The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนองกกเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่
ซึ่งคนบ้านถ่อน อำเภอท่าบ่อ
จังหวัดหนองคาย ใช้อุปโภคมายาวนาน
ควำมผูกพันและความศรัทธา
ของชาวบ้านถ่อน ได้ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
ในบริเวณด้านทิศตะวันออกของหนองกก
มีลักษณะเป็นเนิน
(ชาวบ้านเรียกว่า “โพน”)
บ้างก็เรียกว่า “โพนหนองกก”
เป็นที่ตั้งของ “วัดกัสสปมธุโรม”
บ้างก็เรียกว่า “วัดหนองกก”
ซึ่งมีความเก่าแก่
มีโบราณสถานที่หลงเหลืออยู่คือ
หลวงปู่ใหญ่พระพุทธรูปที่ชาวบ้าน
ให้ความศรัทธาเป็นอย่ำงยิ่ง
และก้าแพงแก้ว สันนิษฐานว่ำเป็นผนังโบสถ์
ก่อด้วยหินศิลาแลงขนาดใหญ่เรียงต่อกัน
(ศักทาวุฒ โคตรชมภู)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sakthawut, 2022-10-13 00:27:41

หนองกก เเละวัดกัสสปมธุโรม

หนองกกเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่
ซึ่งคนบ้านถ่อน อำเภอท่าบ่อ
จังหวัดหนองคาย ใช้อุปโภคมายาวนาน
ควำมผูกพันและความศรัทธา
ของชาวบ้านถ่อน ได้ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
ในบริเวณด้านทิศตะวันออกของหนองกก
มีลักษณะเป็นเนิน
(ชาวบ้านเรียกว่า “โพน”)
บ้างก็เรียกว่า “โพนหนองกก”
เป็นที่ตั้งของ “วัดกัสสปมธุโรม”
บ้างก็เรียกว่า “วัดหนองกก”
ซึ่งมีความเก่าแก่
มีโบราณสถานที่หลงเหลืออยู่คือ
หลวงปู่ใหญ่พระพุทธรูปที่ชาวบ้าน
ให้ความศรัทธาเป็นอย่ำงยิ่ง
และก้าแพงแก้ว สันนิษฐานว่ำเป็นผนังโบสถ์
ก่อด้วยหินศิลาแลงขนาดใหญ่เรียงต่อกัน
(ศักทาวุฒ โคตรชมภู)

Keywords: หนองกก,วัดกัสสปมธุโรม,บ้านถ่อน,วัดหนองกก,ศักทาวุฒ โคตรชมภู

หนองกก

และวดั กสั สปมธโุ รม

ศกั ทาวุฒ โคตรชมภู

สารบญั

บทนา หน้าท่ี ๑

หนองกกในอรุ ังคธาตุ
(ตานานพระธาตพุ นม) หนา้ ที่ ๓

อักษรธรรมบนฐานชกุ ชีทีป่ ระดิษฐาน
หลวงปใู่ หญ่ หนา้ ที่ ๖

วัดกสั สปมธุโรม
ในยุคของอาณาจักรล้านชา้ ง หนา้ ท่ี ๗

การพบวัดกัสสปมธุโรม
ของชาวบา้ นถอ่ น หน้าท่ี ๘

วดั กสั สปะมะธโุ รม ตาบลบ้านถอ่ น
อาเภอท่าบ่อ จังหวดั หนองคาย
ในปจั จุบนั หนา้ ที่ ๑๐

อ้างองิ หน้าท่ี ๑๒

บทนา

หนองกกเปน็ แหล่งนำ้ ขนำดใหญ่
ซึ่งคนบ้ำนถ่อน อำ้ เภอท่ำบอ่

จงั หวัดหนองคำย ใช้อุปโภคมำยำวนำน
ควำมผกู พันและควำมศรทั ธำ

ของชำวบำ้ นถอ่ น ไดถ้ ่ำยทอดจำกร่นุ สรู่ นุ่
ในบริเวณดำ้ นทศิ ตะวนั ออกของหนองกก

มลี ักษณะเปน็ เนนิ
(ชำวบำ้ นเรียกว่ำ “โพน”)
บำ้ งก็เรียกว่ำ “โพนหนองกก”
เปน็ ทต่ี งั ของ “วัดกสั สปมธโุ รม”
บ้ำงกเ็ รยี กว่ำ “วัดหนองกก”

ซึ่งมีควำมเกำ่ แก่
มโี บรำณสถำนทห่ี ลงเหลอื อยคู่ ือ
หลวงปใู่ หญพ่ ระพุทธรปู ท่ีชำวบ้ำน

ใหค้ วำมศรทั ธำเป็นอย่ำงย่ิง
และก้ำแพงแก้ว สนั นษิ ฐำนวำ่ เปน็ ผนงั โบสถ์
กอ่ ดว้ ยหินศิลำแลงขนำดใหญ่เรยี งต่อกนั

หน้า ๑

บทนา

ข้อสนั นษิ ฐำนนเี กิดจำกกำรเล่ำขำน
ของผู้เฒ่ำผู้แก่ชำวบำ้ นถอ่ น
ท่ใี หข้ ้อมลู ตรงกนั วำ่ สมยั กอ่ น

หนิ ศิลำแลงนีมคี วำมสงู เลยหัวขนึ ไป
แตด่ ว้ ยกำรก่อสรำ้ งโบสถห์ ลังใหม่
และการพงั ทลายของกาแพงแกว้ ตำมกำลเวลำ
จงึ หลงเหลือเพียงบำงสว่ นใหเ้ รำเห็นในปัจจบุ นั
เมอ่ื ครังคนบำ้ นถ่อนอพยพมำตงั ถิ่นฐำน
ท่ีป่ำถ่อนแห่งนกี ป็ รำกฏอำรำมร้ำงอยู่แล้ว
โดยเมื่อแรกพบเห็นเศษหินสิลำแลงขนำดใหญ่
รว่ งทบั องคพ์ ระประธำนซ่ึงสรำ้ งด้วยปูน
แตก่ ไ็ ม่พบรอยร้ำวหรือรอยแตก ชำวบ้ำนจึงให้
ควำมศรัทธำ และขำนนำมวำ่ “หลวงปใู่ หญ”่

หน้า ๒

หนองกก ในอรุ งั คธาตุ (ตานานพระธาตพุ นม)

ในตำ้ นำนอรุ ังคธำตุ (ต้ำนำนพระธำตุพนม)
(กรมศิลปำกร, ๒๔๘๓ : ๘๒-๘๓)
กล่ำวถึง “หนองกก” ไวว้ ำ่

ครังเม่ือพระมหำกสั สปเถระเจ้ำ พรอ้ มดว้ ยพระอรหันต์
ทงั หลำยเม่ือสรำ้ งกำรก่ออโุ มงค์และประดษิ ฐำน

พระอรุ งั คธำตุ ทภี่ กู ้ำพร้ำแลว้ กก็ ลบั ไปส่เู มอื งรำชคฤห์
พระมหำกัสสปเถระเจ้ำ มองเหน็ สำมเณร ๓ พระองค์

เปน็ ผทู้ ต่ี งั อยใู่ นกำรปฏบิ ตั ิ ถูกต้องตำมค้ำสั่งสอน
มคี วำมเพยี รในกำรกระทำ้ สมถะวปิ สั สนำ สำมเณรทัง
๓ องคน์ ี เมื่อบวชเปน็ ภกิ ษุกไ็ ด้ส้ำเร็จพระอรหันต์

พรอ้ มกันทงั ๓ พระองค์ องคห์ นึ่งมนี ำมว่ำ
พระพทุ ธรกั ขติ องค์หน่ึงมนี ำมว่ำ ธรรมรักขติ
อีกองค์หน่ึงมนี ำมว่ำ สงั ฆรกั ขิต พระอรหนั ต์
ทงั ๓ องค์นี มำแต่เมอื งรำชคฤห์ มำอยู่ “หนองกก”

ใกลก้ บั ภเู ขำหลวง

หน้า ๓

หนองกก ในอรุ งั คธาตุ (ตานานพระธาตพุ นม)

พระพทุ ธรกั ขติ จงึ ไปน้ำเอำมหำรตั นกมุ ำรพี่น้อง
แตเ่ มอื งอนิ ทปัฐนครมำบวช ในพระพุทธศำสนำ

แลว้ ไปอย่ทู ี่รมิ ฟำกฝัง่ แมน่ ำ้ ของ (แมน่ ้ำโขง)
ฝำ่ ยตะวนั ออก สอนวปิ ัสสนำภำวนำอยใู่ นท่นี ัน
หม่นื กลำงโรง (โฮง) จงึ สร้ำงหอแพใหอ้ ยูท่ นี่ นั

จงึ ไดเ้ รียกว่ำ “หอผำ”

สว่ นเจา้ ธรรมรกั ขติ กไ็ ปนำ้ เอำมหำสุวรรณปำสำท
กุมำรพี่นอ้ งแต่เมอื งจุลมณีพรหมทตั มำบวช

แลว้ สอนวปิ สั สนำภำวนำ อยู่ในเวียงงวั (วัดธำตุบุ
ในปจั จุบัน) ใต้ปำกหว้ ยคคุ ้ำ หม่ืนกลำงโรง (โฮง)

สรำ้ งวหิ ำรให้อย่ใู นท่ีนนั

พระสงั ฆรกั ขติ นัน ไปน้ำเอำเจำ้ สงั ขวชิ กมุ ำรมำบวช
อย่ทู ่เี มืองลำหนองคำย น้ำเลยี งพอ่ นม
สรำ้ งวิหำรให้อยู่

หน้า ๔

หนองกก ในอรุ งั คธาตุ (ตานานพระธาตพุ นม)

พระอรหันต์ทัง ๕ องคน์ มี ีนำมว่ำ มหำรัตนเถระหน่ึง จุลรตั นเถระหน่ึง
มหำสุวรรณปำสำทเถระหนึ่ง จุลสุวรรณปำสำทเถระหนึ่ง สังขวิชเถระหนึ่ง
พระพุทธรักขติ , ธรรมรกั ขติ , สงั ฆรักขติ เถระ, ผ้อู ำจำรย์ จงึ นำ้ เอำสำนุศิษย์ทงั ๕
นี ไปส่เู มืองรำชคฤห์

จากขอ้ มลู ขา้ งตน้ จะเหน็ วา่ ปรำกฏชอื่
“หนองกก” ท่ตี ังอยใู่ กล้ภหู ลวง โดยชำวบำ้ น

จะเรียกวำ่ “ภูลวง” โดยภลู วงในขอ้ มลู
ของชำวบำ้ นถอ่ นได้ระบุวำ่ ตำ้ แหน่งของภหู ลวง

คือ ทีต่ ังของพระธำตบุ งั พวนในปัจจุบัน ซ่ึง
สอดคลอ้ งกับตำ้ นำนอุรงั คธำตุ (ต้ำนำน
พระธำตุพนม) (กรมศิลปำกร, ๒๔๘๓ : ๑๓)
ที่ได้บอกต้ำแหนง่ ของภูหลวงไว้ว่ำ ภขู ำหลวง
จะอยทู่ รี่ มิ นำ้ บำงพวน โดยระยะหำ่ งของหนองกก
(บำ้ นถอ่ น) กับพระธำตุบังพวน (ภหู ลวง)
มรี ะยะทำงไม่ไกลกันมำก จึงสรุปได้ว่ำหนองกก
ในบ้ำนถ่อน คอื หนองกกในอุรังคธำตุ (ตำ้ นำน
พระธำตพุ นม) และอำรำมทต่ี งั อยู่บน
โพนหนองกก ไดส้ ร้ำงตังแตส่ มัยครังพระอรหนั ต์

ทัง ๓ องค์ มำพำ้ นัก ณ ทีแ่ ห่งนี

หน้า ๕ ภาพหนองกก

จารกึ อกั ษรธรรม บนฐำนชกุ ชที ี่ประดษิ ฐำนหลวงปูใ่ หญ่
มีจำรกึ ดว้ ยอกั ษรธรรม ควำมวำ่
บนฐานชุกชี “จำกพระแท่นเดมิ
ทปี่ ระดิษฐานหลวงปู่ใหญ่ พระผ้มู ำสรำ้ งวดั กัสสปะมะทโุ รม
๘ องค์
พระพุทธะรักขิต พระทัมมะรักขิต
พระสังคะรักขติ
พระมหำรตั นะเถระ
พระจรุ รัตนะเถระ
พระมหำสุวนั ปำสำดเถระ
พระจรุ สวุ ันปำสำดเถระ
พระสังคะวชิ เถระ
พักทห่ี นองกกแหง่ นี”

จากขอ้ มลู ขา้ งตน้ จะเหน็ วา่ ผจู้ ำรกึ ได้คดั ลอกมำจำกฐำนชุกชีเดมิ
และเมื่อเปรียบเทยี บกบั ขอ้ มูลในต้ำนำนอุรังคธำตุ (ต้ำนำนพระธำตุพนม)
จะเป็นข้อมูลท่ีสอดคลอ้ งกันโดยชอื่ พระอรหนั ตท์ งั ๘ องค์ ไดแ้ ก่ พระพุทธรักขิต
พระธรรมรักขติ พระสังฆรกั ขิต พระมหำรตั นเถระ พระจุลรัตนเถระ
พระมหำสุวรรณปรำสำทเถระ พระจลุ สวุ รรณปรำสำทเถระ และพระสงั ขวชิ เถระ
ซงึ่ สรปุ ไดว้ ำ่ พระอรหนั ตท์ งั้ ๘ องคท์ กี่ ลา่ วมาไดม้ าพานกั ทหี่ นองกกแหง่ น้ี

และไดส้ รา้ งอารามบนโพนหนองกกแหง่ นช้ี อื่ “วดั กสั สปมธโุ รม”

หน้า ๖

วดั กสั สปะมะธโุ รม ในยคุ ของอาณาจักรลา้ นชา้ ง

องค์กำรบรหิ ำรส่วนต้ำบลบ้ำนถอ่ น (๒๕๔๕ : ๕) ไดร้ วบรวม
ขอ้ มูลเก่ยี วกับวดั กสั สปมธโุ รม โดยอ้ำงถงึ ตำ้ นำนอุรงั คธำตุบังพวน
ตำ้ บลพระธำตุพังบวน อ้ำเภอเมอื ง จงั หวัดหนองคำย ในช่วงหน่งึ กลำ่ วว่ำ
เมือ่ พ.ศ. ๒๑๐๓ พระไชยเชษฐำธริ ำช กษัตริย์เมืองลำว ซึ่งได้ยำ้ ย
เมืองหลวงจำกเมืองหลวงพระบำงมำอยู่ท่ีเวียงจันทน์ ได้มำกอ่ ตัง
พระธำตโุ รม พระธำตหุ ัวเหนำ่ บังพวน เสรจ็ แลว้ จึงได้มำสรำ้ งอำรำม
ไว้ทวี่ ดั โพนหนองกกหน่ึงหลงั บอ่ นำ้ ตนื หน่ึงบ่อก่อด้วยอิฐแดงและดินเผำ
และเจดยี ์อกี สำมองคอ์ ยู่ทำงทศิ ตะวนั ออกของวดั ในปัจจุบนั ได้พงั ไป
หมดแล้ว เมอ่ื พระไชยเชษฐำธริ ำชไดบ้ ูรณะวดั โพนหนองกกเสร็จแล้ว
จงึ กลับไปนครหลวงเวียงจันทน์ ปี พ.ศ. ๒๑๑๑ ไดก้ ่อสรำ้ งพระธำตโุ รม
พระธำตุหลวงเวียงจนั ทน์ และได้สร้ำงพระเจำ้ องคต์ ือสององคเ์ ก็บไวท้ ี่
เวียงจนั ทน์ หนึ่งองค์เกบ็ ไวท้ ี่วดั น้ำโมง (วัดศรีชมภูองค์ตอื
อำ้ เภอทำ่ บอ่ จังหวดั หนองคำย)

กำรมำสรำ้ งวดั ที่โพนหนองกกแหง่ นีของ
พระไชยเชษฐำธริ ำช เปน็ กำรบูรณะพระอำรำมท่ีเก่ำรำ้ ง
ในแถบแมน่ ้ำโขง เม่อื มำบูรณะแลว้ นนั สันนษิ ฐำนวำ่ อำจ
ไมม่ ีพระมำจ้ำพรรษำ หรอื ไมม่ ีผู้มำบูรณะต่อ
หรือไม่มคี นมำตงั ถิ่นฐำนอยบู่ ริเวณนเี ลย
ทำ้ ให้อำรำมแห่งนีถกู ทงิ ร้ำง
จนกวำ่ ชำวบ้ำนถอ่ นจะได้ไปพบเหน็

หน้า ๗

การพบวดั กสั สปะมะธโุ รม

ของชาวบา้ นถอ่ น

คนเฒ่ำคนแก่ชำวบำ้ นถอ่ น ได้เล่ำถงึ กำรพบวัดกัสสปมธโุ รมไวว้ ำ่
เม่ือแรกครังชำวบำ้ นถอ่ นได้อพยพมำจำกยโสธร มำอยู่ที่ป่ำถอ่ นหรือบำ้ นถ่อน
ในปัจจุบัน ยังไม่พบอำรำมในบรเิ วณนี โดยแรกเรมิ่ ชำวบำ้ นถอ่ นไดม้ ำตงั หมู่บำ้ น
ที่บริเวณวัดไทรคา และได้สรำ้ งวัดเปน็ ศูนยก์ ลำงของหมบู่ ้ำน เมอื่ หม่บู ้ำน
มีขนำดใหญ่ขึน ก็มกี ำรขยำยหมบู่ ำ้ นไปทำงทิศใต้บรเิ วณวดั โพธศ์ิ รี และไดส้ ร้ำงวดั
อกี หน่งึ แหง่ และได้ขยำยไปทำงทิศเหนอื หรือชำวบำ้ นเรียกว่ำ “จอมบำ้ น”
โดยได้สร้ำงวัดอกี แหง่ หนง่ึ เรียกว่ำวัดจอมทอง ซึ่งปจั จบุ นั วดั แห่งนไี ดท้ ิงร้ำง
และกลำยเปน็ ผนื นำในท่ีสุด แต่ชำวบ้ำนทอี่ ยู่บริเวณวดั แห่งนันกไ็ ดต้ งั ชือ่ คุ้มเป็น
อนสุ รณ์ไวว้ ำ่ คมุ้ จอมทองอสี านเหนอื เหนอื จำกบ้ำนจอมทองเปน็ บริเวณ
“โพนสำวเอ้” ชำวบ้ำนมคี วำมเชือ่ วำ่ บริเวณนนั ผดี ุ กอปรกบั บรเิ วณนนั ป่ำทึบ มี
สัตวป์ ่ำมำกมำย เชน่ เสอื ลิง เตำ่ ขนำดใหญ่ ซง่ึ คนเฒ่ำคนแกช่ ำวบ้ำนถ่อนบำงคน
ยงั มโี อกำสได้ขห่ี ลงั เตำ่ ยกั ษข์ นำดประมำณกะละมังขนำดใหญ่ แตป่ ัจจบุ ันไมม่ ีให้
พบเหน็ แล้ว เปน็ ต้น ทำ้ ใหช้ ำวบำ้ นถอ่ นไม่กลำ้ ไปหำกนิ ในบริเวณนัน

หน้า ๘

การพบวดั กสั สปมธโุ รม

ของชาวบา้ นถอ่ น

เม่ือจ้ำนวนประชำกรในหมบู่ ้ำนถ่อนเพ่ิมมำกขึนท้ำใหบ้ รเิ วณกำรหำกิน
ไดข้ ยำยไปในเขตอำรำมร้ำง แลว้ พบกบั โบสถ์เกำ่ ทกี่ อ่ ดว้ ยหินศลิ ำแลง
และมปี ระธำนเปน็ พระพทุ ธรปู ปูนป้นั และเม่ือหำกเปรียบเทียบปีที่กอ่ ตังบำ้ นถ่อน
และกำรตดั ทำงเข้ำไปบริเวณอำรำมรำ้ งเพอื่ บูรณะ ตำมข้อมูลขององค์กำรบรหิ ำร
สว่ นตำ้ บลบำ้ นถอ่ น (๒๕๔๕ : ๕-๖) จะพบว่ำ ปที ี่กอ่ ตังบ้ำนถอ่ นคอื ปี พ.ศ. ๒๓๔๕
แตป่ ีที่ชำวบ้ำนถ่อนไดต้ ดั ทำงเข้ำไปบริเวณอำรำมร้ำงเพ่อื บรู ณะคอื ปี พ.ศ. ๒๔๐๐
ซึง่ จะเปน็ ชว่ งการพบอารามรา้ งวดั กสั สปมธโุ รม เป็นเวลาประมาณ ๕๕ ปี กว่า

ทชี่ าวบา้ นถอ่ นจะพบวดั กสั สปมธโุ รม

เมือ่ มีกำรตัดทำงเขำ้ ไปที่วัดกัสสปมธโุ รม เพื่อสกั กำรบูชำหลวงปใู่ หญ่
และบูรณะอำรำมรำ้ งแหง่ นี ทำ้ ใหช้ ำวบำ้ นถอ่ นบำงกล่มุ ย้ำยไปตงั ถ่นิ ฐำนบริเวณนัน
และตงั ชอ่ื วำ่ บ้านหนองกก ในปัจจบุ ัน

หน้า ๙

ปัจจบุ นั นีวดั โพนหนองกก
หรอื วัดกัสสปมธโุ รม

ตำ้ บลบ้ำนถอ่ น อำ้ เภอทำ่ บอ่
จังหวัดหนองคำยแห่งนี
ไดท้ ้ำหน้ำท่ีเป็นศนู ย์กลำง
ของชำวบ้ำนถอ่ น

โดยมีองค์หลวงปใู่ หญ่เปน็ ศูนย์รวมใจของ
ชำวบำ้ นถ่อนทกุ คน

ชำวบำ้ นถอ่ นได้ยกใหห้ ลวงปใู่ หญ่

เปน็ พระพทุ ธรปู ประจาตาบลบา้ นถอ่ น

ซึ่งชำวบ้ำนถ่อนหำกจะเดินทำง
หรอื ประกอบกิจกำรงำนต่ำง ๆ

ก็จะบอกกลำ่ วหลวงป่ใู หญ่
รวมถึงหำกมแี ขกบำ้ นแขกเมอื งมำเยือน

กจ็ ะพำไปกรำบขอพรหลวงปู่ใหญ่
เพ่อื ควำมเป็นศริ ิมงคล หำกได้ลูก
ไดห้ ลำนหรือไดเ้ ขยสะใภ้ตำ่ งถิ่น
กจ็ ะต้องมำบอกกล่ำวขอเป็นลูก
เป็นหลำนปใู่ หญ่ หำกมรี ถก็จะมำมอบให้

หลวงปใู่ หญค่ ุม้ ครองรกั ษำ
เม่อื เดินทำงสัญจร

หน้า ๑๐

บุญประเพณตี ำมฮตี สิบสองกจ็ ะมำจดั
ที่วดั กสั สปมธโุ รมแหง่ นเี ป็นหลกั

โดยเฉพำะบญุ บังไฟทจี่ ะจัดขนึ ในวันขึน
๑๕ ค้ำ่ เดอื น ๖ ของทุกปี ชำวบ้ำนถอ่ น
จะบนหลวงป่ใู นเร่อื งต่ำง ๆ หำกสำ้ เร็จผล

ก็จะนำ้ บังไฟมำถวำยแก้บน
ซึ่งสถติ บิ ังไฟทม่ี ขี นำดใหญท่ ่สี ุดท่ีจดุ ถวำย

หลวงป่ใู หญค่ อื บงั ไฟขนำด ๑๕ ลำ้ น
นอกจำกนีชำวบำ้ นยงั มีควำมเชอื่ เกย่ี วกับ

ปู่จำ่ ทม่ี ีกำรตังศำลอยบู่ รเิ วณรวั วดั
ดำ้ นทำงไปหนองกก ซึง่ เช่อื ว่ำเป็นผู้

ปกปกั รักษำหลวงปูใ่ หญ่
วดั กสั สปมธโุ รม

ด้วยควำมศรัทธำอันแรงกลำ้ ของ
ชำวบ้ำนถ่อน และควำมสำ้ คญั ของ

วัดกัสสปมธโุ รม ชำวบำ้ นถอ่ น
จงึ ได้น้ำไปกลำ่ วไว้ในค้ำขวัญ
เทศบำลต้ำบลบำ้ นถ่อนทว่ี ่ำ

“สดู่ นิ แดนหลวงปู่ใหญ่

ลอื เลื่องเมอื งประเพณลี ้าค่า

ดนิ แดนแหง่ ใบยา

บ่อปลาโพนงาม”

หน้า ๑๑

อ้างอิง

เอกสารอา้ งองิ
กรมศิลปำกร. (๒๔๘๓). อรุ ังคธำตุ (ตำ้ นำนพระธำตพุ นม). พระนคร :

โรงพิมพ์ไทยเกษม.
องค์กำรบริหำรสว่ นตำ้ บลบำ้ นถอ่ น. (๒๕๔๕). ประวัตวิ ดั กสั สปะมะธุโรม

(วัดปใู่ หญ)่ บำ้ นหนองกก และประวตั ติ ำ้ บลบำ้ นถอ่ น อ้ำเภอทำ่ บอ่
จังหวดั หนองคำย. หนองคำย : องคก์ ำรบริหำรสว่ นต้ำบลบ้ำนถ่อน.

ภาพประกอบ
๑. เพจไทบ้ำนถอ่ น
๒. เพจวัดกัสปมธโุ รม บำ้ นถ่อนหนองกก
๓. เวบ็ ไซต์เทศบำลตำ้ บลบ้ำนถ่อน อำ้ เภอทำ่ บ่อ จังหวดั หนองคำย

หน้า ๑๒

เหตทุ พ่ี ระพทุ ธเจ้าไดต้ รสั กับพระมหากัสสปะเถระวา่
เม่อื พระองค์เข้าสู่นพิ พานแล้ว ให้มาสรา้ งอุโมงคป์ ระดษิ ฐานพระอุรังคธาตุ

ณ ภูกาพร้าแห่งนี้ ด้วยเหตวุ า่ บริเวณสองฟากฝั่งแมน่ า้ โขงนี้น้นั
เป็นดนิ แดนของกลุ่มคนผู้มีสมั มาทฐิ ิ อ่อนนอ้ มถ่อมตน
จะมารกั ษาพุทธศาสนาบา้ นเมอื งให้เจริญรุง่ เรือง

(สรุปจากเนอ้ื อุรงั คธาตุ ตานานพระธาตพุ นม)

ดนิ แดนบา้ นถอ่ นอันเปน็ ทตี่ ้งั ของหนองกกและวัดกสั สปมธุโรมแหง่ นี้
คือดินแดนแหง่ พุทธศาสนาอย่างแท้จริง และชาวบ้านถ่อนจะรักษาพทุ ธศาสนา

ของพระโคดมสืบไป ตามพทุ ธทานาย น้นั แล

หนองกก
และวัดกสั สปมธโุ รม


Click to View FlipBook Version