พั ญ ญุ ต ณ า ณ เป็ น พ ร ะ อ หั น ต สั ม ม า สั ม พุ ท ธเจ้ า จ า ก ก า ร ที่ พ ร ะ อ ง ค์ ท ร ง บำ เพ็ ญ พ ร ะ บ า ร มี ม า อ ย่ า ง ยิ่ ง ย ว ด พ ร ะ อ ง ค์ ท ร ง ต รั ส รู้ใ น วั นเพ็ ญเดื อ น ๖ ปี ร ะ ก า ข ณ ะ พ ร ะ ช น ม า ยุไ ด้ ๓ ๕ พ ร ร ษ า นั บ แ ต่ วั น ที่เส ด็ จ อ อ ก ผ น ว ช จ น ถึ ง วั น ต รั ส รู้ ธ ร ร ม ร ว มเป็ นเว ล า ๖ ปี พ ร ะ ธ ร ร ม อั น ป ร ะเส ริ ฐ ที่ พ ร ะ พุ ท ธเจ้ า ต รั ส รู้ นั้ น คื อ อ ริ ย สั จ ๔ ( ทุ ก ข์ ส มุ ทั ย นิโร ธ ม ร ร ค )
ปรินิพพาน พระพุทธเจ้าทรงบำ เพ็ญพุทธกิจอยู่จนพระ ชนมายุ ๘๐ พรรษา พระองค์เสด็จจำ พรรษา สุดท้าย ณ เมืองเวสาลี ในวาระนั้นพระพุทธองค์ ทรงพระชราภาพมากแล้วทั้งยังประชวรหนักด้วย พระองค์ได้ทรงพระดำ เนินจากเวสาลีสู่เมือง กุสินาราเพื่อเสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ เมืองนั้น
ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพานพระองค์ได้อุปสมบทแก่ พระสุภัททะปริพาชก นับเป็นสาวกองค์สุดท้ายที่พระพุทธ องค์ทรงบวชให้ ในท่ามกลางคณะสงฆ์ทั้งที่เป็นพระ อรหันต์และปุถุชน และก่อนพระพุทธเจ้าจะปรินิพพานพระพุทธองค์ได้ แสดงปัจฉิมโอวาทแก่พระภิกษุสงฆ์ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้ง หลาย นี้เป็นวาจาครั้งสุดท้าย ที่เราจะกล่าวแก่ท่านทั้ง หลาย สังขารทั้งหลายทั้งปวงมีความสิ้นไปและเสื่อมไป เป็นธรรมดา . ท่านทั้งหลายจงทำ ความรอดพ้นให้ บริบูรณ์ถึงที่สุด ด้วยความไม่ประมาทเถิด “ ปรินิพพาน
แม้เวลาล่วงมาถึงศตวรรษที่ ๒๕ แล้ว นับตั้งแต่พระองค์ตรัสรู้ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และเสด็จดับขันธปรินิพพานที่ นอกเมืองกุสินาราในประเทสอินเดีย แต่คำ สั่งสอนอันประเสริฐ ของพระองค์หาได้ล่วงลับไปด้วยไม่ คำ สั่งสอนเหล่านั้นยังคงอยู่ เป็นเครื่องนำ บุคคลให้ข้ามพ้นจากความมีชีวิต ขึ้นไปสู่ซึ่งคุณค่า ยิ่งกว่าชีวิต คือการพ้นจากวัฏสงสารนั่นเอง ปรินิพพาน
หลังจากพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว สาวกของ พระองค์ทั้งที่เป็นพระอรหันต์และมิใช่พระอรหันต์ได้ช่วยบำ เพ็ญ กรณียกิจเผยแผ่พระพุทธวัจนะอันประเสริฐไปทั่วประเทศอินเดีย และขยายออกไปทั่วโลก เป็นที่ยอมรับว่าพระพุทธศาสนาเป็น ศาสนาแห่งความเป็นจริง มีเหตุผลเชื่อถือได้และ เป็นศาสนาแห่ง สันติภาพและเสรีภาพอย่างแท้จริง ปรินิพพาน
๑. ปุพพณเห ปิณฑปาตญจ ตอนเช้าเสด็จออกบิณฑบาตเพื่อ โปรดเวไนยสัตว์ ๒.สายณเห ธมมเทสน ตอนเย็นทรงแสดงธรรมโปรดมหาชน ที่มาเข้าเฝ้า ๓.ปโทเส ภิกขุโอวาท ตอนหัวค่ำ ประทานโอวาทแก่ภิกษุทั้งเก่า และใหม่ ๔.อฑฒรตเต เทวปญหาน ตอนเที่ยงคืนทรงวิสัชชนาปัญหาให้ แก่เทวดาชั้นต่างๆ ๕.ปจจสเสว คเต กาเล ภพพาภพเพ วิโลกน ตอนใกล้รุ่งตรวจดู สัตว์โลกที่สามารถและไม่สามารถบรรลุธรรมได้ แล้วเสด็จไป โปรดถึงที่ แม้ว่าหนทางจะลำ บากเพียงใดก็ตาม สรุปพุทธกิจในรอบวันของพระพุทธองค์
1. นางสาวกมลชนก ป้องกัน รหัส 63121100213 section 02 สาขาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี คณะผู้จัดทำ
คณะผู้จัดทำ 2. นางสาวกมลชนก เวียงสมุทร รหัส 63121100214 section 02 สาขาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
คณะผู้จัดทำ 3. นางสาวกรรณิกา คำ ขำ รหัส 63121100215 section 02 สาขาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
คณะผู้จัดทำ 4. นางสาวณัฐริกา บุตรอำ คา รหัส 63121100217 section 02 สาขาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
คณะผู้จัดทำ 5. นางสาวพรชิตา ปิดด้วง รหัส 63121100220 section 02 สาขาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
คณะผู้จัดทำ 6. นางสาวสุภาภรณ์ ชมภู รหัส 63121100227 section 02 สาขาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี