The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Peerada Pimpa, 2022-11-28 22:18:02

Lymphatic System & Immunity

Lymphatic System & Immunity

เอกสารประกอบการสอนวชิ ากายวิภาคศาสตรแ์ ละสรีรวทิ ยา
ระบบนำ้ เหลอื งและภมู ิคุ้มกัน

(The Lymphatic System and Immunity)

อาจารยน์ ภิ าพร พชรเกตานนท์
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั วงษช์ วลิตกลุ
ระบบน้ำเหลอื งเปน็ ระบบทที่ ำงานสมั พนั ธ์กับระบบไหลเวียนเลือด ชว่ ยในการลำเลียงน้ำในเน้ือเยื่อไหลกลบั เขา้ สรู่ ะบบ
ไหลเวียนเลือด แต่ระบบน้ำเหลอื งไม่มีอวัยวะทส่ี ูบฉีดเลือดเหมอื นกบั ระบบไหลเวียนเลอื ด ดังนน้ั การไหลเวียนของนำ้ เหลอื งจงึ
ต้องอาศัยการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อลายที่อยู่รอบๆ หลอดน้ำเหลือง และความดันไฮโดรสเตติก (hydrostatic
pressure) เมื่อความดันในบริเวณ interstitial space เพิ่มสูงขึ้นจะกระตุ้นทำให้น้ำในเนื้อเยื่อไหลเข้าไปยังหลอดน้ำเหลือง
ฝอย หน้าที่สำคัญของระบบน้ำเหลืองคือช่วยป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมต่างๆ โดยการสร้างแอนติบอดี้
เก็บกินเชื้อโรคและทำลายสิ่งแปลกปลอม นอกจากนี้ระบบน้ำเหลืองยังเกี่ยวข้องกับการดูดซึม (absorption) สารอาหาร
ประเภทไขมนั จากลำไส้เลก็ เข้าสรู่ ะบบไหลเวียน

ภาพท่ี 1 : ระบบน้ำเหลือง (lymphatic system) ประกอบด้วย หลอดนำ้ เหลืองและอวยั วะน้ำเหลอื ง
ส่วนประกอบของระบบน้ำเหลือง (COMPONENTS OF LYMPHATIC SYSTEM)
ระบบน้ำเหลืองเป็นระบบที่ช่วยนำของเหลวหรือน้ำที่อยู่ระหว่างเซลล์และเนื้อเยื่อให้ ไหลกลับเข้าสู่ระบบไหลเวียน

เลือด สว่ นประกอบทีส่ ำคญั ของระบบนำ้ เหลืองไดแ้ ก่
1. น้ำเหลือง (Lymph) มีลักษณะคล้ายน้ำเลือด (pSlearsumma) แต่ไม่มีเซลล์เม็ดเลือดแดง ส่วนประกอบของน้ำเหลือง

ได้แก่ น้ำ โปรตีน ไขมนั กลโู คส ยูเรยี เอ็นไซม์ แอนติบอดี อเิ ลค็ โทรไลต์ และเมด็ เลอื ดขาว
2. หลอดน้ำเหลือง (Lymphatic Vessels) หลอดนำ้ เหลอื งมลี ักษณะคล้ายกับหลอดเลือดดำ แตม่ ีผนงั บางมากกว่า

และมลี ิ้นแบบ semilunar valve กนั้ อยู่ภายในเปน็ ระยะ เพอ่ื ป้องกันการไหลย้อนกลบั ของนำ้ เหลือง หลอดนำ้ เหลืองแบง่ เป็น

~2~
2.1 หลอดน้ำเหลืองฝอย (lymphatic capillaries) เป็นท่อตันที่มีลักษณะปลายปิดยื่นแทรกเข้าไปในเนื้อเยื่อ
เป็นหลอดน้ำเหลืองที่มขี นาดเล็กที่สุด บุด้วย endothelium เพียงชั้นเดียว เซลล์มีการเชื่อมตอ่ กันอย่างหลวมๆ จึงทำใหส้ าร
ตา่ งๆ สามารถเคลื่อนที่ผา่ นเข้าออกหลอดนำ้ เหลอื งได้

ภาพที่ 2 : การไหลเวยี นของนำ้ ระหว่างเซลล์ (interstitial fluids) ไหลผา่ นเข้ามาภายในหลอดน้ำเหลืองฝอย

(ไห ), แขน

ภาพท่ี 3 : ท่อนำ้ เหลอื ง (lymphatic duct) ขนาดใหญ่ทรี่ วบรวมนำ้ เหลืองเข้ารวมกบั ระบบไหลเวียนเลือด
2.2 หลอดน้ำเหลือง (Lymphatic vessels) มีขนาดเส้นผ่าศูนยก์ ลางใหญ่ขึ้นมีลักษณะคล้ายกับหลอดเลือดดำ

(vein) แต่ผนังบางกว่า และมีลิ้นแบบ semilunar valve กั้นอยู่ภายในเป็นระยะ เพื่อป้องกันการไหลย้อนกลบั ของน้ำเหลือง
หลอดน้ำเหลืองจะนำน้ำเหลืองเข้าไปกรองในต่อมน้ำเหลือง ก่อนส่งต่อเข้าไปในหลอดน้ำเหลืองที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น
collecting duct และ lymphatic trunk

2.3 หลอดน้ำเหลืองขนาดใหญ่ ได้แก่ collecting duct ซึ่งจะรวบรวมน้ำเหลืองส่งต่อไปยัง lymphatic
trunk ซึง่ เป็นหลอดน้ำเหลืองขนาดใหญ่ที่สดุ และนำน้ำเหลืองเขา้ สู่หลอดเลอื ดดำ หลอดน้ำเหลอื งขนาดใหญ่ทส่ี ำคญั ไดแ้ ก่

1.) Thoracic duct เป็นหลอดน้ำเหลืองขนาดใหญ่ที่สุดนำน้ำเหลืองมาจากส่วนต่างๆ จาก 3/4 ของ
ร่างกายเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือด พบอยู่ใต้ inferior vena cava รับน้ำเหลืองจากส่วนต่างๆ ของร่างกาย ยกเว้นทรวงอก
ด้านขวา แขนขวาและด้านขวาของศีรษะและคอ โดยจะนำน้ำเหลืองไปเทเข้าหลอดเลือดดำบริเวณรอ ยต่อระหว่าง left
internal jugular vein และ left subclavian vein ทางด้านซ้าย ก่อนที่จะส่งต่อไปยัง left brachiocephalic vein และ
superior vena cava

ล่

~3~

2.) Right lymphatic duct เป็นหลอดน้ำเหลืองที่รับน้ำเหลืองจากทรวงอกด้านขวา แขนขวาและ
ศีรษะและคอด้านขวา จะนำน้ำเหลืองเข้าหลอดเลือดดำบริเวณรอยต่อระหว่าง right internal jugular vein และ right
subclavian ทางดา้ นขวา ก่อนทจ่ี ะสง่ ต่อไปยัง right brachiocephalic vein และ SVC แล้วเขา้ สหู่ ัวใจหอ้ งบนขวาตอ่ ไป

3. อวัยวะน้ำเหลือง (lymphatic organs) แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ (1.) Primary Lymphatic Organs เป็นอวัยวะ
เริ่มต้นของการสร้างเม็ดเลือดขาว ได้แก่ ไขกระดูก (bone marrow) และ ไธมัส (thymus) และ (2.) Secondary
Lymphatic Organs เป็นอวัยวะที่รับและเป็นที่อยู่เม็ดเลือดขาวได้แก่ ต่อมน้ำเหลือง (lymph node), ทอนซิล (tonsil),

-

ม้าม (spleen) และเนอื้ เยื่อน้ำเหลืองท่แี ทรกในอวัยวะต่างๆ เชน่ กลมุ่ เนอื้ เย่ือนำ้ เหลืองในผนงั ของลำไส้ (payer’s patch)

ไขกระดกู (BONE MARROW)
ไขกระดูกเป็นส่วนที่อยู่กลางกระดูก จำแนกออกเป็น 2 ชนิดคือ ไขกระดูกแดง (red bone marrow) พบมากใน
กระดกู แทง่ ยาวและกระดูกแผ่นแบน และไขกระดูกเหลือง (yellow bone marrow) อยตู่ รงกลางของไขกระดูกแดง เมื่ออายุ
มากขึน้ ไขกระดูกแดงจะเปลีย่ นเป็นไขกระดกู เหลอื งมากขึน้ เนอ่ื งจากมีการเก็บสะสมเซลลไ์ ขมันเพิม่ มากข้ึน

Lymphopoiesis } นกระ

เ บ นเอโรค

_

Myelopoiesis

เชอบ อโรค

c rs

0

นเ อโรค
ทลายเ อโรค

ภาพท่ี 4 : การสร้างเซลล์เมด็ เลอื ดของไขกระดกู แบง่ เปน็ การสร้างเซลลใ์ นกล่มุ lymphoid และ myeloid
ตำแหน่งที่มีการสร้างเซลล์เม็ดเลือดคอื ไขกระดูกแดงที่สร้างเซลล์เม็ดเลือดทั้งเม็ดเลือดแดง (red blood cell : RBC)

เม็ดเลือดขาว (white blood cell : WBC) และเกล็ดเลือด (platelet) โดยเม็ดเลือดชนิดต่างๆ มาจากเซลล์เริ่มต้นชนิด
เดียวกัน คอื stem cell ซง่ึ จะพฒั นาไปเปน็ 2 ลักษณะคือ

(1.) Mไมyeโloพpoieสsis ซึ่งจะมกี ารเปลีย่ นแปลงของ myeloid stem cell กลายไปเปน็ myeloblast จะเจรญิ กลายเป็น
เม็ดเลือดขาวกลุ่ม granulocyte ทั้ง neutrophil, basophil, eosinophil รวมถึง monocyte นอกจากนี้ myeloid stem
cell ยงั เจริญกลายเปน็ erythroblast และ megakaryoblast ทีจ่ ะเจรญิ ไปเปน็ เซลล์เม็ดเลอื ดแดงและเกล็ดเลอื ด ตามลำดับ

(2.) Lyบmโพpกhopสoiesis ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงของ lymphoid stem cell กลายเป็น lymphoblast ซึ่งจะเจริญ
กลายเมด็ เลอื ดขาวทงั้ เป็น Natural killer cell (NK) และ lymphocyte โดยเฉพาะ T-lymphocyte

่ ิ ิลิสิซิลิธฮ้ร้ืชิก้ืชิก็กุต

~4~

ตอ่ มไธมัส (THYMUS)
ไธมัสเปน็ อวัยวะน้ำเหลืองทีม่ ีการเจริญเติบโตในวัยเดก็ แต่เมื่อเข้าสู่วยั รุ่นจะเริ่มเส่ือมสภาพ เมื่อถึงวัยผู้ใหญ่จะเล็กลง
และฝ่อไปกลายเป็นเนื้อเยื่อไขมันวางอยู่ในบริเวณ superior mediastinum หรืออยู่ด้านหน้าของหัวใจ เนื้อของต่อมไธมสั มี
2 ชนั้ คอื ชน้ั นอก (cortex) และชน้ั ใน (medulla) ต่อมไธมสั ช้ันนอกย้อมติดสเี ขม้ เป็นที่อย่ขู องเซลล์ท่เี รียกวา่ thymocyte ท่ี
ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน thymosin ที่จะกระตุ้น lymphocyte ที่ถูกส่งมาจากไขกระดูกให้เจริญกลายเป็น T-lymphocyte
ในชั้นนี้จึงพบ T-lymphocyte เป็นจำนวนมาก และเนื้อต่อมชั้นในย้อมติดสีอ่อนกว่าเป็นที่อยู่ของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด
ตา่ งๆ ทง้ั dendritic cell, macrophage, plasma cell และ T-lymphocyte

ภาพที่ 5 : ลกั ษณะโครงสรา้ งและตำแหน่งท่อี ยู่ของต่อมไธมสั (thymus gland)
หนา้ ทีข่ องตอ่ มไธมสั (Function of Thymus Gland)
ไธมัสทำหน้าที่เป็นทัง้ ต่อมไร้ท่อและอวัยวะน้ำเหลือง เนื่องจากตอ่ มไธมัสสามารถสร้างฮอร์โมน thymosin และ

ทำหน้าท่ีกระตุน้ ให้ lymphocyte ที่ถูกสร้างมาจากไขกระดูกใหเ้ จริญเติบโตและพัฒนากลายเป็น T-lymphocyte ก่อนที่จะ
ถกู สง่ ออกไปยังอวยั วะต่างๆ ท้ังในต่อมน้ำเหลือง ม้าม และ lymphoid tissues

l

ส างไ งแ เ ก ง ย น

ภาพท่ี 6 : การเจริญเติบโตของ lymphocyte ทัง้ B - lymphocyte และ T - lymphocyte

่ั ่ัวึถ็ด่ตรุต้ด้ร

~5~

ตอ่ มน้ำเหลอื ง (LYMPH NODE)
ต่อมน้ำเหลืองมีรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่วเขียว ส่วนโค้งของต่อมจะมีหลอดน้ำเหลืองขาเข้า (afferent vessels) ส่วนเว้า
เป็นตำแหนง่ ข้วั (hilum / root) ของต่อมนำ้ เหลอื ง จะมีหลอดน้ำเหลืองขาออก (efferent vessel) หลอดเลอื ดดำและหลอด
เลือดแดงผ่านเข้าออก ต่อมน้ำเหลืองหุ้มด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพันเรียกว่า capsule มีการยื่นแทรกเข้าไปภายในต่อมเรียกว่า
trabeculae ภายในต่อมน้ำเหลืองมีเส้นใย reticular fiber สานกันเป็นร่างแหเกิดเป็นช่องว่างเรียกว่า sinus เป็นตำแหน่งท่ี
น้ำเหลืองจะไหลเวยี นผ่าน กลุ่มเซลลเ์ ม็ดเลือดขาวเรยี งต่อกันเป็น cord ทำหน้าที่คอยดักจับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม เนื้อ
ของต่อมน้ำเหลืองแบ่งออกเป็น 2 ชั้นคือ ชั้นนอก (cortex) มีเซลล์เม็ดเลือดขาวอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะ T-
lymphocyte และ B-lymphocyte และชั้นใน (medulla) เป็นส่วนที่อยูข่ องเซลล์เม็ดขาวชนิด B-lymphocyte, plasma
cell น้ำเหลืองไหลเข้าไปกรองในต่อมน้ำเหลืองทาง afferent vessel แล้วไหลผ่านเข้าไปใน cortical sinus แล้วผ่านไปยัง
medullary sinus แลว้ จะไหลออกจากต่อมนำ้ เหลอื งทาง efferent vessels

ภาพท่ี 7 : ลักษณะโครงสรา้ งของตอ่ มน้ำเหลือง (lymph node)

หน้าท่ขี องตอ่ มน้ำเหลือง (Function of Lymph Node)
ต่อมน้ำเหลืองทำหน้าที่กรองน้ำเหลืองที่ผ่านเข้าไปในระบบไหลเวียนเลือดให้สะอาด ปราศจากเชื้อโ รคและสิ่ง
แปลกปลอม โดยอาศัยเซลล์เม็ดเลือดขาวอยู่ใน sinus นอกจากต่อมน้ำเหลืองยังทำหน้าที่สร้างแอนติบอดี้ เมื่อมีแอนติเจน
ผ่านเข้ามาในต่อมน้ำเหลืองจะกระตุ้น T - lymphocyte ให้ไปกระตุ้น B-lymphocyte เปลี่ยนเป็น B-memory cell และ
plasma cell ทจ่ี ะสร้างแอนตบิ อด้ชี นดิ IgG ออกมาทำลายแอนตเิ จน
ตำแหน่งทอี่ ยู่ของ่ตอ่ มน้ำเหลอื ง (Location of Lymph Node)
ต่อมน้ำเหลืองกระจายอยู่ตามหลอดน้ำเหลือง พบได้ทั่วร่างกาย การตั้งชื่อต่อมน้ำเหลืองส่วนใหญ่ตั้งชื่อตาม
ตำแหน่งที่อยู่ พบต่อมมากในบริเวณคอ (cervical lymph node) บริเวณรักแร้ (axillary lymph node), บริเวณขาหนีบ
(inguinal lymph node) และบรเิ วณรอบหลอดเลือด abdominal aorta (ดังภาพท่ี 1)
1. ต่อมน้ำเหลอื งบรเิ วณคอ (Cervical Lymph Node)

ต่อมนำ้ เหลอื งบริเวณคอสำคญั ต่อการารตรวจร่างกายเพอ่ื ประเมินความผดิ ปกติของอวยั วะในบริเวณศีรษะ
และคอ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอมีจำนวน 10 กลุ่ม ได้แก่ preauricular, posterior auricular, occipital, tonsillar,
submandibular, submental, superficial cervical, deep cervical, posterior cervical, supraclavicular node

~6~

2. ตอ่ มนำ้ เหลอื งบรเิ วณรกั แร้ (Axillary Lymph Node)
ตอ่ มนำ้ เหลืองบริเวณรักแรม้ คี วามสำคญั ในการตรวจประเมนิ การตดิ เชื้อจากบริเวณเตา้ นม และบรเิ วณแขน

ต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้มีจำนวน 5 กลุ่ม ได้แก่ anterior, posterior, lateral, central และ
apical group

ภาพที่ 8 : ต่อมน้ำเหลอื งบรเิ วณคอ (cervical lymph node) และต่อมนำ้ เหลืองบริเวณรักแร้ (axillary lymph node)

0

โOอ\Palatine

\2
Lingual 3

ภาพที่ 9 : ลักษณะโครงสรา้ งและตำแหนง่ ของตอ่ มทอนซลิ (tonsil)

~7~

ทอนซลิ (TONSIL)
ทอนซิลเป็นอวัยวะน้ำเหลืองที่แทรกในอวัยวะที่เป็นรูเปิดของร่างกายคือ คอหอยและช่องปาก มีจำนวน 3 คู่ได้แก่
palatine tonsil อยู่ด้านข้างของคอหอยส่วน oropharynx และ pharyngeal tonsil (adenoid) เป็นกลุ่มของอวัยวะ
นำ้ เหลืองท่ีอยู่บรเิ วณ nasopharynx ใกลก้ ับรเู ปิดของ Eustachian tube และ lingual tonsil พบอยบู่ ริเวณโคนลิน้

หน้าทีข่ องทอนซลิ (Function of Tonsil)
ทอนซิลทำหนา้ ท่ีเก็บเซลล์เม็ดเลือดขาวเพื่อคอยดักจับเชื้อโรค และสิ่งแปลกปลอมทีผ่ ่านเข้ามาในร่างกายโดย
ผา่ นมาในอากาศหรอื อาหารท่ีรบั ประทานเขา้ ไป ไมใ่ ห้เช้ือโรคเข้าสู่หลอดอาหารและหลอดลม ถ้ามเี ชื้อโรคท่ผี า่ นเข้ามาแล้วทำ
ให้ทอนซิลไม่สามารถทำลายได้หมด ทอนซิลก็จะติดเชื้อมีอาการบวมแดง เรียกว่า ทอนซิลอักเสบ (Tonsillitis) ถ้าเป็นใน
ตำแหน่ง palatine tonsil ก็เกิดอาการเจ็บคอ กลืนลำบาก แต่ถ้ามีการบวมของ pharyngeal tonsil ก็จะทำให้ท่อทางเดิน
หายใจตีบแคบ หายใจลำบาก ถา้ ตอ้ งมกี ารตัดทอนซลิ ออกเรยี กวา่ Tonsillectomy

มา้ ม (SPLEEN)
ม้ามเป็นอวัยวะน้ำเหลืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่วอยู่ภายในช่องท้องโดยวางตัวอยู่ในบริเวณ left
upper quadrant อยู่ใต้กระเพาะอาหาร ม้ามมีเลือดไหลเวียนเข้าไปภายในเป็นจำนวนมากจึงมีสีแดงอมม่วง ทำหน้าท่ีหลัก
คือช่วยกรองสง่ิ แปลกปลอมหรือเชื้อโรคทีผ่ ่านมากับเลือดเพราะภายในม้ามมเี มด็ เลอื ดขาวชนิด lymphocyte อยมู่ าก
เนื้อเยื่อของม้ามแบ่งเป็น 2 ส่วนได้แก่ White pulp มีหลอดเลือด central artery อยู่ตรงกลาง ส่วนที่ล้อมรอบ
หลอดเลือดมากทส่ี ุดเปน็ ตำแหน่งทม่ี ี T- lymphocyte สว่ นท่ีอยู่ไกลออกไปเป็นตำแหน่งท่ีมี B - lymphocyte และ plasma
cell, Red pulp เป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของม้าม ประกอบด้วย splenic sinus เป็นตำแหน่งที่เป็นกลุ่มของหลอดเลือดและ
splenic cord เปน็ ตำแหนง่ ที่มเี ซลล์เม็ดเลือดแดง และเม็ดเลอื ดขาวทัง้ macrophage, plasma cell และ lymphocyte

ภาพท่ี 10 : ลักษณะโครงสรา้ งและตำแหน่งทอี่ ยู่ของม้าม (spleen)

หนา้ ทขี่ องมา้ ม (Function of Thymus Gland)
ม้ามทำหน้าที่กรองเลือด ช่วยป้องกันสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรคที่เข้าไปในกระแสเลือดด้วยการเก็บกินเชื้อโรค
ของ macrophage, B lymphocyte และ T lymphocyte นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงที่แก่ตัวหรือ
หมดอายุแล้ว ช่วยเก็บสะสมเกล็ดเลือดและเก็บสะสมเหล็กที่เกิดจากการทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงและการสลาย
hemoglobin

~8~
กลไกลการป้องกนั ตนเอง (DEFENSE MECHANISM)
รา่ งกายของคนเราสามารถป้องกนั ตนเองจากเช้ือโรคทงั้ ไวรัส แบคทเี รยี พยาธิ รวมถงึ สง่ิ แปลกปลอมชนดิ ต่างๆ ไดโ้ ดย
อาศยั กกลไกการทำงานของระบบน้ำเหลอื ง และระบบอ่ืนๆ เพ่อื ป้องกนั และกำจดั ส่ิงแปลกปลอมตา่ งๆ ซง่ึ กลไกในการปอ้ งกัน
ตนเองของร่างกายแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ แบบไม่เฉพาะเจาะจงและแบบเฉพาะเจาะจง

Bcell

ภาพที่ 11 : กลไกการปอ้ งกนั ตนเองของร่างกายจำแนกเป็นแบบไม่เฉพาะเจาะจงและแบบเฉพาะเจาะจง

ภาพท่ี 12 : ลักษณะของกลไกการป้องกันตนเองแบบไมเ่ ฉพาะเจาะจง (nonspecific defense)

~9~
กลไกการป้องกันตนเองแบบไม่เฉพาะเจาะจง (nonspecific defense)
เป็นกลไกการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเพื่อป้องกันเชื้อโรคและทำลายสิ่งแปลกปลอมท่ีเกิดขึน้ ได้
อย่างรวดเร็ว สามารถปอ้ งกันสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรคได้กว้างเพราะไม่มีความจำเพาะต่อสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรค แบ่ง
ออกเป็น
1. External Defense เป็นกลไกการป้องกนั ตนเองโดยอาศัยโครงสร้างภายนอกของรา่ งกายเปน็ ดา่ นปอ้ งกัน
เชื้อโรค ได้แก่ ผิวหนัง เยื่อเมือก (mucous membrane) และสารคัดหลั่งที่ถูกสร้างออกมาได้แก่ น้ำลาย น้ำตา น้ำมูก
สามารถทำลายเชอ้ื โรคได้เนอื่ งจากมี immunoglobulin
2. Internal Defense เป็นกลไกการป้องกันตนเองของร่างกายโดยอาศัยเซลล์ต่างๆ ในการทำลายเชื้อโรค
และสิ่งแปลกปลอมได้แก่ Phagocytic Cells เซลล์เม็ดเลือดขาวที่เก็บกินเชื้อโรคโดยกระบวนการ phagocytosis ได้แก่
macrophage, neutrophil, eosinophil, Natural Killer Cell, Antimicrobial Protein และ Inflammatory Response
กระบวนการเกดิ การอักเสบ ทจ่ี ะเกิดการเปลีย่ นแปลงของเนือ้ เยือ่ บรเิ วณทีไ่ ดร้ ับการบาดเจ็บและเกดิ การทำลายเชือ้ โรคได้
กลไกการปอ้ งกันตนเองแบบเฉพาะเจาะจง (specific defense)
เป็นกลไกการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T - lymphocyte และ B - lymphocyte ซึ่งเป็นกลไกการ
ทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึน้ อย่างช้าๆ แตม่ คี วามจำเพาะต่อส่ิงแปลกปลอมแต่ละชนิด กลไกท่ีร่างกายคนเราตอบสนอง
เพือ่ ปอ้ งกนั เชื้อโรคหรือส่ิงแปลกปลอมแบบเฉพาะเจาะจงมี 2 ลกั ษณะ ได้แก่
1. Humeral Immune Response เป็นกลไกการป้องกันตนเองที่เกิดจากการทำงานของเซลล์เม็ดเลือด
ขาวชนิด B-lymphocyte และ plasma cell ทำหน้าที่ทำลายเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมด้วยการสร้างสร้างแอนติบอด้ี
(antibody) ในรปู ของ immunoglobulin (Ig) ซ่ึงมที ั้งหมด 5 ชนดิ ไดแ้ ก่

ดพบ เยอะ

ภาพท่ี 13 : อิมมโู นกลอบูลิน (Immunoglobulin) ชนดิ ตา่ งๆ

ทุส่ี

~ 10 ~

1.) Immunoglobulin A (IgA) พบประมาณ 15-20% เป็นแอนติบอดี้ที่พบในเลือดและสารคัดหล่ัง
เช่น น้ำตา นำ้ ลาย และสารคัดหลั่งภายในโพรงจมูก ในลำไส้ ในช่องคลอด รวมถึงในนำ้ นมนำ้ เหลอื ง (colostrum) เป็นแอนติ
บอดท้ี ีพ่ บไดใ้ นสารคัดหลงั่ มากกวา่ ในเลอื ด

2.) Immunoglobulin D (IgD) เปน็ แอนติบอด้ที พ่ี บไดค้ ่อนข้างน้อย ทำหน้าทรี่ ว่ มกับแอนติบอดี้ชนิด
IgM เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นให้มีการเพิ่มของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด B lymphocyte นอกจากนี้ยังกระตุ้นให้มีการ
เปลี่ยนแปลงเป็น plasma cells ด้วย

3.) Immunoglobulin E (IgE) เปน็ แอนติบอดท้ี พี่ บนอ้ ยท่สี ุด ถกู สร้างมาจาก plasma cell เป็นแอน
ติบอดี้ที่จะเข้าไปจับกับเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด basophil และ mast cell ทำให้เซลล์ทั้งสองชนิดหลั่งสาร heparin และ
histamine ออกมา ทำใหเ้ กดิ อาการบวมแดงของเน้ือเยือ่ ที่

4.) Immunoglobulin G (IgG) มีปริมาณมากที่สุด ประมาณ 70-75% ของแอนติบอดี้ที่พบใน
ร่างกาย เป็นแอนติบอดี้ที่มารดาสร้างแล้วส่งผ่านทางรกไปยังทารกในครรภ์ได้ โดยเฉพาะในระยะทีท่ ารกยังไมส่ ามารถสร้าง
เองได้ หลังจากคลอดประมาณ 2-3 เดือนแรกทารกจะสร้างเองไดก้ จ็ ะมีปรมิ าณเพิม่ ขึ้น

5.) Immunoglobulin M (IgM) พบประมาณ 10% เป็นแอนติบอดี้ที่มีขนาดใหญ่ จึงไม่สามารถผ่า
นรกและหลอดเลอื ดได้ ร่างกายสามารถสร้างขนึ้ ได้มาเป็นชนิดแรกหลงั จากมกี ารกระต้นุ ด้วยแอนติเจน ซ่งึ สามารถสรา้ งข้ึนมา
ได้ต้ังแตเ่ ปน็ ทารก โดยทารกสามารถสรา้ งไดเ้ ม่อื อายปุ ระมาณ 20 สปั ดาห์

2. Cellular Immunity เป็นกลไกการทำงานของเม็ดเลือดขาว T-lymphocyte ที่สร้างขึ้นมาจากไข
กระดูก แต่ก็จะถูกส่งไปยังต่อมไธมัสเพื่อให้เติบโตและทำหน้าที่ได้สมบูรณ์มากขึ้น เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดนี้มีมีการ
เปลยี่ นแปลงไปเปน็ ชนดิ ตา่ งๆ ดงั น้ี

1.) Cytotoxic T-cell (Tc) เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวทีจ่ ะทำหน้าทีท่ ำลายสิ่งแปลกปลอมโดยเฉพาะเชือ้
โรค โดยทำให้เยื่อหุ้มเซลล์ของเชื้อโรคเกิดรู ทำให้สารต่างๆ ผ่านเข้าเซลล์เชื้อโรคมากขึ้น ทำให้เซลล์แตกและถูก
macrophage เก็บกินตอ่ ไป

2.) Memory T-cell (TM) เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าท่ีจดจำแอนติเจนที่ผ่านเข้ามาในร่างกาย
ถ้าแอนติเจนนนั้ เขา้ สูร่ า่ งกายอกี ครง้ั กจ็ ะกระตนุ้ ให้มกี ารแบ่งเซลล์เพ่มิ มากขึน้ เพ่ือทำปฏกิ ิรยิ าต่อแอนตเิ จนนัน้ ไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว
นอกจากนี้ยังกระตนุ้ ให้มีการสร้าง cytotoxic T-cell เพ่มิ มากขึ้น

3.) Helper T-cell (TH) ทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของ B-lymphocyte ให้เปลี่ยนไปเป็น plasma
cell เป็นเซลล์ที่จะชว่ ยในการสรา้ งแอนตบิ อดี้ เป็นเซลลเ์ มด็ เลือดขาวท่ีถูกทำลายโดยไวรัส HIV ได้

4.) Suppressor T-cell (Ts) เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ยับยั้งการทำงานของ cytotoxic T-
cell และ helper T-cell และควบคุมการทำงานของ B-lymphocyte


Click to View FlipBook Version