The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สารบัญ
เรื่อง พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by thammasapa.channel, 2023-03-28 06:05:26

พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎกนธ์

สารบัญ
เรื่อง พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก

(1) พุทธบัญญติจากพระไตรปิฎก พระวินัย ๒๒๗ข้อ อุ ท เ ท ส ที่ ถู ก ย ก ขึ้ น แ ส ด ง ใ น ภิ ก ขุ ป า ติ โ ม ก ข์ ธรรมสภาและศูนย์ศึกษาพระไตรปิฎกธรรมสภา จั ด พิ ม พ์ เ ผ ย แ พ ร่ เ พื่ อ รั ก ษ า แ ล ะ สื บ ท อ ด อ า ยุ ข อ ง พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า


(2) พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (พระวินัย ๒๒๗ ข้อ : อุทเทสที่ถูกยกขึ้นแสดงในภิกขุปาติโมกข์) การพิมพ์หนังสือธรรมะเป็นอนุสรณ์และที่ระลึก นอกจากเป็นการจัดท�ำสิ่งที่มีประโยชน์ ที่คงอยู่ยืนนานแล้ว ยังเป็นการบ�ำเพ็ญธรรมทาน คือการให้ทานที่พระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญว่า เป็นทานอันยอดเยี่ยมอีกด้วย ผู้ปฏิบัติเช่นนี้ชื่อว่าได้แสดงออกซึ่งญาติธรรม พร้อมไปกับการมี ส่วนร่วมในการเผยแพร่ธรรม อันจะอ�ำนวยประโยชน์สุขที่แท้จริงแก่ประชาชน ท่านที่ประสงค์จัดพิมพ์หนังสือธรรมะที่ดีมีคุณภาพเป็นที่ระลึกในทุกโอกาสของงานประเพณี อันเป็นการใช้จ่ายเงินอย่างมีคุณค่าและก่อให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด โปรดติดต่อที่....ธรรมสภา เลขที่ ๑/๔-๕ ถนนบรมราชชนนี แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร ๑๐๑๗๐ โทร. ๐๘๖-๒๑๐-๕๑๓๓, ๐๙๔-๕๕๗๗๕๔๙ / www.thammasapa.com / Lind id : @thampublisher พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (พระวินัย ๒๒๗ ข้อ : อุทเทสที่ถูกยกขึ้นแสดงในภิกขุปาติโมกข์) เรียบเรียงโดย : อาจารย์ปัญญา ใช้บางยาง ในนามธรรมสภา และ สถาบันบันลือธรรม ISBN : 978-616-03-1086-9 พิมพ์ครั้งที่ ๑ : พุทธศักราช ๒๕๔๘ จ�ำนวน ๒,๐๐๐ เล่ม พิมพ์ครั้งที่ ๒ : พุทธศักราช ๒๕๕๑ จ�ำนวน ๒,๐๐๐ เล่ม พิมพ์ครั้งที่ ๓ : (ฉบับแก้ไข-ปรับปรุง-เพิ่มเติม) พุทธศักราช ๒๕๖๖ จำ� นวน ๒,๐๐๐ เล่ม มูลนิธิธรรมสภา บันลือธรรม ร่วมจัดพิมพ์เป็นธรรมทาน จ�ำนวน ๑,๐๐๐ เล่ม โทร. ๐๙๘-๖๖๗๘๙๑๕ ส�ำนักพิมพ์ธรรมสภา บันลือธรรม จัดพิมพ์เผยแพร่จ�ำนวน ๑,๐๐๐ เล่ม โทร.๐๙๑-๘๘๓-๗๑๑๗


(3) คํ า นํ า พระวินัยในที่นี้มุ่งหมายเอาเฉพาะเรื่องสิกขาบทที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้น เพราะ ทรงเล็งเห็นถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับสมาชิกสงฆ์ ดังที่ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราจะบัญญัติ สิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยความเกี่ยวข้องกับประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อ ความยอมรับว่าดีของสงฆ์ เพื่อความส�ำราญของสงฆ์... เพื่ออนุเคราะห์วินัย” (คือ สังวรวินัย ปหานวินัย สมถวินัย และบัญญัติวินัย) ต่อเมื่อมีสิกขาบทมากพอสมควรแล้ว พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้สงฆ์น�ำสิกขาบทเหล่านั้น แสดงในหมู่ภิกษุสงฆ์ที่ท่านเรียกว่า “ยกสิกขาบทขึ้นแสดงในท่ามกลางสงฆ์” ซึ่งก็คือการสวด ภิกขุปาติโมกข์ เพื่อให้สมาชิกสงฆ์ที่เข้าประชุมได้รู้ทั่วกันว่าสิกขาบทมีอะไรบ้างที่ภิกษุจะต้องถือ ปฏิบัติ ถ้าล่วงละเมิดก็จะต้องมีโทษอย่างนั้น ๆ เมื่อกุลบุตรทั้งหลายเข้ามาเป็นสมาชิกของสงฆ์จึงต้องศึกษาเล่าเรียนพระวินัย และทรง จ�ำพระวินัยไว้เพื่อใช้ฝึกตนและด�ำรงตนอยู่ในกรอบของสิกขาบทเหล่านั้นให้ได้ โดยพระผู้มีพระ ภาคเจ้าได้ตรัสถึงอานิสงส์ที่ภิกษุผู้ทรงวินัยจะได้รับ ๕ ประการ (วินย.ปริ.ข้อ ๑๑๖๘) คือ ๑. สีลขันธ์(หมวดค�ำสอนเรื่องศีล คือ ความประพฤติทางกาย วาจาที่ดี) ของภิกษุย่อม เป็นอันภิกษุคุ้มครองรักษาไว้ดีแล้ว ๒. ย่อมเป็นที่พึ่งพิงของเหล่ากุลบุตร (ผู้มีศรัทธาบวชเป็นภิกษุ) เมื่อถูกความสงสัยครอบง�ำ ๓. ย่อมเป็นผู้กล้าพูดในท่ามกลางสงฆ์ ๔. ย่อมข่มขี่ผู้ที่ท�ำตนเป็นศัตรูกับสหธรรม (สิกขาบท) ได้ด้วยดี ๕. ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความตั้งมั่นของพระสัทธรรม (= ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ) หนังสือเรื่อง “พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (พระวินัย ๒๒๗ ข้อ : อุทเทสที่ถูกยกขึ้น แสดงในภิกขุปาติโมกข์)” เล่มนี้ ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรมเคยจัดพิมพ์เผยแพร่เมื่อหลายปี ก่อน บัดนี้อาจารย์ปัญญา ใช้บางยาง ผู้เรียบเรียง ขอปรับปรุงเพิ่มเติมและแก้ไขในส่วนที่จะท�ำให้ ชัดเจนในมติฯ ต่าง ๆ ใช้เวลาแก้ไข-ปรับปรุงและเพิ่มเติมกว่า ๒ ปี ครั้นปรับปรุงเสร็จสมบูรณ์แล้ว ธรรมสภาและสถาบันบันลือธรรม จึงขออนุญาตน�ำมาพิมพ์เผยแพร่ในปีพุทธศักราช ๒๕๖๖ เพื่อให้ ภิกษุใช้เป็นคู่มือศึกษาสิกขาบท และส�ำรวมตามพระวินัย เพื่อการได้สัมผัสอานิสงส์ ๕ ประการนั้น และเพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้พุทธศาสนิกชน คํ า นํ า


(4) พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (พระวินัย ๒๒๗ ข้อ : อุทเทสที่ถูกยกขึ้นแสดงในภิกขุปาติโมกข์) มีความรู้ความเข้าใจตรงกันกับภิกษุบริษัท การเรียบเรียงในครั้งนี้ มุ่งให้ผู้ศึกษาเข้าใจตัวสิกขาบทนั้นอย่างแท้จริง เพื่อน�ำไปใช้ในการ ครองเพศบรรพชิต รักษาตนอยู่ในกรอบของสีลสังวร สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในวินัยปิฎก ปริวาร ข้อ ๑๑๖๘ ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ที่บุคคลผู้ทรงวินัยจะพึงได้รับมี ๕ คือ สีลขันธ์ ของตนเป็นอันคุ้มครองดีแล้ว ๑ เป็นที่พึ่งของพวกภิกษุผู้มักระแวงสงสัย ๑ เป็นผู้แกล้วกล้าพูดใน ท่ามกลางสงฆ์ ๑ ข่มเหล่าชนผู้เป็นข้าศึกได้ราบคาบดีโดยสหธรรม ๑ และเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความ ตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑” ด้วยเหตุนี้ การเรียบเรียงจึงคงความเป็นมาของเหตุการณ์ก่อนบัญญัติสิกขาบทไว้ให้ ครบถ้วนที่สุด ทั้งเน้นขั้นตอนการปรับอาบัติ การออกจากอาบัติและความชัดเจนของการกระท�ำ ที่ไม่เป็นอาบัติ พร้อมกันนี้ ก็ได้น�ำข้อสังเกตหรือค�ำอธิบายของท่านผู้รู้เพิ่มเติมเข้ามาด้วย คือ จาก พจนานุกรมพุทธศาสน์ ประมวลศัพท์ ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) และนานาวินิจฉัย ของนักปราชญ์ราชบัณฑิต เพื่อให้ผู้ศึกษาเข้าใจพระวินัยและมั่นใจว่าปฏิบัติไม่ผิดจากพุทธบัญญัติ “พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (พระวินัย ๒๒๗ ข้อ : อุทเทสที่ถูกยกขึ้นแสดงใน ภิกขุปาติโมกข์)” เล่มนี้ อาจารย์ปัญญา ใช้บางยาง ได้เรียบเรียงขึ้นด้วยฉันทะและวิริยะอุตสาหะ อย่างยิ่ง หวังเผยแพร่พระธรรมค�ำสอนขององค์พระบรมศาสดาให้แพร่หลาย จึงได้มอบลิขสิทธิ์ให้ ธรรมสภา และสถาบันบันลือธรรมด�ำเนินการจัดพิมพ์ให้เผยแพร่อย่างกว้างขวางและทั่วถึงมากที่สุด ธรรมสภาจึงขอแสดงปวารณาอันเป็นกุศลอย่างยิ่ง ในการจัดพิมพ์เผยแพร่เป็นธรรมทานแก่วัดและ สถานปฏิบัติธรรม ที่มีจดหมายแจ้งความจ�ำนงมา ท่านที่ประสงค์จัดพิมพ์หนังสือ “พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (พระวินัย ๒๒๗ ข้อ : อุทเทสที่ถูกยกขึ้นแสดงในภิกขุปาติโมกข์)” เผยแพร่เป็นธรรมทาน โปรดติดต่อได้ที่ ธรรมสภา สถาบันบันลือธรรม ด้วยมุ่งหวังปรารถนาเผยแพร่พระวินัยเพื่อเป็นเครื่องมือในการส�ำรวมระวัง ของผู้มีศรัทธาออกบวชเป็นบรรพชิต และเสริมสร้างความมั่นคงยืนยาวในพระสัทธรรมตลอด กัลปาวสาน ด้วยความสุจริต หวังดี ธรรมสภาปรารถนาให้โลกพบกับความสงบสุข


(5) ๏ บทน�ำ ปาราชิก ๔ สิกขาบท พระสุทินน์กลันทบุตรเสพเมถุน..................................................................................................................................................... ๔ เหตุผลที่ทรงบัญญัติสิกขาบท............................................................................................................................................................... ๖ วินัย ๔ ประเภท........................................................................................................................................................................................................... ๙ ภิกษุไม่กล่าวลาสิกขา เสพเมถุนแล้วไปเป็นฆราวาส ขอกลับมาบวชอีก สงฆ์ไม่บวชให้.................................................. ๑๐ ๏ ปฐมปาราชิกสิกขาบท (เมถุนธัมมสิกขาบท) อธิบายอสังวาส-สังวาส................................................................................................................................................................................... ๑๓ บุคคลและทวารที่ตั้งแห่งการเสพเมถุน.................................................................................................................................. ๑๓ อาการอาบัติที่เกี่ยวข้องกับการเสพเมถุน........................................................................................................................... ๑๘ วินีตวัตถุ (เรื่องที่ทรงวินิจฉัยแล้ว)................................................................................................................................................... ๒๒ ล่วงลํ้าประมาณเมล็ดงาเดียว ก็เป็นปาราชิก............................................................................................................... ๒๒ อธิบายเสพเมถุนมีเครื่องลาด-ไม่มีเครื่องลาด............................................................................................................ ๓๑ เรื่องปิดประตูก่อนนอนหลับ...................................................................................................................................................................... ๓๓ อธิบาย : สมุฏฐาน ๖.......................................................................................................................................................................................... ๓๔ ๑๓ สิกขาบทที่ถูกยกเป็นประธานเพื่ออธิบายสิกขาบททั้งหมด...................................................... ๓๙ อธิบาย : กิริยา-อกิริยา, สัญญาวิโมกข์-โนสัญญาวิโมกข์........................................................................ ๔๐ อธิบาย : สจิตตกะ-อจิตตกะ, โลกวัชชะ-ปัณณัตติวัชชะ............................................................................ ๔๓ อธิบาย : จิต ๓, เวทนา ๓............................................................................................................................................................................ ๔๙ มาติกา ๑๗ ใช้วินิจฉัยสิกขาบทต่าง ๆ..................................................................................................................................... ๕๒ อธิบาย : การลาสิกขาส�ำเร็จ-ไม่ส�ำเร็จ.................................................................................................................................... ๕๓ องค์ประกอบในการต้องอาบัติปาราชิกข้อที่ ๑ มี ๒ องค์ประกอบ.............................................. ๕๗ ส า ร บั ญ ส า ร บั ญ


(6) พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (พระวินัย ๒๒๗ ข้อ : อุทเทสที่ถูกยกขึ้นแสดงในภิกขุปาติโมกข์) ๏ ทุติยปาราชิกสิกขาบท (อทินนาทานสิกขาบท) : ขโมย ๕ มาสกหรือมากกว่า ต้องอาบัติปาราชิก....................................................................................................................................................................................................................... ๖๒ องค์ประกอบและอาบัติกรณีขโมยด้วยตนเอง............................................................................................................ ๖๕ องค์ประกอบและอาบัติกรณีใช้ให้ผู้อื่นขโมย................................................................................................................ ๖๖ องค์ประกอบของการถือวิสาสะ มี ๕ องค์......................................................................................................................... ๖๗ ลักมะม่วง-มะพลับของสงฆ์ ก็ต้องอาบัติปาราชิก................................................................................................ ๖๙ ลักษณะการขโมย ๒๕ อาการ.............................................................................................................................................................. ๗๓ อาบัติที่เป็นเบื้องต้นของอาบัติปาราชิก................................................................................................................................. ๗๖ ทุกกฏ ๘ ประเภท..................................................................................................................................................................................................... ๗๗ องค์ประกอบในการต้องอาบัติปาราชิกข้อที่ ๒ มี ๕ องค์ประกอบ............................................. ๗๙ วิสาสะ มีองค์ ๕ ที่ส�ำคัญมี ๓ องค์............................................................................................................................................... ๘๐ ทุติยปาราชิกสิกขาบท เป็นสิกขาบทที่มีนัยของการวินิจฉัยที่ลึกซึ้งที่สุด........................ ๘๑ มาติกา ๑๗ ข้อของปาราชิกสิกขาบทที่ ๒......................................................................................................................... ๘๓ ๏ ตติยปาราชิกสิกขาบท : จงใจฆ่ามนุษย์ หรือพรรณนาข้อดีของความตาย แล้วเขาฆ่าตัวตาย ต้องอาบัติปาราชิก.................................................................................................................................................... ๘๖ การฆ่าเอง หรือใช้ให้เขาฆ่า ก็ย่อมไม่พ้นปาราชิก................................................................................................ ๘๘ ความพยายามในการท�ำให้เขาตาย ๖ รูปแบบ......................................................................................................... ๙๕ ฐานะ ๖ ใช้วินิจฉัยการสั่งฆ่า................................................................................................................................................................. ๙๗ กรณีภิกษุปรุงยา........................................................................................................................................................................................................ ๙๙ อนามัฏฐบิณฑบาต............................................................................................................................................................................................... ๑๐๐ องค์ประกอบในการต้องอาบัติปาราชิกข้อที่ ๓ มี ๕ องค์ประกอบ............................................. ๑๐๑ ๏ จตุตถปาราชิกสิกขาบท : อวดอุตตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตนเอง...................................................... ๑๐๔ ประเภทของอุตตริมนุสสธรรม.............................................................................................................................................................. ๑๐๖ อาการ ๓-๗ อวดอุตตริมนุสสธรรมด้วยค�ำเท็จ แก้ตัวอย่างไรก็ไม่พ้นปาราชิก........ ๑๐๗ อยู่ป่าหรือจงกรมหมายให้คนยกย่อง ต้องอาบัติทุกกฏ............................................................................... ๑๐๙ ภิกษุอวดอุตตริมนุสสธรรมที่ไม่มีจริง ท่านเรียกว่าเป็นโจรเหนือมหาโจร......................... ๑๑๑ สอบสวนภิกษุผู้อวดอุตตริมนุสสธรรมด้วยค�ำถามและสอบถามข้อปฏิบัติ................... ๑๑๓ การอวดโดยอ้อม....................................................................................................................................................................................................... ๑๑๗


(7) ปาราชิก ๒๔ ประเภท........................................................................................................................................................................................ ๑๑๘ ภิกษุสงสัยว่าต้องอาบัติปาราชิก พึงทดลองปฏิบัติกรรมฐาน............................................................. ๑๒๑ องค์ประกอบในการต้องอาบัติปาราชิกข้อที่ ๔ มี ๕ องค์ประกอบ.............................................. ๑๒๑ ๏ สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท สิกขาบทที่ ๑ : จงใจท�ำอสุจิเคลื่อน.................................................................................................................................................... ๑๒๓ – ความฝัน ๔ ประเภท............................................................................................................................................................................................. ๑๒๖ – ความหมายของ “สังฆาทิเสส”.............................................................................................................................................................. ๑๒๗ – อธิบายราคะและปโยคะ ๑๑ อย่าง............................................................................................................................................... ๑๒๙ สิกขาบทที่ ๒ : ภิกษุก�ำหนัดอยู่สัมผัสกายผู้หญิง......................................................................................................... ๑๓๒ – วัตถุอนามาส (สิ่งที่ภิกษุไม่ควรจับต้อง).....................................................................................................................๑๔๑-๑๔๔ สิกขาบทที่ ๓ : ภิกษุก�ำหนัดพูดถึงเมถุนกับผู้หญิง..................................................................................................... ๑๔๕ – อธิบายค�ำด่า ๑๑ ค�ำ........................................................................................................................................................................................... ๑๔๘ สิกขาบทที่ ๔ : ภิกษุก�ำหนัดพูดขอให้ผู้หญิงบ�ำเรอความใคร่................................................................... ๑๕๒ สิกขาบทที่ ๕ : ภิกษุท�ำตนเป็นพ่อสื่อ (สัญจริตตสิกขาบท)......................................................................... ๑๕๗ สิกขาบทที่ ๖ : ภิกษุสร้างกุฏิเอง (ไม่มีเจ้าภาพสร้างให้)โดยสงฆ์ไม่แสดงพื้นที่........... ๑๖๕ – อธิบายวิญญัติ ปริกถา โอภาส และนิมิตกรรม........................................................................................................... ๑๖๘ สิกขาบทที่ ๗ : ภิกษุสร้างวิหารใหญ่ (โดยสงฆ์ไม่แสดงพิื้นที่)................................................................. ๑๗๓ สิกขาบทที่ ๘ : ภิกษุกล่าวหาภิกษุอื่นว่าต้องอาบัติปาราชิกทั้งที่ไม่มีมูล................................ ๑๘๐ – นาสนะ ๓ อย่าง........................................................................................................................................................................................................... ๑๘๖ – ประเภทของการโจท............................................................................................................................................................................................. ๑๘๘ สิกขาบทที่ ๙ : ภิกษุอ้างเลศสร้างเรื่องกล่าวหาภิกษุอื่นว่าต้องอาบัติปาราชิก.............. ๑๙๒ – อธิบายเลศ (เลส-กลอุบาย) ๑๐......................................................................................................................................................... ๑๙๓ สิกขาบทที่ ๑๐ : ภิกษุพยายามท�ำลายสงฆ์ให้แตกกัน (= สมนุภาสนสิกขาบท)............... ๑๙๙ – ปลาและเนื้อบริสุทธิ์ ๓ ส่วน ภิกษุฉันได้................................................................................................................................ ๒๐๓ – การสวดสมนุภาสนกรรมวาจาที่เป็นเขตแห่งอาบัติสังฆาทิเสส........................................................ ๒๐๖ สิกขาบทที่ ๑๑ : ภิกษุสนับสนุนภิกษุผู้พยายามท�ำลายสงฆ์........................................................................... ๒๐๘ สิกขาบทที่ ๑๒ : ภิกษุท�ำตนเป็นคนว่ายาก................................................................................................................................. ๒๑๒ – ธรรม ๑๙ ท�ำให้เป็นคนว่ายาก............................................................................................................................................................. ๒๑๕ ส า ร บั ญ


(8) พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (พระวินัย ๒๒๗ ข้อ : อุทเทสที่ถูกยกขึ้นแสดงในภิกขุปาติโมกข์) สิกขาบทที่ ๑๓ : ภิกษุประทุษร้ายตระกูลถูกสงฆ์ท�ำวินัยกรรมแล้วยังต่อว่าสงฆ์............ ๒๑๙ – ประวัติของพวกภิกษุฉัพพัคคีย์............................................................................................................................................................ ๒๒๓ – อธิบายลักษณะการกระท�ำ ๕ ไม่ควรใช้ในการปลูกไม้ดอกไม้ผลเพื่อสงเคราะห์ตระกูล............................................................................ ๒๒๕ – วิธีท�ำปัพพาชนียกรรม....................................................................................................................................................................................... ๒๒๖ – ควรให้ดอกไม้แก่ใคร–ไม่ควรให้แก่ใคร.................................................................................................................................... ๒๒๘ – อธิบายการท�ำตนเป็นทูต............................................................................................................................................................................... ๒๒๙ สรุปสังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท : เป็นปฐมาปัตติกา ๙ ข้อ อีก ๔ ข้อเป็นยาวตติยกา.......................................................................................................... ๒๓๐ – อธิบายการปกปิดอาบัติ-ไม่ปกปิดอาบัติสังฆาทิเสส......................................................................................... ๒๓๑ ๏ อนิยต ๒ สิกขาบท สิกขาบทที่ ๑ : นั่งในที่ลับตา พอใช้เป็นที่เสพเมถุนได้.................................................................................................. ๒๓๔ – อธิบายคุณสมบัติของอุบาสิกาผู้มีวาจาเชื่อถือได้.................................................................................................. ๒๓๗ สิกขาบทที่ ๒ : นั่งในที่ลับหู พูดเกี้ยวสตรีได้โดยไม่มีใครได้ยิน....................................................................... ๒๔๑ – ความแตกต่างระหว่างอนิยตข้อที่ ๑ กับข้อที่ ๒............................................................................................๒๔๔-๒๔๖ นิสสัคคีย์ปาจิตตีย์ ๓๐ สิกขาบท ๏ นิสสัคคีย์จีวรวรรค ๑๐ สิกขาบท สิกขาบทที่ ๑ : (กฐินสิกขาบท) กฐินเดาะแล้ว เก็บอติเรกจีวรเกิน ๑๐ วัน.................................. ๒๔๗ – อธิบาย “จีวรส�ำเร็จแล้ว” มีความหมาย ๕ อย่าง..................................................................................................... ๒๕๒ – อธิบาย “ปลิโพธ ๒”............................................................................................................................................................................................... ๒๕๒ – กฐินเดาะคืออะไร?.................................................................................................................................................................................................. ๒๕๕ – ขนาดของผ้าที่ต้องท�ำวิกัป.......................................................................................................................................................................... ๒๖๐ – วิธีสละผ้าและวิธีแสดงอาบัติ.................................................................................................................................................................. ๒๖๐ – การอธิษฐานไตรจีวร เป็นต้น................................................................................................................................................................... ๒๖๓ – เหตุให้ขาดอธิษฐาน............................................................................................................................................................................................... ๒๖๕ – วิธีวิกัปจีวร........................................................................................................................................................................................................................... ๒๖๖ บทความพิเศษ : “ภิกษุจ�ำพรรษารูปเดียวกรานกฐินได้”........................................................................................... ๒๗๒ – ข้อสังเกตกฐินสมัยพุทธกาลและหลังพุทธกาล........................................................................................................... ๒๗๗


(9) สิกขาบทที่ ๒ : กฐินเดาะแล้ว อยู่ปราศจากไตรจีวรเกิน ๑ ราตรี.......................................................... ๒๘๓ – สถานที่เก็บไตรจีวร ๑๕ แห่ง................................................................................................................................................................... ๒๘๕ – อธิบาย “ไม่ละหัตถบาส”............................................................................................................................................................................... ๒๙๐ – วินิจฉัยภิกษุเก็บไตรจีวรพระเถระแล้วมาไม่ทันอรุณ......................................................................................... ๒๙๑ สิกขาบทที่ ๓ : ได้รับอกาลจีวรพอท�ำเป็นจีวร แต่เกิน ๑๐ วันจึงท�ำ................................................. ๒๙๕ – อธิบายกาลจีวร–อกาลจีวร......................................................................................................................................................................... ๒๙๘ สิกขาบทที่ ๔ : ใช้ภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติซักจีวร......................................................................................................................... ๓๐๑ – ล�ำดับญาติ........................................................................................................................................................................................................................... ๓๐๔ – สั่ง ๓ อย่าง เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ๑ ตัว อาบัติทุกกฏ ๒ ตัว....................................................................... ๓๐๕ สิกขาบทที่ ๕ : รับจีวรจากภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ.................................................................................................................... ๓๐๙ สิกขาบทที่ ๖ : จีวรไม่ได้ถูกชิง ไม่ช�ำรุดหรือเก่า ขอจีวรจากผู้ไม่ใช่ญาติ.................................. ๓๑๔ – กรณีได้จีวรมาจากทรัพย์ของตน....................................................................................................................................................... ๓๑๗ สิกขาบทที่ ๗ : จีวรถูกชิงไปหรือหาย ถ้าเขาปวารณาด้วยผ้าจ�ำนวนมาก ถ้ายินดีรับมากกว่าที่ถูกชิงไป ก็ต้องอาบัติ............................................................................... ๓๑๙ สิกขาบทที่ ๘ : เขาจะถวายจีวร ถ้าเขาไม่ได้ปวารณาไว้ แต่ภิกษุเข้าไปจัดแจงเพื่อให้ได้จีวรดี ๆ.......................................................................................... ๓๒๕ สิกขาบทที่ ๙ : คน ๒ คนที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่คนที่ปวารณาไว้จะถวายจีวร ภิกษุรู้แล้วไปบอกให้เขารวมทรัพย์จัดหาจีวรดี ๆ........................................................... ๓๒๙ สิกขาบทที่ ๑๐ : ภิกษุทรงจีวรจากไวยาวัจจกรเกินจากข้อก�ำหนด........................................................... ๓๓๔ – อธิบายทวงด้วยวาจา และทวงด้วยการยืน....................................................................................................................... ๓๓๖ – ไวยาวัจจกร คือ กัปปิยการก................................................................................................................................................................... ๓๓๘ – ไวยาวัจจกรที่ภิกษุแสดง ๔ ประเภท........................................................................................................................................... ๓๓๙ – ไวยาวัจจกรที่ทูตแสดง ๔ ประเภท................................................................................................................................................. ๓๔๐ ๏ นิสสัคคีย์โกสิยวรรค ๑๐ สิกขาบท สิกขาบทที่ ๑ : ท�ำสันถัตเจือด้วยเส้นไหม................................................................................................................................... ๓๔๓ สิกขาบทที่ ๒ : ท�ำสัตถัตเจือด้วยขนแกะสีด�ำล้วน......................................................................................................... ๓๔๖ สิกขาบทที่ ๓ : ท�ำสันถัตใหม่ผสมขนแกะสีด�ำเกิน ๒ ส่วน.............................................................................. ๓๔๘ สิกขาบทที่ ๔ : ท�ำสันถัตใหม่ใช้สอยไม่ถึง ๖ ปี.................................................................................................................. ๓๕๑ สิกขาบทที่ ๕ : ท�ำสันถัตใหม่ไม่น�ำสันถัตเก่ามาผสม............................................................................................... ๓๕๕ ส า ร บั ญ


(10) พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (พระวินัย ๒๒๗ ข้อ : อุทเทสที่ถูกยกขึ้นแสดงในภิกขุปาติโมกข์) สิกขาบทที่ ๖ : (เอฬกโลมสิกขาบท) น�ำขนเจียมไปด้วยมือภิกษุเองเกิน ๓ โยชน์..... ๓๕๙ สิกขาบทที่ ๗ : ใช้ภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติซักย้อมสางขนเจียม.............................................................................. ๓๖๓ สิกขาบทที่ ๘ : รับหรือใช้ให้ผู้อื่นรับเงินทอง หรือยินดีที่คนอื่นเก็บเงินทองไว้ให้........... ๓๖๖ – วินิจฉัยกรณียินดีเงินทองที่เขาเก็บไว้ให้................................................................................................................................ ๓๗๐ – เงินและทองจัดเป็นรูปิยะ.............................................................................................................................................................................. ๓๗๒ สิกขาบทที่ ๙ : ใช้รูปิยะแลกเปลี่ยนกับรูปิยะและอรูปิยะ................................................................................... ๓๗๓ – ความแตกต่างของสิกขาบทนี้กับสิกขาบทที่ ๑๐..................................................................................................... ๓๗๙ สิกขาบทที่ ๑๐ : ใช้กัปปิยภัณฑ์ซื้อขายกัปปิยภัณฑ์กับผู้ที่ไม่ใช่สหธรรมิก ๕........................ ๓๘๑ – วินิจฉัยวิธีแลกเปลี่ยนที่เข้าหลักการซื้อขาย.................................................................................................................... ๓๘๔ ๏ นิสสัคคีย์ปัตตวรรค ๑๐ สิกขาบท สิกขาบทที่ ๑ : เก็บอติเรกบาตรเกิน ๑๐ วัน........................................................................................................................... ๓๘๗ – วินิจฉัยขนาดของบาตร.................................................................................................................................................................................... ๓๙๐ – วิธีอธิษฐานบาตร...................................................................................................................................................................................................... ๓๙๑ – วิธีวิกัปบาตร...................................................................................................................................................................................................................... ๓๙๒ สิกขาบทที่ ๒ : บาตรมีรอยซ่อมแซมน้อยกว่า ๕ แห่ง ขอบาตรใบใหม่ไม่ได้...................... ๓๙๕ – วิธีเปลี่ยนบาตรที่เป็นนิสสัคคีย์............................................................................................................................................................ ๓๙๗ สิกขาบทที่ ๓ : เก็บเภสัช ๕ ชนิดไว้เกิน ๗ วัน.................................................................................................................... ๔๐๒ – วิธีปฏิบัติต่อเภสัช ๕............................................................................................................................................................................................. ๔๐๕ – ทรงอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ ๗ เรื่อง.............................................................................................................................................. ๔๐๙ สิกขาบทที่ ๔ : แสวงหาผ้าอาบนํ้าฝนก่อนก�ำหนด ท�ำนุ่งก่อนก�ำหนด.......................................... ๔๑๒ – อธิบายเขต ๓ เขต ๔ ของผ้าอาบนํ้าฝน................................................................................................................................. ๔๑๕ – อธิบายปิฏฐิสมัย และกุจฉิสมัย.......................................................................................................................................................... ๔๑๙ – การเลื่อนฤดูฝนออกไป..................................................................................................................................................................................... ๔๒๐ – เวลาใดควรอธิษฐานผ้าอาบนํ้าฝน................................................................................................................................................. ๔๒๐ สิกขาบทที่ ๕ : ภิกษุให้จีวรแก่ภิกษุไปแล้ว ต่อมาโกรธ จึงชิงจีวรคืนมา..................................... ๔๒๓ สิกขาบทที่ ๖ : ภิกษุขอด้ายมาให้ช่างที่เป็นอกัปปิยะทอเป็นจีวรให้................................................. ๔๒๘ – อธิบายช่างทอเป็นอกัปปิยะ–ด้ายเป็นอกัปปิยะ.................................................................................................................๔๓๐ สิกขาบทที่ ๗ : ทายกจ้างให้ช่างทอผ้าเพื่อจะถวายภิกษุ เมื่อจะรู้ว่าเขาจะถวาย ภิกษุจึงเข้าไปสั่งการช่างทอ................................................ ๔๓๕


(11) สิกขาบทที่ ๘ : เก็บอัจเจกจีวรไว้เกินเขตอานิสงส์จ�ำพรรษาและอานิสงส์กฐิน................ ๔๓๙ – ความหมายของอัจเจกจีวร........................................................................................................................................................................ ๔๓๙ สิกขาบทที่ ๙ : ออกพรรษาแล้ว ภิกษุจะอยู่ในเสนาสนะป่าที่มีโจร สามารถฝากไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่งไว้ในละแวกบ้านได้ ๖ คืน................... ๔๔๕ – เมื่อภิกษุประกอบด้วยองค์ ๔ จึงฝากจีวรในละแวกบ้านได้ ๖ คืน.......................................... ๔๔๙ – บทสรุปสาสังกสิกขาบท.................................................................................................................................................................................. ๔๕๐ สิกขาบทที่ ๑๐ : น้อมลาภที่เขาจะถวายสงฆ์มาเป็นของตน.............................................................................. ๔๕๔ ค�ำสละสิ่งของที่เป็นนิสสัคคีย์และค�ำให้คืน........................................................................................................................... ๔๕๙ ปาจิตตีย์ ๙๒ สิกขาบท ๏ ปาจิตตีย์มุสาวาทวรรค ๑๐ สิกขาบท สิกขาบทที่ ๑ : ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ก็ยังพูดเท็จ........................................................................................................................................... ๔๗๑ – กล่าวปูรณกถาก็จัดเป็นมุสาวาท..................................................................................................................................................... ๔๗๔ สิกขาบทที่ ๒ : พูดโอมสวาทะ....................................................................................................................................................................... ๔๗๕ – พูดล้อ พูดเล่น ต้องอาบัติทุพภาสิต...................................................................................................................................๔๗๖,๔๗๘ สิกขาบทที่ ๓ : น�ำค�ำเปสุญญะไปบอก.......................................................................................................................................... ๔๘๑ สิกขาบทที่ ๔ : (ปทโสธัมมสิกขาบท) ให้อนุปสัมบันกล่าวธรรมทุก ๆ บท พร้อมกับตัวภิกษุเอง................................................................................................................................................... ๔๘๕ – ภาษิต ๔ อย่าง.............................................................................................................................................................................................................. ๔๘๘ สิกขาบทที่ ๕ : นอนในที่มุงที่บังเดียวกับอนุปสัมบันเกิน ๓ คืน.............................................................. ๔๙๒ – อธิบายลักษณะการมุงการบัง............................................................................................................................................................... ๔๙๕ – นอนร่วมกับสัตว์ดิรัจฉานเกิน ๓ คืนก็ต้องอาบัติ..................................................................................................... ๔๙๖ สิกขาบทที่ ๖ : นอนในที่มุงบังเดียวกับผู้หญิง..................................................................................................................... ๔๙๙ สิกขาบทที่ ๗ : แสดงธรรมแก่มาตุคามเกิน ๖ บท........................................................................................................ ๕๐๒ สิกขาบทที่ ๘ : (ภูตโรจนสิกขาบท) บอกอุตตริมนุสสธรรม ที่บรรลุจริงแก่คนที่ไม่ใช่ภิกษุ ภิกษุณี.............................................................................................. ๕๐๖ – เหตุผลที่อนาบัติไม่มีภิกษุวิกลจริต เป็นต้น...................................................................................................................... ๕๐๙ – สิกขาบทนี้ล่วงละเมิดด้วยจิต ๒........................................................................................................................................................ ๕๑๐ สิกขาบทที่ ๙ : บอกวัตถุและอาบัติสังฆาทิเสสของภิกษุอื่นแก่อนุปสัมบัน............................ ๕๑๑ – บอกได้ถ้าได้รับสมมติจากสงฆ์........................................................................................................................................................... ๕๑๒ ส า ร บั ญ


(12) พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (พระวินัย ๒๒๗ ข้อ : อุทเทสที่ถูกยกขึ้นแสดงในภิกขุปาติโมกข์) สิกขาบทที่ ๑๐ : ขุดหรือให้ขุดดินแท้........................................................................................................................................................ ๕๑๖ – ชาตปฐวีมี ๓ ประเภท......................................................................................................................................................................................... ๕๑๘ ๏ ปาจิตตีย์ภูตคามวรรค ๑๐ สิกขาบท สิกขาบทที่ ๑ : ตัดท�ำลายภูตคามพีชคาม.................................................................................................................................. ๕๒๒ – พรากภูตคามเป็นอาบัติปาจิตตีย์ พรากพีชคามเป็นอาบัติทุกกฏ................................................. ๕๒๕ – การท�ำกัปปิยะก่อนภิกษุฉัน และวัตถุที่ใช้ท�ำกัปปิยะ....................................................................................... ๕๒๙ สิกขาบทที่ ๒ : พูดกลบเกลื่อนและไม่ยอมให้การระหว่างสงฆ์สอบสวน................................... ๕๓๓ สิกขาบทที่ ๓ : เพ่งโทษและติเตียนภิกษุที่สงฆ์แต่งตั้งให้ท�ำหน้าที่แทนสงฆ์....................... ๕๓๘ สิกขาบทที่ ๔ : น�ำที่นั่งที่นอนของสงฆ์มาใช้กลางแจ้งแล้วไม่เก็บ......................................................... ๕๔๒ สิกขาบทที่ ๕ : ปูอุปกรณ์การนอนในวิหารของสงฆ์แล้วไม่เก็บ................................................................ ๕๔๘ สิกขาบทที่ ๖ : เข้าไปนั่งนอนในที่อยู่ของสงฆ์ หมายจะให้ภิกษุผู้อยู่ก่อนย้ายออกไป............................................................................................. ๕๕๔ สิกขาบทที่ ๗ : ฉุดดึงผลักไสภิกษุอื่นให้ออกจากวิหารของสงฆ์............................................................... ๕๕๘ สิกขาบทที่ ๘ : นั่งนอนบนเตียงตั่งบนเวหาสกุฎีในวิหารของสงฆ์........................................................ ๕๖๒ – อธิบายเวหาสกุฏิ........................................................................................................................................................................................................ ๕๖๓ สิกขาบทที่ ๙ : ภิกษุสั่งการให้มุงหลังคาที่อยู่ของตนเกิน ๓ ชั้น.............................................................. ๕๖๕ สิกขาบทที่ ๑๐ : รู้อยู่ว่านํ้านั้นมีตัวสัตว์ ก็ยังเทหรือรดลงบนหญ้าบนดิน เป็นต้น............ ๕๖๙ ๏ ปาจิตตีย์โอวาทวรรค ๑๐ สิกขาบท สิกขาบทที่ ๑ : ไม่ได้รับแต่งตั้งจากสงฆ์ แต่สอนครุธรรม ๘ แก่ภิกษุณี...................................... ๕๗๓ – คุณสมบัติภิกษุผู้สอนภิกษุณี.................................................................................................................................................................. ๕๗๓ – ครุธรรม ๘............................................................................................................................................................................................................................. ๕๗๔ สิกขาบทที่ ๒ : ภิกษุได้รับแต่งตั้งจากสงฆ์ สอนภิกษุณีหลังพระอาทิตย์ตก......................... ๕๗๙ สิกขาบทที่ ๓ : เข้าไปสอนในที่อยู่ของภิกษุณี...................................................................................................................... ๕๘๑ สิกขาบทที่ ๔ : ภิกษุติเตียนภิกษุที่สงฆ์แต่งตั้งให้สอนภิกษุณี.................................................................... ๕๘๔ สิกขาบทที่ ๕ : ภิกษุให้จีวรแก่ภิกษุณีผู้ไม่ใช่ญาติ......................................................................................................... ๕๘๗ สิกขาบทที่ ๖ : ภิกษุเย็บหรือใช้ให้คนอื่นเย็บจีวรให้ภิกษุณี............................................................................ ๕๙๐ สิกขาบทที่ ๗ : (สังวิธานสิกขาบท / อัทธานสิกขาบท = อัทธานสมุฏฐาน) ภิกษุและภิกษุณีชักชวนกันเดินทางไกล....................................................................................... ๕๙๒


(13) – ก�ำหนดหมู่บ้านชั่วไก่บินตก........................................................................................................................................................................ ๕๙๔ สิกขาบทที่ ๘ : ภิกษุและภิกษุณีชักชวนกันโดยสารเรือ.......................................................................................... ๕๙๖ สิกขาบทที่ ๙ : ฉันโภชนะ ๕ ที่ภิกษุณีแนะน�ำให้ถวาย.......................................................................................... ๖๐๐ สิกขาบทที่ ๑๐ : นั่งในที่ลับกับภิกษุณี................................................................................................................................................... ๖๐๒ ๏ ปาจิตตีย์โภชนวรรค ๑๐ สิกขาบท สิกขาบทที่ ๑ : ไม่ป่วยไข้ ฉันโภชนะ ๕ ในเรือนพักแรมเกิน ๑ ครั้ง.................................................. ๖๐๔ – ไม่ต้องอาบัติ ถ้าไม่ฉันโภชนะ ๕......................................................................................................................................................... ๖๐๗ สิกขาบทที่ ๒ : ภิกษุอย่างน้อย ๔ รูป รับนิมนต์ฉันโภชนะ ๕ เรียกว่าฉันโภชนะเป็นหมู่..................................................................................................................................... ๖๑๐ – กรณีภิกษุรูปที่ ๔ ร่วมฉันด้วย แต่ทั้ง ๔ รูปไม่ต้องอาบัติ.............................................................................. ๖๑๔ – วิธีนิมนต์ภิกษุโดยภิกษุไม่ต้องอาบัติ........................................................................................................................................... ๖๑๕ สิกขาบทที่ ๓ : รับนิมนต์ฉันก่อน แต่ไปฉันของคนที่นิมนต์ทีหลัง.......................................................... ๖๑๘ – อธิบายการวิกัปภัตตาหาร........................................................................................................................................................................... ๖๒๐ – ข้อสังเกตกรณีวิกัปภัต........................................................................................................................................................................................ ๖๒๓ สิกขาบทที่ ๔ : รับขนมที่เตรียมบรรณาการ หรือรับมันโถเกิน ๓ บาตร...................................... ๖๒๖ สิกขาบทที่ ๕ : ก�ำลังฉันโภชนะ ๕ เขาจะถวายเพิ่มก็ห้าม เมื่อเปลี่ยนอิริยาบถแล้ว ถ้าจะฉันอีกต้องท�ำภัตให้เป็นเดน........................... ๖๓๑ – การห้ามภัตส�ำเร็จด้วยองค์ ๕................................................................................................................................................................. ๖๓๓ – ค�ำว่า “ปวารณา” มี ๔ ประเภท........................................................................................................................................................... ๖๓๔ – สิ่งใดจัดเป็นโภชนะ ๕......................................................................................................................................................................................... ๖๓๕ – ห้ามอกัปปิยมังสะ ไม่จัดเป็นการห้ามภัต............................................................................................................................ ๖๓๗ – อธิบายการฉันและการห้ามโภชนะ ๕........................................................................................................................................ ๖๓๗ – อิริยาบถในการห้ามภัต..................................................................................................................................................................................... ๖๓๘ – อธิบาย “อนติริตตะ–ไม่เป็นเดน”....................................................................................................................................................... ๖๓๙ – อธิบาย “อติริตตะ–เป็นเดน”..................................................................................................................................................................... ๖๔๑ สิกขาบทที่ ๖ : รู้ว่าภิกษุห้ามภัตแล้ว ยังน�ำภัตไม่เป็นเดนเข้าไปให้ฉัน..................................... ๖๔๕ สิกขาบทที่ ๗ : ฉันอาหารยามวิกาล..................................................................................................................................................... ๖๔๙ – อธิบายขาทนียะ–ของเคี้ยวประเภทต่าง ๆ.......................................................................................................................... ๖๕๑ – นมจัดเป็นปณีตโภชนะ ไม่ควรดื่มในเวลาวิกาล....................................................................................................... ๖๕๓ ส า ร บั ญ


(14) พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (พระวินัย ๒๒๗ ข้อ : อุทเทสที่ถูกยกขึ้นแสดงในภิกขุปาติโมกข์) – เภสัช ๕ ฉันในเวลาวิกาลได้...................................................................................................................................................................... ๖๕๓ – เครื่องดื่มท�ำจากถั่ว ไม่ควรในเวลาวิกาล............................................................................................................................. ๖๕๔ สิกขาบทที่ ๘ : ฉันยาวกาลิก หรือยามกาลิกที่เป็นสันนิธิ................................................................................... ๖๕๕ – อธิบายกาลิก ๔............................................................................................................................................................................................................ ๖๕๘ สิกขาบทที่ ๙ : ขอโภชนะประณีต ๙ ชนิดมาฉันทั้งที่ไม่เจ็บป่วย........................................................... ๖๖๐ – ขอโภชนะประณีตล้วน ๆ เพื่อใช้เป็นเภสัช ต้องอาบัติตามมหานามสิกขาบท – ขอโภชนะประณีต ๔ อย่าง (ระคนด้วยข้าวสุก) ต้องอาบัติตามสูโปทนวิญญัติ – ขอโภชนะ (๕) ระคนด้วยโภชนะประณีต ๙ ต้องอาบัติตามสิกขาบทนี้................................ ๖๖๔ สิกขาบทที่ ๑๐ : กลืนกินกาลิก ๔ ที่เขายังไม่ได้ประเคน.......................................................................................... ๖๖๕ – ทินฺนํ–ให้/ประเคน, อทินฺนํ–ไม่ให้/ยังไม่ประเคน.......................................................................................................... ๖๖๗ – การรับส�ำเร็จด้วยองค์ประกอบ ๕ ฉันไม่ต้องอาบัติ............................................................................................. ๖๖๘ – ภิกษุรับประเคนแล้ว มีคนไปจับต้อง ไม่จ�ำเป็นต้องประเคนใหม่................................................... ๖๗๐ – การขาดประเคนมีองค์ประกอบ ๗.................................................................................................................................................. ๖๗๑ – กรณีหยิบของที่ตกขึ้นมาฉัน...................................................................................................................................................................... ๖๗๒ – อธิบายอัพโพหาริก................................................................................................................................................................................................... ๖๗๓ – อธิบายของเป็นอุคคหิตก์ – ไม่เป็นอุคคหิตก์.................................................................................................................. ๖๗๔ – อธิบายการกระท�ำที่เป็นทุรุปจิณณะ........................................................................................................................................... ๖๗๖ ๏ ปาจิตตีย์อเจลกวรรค ๑๐ สิกขาบท สิกขาบทที่ ๑ : ให้ขาทนียะโภชนียะแก่นักบวชนอกพุทธด้วยมือของภิกษุเอง................... ๖๗๙ สิกขาบทที่ ๒ : ขับไล่ภิกษุกลับเพราะต้องการประพฤติอนาจาร............................................................. ๖๘๑ สิกขาบทที่ ๓ : เข้าไปนั่งในเรือนนอนของสามีภรรยาที่ก�ำลังถูกราคะกลุ้มรุม.................... ๖๘๕ สิกขาบทที่ ๔ : นั่งบนอาสนะที่ลับตากับมาตุคามสองต่อสอง..................................................................... ๖๘๘ สิกขาบทที่ ๕ : นั่งในที่ลับหูกับมาตุคามสองต่อสอง................................................................................................... ๖๙๑ สิกขาบทที่ ๖ : เข้าไปสู่ตระกูลที่เขานิมนต์ฉันโภชนะ ๕ โดยไม่ต้องบอกลาเพื่อนภิกษุก่อน......................................................................................................... ๖๙๔ สิกขาบทที่ ๗ : ไม่เจ็บป่วย ขอเภสัชเกินจากที่เขาปวารณากับสงฆ์ไว้........................................... ๖๙๙ สิกขาบทที่ ๘ : ไปดูกองทัพที่ยกออกแล้ว..................................................................................................................................... ๗๐๒ สิกขาบทที่ ๙ : เมื่อจ�ำเป็นต้องพักในกองทัพ พักได้ไม่เกิน ๓ คืน.......................................................... ๗๐๖ สิกขาบทที่ ๑๐ : พักในกองทัพแล้วไปดูสนามรบ เป็นต้น........................................................................................ ๗๐๘


(15) ๏ ปาจิตตีย์สุราปานวรรค ๑๐ สิกขาบท สิกขาบทที่ ๑ : ดื่มสุราเมรัย............................................................................................................................................................................... ๗๑๑ สิกขาบทที่ ๒ : ใช้นิ้วมือจี้หมายให้ภิกษุหัวเราะ................................................................................................................. ๗๑๔ สิกขาบทที่ ๓ : เล่นนํ้าลึกเกินข้อเท้า..................................................................................................................................................... ๗๑๗ สิกขาบทที่ ๔ : ไม่เอื้อเฟื้อเมื่อถูกภิกษุตักเตือนด้วยสิกขาบท...................................................................... ๗๒๐ สิกขาบทที่ ๕ : จงใจท�ำให้ภิกษุตกใจกลัว................................................................................................................................... ๗๒๔ สิกขาบทที่ ๖ : ก่อไฟทั้งที่ไม่เจ็บป่วยและไม่มีเหตุจ�ำเป็น.................................................................................. ๗๒๖ สิกขาบทที่ ๗ : อาศัยในมัชฌิมประเทศ ยังไม่ถึง ๑๕ วัน อาบนํ้าไม่ได้...................................... ๗๒๙ สิกขาบทที่ ๘ : นุ่งห่มจีวรที่ยังไม่ได้ท�ำพินทุกัปปะด้วยสี ๓ สี..................................................................... ๗๓๓ สิกขาบทที่ ๙ : วิกัปจีวรด้วยเองกับสหธรรมิก ๕ แต่น�ำมาใช้สอยโดยยังไม่ได้ถอนวิกัป............................................................................................... ๗๓๖ สิกขาบทที่ ๑๐ : ซ่อนบริขารของภิกษุอื่น........................................................................................................................................... ๗๓๙ ๏ ปาจิตตีย์สัปปาณกวรรค ๑๐ สิกขาบท สิกขาบทที่ ๑ : จงใจฆ่าสัตว์ดิรัจฉาน................................................................................................................................................. ๗๔๒ สิกขาบทที่ ๒ : รู้ว่านํ้ามีสัตว์มีชีวิตอยู่ ก็ยังบริโภค (ดื่ม/ล้าง)....................................................................... ๗๔๔ สิกขาบทที่ ๓ : รู้อยู่ว่าอธิกรณ์สงบแล้วตามธรรม ก็ยังรื้อฟื้น....................................................................... ๗๔๖ สิกขาบทที่ ๔ : รู้อยู่ว่าภิกษุรูปใดต้องอาบัติสังฆาทิเสส ก็ยังช่วยปกปิด..................................... ๗๔๙ สิกขาบทที่ ๕ : รู้ว่ากุลบุตรอายุยังไม่ถึง ๒๐ ปี ก็ยังอุปสมบทให้........................................................... ๗๕๒ – ๒๐ ปี นับรวมตอนยังอยู่ในครรภ์ได้............................................................................................................................................. ๗๕๔ สิกขาบทที่ ๖ : (เถยยสัตถสิกขาบท = เถยยสัตถสมุฏฐาน) รู้อยู่ว่าพวกกองเกวียน เป็นขโมย ก็ยังชักชวนและเดินทางไกลไปกับเขา........................................................... ๗๕๖ สิกขาบทที่ ๗ : ชักชวนและเดินทางไกลร่วมกับมาตุคาม.................................................................................... ๗๕๙ สิกขาบทที่ ๘ : กล่าวตู่ค�ำสอนของพระพุทธเจ้า สงฆ์สวดสมนุภาสน์แล้วก็ยังไม่สละความเห็นนั้น........................................................ ๗๖๒ – อันตรายิกธรรม ๕...................................................................................................................................................................................................... ๗๖๔ สิกขาบทที่ ๙ : ภิกษุเข้าไปคบหา อยู่ร่วมนอนร่วมกับภิกษุผู้กล่าวตู่พระพุทธเจ้า........ ๗๖๗ สิกขาบทที่ ๑๐ : สามเณรกล่าวตู่พระพุทธเจ้า สงฆ์ลงทัณฑกรรมสามเณรนั้น ภิกษุรู้อยู่แล้ว ก็ยังเข้าไปคบหา................................................................................................................... ๗๗๐ ส า ร บั ญ


(16) พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (พระวินัย ๒๒๗ ข้อ : อุทเทสที่ถูกยกขึ้นแสดงในภิกขุปาติโมกข์) ๏ ปาจิตตีย์สหธัมมิกวรรค ๑๒ สิกขาบท สิกขาบทที่ ๑ : ภิกษุอื่นยกสิกขาบทขึ้นตักเตือนความประพฤติ ภิกษุโต้แย้งว่าจะยังไม่ปฏิบัติตาม จนกว่าจะได้สอบถามภิกษุผู้ฉลาดในวินัยก่อน................................................................ ๗๗๔ สิกขาบทที่ ๒ : ติเตียนสิกขาบททั้งหลายให้ภิกษุอื่นฟัง......................................................................................... ๗๗๗ – ภิกษุทรงวินัยย่อมได้อานิสงส์ ๕........................................................................................................................................................ ๗๗๙ – อาการต้องอาบัติ ๖................................................................................................................................................................................................ ๗๗๙ – ภิกษุทรงวินัยย่อมได้อานิสงส์ ๖........................................................................................................................................................ ๗๘๑ สิกขาบทที่ ๓ : ฟังภิกขุปาติโมกข์หลายครั้ง แต่แสร้งท�ำเป็นไม่รู้ว่ามีสิกขาบทข้อนั้นข้อนี้.......................................................................... ๗๘๓ สิกขาบทที่ ๔ : ท�ำร้ายร่างกายภิกษุ...................................................................................................................................................... ๗๘๗ สิกขาบทที่ ๕ : เงื้อมือจะท�ำร้ายภิกษุ................................................................................................................................................. ๗๙๐ สิกขาบทที่ ๖ : ใส่ความภิกษุอื่นว่าต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทั้ง ๆ ที่ไม่มีมูล.............................. ๗๙๓ สิกขาบทที่ ๗ : จงใจก่อความร�ำคาญให้ภิกษุเดือดร้อนใจ................................................................................ ๗๙๕ สิกขาบทที่ ๘ : แอบฟังค�ำพูดของพวกภิกษุที่ทะเลาะกัน เพราะไม่ต้องการให้เรื่องสงบ......................................................................................................................... ๗๙๗ สิกขาบทที่ ๙ : ให้ฉันทะเพื่อร่วมกับสงฆ์ท�ำสังฆกรรม ต่อมากลับต�ำหนิสังฆกรรมนั้น.................................................................................................................... ๘๐๑ – อธิบายสังฆกรรม ๔ ประเภทใหญ่.................................................................................................................................................. ๘๐๓ สิกขาบทที่ ๑๐ : ร่วมท�ำสังฆกรรมอยู่ ต้องการท�ำกรรมให้เสียหาย จึงลุกออกไปโดยไม่ให้ฉันทะ.......................................................................................................................... ๘๐๕ สิกขาบทที่ ๑๑ : ร่วมกับสงฆ์ให้ลาภแก่ภิกษุผู้ท�ำหน้าที่แทนสงฆ์ ต่อมากลับติเตียนพวกภิกษุที่ยกลาภให้....................................................................................... ๘๐๘ สิกขาบทที่ ๑๒ : น้อมลาภของสงฆ์ไปให้บุคคล คือ ภิกษุรูปนั้น ๆ พวกนั้น ๆ....................... ๘๑๑ ๏ ปาจิตตีย์รตนวรรค ๑๐ สิกขาบท สิกขาบทที่ ๑ : ภิกษุเข้าไปในพระต�ำหนักที่ขัตติยราชาและพระมเหสีประทับ โดยที่เขายังไม่ได้นิมนต์ให้เข้าไป............................................................................................................. ๘๑๔ – อธิบาย “พระราชาผู้เป็นขัตติยะคือใคร?”........................................................................................................................... ๘๑๕


(17) สิกขาบทที่ ๒ : ภิกษุเก็บรัตนะ ๑๐ หรือสิ่งของที่จัดเป็นรัตนะ ซึ่งตกอยู่นอกอาราม หรือนอกสถานที่ที่ภิกษุพัก.................................................................................................................................. ๘๑๘ สิกขาบทที่ ๓ : เข้าไปในหมู่บ้านในเวลาวิกาล โดยไม่บอกแก่ภิกษุอื่นก่อน........................... ๘๒๔ – อธิบายภิกษุที่ชื่อว่า “มีอยู่” อันจะต้องบอกลา............................................................................................................. ๘๒๕ สิกขาบทที่ ๔ : ท�ำเองหรือใช้ให้ท�ำกล่องเข็มด้วยกระดูก งา หรือเขาสัตว์................................ ๘๒๗ สิกขาบทที่ ๕ : ท�ำเองหรือใช้ให้ท�ำเตียงหรือตั่งขาสูงกว่า ๘ นิ้วพระสุคต.................................. ๘๓๐ สิกขาบทที่ ๖ : ท�ำเองหรือใช้ให้ท�ำเตียงหรือตั่งหุ้มด้วยนุ่น............................................................................... ๘๓๓ สิกขาบทที่ ๗ : ท�ำเองหรือใช้ให้ท�ำนิสีทนะเกินขนาดที่ทรงก�ำหนดไว้.............................................. ๘๓๖ สิกขาบทที่ ๘ : ท�ำเองหรือใช้ให้ท�ำผ้าปิดฝีเกินขนาดที่ทรงก�ำหนดไว้.............................................. ๘๓๙ สิกขาบทที่ ๙ : ท�ำเองหรือใช้ให้ท�ำผ้าอาบนํ้าฝนเกินขนาดที่ทรงก�ำหนดไว้............................ ๘๔๒ สิกขาบทที่ ๑๐ : ท�ำเองหรือใช้ให้ท�ำจีวรขนาดเท่าจีวรพระสุคต.................................................................... ๘๔๔ ๏ ปาฏิเทสนียะ ๔ สิกขาบท สิกขาบทที่ ๑ : รับขาทนียะโภชนียะจากมือภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ ขณะภิกษุอยู่ในละแวกบ้าน............................................................................................................................. ๘๔๖ สิกขาบทที่ ๒ : รับนิมนต์ฉันในเรือนทายก มีภิกษุณีสั่งการให้ทายกถวายภิกษุรูปนั้นรูปนี้ ภิกษุไม่ห้ามปราม แต่ยังรับมากลืนกิน........................................................................................... ๘๕๐ สิกขาบทที่ ๓ : คนในตระกูลที่สงฆ์สมมติว่าเป็นเสกขตระกูล ไม่ได้นิมนต์ และภิกษุก็ไม่เจ็บป่วย เข้าไปในเขตเรือนแล้วรับขาทนียะโภชนียะมาฉัน.......................................................... ๘๕๔ สิกขาบทที่ ๔ : อยู่ในเสนาสนะป่าที่มีโจร รับขาทนียะโภชนียะที่เขาน�ำมาถวายโดยไม่แจ้งล่วงหน้า................................ ๘๕๘ เสขิยกัณฑ์ ๗๕ สิกขาบท ๏ ปริมัณฑลวรรค ๑๐ สิกขาบท ๑. ปริมัณฑลสิกขาบท : นุ่งให้เป็นปริมณฑล......................................................................................... ๘๖๕ ๒. ทุติยปริมัณฑลสิกขาบท : ห่มให้เป็นปริมณฑล....................................................................................... ๘๖๖ – เสขิยะ ๗๕ สิกขาบท จัดเข้าในปาติโมกขุทเทสด้วย.......................................................................................... ๘๖๘ – ไม่ห่มอย่างคฤหัสถ์และปริพาชก เป็นต้น ชื่อว่าห่มเป็นปริมณฑล............................................... ๘๖๙ ส า ร บั ญ


(18) พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (พระวินัย ๒๒๗ ข้อ : อุทเทสที่ถูกยกขึ้นแสดงในภิกขุปาติโมกข์) ๓. สุปปฏิจฉันนสิกขาบท : ปกปิดกายเข้าไปในละแวกบ้าน.............................................. ๘๗๐ ๔. ทุติยสุปปฏิจฉันนสิกขาบท : ปกปิดกายนั่งในละแวกบ้าน......................................................... ๘๗๑ ๕. สุสังวุตสิกขาบท : ส�ำรวมมือเท้าเข้าไปในละแวกบ้าน.................................... ๘๗๒ ๖. ทุติยสุสังวุตสิกขาบท : ส�ำรวมมือเท้านั่งในละแวกบ้าน............................................... ๘๗๓ ๗. โอกขิตตจักขุสิกขาบท : เดินเข้าไปในละแวกบ้าน พึงมองดูชั่วแอก.............. ๘๗๔ ๘. ทุติยโอกขิตตจักขุสิกขาบท : นั่งในละแวกบ้าน พึงทอดสายตาลง................................ ๘๗๔ ๙. อุกขิตตกสิกขาบท : ไม่เวิกผ้าเข้าไปในละแวกบ้าน.................................................... ๘๗๖ ๑๐. ทุติยอุกขิตตกสิกขาบท : ไม่เวิกผ้านั่งในละแวกบ้าน............................................................... ๘๗๖ ๏ อุชชัคฆิกวรรค ๑๐ สิกขาบท ๑. อุชชัคฆิกสิกขาบท : ไม่หัวเราะเสียงดังเข้าไปในละแวกบ้าน....................... ๘๗๘ ๒. ทุติยอุชชัคฆิกสิกขาบท : นั่งในละแวกบ้าน ไม่หัวเราะเสียงดัง............................... ๘๗๙ ๓. อุจจาสัททสิกขาบท : ไม่ท�ำเสียงดังเข้าไปในละแวกบ้าน...................................... ๘๘๐ ๔. ทุติยอุจจาสัททสิกขาบท : นั่งอยู่ในละแวกบ้าน ไม่พึงท�ำเสียงดัง........................... ๘๘๐ ๕. กายัปปจาลกสิกขาบท : ไม่เดินโยกกายไปในละแวกบ้าน............................................ ๘๘๒ ๖. ทุติยกายัปปจาลกสิกขาบท : ไม่นั่งโยกกายในละแวกบ้าน......................................................... ๘๘๓ ๗. พาหุปปจาลกสิกขาบท : ไม่เดินแกว่งแขนไปในละแวกบ้าน....................................... ๘๘๔ ๘. ทุติยพาหุปปจาลกสิกขาบท : ไม่นั่งแกว่งแขนในละแวกบ้าน................................................... ๘๘๕ ๙. สีสัปปจาลกสิกขาบท : ไม่เดินโยกศีรษะไปในละแวกบ้าน....................................... ๘๘๖ ๑๐. ทุติยสีสัปปจาลกสิกขาบท : ไม่นั่งโยกศีรษะในละแวกบ้าน.................................................... ๘๘๗ ๏ ขัมภกตวรรค ๑๐ สิกขาบท ๑. ขัมภกตสิกขาบท : ไม่เดินเท้าสะเอวไปในละแวกบ้าน..................................... ๘๘๘ ๒. ทุติยขัมภกตสิกขาบท : ไม่นั่งเท้าสะเอวในละแวกบ้าน................................................. ๘๘๙ ๓. โอคุณฐิตสิกขาบท : ไม่คลุมศีรษะเดินไปในละแวกบ้าน.................................... ๘๙๐ ๔. ทุติยโอคุณฐิตสิกขาบท : ไม่คลุมศีรษะนั่งไปในละแวกบ้าน....................................... ๘๙๐ ๕. อุกกุฏิกสิกขาบท : ไม่เดินกระโหย่งเท้าไปในละแวกบ้าน............................. ๘๙๑ ๖. ปัลลัตถิกสิกขาบท : ไม่นั่งรัดเข่าในละแวกบ้าน............................................................... ๘๙๒ ๗. สักกัจจปฏิคคหณสิกขาบท : รับบิณฑบาตโดยเคารพ...................................................................... ๘๙๓ ๘. ปัตตสัญญีปฏิคคหณสิกขาบท : ขณะรับอาหารมองดูแต่ในบาตร............................................ ๘๙๔


(19) ๙. สมสูปกปฏิคคหณสิกขาบท : รับแกงพอเหมาะสมกับข้าวสุก................................................. ๘๙๕ ๑๐. สมติตติกสิกขาบท : ไม่รับบิณฑบาตล้นบาตร................................................................... ๘๙๗ ๏ สักกัจจวรรค ๑๐ สิกขาบท ๑. สักกัจจปิณฑปาตสิกขาบท : ฉันอาหารบิณฑบาตด้วยความเคารพ.......................... ๘๙๙ ๒. ปัตตสัญญีภุญชนสิกขาบท : ขณะฉัน มองดูแต่ในบาตร.............................................................. ๙๐๐ ๓. สปทานสิกขาบท : ฉันไปตามล�ำดับ ไม่ขุดเจาะข้าว............................................ ๙๐๑ ๔. สมสูปกบิณฑปาตสิกขาบท : ฉันกับข้าวเหมาะสมกับข้าวสุก................................................ ๙๐๒ ๕. ถูปกตกสิกขาบท : ไม่ฉันขยุ้มยอดข้าวลงไป..................................................................... ๙๐๓ ๖. โอทนัปปฏิจฉาทนสิกขาบท : ไม่เอาข้าวกลบกับข้าว เพราะหวังจะได้กับข้าวเพิ่ม...................................................................๙๐๔ ๗. สูโปทนวิญญัติสิกขาบท : ขอข้าวและกับข้าวมาฉัน ทั้งที่ไม่เจ็บป่วย............... ๙๐๕ ๘. อุชฌานสัญญีสิกขาบท : ไม่มองดูบาตรของภิกษุอื่น เพื่อจ้องจับผิด............ ๙๐๖ ๙. กพฬสิกขาบท : ไม่ท�ำค�ำข้าวใหญ่เกิน.............................................................................. ๙๐๗ ๑๐. อาโลปสิกขาบท : ไม่ท�ำก้อนข้าวยาว........................................................................................ ๙๐๘ ๏ กพฬวรรค ๑๐ สิกขาบท ๑. อนาหฏสิกขาบท : ไม่อ้าปากคอยค�ำข้าว.............................................................................. ๙๐๙ ๒. หัตถปักขิปนสิกขาบท : ระหว่างฉันไม่พึงสอดนิ้วมือเข้าปาก................................. ๙๑๐ ๓. สกพฬสิกขาบท : ไม่พูดขณะปากมีข้าว............................................................................... ๙๑๑ ๔. ปิณฑุเขปกสิกขาบท : ไม่โยนก้อนข้าวเข้าปาก........................................................................ ๙๑๒ ๕. กพฬาวัจเฉทกสิกขาบท : ไม่กัดค�ำข้าว........................................................................................................... ๙๑๓ ๖. อวคัณฑการกสิกขาบท : ไม่ใส่อาหารมากจนแก้มตุ่ย........................................................... ๙๑๔ ๗. หัตถนิทธูนกสิกขาบท : ไม่สลัดมือขณะฉัน........................................................................................ ๙๑๕ ๘. สิตถาวการกสิกขาบท : ไม่ท�ำเมล็ดข้าวตกขณะฉัน............................................................. ๙๑๖ ๙. ชิวหานิจฉารกสิกขาบท : ไม่แลบลิ้นขณะฉัน....................................................................................... ๙๑๗ ๑๐. จปุจปุการกสิกขาบท : ขณะฉันไม่ท�ำเสียงดังจั๊บ ๆ............................................................ ๙๑๘ ส า ร บั ญ


(20) พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (พระวินัย ๒๒๗ ข้อ : อุทเทสที่ถูกยกขึ้นแสดงในภิกขุปาติโมกข์) ๏ สุรุสุรุวรรค ๑๐ สิกขาบท ๑. สุรุสุรุการกสิกขาบท : ไม่พึงฉันอาหารเสียงดัง....................................................................... ๙๑๙ ๒. หัตนิลเลหกสิกขาบท : ไม่เลียมือขณะฉัน.......................................................................................... ๙๒๐ ๓. ปัตตนิลเลหกสิกขาบท : ขณะฉัน ไม่พึงขอดบาตร................................................................... ๙๒๑ ๔. โอฏฐนิลเลหกสิกขาบท : ไม่เลียริมฝีปากขณะฉัน....................................................................... ๙๒๒ ๕. สามิสสิกขาบท : มือเปื้อนอาหารไม่พึงรับภาชนะใส่นํ้า........................... ๙๒๓ ๖. สสิตถกสิกขาบท : ไม่พึงเทนํ้าล้างบาตรที่มีเมล็ดข้าวในละแวกบ้าน ๙๒๔ ๗. ฉัตตปาณิสิกขาบท : (=ธัมมเทสนาสิกขาบท = ธัมมเทสนาสมุฏฐาน) ไม่พึงแสดงธรรมแก่คนมีร่มในมือ........................................ ๙๒๕ ๘. ทัณฑปาณิสิกขาบท : ไม่พึงแสดงธรรมแก่คนมีไม้ในมือ......................................... ๙๒๖ ๙. สัตถปาณิสิกขาบท : ไม่พึงแสดงธรรมแก่คนมีศัสตราในมือ.......................... ๙๒๗ ๑๐. อาวุธปาณิสิกขาบท : ไม่พึงแสดงธรรมแก่คนมีอาวุธในมือ................................ ๙๒๘ ๏ ปาทุกาวรรค ๑๕ สิกขาบท ๑. ปาทุกสิกขาบท : ไม่พึงแสดงธรรมแก่คนสวมเขียงเท้า............................... ๙๓๐ ๒. อุปาหนสิกขาบท : ไม่พึงแสดงธรรมแก่คนสวมรองเท้า.................................. ๙๓๑ ๓. ยานสิกขาบท : ไม่พึงแสดงธรรมแก่คนอยู่บนยาน....................................... ๙๓๒ ๔. สยนสิกขาบท : ไม่พึงแสดงธรรมแก่คนที่นอนอยู่บนที่นอน............ ๙๓๓ ๕. ปัลลัตถิกสิกขาบท : ไม่พึงแสดงธรรมแก่คนนั่งรัดเข่า............................................ ๙๓๔ ๖. เวฐิตสิกขาบท : ไม่พึงแสดงธรรมแก่คนโพกศีรษะ......................................... ๙๓๕ ๗. โอคุณฐิตสิกขาบท : ไม่พึงแสดงธรรมแก่คนคลุมศีรษะ....................................... ๙๓๖ ๘. ฉมาสิกขาบท : ภิกษุนั่งบนพื้นดิน ไม่พึงแสดงธรรมแก่คนที่นั่ง บนอาสนะ................................................................................................................. ๙๓๗ ๙. นีจาสนสิกขาบท : ภิกษุนั่งบนอาสนะตํ่า ไม่พึงแสดงธรรมแก่คนที่นั่ง บนอาสนะที่สูงกว่า..................................................................................... ๙๓๘ ๑๐. ฐิตสิกขาบท : ภิกษุยืนไม่พึงแสดงธรรมแก่คนที่นั่งอยู่....................... ๙๓๙ ๑๑. ปัจฉโตคมนสิกขาบท : ภิกษุเดินอยู่ข้างหลัง ไม่พึงแสดงธรรม แก่คนที่เดินอยู่ข้างหน้า....................................................................... ๙๔๐ ๑๒. อุปปเถนคมนสิกขาบท : ภิกษุเดินอยู่นอกทาง ไม่พึงแสดงธรรม แก่คนที่เดินอยู่ในทาง............................................................................. ๙๔๑


(21) ๑๓. ฐิโตอุจจารสิกขาบท : ไม่พึงยืนถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ.................................... ๙๔๒ ๑๔. หริเตอุจจารสิกขาบท : ไม่พึงถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนนํ้าลายลงในที่มีของเขียว.................................... ๙๔๓ ๑๕. อุทเกอุจจารสิกขาบท : ไม่พึงถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนนํ้าลายลงในนํ้า................................................................... ๙๔๔ สรุปเสขิยะ ๗๕ สิกขาบทโดยสมุฏฐานและกิริยา เป็นต้น........................................................................... ๙๔๕ ๏ อธิกรณสมถะ ๗ – อธิบายอธิกรณ์ ๔...................................................................................................................................................................................................... ๙๔๙ – วิวาทาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะ ๒ วิธี.............................................................................................................................................. ๙๕๐ – อนุวาทาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะ ๔ วิธี........................................................................................................................................ ๙๕๒ – อาปัตตาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะ ๓ วิธี....................................................................................................................................... ๙๕๓ – กิจจาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะ ๑ วิธี.................................................................................................................................................. ๙๕๕ – สมถขันธกะ เรื่อง สัมมุขาวินัย (การระงับอธิกรณ์ในที่พร้อมหน้า).......................................... ๙๕๕ – สมถขันธกะ เรื่อง สติวินัย (วิธีระงับอธิกรณ์โดยถือสติเป็นหลัก)................................................. ๙๕๗ – สมถขันธกะ เรื่อง อมูฬหวินัย (วิธีระงับอธิกรณ์ส�ำหรับภิกษุผู้หายจากเป็นบ้า)...... ๙๕๘ – สมถขันธกะ เรื่อง ปฏิญญาตกรณะ(วิธีระงับอธิกรณ์ด้วยการกระท�ำตามที่รับ) ๙๖๐ – สมถขันธกะ เรื่อง เยภุยยสิกา(วิธีระงับอธิกรณ์ด้วยการตัดสินตามเสียงข้างมาก) ๙๖๑ – สมถขันธกะ เรื่อง ตัสสปาปิยสิกา(การตัดสินลงโทษภิกษุที่ท�ำผิดแต่ไม่ยอมรับ) ๙๖๓ – สมถขันธกะ เรื่อง ติณวัตถารกะ(วิธีระงับอธิกรณ์หมือนกลบไว้ด้วยหญ้า)............... ๙๖๕ ส า ร บั ญ


(22) พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (พระวินัย ๒๒๗ ข้อ : อุทเทสที่ถูกยกขึ้นแสดงในภิกขุปาติโมกข์)


(23) บทน�ำ : ความเป็นมาของภิกขุปาติโมกข์ พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าทรงประกาศค�ำสอนครั้งแรก ณ แคว้นกาสี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเริ่มต้นประดิษฐานพระพุทธศาสนาในแคว้นกาสี ขณะประทับ ณ อิสิปตนมิคทายวัน เขตกรุงพาราณสี โดยทรงโปรดปัญจวัคคีย์ (ภิกขุพวก ๕ มีโกณฑัญญะ เป็นต้น) และด�ำรงชีพด้วยการเที่ยวบิณฑบาตมาฉัน (= รูปแบบการด�ำรงชีพเช่นเดียวกับสมณะ ประเภทอื่น ๆ ขณะนั้นยังไม่มีสิกขาบทเกี่ยวกับการขอ – การรับบิณฑบาต) โปรดยสกุลบุตร โปรด บิดา มารดา และอดีตภรรยาของพระยสะ วันนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอันตรวาสก แล้วถือบาตรและจีวรมีพระยสะเป็นสมณะติดตามไปยังเรือนของคหบดีผู้เป็นบิดาของพระยสะ... (= รูปแบบบริขารคือการใช้ผ้า คือ ใช้ผ้านุ่ง = อันตรวาสก และผ้าห่ม = อุตราสงค์, และบริขาร คือบาตร ต่อมาจึงทรงอนุญาตไตรจีวรและผ้าประเภทต่าง ๆ ดังบันทึกในจีวรขันธกะ, วินย.มหา.ข้อ ๑๓๕-๑๗๒ เป็นต้น และขนาดและประเภทของบาตรดังบันทึกในขุททกวัตถุขันธกะ, วินย.จูฬ.ข้อ ๓๔-๕๔ เป็นต้น) จากนั้นก็ทรงโปรดเหล่าสหายของพระยสะอีก ๕๔ คน ท�ำให้มีภิกษุสาวกใน พระศาสนาแล้วจ�ำนวน ๖๐ รูป แสดงได้ว่าพระศาสนาหยั่งลงในหมู่ชนชาวกาสีแล้วจ�ำนวนมาก โดยพิจารณาจากบิดามารดาและหมู่ญาติของภิกษุชาวกาสีจ�ำนวน ๕๕ รูปนั้น ที่ต้องได้รับรู้และ ให้การสนับสนุนปัจจัย ๔ พร้อมทั้งได้ฟังธรรมจากภิกษุเหล่านั้น ทรงให้ภิกษุสาวกจาริกไปประกาศค�ำสอนตามหลักการเผยแพร่นี้ และทรงอนุญาตให้ภิกษุบวชกุลบุตรได้เอง ครั้นฤดูฝนล่วงไป พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า “เราพ้นจากบ่วง ทั้งปวงทั้งที่เป็นทิพย์ และทั้งที่เป็นของมนุษย์แล้ว แม้พวกท่านก็พ้นจากบ่วงทั้งปวงแล้ว... พระวินัย๒๒๗ข้อ อุทเทสที่ถูกยกขึ้นแสดงในภิกขุปาติโมกข์ บทน�ำ : ความเป็นมาของภิกขุปาติโมกข์


(24) พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (พระวินัย ๒๒๗ ข้อ : อุทเทสที่ถูกยกขึ้นแสดงในภิกขุปาติโมกข์) จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย...ภิกษุทั้งหลาย พวกท่านจงเที่ยวจาริกไป เพื่อประโยชน์ และความสุขแก่ชนจ�ำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก...พวกท่านอย่าได้ร่วมทางเดียวกันสอง รูป จงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจริยะ พร้อมทั้งอรรถะพร้อมทั้งพยัญชนะ ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ สัตว์ทั้งหลายที่มีธุลีในดวงตาน้อย มีอยู่ เมื่อไม่ได้ฟังธรรมก็ย่อมเสื่อม เมื่อฟังธรรมแล้วจะรู้ทั่วถึงธรรมได้ ก็มีอยู่” ภิกษุ ๖๐ รูปนั้นรับพระพุทธด�ำรัสแล้วก็จาริกไปยังถิ่นที่ท่านพิจารณาแล้วว่าจะมีผู้พร้อม รับฟังธรรมได้ ในขณะที่พระศาสดายังทรงประทับอยู่ ณ อิสิปตนมิคทายวัน ภิกษุเหล่านั้นจาริกไป และแสดงธรรมแก่ผู้ต้องการฟังธรรมแล้วเขาต้องการบวช ภิกษุเหล่านั้นจึงน�ำกุลบุตรมาเข้าเฝ้าเพื่อ ให้พระศาสดาบวชให้ ซึ่งเป็นไปได้ว่ากุลบุตรชาวพาราณสีฟังธรรมจากพระยสะและภิกษุชาวกาสี ชนบท ๕๔ รูปแล้วปรารถนาจะบวช พวกท่านจึงพากุลบุตรเหล่านั้นมาหาพระพุทธเจ้า เป็นเหตุให้ พระองค์เห็นถึงความล�ำบากของพวกภิกษุและพวกกุลบุตรในการเดินทางมา จึงทรงอนุญาตให้ ภิกษุบวชให้กุลบุตรได้เอง โดยตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอยู่ในที่หลีกเร้นได้พิจารณาอย่างนี้ว่า บัดนี้ ภิกษุทั้งหลายพากุลบุตรผู้มุ่งบรรพชาอุปสมบทมาจากทิศต่าง ๆ จากชนบทต่าง ๆ ด้วยความ ตั้งใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าจะให้พวกเขาบรรพชาอุปสมบท เพราะเหตุนั้น พวกภิกษุและพวก กุลบุตรย่อมล�ำบาก อย่ากระนั้นเลย เราพึงอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลาย...ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เรา อนุญาตให้พวกท่านนั่นแหละจงให้กุลบุตรทั้งหลายบรรพชาอุปสมบทในที่นั้น ๆ ชนบทนั้น ๆ เถิด” โดยตรัสสอนวิธีให้บรรพชาอุปสมบทว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกท่านพึงให้กุลบุตรบรรพชาอุปสมบทอย่างนี้ เริ่มต้น พวกท่านพึงให้ กุลบุตรผู้มุ่งบรรพชาอุปสมบทปลงผมและหนวด แล้วให้ครองผ้ากาสายะ โดยห่มผ้าอุตราสงค์ เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุทั้งหลาย แล้วให้นั่งกระโหย่งประคองอัญชลีแล้วกล่าวตามภิกษุ ว่า “พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ แม้ครั้งที่ ๒...แม้ครั้งที่ ๓... ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตการบรรพชาอุปสมบทด้วยติสรณคมนะเหล่านี้” (ดู วินย. มหา.ข้อ ๓๔ ในภายหลังจึงทรงปรับเปลี่ยนให้ภิกษุสงฆ์อุปสมบทให้ภิกษุด้วยวิธีญัตติจตุตถกรรม และให้น�ำวิธีติสสรณคมนะไปใช้ในการบรรพชาสามเณร) ทรงประดิษฐานพระศาสนาที่มคธ เป็นแคว้นที่ ๒ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปยังแคว้นมคธ ระหว่างทางไปเขตอุรุเวลา ทรงแสดง ธรรมแก่กลุ่มสหายภัททวัคคีย์จ�ำนวน ๓๐ คน เมื่อจบพระเทศนา พวกเขาทูลขอบวชเป็นภิกษุ เสด็จถึงเขตอุรุเวลา (แคว้นมคธ) ทรงโปรดหมู่ชฎิล ๑๐๐๓ คน ที่มีอุรุเวลกัสสปชฎิลเป็น ประธาน พวกเขาทูลขอบวช ท�ำให้มีภิกษุเพิ่มขึ้นอีก ๑๐๐๓ รูป


(25) เสด็จจากคยาสีสะ (เขตอุรุเวลา) ถึงลัฏฐิวัน (สวนต้นตาลที่ยังไม่ตกลูก) ก็ประทับ ณ สุปปติฏฐเจติยะ (สุประดิษฐเจดีย์) พระราชาพิมพิสารและหมู่ประชาชนมคธเข้าเฝ้าฟังธรรมมาก ถึง ๑๒ นหุต (= ๑๒,๐๐๐ คน) จบพระธรรมเทศนาก็มีผู้บรรลุธรรมจักษุถึง ๑๑ นหุต แล้วทรงรับ นิมนต์ฉันในพระราชนิเวศน์ของพระราชาในวันพรุ่งนี้ (= นอกจากเที่ยวบิณฑบาตอาหารแล้วยัง รับนิมนต์ฉันด้วย ต่อมา ทรงอนุญาตภัตประเภทต่าง ๆ เช่น นิมันตนภัต สลากภัต และทรงอนุญาต พระภัตตุทเทสก์ คือ ให้สงฆ์แต่งตั้งภิกษุท�ำหน้าที่รับนิมนต์และแจกภัต) วันรุ่งขึ้น ก็เสด็จเข้าสู่พระนครราชคฤห์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หนึ่งพันรูปซึ่งเป็นอดีตชฎิล ทรงเสวยภัตและทรงรับการถวายอุทยานเวฬุวัน แล้วตรัสกับภิกษุว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต อาราม” (ดู วินย.มหา.ข้อ ๑๒-๖๓ = นอกจากอยู่โคนไม้ ที่แจ้ง และถ�้ำแล้วยังอนุญาตให้อยู่ในสวน หรือสถานที่ ๆ มีผู้ถวายให้อยู่อาศัยได้ด้วย ต่อมา มีเศรษฐีชาวราชคฤห์ขออนุญาตสร้างที่อยู่ให้ ภิกษุ พระศาสดาก็ทรงอนุญาต เขาสร้างที่อยู่ ๖๐ หลังถวายไว้ในอารามคือพระเวฬุวัน ต่อมา ก็ทรง อนุญาตสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเสนาสนะ เช่น บานประตู และหมอน เป็นต้น, ดู เสนาสนขันธกะ วินย.จูฬ.ข้อ ๑๙๘-๓๓๕) ถัดมาเพียงไม่กี่วัน ขณะที่ประทับที่พระเวฬุวันนั่นเอง สารีบุตรและโมคคัลลานะปริพาชก ก็น�ำบริวารที่เป็นปริพาชก (นักบวชชาย) จ�ำนวน ๒๕๐ คน มาเข้าเฝ้าทูลขอบวช พระศาสดาก็ทรง อุปสมบทให้ด้วยวิธีเอหิภิกขุ (ดู วินย.มหา.ข้อ ๖๔-๗๒) พระโมคคัลลานะใช้เวลาบ�ำเพ็ญเพียรอยู่ ๗ วัน ก็บรรลุพระอรหัต (เป็นพระอรหันต์) ส่วน พระสารีบุตรบ�ำเพ็ญเพียรอยู่ ๑๕ วัน ก็บรรลุพระอรหัต (อป.อ.๑/๑/๓๙๕) วันที่พระสารีบุตรบรรลุพระอรหัตนั้น พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงท�ำการประชุมพระสาวกในวันนี้ (อป.อ.๑/๑/๑๕๐) “เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเวทนาปริคคหสูตร (= ทีฆนขสูตร ในมัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ข้อ ๒๖๙) อันเป็นธัมมยาคะ (ธรรมที่จัดเตรียมไว้ให้คนหนึ่ง แต่อีกคนหนึ่งก็ ได้รับ) แก่ทีฆนขปริพาชกผู้เป็นหลาน (ของพระสารีบุตร) ณ ถ�้ำสูกรขาตา ในท่ามกลางภูเขาคิชฌกูฏ พระธรรมเสนาบดี (แม่ทัพธรรมคือสารีบุตร) ส่งญาณไปเพื่อรู้ตามพระธรรมเทศนาเนือง ๆ ก็ได้ บรรลุสาวกบารมีญาณในวันที่ ๑๕ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่าท่านบรรลุพระอรหัตแล้วจึง เสด็จขึ้นไปบนอากาศแล้วปรากฏพระองค์ ณ พระเวฬุวันวิหาร ฝ่ายพระเถระ (สารีบุตร) ค�ำนึงว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปที่ไหนหนอ? เมื่อทราบแล้วท่านก็เหาะไปปรากฏตัวที่พระเวฬุวันเช่น เดียวกัน บทน�ำ : ความเป็นมาของภิกขุปาติโมกข์


(26) พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (พระวินัย ๒๒๗ ข้อ : อุทเทสที่ถูกยกขึ้นแสดงในภิกขุปาติโมกข์) ทรงแสดงปาติโมกข์ (= โอวาทปาติโมกข์) ให้ภิกษุสาวกใช้เป็นหลักปฏิบัติตน และเป็นหลักของหมู่คณะในระหว่างที่ยังไม่ได้อนุญาตภิกขุปาติโมกข์ ลำ� ดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงปาติโมกข์ (ที.อ.๒/๑/๗๘-๗๙) ตรัสเรียกการประชุม ครั้งนี้ว่า “สาวกสันนิบาต” โดยตรัสเล่าว่า “ภิกษุทั้งหลาย สาวกสันนิบาตของเราในบัดนี้ได้มีครั้ง เดียว มีภิกษุจ�ำนวน ๑,๒๕๐ รูป, ภิกษุทั้งหลาย สาวกของเราได้ประชุมกันครั้งเดียวนี้ทั้งหมดล้วน เป็นพระขีณาสพ” (ที.ม.ข้อ ๗) ปาติโมกข์ที่ทรงแสดงในที่ประชุมภิกษุสงฆ์ มีดังนี้ (ภิกฺขุสงฺเฆ เอวํ ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสติ), ที.ม.ข้อ ๕๔ สพฺพปาปสฺส อกรณํ– การไม่ท�ำบาปทั้งปวง กุสลสฺสูปสมฺปทา – การยังกุศลให้ถึงพร้อม สจิตฺตปริโยทปนํ– การท�ำจิตให้ผ่องแผ้ว เอตํ พุทฺธาน สาสนํ – นี่คือค�ำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา – ความอดทนคือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา – พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวพระนิพพานว่ายอดเยี่ยม น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี – ผู้ท�ำร้ายผู้อื่น ไม่ชื่อว่า บรรพชิต สมโณ โหติ ปรํ วิเหยนฺโต – ผู้เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ชื่อว่า สมณะ อนูปวาโท อนูปฆาโต – การไม่กล่าวร้าย การไม่ท�ำร้าย ปาติโมกฺเข จ สํวโร – ความส�ำรวมในปาติโมกข์ (ส�ำรวมในศีลที่เจริญที่สุด) มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ – ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ปนฺตญฺจ สยนาสนํ – การนอนการนั่ง (ในที่) อันสงัด อธิจิตฺเต จ อาโยโค – การประกอบความเพียรในอธิจิต (จิตที่เป็นไปกับสมาบัติ ๘) เอตํ พุทฺธาน สาสนํ- นี่คือค�ำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย (ขุ.ธ.ข้อ ๒๔, ที.ม.ข้อ ๕๔) อนึ่ง อรรถกถาเรียก “ปาติโมกข์” นี้ว่า “ปาฏิโมกฺขุทฺเทสคาถา” (คาถาแสดงหัวข้อ ปาฏิโมกข์) เป็น เอตํพุทฺธานํสาสนํโอวาโท อนุสิฏฺิ = นี้เป็นค�ำสอนคือเป็นโอวาท เป็นค�ำ ตักเตือนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย (ที.อ.๒/๑/๑๕๘-๑๕๙) และในอรรถกถาวินัยเรียกว่า “โอวาท ปาติโมกข์” (วินย.อ.๑/๑/๓๒๒) ในอรรถกถาธรรมบทเรียกว่า “โอวาทคาถา” และเรียกการแสดง ปาติโมกข์ของพระพุทธเจ้าว่า “อุโปสถ อาวิกโรนฺโต ํ – ทรงท�ำอุโบสถ” (ดู ธ.อ.๓/๒๘๒-๒๘๔) ต่อมา ตรัสเรียกการแสดงปาติโมกข์ของพระองค์เองว่า “ท�ำอุโบสถ” (อุโปสถํ กเรยฺย) ดังที่ตรัสว่า “ภิกษุ ทั้งหลาย การที่ตถาคตจะท�ำอุโบสถ จะแสดงปาติโมกข์ในบริษัทที่ไม่บริสุทธิ์นั้น ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส” (วินย.จูฬ.ข้อ ๔๖๖)


(27) “ปาติโมกข์” อรรถกถาธรรมบท (ธ.อ.๓/๒๘๓) อธิบายว่าได้แก่ เชฏฺกสีเล (= ศีลที่เจริญ ที่สุด/ดีที่สุด/ดีกว่า) ส่วนอรรถกถามหาปทานสูตรอธิบายว่าได้แก่ อุตฺตมสีลํ (= ศีลสูงสุด/ศีลที่ อุดม) ผู้ที่ส�ำรวมในปาติโมกข์นั้น ย่อมพ้นจากภัย คือ ทุคติ หรือย่อมรักษาสุคติ คือ พ้นทุคติ ดังที่ ท่านอธิบายว่า “ปาฏิโมกฺเขติ ยนฺตํ ปอติโมกฺขํ, อุตฺตมสีลํ. ปาติ วา สุคติวิเสเสหิ โมกฺเขติ ทุคฺคติภเยหิ โย วา นํ ปาติ. ตํ โมกฺเขตีติ ปาฏิโมกฺขนฺติ วุจฺจติ. ตสฺมึ ปาฏิโมกฺเข จ สํวโร ค�ำว่า ในปาฏิโมกข์ แยกศัพท์เป็น ป อติ โมกฺข ได้แก่ การพ้นทั่วยิ่ง คือ ศีลสูงสุด (หรือ ํ อุตฺตมสีลํ) ย่อมรักษาด้วยความวิเศษคือสุคติ และย่อมให้พ้นจากภัยคือทุคติ หรือย่อมรักษาสุคติ ย่อมให้พ้นทุคติ เพราะฉะนั้น ศีล (ความประพฤติ) นั้นท่านเรียกว่า ปาติโมกข์ (ภิกษุเป็น) ผู้ส�ำรวม ในปาติโมกข์นั้น” (ที.อ.๒/๑/๑๕๙) เป็นอันว่า ท่านไม่ได้ชี้แจงว่า เชฏฺกสีล และอุตฺตมสีล หมายถึงศีลประเภทไหน แต่ชัดเจน ว่าท่านต้องการให้เข้าใจว่า ปาติโมกข์หรือปาฏิโมกข์ (= เขียนทั้ง ๒ รูปแบบ) ก็คือศีล (สีล) ภิกษุ จะต้องส�ำรวมอยู่ในศีล คือ มีความประพฤติที่คู่ควรแก่ความเป็นภิกขุ (ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร) คือ มีความประพฤติไม่ต�่ำกว่าบรรดานักบวชทั้งหลายที่มีอยู่ในขณะนั้น เช่น เว้นการฆ่า การกล่าวร้าย และการท�ำร้าย เป็นต้น แล้วพัฒนาตนให้ก้าวหน้าไปในการไม่ท�ำบาปทั้งปวง ท�ำกุศลให้ถึงพร้อม (กุศลในภูมิ ๔ มีกามาวจรกุศลเป็นต้น ด้วยการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา) ท�ำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว (ด้วยการบรรลุอรหัตตผล) กล่าวได้ว่า พระพุทธเจ้าตรัสแสดงโอวาทปาติโมกข์หลังตรัสรู้แล้ว ๙ เดือน ก็เพื่อจะ ทรงใช้โอวาทปาติโมกข์เป็นเครื่องมือหรือค�ำสอนในการควบคุมภิกขุสังฆะที่ก�ำลังเติบใหญ่ ขึ้น ท�ำให้ภิกษุเถระ มัชฌิมะ และนวกะ มีความประพฤติเหมือนกัน รวมหมู่กันได้อย่างมี เอกภาพ และกล่าวได้ว่าการตรัสศัพท์ว่า “ปาติโมกข์” (= ศีล = ข้อปฏิบัติส�ำหรับฝึกหัดกาย วาจา และการอยู่ร่วมกับสมาชิกของภิกขุสังฆะ) ก็เพื่อให้ภิกษุตระหนักในการส�ำรวมกายวาจาจากบาป ทั้งหลาย และเพื่อรองรับสิกขาบททั้งหลายที่จะทรงบัญญัติแล้วจัดเข้าใน “ภิกขุปาติโมกข์” แล้ว่ พระองค์จะไม่ต้องแสดงโอวาทปาติโมกข์อีก ดังที่ตรัสในหลายปีต่อมาว่า “ภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่ วันนี้เป็นต้นไป เราจะไม่ท�ำอุโบสถ จะไม่แสดงปาติโมกข์ (= โอวาทปาติโมกข์) ตั้งแต่วันนี้ไป ภิกษุทั้งหลายพึงท�ำอุโบสถ พึงแสดงปาติโมกข์ (= ภิกขุปาติโมกข์)” (วินย.จูฬ.ข้อ ๔๖๖) พึงทราบว่า พระปาติโมกข์ที่ทรงแสดงในวัน “สาวกสันนิบาต” (ขึ้น ๑๕ ค�่ำ เดือน ๓) นั้น เป็นการแสดงครั้งส�ำคัญ คือ ผู้ฟังเป็นพระขีณาสพหรือเป็นพระอรหันต์ล้วน ๆ ทั้ง ๑,๒๕๐ รูป (อรรถกถาเรียกสาวกสันนิบาตว่าจาตุรงคสันนิบาต = การประชุมประกอบด้วยองค์ ๔ คือ ๑. เป็น บทน�ำ : ความเป็นมาของภิกขุปาติโมกข์


(28) พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (พระวินัย ๒๒๗ ข้อ : อุทเทสที่ถูกยกขึ้นแสดงในภิกขุปาติโมกข์) วันมาฆปุรณมี ๒. ภิกษุมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมายจ�ำนวน ๑,๒๕๐ รูป ๓. ภิกษุทั้งหมดเป็น พระอรหันต์ถึงพร้อมด้วยอภิญญา ๖ และ ๔. ภิกษุทั้งหมดนั้นเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา = พระพุทธเจ้า ทรงอุปสมบทให้โดยพระองค์เอง, ม.อ.๒/๑/๔๖๓) แต่มิได้หมายความว่าพระองค์แสดงโอวาท ปาติโมกข์เพียงครั้งเดียว เพราะอรรถกถาอธิบายว่า ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์เฉพาะตอน ปฐมโพธิกาลเท่านั้น (= ๒๐ ปีแรกหลังตรัสรู้ ท่านหมายถึงช่วงเวลาปฐมโพธิกาล = ช่วงแรกหลัง ตรัสรู้แล้ว) ดังที่ท่านอธิบายไว้ว่า “พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีพระโอวาทปาติโมกข์คาถาเพียง ๓ คาถานี้เท่านั้น...คาถาเหล่า นั้นมาสู่อุทเทส (= ทรงยกขึ้นแสดง) เฉพาะในปฐมโพธิกาลเท่านั้น...เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาค เจ้าแม้ของพวกเราก็ทรงแสดงโอวาทปาติโมกขั้นตลอดกาลเพียง ๒๐ พรรษาในปฐมโพธิกาลเท่านั้น” (วินย.อ.๑/๑/๓๒๔) นั่นหมายความว่า ช่วงเวลาดังกล่าวนั้น เมื่อมีภิกษุมาประชุมเข้าเฝ้าพระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็จะทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ และวันที่แสดงนั้นก็ไม่จ�ำเป็นว่าจะต้องตรงกับ วันอุโบสถ ๑๕ คํ่า เป็นต้นด้วย ระหว่างที่ทรงใช้โอวาทปาติโมกข์เป็นขอบเขตและแนวทางปฏิบัติตนของภิกขุสังฆะ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับศีลจ�ำนวนมาก และทรง บัญญัติสิกขาบทเป็นแนวทางของอธิศีลสิกขาไปด้วย พระพุทธเจ้าประทับบ�ำเพ็ญพุทธกิจในเขตกรุงราชคฤห์ในปีแรกนั้นไม่ชัดเจนว่าทรง บัญญัติสิกขาบทข้อใดบ้างหรือไม่ แต่ไปชัดเจนในกรณีที่ราหุลราชกุมารบรรพชาเป็นสามเณรโดยที่ พระมารดาและพระเจ้าสุทโธทนะไม่ได้ทรงอนุญาตก่อน เป็นเหตุให้ทรงบัญญัติสิกขาบทว่า “ภิกษุ ทั้งหลาย บุตรที่มารดาบิดาไม่อนุญาต ภิกษุไม่พึงให้บรรพชา ภิกษุรูปใดให้บรรพชา ต้องอาบัติ ทุกกฏ” (วินย.มหา.ข้อ ๑๑๘) จากนั้น เมื่อมีเรื่องที่ภิกษุท�ำเสื่อมเสีย ก็จะทรงบัญญัติสิกขาบท เช่น ภิกษุพูดเท็จทั้งที่รู้อยู่ว่าเป็นความเท็จ ก็ทรงบัญญัติสิกขาบทปรับโทษว่าเป็นอาบัติปาจิตตีย์ ดังนี้ เป็นต้น อีกด้านหนึ่ง พระองค์ก็จะทรงแสดงธรรมกล่าวถึงความประพฤติของพระองค์เองว่าทรง ท�ำอะไรและทรงไม่ท�ำอะไรเพื่อบอกให้ภิกษุและอุบาสกอุบาสิการับรู้แล้วถือปฏิบัติตาม เช่น ทรง สอนเรื่องจูฬศีล มัชฌิมศีล และมหาศีล เช่น สมณโคดมเว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการ รับทองและเงิน เว้นขาดจากการพรากพีชคามภูตคาม เว้นขาดจากการดูการเล่นที่เป็นข้าศึกต่อกุศล และเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยดิรัจฉานวิชา เป็นต้น บางครั้งก็ทรงสอนให้ภิกษุด�ำรงตนอยู่ใน “สิกขาและสาชีพ” โดยทรงขยายความถึงพร้อมด้วยสิกขาและสาชีพไปตรงกับจูฬศีลและมัชฌิมศีล


(29) “ภิกษุทั้งหลาย...เมื่อคหบดี บุตรคหบดี หรือผู้เกิดภายหลังในสกุลใดสกุลหนึ่ง ได้ฟังธรรม (ที่พระ ตถาคตแสดง) เกิดศรัทธาแล้วเห็นว่า ฆราวาสคับแคบ บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง...เขาละ โภคสมบัติน้อยใหญ่ ละหมู่ญาติ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะออกจากเรือนบวชเป็น บรรพชิต เมื่อบวชแล้วก็ถึงพร้อมด้วยสิกขาและสาชีพ (สีลสิกขาและแบบแผนความประพฤติที่ดี = ต่อมาหมายถึงประพฤติอยู่ในสิกขาทั้งหลายที่ทรงบัญญัติในพระวินัยปิฎก) เสมอกับภิกษุทั้งหลาย คือ “ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดการฆ่าสัตว์ วางท่อนไม้และศัสตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู กรุณา มุ่งประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง...เว้นขาดการรับทองและเงิน...” (ดู กันทรสูตร ม.ม.ข้อ ๑๑-๑๒) ต่อมาเมื่อทรงบัญญัติสิกขาบทมากขึ้นแล้ว ก็ทรงแสดงธรรมให้ภิกษุทั้งหลายสมาทาน ศึกษาในสิกขาบททั้งหลาย เช่น “ภิกษุ เธอจงช�ำระเบื้องต้นในกุศลธรรมให้บริสุทธิ์เสียก่อน ก็อะไร เล่าเป็นเบื้องต้นของกุศลธรรม ภิกษุเธอจงส�ำรวมในปาติโมกข์สังวร จงถึงพร้อมด้วยอาจาระ (มารยาท) และโคจระ (เที่ยวไปในที่สมควรแก่ความเป็นภิกษุ) เห็นภัยในโทษแม้ว่าจะเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย” (ปาติโมกข์สังวรสูตร สํ.ม.ข้อ ๘๒๘) สรุปได้ว่าทรงให้ภิกษุสงฆ์ปฏิบัติตนให้เป็นผู้มีศีล คือ มีความประพฤติทางกาย วาจา และ การเลี้ยงชีพไม่มีโทษ ทั้งสมควรแก่การก้าวหน้าไปในกุศลธรรมที่สูงขึ้น โดยทรงใช้อุบาย ๔ อย่าง คือ ๑. ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ๒. ทรงกล่าวถึงความประพฤติทางกาย วาจา และการเลี้ยงชีพ ของพระองค์ให้ภิกษุทั้งหลายฟัง ๓. ทรงแสดงธรรมเรื่องศีลในชื่อว่าสิกขาและสาชีพ ๔. ทรงบัญญัติ สิกขาบทและแสดงธรรมให้ภิกษุทั้งหลายเคารพสิกขาบททั้งหลาย ทรงอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายแสดงอาณาปาติโมกข์ (= ภิกขุปาติโมกข์) แต่พระองค์ก็ยังทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ควบคู่ไปด้วย เมื่อสิกขาบทที่ทรงบัญญัติมีมากพอสมควรแล้ว [ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าในวันที่ทรง อนุญาตให้ภิกษุแสดง(ภิกขุ)ปาติโมกข์กันเองนั้น ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้เท่าไหร่แล้ว] โดยพระอุบาลี เล่าไว้ว่าขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห์ ทรงด�ำริว่า “ไฉนหนอ เราควรอนุญาตสิกขาบทที่เราบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย (ไม่ได้ทรงระบุ ว่าบัญญัติสิกขาบทอะไรไว้บ้าง แต่อย่างน้อยก็พอเห็นว่าทรงบัญญัติสัมปชานมุสาวาทสิกขาบทไว้ แล้ว เพราะภิกษุใดมีอาบัติติดตัวอยู่แต่ยังเข้าร่วมฟังปาติโมกข์ ทรงปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุ รูปนั้น) ให้เป็นปาติโมกขุทเทส (ปาติโมกข์ที่ยกขึ้นสวด) ของพวกภิกษุ ปาติโมกขุทเทสนั้นจะ เป็นอุโปสถกรรม (การท�ำอุโบสถ) ของพวกภิกษุ” บทน�ำ : ความเป็นมาของภิกขุปาติโมกข์


(30) พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (พระวินัย ๒๒๗ ข้อ : อุทเทสที่ถูกยกขึ้นแสดงในภิกขุปาติโมกข์) ในเวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเล่าพระพุทธด�ำรินั้นให้พวกภิกษุฟังและตรัสว่า “อนุชานามิ ภิกฺขเว ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิตํุ – ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้แสดงปาติโมกข์” จากนั้น ทรงสอนล�ำดับวิธีแสดงปาติโมกข์ เช่น ให้ภิกษุผู้ฉลาดมีความสามารถประกาศให้ สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจาว่าสงฆ์พึงท�ำอุโบสถ ควรแสดงปาติโมกข์ มีบุพกิจที่ต้องท�ำก่อน คือ บอกความบริสุทธิ์ ดังนี้เป็นต้น โดยท่าน (พระอุบาลีเถระ) อธิบายค�ำว่า “ปาติโมกข์ ว่าหมายถึง “อาทิเมต”ํ (เป็นเบื้องต้น) มุขเมตํ (เป็นประธาน) ปมุขเมตํ กุสลานํ ธมฺมานํ (เป็นประมุขของกุศลธรรมทั้งหลาย)” เพราะ เหตุนั้น จึงตรัสเรียกว่า “ปาติโมกฺขํ” (ดู วินย.มหา.ข้อ ๑๔๙-๑๕๐ = ปาติโมกขสังวร/ปาติโมกเข จะ สังวะโร ในโอวาทปาติโมกข์ ภิกขุปาติโมกข์หรืออาณาปาติโมกข์ = ปาติโมกข์ที่เป็นพุทธอาณา คือ พระพุทธเจ้าทรงวางขอบเขตบังคับภิกขุภิกขุนี ได้แก่ ภิกขุปาติโมกข์และภิกขุนีปาติโมกข์ เป็น ปาติโมกข์ในความหมายที่ว่าเป็นเบื้องต้นการสมาทานกุศลธรรมทั้งหลาย หรือเป็นประธาน ของกุศลธรรม ไม่ได้ให้ความหมายไปที่การพ้นทั่วยิ่ง คือ รักษาสุคติ พ้นภัยทุคติ เหมือน อย่างที่ท่านให้ความหมายในกรณี “ปาติโมกข์” ในโอวาทปาติโมกข์) และทรงระบุวันที่แสดง (ภิกขุ) ปาติโมกข์ว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้แสดงปาติโมกข์ปักษ์ละ ๑ ครั้ง คือ ใน วันที่ ๑๔ ค�่ำ หรือ ๑๕ ค�่ำ” (วินย.มหา.ข้อ ๑๕๑) เมื่อทรงให้ภิกษุสงฆ์น�ำสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้แล้วแสดงในที่ประชุมสงฆ์ ซึ่งตรัสเรียกว่า “ปาติโมกขุทเทส” (ปาติโมกข์ที่ยกขึ้นสวด คือ น�ำสิกขาบทมาสวดให้ภิกษุสงฆ์ฟัง) ตรัสเรียกการ ท�ำเช่นนี้ว่า “อุโบสถกรรม” (อุโปสถกมฺมํ) ก็เป็นอันว่านอกจากมีการท�ำอุโบสถหรือโอวาทปาติโมกข์ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงด้วย พระองค์เองแล้ว ก็ยังมีการท�ำอุโบสถ คือ ภิกขุปาติโมกข์และภิกขุนีปาติโมกข์ที่ภิกษุและภิกษุณี เป็นผู้แสดงแก่ภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ด้วย และแม้ภิกษุจะมีปาติโมกขุทเทสแล้ว พระพุทธเจ้า ก็ยังทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์เป็นคู่ขนานไปด้วย มิได้ทรงเลิกแสดงแต่อย่างใด หลักที่ทรงใช้พิจารณาในการตรัสโอวาทปาติโมกข์ก็คือ ภิกษุที่อยู่ในที่ประชุมฟังโอวาท ปาติโมกข์นั้น ทั้งหมดจะต้องเป็นผู้มีศีล (= ประพฤติตนอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ไม่ก้าวล่วงหรือ ไม่ละเมิดสิกขาบทเหล่านั้นเลย หรือไม่เป็นผู้ทุศีล = ไม่มีศีล) ดังที่ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย การที่ ตถาคตจะท�ำอุโบสถ จะแสดง (โอวาท) ปาติโมกข์ในบริษัท (คนในที่ประชุม) ที่ไม่บริสุทธิ์ นั้น ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส” (วินย.จูฬ.ข้อ ๔๖๖)


(31) ทรงเลิกแสดงโอวาทปาติโมกข์เพราะมีผู้ไม่มีศีลร่วมประชุมอยู่กับภิกษุผู้มีศีลและ เพราะมีสิกขาบทเพียงพอที่จะคุมความประพฤติของภิกษุทั้งหลายแล้ว วันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าจะไม่ทรงแสดง (โอวาท) ปาติโมกข์นั้น (๑) เหตุเกิดขณะ ประทับในบุพพาราม (๒) วันนั้นเป็นวันอุโบสถ ๑๕ ค�่ำ พระพุทธเจ้าประทับนั่งมีภิกษุสงฆ์แวดล้อม (เพื่อฟังโอวาทปาติโมกข์) ค�่ำแล้ว (พระองค์ก็ยังไม่ทรงแสดง) เมื่อปฐมยามผ่านไปแล้ว พระอานนท์ ทูลว่า “พระพุทธเจ้าข้า ปฐมยามผ่านไปแล้ว ภิกษุสงฆ์นั่งอยู่นานแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรง แสดง (โอวาท) ปาติโมกข์แก่ภิกษุทั้งหลายเถิด” พระองค์ก็ยังทรงนิ่ง...เมื่อมัชฌิมยามผ่านไปแล้ว พระอานนท์ก็ทูลให้ทรงแสดงปาติโมกข์อีก พระองค์ก็ยังทรงนิ่งเฉยอีก...ครั้นปัจฉิมยามผ่านไป อรุณขึ้นแล้ว พระอานนท์ก็ทูลอย่างเดิมอีก ครั้งนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “อานนท์ มีคนใน ที่ประชุมนี้ไม่บริสุทธิ์ (= บริษัทไม่บริสุทธิ์)” พระมหาโมคคัลลานะคิดว่า “ทรงหมายถึงใครหนอ?” จึงมนสิการดูจิตของภิกษุสงฆ์ ทั้งหลายก็ได้เห็นบุคคลนั้น (สิ้นความเป็นภิกษุแล้วแต่ยังครองผ้ากาสายะนั่งนิ่งร่วมประชุมด้วย) ท่านลุกขึ้นแล้วเข้าไปหาบุคคลนั้นกล่าวกับเขาว่า “ลุกขึ้นเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าเห็นท่านแล้ว ท่านไม่มีธรรมที่จะอยู่กับภิกษุทั้งหลายแล้ว” บุคคลนั้นก็ยังนั่งนิ่ง แม้พระเถระจะกล่าวเป็นครั้งที่ ๒... ครั้งที่ ๓... เมื่อเขายังนั่งนิ่ง พระมหาโมคคัลลานะจึงจับแขนแล้วดึงให้เขาออกไปจากที่ประชุมนั้น เมื่อกลับเข้าที่นั่งแล้วได้ทูลว่า “บุคคลนั้นถูกข้าพระองค์น�ำออกไปแล้ว คนในที่ประชุมบริสุทธิ์แล้ว ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงปาติโมกข์แก่ภิกษุทั้งหลายเถิด” พระพุทธเจ้าตรัสว่า “น่าอัศจรรย์นะโมคคัลลานะ โมฆบุรุษคนนั้นต้องรอให้มีคนมาดึงแขน น�ำตัวออกไป” แล้วตรัสความน่าอัศจรรย์ของมหาสมุทร ๘ ประการ เช่น ลาดลุ่มลึกลงไปตาม ล�ำดับ...และความน่าอัศจรรย์ของพระธรรมวินัย ๘ ประการ เช่น ธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไป ตามล�ำดับ กระท�ำไปตามล�ำดับ มิใช่บรรลุอรหัตตผลโดยทันทีทันใด...และตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะไม่ท�ำอุโบสถ จะไม่แสดงปาติโมกข์ ตั้งแต่บัดนี้ไป พวกท่านพึงท�ำ อุโบสถ (= วันประชุมฟังปาติโมกข์จากเดิมภิกษุฟังโอวาทปาติโมกข์ ต่อไปพวกภิกษุต้องท�ำอุโบสถ คือแสดงและฟังภิกขุปาติโมกข์กันเอง) พึงแสดงปาติโมกข์, ภิกษุทั้งหลาย การที่ตถาคตจะ พึงท�ำอุโบสถ แสดงปาติโมกข์ในบริษัท (คนในที่ประชุม) ไม่บริสุทธิ์นั้น ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่ โอกาส” ตรัสอีกว่า (= ทรงบัญญัติคุณสมบัติภิกษุที่เข้าร่วมท�ำอุโบสถ ฟังปาติโมกข์) “ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีอาบัติติดตัวไม่พึงฟังปาติโมกข์ (เมื่อต้องอาบัติถือว่าเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์) ภิกษุรูปใด (เข้าร่วม) ฟัง ต้องอาบัติทุกกฏ, ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ (ภิกษุทั้งหลาย) งดปาติโมกข์แก่ภิกษุผู้มีอาบัติ ติดตัว” (ดู วินย.จูฬ.ข้อ ๔๔๗-๔๖๖) บทน�ำ : ความเป็นมาของภิกขุปาติโมกข์


(32) พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (พระวินัย ๒๒๗ ข้อ : อุทเทสที่ถูกยกขึ้นแสดงในภิกขุปาติโมกข์) ในคัมภีร์อรรถกถาระบุว่า “พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีโอวาทปาติโมกข์คาถาเพียง ๓ คาถา นี้เท่านั้น, คาถาเหล่านั้นย่อมมาสู่อุเทศจนถึงที่สุดแห่งศาสนาของพระพุทธเจ้าที่มีพระชนมายุยืนยาว แต่ส�ำหรับพระพุทธเจ้าที่มีพระชนมายุน้อย คาถาเหล่านั้นมาสู่อุเทศเฉพาะในปฐมโพธิกาลเท่านั้น เพราะว่า นับแต่เวลาที่ทรงบัญญัติสิกขาบท (= บัญญัติสิกขาบทมากพอสมควรแล้ว) ก็ทรงให้ (ภิกษุ) แสดงเฉพาะอาณาปาติโมกข์ (= ภิกขุปาติโมกข์) เท่านั้น ก็แล อาณาปาติโมกข์นั้น ภิกษุเท่านั้นแสดง พระพุทธเจ้าทั้งหลายหาแสดงไม่ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ของพวกเราก็ทรงแสดงโอวาท ปาติโมกข์นี้ตลอดเวลา ๒๐ ปีในปฐมโพธิกาลเท่านั้น” (= พระองค์มีพระชนมายุน้อย) ต่อมาวันหนึ่ง ขณะประทับอยู่ที่ปราสาทของมิคารมาตาในบุพพาราม ได้ตรัสเรียกภิกษุ ทั้งหลายว่า “ภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะไม่ท�ำอุโบสถ จะไม่แสดงปาติโมกข์ ภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่นี้ไป พวกท่านทั้งหลายเท่านั้นพึงท�ำอุโบสถ พึงแสดงปาติโมกข์” (วินย.อ. ๑/๑/๓๒๔) ข้อมูลที่ยกมาย่อมเพียงพอที่จะมองเห็นภาพได้ว่า ๑. พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ครั้งส�ำคัญที่สุด คือ เมื่อวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค�่ำ เดือน ๓ (หลังตรัสรู้แล้ว ๙ เดือน) ๒. จากนั้นก็ทรงแสดงเนือง ๆ โดยมิได้ก�ำหนดว่าจะต้องเป็นวันอุโบสถ ๑๔ หรือ ๑๕ ค�่ำ ดังจะเห็นจากกรณีพระมหาโมคคัลลานะฉุดบุคคลหนึ่งออกจากที่ประชุมไปแล้วตอนอรุณของ วันใหม่แล้ว เมื่อท่านกลับเข้ามาสู่ที่ประชุมท่านก็ยังทูลขอให้พระพุทธเจ้าทรงแสดงปาติโมกข์ทั้ง ๆ ที่วันอุโบสถ ๑๕ ค�่ำผ่านไปแล้ว จึงสรุปได้ว่า วันที่พระองค์ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์นั้น ไม่จ�ำเป็น จะต้องเป็นวันอุโบสถ ๑๔ หรือ ๑๕ ค�่ำ ๓. พระพุทธด�ำรัสใน “ปาติโมกขฐปนขันธกะ” ที่ว่า “ภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะไม่ท�ำอุโบสถ จะไม่แสดงปาติโมกข์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พวกท่านพึงท�ำอุโบสถ พึงแสดง ปาติโมกข์” (วินย.จูฬ.ข้อ ๔๖๖) อธิบายได้ว่า นับแต่นี้ไป พระองค์จะเลิกท�ำอุโบสถ คือเลิกแสดง โอวาทปาติโมกข์, ต่อไปนี้ภิกษุทั้งหลายพึงแสดง (ภิกขุ) ปาติโมกข์ (= ปาติโมกข์จะเหลือเพียง ภิกขุปาติโมกข์) จากนั้นทรงสอนวิธีงดปาติโมกข์แก่ภิกษุที่มีอาบัติติดตัว ไม่ได้ทรงสอนวิธีแสดง ภิกขุปาติโมกข์ ท�ำให้เข้าใจได้ว่า พระองค์ทรงอนุญาตให้ภิกษุแสดงภิกขุปาติโมกข์ไว้ก่อนหน้านี้ แล้ว ดังที่ตรัสไว้ใน “อุโบสถขันธกะ” ว่า “อนุชานามิ ภิกฺขเว ปาติโมกฺขํ อุทฺทิสิตํุ – ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้แสดงปาติโมกข์” จากนั้นทรงสอนล�ำดับการแสดง (ภิกขุ) ปาติโมกข์ คือ เริ่มต้นด้วย การประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมว่า สงฆ์พึงท�ำอุโบสถ พึงแสดงปาติโมกข์...ทรงสอนเรื่อง สีมาและสอนเรื่องปาติโมกขุทเทส ๕ ดังนี้เป็นต้น (ดู วินย.มหา.ข้อ ๑๔๙-๒๐๓)


(33) เมื่อทรงอนุญาตให้ภิกษุสงฆ์น�ำสิกขาบทที่ทรงบัญญัติแล้วมาแสดงเป็น “ภิกขุปาติโมกข์” พวกภิกษุก็แสดงภิกขุปาติโมกข์ปักษ์ละ ๑ ครั้ง (แสดงวัน ๑๔ หรือ ๑๕ ค�่ำ) เรื่อยมา ส่วนพระองค์ ก็ยังแสดงโอวาทปาติโมกข์แก่ภิกษุทั้งหลายคู่กับภิกขุปาติโมกข์เรื่อยมาจนกระทั่งมีบุคคลผู้ทุศีล แสดงตนเป็นภิกษุอยู่ในที่ประชุม ณ บุพพาราม เป็นเหตุให้ทรงเลิกแสดงโอวาทปาติโมกข์ รวมเวลา ที่ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์นาน ๒๐ พรรษา ซึ่งอรรถกถาเรียกว่าปฐมโพธิกาล ส่วนปีที่ทรงอนุญาต ให้ภิกษุแสดงภิกขุปาติโมกข์นั้นไม่มีหลักฐานระบุชัดเจนว่าทรงอนุญาตในปีที่เท่าไหร่ แต่จากที่ วิเคราะห์ข้อมูลแล้วยืนยันได้ว่าทรงอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายแสดงภิกขุปาติโมกข์ก่อนปีที่ ๒๐ ไม่ใช่ ทรงเลิกแสดงโอวาทปาติโมกข์ก่อนแล้วจึงอนุญาตภิกขุปาติโมกข์ทีหลัง ขอให้สังเกตว่าก่อนจะทรงบัญญัติสิกขาบทแต่ละสิกขาบทนั้น จะทรงประชุมสงฆ์แล้วทรง สอบถามภิกษุผู้เป็นต้นเรื่อง เมื่อภิกษุนั้นยอมรับแล้วก็ทรงต�ำหนิ ตรัสถึงโทษและประโยชน์ในการ บัญญัติสิกขาบท และก่อนจะทรงบัญญัติสิกขาบท จะตรัสว่า “เอวญฺจ ปน ภิกฺขเว อิมํ สิกฺขาปทํ อุทฺทิเสยฺยาถ – ภิกษุทั้งหลาย ก็แล พวกเธอพึงแสดงสิกขาบทนี้อย่างนี้ว่า” แล้วตามด้วย การบัญญัติสิกขาบท เช่น (ปฐมปาราชิกสิกขาบท) “โย ปน ภิกฺขุ ภิกฺขูนํ สิกฺขาสาชีวสมาปนฺโน สิกฺขํ อปฺปจฺจกฺขาย ทุพฺพลฺยํ อนาวิกตฺวา เมถุนํ ธมฺมํ...ปาราชิโก โหติ อสํวาโส” (ดู วินย.มหาวิ.ข้อ ๒๐, ๒๒) และ “เอวญฺจ ปน ภิกฺขเว อิมํ สิกฺขาปทํ อุทฺทิเสยฺยาถ, ‘ปริมณฺฑลํ นิวาเสสฺสามี’ติ สิกฺขา กรณียา = ภิกษุทั้งหลาย ก็แล พวกเธอพึงแสดงสิกขาบทนี้อย่างนี้ว่า, ภิกษุพึงท�ำความส�ำเหนียก ว่า ‘เราจะนุ่งให้เป็นปริมณฑล’” (วินย.มหาวิ.ข้อ ๘๐๐) ดังนี้เป็นต้น นั่นหมายความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติเพื่อปรับโทษคืออาบัติไว้จ�ำนวนมาก แต่หากทรงประสงค์จะยกโทษแห่งอาบัติเรื่องใดเข้าไว้ในปาติโมกขุทเทสก็จะตรัสอย่างนี้ (ตรัสว่า พึงแสดงสิกขาบทนี้อย่างนี้ว่า) แล้วตามด้วยการบัญญัติสิกขาบท ดังนั้นในเวลาต่อมา พระองค์ ก็ทรงประมวลสิกขาบทเหล่านั้นเข้าในอุทเทส ๕ (หรือ ๙) เพื่อให้ภิกษุทั้งหลายใช้ในการท�ำอุโบสถ คือแสดงภิกขุปาติโมกข์ (หรือแสดงอาณาปาติโมกข์ = ปาติโมกข์ที่เป็นพระพุทธอาณา ได้แก่ ภิกขุปาติโมกข์และภิกขุนีปาติโมกข์ คือ ข้อบังคับของพระพุทธเจ้า) ข้อมูลในพระสูตรช่วยบ่งบอกว่า ทรงอนุญาตให้ภิกษุแสดงภิกขุปาติโมกข์ในขณะที่ ทรงบัญญัติสิกขาบทแล้วร้อยกว่าสิกขาบท ซึ่งเพียงพอที่จะทรงเลิกแสดงโอวาท ปาติโมกข์แล้ว – พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายท�ำอุโบสถ แสดงปาติโมกข์ (= ทรง บัญญัติสิกขาบทส�ำหรับภิกษุไว้จ�ำนวนหนึ่งแล้วแต่ไม่ชัดเจนว่าจ�ำนวนเท่าใด หรือทรงบัญญัติ บทน�ำ : ความเป็นมาของภิกขุปาติโมกข์


(34) พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (พระวินัย ๒๒๗ ข้อ : อุทเทสที่ถูกยกขึ้นแสดงในภิกขุปาติโมกข์) จ�ำนวนมากก็ได้แต่น�ำมาแสดงเป็นภิกขุปาติโมกข์จ�ำนวนไม่มาก) ขณะประทับ ณ (ภูเขาคิชฌกูฏ) กรุงราชคฤห์ – ทรงยุติการแสดงโอวาทปาติโมกข์ และให้ภิกษุทั้งหลายท�ำภิกขุปาติโมกข์กันเองขณะ ประทับ ณ บุพพาราม เขตกรุงสาวัตถี (จากวันที่ทรงอนุญาตให้ภิกษุแสดงภิกขุปาติโมกข์จนถึง วันที่ทรงยกเลิกการแสดงโอวาทปาติโมกข์ ก็น่าจะมีสิกขาบทที่ถูกยกเป็นปาติโมกขุทเทสไม่ต�่ำกว่า ๑๕๐ สิกขาบทแล้ว) – ดังที่ท่านเล่าไว้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ กูฏาคารสาลา ป่ามหาวัน เขตกรุง เวสาลี (แคว้นวัชชี) ภิกษุชาววัชชีรูปหนึ่งกราบทูลว่า “สาธิกมิทํ ภนฺเต ทิยฑฺฒสิกฺขาปทสตํ อนฺวฑฺฒมาสํ อุทฺเทสํ อาคจฺฉติ. นาหํ ภนฺเต เอตฺถ สกฺโกมิ สิกฺขิตํุ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ สิกขาบท ๑๕๐ กับทั้งที่เกินจากนี้ (คือจะทรง บัญญัติเพิ่มเติมอีก) ย่อมมาสู่อุทเทสทุกกึ่งเดือน (= ยกขึ้นแสดงทุกครึ่งเดือน) ข้าพระ พุทธเจ้าไม่อาจศึกษาในสิกขาบทจ�ำนวนมากนี้ได้หรอก” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “ภิกษุ เธอสามารถศึกษาในสิกขา ๓ คือ อธิสีลสิกขา อธิจิต สิกขา และอธิปัญญาสิกขาได้ไหม?” ภิกษุนั้นทูลตอบว่า “ได้ พระพุทธเจ้าข้า” ตรัสว่า “เธอจงศึกษา ในสิกขา ๓ เมื่อใดที่เธอศึกษาสิกขา ๓ เมื่อนั้นเธอก็จะละราคะ โทสะ โมหะได้...” (ดู วัชชีปุตตสูตร องฺ.ติกฺ.ข้อ ๕๒๔) อรรถกถาอธิบายว่า ภิกษุผู้เป็นบุตรของราชสกุลวัชชีรูปนั้นหมายถึงสิกขาบทที่ทรงบัญญัติ ไว้แล้วในสมัยนั้น จึงทูลว่า “ทิยฑฺฒสิกฺขาปทสตํ” (องฺ.อ.๑/๓/๔๖๓) และในทุติยเสขสูตร (หรือปฐมสิกขาสูตร) พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “สาธิกมิทํ ภิกฺขเว ทิยฑฺฒสิกฺขาปทสตํ อนฺวฑฺฒมาสํ อุทฺเทสํ อาคจฺฉติ, ยตฺถ อตฺตกามา กุลปุตฺตา สิกฺขนฺติ : ภิกษุทั้งหลาย สิกขาบท ๑๕๐ กับทั้งที่เกินจากนี้ ย่อมมาสู่ อุทเทสทุกกึ่งเดือน ที่กุลบุตรผู้ปรารถนาประโยชน์ศึกษากันอยู่” (องฺ.ติก.ข้อ ๕๒๖) พุทธพจน์นี้ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต) อธิบายไว้ดังนี้ “ภนฺเต” ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ, “ทิยฑฺฒสิกฺขาปทสตํ” สิกขาบท ๑๕๐, “สาธิกมิทํ = สาธิก + อิทํ”...นี้, “อาคจฺฉติ” ย่อมมา, “อุทฺเทสํ” สู่อุเทศ/การสวด, “อนฺวฑฺฒมาสํ” ทุกกึ่งเดือน ดูเฉพาะค�ำแปลภาษาไทย ดังนี้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ สิกขาบท ๑๕๐...นี้ ย่อมมาอุเทศ/การสวด ทุกกึ่งเดือน


(35) จุดพิจารณา หรือค�ำที่เป็นปัญหาขึ้น คือ “สาธิกํ” ซึ่งที่นี่ว่างค�ำแปล โดยท�ำ...ไว้ ตรงนี้ หรือค�ำบาลีนี้ พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย (คือฉบับที่แปลเป็นภาษาไทย) ซึ่งปัจจุบัน มีประมาณ ๔ ฉบับ/ชุด แปลเหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้าง พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย ที่ครบชุดและเก่าที่สุด คือ ฉบับที่กรมการศาสนารักษาสืบมา (ปัจจุบันย้ายตามมาอยู่ที่ส�ำนักพุทธฯ หรือไม่ ไม่ได้ตามเรื่อง) เริ่มจากที่รัฐบาลได้อุปถัมภ์คณะสงฆ์ จัดพิมพ์ขึ้นเป็น พระไตรปิฎกภาษาไทย อนุสรณ์งานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ (พ.ศ.๒๕๐๐) ถือว่าเป็นฉบับหลวง หรือเป็นทางการแต่จะเรียกว่าอย่างไร ก็ไม่เป็นฉบับสยามรัฐ พระไตรปิฎกภาษาไทยที่สืบมาแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ (ค�ำแปลสะสมกันมานาน) ชุดดังกล่าวนั้น แปลบาลีอันเป็นพุทธพจน์ตรงนี้ว่า “สิกขาบท ๑๕๐ ถ้วน นี้” ส่วนพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับอื่น ๆ ซึ่งเกิดตามมาภายหลังและตามปกติมักแปลตาม พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับหลวงนั้น ในกรณีนี้ บางฉบับก็แปลเหมือนฉบับหลวง แต่บางฉบับ แปลว่า “สิกขาบท ที่ส�ำคัญ ๑๕๐ นี้” บางฉบับนั้น ในที่นี้น�ำบาลีพุทธวจนะนี้ไปอ้างอีกแห่งหนึ่งแปลว่า “๑๕๐ สิกขาบท ที่ส�ำเร็จ ประโยชน์ นี้” “สาธิก”ํ นี้ เป็นค�ำบาลีในภาษาสามัญค�ำหนึ่ง โดยทั่วไป ในคัมภีร์ทั้งหลายจึงไม่ค่อยอธิบาย แต่จะเห็นว่า ค�ำ“สาธิกํ” นี้มีความหมายตรงกับ เท่ากับ หรือในจ�ำพวกเดียวกับ “สาติเรก” (มีส่วนเกิน) “ปโร” (กว่า) “อุตตรึ” (เพิ่มขึ้นไป) บางทีมาด้วยกันดังเป็นชุด บางทีก็ใช้อธิบายกัน “สาธิกํ” คือ “สห + อธิก” แปลว่า พร้อมด้วยส่วนที่เกิน มีข้อที่มากขึ้นไป หรือมีเศษ บาลีพุทธวจนะตรงนี้จึงแปลว่า “สิกขาบท ๑๕๐ กับทั้งที่เกินออกไป นี้” หรือแปลสั้น ๆ ว่า “สิกขาบท ๑๕๐ มีเศษ นี้” อรรถกถาถึงจะไม่อธิบายศัพท์ “สาธิกํ” ก็อธิบายความต่อไปว่า (องฺ.อ.๒/๒๓๙) “ที่ตรัสไว้ ดังนี้ ทรงหมายถึงสิกขาบทที่ได้ทรงบัญญัติแล้วในเวลา (ที่พระวัชชีบุตรทูลถาม) นั้น” แล้วฎีกายัง บอกต่อไปอีกว่า (ม.ฏี.๒/๓๐๐) “พุทธพจน์นี้ ตรัสตามจ�ำนวนสิกขาบทที่ได้ทรงบัญญัติแล้วในเวลา ที่ทรงแสดงพระสูตรนั้น แต่หลังจากนั้น มีสิกขาบท ๒๐๐ มีเศษ ‘สาธิกานิ ทเวสตานิ’” ปาติโมกขุทเทสมี ๕ อุทเทส (การยกขึ้นบอก, การยกขึ้นแสดง, = การยกสิกขาบทขึ้นแสดง ในอุโบสถขันธกะเล่าว่า ทรงอนุญาตให้ภิกษุแสดง (ภิกขุ) ปาติโมกข์ แสดงปักษ์ละ ๑ ครั้ง ทรงอนุญาตให้สมมติสีมา ทรงอนุญาตโรงอุโบสถ... บทน�ำ : ความเป็นมาของภิกขุปาติโมกข์


(36) พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (พระวินัย ๒๒๗ ข้อ : อุทเทสที่ถูกยกขึ้นแสดงในภิกขุปาติโมกข์) ต่อมา ภิกษุทั้งหลายสนทนากันว่า “ปาติโมกขุทเทสมีเท่าไรหนอ?” จึงทูลถาม พระ ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า “ภิกษุทั้งหลาย ปาติโมกขุทเทสมี ๕ แบบ (อุทเทสทั้งหมดมี ๙ อุทเทส)” คือ ๑. แสดงนิทาน (= นิทานุทเทส คือ ประกาศว่าเป็นวันอุโบสถกี่ค�่ำ อะไรเป็นบุพกิจ การ บอกปาริสุทธิ ดังนี้เป็นต้น) จบแล้ว พึงสวดอุทเทสที่เหลือ (เช่น สวดปาราชิกุทเทส) ด้วยสุตบท (คือ ประกาศให้ทราบหัวข้อ คือ อุทเทสอีก ๘ อุทเทส เช่น ธรรม คือ ปาราชิกมี ๔, ธรรมคือสังฆาทิเสส มี ๑๓ และธรรมคืออนิยตมี ๒ เป็นต้น การแสดงอย่างนี้เรียกว่า สวดปาติโมกข์ย่อ คือ ไม่ได้สวด ทุก ๆ สิกขาบทนั่นเอง ซึ่งทรงอนุญาตให้ใช้ในคราวมีความจ�ำเป็นหรือมีอันตราย) ๒. แสดงนิทานแล้ว แสดงปาราชิก ๔ (= ปาราชิกุทเทส) จบแล้วพึงสวดอุทเทสที่เหลือ ด้วยสุตบท (เหลืออีก ๗ อุทเทส) ๓. แสดงนิทานแล้ว แสดงปาราชิก ๔ แล้วแสดงสังฆาทิเสส ๑๓ (= สังฆาทิเสสุทเทส) จบแล้วพึงสวดอุทเทสที่เหลือด้วยสุตบท (เหลืออีก ๖ อุทเทส) ๔. แสดงนิทานแล้ว แสดงปาราชิก ๔ แล้ว แสดงสังฆาทิเสส ๑๓ แล้วแสดงอนิยต ๒ (= อนิยตุทเทส) จบแล้วพึงสวดอุทเทสที่เหลือด้วยสุตบท (เหลืออีก ๕ อุทเทส) ๕. แสดงโดยพิสดารทั้งหมด (= วิตถารุทเทส คือ สวดสิกขาบทที่มีอยู่ใน ๙ อุทเทสนั้น ทั้งหมด โดยไม่มีการสวดย่อ, ๙ อุทเทส คือ ๑. นิทานุทเทส ๒. ปาราชิกุทเทส ๓. สังฆาทิเส สุทเทส ๔. อนิยตุทเทส ๕. นิสสัคคิยุทเทส ๖. ปาจิตติยุทเทส ๗. ปาฏิเทสนียุทเทส ๘. เสขิยุทเทส ๙. สมถุทเทส โดยอุทเทสที่ ๙ นี้ มิใช่สิกขาบทแต่เป็นวิธีท�ำอธิกรณ์ ๔ ให้สงบระงับ ด้วยดี) เมื่อภิกษุทั้งหลายรู้ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตให้แสดงปาติโมกข์ย่อได้ จึงแสดง (ภิกขุ) ปาติโมกข์ย่อทุกครั้ง ภิกษุทั้งหลายทูลให้ทรงทราบ ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงแสดง ปาติโมกข์ย่อ ภิกษุรูปใดแสดงย่อ ต้องอาบัติทุกกฏ” ต่อมาก็ทรงอนุญาตให้แสดงย่อได้ในคราวที่มี ความจ�ำเป็น เช่น พระราชาเสด็จมา หรือคราวมีอันตรายจากโจร เป็นต้น (ดู วินย.มหา.ข้อ ๑๔๙-๑๖๗) การจัดล�ำดับการแสดงอุทเทส ๕ หรือ ๙ นี้ น่าจะทรงท�ำในเวลาที่ทรงบัญญัติสิกขาบท หรืออาบัติครบทั้ง ๗ กอง คือ ๑. ปาราชิก ๒. สังฆาทิเสส ๓. ถุลลัจจัย ๔. ปาจิตตีย์ ๕. ปาฏิเทสนียะ ๖. ทุกกฏ ๗. ทุพภาสิต รวมทั้งอธิกรณสมถะ ๗ ครบถ้วนแล้ว หากไม่มีความจ�ำเป็นหรือไม่มีอันตราย ภิกษุทั้งหลายพึงแสดงภิกขุปาติโมกข์โดย “วิตถารุทเทส คือ แสดงอุทเทสโดยพิสดาร” ได้แก่ แสดงสิกขาบทใน ๘ อุทเทสให้ครบถ้วน แล้วปิดท้าย ด้วยสมถุทเทส คือ แสดงอธิกรณสมถะทั้ง ๗ วิธี จึงรวมเป็น ๙ อุทเทส


(37) ถ้าจะระบุเวลาที่ทรงจัดล�ำดับการแสดงภิกขุปาติโมกข์ก็คงเกิดขึ้นหลังจากทรงบัญญัติอาบัติ ปาราชิก ๔ สิกขาบทครบแล้ว (พึงทราบว่าล�ำดับการแสดงอุทเทส ๕ หรือ ๙ นี้เป็นการจัดโทษหนัก ไปหาโทษเบา ไม่ใช่จัดโดยล�ำดับการเกิดขึ้นของสิกขาบท คือ มิได้หมายความว่า อาบัติปาราชิก ๔ เกิดขึ้นก่อนอาบัติอื่น ๆ เพราะอย่างน้อยที่สุดกรณีพระสุทินน์กลันทบุตรเสพเมถุนกับอดีตภรรยาก็ เกิดขึ้นในปีที่ ๒๐ ของการบ�ำเพ็ญพุทธกิจ ซึ่งเท่ากับว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติปฐมปาราชิก สิกขาบทในปีนี้ (ดู วินย.อ.๑/๖๘๑,๖๙๐) และนั่นก็หมายความว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ก�ำหนด ล�ำดับการสวดภิกขุปาติโมกข์เสร็จสิ้นไว้ก่อนเสด็จปรินิพพานแล้ว ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสกับพระอุบาลีเถระว่า “สิกขาบทของภิกษุมาสู่อุทเทสในวันอุโบสถรวม ๒๒๐ สิกขาบท ส่วนสิกขาบทของภิกษุณีมาสู่อุทเทสในวันอุโบสถรวม ๓๐๔ สิกขาบท...สิกขาบทของภิกษุ ๒๒๐ สิกขาบท มาสู่อุทเทสในวันอุโบสถ ท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้นดังจะกล่าวต่อไป คือ ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคิยะ (ปาจิตตีย์) ๓๐ ถ้วน ขุททกะ (สุทธิกปาจิตตีย์) ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ เสขิยะ ๗๕ รวมสิกขาบทของภิกษุ ๒๒๐ สิกขาบทที่มาสู่อุทเทสในวัน อุโบสถ” (วินย.ปริ.ข้อ ๑๐๒๔-๑๐๒๕) จะเห็นว่ามิได้ตรัสถึง “อธิกรณสมถะ ๗” ว่ามาสู่อุทเทสในวันอุโบสถด้วย แต่ในวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ข้อ ๘๘๐ มีข้อความว่า “อิเม โข ปนายสฺมนฺโต สตฺต อธิกรณสมถา ธมฺมา อุทฺเทสํ อาคจฺฉติ – ท่านทั้งหลาย ก็ธรรม คือ อธิกรณสมถะ ๗ ประการเหล่านี้แลมาสู่อุทเทส” (ซึ่งข้อความ “อุทฺเทส อาคจฺฉติ” มาสู่อุทเทส เป็นค� ํำบอกเล่าก่อนเข้าเรื่องของสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑, นิสสัคคิยปาจิตตีย์สิกขาบทที่ ๑, ปาจิตตีย์สิกขาบทที่ ๑, ปาฏิเทสนียสิกขาบทที่ ๑ และเสขิยธัมม์ สิกขาบทที่ ๑ คือ ประกาศว่า “ท่านทั้งหลาย ก็ธรรม คือ สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท, ธรรม คือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ สิกขาบท, ธรรม คือ ปาจิตตีย์ ๙๒ สิกขาบท, ธรรม คือ ปาฏิเทสนียะ ๔ สิกขาบท และธรรม คือ เสขิยะ ๗๕ สิกขาบท ก็มาสู่อุทเทส” ข้อความประกาศดังกล่าวเหล่านี้ มีความเป็นไปได้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นชอบแล้ว ตั้งแต่ครั้งยังทรงพระชนม์อยู่ ต่อมาเมื่อท�ำการรวบรวมพระวินัยพระอุบาลี จึงได้บอกกล่าวแก่ภิกษุ ทั้งหลายผู้ร่วมท�ำปฐมสังคายนา เพื่อให้ปฏิบัติวินัยกรรมให้ตรงกัน นั่นก็หมายความว่าภิกษุทั้งหลาย สวดภิกขุปาติโมกข์จ�ำนวน ๒๒๐ สิกขาบท และอธิกรณสมถะ ๗ มาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลแล้ว ซึ่งมี เหตุผลดังนี้ ๑. เพื่อบอกกล่าวว่าการแสดงภิกขุปาติโมกข์โดยพิสดาร (วิตถารุทเทส) นั้น จะต้องแสดง เรื่องในสิกขาบทนั้น ๆ ทั้งหมด (อาจ) มิใช่แค่น�ำตัวสิกขาบทมาสวด (อย่างทุกวันนี้) เท่านั้น แต่ต้องแสดงทั้งหมดตั้งแต่สถานที่ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ, ใครก่อเกิดเรื่องอะไร? ทรงทราบแล้วทรงให้สงฆ์ประชุม ทรงสอบถาม...ทรงบัญญัติสิกขาบท, สิกขาบทวิภังค์, บทน�ำ : ความเป็นมาของภิกขุปาติโมกข์


(38) พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (พระวินัย ๒๒๗ ข้อ : อุทเทสที่ถูกยกขึ้นแสดงในภิกขุปาติโมกข์) อาบัติ และอนาบัติ ดังนั้น การแสดงภิกขุปาติโมกข์โดยพิสดารจึงใช้เวลามากหลายชั่วโมง ระหว่าง แสดงจึงอาจมีความจ�ำเป็นหรืออันตรายเกิดขึ้นในระหว่างแสดง พระองค์จึงทรงอนุญาตให้แสดง ปาติโมกข์ย่อได้ อีกอย่างหนึ่ง สมัยพุทธกาลและหลังพุทธกาล ๔๐๐ ปี เป็นยุค “มุขปาฐะ” คือ การ แสดงพิสดารย่อมมีส่วนส่งเสริมให้ทรงจ�ำพระวินัยไว้ให้แม่นย�ำ จะได้รักษาและสืบทอดค�ำสอนไป ในตัวด้วย ๒. การที่น�ำอธิกรณสมถะ ๗ วิธีขึ้นสู่อุทเทสทุก ๆ กึ่งเดือนด้วย มีเหตุผลว่า หากไม่ยกเป็น อุทเทสไว้ พวกภิกษุในภายหลังก็จะไม่ศึกษา ไม่ให้ความส�ำคัญกับสมถะ ๗ วิธีเหล่านั้น เราจึงพบ ว่า เมื่ออธิกรณสมถะจัดอยู่ในส่วนของอุทเทสในวินัยปิฎก มหาวิภังค์ และปาติโมกขุทเทส ๕ แบบ มาในวินัยปิฎก มหาวรรค ดังนั้น คัมภีร์มาติกาปาติโมกข์ (= กังขาวิตรณีอรรถกถา) จึงอธิบาย อุทเทสครบทั้ง ๙ คือ เริ่มจากอธิบายนิทานุทเทส อันเป็นอุทเทสที่ ๑ ใปจบที่อธิกรณุทเทส อันเป็นอุทเทสที่ ๙ การยกขึ้นสู่อุทเทสจึงเป็นผลดีช่วยให้อธิกรณสมถะ ๗ ได้รับการศึกษา และ ใช้อ้างอิงในการระงับอธิกรณ์ ๔ ตลอดมา


968 พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (พระวินัย ๒๒๗ ข้อ : อุทเทสที่ถูกยกขึ้นแสดงในภิกขุปาติโมกข์) สิกขาบทที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการท�ำให้สมาชิกสงฆ์มีความ ประพฤติเหมือนกัน มีสังวาสเดียวกัน ไม่เป็นนานาสังวาส สมาชิกของภิกขุสังฆะจึงเสมอกันด้วยศีล (สีลสามัญญตา) ไม่เกิดความรังเกียจกันในด้านความประพฤติก่อให้เกิดความรักความสามัคคี ความเข้าอกเข้าใจกัน ระหว่างภิกษุนวกะ ภิกษุมัชฌิมะ และภิกษุเถระ เมื่อสิกขาบทยังได้รับการ ศึกษาและปฏิบัติตาม ก็หวังได้ว่าความประพฤติของสมาชิกสงฆ์จะไม่แตกต่างกับสมาชิกสงฆ์ใน อดีตและอนาคต พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่า พระสัทธรรม (ธรรมที่แท้) มี๓ คือ ๑. ปริยัตติสัทธรรม (สัทธรรมค�ำสอนที่จะต้องเล่าเรียน) ได้แก่ พุทธพจน์ ๒. ปฏิปัตติสัทธรรม ได้แก่อริยมรรคประกอบด้วยองค์๘ เป็นธรรมที่จะต้องปฏิบัติ ๓. ปฏิเวธสัทธรรม ได้แก่ มรรคผลและนิพพาน ธรรมที่จะพึงเข้าถึงด้วยการปฏิบัติ จากนั้นท่านก็แสดงล�ำดับการอันตรธานว่า ปฏิเวธสัทธรรมเสื่อมก่อน เมื่อไม่มีผู้บรรลุฌาน มรรค ผล นิพพาน ต่อมาปฏิปัตติสัทธรรมก็เสื่อมตาม เมื่อปฏิบัติแล้วไม่สามารถท�ำฌาน วิปัสสนา และมรรคผลให้เกิดขึ้นได้เหล่าภิกษุจึงท้อถอย ทำ� เพียงรักษาสิกขาบท และในที่สุดก็ไม่อาจรักษา อาบัติปาราชิกไว้ได้ปฏิบัติก็ชื่อว่าอันตรธาน ต่อมาปริยัตติสัทธรรมก็เสื่อม โดยอภิธรรมปิฎกเสื่อม ก่อน เพราะไม่มีผู้อธิบายได้จากนั้นสุตตันตปิฎกก็เสื่อม และในที่สุดวินัยปิฎกก็เสื่อม พระฎีกาจารย์จึงกล่าวให้ความส�ำคัญกับพระวินัยว่า “วินัยเป็ นอายุของพุทธศาสนา” เพราะเมื่อสิ้นพระวินัย พระพุทธศาสนาก็ตาย ดังนั้น การเรียบเรียงค�ำสอนเรื่องพระวินัยจึงเป็น การช่วยต่ออายุให้พระพุทธศาสนา การต่ออายุจะส�ำเร็จไม่ได้เลย หากไม่มีคัมภีร์ด้านพระวินัยและ ท่านผู้แปลทั้งหลาย ทั้งส่วนที่เป็นสถาบันสงฆ์และส่วนบุคคล ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต ข้าพเจ้า ขอกราบขอบพระคุณท่านเหล่านั้นด้วยเศียรเกล้า ทั้งกราบขอบพระคุณพระอาจารย์มหาธิติพงศ์ อุตฺตปญฺโ ที่อนุญาตให้น�ำ “องค์”แห่งการวินิจฉัยแต่ละสิกขาบทมาใส่ประกอบได้ บันทึกการเรียบเรียง


969 ท่านใดพบข้อบกพร่องหรือผิดพลาดประการใด ต้องการบอกกล่าวแนะน�ำ ติดต่อได้ที โทร.086-757-1735่ (อนึ่ง ขอให้ทราบว่า การเรียบเรียงครั้งนี้เป็นงานปรับปรุง แก้ไข และเพิ่มเติม จากงานเก่า ที่เคยพิมพ์เผยแพร่เมื่อหลายปีก่อน) ขอขอบพระคุณทีมงานผู้ช่วยให้งานเรียบเรียงของข้าพเจ้า ส�ำเร็จลุล่วงได้ด้วยดีอีกเล่มหนึ่งจนได้คือ คุณนาฏอนงค์ พรนภดล (ประสงค์ผล)รับหน้าที่พิมพ์ ลายมือและตรวจอักษร และคุณฐิติยา พรชื่ น รับจัดท�ำออกแบบรูปเล่ม ด้วยความอุตสาหะ ขันติ และรักในพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกัน ทั้งขอชื่นชมผู้บริหารธรรมสภา และสถาบันบันลือธรรม ท ี่ อดทนรอคอยงานนี้เป็นเวลา ๒ ปีเลยทีเดียว ขอขอบพระคุณและอนุโมทนากัลยาณมิตรของมูลนิธิธรรมสภา บันลือธรรม • ศูนย์ศึกษา พระไตรปิฎก ธรรมสภาและกองทุนดอกบัวกลางนาํ ้โดยคุณรุ ่งชัย วิริยะบัณฑิตกุล ที่ร่วมจัดพิมพ์ หนังสือเล่มนี้แจกเป็นธรรมทานแก่วัดและสถานปฏิบัติธรรมทั่วประเทศ ปัญญา ใช้บางยาง (ผู้อ�ำนวยการศูนย์พระไตรปิฎก ธรรมสภา) มีนาคม ๒๕๖๖


Click to View FlipBook Version