The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน(ฉบับจริง)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by อรรณพ ภักดีชน, 2022-12-17 21:24:25

ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน(ฉบับจริง)

ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน(ฉบับจริง)

51

เฮอร์ซเบิร์ก (Herzberg, 1959, pp.45-49) ได้กลา่ ววา่ ความรับผิดชอบ (Responsibility) คือ
ความพึงพอใจท่ีเกิดข้ึนจากการได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานใหม่ๆ และมีอานาจในการรับผิดชอบอย่างเต็มที่

จากแนวคิด ทฤษฎีที่กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยสรุปได้ว่า ความรับผิดชอบ หมายถึง ระดับปฏิบัติใน
การดาเนนิ งานเกีย่ วกบั โอกาสปฏบิ ัตงิ านไดอ้ ย่างอิสระในการเลือกวธิ กี ารทางานได้ดว้ ยตนเอง มกี ารมอบหมายงาน
ท่ีสาคัญและเร่งด่วนในปฏิบัตงิ านใหแ้ ก่ครูอยา่ งตอ่ เนือ่ ง มอบอานาจและการตัดสินใจในการปฏิบัติงานใหม่ๆให้แก่
ครู ครูพอใจที่ได้ใช้ความรู้ ความสามารถที่ใช้ในการปฏิบัติงานท่ีหลากหลาย ระเบียบข้อบังคับและคาส่ังต่างๆใน
สถานศึกษาส่งเสรมิ ต่อการปฏบิ ตั งิ านของครู

5) ด้ำนควำมเจริญก้ำวหน้ำในตำแหน่ง
สุพจน์ ฐิติวรการณ์กูล (2559) กล่าวว่า ด้านความก้าวหน้าในตาแหน่งหน้าที่ หมายถึง การที่ครู
มีโอกาสได้เลื่อนตาแหน่งที่สูงขึ้นด้วยความเป็นธรรม รวมถึงโอกาสได้รับความรู้ ความสามารถและทักษะในการ
ปฏิบัติงานสูงข้ึน และมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานเพราะฉะน้ัน ผู้บริหารควรสนับสนุนส่งเสริมให้ผู้ปฏิบัติงาน
ทุกคน เพิ่มความรู้ความสามารถและทกั ษะในการปฏิบัติงานสูงขึ้น เพื่อให้สามารถดารงตาแหน่งที่เหมาะสมและ
สูงขึ้น อันจะส่งผลทาให้เกิดแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน บังเกิดผลดีต่อการปฏิบัติงานในองค์การมากย่ิงขึ้น
ณัฐดนัย ไทยถาวร (2561) ได้กล่าวว่า ความก้าวหน้าในตาแหน่งการงาน หมายถึง โอกาสได้
เลื่อนตาแหน่งที่สูงข้ึน เกิดเปล่ียนแปลงที่ดีขึ้นเกิดจากการประสบผลสาเร็จในการทางาน ทาให้เกิดความก้าวหน้า
ในตาแหน่งท่ีสูงขึ้น การได้พัฒนาความรู้ความสามารถ การขึ้นเงินเดือน ได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารและมี
โอกาสแสดงความคดิ เหน็ ตอ่ ผบู้ ริหาร
เปรมทิพย์ คาทะเนตร (2564) ไดก้ ล่าวว่า ความเจริญก้าวหน้าในตาแหนง่ หมายถึง ความสาเรจ็
ในทกุ สิง่ ทุกอยา่ งตามทนี่ ึกคิดและมงุ่ หวังเอาไว้ ความคิดริเร่ิมบกุ เบกิ ความรู้ความสามารถท่ีนามา พฒั นาศักยภาพ
ของตนความรบั ผิดชอบ ความสาเร็จของงาน และลักษณะของงานที่ไดร้ ับ มองหมายการสนับสนุนจาก
ผบู้ ังคบั บญั ชาใหเ้ ขา้ รับการอบรม สมั มนา ศกึ ษาดูงานเพ่ือ ความเจริญก้าวหน้าในวชิ าชพี ความรูค้ วามสามารถทีม่ ี
อยู่เพื่อส่งเสรมิ ความเจรญิ กา้ วหนา้ ของตน ในการปฏบิ ัตงิ าน โอกาสไดเ้ ลื่อนตาแหน่งสูงข้ึนไดร้ บั ความยุติธรรมใน
การ พจิ ารณาความดีความชอบจากผ้บู ังคับบัญชา
นูรียะห์ หะแว (2564) ได้กล่าวว่า ด้านความก้าวหน้า หมายถึง การท่ีครูเกิดส่ิงเร้าหรือแรง
กระตุ้นส่งผลให้ได้รับการเปล่ียนแปลงเลื่อนตาแหน่งหน้าท่ีการงานให้สูงขึ้น ได้รับการพิจารณาเลื่อนข้ันเงินเดือน
เป็นพิเศษ ได้มีโอกาสรับการพัฒนาความรู้ความสามารถ ทักษะท่ีเพิ่มข้ึนในวิชาชีพจากการปฏบิ ัติงาน ตลอดจน มี
โอกาสศึกษาตอ่ อบรม สัมมนา ศกึ ษาดูงาน เพื่อเพิ่มพนู ความรู้ ความสามารถของตนเอง
มนัส มีทรพั ยท์ อง (2563) ได้กล่าวว่า ความกา้ วหนา้ ในตาแหนง่ การงาน หมายถึง การสง่ เสรมิ
พฒั นาศักยภาพของครใู หม้ ีประสทิ ธภิ าพโดยวธิ กี ารต่างๆจนไดร้ ับการเลื่อนตาแหนง่ ท่ีสงู ข้ึน


52

อภินันท์ โกช่วย(2563) ได้กล่าวว่า ความเจริญก้าวหน้าในการทางาน หมายถึง ครูมีความรู้
ความสามารถมีความกระตือรือร้น แสวงหาความรูใ้ นการพัฒนาตนเองใหมีความก้าวหน้าในหน้าท่ีการงานอยูเสมอ
ครูจะได้รับการส่งเสริม สนับสนุนในด้านการพัฒนาความรู้ความสามารถในการอบรมสัมมนาดูงานหรือศึกษาต่อ
สนับสนุนให้มคี วามก้าวหนา้ ตามความรู้ความสามารถและสายงาน ซง่ึ จะทาให้ครมู คี วามร้คู วามสามารถเพ่ิมขึ้นจาก
การปฏิบัติงาน ผู้บริหารสนับสนุนให้ครูรับผิดชอบงานสาคัญของโรงเรียนและครูจะได้รับการพิจารณา ความดี
ความชอบและจากผลการปฏบิ ัติงานที่เป็นธรรม

เปรมทพิ ย์ คาทะเนตร (2564) ไดก้ ลา่ ววา่ ความเจริญกา้ วหน้าในตาแหน่ง หมายถงึ ความสาเร็จ
ในทุกสิ่ง ทุกอยา่ งตามทน่ี กึ คิดและมุ่งหวังเอาไว้ ความคดิ ริเริม่ บกุ เบกิ ความรคู้ วามสามารถท่ีนามา พัฒนาศักยภาพ
ของตนความรับผิดชอบ ความสาเรจ็ ของงาน และลักษณะของงานท่ีได้รบั มองหมายการสนับสนุนจาก
ผบู้ ังคบั บญั ชาใหเ้ ขา้ รับการอบรม สมั มนา ศกึ ษาดูงานเพื่อ ความเจริญกา้ วหน้าในวชิ าชพี ความร้คู วามสามารถที่มี
อยเู่ พ่ือสง่ เสริมความเจริญกา้ วหน้า ของตน ในการปฏิบัตงิ าน โอกาสไดเ้ ลื่อนตาแหน่งสูงขึ้นไดร้ ับความยุติธรรมใน
การ พจิ ารณาความดีความชอบจากผบู้ ังคบั บญั ชา

นูรียะห์ หะแว (2564) ไดก้ ลา่ ววา่ ด้านความก้าวหน้า หมายถงึ การท่ีครเู กดิ สง่ิ เร้าหรือแรง
กระต้นุ สง่ ผลให้ได้รบั การเปล่ียนแปลงเลอ่ื นตาแหน่งหน้าที่การงานให้สูงขน้ึ ไดร้ ับการพิจารณาเล่อื นข้ันเงินเดือน
เป็นพิเศษ ไดม้ ีโอกาสรบั การพฒั นาความรู้ความสามารถ ทกั ษะที่เพิม่ ขึ้นในวิชาชีพจากการปฏิบัตงิ าน ตลอดจน มี
โอกาสศกึ ษาต่อ อบรม สัมมนา ศกึ ษาดูงาน เพื่อเพมิ่ พนู ความรู้ ความสามารถของตนเอง

กาญจนา พรดั ขา (2565) ไดก้ ลา่ ววา่ ความเจรญิ กา้ วหน้าในตาแหน่งงาน หมายถงึ การท่คี รูได้รับ
โอกาสให้เกิดความก้าวหน้า ในงานท่ีทา การได้รับการเลื่อนข้ันเลอื่ นตาแหนง่ ให้สงู ขึ้นรวมถึงการมีโอกาสได้พัฒนา
ตนเอง เช่น การศึกษาต่อ การเข้ารับการฝึกอบรม ศึกษาดูงานเพ่ิมพูนความรู้ความสามารถและทักษะในการ
ปฏิบัตงิ านเพ่ือให้สามารถดารงตาแหน่งท่ีเหมาะสมและสงู ขึ้นอันจะส่งผลให้เกิดแรงจูงใจในการ ปฏิบตั งิ าน บังเกิด
ผลดีต่อการปฏบิ ัติงานในองค์กรมากยง่ิ ขนึ้

เฮอร์ซเบิร์ก (Herzberg, 1959, pp.45-49) ได้กล่าวว่า ความก้าวหน้าในตาแหน่งการงาน
(Advancement) คือ การเปลี่ยนแปลงในสถานะหรือตาแหน่งของบุคคลในองค์กร แต่ในกรณีที่บุคคลย้าย
ตาแหน่งจากแผนกหนึ่งไปยังอีกแผนกหนึ่งขององค์กร โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงสถานะ ถือเป็นเพียงการเพิ่ม
โอกาสให้ความรับผิดชอบมากขึ้นเรียกได้ว่า เป็นการเพิ่มความรับผิดชอบแต่ไม่ใช่ความก้าวหน้าในตาแหน่งการ
งานอย่างแท้จริง

จากแนวคิด ทฤษฎีท่ีกล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยสรุปได้ว่า ความเจริญก้าวหน้าในตาแหน่ง หมายถึง

ระดับปฏิบัติในการดาเนินงานเกี่ยวกับครูได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารให้รับผิดชอบงานสาคัญของโรงเรียน
ได้รบั การสง่ เสริมและสนบั สนนุ ให้เขา้ ร่วมอบรมสัมมนา เพอ่ื พัฒนาตนเองอยา่ งต่อเน่ือง และไดร้ บั การส่งเสริมและ


53

สนบั สนนุ ในการศกึ ษาตอ่ ระดับท่ีสูงข้นึ งานท่ีปฏบิ ตั ิทาให้มีประสบการณ์และความชานาญในการปฏบิ ัติงานเพิ่มข้ึน
ได้รบั รางวลั หรอื คาชมเชยจากผลสาเร็จของงานท่ปี ฏบิ ตั ิอยู่

งำนวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง
งำนวิจัยในประเทศ
จรี าพร มามมิ ิน (2560) ศึกษาแรงจงู ใจในการปฏิบตั ิงานของครูโรงเรียนประถมศึกษา อาเภอขลุง
จังหวัดจันทบุรี สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรีเขต 2 พบว่า แรงจูงใจในการปฏิบัติงาน
ของครู โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ยกเว้นด้านความต้องการสัมพันธ์ อยู่ในระดับปานกลาง โดย
เรียงลาดบั ค่าเฉลยี่ มากไปหาคาเฉล่ียน้อยไดแ้ ก่ ดา้ นความต้องการเจริญก้าวหน้า ดา้ นความต้องการดารงชวี ิต และ
ด้านความต้องการสัมพันธ์จากการจาแนกตามวุฒิการศึกษาโดยรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสาคัญ
ทางสถิติจาแนกตามขนาดโรงเรียนโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ.05 และจาแนกตาม
ประสบการณใ์ นการทางาน โดยรวมและรายดา้ นแตกต่างกันอย่างไมม่ นี ยั สาคัญทางสถิตทิ ี่ระดบั .05
เชษินีร์ แสวงสุข (2560) ศึกษาภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อ
ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 17พบว่า ภาวะผู้นา
การเปล่ียนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาอยู่ในระดับมากท่ีสุด ส่งผลต่อความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครู
อย่างมีนยั สาคัญทางสถิติท่ี .01 เรยี งตามลาดับ ได้แก่ ดา้ นการมีอิทธิพลเชงิ อุดมการณ์ ด้านการกระตุ้นทางปัญญา
ด้านการคานึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล และด้านการสร้างแรงบันดาลใจ โดยภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของ
ผู้บริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์ทางบวกกับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครู ด้านความก้าวหน้าใน
ตาแหน่ง ด้านความรับผิดชอบ ด้านความสาเร็จของงาน ด้านลักษณะงานที่ปฏิบัติและด้านการได้รับการยอมรับ
อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิติท่รี ะดับ .01
บงกชรัตน์ เจริญทวี (2560) ศึกษาผู้บริหารสถานศึกษากับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู
โรงเรียนในพ้ืนท่ีเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตราดมีความสัมพันธ์พบว่าภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหาร
สถานศกึ ษา โดยรวมและรายด้านทุกด้านกันทางบวก อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถติ ิท่ีระดับ .01 ได้แก่ ดา้ นการกระตุ้น
การใช้ปัญญา ดา้ นการสรา้ งบารมี ด้านการคานงึ ถึงความเป็นปัจเจกบุคคล และดา้ นการสร้างแรงบนั ดาลใจ
จีรภัทร คงยะมาศ (2561) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร
โรงเรียนกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการครูโรงเรียนกลุ่มศรีราชา 5 สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ี
การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 ผลการวิจัยพบว่า ตามความคิดเห็นของข้าราชการครู โดยรวมอยู่ในระดับ
มาก อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถิติทรี่ ะดบั 0.01 เม่ือพิจารณาในแต่ละด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียงลาดับ
ค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย อันดับแรก คือ การกระตุ้นทางปัญญา การสร้างแรงบันดาลใจ การมุ่งความสัมพันธ์
เป็นรายบุคคล และการสร้างบารมี ตามลาดับ อย่างมนี ัยสาคัญทางสถิตทิ ีร่ ะดับ 0.01


54

ณัฐกานต์ จันทร์ทอง (2562) ศึกษาพฤติกรรมผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหารที่สง่ ผลตอ่ ความ
พึงพอใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 8 พบว่า
โดยรวมและรายด้านทุกด้าน มีความสัมพันธ์กันทางบวกและพฤติกรรมผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารท่ีส่งผล
ต่อความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา ได้แก่ ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ และด้านการคานึงถึง
ความเป็นปจั เจกบุคคลอย่างมีนยั สาคญั ทางสถติ ทิ ่ีระดับ .01

พนารตั น์ ชื่นอารมย์ (2562) ศึกษาภาวะผนู้ าการเปล่ียนแปลงของผบู้ รหิ ารสถานศึกษาท่สี ง่ ผลต่อ
การสร้างขวัญและกาลังใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการครูพ้ืนที่สังกัดสานักงานเขตการศึกษาประถมศึกษา
ราชบรุ ี เขต 2 พบว่า ปัจจยั ที่ส่งผลต่อการสรา้ งขวญั และกาลังใจในการปฏบิ ตั ิงานของขา้ ราชการครู เรียงตามลาดับ
อิทธิพลจากมากไปหาน้อยได้แก่ ดา้ นการมอี ทิ ธพิ ลอย่างมีอุดมการณ์ ดา้ นการสรา้ งแรงบนั ดาลใจ ด้านการคานึงถึง
ความเปน็ ปจั เจกบุคคล ดา้ นการกระตุน้ ทางปญั ญา อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิติทีร่ ะดบั .05

ภสั รารตั น์ จอมโชติ (2563) ศึกษาความสัมพนั ธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลยี่ นแปลงของผู้บริหาร
สถานศึกษากับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการครู โรงเรียนบ้านบึงสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
มัธยมศึกษา เขต 18 จังหวัดชลบุรี พบว่าในภาพรวมมีความสัมพันธ์กันในระดับมาก อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี
ระดับ .01 ได้แก่ ด้านการกระตุ้นเชาว์ปัญญา ด้านการคานึงถึงปัจเจกบุคคล ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์
และดา้ นการสรา้ งแรงบันดาลใจ

มัณฑนา ชุมปัญญา (2563) ศึกษาภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บรหิ ารท่ีส่งผลต่อแรงจูงใจใน
การปฏิบัติงานของครูในโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 พบว่า ภาวะ
ผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหาร โดยรวมมีความสัมพันธ์กันทางบวกและเม่ือพิจารณารายด้าน ได้แก่ ด้านการ
เสริมสร้างกาลังใจ ด้านการกล้าท้าทายต่อกระบวนการทางานด้านการเป็นต้นแบบนาทาง และด้านการสร้างแรง
บันดาลใจต่อวสิ ัยทัศน์ร่วม ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ
.01

รัชพล สอนใหม่ (2563) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหาร
สถานศึกษากับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในกลุ่มโรงเรียนบางละมุง 2 สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 พบว่า โดยรวมมีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับมากท่ีสุดอย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ิท่ี
ระดับ .01 ได้แก่ ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ ด้านการคานึงถึงปัจเจกบุคคลด้านการสร้างบารมี และด้านการ
กระต้นุ เชาว์ปญั ญา

ศุภศาสตร์ พลคา (2563) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร
สถานศึกษาและความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครูในกลุม่ พัฒนาคุณภาพการศึกษาตะเคียนสมศักดิ์
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 พบว่า ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร
สถานศึกษาอยู่ในระดับมาก ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครูอยู่ในระดับมาก ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลง


55

ของ ผู้บริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครู อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่
ระดับ .01 โดยมีความสัมพันธ์กัน คือ การมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ และ การกระตุ้นปัญญา

ภัสรารัตน์ จอมโชติ (2563) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของ
ผู้บริหารสถานศึกษากับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการครู โรงเรียนบ้านบึง “อุตสาหกรรมนุเคราะห์”
สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 18 จังหวัดชลบุรี พบว่า ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของ
ผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนบ้านบึง “อุตสาหกรรมนุเคราะห์”สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
เขต 18 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงจากมากไปน้อยคือ ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ การสร้าง
บารมี ด้านการกระตุ้นเชาวน์ปัญญา และด้านการคานึงถึงปัจเจกบุคคลตามลาดับ แรงจูงใจใ นการปฏิบัติงาน
ของข้าราชการครู โดยรวมและรายข้ออยู่ในระดับมากเรียงลาดับได้ ดังนี้ ความต้องการสัมพันธ์ ความต้องการ
เจริญก้าวหน้า ความต้องการดารงชีวิต ตามลาดับความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหาร
สถานศึกษากับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการครู พบว่า โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์กันอย่างมี
นัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01

นางสาวอรวรรณ ภัทรดาเนินสุข (2564) ศึกษาภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารกับ
แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษ าสมุทรสงคราม
พบว่า ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา
สมุทรสงคราม โดยภาพรวม และรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลาดับตามค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปหา
น้อย ดังนี้ ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ ด้านการกระตุ้นทางปัญญา ด้านการคานึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล และ
ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา โดยภาพรวม และรายด้าน
อยู่ในระดับมาก โดยเรียงลาดับตามค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ผลประโยชน์ทางอุดมคติ โอกาส
ที่จะมีส่วนร่วมในการทางานอย่างกว้างขว้าง ส่ิงจูงใจที่เกี่ยวกับโอกาสของบุคคล ความดึงดูดใจทางสังคม สภาพ
การอยู่ร่วมกัน สิ่งจูงใจด้านสภาพทางกายภาพที่พึงปรารถนา สิ่งจูงใจเกี่ยวกับสภาพการทางาน โดยปรับสภาพ
การทางานให้เหมาะสมกับความสามารถของบุคคล และทัศนคติของผู้ปฏิบัติงานแต่ละคน และ สิ่งจูงใจที่เป็น
วัตถุ ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารมีความสัมพันธ์กับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา
สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ . 01 ในระดับ
ปานกลาง ในลักษณะคล้อยตามกัน

กิตติ จิตต์รัตน์(2564) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร
สถานศึกษากับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ี
การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 1 พบว่า ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนขยาย
โอกาสทางการศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 1 ในภาพรวมและรายด้าน
ทุกด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลาดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการกระตุ้นทางปัญญา ด้านการสร้าง
แรงบันดาลใจ ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ ด้านการคานึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล ตามลาดับ แรงจูงใจ


56

ในการปฏิบัติงานของครู ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาแยกแต่ละปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยกระตุ้น พบว่า
มีระดับมากทุกด้าน เรียงลาดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการได้รับความสาเร็จ ด้านการได้
รับผิดชอบต่องาน ด้านตัวงานเอง ด้านความก้าวหน้า ด้านการได้รับการยอมรับนับถือ ปัจจัยค้าจุน พบว่า มี
ระดับระดับมากและมากที่สุด เรียงลาดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านสัมพันธภาพกับบุคลากรใน
องค์การ ด้านสถานภาพในองค์กร ด้านเงินเดือนหรือค่าจ้าง ด้านนโยบายและการบริหารขององค์การ ด้าน
คุณภาพของการควบคุมบังคับบัญชา ความสัมพันธ์ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับ
แรงจูงใจมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูงอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01

ขนิษฐา แสงโยธี(2565) ศึกษาภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่ม
เครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพศูนย์การศึกษาพิเศษ กลุ่มเครือข่ายที่ 5 สังกัด สานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ
พบว่า ภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาโดยภาพรวม และรายด้านอยู่ในระดับมาก ได้แก่ การ
คานึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล การสร้างแรงบันดาลใจ การมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ และการกระตุ้นทาง
ปัญญา

งำนวิจัยต่ำงประเทศ

Ogomaka (1986 อ้างถึงใน กฤติยา พิกุลทอง, 2556) ได้ทาการวิจัยเรื่ององค์ประกอบของ
แรงจูงใจของครูในโรงเรียนสอนศาสนาใน ลอสแองแจอร์ลิส พบว่า ปัจจัยที่เป็นแรงจูงใจ คือ การได้รับความ
เจริญก้าวหน้าในงาน รองลงมาได้แก่ การได้รับการยอมรับนับถือ ผลสัมฤทธิ์ในงานข้อตกลงทางศาสนา ส่วน
ความสัมพันธ์กับครูและนักเรียน ความสนับสนุนจากผู้ปกครอง ความมั่นคงปลอดภัย และการขึ้นเงินเดือนไม่มี
ผลต่อแรงจูงใจของงาน การได้รับการยอมรับนับถือ โอกาสที่จะก้าวหน้าและแรงจูงใจภายนอ ได้แก่ นโยบายของ
เงินเดือน ความสัมพันธ์กับบุคคลอ่ืน และสภาพการทางาน มีผลต่อความพึงพอใจในการปฏิบัติงานเป็นอย่างมาก

Femkc, Peter, and Rudolf (1998) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลง
กับการเปลี่ยนแปลงการทางานของครูในศูนย์การฝึกเกษตรกรรมของชาวดทั ช์ในประเทศเนเธอร์แลนด์ พบว่า
ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงการทางานของครู ในศูนย์ฝึกเกษตรกรรมอย่างมี
นัยสาคัญ

Ray (1987) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง องค์ประกอบภายใน (ปัจจัยจูงใจ) กับองค์ประกอบ
ภายนอก (ปัจจัยค้าจุน) กับความพอใจในการทางานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการนักศึกษาในวิทยาลัยชุมชน โดยมี
วัตถุประสงค์ที่จะศึกษาองค์ประกอบของความพึงพอใจในงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการนักศึกษา จานวน 156
คน ซึ่งผลการวิจยั ปรากฏว่า องค์ประกอบสาคัญที่สาคัญที่สุดทีท่ าให้เกิดความพึงพอใจในงานคือ ลักษณะของ
งาน รองลงมา ได้แก่ ค่าจ้าง การปกครอง บังคับบัญชา โอกาสก้าวหน้า เพื่อนร่วมงาน ความมั่นคง และเรื่องทั่ว
ๆ ไป องค์ประกอบภายในและองค์ประกอบภายนอก มีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจในงานทุกระดับอย่างมี


57

นัยสาคัญจากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ว่าภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหาร
โรงเรียนกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการครู นับเป็นปัจจัยสาคัญต่อความสาเร็จในการบริหาร
การศึกษา โรงเรียนจะมีคุณภาพได้นั้นต้องอาศัยผูบ้ ริหารที่มีภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงและแรงจูงใจควบคู่ไป
ด้วย

ลูคส์ (Lueks, 2002) ศึกษาความสัมพันธ์ระหวา่ งภาวะผู้นาแบบเปลย่ี นสภาพกับแรงจูงใจของครู
ในโรงเรียนเทศบาลในเมืองนิวยอรก์ ซิต้ี ผลการศึกษาสรุปได้วา่ ไม่พบเห็นหลกั ฐานในการปฏบิ ัตินาไปสู่ความสาเร็จ
ได้ที่สนับสนุนถึงความสัมพันธ์ของภาวะผู้นาแบบเปล่ียนสภาพว่ามีผลกระทบต่อแรงจูงใจของครูเทศบาล เมือง
กล่าวคือ การใช้ภาวะผู้นาแบบเปล่ียนสภาพของครูใหญ่ไม่ได้ชว่ ยสร้างแรงจงู ใจของครูได้ดีไปกว่าการใชภ้ าวะผนู้ า
แบบอืน่ ๆ จากการศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กีย่ วข้องตามลาดบั แสดงให้เห็นวา่ ผู้บริหารเป็นบุคคลทสี่ าคัญที่จะ
ทาให้การบริหารวชิ าการในโรงเรียนมีประสิทธิภาพและประสบและผลสาเร็จ โดยเฉพาะการใช้แบบภาวะผู้นาการ
เปลี่ยนแปลงตามแนวความคิดของ Leithwood และJantzi จะสามารถทานายตวั แปรตา่ ง ๆ เชน่ ประสิทธผิ ลการ
บริหารงานวิชาการ ผลการปฏิบัติงานวิชาการโดยรวม ความพึงพอใจในการทางาน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ท้ังนี้
เนือ่ งจากโรงเรียนเปน็ แหล่งเรียนรู้ที่มีความสาคัญและมคี ุณภาพอยู่บนพ้ืนฐานของความหลากหลาย ความแตกต่าง
ระหว่างบุคคล และการสร้างกลไกขับเคล่ือนการพัฒนาไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแบบผู้นาดังกล่าวน่าจะเป็น
แบบภาวะผู้นาท่ีทาให้ผู้บริหารโรงเรียนพัฒนาโรงเรียนให้เกิดประสิทธิภาพและเป็นแนวทางในการปฏิบัติบัติไปสู่
ความสาเรจ็ ได้

ดักเวิร์ธ (Duckworth, 2005; อ้างถึงใน พัชรินทร์ สงครามศรี, 2561) ศึกษาเกี่ยวกับยุทธศาสตร์
การใช้ภาวะผู้นาในการเปล่ียนแปลงของผู้อานวยการในโรงเรียนรัฐบาลท่ีประสบความสาเร็จ มีวัตถุประสงค์
เพ่ือที่จะระบุยุทธศาสตร์การใช้ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงในโรงเรียนที่ประสบความสาเร็จตามความเข้าใจของ
ผ้อู านวยการโรงเรยี นในรัฐแคลิฟอร์เนยี นอกจากนี้ยังต้องการระบุระดับความเขา้ ใจและการเลง็ เห็นถึงความสาคัญ
ของการใช้ระบบเทคโนโลยีของผู้อานวยการอีก พบวา่ ผ้อู านวยการมีการใช้ยุทธศาสตรภ์ าวะผู้นาการเปล่ียนแปลง
ท้ัง 7 อย่างเพียงพอแต่อาจจะมากน้อยไม่เท่ากันข้อค้นพบในเชิงลึก พบว่า วิสัยทัศน์การกล้าเส่ียงหรือการกล้า
เผชิญกับสถานการณ์ปัจจุบัน การกระตุ้น การดลใจ และการเป็นแบบอย่างเป็น 3 กลยุทธ์ท่ีผู้อานวยการเห็นว่า
สาคัญมากและใช้บ่อยท่ีสุด นอกจากน้ี ยังค้นพบอีกว่าผู้อานวยการทุกคนต่างตระหนักในทักษะหรือความสามารถ
ในการใช้ระบบเทคโนโลยีได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ไม่ต้องถึงกับต้องเป็นผู้เช่ียวชาญเสียเอง และสามารถรับส่งข้อมูล
ขา่ วสารทางอิเลคทรอนิกส์ไดเ้ ป็นอย่างดี


58

กรอบแนวคิดกำรวิจัย

การวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนกับแรงจูงใจใน
การปฏิบัติงานของครูโรงเรียนสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธ์ุ สังกัดสานักงานคณะกรรมการ
การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ผู้วิจัยใช้ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนตามแนวคิดของ Bass and
Avolio (1990, p. 19) และนักวิชาการอีก 7 ท่าน มี 5 ด้าน คือ การสร้างมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ การสร้าง
แรงบันดาลใจ การกระตุ้นทางปัญญา การการคานึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล และการสร้างวิสัยทัศน์ และใช้
แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูตามแนวคิดและ ทฤษฎีเฮิร์ซเบิร์ก (Herberz, 1891 อ้างถึงใน วินิต
วิไลวงษ์วัฒนกิจ, 2551, น.12 ได้แบ่งแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน คือ ผู้วิจัยจึงนามาสร้างเป็นกรอบแนวคิดของ
การวิจัย 1) ด้านความสาเร็จในการปฏิบัติงาน 2) ด้านการได้ยอมรับนับถือ 3) ด้านลักษณะของงานท่ีปฏิบัติ
4) ด้านความรบั ผิดชอบ 5) ด้านความเจรญิ กา้ วหนา้ ในตาแหน่ง

ตวั แปรที่ศกึ ษำ ตัวแปรท่ศี ึกษำ
ภำวะผู้นำกำรเปล่ียนแปลงของผบู้ ริหำรโรงเรียน แรงจูงใจในกำรปฏิบัติงำนของครู

1 ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ 1 ด้านความสาเรจ็ ในการปฏิบตั งิ าน
2 ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ 2 ด้านการได้ยอมรับนับถือ
3 ด้านการกระตุ้นทางปัญญา 3 ด้านลกั ษณะของงานทีป่ ฏบิ ัติ
4 ด้านการมุ่งความสัมพันธ์รายบุคคล 4 ด้านความรบั ผิดชอบ
5. ด้านการสร้างวิสัยทัศน์ 5 ด้านความเจริญก้าวหน้าในตาแหน่ง

ภำพที่ 2.1 กรอบแนวคิดวิจัย


59

บทท่ี 3

วิธีดำเนินกำรวิจัย

การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน
กับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ สังกัด
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้ นพื้นฐานโดยมีขั้นตอน
การดาเนินการ ดังนี้

1.ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
3. การสร้างเครื่องมือและการหาคุณภาพของเคร่ืองมือ
4. การจัดกระทาข้อมูล
5. การเก็บรวบรวม
6. สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำงท่ีใช้ในกำรวิจัย

1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน จานวน 18 คน ครูผู้สอน จานวน 2,116
คน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธ์ุ สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐานจานวน 55 แห่ง ปกี ารศึกษา 2564 จานวน 2,233 คน

2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน และครูผู้สอนในสานักงานเขตพ้ืนท่ี
การศึกษามัธยมศึกษาจังหวัดกาฬสินธ์ุสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ สังกัดสานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน โดยกาหนดขนาดกลุ่ม
ตัวอย่างจากสูตรทาโรยามเน่ (Taro Yamane,1973) ท่ีระดับความคลาดเคลื่อนในการสุ่ม .05 ด้วยวิธีการสุ่มแบบ
แบ่งช้ันภูมิ (Stratified Random Sampling) ขนาดของกลุ่มตัวอย่างผู้บริหารจานวน 18 คน ครูผู้สอนจานวน
321 คน รวม 2,233 คน


60

ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 83 คน ดังตารางที่ 3.1

ตารางที่ 1 จานวนประชากรและกลุ่มตัวอย่าง จาแนกตามขนาดของโรงเรียนสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
มัธยมศึกษากาฬสินธ์ุ สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐานสงั กัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษา
ข้ันพื้นฐาน

สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์

ตาแหน่งหน้าท่ี จานวนประชากร จานวนกลุ่มตัวอย่าง
18
ผู้บริหารโรงเรียน 117 321
339
ครู 2,116

รวม 2,233

เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลง
ของผู้บริหารโรงเรียนกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
กาฬสินธุ์ สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
แบ่งเป็น 3 ตอนดังนี้
ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปเป็นข้อคาถามเกี่ยวกับสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม เป็นแบบ
ตรวจสอบ (Check list)
ตอนที่ 2 แบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน ได้แก่ การ
สร้างบารมี การสร้างแรงบันดาลใจ การกระตุ้นปัญญา และการมุ่งความสัมพันธ์เป็นรายบุคคลลักษณะของ
แบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) แบ่งออกเป็น
5 ระดับ ของ Likert (1961) โดยมีเกณฑ์ในการให้คะแนนดังนี้

5 หมายถึง ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารโรงเรียนปฏิบัติมากท่ีสุด
4 หมายถึง ภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงผู้บริหารโรงเรียนปฏิบัติมาก
3 หมายถึง ภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงผู้บริหารโรงเรียนปฏิบัติปานกลาง
2 หมายถึง ภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงผู้บริหารโรงเรียนปฏิบัติน้อย
1 หมายถึง ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารโรงเรียนปฏิบัติน้อยท่ีสุด


61

ตอนที่ 3 แบบสอบถามเกี่ยวกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียน 3 ด้าน คือ ด้าน
ความอยู่รอด ด้านความสัมพันธ์ ด้านความก้าวหน้า ลักษณะของแบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วนประมาณ
ค่า (Rating scale) แบ่งออกเป็น

5 ระดับ ของ Likert (1961) โดยมีเกณฑ์ในการให้คะแนนดังนี้
5 หมายถึง แรงจูงใจในการปฏิบัติงานการปฏิบัติงานมากที่สุด
4 หมายถึง แรงจูงใจในการปฏิบัติงานการปฏิบัติงานมาก
3 หมายถึง แรงจูงใจในการปฏิบัติงานการปฏิบัติงานปานกลาง
2 หมายถึง แรงจูงใจในการปฏิบัติงานการปฏิบัติงานน้อย
1 หมายถึง แรงจูงใจในการปฏิบัติงานการปฏิบัติงานน้อยที่สุด

กำรสร้ำงเครื่องมือในกำรวิจัย

ผู้วิจัยได้ดาเนินการดังนี้
ข้อมูลท่ีใช้ในการเก็บข้อมูล คือ แบบสอบถาม โดยมีขั้นตอนและวิธีการสร้าง ดังน้ี
1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้องต่าง ๆ ในหัวข้อเรื่อง แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู
ในโรงเรียนสานกั งานเขตพน้ื ท่ีการศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ สังกัดสานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน
สังกดั สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน
2 ร่างแบบสอบถามเสนอต่ออาจารย์ท่ีปรึกษา เพื่อพิจารณาตรวจแก้ไขเนื้อหาและข้อเสนอแนะ
และสานวนภาษาท่ีใช้ ตลอดจนความถูกต้องเหมาะสมตามจุดมุ่งหมายของการวิจัย
3 นาแบบสอบถามที่ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว นาเสนอ
ผู้เชี่ยวชาญเพ่ือตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเน้ือหา (Content Validity) การใช้ภาษา และข้อเสนอแนะเพ่ิมเติม
ด้านอื่น ๆ
4 นาแบบสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญมาหาค่าความเที่ยงตรง และค่าดัชนีความสอดคล้อง (Item
Objective Congruence Index: IOC)
5 นาแบบสอบถามมาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ แล้วนาไปทดลองใช้ (Try-out) กับ
โรงเรียนยางตลาดวิทยาคาร ประชากรที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้บริหารโรงเรียนและครู จานวน 30 คน ใน
โรงเรียนสานกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์


62

6 นาข้อมูลจากแบบสอบถามที่ทดลองใช้ มาหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถาม
โดยใช้วิธีหาค่าสัมประสิทธิ์สัมพันธ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach Alpha Coefficient) โดยแบบสอบถาม
ทั้งฉบับมีค่าความเช่ือม่ัน 0.95

7 นาแบบสอบถามเสนออาจารย์ท่ีปรึกษา เพ่ือตรวจสอบความสมบูรณ์อีกคร้ัง
8 พิมพ์แบบสอบถามเป็นฉบับสมบูรณ์เพื่อนาไปเก็บรวบรวมข้อมูล

กำรเก็บรวบรวมข้อมูล

1 ผู้วิจัยขอหนังสือขออนุญาตเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการวิจัย จากคณะศึกษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือถึงสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ สังกัดสานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อขอความอนุเค ราะห์
ให้ครูในโรงเรียนสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธ์ุ สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ัน
พ้นื ฐานสงั กัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พ้ืนฐานที่เป็นกลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถาม

2 ผู้วิจัยจัดส่งและผู้วิจัยไปรับด้วยตนเองวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป

กำรวิเครำะห์ข้อมูลและสถิติท่ีใช้ในกำรวิเครำะห์ข้อมูล

การวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยนาข้อมูลที่รวบรวมได้จากเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มาตรวจให้คะแนนลงรหัสแล้วนาไป
วิเคราะห์โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์โปรแกรมสาเร็จรูป
1.1 แบบสอบถามตอนที่ 1 ข้อมูลเกี่ยวกับสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถามเป็นแบบ
ตรวจสอบรายการ (Check list) ใช้วิธีวิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ (Frequency) และร้อยละ
(Percentage)
1.2 แบบสอบถามตอนที่ 2 ข้อมูลเกี่ยวกับภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสานักงาน
เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาจังหวัดกาฬสินธุ์สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ สังกัด
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐานโดยหาค่าเฉลี่ย
(Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) แล้วนาเกณฑ์มาเทียบเพื่อแปลความหมายในแต่
ละด้าน ดังต่อไปน้ี (ทิพยา กิจวิจารณ์,2557)

ค่าเฉล่ีย 4.51-5.00 หมายถึง ภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงการปฏิบัติอยู่ในระดับมากท่ีสุด
ค่าเฉลี่ย 3.51-4.50 หมายถึง ภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก
ค่าเฉลี่ย 2.51-3.50 หมายถึง ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติอยู่ในระดับปานกลาง
ค่าเฉล่ีย 1.51-2.50 หมายถึง ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติอยู่ในระดับน้อย


63

ค่าเฉล่ีย 1.00-1.50 หมายถึง ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติอยู่ในระดับน้อยที่สุด
1.3 แบบสอบถามตอนที่ 3 ข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามเกี่ยวกับแรงจูงใจในการ

ปฏิบัติงานของครูสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาจังหวัดกาฬสินธุ์สานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
มัธยมศึกษากาฬสินธุ์ สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสานักงานคณะกรรมการ
การศึกษาขั้นพื้นฐานโดยหาค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) แล้วนา
เกณฑ์มาเทียบเพื่อแปลความหมายในแต่ละด้าน ดังต่อไปน้ี (ทิพยา กิจวิจารณ์,2557)

ค่าเฉลี่ย 4.51-5.00 หมายถึง แรงจูงใจในการปฏิบัติงานการปฏิบัติอยู่ในระดับมากท่ีสุด
ค่าเฉลี่ย 3.51-4.50 หมายถึง แรงจูงใจในการปฏิบัติงานการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก
ค่าเฉล่ีย 2.51-3.50 หมายถึง แรงจูงใจในการปฏิบัติงานการปฏิบัติอยู่ในระดับปานกลาง
ค่าเฉล่ีย 1.51-2.50 หมายถึง แรงจูงใจในการปฏิบัติงานการปฏิบัติอยู่ในระดับน้อย
ค่าเฉลี่ย 1.00-1.50 หมายถึง แรงจูงใจในการปฏิบัติงานการปฏิบัติอยู่ในระดับน้อยที่สุด
1.4 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา
กับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาจังหวัดกาฬสินธุ์สานักงานเขต
พื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัดสานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานใช้วิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson product
moment corelation) โดยมีเกณฑ์ในการแปลความหมาย ดังน้ี(บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์,2549)

0.71-1.00 หมายถึง มีความสัมพันธ์กันในระดับมาก
0.31-0.70 หมายถึง มีความสัมพันธ์กันในระดับปานกลาง
0.01-0.30 หมายถึง มีความสัมพันธ์กันในระดับน้อย

0.00 หมายถึง ไม่มีความสัมพันธ์
สถิติที่ใช้ในกำรวิเครำะห์ข้อมูล

สถติ ทิ ่ีใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล มี ดังน้ี
2.1 สถติ พิ ื้นฐาน ได้แก่

2.1.1 ความถ่ี (Frequency)
2.1.2 ร้อยละ (%)
2.1.3 คา่ เฉล่ีย ( )
2.1.4 ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.)


64

2.2 สถิตทิ ีใ่ ชใ้ นการทดสอบสมมตุ ิฐาน
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมองค์การกับการเป็นชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพครู
ในสถานศึกษาสังกัดอาชีวศึกษาจังหวัด ใช้วิธีการวิเคราะห์สหสัมพันธ์อย่างง่าย โดยวิธีของเพียร์สัน (Pearson’s
Simple Correlation)
2.3 สถติ ิในการตรวจสอบคณุ ภาพของเครอ่ื งมือ
วิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC และค่าความเช่ือมั่นของแบบสอบถามด้วยวิธีการหาค่า
สมั ประสทิ ธแ์ิ อลฟา่ (Alpha Coefficient) ของครอนบาค (Cronbach)


65

บทที่ 4
ผลกำรวิเครำะห์ข้อมลู

การวิจยั เรื่องความสมั พันธร์ ะหว่างภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงกบั แรงจูงใจในการปฏบิ ัติงานของครู สงั กัด
สานกั งานเขตการศึกษามธั ยมศกึ ษากาฬสนิ ธุ์ ผ้วู ิจัยเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ตามลาดบั ดังนี้

1. สัญลักษณ์ท่ใี ชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมลู
2. ขัน้ ตอนในการวิเคราะห์ขอ้ มูล
3. ผลการวิเคราะห์ข้อมลู

1. สัญลกั ษณ์ทใี่ ชใ้ นกำรวเิ ครำะห์ข้อมูล

เพื่อเกิดความเขา้ ใจตรงกนั ในการส่อื ความหมายของขอ้ มลู ผู้วิจัยได้กาหนดความหมายของสญั ลักษณใ์ น
การนาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู ดังนี้

n แทน จานวนกลมุ่ ตวั อย่าง

x̅ แทน ค่าเฉลยี่
S.D. แทน คา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน (Standard deviation)
r แทน ค่าสมั ประสิทธสิ์ หสมั พนั ธ์แบบเพียรส์ นั (Correlation)

* แทน มนี ยั สาคัญทางสถิตทิ รี่ ะดับ .05
** แทน มนี ัยสาคัญทางสถิติทีร่ ะดับ .01
X1 แทน การมีอิทธิพลอยา่ งมีอุดมการณ์
X2 แทน การสร้างแรงบันดาลใจ
X3 แทน การกระตุ้นทางปัญญา
X4 แทน การคานึงถึงปจั เจกบุคคล
X5 แทน การสร้างวสิ ยั ทศั น์
X แทน ภาวะผนู้ าการเปลี่ยนแปลง
Y1 แทน ความสาเรจ็ ในการปฏิบตั งิ าน
Y2 แทน การไดย้ อมรับนบั ถือ
Y3 แทน ลักษณะของงานที่ปฏิบัติ
Y4 แทน ความรบั ผดิ ชอบ
Y5 แทน ความเจรญิ ก้าวหนา้ ในตาแหนง่
Y แทน แรงจูงใจในการปฏบิ ัตงิ านของครู


66

2. ข้นั ตอนในกำรวเิ ครำะหข์ ้อมลู
การวเิ คราะห์ขอ้ มูลแสดงผลในรปู แบบของตารางประกอบความเรยี งตามลาดับ ดงั น้ี
ตอนที่ 1 ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู พน้ื ฐานของกลุม่ ตวั อย่างในการวเิ คราะห์แจกแจงความถ่ี และร้อยละ
ตอนที่ 2 ผลการวเิ คราะหภ์ าวะผูน้ าการเปล่ียนแปลงของผู้บริหารสถานศกึ ษา สังกดั สานักงานเขตพน้ื ที่

การศกึ ษามัธยมศกึ ษากาฬสินธ์ุ
ตอนท่ี 3 ผลการวิเคราะห์แรงจงู ใจในการปฏิบัติงานของครู สังกดั สานักงานเขตพน้ื ที่การศึกษา

มธั ยมศกึ ษากาฬสนิ ธุ์ในภาพรวมและรายดา้ น
ตอนท่ี 4 ผลการวเิ คราะห์ภาวะผูน้ าการเปลยี่ นแปลงผูบ้ ริหารสถานศึกษากบั แรงจูงใจในการปฏิบัตงิ าน

ของครู สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษามธั ยมศึกษากาฬสินธ์ุ ด้วยค่าสมั ประสทิ ธ์ิสหสัมพนั ธแ์ บบเพียร์สนั

3. ผลกำรวเิ ครำะหข์ ้อมลู
ตอนที่ 1 ผลกำรวเิ ครำะหข์ ้อมลู พ้ืนฐำนของกลุ่มตัวอย่ำงในกำรวเิ ครำะหแ์ จกแจงควำมถี่ และรอ้ ยละ

ตารางท่ี 4.1 ข้อมลู พ้ืนฐานของผ้ตู อบแบบสอบถาม

สถำนภำพท่ัวไป จำนวน ร้อยละ

ตำแหน่ง 5
95
ผู้บริหารสถานศึกษา 18 100

ครู 321 33.30
38.90
รวม 339 27.70
100
ประสบกำรณก์ ำรทำงำน
13
ต่ากวา่ 10 ปี 113 33.90
53.10
10-20 ปี 132 100

20 ปี ขึน้ ไป 94

รวม 339

ขนำดของสถำนศกึ ษำ

ขนาดเล็ก(สถานศึกษาท่ีมีนกั เรยี นตง้ั แต่ 1-120 คนลงมา) 44

ขนาดกลาง(สถานศึกษาท่ีมีนักเรยี นต้ังแต่ 121– 600 คน) 115

ขนาดใหญ่(สถานศึกษาท่มี ีนกั เรียนต้งั แต่ 601-1,500คนข้ึนไป) 180

รวม 339


67

จากตารางที่ 4.1 พบว่า ส่วนใหญ่เป็นครูจานวน 321 คน คิดเป็นร้อยละ 95 รองลงมาคือ ผู้บริหาร
สถานศึกษา 18 คน คิดเป็นร้อยละ 5 ประสบการณ์ทางานผู้บริหารและครูส่วนใหญ่มีประสบการณ์ทางาน 10-20
ปี จานวน 132 คน คิดเป็นร้อยละ 38.90 รองลงมา คือมีประสบการณ์ทางาน ต่ากว่า 10 ปี จานวน 113 คน
คิดเป็นร้อยละ 33.30 ขนาดของสถานศึกษาผู้บริหารสถานศึกษาและครูส่วนใหญ่อยู่ในสถานศึกษา ขนาดใหญ่
จานวน 180 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 53.10 รองลงมาคือ ขนาดกลาง จานวน 115 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 33.90

ตอนที่ 2 ผลกำรวิเครำะหภ์ ำวะผู้นำกำรเปลี่ยนแปลงของผบู้ รหิ ำรสถำนศกึ ษำ สังกดั สำนักงำนเขตพื้นท่ี
กำรศึกษำมัธยมศึกษำกำฬสินธ์ุ โดยภำพรวมและรำยดำ้ น

ตารางที่ 4.2 ภาวะผู้นาการเปลยี่ นแปลงของผู้บริหารสถานศกึ ษา สังกดั สานกั งานเขตพืน้ ทีก่ ารศึกษามัธยมศึกษา
กาฬสนิ ธุ์ โดยภาพรวมและรายด้าน

ภำวะผู้นำกำรเปลี่ยนแปลง ̅ S.D. ระดับปฏิบัติ อันดับ
4
1. การมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ 3.51 0.99 มาก 5
3
2. การสร้างแรงบันดาลใจ 3.51 1.01 มาก 1
2
3. การกระตุ้นทางปัญญา 3.52 0.98 มาก

4. การคานึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล 3.55 1.01 มาก

5. การสร้างวิสัยทัศน์ 3.54 1.02 มาก

รวมเฉลี่ย 3.53 0.95 มาก

จากตารางที่ 4.2 ภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา
มัธยมศึกษากาฬสินธ์ุ โดยภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก (x̅=3.53, S.D.=0.95) เม่ือพิจารณาเป็นรายด้าน
พบว่า ด้านท่ีมีการปฏิบัติสูงสุดคือ การคานึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล (x̅=3.55, S.D.= 1.01) รองลงมา คือ การ
สร้างวิสัยทัศน์ (x̅=3.54, S.D.= 1.02) ส่วนด้านท่ีมีการปฏิบัติต่าสุดคือ การสร้างแรงบันดาลใจ (x̅=3.51,
S.D.=1.01)


68

ตารางท่ี 4.3 คา่ เฉลี่ยและสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผบู้ ริหารสถานศกึ ษา สานักงาน
เขตพื้นทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษากาฬสนิ ธ์ุ ดา้ นการมอี ทิ ธิพลอยา่ งมอี ดุ มการณ์ โดยภาพรวมและรายขอ้

กำรมีอิทธิพลอย่ำงมีอุดมกำรณ์ ̅ S.D. ระดับปฏิบัติ อันดับ
ปานกลาง 4
1. มีความประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ครู 3.47 1.19
ปานกลาง 5
เพื่อให้ครูเกิดความภาคภูมิใจและเช่ือมั่นในตัวผู้บริหาร
มาก 1
2. มีการกระตุ้นให้ครูเกิดความกระตือรือร้นสนใจ 3.43 1.14 มาก 3
มาก 2
ในการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง มำก

3. มีการส่งเสริมและสนับสนุนให้ครูมีการทางานเป็นทีม 3.57 1.12

4. มีการสร้างเจตคติท่ีดีในการปฏิบัติงานให้แก่ครู 3.51 1.17

5. มีการปฏิบัติงานอย่างโปร่งใสและเป็นที่ไว้วางใจแก่ครู 3.56 1.19

รวมเฉลี่ย 3.51 0.99

ตารางท่ี 4.3 ภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา
มัธยมศึกษากาฬสินธุ์ ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̅=3.51, S.D.=0.99)
เม่ือพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อท่ีมีการปฏิบัติสูงสุดคือ มีการส่งเสริมและสนับสนุนให้ครูมีการทางานเป็นทีม
(x̅=3.57, S.D.= 1.12) รองลงมา คือ มีการปฏิบัติงานอย่างโปร่งใสและเป็นที่ไว้วางใจแก่ครู (x̅=3.56,
S.D.=1.19) ส่วนข้อที่มีการปฏิบัติการต่าสุดคือ มีการกระตุ้นให้ครูเกิดความกระตือรือร้นสนใจในการปฏิบัติงาน
อย่างต่อเนื่อง (x̅=3.43, S.D.= 1.14)


69

ตารางที่ 4.4 ค่าเฉลย่ี และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานภาวะผู้นาการเปล่ยี นแปลงของผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษา สงั กัด
สานักงานเขตพ้ืนทีก่ ารศกึ ษามธั ยมศึกษากาฬสินธ์ุ สงั กดั สานักงานคณะกรรมการการศึกษา
ขัน้ พน้ื ฐาน ดา้ นการสร้างแรงบนั ดาลใจ โดยภาพรวมและรายขอ้

กำรสร้ำงแรงบันดำลใจ ̅ S.D. ระดับปฏิบัติ อันดับ
1. มีการให้กาลังใจแก่ครูอย่างเสมอภาคกันและต่อเน่ือง 3.51 1.19 มาก 3
2. มีส่วนทาให้ครูมีความมุ่งม่ันในการปฏิบัติงาน 3.51 1.19 มาก 3
ให้ประสบความสาเร็จ
3. มีการกระตุ้นให้ครูมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น 3.45 1.17 ปานกลาง 4
ในการปฏิบัติงานด้วยวิธีการใหม่ๆ
4. มีการกระตุ้นให้ครูในสถานศึกษาสร้าง 3.51 1.13 มาก 2
ความผูกพันต่อเป้าหมาย
5. มีพฤติกรรมท่ีแสดงออกถึงความมุ่งม่ันในการปฏิบัติงาน 3.59 1.17 มาก 1
ให้บรรลุเป้าหมายของสถานศึกษา
3.51 1.01 มำก
รวมเฉลี่ย

ตารางที่ 4.4 ภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา
มัธยมศึกษากาฬสินธ์ุ ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̅=3.51, S.D.= 1.01) เมื่อ
พิจารณาเป็นรายข้อ พบวา่ ขอ้ ที่มีการปฏบิ ัตสิ ูงสุดคือ มีพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความมุ่งม่ันในการปฏิบัติงานให้
บรรลุเป้าหมายของสถานศึกษา (x̅=3.59, S.D.= 1.17) รองลงมาคือ มีการกระตุ้นให้ครูในสถานศึกษาสร้าง
ความผูกพันต่อเป้าหมาย (x̅=3.51, S.D.= 1.13) ส่วนข้อมีการปฏิบัติต่าสุดคือ มีการกระตุ้นให้ครูมีส่วนร่วมใน
การแสดงความคิดเห็นในการปฏิบัติงานด้วยวิธีการใหม่ๆ (x̅=3.45, S.D.= 1.17)


70

ตารางท่ี 4.5 ค่าเฉลี่ยและสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานภาวะผ้นู าการเปลี่ยนแปลงของผ้บู ริหารสถานศกึ ษา สงั กดั
สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษามัธยมศกึ ษากาฬสนิ ธุ์ ด้านการกระตุ้นทางปัญญา โดยภาพรวมและ
รายข้อ

กำรกระต้นุ ทำงปญั ญำ ̅ S.D. ระดับปฏิบัติ อันดับ
1.17
1. มีการส่งเสริมให้ครูสามารถแก้ไข 3.46 ปานกลาง 5
1.14
ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ
1.15
2. มีการกระตุ้นให้ครูได้ทราบถึงแนวทาง 3.47 1.10 ปานกลาง 4

การแก้ไขปัญหาใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง 1.13

3. เสนอแนะวิธีการใหม่ๆในการปฏิบัติงานให้แก่ครู 3.49 0.98 ปานกลาง 3
มาก 1
4. มีการส่งเสริมให้ครูสามารถวิเคราะห์ปัญหา 3.59

ด้วยวิธีการที่หลากหลาย

5. มกี ารกระต้นุ ใหค้ รเู กดิ ความภาคภมู ิใจจากผลงานทีส่ าเรจ็ 3.59 มาก 2

เพื่อให้ครูมคี วามมุง่ มน่ั ในการปฏบิ ตั งิ าน

รวมเฉลี่ย 3.52 มำก

ตารางท่ี 4.5 ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
มัธยมศึกษากาฬสินธุ์ ด้านการกระตุ้นทางปัญญา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̅=3.52, S.D.= 0.98) เมื่อ
พิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อท่ีมีการปฏิบัติสูงสุดคือ มีการส่งเสริมให้ครูสามารถวิเคราะห์ปัญหาด้วยวิธีการท่ี
หลากหลาย (x̅=3.59, S.D.= 1.10) รองลงมาคือ มีการกระตุ้นให้ครูเกิดความภาคภูมิใจจากผลงานที่สาเร็จ
เพื่อให้ครูมีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติงาน (x̅=3.59, S.D.= 1.13) ส่วนข้อมีการปฏิบัติต่าสุดคือ มีการส่งเสริมให้
ครูสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นระบบ (x̅=3.46, S.D.= 1.17)


71

ตารางที่ 4.6 คา่ เฉลยี่ และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานภาวะผู้นาการเปลย่ี นแปลงของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา สังกัด
สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามธั ยมศึกษากาฬสนิ ธ์ุ ดา้ นการคานึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล
โดยภาพรวมและรายข้อ

กำรคำนึงถงึ ควำมเปน็ ปจั เจกบุคคล ̅ S.D. ระดับปฏิบัติ อันดับ
1. เปดิ โอกาสใหค้ รูใช้ความสามารถพเิ ศษของตน 4
ในการปฏิบัติงานอยา่ งเต็มความสามารถ 3.53 1.21 มาก 5
2. เคารพและให้เกียรตคิ รูในการแสดงความคดิ เหน็ 1
และการตัดสินใจในการปฏบิ ัติงาน 3.52 1.20 มาก 2
3. มีความเข้าใจและยอมรบั ความแตกตา่ ง 3
ระหวา่ งบุคคลในทกุ ดา้ น 3.62 1.12 มาก
4. มีการมอบหมายงานใหแ้ ก่ครูตามความสามารถ
และความเต็มใจของแต่ละบุคคล 3.54 1.17 มาก
5. มกี ารดูแลเอาใจใส่ครใู นสถานศกึ ษาอยา่ งทั่วถึง
3.53 1.17 มาก
รวมเฉลี่ย 3.55 1.01 มำก

ตารางท่ี 4.6 ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
มัธยมศึกษากาฬสินธ์ุ ด้านการคานึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̅=3.55,
S.D.= 1.01) เม่ือพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีการปฏิบัติสูงสุดคือ มีความเข้าใจและยอมรับความแตกต่าง
ระหวา่ งบคุ คลในทุกด้าน (x̅=3.62, S.D.= 1.12) รองลงมาคอื มีการมอบหมายงานให้แก่ครูตามความสามารถและ
ความเต็มใจของแต่ละบุคคล (x̅=3.54, S.D.= 1.17) ส่วนข้อมีการปฏิบัติต่าสุดคือ เคารพและให้เกียรติครูในการ
แสดงความคิดเหน็ และการตัดสินใจในการปฏิบัตงิ าน (x̅=3.52, S.D.= 1.20)


72

ตารางที่ 4.7 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานภาวะผูน้ าการเปลยี่ นแปลงของผู้บรหิ ารสถานศึกษา สงั กัด
สานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษามัธยมศึกษากาฬสนิ ธ์ุ ด้านการสรา้ งวสิ ัยทัศน์ โดยภาพรวมและรายขอ้

กำรสรำ้ งวิสัยทัศน์ ̅ S.D. ระดับปฏิบัติ อันดับ
1. ผบู้ รหิ ารแสดงให้ครูได้เหน็ ถงึ ความแนว่ แนใ่ นอดุ มการณ์ 3.55 1.18 มาก 2
ความเชือ่ และค่านิยมของตนเอง
2. ผบู้ ริหารแสดงให้เหน็ ถึงเป้าหมายของการปฏิบตั ิงาน 3.53 1.19 มาก 3
และการวางแผนในอนาคตได้อยา่ งชัดเจน
3. ผบู้ ริหารแสดงให้เหน็ ถงึ การมีวิสยั ทศั น์กวา้ งไกล 3.51 1.17 มาก 4
4. ผบู้ ริหารแสดงถึงจดุ ยืนอย่างมีเหตุผล 3.49 1.18 ปานกลาง 5
ในการแสดงความคิดเห็นตอ่ ปัญหาหรอื ข้อโตแ้ ยง้ ทเ่ี กิดขึน้
5. มกี ารกาหนดวิสัยทศั น์ พนั ธกจิ เปา้ หมายรว่ มกันกับครู 3.60 1.19 มาก 1
3.54 1.02 มำก
รวมเฉล่ีย

ตารางท่ี 4.7 ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่
การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ ด้านการสร้างวิสัยทัศน์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̅=3.54, S.D.= 1.02) เมื่อ
พิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีการปฏิบัติสูงสุดคือ มีการกาหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมายร่วมกันกับครู
(x̅=3.60, S.D.= 1.19) รองลงมาคือ ผู้บรหิ ารแสดงให้ครูไดเ้ ห็นถึงความแน่วแน่ในอุดมการณ์ความเช่ือและค่านิยม
ของตนเองความเชื่อ (x̅=3.55, S.D.= 1.18) ส่วนขอ้ มกี ารปฏบิ ัติต่าสุดคือ ผู้บริหารแสดงถึงจุดยืนอย่างมเี หตุผลใน
การแสดงความคดิ เหน็ ต่อปญั หาหรือขอ้ โต้แย้งทีเ่ กดิ ข้นึ (x̅=3.49, S.D.= 1.18)


73

ตอนท่ี 3 กำรวเิ ครำะห์แรงจูงใจในกำรปฏบิ ตั งิ ำนของครใู นสถำนศึกษำ สงั กัดสำนกั งำนเขตพนื้ ท่ี
กำรศกึ ษำมธั ยมศกึ ษำกำฬสินธ์ุ โดยภำพรวมและรำยดำ้ น
ตารางที่ 4.8 แรงจูงใจในการปฏบิ ตั งิ านของครใู นสถานศึกษา สงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษามัธยมศึกษา

กาฬสินธ์ุ โดยภาพรวมและรายดา้ น

แรงจูงใจในกำรปฏบิ ตั งิ ำนของครู ̅ S.D. ระดับปฏิบัติ อันดับ
1. ความสาเร็จในการปฏิบัติงาน 3.65 0.98 มาก 4
2. การได้ยอมรับนับถือ 3.68 0.98 มาก 1
3. ลักษณะงานที่ปฏิบัติ 3.66 0.96 มาก 3
4. ความรับผิดชอบ 3.65 0.98 มาก 4
5. ความเจริญก้าวหน้าในตาแหน่ง 3.66 0.93 มาก 2
3.66 0.93 มำก
รวมเฉลี่ย

จากตารางที่ 4.8 แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา
มัธยมศึกษากาฬสินธุ์ โดยภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก (x̅=3.66, S.D.=0.93) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน
พบวา่ ด้านทีม่ กี ารปฏิบตั สิ ูงสุดคือ การได้ยอมรับนับถือ (x̅=3.68, S.D.=0.98) รองลงมาคือ ลักษณะงานที่ปฏิบัติ
(x̅=3.66, S.D.=0.96) ส่วนด้านท่ีมีการปฏิบัติการต่าสุดคือ ความสาเร็จในการปฏิบัติงานและด้านความ
รับผิดชอบ (x̅=3.65, S.D.=0.98)


74

ตารางท่ี 4.9 คา่ เฉลยี่ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานแรงจงู ใจในการปฏบิ ัตงิ านของครใู นสถานศึกษา สงั กัดสานกั งาน
เขตพน้ื ทก่ี ารศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธ์ุ ดา้ นความสาเรจ็ ในการปฏิบัติงาน โดยภาพรวมและรายข้อ

ดำ้ นควำมสำเร็จในกำรปฏิบัติงำน ̅ S.D. ระดับปฏิบัติ อันดับ
3
1. มกี ารใช้ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ 3.63 1.16 มาก 4
2
ในการปฏิบัติงานจนประสบความสาเร็จ 5
1
2. สามารถปฏบิ ตั งิ านจนบรรลุวัตถปุ ระสงค์ท่ีกาหนดไว้ 3.62 1.13 มาก

ได้ทันเวลาและเปน็ ที่น่าพอใจตอ่ สถานศึกษา

3. เมือ่ มปี ญั หาเกิดขึ้นในการปฏบิ ัตงิ านท่านสามารถ 3.68 1.16 มาก

แก้ไขปัญหาเหลา่ น้นั ไดด้ ้วยตนเอง

4. มีความพอใจในการประเมินผลการปฏบิ ตั งิ าน 3.62 1.15 มาก

ในรอบปีทผี่ า่ นมา

5. ครูมีความรบั ผิดชอบตอ่ งานท่ีไดร้ บั มอบหมายให้ 3.72 1.13 มาก

ประสบผลสาเร็จ คุ้มคา่ เหมาะสมกบั เวลาและงบประมาณ

รวมเฉล่ีย 3.65 0.98 มำก

ตารางที่ 4.9 แรงจูงใจในการปฏิบัตงิ านของครูในสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา
มัธยมศึกษากาฬสินธุ์ ด้านความสาเร็จในการปฏิบัติงาน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̅=3.65, S.D.=0.98) เมื่อ
พิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อท่ีมีการปฏิบัติสูงสุดคือ ครูมีความรับผิดชอบต่องานท่ีได้รับมอบหมายให้ประสบ
ผลสาเรจ็ คมุ้ ค่าเหมาะสมกับเวลาและงบประมาณ (x̅=3.72, S.D.= 1.13) รองลงมาคือ เม่ือมปี ัญหาเกิดขึ้นในการ
ปฏิบัติงานท่านสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านนั้ ได้ด้วยตนเอง (x̅=3.68, S.D.= 1.16) ส่วนข้อท่ีมีการปฏิบัติการต่าสุด
คอื มีความพอใจในการประเมินผลการปฏิบตั งิ านในรอบปที ี่ผ่านมา (x̅=3.62, S.D.= 1.15)


75

ตารางท่ี 4.10 คา่ เฉลยี่ และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานแรงจงู ใจในการปฏบิ ตั ิงานของครูในสถานศกึ ษา สังกดั สานกั งาน
เขตพ้นื ทกี่ ารศึกษามธั ยมศกึ ษากาฬสนิ ธ์ุ ดา้ นการไดย้ อมรบั นับถอื โดยภาพรวมและรายข้อ

กำรไดย้ อมรับนบั ถอื ̅ S.D. ระดับปฏิบัติ อันดับ
1. เป็นบุคคลหนึ่งท่มี ีส่วนรว่ มต่อความสาเร็จใน 3.73 1.12 มาก 1
การปฏิบตั ิงานของสถานศึกษาอยา่ งตอ่ เนื่อง
2. ผบู้ รหิ ารใหก้ ารยอมรบั และยกย่องแกค่ รูทม่ี ี 3.69 1.19 มาก 2
ผลการปฏิบัตงิ านทด่ี ี
3. เพื่อนรว่ มงานยอมรับฟงั ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ 3.66 1.15 มาก 5
จากท่าน
4. ครไู ดร้ บั การยอมรบั จากผู้ปกครองนักเรยี นหรือชมุ ชน 3.67 1.16 มาก 3
5. เม่อื ครปู ระสบผลสาเร็จในการปฏบิ ตั งิ านครจู ะไดร้ บั 3.66 1.12 มาก 4
การสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ จากผู้บรหิ ารอยา่ งต่อเน่อื ง
3.68 0.98 มำก
รวมเฉล่ีย

ตารางท่ี 4.10 แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ี
การศกึ ษามธั ยมศึกษากาฬสนิ ธุ์ ดา้ นการได้ยอมรับนับถือ โดยภาพรวมอยู่ในระดบั มาก (x̅=3.68, S.D.=0.98) เม่ือ
พจิ ารณาเป็นรายข้อ พบวา่ ข้อทมี่ กี ารปฏบิ ัตสิ งู สุด คอื เป็นบคุ คลหนง่ึ ท่ีมีส่วนร่วมต่อความสาเรจ็ ในการปฏิบัติงาน
ของสถานศึกษาอยา่ งต่อเน่ือง (x̅=3.73, S.D.= 1.12) รองลงมาคอื ผู้บรหิ ารใหก้ ารยอมรับและยกย่องแก่ครูที่มีผล
การปฏิบัติงานท่ีดี (x̅=3.69, S.D.= 1.19) ส่วนข้อที่มีการปฏิบัติการต่าสุด คือ เพ่ือนร่วมงานยอมรับฟังความ
คดิ เห็นและขอ้ เสนอแนะจากทา่ น (x̅=3.66, S.D.= 1.12)


76

ตารางท่ี 4.11 คา่ เฉล่ียและสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานแรงจูงใจในการปฏบิ ตั ิงานของครูในสถานศกึ ษา สังกดั สานกั งาน
เขตพื้นทีก่ ารศึกษามธั ยมศกึ ษากาฬสินธ์ุ ดา้ นลกั ษณะของงานทีป่ ฏบิ ัติ โดยภาพรวมและรายข้อ

ลกั ษณะของงำนทป่ี ฏิบตั ิ ̅ S.D. ระดับปฏิบัติ อันดับ
มาก 2
1. สถานทปี่ ฏบิ ัตงิ านของครูมีความเหมาะสม 3.71 1.12
มาก 5
ต่อลกั ษณะการปฏิบตั ิงานเป็นอย่างดี มาก 1

2. ลกั ษณะงานที่ปฏบิ ัติเปน็ งานทท่ี า้ ทายและน่าสนใจ 3.57 1.13 มาก 3

3. งานทปี่ ฏบิ ตั ิเป็นงานทท่ี าให้มโี อกาสได้ 3.75 1.11 มาก 4
มำก
ใชค้ วามคิดรเิ ร่มิ สร้างสรรค์

4. งานทป่ี ฏบิ ัติเป็นงานท่ีตรงกับสาขาวิชา 3.64 1.17

และวฒุ กิ ารศึกษาที่สาเร็จ

5. ลักษณะงานทปี่ ฏบิ ตั ิไม่เปน็ อุปสรรคต่อการดาเนนิ ชวี ติ 3.61 0.96

รวมเฉลี่ย 3.66 0.96

ตารางที่ 4.11 แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่
การศึกษามธั ยมศึกษากาฬสินธ์ุ ดา้ นลักษณะของงานท่ีปฏิบตั ิ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̅=3.66, S.D.=0.96)
เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีการปฏิบัติสูงสุดคือ งานท่ีปฏิบัติเป็นงานที่ทาให้มีโอกาสได้ใช้ความคิดริเร่ิม
สร้างสรรค์ (x̅=3.75, S.D.=1.11) รองลงมาคือ สถานท่ีปฏิบัติงานของครูมีความเหมาะสมต่อลักษณะการ
ปฏิบตั งิ านเป็นอย่างดี (x̅=3.71, S.D.=1.12) ส่วนข้อที่มกี ารปฏบิ ัติการต่าสดุ คือ ลกั ษณะงานทีป่ ฏิบัติเป็นงานท่ีท้า
ทายและนา่ สนใจ (x̅=3.57, S.D.=1.13)


77

ตารางท่ี 4.12 คา่ เฉลีย่ และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานแรงจูงใจในการปฏบิ ตั งิ านของครูในสถานศึกษา สงั กดั
สานักงานเขตพื้นท่กี ารศึกษามัธยมศกึ ษากาฬสนิ ธุ์ ดา้ นความรับผิดชอบ โดยภาพรวมและรายขอ้

ควำมรับผิดชอบ ̅ S.D. ระดับปฏิบัติ อันดับ
มาก 4
1. มีโอกาสปฏิบตั งิ านได้อย่างอสิ ระในการเลือก 3.62 1.14 มาก 2
มาก 5
วธิ ีการทางานไดด้ ้วยตนเอง มาก 1
มาก 3
2. มีการมอบหมายงานที่สาคัญและเรง่ ด่วนในปฏบิ ัติงาน 3.67 1.11
มำก
ใหแ้ ก่ครูอยา่ งตอ่ เน่ือง

3. มกี ารมอบอานาจและการตัดสินใจในการปฏิบัติ 3.61 1.13

งานใหมๆ่ ใหแ้ กค่ รู

4. ครพู อใจทไ่ี ดใ้ ชค้ วามรู้ ความสามารถทใี่ ชใ้ นการปฏบิ ตั ิงาน 3.69 1.13

ท่ีหลากหลาย

5. ระเบยี บข้อบงั คับและคาสัง่ ตา่ งๆในสถานศึกษาสง่ เสริมต่อ 3.65 0.98

การปฏิบัตงิ านของครู

รวมเฉล่ีย 3.65 0.98

ตารางที่ 4.12 แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ี
การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธ์ุ ด้านความรับผิดชอบ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̅=3.65, S.D.=0.98) เม่ือ
พิจารณาเปน็ รายขอ้ พบวา่ ข้อทม่ี กี ารปฏิบัติสูงสดุ คอื ครพู อใจท่ไี ด้ใช้ความรู้ ความสามารถท่ีใช้ในการปฏบิ ัติงาน
ท่ีหลากหลาย (x̅=3.69, S.D.=1.13) รองลงมาคือ มีการมอบหมายงานท่ีสาคัญและเร่งด่วนในปฏิบัติงานให้แก่ครู
อย่างต่อเน่ือง (x̅=3.67, S.D.=1.11) ส่วนข้อท่ีมีการปฏบิ ัติการต่าสดุ คือ มีการมอบอานาจและการตัดสินใจในการ
ปฏบิ ัตงิ านใหมๆ่ ให้แกค่ รู (x̅=3.61, S.D.=1.13)


78

ตารางที่ 4.12 คา่ เฉลีย่ และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานแรงจงู ใจในการปฏบิ ัตงิ านของครูในสถานศึกษา สงั กดั สานกั งาน
เขตพ้ืนท่กี ารศึกษามัธยมศึกษากาฬสนิ ธ์ุ ด้านความเจริญกา้ วหน้าในตาแหน่ง โดยภาพรวมและ
รายขอ้

ควำมเจริญก้ำวหน้ำในตำแหน่ง ̅ S.D. ระดับปฏิบัติ อันดับ
1.15 มาก 4
1. ครูได้รับการสนับสนนุ จากผู้บรหิ ารใหร้ ับผิดชอบ 3.65
1.14 มาก 5
งานสาคัญของโรงเรยี น
1.16 มาก 2
2. ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนให้เข้าร่วมอบรมสัมมนา 3.64 1.14 มาก 1

เพ่อื พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง 1.12 มาก 3

3. ได้รบั การสง่ เสรมิ และสนบั สนุนในการศึกษาต่อระดบั ทสี่ ูงขึ้น 3.71 0.99 มำก

4. งานที่ปฏิบัติทาใหม้ ปี ระสบการณ์และความชานาญใน 3.74

การปฏิบตั ิงานเพม่ิ ขึ้น

5. เคยได้รบั รางวลั หรอื คาชมเชยจากผลสาเรจ็ ของงานที่ 3.65

ปฏิบตั อิ ยู่

รวมเฉลี่ย 3.68

ตารางที่ 4.12 แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ี
การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธ์ุ ด้านความเจริญก้าวหน้าในตาแหน่ง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̅=3.68,
S.D.=0.99) เมอื่ พจิ ารณาเปน็ รายขอ้ พบว่า ขอ้ ท่ีมกี ารปฏบิ ตั ิสูงสุด คอื งานท่ปี ฏบิ ตั ิทาใหม้ ปี ระสบการณ์และความ
ชานาญในการปฏิบัติงานเพ่ิมข้ึน (x̅=3.74, S.D.=1.14) รองลงมาคือ ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนในการศึกษา
ต่อระดับที่สูงขึ้น (x̅=3.71, S.D.=1.16) ส่วนข้อที่มีการปฏิบัตกิ ารตา่ สุด คือ ได้รับการส่งเสรมิ และสนับสนนุ ให้เขา้
รว่ มอบรมสมั มนาเพ่อื พัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ือง (x̅=3.64, S.D.=1.14)


79

ตอนท่ี 4 กำรวิเครำะห์ภำวะผู้นำกำรเปล่ียนแปลงของผู้บริหำรสถำนศึกษำกับแรงจูงใจในกำร
ปฏิบัติงำนของครู สังกัดสำนักงำนเขตพ้ืนท่ีกำรศึกษำมัธยมศึกษำกำฬสินธ์ุ ด้วยค่ำสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์
แบบเพียร์สนั
ตารางที่ 4.1 4 ผลการวิเคราะห์ความสมั พันธ์ระหว่างภาวะผนู้ าการเปลยี่ นแปลงของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา (X)

กับแรงจงู ใจในการปฏิบตั ิงานของครู (Y) สงั กดั สานักงานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษามัธยมศึกษากาฬสนิ ธ์ุ
โดยภาพรวมและรายด้าน โดยหาค่าสัมประสทิ ธ์สิ หสัมพันธ์ (r) ของเพยี ร์สัน

ตัวแปร Y1 Y2 Y3 Y4 Y5 Y ระดับ
0.83** สงู
X1 0.77** 0.81** 0.78** 0.78** 0.79** 0.80** สูง
0.80** สงู
X2 0.75** 0.78** 0.76** 0.77** 0.96** 0.79** สูง
0.78** สูง
X3 0.75** 0.77** 0.75** 0.76** 0.77** 0.84** สูง

X4 0.75** 0.77** 0.75** 0.73** 0.75**

X5 0.75** 0.76** 0.74** 0.74** 0.74**

X 0.79** 0.82** 0.79** 0.79** 0.80**

*แทน มีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 **แทน มีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01

จากตารางท่ี 4.14 ความสัมพันธ์ระหวา่ งภาวะผนู้ าการเปล่ียนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับแรงจูงใจ
ในการปฏิบัติงานของครู โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์กันในระดับสูง (r = 0.84) และมีความสัมพันธ์กันในทิศ
ทางบวกอยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิติทร่ี ะดบั จดุ .01 เม่ือพิจารณาคู่ตวั แปรท่มี ีความสัมพนั ธ์กันสูงสุดคือ ภาวะผนู้ าการ
เปล่ยี นแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา ดา้ นการสรา้ งแรงบนั ดาลใจ (X2) กบั แรงจงู ใจในการปฏบิ ัติงานของครู ดา้ น
ความเจรญิ ก้าวหนา้ ในตาแหน่งหนา้ ที่ (Y5) มคี วามสัมพนั ธ์กันในระดับสูง (r = 0.96) เปน็ คตู่ วั แปรทม่ี คี วามสัมพันธ์
กันสูงอันดับหนึ่ง และเมื่อพิจารณาตัวแปรความสัมพันธ์ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาในแต่
ละด้าน (X1,X2,X3,X4 และ X5) กับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู (Y) พบว่า ตัวแปรท่ีมีความสัมพันธ์กัน
สูงสุด คือ (X1) ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์กับ
แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู (Y) มีความสัมพันธ์ในระดับสูง (r= 0.83) รองลงมาคือ ภาวะผู้นาการ
เปล่ียนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ (X2) และด้านการกระตุ้นทางปัญญา (X3) กับ
แรงแรงจงู ใจในการปฏบิ ตั ิงานของครู (Y) มีความสมั พนั ธ์อยใู่ นระดับสูง (r= 0.80) สว่ นตัวแปรทม่ี ีความสมั พนั ธ์กัน
ต่าสุดคือ ภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านการสร้างวิสัยทัศน์ (X5) กับแรงจูงใจในการ
ปฏบิ ตั ิงานของครู (Y) มีความสมั พนั ธ์อยใู่ นระดับสูง (r= 0.78) ซงึ่ ทกุ คา่ มีความสมั พันธก์ นั ทางบวกอย่างมนี ยั สาคัญ
ทางสถิติทรี่ ะดับ .01


80

บทที่ 5
สรุปผลอภิปรำยผลและขอ้ เสนอแนะ

การวจิ ยั เรื่องความสัมพันธ์ระหวา่ งภาวะผนู้ าการเปลี่ยนแปลงของผ้บู รหิ ารโรงเรยี นกบั แรงจงู ใจ
ในการปฏิบตั งิ านของครูในโรงเรยี นสานักงานเขตพืน้ ทกี่ ารศึกษามธั ยมศึกษากาฬสินธุ์โดยมีรายละเอยี ดดังนี้

1. วตั ถปุ ระสงคก์ ารวิจัย
2. สรุปผลการวจิ ัย
3.อภปิ รายผล
4.ขอ้ เสนอแนะ

1. วัตถุประสงค์กำรวิจัย

1. เพื่อศึกษาภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนในสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา
มัธยมศกึ ษาจังหวัดกาฬสินธุ์

2. เพื่อศึกษาแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษา
จังหวัดกาฬสินธ์ุ

3. เพ่ือศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนกับแรงจูงใจ
ในการปฏิบัติงานของครูในสานักงานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษามัธยมศึกษาจังหวดั กาฬสินธ์ุ

2. สรุปผลกำรวจิ ัย

จากการศึกษาความสมั พนั ธร์ ะหว่างภาวะผู้นาการเปลย่ี นแปลงของผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษากับแรงจงู ใจใน
การปฏบิ ตั ิงานของครูในโรงเรยี นสานกั งานเขตพน้ื ท่ีการศึกษามัธยมศึกษากาฬสนิ ธุ์ สรุปได้ดังนี้

2.1 ภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
มัธยมศึกษากาฬสนิ ธ์ุ โดยภาพรวมมกี ารปฏิบตั ิอยู่ในระดบั มาก เมอ่ื พจิ ารณาเป็นรายดา้ น พบวา่ ดา้ นท่ีมีการปฏิบัติ
สงู สุดคือ การคานึงถึงความเปน็ ปัจเจกบคุ คล รองลงมา คอื การสร้างวสิ ัยทัศน์ สว่ นดา้ นท่มี ีการปฏบิ ตั ติ า่ สุดคือการ
สร้างแรงบันดาลใจ

2.2 แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
มธั ยมศึกษากาฬสินธุ์ โดยภาพรวมมกี ารปฏิบัติอย่ใู นระดบั มาก เม่ือพจิ ารณาเป็นรายด้าน พบว่า ดา้ นท่ีมีการปฏิบัติ
สูงสุดคือการได้ยอมรับนับถือรองลงมาคือ ลักษณะงานที่ปฏิบัติส่วนด้านท่ีมีการปฏิบัติการต่าสุดคือ ความสาเร็จ
ในการปฏิบัติงานและด้านความรับผิดชอบ

2.3 ความสมั พันธร์ ะหว่างภาวะผนู้ าการเปล่ียนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากบั แรงจูงใจในการ
ปฏิบัติงานของครู โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์กันในระดับสูง (r = 0.84) และมีความสัมพันธ์กันในทิศทางบวก


81

อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับจุด .01 เม่ือพิจารณาคู่ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กันสูงสุดคือ ภาวะผู้นาการ
เปลยี่ นแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา ดา้ นการสร้างแรงบนั ดาลใจ (X2) กับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู ดา้ น
ความเจรญิ ก้าวหนา้ ในตาแหนง่ หน้าที่ (Y5) มีความสัมพนั ธก์ ันในระดบั สูง (r = 0.96) เป็นคู่ตัวแปรท่ีมคี วามสัมพันธ์
กันสูงอันดับหนึ่ง และเมื่อพิจารณาตัวแปรความสัมพันธ์ภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาในแต่
ละด้าน (X1,X2,X3,X4 และ X5) กับแรงจูงใจในการปฏิบัตงิ านของครู(Y) พบว่า ตัวแปรที่มีความสัมพันธก์ ันสงู สุด
คือ (X1)ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์กับแรงจูงใจใน
การปฏิบัติงานของครู (Y) มีความสัมพันธ์ในระดับสูง (r= .83) รองลงมาคือ ภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของ
ผู้บริหารสถานศึกษา ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ (X2) และด้านการกระตุ้นทางปัญญา (X3) กับแรงแรงจูงใจใน
การปฏิบัติงานของครู (Y) มีความสัมพันธ์อยู่ในระดับสูง (r= .80) ส่วนตัวแปรท่ีมีความสัมพันธ์กันตา่ สุดคือ ภาวะ
ผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านการสร้างวิสัยทัศน์ (X5) กับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู
(Y) มีความสัมพันธ์อยู่ในระดับสูง (r= 0.78) ซ่ึงทุกค่ามีความสัมพันธ์กันทางบวกอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ
.01

3. อภปิ รำยผล

3.1 ภาวะผู้นาการเปล่ยี นแปลงของผู้บรหิ ารโรงเรียนในสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา
กาฬสินธ์ุ จากผลการวิจัยพบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าผู้บริหารโรงเรียนในสานักงาน
เขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีพฤติกรรมท่ี
แสดงออกถึงการสร้างวิสัยทัศน์ การมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ การสร้างแรงบันดาลใจ การกระตุ้นทางปัญญา
และการคานึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล อย่างชัดเจน อาทิ ผู้บริหารสถานศึกษามีการปรับเปล่ียนพฤติกรรมให้
สอดคล้องกับยุควิถีชีวิตใหม่คือ มีการกาหนดวิสัยทัศน์โดยยึดหลักการการจัดการศึกษายุควิถีชีวิตใหม่ เพื่อ
ปรบั เปลีย่ นโรงเรียนให้สามารถบรหิ ารจัดการศึกษาให้เหมาะสมการเปล่ียนแปลงในสภาวการณ์ปัจจุบัน อกี ท้ังยังมี
ความแน่วแน่ในอุดมการณ์เพื่อสร้างมาตรฐานการปฏิบัติงาน โดยการกระตุ้นให้ครูเกิดความคิดริเร่ิมสร้างส รรค์
และสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพที่ส่งผลให้ผู้เรียนสามารถ
เรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพ รวมท้ังมีการสร้างขวัญและกาลังใจในการปฏิบัติงานให้แก่ครู โดยการคานึงถึงความ
แตกต่างระหว่างบุคคลสอดคล้องกับงานวิจัยของ กิตติ จิตต์รัตน์ (2564) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นา
การเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา
สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 1 ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของ
ผ้บู รหิ ารโรงเรียน โดยภาพรวมมกี ารปฏบิ ตั ิอย่ใู นระดับมาก สอดคล้องกบั งานวจิ ยั ของอรวรรณ ภัทรดาเนินสขุ และ
ศักดิพันธ์ ตันวิมลรัตน์ (2565) ได้ศึกษาภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหารกับแรงจูงใจในการปฏบิ ัติงานของ
ครูในสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม (2564) ผลการวิจัยพบว่า
ภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหารโดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก สอดคล้องกับงานวิจัยของ จีร


82

ภัทร คงยะมาศ (2561) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนกับ
แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการครูโรงเรียนกลุ่มศรีราชา 5 สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 ผลการวจิ ัยพบว่า ภาวะผนู้ าการเปลี่ยนแปลงของผ้บู ริหารโรงเรียนโดยรวมอยู่ในระดับ
มากสอดคล้องกับงานวิจัยของดักเวิร์ธ (Duckworth, 2005; อ้างถึงใน พัชรินทร์ สงครามศรี, 2561) ได้ศึกษา
เก่ียวกับยุทธศาสตร์การใชภ้ าวะผูน้ าในการเปลยี่ นแปลงของผ้อู านวยการในโรงเรยี นรัฐบาลท่ีประสบความสาเรจ็ มี
วัตถุประสงค์เพื่อท่ีจะระบุยุทธศาสตร์การใช้ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงในโรงเรียนที่ประสบความสาเร็จตามความ
เขา้ ใจของผู้อานวยการโรงเรียนในรัฐแคลฟิ อรเ์ นยี

เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า การคานึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคลมีค่าเฉลย่ี สูงเป็นอนั ดับหน่ึง
และมีระดับการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ทั้งน้ีอาจเป็นเพราะว่าผู้บริหารสถานศึกษามีพฤติกรรมที่แสดงออกถึง การ
คานึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล มีความเข้าใจและยอมรับความแตกต่างของครูเพื่อให้ครูสามารถปฏิบัติงานได้
อย่างมคี วามสุข มกี ารมอบหมายงานให้แก่ครูตามความรู้ ความสามารถและความเต็มใจของแต่ละบุคคล เพื่อให้ครู
เกิดความสนใจในบทบาทของตนเอง รู้จักการอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข ส่ิงเหล่าน้ีจะส่งผลต่อ การบริหาร
จัดการสถานศึกษาให้มีประสิทธิผล สอดคล้องกับงานวิจัยของขนิษฐา แสงโยธี และดวงใจ ชนะสิทธิ์ และอรวรรณ
ตู้จินดา (2565) ได้ศึกษาภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพ
ศูนย์การศึกษาพิเศษ กลุ่มเครือข่ายที่ 5 สังกัดสานักงานบริหารงานการศึกษาพิเศษ ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นา
การเปล่ียนแปลงของผ้บู ริหารสถานศกึ ษาโดยภาพรวมและรายดา้ นอยูใ่ นระดับมาก ด้านท่ีมีค่าเฉล่ียสงู สดุ คือ ด้าน
การคานงึ ถงึ ความเปน็ ปัจเจกบุคคล รองลงมาคอื ดา้ นการสร้างแรงบันดาลใจ ดา้ นการมอี ิทธิพลอย่างมีอดุ มการณ์
และดา้ นการกระตุ้นทางปัญญา

3.2 แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธ์ุ
ผลการวิจยั พบวา่ โดยภาพรวมอยู่ในระดบั มาก ท้ังน้ีอาจเป็นเพราะว่าผบู้ ริหารสถานศกึ ษาสามารถสร้างแรงจูงใจใน
การปฏิบตั งิ านให้แก่ครทู ง้ั ปจั จยั ภายในทีเ่ กดิ ขึ้นในตัวของครูเองและปัจจัยภายนอกท่ีเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อม
ของสถานศึกษาท่ีน่าอยู่และเอ้ือต่อการปฏิบัติงานให้บรรลุผลสาเร็จ ให้การยอมรับและยกย่องครูท่ีมีผลการ
ปฏบิ ตั งิ านที่ดีจนทาให้ครเู กดิ ความม่งุ มั่นการปฏิบตั งิ านใหส้ าเรจ็ ไดท้ ันเวลาและเป็นทน่ี า่ พอใจตอ่ ผูบ้ ริหาร รวมท้ังมี
ความมุ่งม่ันในการปฏิบัติงานให้เกิดความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิชาชีพอย่างย่ังยืน สอดคล้องกับงานวิจัยของ
อรวรรณ ภัทรดาเนินสุข และศักดิพันธ์ ตันวิมลรัตน์ (2565) ได้ศึกษาภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหารกับ
แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม
(2564) ผลการวิจัยพบว่า แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษาโดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับ
มาก สอดคล้องกับงานวิจัยของจีรภัทร คงยะมาศ (2561) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการ
เปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนกับแรงจงู ใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการครูโรงเรียนกลุ่มศรีราชา 5 สังกัด
สานักงานการศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 ผลการวิจัยพบว่า แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการครู
โรงเรยี นกลุ่มศรรี าชา 5 สังกดั สานกั งานการศึกษาประถมศกึ ษาชลบรุ ี เขต 3 โดยรวมอยู่ในระดับมาก สอดคลอ้ ง


83

กับงานวิจัยของสุทธิชา สมุทวนิช (2563) ได้ศึกษาพฤติกรรมผู้นาของผู้บริหารที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการ
ปฏิบัติงานของครู ในสถานศึกษาพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 8
ผลการวิจัยพบว่า แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษาพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี สังกัดสานักงานเขต
พื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 8 ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก

เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า การได้ยอมรับนับถือ มีค่าเฉลี่ยสูงเป็นอันดับหนึ่งและมีระดับ
การปฏิบัตอิ ยใู่ นระดบั มาก ทงั้ นอี้ าจเปน็ เพราะว่าผูบ้ ริหารสถานศกึ ษาสามารถสรา้ งแรงจงู ใจในการปฏิบตั ิงานให้แก่
ครู ดา้ นการได้ยอมรับนับถืออย่างชัดเจน อาทิ ผบู้ รหิ ารใหก้ ารยอมรับและยกย่องแก่ครูเมื่อครูประสบผลสาเร็จใน
การปฏิบัติงาน และครูได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากผู้บริหารอย่างต่อเน่ือง เป็นต้น สอดคล้องกับงานวิจัย
ของสุทธิชา สมุทวนิช (2563) ได้ศึกษาพฤติกรรมผู้นาของผู้บริหารที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู
ในสถานศึกษาพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 8 ผลการวิจัยพบว่า
เรียงลาดับค่าเฉล่ียจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการยอมรับนับถือ ด้านความรับผิดชอบ ด้านความสาเร็จของการ
ทางาน ด้านลักษณะของงานที่ปฏิบัติ และด้านความก้าวหน้า

3.3 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลย่ี นแปลงของผ้บู รหิ ารสถานศึกษากับแรงจูงใจในการ
ปฏิบัติงานของครู โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์กันในระดับสูง (r = 0.84) และมีความสัมพันธ์กันในทิศทางบวก
อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สอดคล้องกับสมมติฐานที่ต้ังไว้ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าผู้บริหารสถานศึกษามี
พฤติกรรมท่ีแสดงออกถงึ ความมี ภาวะผู้นาการเปลยี่ นแปลงท่ีสามารถสรา้ งแรงจงู ใจในการปฏิบตั ิงานใหแ้ ก่ครูใน
เชิงบวก จึงทาให้ครูมีพฤติกรรมการปฏิบัติงานออกมาในเชิงบวก ดังน้ันผู้บริหารจึงจาเป็นต้องรู้และเข้าใจวิธีการ
สร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานให้แก่ครู เพ่ือนามาใช้ประโยชน์ในการเพ่ิมแรงจูงใจในการปฏิบัติงานให้แก่ครูได้
อย่างย่ังยืน สอดคล้องกับงานวิจัยของ ภัสรารัตน์ จอมโชติ (2563) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการ
เปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการครู โรงเรียนบ้านบึง สังกัด
สานักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 18 จงั หวัดชลบุรี ผลการวิจัยพบวา่ ในภาพรวมมีความสมั พันธ์กันใน
ระดับมาก อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 ได้แก่ ด้านการกระตุ้นเชาว์ปัญญา ด้านการคานึงถึงปัจเจกบุคคล
ดา้ นการมอี ทิ ธพิ ลอย่างมีอุดมการณ์ และด้านการสร้างแรงบันดาลใจ สอดคล้องกับงานวิจัยของมัณฑนา ชุมปญั ญา
(2563) ได้ศึกษาภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงของผู้บริหารท่ีส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียน
สังกัดสานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 ผลการวิจัยพบวา่ ภาวะผนู้ าการเปลี่ยนแปลงของ
ผู้บริหารโดยรวมมีความสัมพันธ์กันทางบวกกับแรงจูงใจในการปฏิบตั ิงานของครูในโรงเรยี น และเม่ือพิจารณาราย
ด้าน ได้แก่ ด้านการเสริมสร้างกาลังใจ ด้านการกล้าท้าทายต่อกระบวนการทางาน ด้านการเป็นต้นแบบนาทาง
อย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ ิท่ีระดับ .01

เม่ือพิจารณาคู่ตัวแปรท่ีมีความสัมพันธ์กันสูงสุดคือ การมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ (X1) กับ
แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ มี
ความสัมพันธ์อยู่ในระดับสูง (r= 0.83) ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าผู้บริหารโรงเรียนมีพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความมี


84

ภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลง ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ ที่มีความแน่วแน่ในอุดมการณ์เพื่อสร้างมาตรฐาน
การปฏิบัติงานของตนเอง และกาหนดแนวทางในการปฏิบัติงานที่ดีให้แก่ครูเพ่ือให้สอดคล้องกับสถานการณ์
ปัจจุบันยุควิถีชีวิตใหม่ ที่สามารถเสริมสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานให้แก่ครูได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้อง
กับงานวิจัยของ ภูวิส สิงสีดา (2564) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร
สถานศึกษากับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3
ผลการวิจัยพบว่า มีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันโดยเรียงตามลาดับ ค่าความสัมพันธ์จากมากไปหาน้อย
ได้แก่ ด้านการเป็นแบบอย่างที่ดี ด้านการคานงึ ปจั เจกบุคคล ด้านการสรา้ งแรงบนั ดาลใจ และด้านการกระตุ้นทาง
ปัญญา ตามลาดับ สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ เรียงตามลาดับค่าความสัมพันธ์จากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้าน
การเป็นแบบอย่างเชงิ อุดมการณ์ ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ ด้านการสร้างวสิ ยั ทัศน์ ด้านกระตุ้นทางปัญญา และ
ด้านการคานึงปจั เจกบคุ คล มีค่าความสัมพนั ธเ์ ท่ากัน สอดคล้องกบั งานวจิ ัยของศุภศาสตร์ พลคา (2563) ได้ศึกษา
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาและความพึงพอใจในการปฏิ บัติงาน
ของครูในกลุ่มพัฒนาคุณภาพการศึกษาตะเคียนลมศักดิ์ สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ
เขต 3 ผลการวิจัยพบว่า มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งมี 2 แบบ คือ การมีอิทธิพล
อย่างมีอุดมการณ์ (X1) มีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครู มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์
เท่ากับ 0.362 และการกระตุ้นปัญญา (X3) มีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของครู มีค่า
สัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์เท่ากับ 0.362 ซ่งึ เปน็ ด้านทมี่ คี วามสมั พนั ธก์ นั สูงสุด

ข้อเสนอแนะ

1. ขอ้ เสนอแนะในกำรนำผลวจิ ัยไปใช้
1.1 จากการศกึ ษาภาวะผ้นู าการเปลี่ยนแปลงของผ้บู รหิ ารสถานศึกษาในสถานศกึ ษา สานักงานเขต

พ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษากาฬสนิ ธุ์ ด้านที่มีระดับการปฏิบัติการตา่ สุดคือ การมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ ดังนนั้
ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีการกระตุ้นให้ครูเกิดความกระตือรือร้นสนใจในการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง

1.2 จากการศึกษาแรงจงู ใจในการปฏิบตั งิ านของครูในโรงเรียน สานกั งานเขตพ้นื ท่กี ารศกึ ษา
มัธยมศึกษากาฬสินธุ์ ด้านที่มีระดับการปฏิบัติการต่าสุด คือ ความสาเร็จในการปฏิบัติงานและความรับผิดชอบ
ดังนั้น ผู้บริหารสถานศึกษาควรสร้างแรงจูงในการปฏิบตั ิงานใหแ้ ก่ครูจนทาให้ครูเกิดความพอใจในการประเมินผล
การปฏบิ ัติงานในรอบปที ่ีผ่านมา รวมท้ังมกี ารมอบอานาจและการตดั สินใจในการปฏิบตั ิงานใหม่ๆให้แกค่ รู

1.3 จากการศึกษาภาวะผู้นาการเปลย่ี นแปลงของผู้บรหิ ารโรงเรียนกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของ
ครูในโรงเรียน เม่ือพิจารณาตัวแปรท่ีมีความสัมพันธ์กันสูงสุด คือ ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์กับแรงจูงใจ
ในการปฏิบัติงานของครูในสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีมัธยมศึกษากาฬสินธุ์ และมีความสัมพันธ์ในระดับสูง ดังน้ัน
ผู้บริหารโรงเรียนควรให้สาคัญภาวะผู้นาการเปล่ียนแปลงด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ที่สามารถสร้าง
แรงจงู ใจในการปฏบิ ัติงานให้แก่ครอู ยา่ งเปน็ รปู ธรรม


85

ข้อเสนอแนะในกำรวจิ ัยคร้งั ตอ่ ไป

1. ควรศึกษาภาวะผนู้ าการเปลีย่ นแปลงของผบู้ ริหารโรงเรยี นด้านการมีอิทธิพลอยา่ งมีอุดมการณ์
ทมี่ อี ทิ ธิพลตอ่ แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู สานักงานเขตพื้นที่การศกึ ษามธั ยมศึกษากาฬสินธุ์

2. ควรศกึ ษาการพัฒนาตัวบง่ ชี้ภาวะผ้นู าการเปลยี่ นแปลงของผู้บริหารโรงเรียนด้านการมีอิทธิพล
อยา่ งมอี ดุ มการณ์ สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามธั ยมศึกษากาฬสินธุ์

3. ควรศึกษาการพัฒนาตัวบ่งช้ีแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูด้านการได้รับยอมรับถือ
สานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธ์ุ


Click to View FlipBook Version