The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Panit Mee Sri, 2023-07-21 01:46:24

คู่มือสับปะรด2566

คู่มือสับปะรด

คู่มือ การปลูกสับปะรดอินทรีย์ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปสับปะรดในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์


ii ค ำน ำ คู่มือการจัดการความรู้ในการปลูกสับปะรดอินทรีย์ฉบับนี้ พัฒนาขึ้นภายใต้โครงการ การจัดการความรู้เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์สับปะรดตลอดห่วงโซ่คุณค่าของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูป สับปะรด ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สนับสนุนโดยจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ประจำปีงบประมาณ 2566 จัดทำขึ้นเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ในการปลูกสับปะรดอินทรีย์ให้เกิดความ หลากหลาย โดยการปลูกสับปะรดอินทรีย์ที่นำเสนอในคู่มือนี้ ได้ดำเนินการศึกษาและทบทวนองค์ ความรู้จากงานวิจัยร่วมกับการศึกษาบริบทและศักยภาพของชุมชนในการปลูกสับปะรดอินทรีย์ เพื่อ ส่งเสริมให้ชุมชนสามารถดำเนินการปลูกสับปะรดอินทรีย์ได้ด้วยตนเอง สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสับปะรด และสร้างรายได้เพิ่มให้กับชุมชนในการพึ่งพาตนเอง จากการมีความรู้ความเข้าใจ สามารถเป็นต้นแบบ ขยายผลไปยังกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดในพื้นที่และพื้นที่อื่นๆที่มีความสนใจได้อีกด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิภวานี เผือกบัวขาว และคณะ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี


iii สารบัญ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสับปะรด 1 การเตรียมพื้นที่ปลูกสับปะรดอินทรีย์ 7 การปลูกและการดูแลรักษา 11 การป้องกันกำจัดโรค แมลงศัตรูพืช และวัชพืช 18 การเก็บผลผลิตสับปะรด 23


iv ความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับสับปะรด


2 พันธุ์สับปะรดแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสมธ คายีน (Smooth Cayenne) กลุ่มควีน (Queen) และกลุ่มสแปนนิช (Spainish) ดังนี้ 1. กลุ่มสมธ คายีน (Smooth Cayenne) 1.1 พันธุ์ปัตตาเวีย สับปะรดพันธุ์ปัตตาเวีย มีชื่อเรียกในท้องถิ่นต่างกัน เช่น สับปะรดศรีราชา สับปะรดปราณบุรี สับปะรดสามร้อยยอด สับปะรด ดอนขุนห้วย สับปะรดห้วยมุ่น สับปะรดสวนผึ้ง (บ้านคา) สับปะรดยางสูง เป็นต้น 1.2 พันธุ์นางแล (Nanglae Pineapple) เป็นพันธุ์ที่นำเข้ามาจาก ต่างประเทศและมาปลูกที่ตำบลนางแล อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ลักษณะลำต้น ทั่วไปคล้ายพันธุ์ปัตตาเวีย แต่ผลมีขนาดเล็ก รูปทรงผลกลมกว่าปัตตาเวีย น้ำหนักผลอยู่ที่ 1.0-1.5 กิโลกรัม ตาของผลนูน เปลือกบาง เนื้อมีสีเหลืองเข้ม รสชาติหวานจัด มีกลิ่น หอม มีความหวานอยู่ที่ 16-20 บริกซ์ ปัตตาเวียหรือศรีราชา พันธุ์นางแล พันธุ์สับปะรด


3 1.3 พันธุ์เอ็มดีทู (MD2) ถิ่นกำเนิดมาจากหมู่เกาะฮาวาย เป็น สับปะรดที่กำลังได้รับความนิยมใน เรื่องของการรับปะทานผลสด ลักษณะใบมีสีเขียวตลอดทั้งใบแตกต่าง กับพันธุ์ปัตตวาเวียอย่างชัดเจน รสชาติหวาน มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เนื้อมีสีเหลือเข้มคล้ายกับสับปะรด พันธุ์ภูเก็ตหรือตราด สีทอง เนื้อแน่ ไม่เป็นโพรง จากข้อมูลพบว่า มีวิตามิน ซีสูงถึง 4 เท่าของสับปะรดพันธุ์อื่น เมื่อทานแล้วไม่กัดลิ้น ผลแก่จะเปลี่ยน จากผิวสีเขียวเป็นสีเหลืองทองทั้งผล ทำให้เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค 2. กลุ่มควีน (Queen) 2.1 พันธุ์ภูเก็ต (Malacca Queen) เรียกกันหลายชื่อ เช่น พันธุ์สวี พันธุ์ชุมพร ลักษณะของสับปะรดขอบใบมีหนาม มีใบประมาณ 48 ใบ/ต้น มีดอกย่อย 120 ดอก/ ผล มีน้ำหนักประมาณ 1-2 กิโลกรัม/ผล มี ตะเกียงที่ก้านผล 1-2 ตะเกียง ตาลึก เปลือก หนา ผลแก่มีสีเหลืองส้ม เนื้อเหลือง รสชาติ หวานกรอบมีกลิ่นหอม พันธุ์เอ็มดีทู (MD2) พันธุ์ภูเก็ต


4 2.2 พันธุ์ตราดสีทอง ใบแคบและยาว สีเขียว อ่อน มีแถบหรือเส้นสีแดงตอนกลางใบ ที่ขอบใบ มีหนามสีแดงรูปโค้ง จุกมีหนามเหมือนใบ ผลรูป ทรงกระบอกสม่ำเสมอ เปลือกบาง เปลือกสีเขียวอมส้ม แก่ ผลสีเหลืองทั้งผล ผลย่อย (ตา) นูน และลึก ขนาด ของผลหนัก 1.2-1.5 กิโลกรัม เนื้อมีสีเหลืองเข้ม ละเอียดไม่ฉ่ำน้ำ เยื่อใยน้อย มีช่องว่างในเนื้อ แกน ปลายเล็กสม่ำเสมอ เนื้อและแกนกรอบ รสหวานมาก มีกลิ่นหอม ค่าความหวาน 18-20 บริกซ์ 2.3 พันธุ์เพชรบุรี (Tainan 41) มี ลักษณะโดยทั่วไปคล้ายหรือใกล้เคียงกับ พันธุ์สวีหรือภูเก็ต ลักษณะสำคัญที่เห็นได้ ชัดคือ มีหนามที่ขอบใบ การแตกหน่อ ขนาด ผล สีเปลือกและสีเนื้อ ขนาดจุกจะเล็กกว่า พันธุ์อื่น ๆ ในกลุ่มพันธุ์เดียวกันอย่างเห็นได้ ชัด โดยพบว่าสับปะรดเพชรบุรี มีน้ำหนักจุกเฉลี่ยเพียง 72 กรัม ตาผลใหญ่ ก้านผลยาวและเก็บเกี่ยวได้เร็ว สีเนื้อในแต่ละฤดูจะไม่แตกต่างกันมากนัก เหมาะสำหรับบริโภคผลสด เนื่องจากมีรสชาติหวานแหลม เนื้อกรอบและฉ่ำ ปานกลาง มีเยื่อใยมาก พันธุ์ตราดสีทอง พันธุ์เพชรบุรี


5 2.4 พันธุ์ภูแล (Chiangrai Phulae Pineapple) เมื่อปี พ.ศ.2550 นายอเนก ประทีป ณ ถลาง อาจารย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ได้นำหน่อ สับปะรดภูเก็ตจากจังหวัดภูเก็ตไปปลูกครั้ง แรกที่ตำบลนางแล อำเภอเมือง จังหวัด เชียงราย โดยสภาพธรรมชาติที่แตกต่าง จากจังหวัดภูเก็ตทำให้สับปะรดมีขนาดผลเล็ก มีน้ำหนักผล 150-1,000 กรัม จุกชี้ตรง ความยาว 1.0-1.5 เท่าของผล ตาโปน เปลือกหนา เนื้อมีสีเหลือ กรอบ กลิ่นหอม แกนใบรับประทานได้ ความหวาน 14-16 บริกซ์ ใบเรียว เล็ก ขอบใบมีหนามเก็บเกี่ยวได้ใน 120-150 วัน ตั้งชื่อว่า พันธุ์ภูแล ซึ่งมา จากคำว่าภูเก็ตรวมกับคำว่านางแล เป็นภูแล 3. กลุ่มสแปนนิช (Spanish) เป็นสับปะรดพันธุ์พื้นเมือง มีข้อดีคือ ปลูกง่าย ทนทานต่อโรค ให้ส่วนขยายพันธุ์มาก ทนทานต่อสภาพแวดล้อม แต่เนื้อใน มีกรดจัด รสชาติค่อนข้างอมเปรี้ยว ระคายลิ้น ได้แก่ พันธุ์อินทรชิตแดง และพันธุ์ขาว แหล่งปลูกอยู่ที่อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา 3.1 พันธุ์อินทรชิตแดง ขอบใบจะมีหนาวแหลงรูปร่างโค้งงอสีน้ำตาล อมแดง ใบสีเขียวอ่อนไม่เป็นมัน ขอบใบทั้ง 2 ข้างมีแถบสีแดงอมน้ำตาล ตามแนวยาว ใต้ใบจะมีสีเขียวออกขาวและมันวาวออกสีน้ำเงิน กลีบดอกสี


6 ม่วงเข้ม ผลมีขนาดเล็กกว่าพันธุ์ปัตตาเวีย รสหวานอ่อน อมเปรี้ยว มี ตะเกียงที่ก้านผล เปลือกผลเหนียวแน่น ทนทานต่อการขนส่ง เหมาะ สำหรับประกอบอาหาร เช่น ผัดเปรี้ยวหวาน แกงคั่ว ขนมจีนซาวน้ำ เป็น ต้น 3.2 พันธุ์ขาว ลักษณะใบมีสีเขียวอ่อน มีหนาวแหลมคม สีผลซีต รสชาติคล้ายพันธุ์อินทรชิตแดง ปัจจุบันเกือบจะสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทย พันธุ์อินทรชิตแดง พันธุ์อินทรชิตขาว


7 การเตรียมพื้นที่ปลูก สับปะรดอินทรีย์


8 ระบบการปลูกสับปะรด สับปะรดเป็นพืชที่ต้องการธาตุไนโตรเจน และ โพแทสเซียมค่อนข้างสูง ถ้าขาดไนโตรเจนจะเริ่มแสดงอาการที่ ใบอ่อน จะมีสีเขียวจาง ๆ ถ้าขาดโพแทสเซียม จะมีจุดไหม้ที่ใบ แก่และเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เหี่ยวแห้งไป ผลจะมีขนาดเล็กสุก ช้า สับปะรดเป็นพืชที่มีอายุนาน 4-5 ปี จะเก็บผลผลิตครั้งแรก ได้หลังจากปลูกได้ 15-18 เดือน หลังจากนั้นเก็บเกี่ยวปีละครั้ง ได้อีก 2 รุ่น การจัดการดิน ดินที่นำมาปลูกควรเป็นดินร่วนหรือ ดินร่วนปนทราย ไม่ควรสูงกว่าระดับ น้ำทะเล เกิน 600 เมตร ไม่เหมาะในสภาพน้ำท่วมขัง สภาพ ความเป็นกรดด่าง (pH) ของดินควรเป็นกรดเล็กน้อย คือตั้งแต่ 4.5-5.5 แต่ไม่เกิน 6.0 ดินควรมีความอุดมสมบูรณ์ปานกลาง มี อินทรียวัตถุไม่ต่ำกว่าร้อยละ 1.5 การระบายน้ำดี และระดับ หน้าดินลึกไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร


9 การเตรียมพื้นที่ 1. การวางผังแปลง -กำหนดขนาดแปลงและถนน โดยมีความกว้างของแปลงประมาณ 40-50 เมตร ความยาวไม่ จำกัดแต่ไม่ควรยาว เกิน 200 เมตร - ควรวางแนวแปลงปลูกให้เข้ากันได้กับถนน วางแปลงตามยาว ขนานกับแนวลาดเอียง - กำหนดทางระบายน้ำทำทางระบายน้ำเพื่อมิให้น้ำขัง - ปลูกไม้ยืนต้นหรือไม้พุ่มเป็นแนวกันชน ป้องกันลมป้องกัน แมลงศัตรูพืช ป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน 2.การปรับพื้นที่ การปรับพื้นที่ถ้าพื้นที่ไม่สม่ำเสมอ ไม่จำเป็นต้องปรับหน้าดิน ให้เป็นแนวราบเรียบทั้งแปลง แต่เน้นการปรับหน้าดิน เพื่อมากลบ แต่ถ้าเป็นแอ่งลึกหรือ กว้างมากให้ทำการแก้ไขโดยทำทางระบายน้ำออกจากแอ่ง ดังกล่าว


10 3. การเตรียมดิน พื้นที่ที่เคยปลูกสับปะรด ให้ไถกลบ สับใบและต้นปล่อยให้ย่อยสลายสัก 1 เดือน แล้วไถกลบ 1 ครั้ง ตากดิน 7-10 วัน พรวน 1-2 ครั้ง ยกแปลง สูง 15 เซนติเมตร แล้วทำแนวปลูกสับปะรดกรณี พื้นที่มีความลาดมากกว่า 3 เปอร์เซ็นต์ ต้องทำร่องระบายน้ำ รอบแปลงปลูกและทำการปลูกหญ้าแฝกเพื่อป้องกันหรือลด การชะล้างพังทลายของหน้าดิน 4.การเตรียมแหล่งน้ำ แหล่งน้ำที่ใช้ในแปลงเพาะปลูกจะต้องแยกกันจากแหล่งน้ำที่ใช้ ในแปลงเกษตรเคมีเพื่อป้องกันปัญหาการปนเปื้อนของสารพิษ ตกค้าง สำหรับการขุดบ่อกัดเก็บน้ำใหม่ควรมีการปลูกหญ้าแฝก บริเวณขอบบ่อเพื่อป้องกันการพังทลายของดินและรากแฝก สามารถกักเก็บสารพิษได้


11 การปลูกและ การดูแลรักษา


12 การบำรุงดินด้วยอินทรีย์วัตถุุ 1. การไถเตรียมดิน หลังจากไถเตรียมดินทำการฉีดพ่นปุ๋ยอินทรีย์น้ำอัตรา 5 ลิตรต่อไร่ โดยเจือจาง 1 : 500-1 : 1,000 แล้วทำการไถกลบ วัสดุเหลือใช้จากการเกษตรได้แก่ เปลือกสับปะรด กากสับปะรด หรือแกลบ แล้วปล่อยทิ้งไว้เพื่อให้เกิดการย่อยสลาย เป็นเวลา 1 เดือน หลังจากไถกลบวัสดุเหลือใช้แล้ว จากนั้นทำการปลูกพืชสด ได้แก่ ถั่วพร้า หรือปอเทือง หรือถั่วพุ่ม ฉีดพ่นด้วยปุ๋ยอินทรีย์ น้ำอัตรา 5 ลิตรต่อไร่ โดยเจือจาง 1:500-1 : 1,000 ฉีดทุก 10 วัน เมื่อพืชปุ๋ยสดมีอายุครบ 50 วัน หรือออกดอก ก็ทำการไถ กลบและปล่อยทิ้งไว้ 15 วัน จึงทำการปลูกสับปะรดต่อไป 2. ปลูกพืชปุ๋ยสดบำรุงดิน ก่อนปลูกสับปะรด


13 3. การปลูกพืชบำรุงดินในช่วง ระหว่างปลูกสับปะรด การปลูกพืชบำรุงดินในระหว่างแถวสับปะรด อัตรา 1-2 กิโลกรัมต่อไร่ มีประโยชน์ทำให้เพิ่มไนโตรเจนกับดิน เพิ่มปริมาณ จุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในดิน ทำให้ดินมีความชุ่มชื้นและเป็น การคลุมดิน เพื่อป้องกันวัชพืชขึ้น เศษพืชบำรุงดินดังกล่าว สามารถใช้คลุมดินได้ต่อไป 4.การใช้เศษวัสดุการเกษตรคลุมดิน ในช่วงระหว่างปลูกสับปะรด หลังจากที่มีการใช้เศษพืชบำรุงดิน คลุมดิน ในระหว่างแถวสับปะรดควรนำเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ร่วมด้วยกับการคลุมดิน เช่น ฟางข้าว เปลือกสับปะรด กากสับปะรด แกลบ หรือใบหญ้าแฝก เพื่อเป็นการช่วยรักษาความอุดมสมบูรณ์ของ ดินทั้งในด้านการป้องกันการสูญเสียธาตุอาหารในดิน และความชื้นใน ดิน รวมถึงการป้องกันวัชพืชที่จะขึ้นในระหว่างแถวสับปะรดด้วย


14 วิธีการปลูก 1. การเตรียมต้นพันธุ์สับปะรด การปลูกสับปะรดโดยทั่วไปสามารถใช้ส่วน ขยายพันธุ์ของต้นได้ในหลายลักษณะได้แก่ การใช้ หน่อ ควรมีการคัดเลือกหน่อที่มีขนาดใกล้เคียงกัน เพื่อให้ได้ต้นสับปะรดที่สม่ำเสมอกัน โดยแบ่งหน่อ สับปะรดเป็น 3 ขนาด ได้แก่ ขนาดเล็ก (300 – 500 กรัม) ขนาดกลาง (500 – 700 กรัม) และ ขนาดใหญ่ (700 – 900 กรัม) การใช้จุก ควรมีน้ำหนักประมาณ 180 กรัม การออกดอกอายุปลูก 12–14 เดือน การปลูกด้วย จุกหรือหน่อจะปลูกในช่วงก่อนเข้าฤดูฝนก่อนปลูก ควรชุบหน่อพันธุ์ด้วยสารในกลุ่มเมธาแลคซีนป้อง กันโรครากเน่า และการปลูกสับปะรดยังนิยมใช้ ต้นพันธุ์ที่ขยายพันธุ์มาจาก การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเป็นต้นพันธุ์ที่มีการ อนุบาลเพื่อให้ต้นสับปะรดมีการเจริญเติบโต ปรับตัวก่อนนำมาปลูกในพื้นที่ การปลูกนำต้น สับปะรดออกมาทิ้งไว้ในที่โล่งแจ้งประมาณ 1-2 สัปดาห์การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อให้ผลผลิตใกล้เคียง กับการใช้จุกปลูก 1 : 500-1 : 1,000 หน่อสับปะรด จุกสับปะรด การเพาะเนื้อเยื่อ


15 การดูแลรักษา 1. การให้น้ำในแปลงปลูกสับปะรด โดยปกติถ้าสับปะรดได้รับน้ำอย่างสม่ำเสมอ ทุกเดือน เดือนละประมาณ 100 มิลลิเมตร จะเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นสับปะรด ในสภาพพื้นที่ปลูก เขตจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จะมีปริมาณน้ำฝนที่ไม่สม่ำเสมอกันช่วงเดือน ธันวาคม-เมษายน จะแห้งแล้งยาวนาน ช่วงเดือน พฤษภาคม-กันยายน มี ปริมาณน้ำฝนปานกลาง และบางช่วงเดือน ตุลาคม-พฤศจิกายน มีปริมาณน้ำฝนตกมากเกินไป จะทำให้ สับปะรดเสียหายจากการถูกน้ำขังและ เชื้อโรคระบาด ส่งผลให้ไม่ได้ผลผลิตที่ดี และคุณภาพ การให้น้ำมีข้อควรพิจารณาดังนี้คือ 1) ไม่จำเป็นต้องให้น้ำถ้ามีปริมาณน้ำฝนสม่ำเสมอตลอดฤดูปลูก 2) ในฤดูแล้งหรือฝนทิ้งช่วงควรให้น้ำต้นสับปะรดที่กำลังเจริญ เติบโต สัปดาห์ละ 1-2 ลิตรต่อต้น 3) ควรให้น้ำก่อนและหลังการออกดอก 4) หยุดให้น้ำก่อนเก็บผลผลิต 15-30 วัน


16 2. การบังคับดอก วิธีการบังคับให้สับปะรดออกดอกพร้อม กัน ประการสำคัญต้องบำรุงต้นให้มีน้ำหนัก 2.5-2.8 ด้วยวิธีสุ่มตัวอย่าง นำขึ้นมาชั่งน้ำหนัก แต่ถ้าหาก เกษตรกรที่ปลูกมานานสามารถประมาณการได้ จากนั้นใช้สารที่เรียกว่า เอทธิฟอน 39.5 เปอร์เซ็นต์ อัตรา 8 มิลลิกรัม และปุ๋ยยูเรียหรือปุ๋ย น้ำตาลทรายก็เรียกกัน 300 กรัม ละลายในน้ำสะอาด 1 ปี๊บ คนให้เข้ากันแล้วหยอดหรือราดที่ยอดสับปะรด 2 ครั้ง ทิ้งช่วงห่างกัน 4-7 วัน เวลาที่หยอดสารควร เป็นเวลาเย็นได้ผลดีที่สุด อีก 2-4 สัปดาห์ จะมีดอก ปรากฏให้เห็น


17 3. การคลุมผลสับปะรด การคลุมผลสับปะรดมีจุดประสงค์ เพื่อป้องกันแดดเผาผลสับปะรดเพราะจะทำให้ เนื้อในผลฝ่อ การคลุมผลสามารถ ทำได้หลาย วิธี ขึ้นอยู่กับความสะดวกของเกษตรกร สามารถเลือกได้ 3 วิธีดังนี้ 1) การใช้หญ้าหรือฟางข้าวพันรอบ บริเวณตอนบนของผลวิธีนี้เกษตรกรนิยมกัน มากเพราะได้ผลดีและสะดวก ใช้แรงงานไม่มาก หญ้าที่ใช้พันนั้นส่วนใหญ่นิยมใช้หญ้าคาเพราะมี ใบยาวสะดวกในการพันและคงทนอยู่ได้นาน 2) ใช้กระดาษห่อทำเป็นถุงโดยเย็บถุง กระดาษให้เป็นรูปทรงกระบอก หัวท้ายเปิด แล้วเอาไปสวมผลไว้ กระดาษที่มีความคงทนจะ ป้องกันแดดเผาได้ดีมาก แต่ส่วนมากกระดาษ จะขาดเมื่อถูกน้ำฝนและลมพัด 3) ใช้ใบสับปะรดซึ่งอยู่รอบ ๆ ผลหุ้มโดย มัดปลายใบเข้าหากันวิธีนี้ป้องกันแดดเผาได้ดีแต่ ค่อนข้างจะเปลืองแรงงาน การใช้ใบสับปะรดห่อ การใช้ใช้กระดาษ ห่อ


18 การป้องกันกำจัดโรค แมลงศัตรูพืช และ วัชพืช


19 การป้องกันกำจัดโรค แมลงศัตรูพืช และวัชพืช แมลงศัตรูพืชที่สำคัญและการป้องกันกำจัดระหว่างปลูกสับปะรด สับปะรดเป็นพืชที่มีแมลงศัตรูสำคัญดังนี้ 1) เพลี้ยแป้ง เป็นแมลงศัตรูสับปะรดที่สำคัญมาก จะทำความเสียหายโดยการดูดกินน้ำเลี้ยง จากส่วนต่าง ๆ ของต้นสับปะรดโดยเฉพาะบริเวณกาบใบลำต้น ช่อดอกและผล ทำให้ ต้นเจริญเติบโตช้ากว่าที่ควรและเพลี้ยแป้ง จะติดอยู่ที่ผลด้วย ทำให้มีปัญหาในด้านการยอมรับ ของผลสด และมีมดดำเป็น พาหะที่นำไวรัสโรค เหี่ยวเฉา ดังนั้นจะต้องกำจัดรังมดภายในแปลง โดยวิธีการทางธรรมชาติก่อน การเพาะปลูก และต้องระมัดระวังไม่ให้มีเพลี้ยแป้งติดมากับ หน่อพันธุ์ โดยการคัดเลือกพันธุ์ทีดี 2) ไร ไรทำความเสียหายให้กับหน่อ ต้นที่อยู่ ระยะออกดอกและผล โดยไรอาศัยอยู่ตามโคนใบ ถ้าเข้าทำลายในระยะผลกำลังเริ่มเจริญเติบโตอาจ ทำให้เนื้อเยื่อรอบผลย่อยเป็นรอยสีน้ำตาลขรุขระ เหมือนอาการของผลขาดโบรอน อาจกำจัดได้โดย การใช้สารไพรีทรอยธรรมชาติฉีดพ่น


20 3) เพลี้ยไฟ เพลี้ยไฟจะเข้าทำลายที่ผลจะทำให้เกิดรอยแผลสีน้ำตาลและผลมีรูปร่างผิด ปกติ เพลี้ยไฟจะระบาดได้มากในสภาพอากาศแห้งแล้ง อาจกำจัดได้โดยการใช้สาร ไพรทรอยที่ได้จากธรรมชาติมาฉีดพ่นในเวลาเย็นหรือเวลา เช้าก่อนแสงแดดจัด


21 4) เพลี้ยหอย เพลี้ยหอยทำความเสียหายโดยการดูดกิน น้ำเลี้ยงที่ใบทำให้ต้นสับปะรดอ่อนแอ มัก ระบาดในช่วงที่มีสภาพอากาศร้อนแห้ง แล้ง เพลี้ยหอยมักชอบอาศัยอยู่ตามใบที่ ไม่ถูกแสงแดดโดยตรงมากนัก การกำจัด เช่นเดียวกันกับการกำจัดเพลี้ยไฟ คือการ ใช้สารจากธรรมชาติ เช่น สารไพรีทรอยใน การฉีดพ่น การป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช ในระบบเกษตรอินทรีย์สามารถเลือกปฏิบัติได้ ความหมาะสมดังนี้ 1) ไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ในการป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูสับปะรด 2) การเตรียมแปลงกำหนดช่วงเวลาปลูก ที่เหมาะสมการปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อตัด วงจร การระบาดของโรคและแมลงศัตรูสับปะรด การเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ ของดินและสมดุลของธาตุอาหารพืช การจัด น้ำเพื่อให้ต้นสับปะรดเจริญเติบโต ดี สมบูรณ์และแข็งแรง สามารถลดการทำลายของโรคแมลงศัตรูสับปะรดได้ส่วน หนึ่ง 3) การจัดการสภาพแวดล้อมไม่ให้เหมาะสม กับการระบาดของโรคและแมลง ศัตรู สับปะรด เช่น การกำจัดวัชพืช การกำจัดเศษซากพืชที่เป็นโรคโดยใช้ปูนขาว หรือ กำมะถันผงที่ไม่ผ่านกระบวนการทางเคมี และควรปรับสภาพดินไม่ให้เหมาะสม กับการระบาดของโรค


22 ดังนั้นการป้องกันกำจัดศัตรูสับปะรดควรใช้วิธีการที่ปลอดภัย ตามคำแนะนำเพื่ออนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติที่เป็นประโยชน์ 4) การควบคุมความสมดุลระบบนิเวศน์ของสิ่งมีชีวิตทางธรรมชาติ โดย ส่งเสริมการแพร่ขยายปริมาณของแมลงที่มีประโยชน์ต่อพืช เช่น ตัวห้ำ ตัว เบียน และศัตรูธรรมชาติเพื่อช่วยควบคุมแมลงศัตรูสับปะรด 5) การใช้สารสกัดจากพืช เช่น สะเดา ข่า ตะไคร้หอม ใบแคฝรั่ง ฯลฯ ในการกำจัดแมลง 6) ใช้วิธีกล เช่น ใช้แสงไฟล่อศัตรูธรรมชาติของแมลงศัตรูสับปะรดที่สำคัญ และพบทั่วไปในไร่สับปะรดมีเพียงชนิดเดียว คือ ด้วงเต่า ตัวเต็มวัยมีขนาด ยาว 4.0-4.5 มิลลิเมตรลำตัวด้านบนนูนโค้งสีดำ ด้านล่างแบนราบ อก ปล้องแรกและปลายปีกสีส้ม เพศเมียวางไข่สีเหลืองอ่อนเป็นกลุ่มบนพื้นผิว พืช ตัวหนอนมีไข่แป้งสีขาวปกคลุมคล้ายเพลี้ยแป้ง ตัวหนอนและตัวเต็มวัย ของด้วงเต่าเป็นตัวห้ำ กัดกินเพลี้ยแป้งศัตรูสำคัญของสับปะรด


23 การเก็บเกี่ยวสับปะรด


24 การสังเกตผลแก่ของสับปะรด การสังเกตผลแก่ของสับปะรด พิจารณาได้จากลักษณะภายนอกผลดังนี้ ผิวเปลือก จะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นเขียว อมเหลืองอมส้ม หรือเขียวเข้มเป็นมัน ใบเล็ก ๆ ของตาย่อย จะเหี่ยวแห้ง เป็นสีน้ำตาลหรือชมพู ตาย่อย จะนูนเด่นชัด เรียกว่าตาเต็ม ร่องตาจะตึงเต็มที่ขนาดของผล ไม่เพิ่มขึ้นอีก ดมกลิ่น ผลสับปะรดแก่จะส่งกลิ่นหอม เฉพาะตัว ความแน่นของผล จะลดลง การใช้นิ้วดีดหรือไม้เคาะเพื่อฟังเสียง ถ้าเสียงโปร่งแสดงว่ายังไม่แก่ถ้าเสียงทึบ (หรือแปะ) แสดงว่าแก่จัดได้ที่แล้ว


25 การเก็บผลผลิตสับปะรด การเก็บผลสับปะรดให้ได้คุณภาพดี ควรเก็บ 3 ครั้ง ครั้งแรกจะเก็บได้ประมาณ 20-25 เปอร์เซ็นต์ของผลทั้งหมดในแปลง ครั้งที่สองเก็บหลังจากครั้งแรกประมาณ 5 วัน จะเก็บได้ประมาณ 40-60 เปอร์เซ็นต์ ของที่สองประมาณ 5 วันโดยเก็บผลที่เหลือทั้งหมด สำหรับสับปะรดที่จะนำส่งโรงงาน ให้ใช้มือหักผลออกจากต้นโดยไม่ต้องเหลือก้าน แล้วหักจุกออก สับปะรดสำหรับบริโภคสด ใช้มีดตัดให้เหลือ ก้านยาวติดผลประมาณ 10 เซนติเมตร ไม่ต้องหักจุกออก


26 คณะผู้จัดทำ 1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิภวานี เผือกบัวขาว หัวหน้าโครงการ 2. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ กฤษณ์ ไชยวงศ์ ผู้ร่วมโครงการ 3. ดร.บัณฑิตพงษ์ ศรีอำนวย ผู้ร่วมโครงการ 4. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สาโรช เผือกบัวขาว ผู้ร่วมโครงการ 5. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนิต ศรีประดิษฐ์ ผู้ร่วมโครงการ ทุนอุดหนุนการทำกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยเรื่อง “การจัดการความรู้เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ สับปะรดตลอดห่วงโซ่คุณค่าของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปสับปะรด ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์“ ภายใต้ โครงการวิจัยเพื่อการใช้ประโยชน์ในชุมชนสังคม ประจำปีงบประมาณ 2566 จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัย แห่งชาติ (วช.)


Click to View FlipBook Version