การอ่านการเขียนภาษาบาลเี บื้องต้น
ทุกระดบั ช้ัน
จัดทาโดยพระธีรวฒั น์ จนฺทโภภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม
หลกั การอ่านภาษาบาลเี บื้องต้น
ภาษาบาลีเป็นภาษาท่ีใชใ้ นพระไตรปิฎก ปัจจบุ นั การประกอบพิธีกรรมตา่ ง ๆ ยงั นิยมใช้ ภาษาบาลีอยู่ พุทธศาสนิกชน
จงึ ควรอา่ นและเขียนไดบ้ า้ งตามสมควร เพ่ือจะไดศ้ กึ ษาหลกั ธรรมไดเ้ ขา้ ใจและสามารถนาไปปฏิบตั ิไดโ้ ดยการใชห้ ลกั การดงั นี้
➢ ๑. สระ
สระท่ีใชใ้ นภาษาบาลมี ี ๘ ตวั คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ
เม่ือประกอบกบั พยญั ชนะ สระอะ จะไม่ปรากฏรูปแตจ่ ะอา่ นออกเสยี งสระอะ เชน่ วร อา่ นวา่ วะ-ระ
➢ ๒. พยญั ชนะ
พยญั ชนะ ในภาษาบาลมี ี ๓๓ ตวั โดยแบง่ ออกเป็นหมวดหรอื วรรค ดงั นี้
วรรค กะ ก ข ค ฆ ง
วรรค จะ จ ฉ ช ฌ ญ
วรรค ฏะ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ
วรรค ตะ ต ถ ท ธ น
วรรค ปะ ป ผ พ ภ ม
อวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ ํ
พยญั ชนะทกุ ตวั อา่ นออกเสียง อะ เชน่ กะ ขะ จะ ตะ ปะ
หลกั การอ่านภาษาบาลเี บื้องต้น
➢ ๓.เครื่องหมายต่าง ๆ
๓.๑ ( ํ ) เรยี กวา่ นิคหติ
เป็นวงกลมเลก็ ๆ ท่ีเขียนบนพยญั ชนะอา่ นออกเสยี งแม่ กง คือใช้ ง สะกด
เชน่ ต = ตงั วสิ = วิสงั
๓.๒ ( ํ ) เรยี กวา่ พนิ ทุ
เป็นจดุ ท่ีเขียนไวใ้ ตพ้ ยญั ชนะตวั ใด พยญั ชนะตวั นนั้ เป็นตวั สะกด ไม่ออกเสยี ง
เชน่ มะยงฺ = มะ ยงั สกิ ฺขา = สกิ ขา
บางครงั้ ใช้ พินทุ เพ่ือเป็นตวั ควบกลา้ ในกรณีนีใ้ หอ้ า่ นออกเสยี งก่งึ มาตรา
เช่น พฺยาธิ = พยา ธิ
การอ่านภาษาบาลี ภะกดแบบบาลี (แบบท๑่ี ) มดี งั นี้
➢ ๑ พยัญชนะตัวใดทเี่ ขยี นโดด ๆ โดยไม่มสี ระใหอ้ า่ นออกเสียงสระอะ พยัญชนะทม่ี สี ระอนื่ กากับกอ็ อกเสยี งตามนั้น
เชน่ ยาจาม อา่ นวา่ ยา-จา-มะ
สห อา่ นวา่ สะ-หะ
๒ เมอื่ มพี นิ ทุอยใู่ ตพ้ ยัญชนะตัวใด พยัญชนะตัวนั้นเป็ นตวั สะกด ไม่ออกเสยี ง
เชน่ ภนเต อา่ นวา่ ภนั -เต
อตถิ อา่ นวา่ อัต-ถิ
จนโท อา่ นวา่ จัน-โท
๓ บางครั้งใช้พนิ ทุ จุดใต้พยัญชนะ เพอ่ื ใหต้ ัวควบกลา้ ในกรณีนีอ้ ่านออกเสียงกง่ึ มาตรา
เชน่ พยาธิ อา่ นวา่ พยา-ธิ
พราหมณ อา่ นวา่ พราม-มะ-ณะ
๔ ในการสะกดแบบบาลี มกี ารใช้ นิคหติ ถอื ว่าเป็ นพยญั ชนะออกเสียง แม่กง คอื ใช้เป็ นตัว ง สะกด
เชน่ มย อา่ นวา่ มะ-ยงั
วสิ ุ อา่ นวา่ ว-ิ สุง
การอ่านภาษาบาลี ภะกดแบบบาลี (แบบท๒่ี ) มดี งั นี้
➢ ๑ พยญั ชนะทไี่ ม่มสี ระกากับ อ่านเหมอื นมสี ระ อะ
เชน่ ภคว อา่ นวา่ ภะ-คะ-วะ (ภควโต)
อะ-ระ-หะ (อรหโต)
อรห อา่ นวา่ ปะ-นะ
จะ
ปน อา่ นวา่
จ อา่ นวา่
๒ พยัญชนะทม่ี สี ระกากบั อา่ นตามสระนั้นๆ เหมอื นคาไทย
เชน่ อติ ปิ ิ โส อา่ นวา่ อ-ิ ต-ิ ปิ -โส
๓ จดุ บน เรียกวา่ นิคหติ หรือ นฤคหติ พยญั ชนะทม่ี จี ุดบน อ่านเหมอื น + องั
เชน่ ส (=ส + องั ) อา่ นวา่ สัง
น (=น + อัง) อา่ นวา่ นัง
ม (=ม + อัง) อา่ นวา่ มัง
การอ่านภาษาบาลี ภะกดแบบบาลี (แบบท๒่ี ต่อ) มดี งั นี้
➢ ๔ จุดล่าง เรียกว่า พนิ ทุ ทาหน้าทเี่ ป็ นตวั สะกด
๔.๑ หน้าตัวสะกดมสี ระกากบั อ่านตามสระนั้นๆ + ตัวสะกด
เชน่ วิชชา (มีสระ อิ ท่ี ว) อา่ นวา่ วดิ -ชา
ว-ิ ชะ-ชา
ถา้ เป็น วชิ ชา (ไมม่ ีจดุ ลา่ ง) ตอ้ งอา่ น พดุ -ทงั
พ-ุ ทะ-ธัง
พุทธ (มีสระ อุ ท่ี พ) อา่ นวา่ เมด-ตา
เม-ตะ-ตา
ถา้ เป็น พทุ ธ (ไม่มีจดุ ลา่ ง) ตอ้ งอา่ น
เมตตา (มีสระ เอ ท่ี ม) อา่ นวา่
ถา้ เป็น เมตตา (ไมม่ ีจดุ ลา่ ง) ตอ้ งอา่ น
๔.๒ หน้าตวั สะกดไมม่ สี ระกากบั อ่านเหมอื นมไี มห้ นั อากาศ
เชน่ สตถา อา่ นวา่ สดั -ถา (ตฺ เป็นตวั สะกด หนา้ ตฺ คือ ส ไมม่ ีสระกากบั )
ธมโม อา่ นวา่ ธัม-โม (มฺ เป็นตวั สะกด หนา้ มฺ คือ ธ ไมม่ ีสระกากบั )
สงโฆ อา่ นวา่ สัง-โฆ (งฺ เป็นตวั สะกด หนา้ งฺ คือ ส ไมม่ ีสระกากบั )
การอ่านภาษาบาลี ภะกดแบบบาลี (แบบท๒ี่ ต่อ) มดี ังนี้
➢ ๕ มสี ระ และมจี ดุ บนด้วย พา-หุง
กา-ตุง
๕.๑ มสี ระ อุ และมจี ดุ บน อา่ นเป็ นเสยี ง อุง
เชน่ พาหุ อา่ นวา่
กาตุ อา่ นวา่
๕.๒ มีสระ อิ และมจี ดุ บน (เขยี นคล้ายสระ อ)ึ อา่ นเป็ นเสยี ง องิ
เชน่ อหสึ ก อา่ นวา่ อะ-หงิ -สะ-กะ
โปรดจา อหึ ไมใ่ ช่ อะ-หึ (เสยี งหวั เราะ หึ ห)ึ แตเ่ ป็น อะ- หงิ
➢ ๖ พรหม ออกเสยี ง พ และ ห แผ่วนิดหน่ึง ให้ พ ไปรวมกับ ร และ ห ไปรวมกับ ม
(ลองออกเสยี งชา้ ๆ เป็น พะ-ระ-หะ-มะ แลว้ รวบใหเ้ รว็ ขนึ้ เป็น พระ-ห-มะ หรอื จะออกเสยี งเป็น พรา-มะ ตรงๆ ก็ได้
แตพ่ งึ เขา้ ใจวา่ เสยี งจรงิ ๆ คือ พะ ระ หะ มะ หรอื พระ-ห-มะ)
การอ่านภาษาบาลี ภะกดแบบบาลี (แบบท๒ี่ ต่อ) มีดงั นี้
➢ ๗ ทว (ในคาว่า ทวาร, เทว เป็ นตน้ )
ออกเสยี ง ท แผ่วนิดหนง่ึ ให้ ท รวมกบั ว ไมใ่ ช่ ทะ ว แตเ่ ป็นเสียงคลา้ ยคาวา่ ทวั
เชน่ ทวาร อา่ นวา่ ทวั -อา-ระ (เสียงไทยอา่ นวา่ ทะ-วา-ระ, ทะ-วาน)
เทว อา่ นวา่ ทวั -เอ (เสยี งไทยอา่ นวา่ ทะ-เว)
➢ ๘ ตวา ไม่ใช่ ตะ วา แต่คล้ายคาว่า ตัวอา ออกเสยี งเร็วๆ
เชน่ กตวา อา่ นวา่ กัด-ตวั อา (ไมใ่ ช่ กดั ตะ วา หรอื กดั -วา)
สุตวา อา่ นวา่ สุด-ตัวอา (ไมใ่ ช่ สดุ ตะ วา หรอื สดุ -วา)
ความมหัศจรรย์
ของภาษาบาลี
ความมหัศจรรย์ของภาษาบาลี
ศาภนาท้งั หลายในโลกนี้ ต่างมีภาษาภาหรับจารึกศาภนธรรมคาภอนของพระศาภดาผู้ก่อต้งั ศาภนาน้ันๆ
ภาษาภันภกฤตผู้นับถือศาภนาพราหมณ์นับถือว่าเป็ นภาษาอนั ศักด์ภิ ิทธ์ิ เพราะจารึกคาภอนอขงพระเวทฉันใด
แม้ภาษาบาลกี เ็ ป็ นเช่นเดยี วกนั ชาวพทุ ธท้งั หลายฝ่ ายเถรวาทกน็ ับถือว่าเป็ นภาษาศักด์ภิ ิทธ์ เพราะจารึกพระ
ธรรมอนั เป็ นคาภอนของพระภัมมาภัมพทุ ธเจ้า เพ่ือให้เกดิ ประโยชน์แก่อนุพทุ ธยุคหลกั ได้ศึกษาเรียนรู้พระพทุ ธ
ธรรมได้โดยง่าย พระมหาเถระท้งั หลายผู้แต่งคมั ภรี ์อรรถกถา และฎกี า เป็ นต้น ต่างใช้ภาษาบาลเี ป็ นหลกั ในการ
แต่งคมั ภรี ์เหล่าน้ัน
ฉะน้ันการทจ่ี ะมคี วามรู้ความเข้าใจในพระพทุ ธศาภนาฝ่ ายเถรวาทโดยถูกต้องและ ภมบูรณ์แบบทภ่ี ุดน้ัน
ขนึ้ กบั ภูมคิ วามความแตกฉานภาษาบาลเี ป็ นภาคญั เพราะพระธรรมของพระภัมมาภัมพทุ ธเจ้าทป่ี ัจจุบันเรียกกนั
ว่า “พระไตรปิ ฎก” น้ัน ล้วนอยู่ในรูปของภาษาบาลที ้งั ภิ้น ภาษาบาลจี งึ เป็ นภาษารักษาไว้ซึ่งพระพทุ ธวจนะ คือ
พระธรรมคาภอนของพระพทุ ธศาภนานั่นเอง
ภาษาบาลเี ป็ นภาษาทีไ่ ม่เภื่อม
ภาษาบาลนี ับว่าเป็ นภาษาทภี่ ูงกว่าภาษาท้งั หลาย เพราะภมบูรณ์ด้วยคุณวเิ ศษและภภาวนิรุตติ คาว่า
ภภาวนิรุตตนิ ้ัน หมายถงึ ภาษาทไ่ี ม่มกี ารเปลย่ี นแปลงความหมายและอธิบาย มอี านาจในการแภดงอรรถและ
อธิบายได้แน่นอน เป็ นภาษาทผี่ ู้วเิ ศษท้งั หลายมพี ระพทุ ธเจ้าเป็ นต้นทรงใช้อยู่ กล่าวอกี นัยหน่ึง ภภาวนิรุตติ
หมายถงึ ภาษาทไี่ ม่มีการเปลยี่ นแปลง ไม่เภ่ือม ต้งั อยู่โดยปกติ ภ่วนภาษาอ่ืนๆ เมื่อถงึ กาลหนึ่งย่อมเปลยี่ นแปลง
และเภ่ือมได้ ภาหรับภาษาบาลแี ล้วจะไม่มกี ารเปลยี่ นแปลงและเภ่ือมเลย ไม่ว่าจะเป็ นทไ่ี หนๆ ในกาลไหนๆ หาก
จะมีการเปลย่ี นแปลง หรือเภ่ือมภลายกเ็ ป็ นเพราะผู้ศึกษา ผู้แภดง ผู้ภอน เรียนผดิ แภดงผดิ และภอนผดิ แม้
ถงึ กระน้ัน กจ็ ะไม่มีการเปลย่ี นแปลงโดยตลอดกาล เพราะท่านกล่าวไว้ในภัมโมทวโิ นทนีว่า ภถานท่ีพูดภาษาบาลี
มากทภ่ี ุดคือ นรก ดริ ัจฉาน เปรต โลกมนุษย์ ภวรรค์ และพรหมโลก กล่าวอธิบายว่า เมื่อโลกแตกภลาย
พรหมโลกมไิ ด้เข้าข่ายการแตกภลายด้วย ฉะน้ัน พรหมโลกแตกภลาย พรหมโลกมิได้เข้าข่ายการแตกภลายด้วย
ฉะน้ัน พรหมโลกจงึ ต้งั อยู่ได้ภภาพเดมิ
ภาษาบาลเี ป็ นมูลภาษา
ภาษาบาลจี ดั เป็ นภาษาของมนุษย์ในยุคแรกของโลก เพราะเม่ือโลกถงึ การแตกภลาย พรหมโลกมิได้แตก
ภลายไปด้วย ฉะน้ันพรหมโลกจงึ ต้งั อยู่ในภภาพเดมิ โดยไม่มกี ารเปลย่ี นแปลง มีอธิบายเพม่ิ เตมิ อกี เลก็ น้อยว่า
มนุษย์ในยุคแรกของโรคน้ัน เป็ นผู้จุตมิ าจากพรหมโลกด้วยอุปาทปฏิภนธิ มนุษย์ดงั กล่าวน้ันพดู ภาษาบาลซี ึ่ง
เป็ นภาษาทใ่ี ช้กนั ในพรหมโลกเป็ นต้น ฉะน้ัน นักไวยากรณ์จงึ มีความเช่ือว่า ภาษาบาลี เป็ นมูลภาษาคือเป็ นภาษา
ทมี่ นุษย์ในยุคแรกใช้พดู กนั ดงั ทคี่ มั ภรี ์ปทรูปภิทธิ ได้กล่าวว่า
ภา มาคธี มูลภาภา นรา ยายาทกิ ปฺปิ กา
พฺรหฺมาโน จภฺภุตาลาปา ภมฺพทุ ฺธา จาปิ ภาภเร ฯ
แปลว่า นรชนผเู้ กิดในปฐมกปั พรหม แมพ้ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ท้งั หลาย และบุคคลผมู้ ิไดส้ ดบั คาพดู ของ
มนุษยเ์ ลย กล่าวดว้ ยภาษาใด ภาษาน้นั คือมาคธี ภาษามคธเป็นภาษาด้งั เดิม
ภาษามาคธี เป็ นภาษาด้งั เดมิ ทใี่ ช้พดู กนั โดยมนุษย์ต้นกปั ป์ พวกพรหม พระพทุ ธเจ้า และบุคคลผู้ทยี่ งั ไม่เคย
ได้ยนิ คาพดู จากบุคคลอื่น
ภาษาบาลเี ป็ นภภาวนิรุตติ
ท่านแภดงไว้ในภัมโมมหวโิ นทนีว่า ภาษาบาลเี ป็ นภภาวนิรุตตหิ มายความว่าเป็ นภาษา ธรรมชาติ
อธิบายว่า แม้ผู้ทไ่ี ม่เคยได้ยนิ ได้ฟังภาษาอ่ืนมาก่อน หากมีความภามารถในการคดิ และพดู ได้เอง เขาคงจดั พดู
ภาษาบาลอี นั เป็ นภาษาทเ่ี ขาภนใจเท่าน้ัน หมายความว่า ในหนทางอนั ยืดยาวแห่งภังภารวฏั อนั กาหนดนับไม่ได้
น้ัน มกี ารกาหนดเม็ดพืชของภาษาบาลอี ยู่ ผู้ทเ่ี ดนิ ทางไกลในภังภารวฏั ล้วนเคยพูดเคยท่องบ่นภาษาบาลมี าแล้ว
โดยนับไม่ถ้วน น้ัน เมื่อถงึ เวลาพูดจริงแม้จะไม่เคยพูดภาษาบาลมี าก่อน กภ็ ามารถพูดภาษาบาลไี ด้เอง ท้งั นี้
ปรากฏขนึ้ มาเพราะพืชพนั ธ์แห่งภภาวนิรุตตนิ ั่นเอง
ภาษาบาลเี ป็ นนิรุตตปิ ฏิภัมภิทาญาณ
ภาษาบาลี นอกจากจะได้ชื่อว่าภภาวนิรุตตแิ ล้ว ยงั ชื่อว่าเป็ นเหตุแห่งนิรุตตปิ ฏภิ ัมภทิ าญาณอกี ด้วย ผู้ท่ี
ได้บรรลุนิรุตตปิ ฏภิ ัมภทิ าญาณแล้ว จะภามารถรู้ภาษาบาลไี ด้เอง เช่นเดยี วกนั ความแตกฉานในภาษาบาลกี เ็ ป็ น
ปัจจยั ภ่วนหน่ึงแห่งการได้บรรลปุ ฏิภัมภทิ าญาณ
ภาษาบาลเี ป็ นภาษารักษาพระศาภนา
ภาษาบาลี มิใช่จะภมบูรณ์ด้วยคุณดงั กล่าวมาแล้วเท่าน้ัน ยงั ได้ชื่อว่าเป็ นภาษารักษาพระพทุ ธศาภนา
อกี ด้วย “การดารงไว้ซ่ึงวนิ ัยกรรมทร่ี ู้กนั ว่าเป็ นอายุของพระศาภนา” น้ัน จดั เป็ นคาพดู ทถ่ี ูกทเี ดยี วเพราะในการ
ทาภังฆกรรมมี อโุ บภถ ปวารณา อุปภมบท และภมมตภิ ีมา เป็ นต้น จะภารวจได้ด้วยดแี ละถูกต้องตามแบบแผน
พทุ ธบญั ญตั ิ ถ้าไม่มวี นิ ัย กรรมเกยี่ วเนื่องด้วยการภวดกรรมวาจาแล้ว ถือว่ากรรมไม่ภาเร็จ แต่ภังฆกรรมน้ันๆ
จะภาเร็จได้ด้วยดกี ด็ ้วยผู้ภวดกรรมวาจาภามารถภวดกรรมวาจา ออกเภียงภิถลิ ธนิต วมิ ุตติ และนิคคหิต ได้
ถูกต้องชัดเจน และผู้ทภ่ี วดได้ถูกต้องชัดเจน จะต้องมคี วามรู้แตกฉานในพยญั ชนะพทุ ธิ ๑๐ ประการมีภิถลิ และ
ธนิตเป็ นต้น ซ่ึงแภดงถงึ วธิ ีภวดภาษาบาลี เม่ือมคี วามรู้แตกฉานในพยญั ชนะพทุ ธิ ๑๐ ประการแล้ว จงึ ภวด
กรรมวาจาได้ถูกต้องชัดเจน และภังฆกรรมย่อมภาเร็จภมบูรณ์ตามพทุ ธประภงค์ หากไม่เรียนรู้ภาษาบาลกี ไ็ ม่
ภามารถภวดกรรมวาจาให้ภาเร็จได้ เม่ือเป็ นเช่นน้ัน จงึ กล่าวภรุปได้ว่า ภาษาบาลเี ป็ นภาษาทม่ี คี วามภาคญั อนั
ภูงภุดต่อความดารงมนั่ ภิ้นกาลนานแห่งพระพทุ ธศาภนา
ภาษาบาลเี ป็ นภาษาอจินไตย
กล่าวกนั ว่า พระพทุ ธองค์ทรงแภดงพระธรรมจกั กปั ปวตั ตนภูต ซึ่งเป็ นปฐมเทศนาด้วยภาษาบาลี เม่ือ
เป็ นเช่นน้ันน่าจะมปี ัญหาว่า ผู้ทฟ่ี ังพระธรรมจกั รเทศนาท้งั หลาย (หมายถงึ พระปัญจวคั คยี ์) หากไม่รู้ภาษาบาลี
แล้วจะเข้าใจพระธรรมจกั รเทศนาที่พระองค์ทรงแภดงได้อย่างไร? ตอบได้ว่า ข้อทก่ี ล่าวว่าพระองค์ทรงแภดง
พระธรรมจกั รด้วยภาษามคธน้ันเป็ นความจริงทเี ดยี ว ถงึ แม้ว่าปฏิคคาหกบุคคลผู้รับฟังธรรมท้ังหลาย จะรู้เฉพาะ
ภาษาของตนอย่างเดยี วกจ็ ริง ขอยกตวั อย่างเช่น ชนชาวทมิฬกน็ ึกว่า (พระพทุ ธองค์) แภดงธรรมโปรดเขาด้วย
ภาษาทมิฬ ชนชาวอนั ธกะท้งั หลายกน็ ึกว่า (พระพทุ ธองค์) ทรงแภดงธรรมโปรดเขาด้วยภาษาอนั ธกะเช่นเดยี วกนั
การทผี่ ู้ฟังท้งั หลายนึกเช่นน้ันเป็ นเพราะอานุภาพแห่งพระภัมมาภัมพทุ ธเจ้าทเ่ี รียกว่า “วาจาอจนิ ไตย” อนั มอี ยู่ใน
อจนิ ไตย ด้วยเหตุดงั กล่าว การทจ่ี ะศึกษาพทุ ธธรรมหมคี วามรู้ความเข้าใจแตกฉาน อย่างลุ่มลกึ ในอรรถธรรมได้ดี
น้ัน จาเป็ นอย่างยงิ่ ทจี่ ะต้องเรียนรู้เข้าใจในภาษาบาลี ทเี่ รียกว่ามูลภาษาเภียก่อน ดงั น้ัน คมั ภรี ์นิรุตตทิ ปี นี จงึ นับได้
ว่าเป็ นตาราพืน้ ฐานของ การศึกษาภาษาบาลี ท้งั นีเ้ พ่ือภ่งเภริมให้เข้าใจหลกั ภาษาก่อน จากน้ันจงึ ค่อยเข้าไป ศึกษา
พระไตรปิ ฎก อรรถกถา ฎกี า เป็ นต้นภืบต่อไป
เน่ืองจากภาษาเป็ นภาษาทม่ี หี ลกั ไวยากรณ์ ดงั ก่อนทจ่ี ะศึกษาภาษาบาลจี งึ ต้องรู้จกั ไวยากรณ์ภาษาบาลตี าม
ภมควร
แบบฝึ กการอ่านภาษาบาลี
พร้อมคาแปลและเฉลย
อาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนาพระปริตร
แบบทดภอบอ่านภาษาบาลี
(สะกดแบบบาลี) นโม ตภฺภ ภควโต อรหโต ภมฺมา ภมฺพทุ ฺธภฺภ
(สะกดแบบไทย) นะโม ตัภภะ ภะคะวะโต อะระหะโต ภัมมาภัมพทุ ธะภะ
คาแปล
ขา้ พเจา้ ขอนอบนอ้ มนมสั การ สมเดจ็ พระผมู้ ีพระภาคเจา้
ผเู้ ป็นพระอรหนั ต์ พระองคน์ ้นั
แบบทดภอบอ่านภาษาบาลี
บทบูชาพระรัตนตรัย
(สะกดแบบบาลี) อรห ภมฺมาภมฺพทุ ฺโธ ภควา พทุ ฺธ ภควนฺต อภวิ าเทมิ
ภฺวากขฺ าโต ภควตา ธมฺโม ธมฺม นมภฺภามิ
ภุปฏิปนฺโน ภควโต ภาวกภงฺโฆ ภงฺฆ นมามิ
(สะกดแบบไทย) อะระหัง ภัมมาภัมพุทโธ ภะคะวา พทุ ธัง ภะคะวนั ตัง อะภวิ าเทมิ
ภะหวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัภภามิ
ภุปะฏิปันโน ภะคะวะโต ภาวะกะภังโฆ ภังฆัง นะมามิ
คาแปล
สมเดจ็ พระผมู้ ีพระภาคเป็นพระอรหนั ต์ หมดจดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง ตรัสรู้ชอบไดโ้ ดยพระองคเ์ อง
ขา้ พเจา้ ขออภิวาทพระพทุ ธเจา้ ผมู้ ีพระภาค
พระธรรมอนั พระผมู้ ีพระภาคตรัสดีแลว้ ขา้ พเจา้ ขอนมสั การพระธรรม
พระสงฆส์ าวกของพระผมู้ ีพระภาคปฏิบตั ิดีแลว้ ขา้ พเจา้ ขอนอบนอ้ มพระสงฆ์
แบบทดภอบอ่านภาษาบาลี
คาอาราธนาธรรม
(สะกดแบบบาลี) พฺรหฺมา จ โลกาธิปติ ภหมฺปติ
(สะกดแบบไทย)
กตฺอญฺชลี อนฺธิวร อยาจถ
ภนฺตธี ภตฺตาปปฺ รชกฺขชาตกิ า
เทเภตุ ธมฺม อนุกมฺปิ ม ปช
พรหมา จะ โลกาธิปะติ ภะหัมปะติ
กตั อญั ชะลี อนั ธิวะรัง อะยาจะถะ
ภันตธี ะ ภัตตาปปะระชักขะชาตกิ า
เทเภตุ ธัมมงั อะนุกมั ปิ มงั ปะชัง
คาแปล
แทจ้ ริงทา้ วสหมั บดีพรหม พรหมผเู้ ป็นอธิบดีของโลกไดก้ ระทาอญั ชลีกร กราบทูลวงิ วอนพระผูม้ ีพระภาคเจา้
ผปู้ ระเสริฐวา่ สตั วท์ ้งั หลายผมู้ ีธุลี คือ กิเลสในดวงตาเบาบางยงั มีอยใู่ นโลกน้ี ขอพระผมู้ ีพระภาคเจา้ ไดโ้ ปรดแสดงธรรมเพอื่
อนุเคราะห์แก่หมู่สตั วน์ ้ีดว้ ยเถิด
แบบทดภอบอ่านภาษาบาลี
คาอาราธนาพระปริตร
(สะกดแบบบาลี) วปิ ตฺติปฏิพาหาย ภพฺพภมฺปตฺตภิ ิทฺธิยา
ปริตต พฺรูถ มงคล
ภพฺพทุกฺขวนิ าภาย ภพฺพภมฺปตฺติภิทฺธิยา
ปริตฺต พฺรูถ มงฺคล
วปิ ตฺตปิ ฏิพาหาย ภพฺพภมฺปตฺตภิ ิทฺธิยา
ปริตต พฺรูถ มงฺคล
ภพฺพภยวนิ าภาย
วปิ ตฺติปฏพิ าหาย
ภพฺพโรควนิ าภาย
แบบทดภอบอ่านภาษาบาลี
คาอาราธนาพระปริตร
(สะกดแบบไทย) วปิ ัตตปิ ะฏิพาหายะ ภัพพะภัมปัตติภิทธิยา
ภัพพะทุกขะวนิ าภายะ ปะริตตัง พรูถะ มงั คะลงั
วปิ ัตติปะฏิพาหายะ ภัพพะภัมปัตติภิทธิยา
ภัพพะภะยะวนิ าภายะ ปะริตตงั พรูถะ มงั คะลงั
วปิ ัตติปะฏิพาหายะ ภัพพะภัมปัตตภิ ิทธิยา
ภัพพะโรคะวนิ าภายะ ปะริตตงั พรูถะ มงั คะลงั
คาแปล
ขอพระสงฆท์ ้งั หลาย จงสวดพระปริตรอนั เป็นมงคล เพื่อป้องกนั ความวบิ ตั ิท้งั ปวงเพอ่ื ความสาเร็จแห่ง
สมบตั ิท้งั ปวง เพือ่ ใหโ้ รคภยั ท้งั ปวงพนิ าศไป
แบบทดภอบอ่านภาษาบาลี
คาอาราธนาศีล
(สะกดแบบบาลี) มย ภนฺเต วภิ ุ วภิ ุ รกฺขณตฺถาย ติภรเณน ภห ปญฺจภีลานิยาจาม
ทุตยิ มฺปิ มย ภนฺเต วภิ ุ วภิ ุ รกฺขณตฺถาย ตภิ รเณน ภห ปญฺจภีลานิยาจาม
ตตยิ มฺปิ มย ภนฺเต วภิ ุ วภิ ุ รกฺขณตฺถาย ตภิ รเณน ภห ปญฺจภีลานิยาจาม
(สะกดแบบไทย) มะยงั ภนั เต วภิ ุง วภิ ุง รักขะณตั ถายะ ตภิ ะระเณนะ ภะหะ ปัญจะภีลานิยาจามะ
ทุตยิ มั ปิ มะยงั ภนั เต วภิ ุง วภิ ุง รักขะณตั ถายะ ตภิ ะระเณนะ ภะหะ ปัญจะภีลา นิยาจามะ
ตะตยิ มั ปิ มะยงั ภนั เต วภิ ุง วภิ ุง รักขะณตั ถายะ ตภิ ะระเณนะ ภะหะ ปัญจะภีลานียาจามะ
(ถา้ คนเดียวเปล่ียนจากคาวา่ "มะยงั " เป็น "อะหงั " และ "ยาจามะ" เป็น "ยาจามิ")
คาแปล
ขา้ แต่พระสงฆผ์ เู้ จริญขา้ พเจา้ ท้งั หลายขอศีล ๕ ประการ พร้อมดว้ ยไตรสรณคมนเ์ พอ่ื เป็น
ประโยชนแ์ ก่การรักษาเป็นภาค ๆ ไป
แบบทดภอบอ่านภาษาบาลี
ไตรภรณคมน์
(สะกดแบบบาลี) พทุ ฺธ ภรณ คจฺฉามิ
ธมฺม ภรณ คจฺฉามิ
ภงฺฆ ภรณ คจฺฉามิ
(สะกดแบบไทย) พุทธัง ภะระณงั คจั ฉามิ (ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็ นที่พงึ่ )
ธัมมงั ภะระณงั คจั ฉามิ (ข้าพเจ้าขอถงึ พระธรรมเป็ นทีพ่ ง่ึ )
ภังฆงั ภะระณัง คจั ฉามิ (ข้าพเจ้าขอถึงพระภงฆ์เป็ นท่พี ง่ึ )
ทุตยิ มั ปิ พุทธัง ภะระณงั คจั ฉามิ (แม้ในวาระท่ี ๒ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็ นทพ่ี ง่ึ )
ทุติยมั ปิ ธัมมงั ภะระณงั คจั ฉามิ (แม้ในวาระท่ี ๒ ข้าพเจ้าขอถงึ พระธรรมเป็ นท่ีพง่ึ )
ทุติยมั ปิ ภังฆงั ภะระณงั คจั ฉามิ (แม้ในวาระท่ี ๒ ข้าพเจ้าขอถงึ พระภงฆ์เป็ นที่พง่ึ )
ตะติยมั ปิ พทุ ธัง ภะระณงั คจั ฉามิ (แม้ในวาระท่ี ๓ ข้าพเจ้าขอถึงพระพทุ ธเจ้าเป็ นทพ่ี ง่ึ )
ตะติยัมปิ ธัมมงั ภะระณงั คจั ฉามิ (แม้ในวาระที่ ๓ ข้าพเจ้าขอถงึ พระธรรมเป็ นทพ่ี งึ่ )
ตะติยมั ปิ ภังฆงั ภะระณงั คจั ฉามิ (แม้ในวาระท่ี ๓ ข้าพเจ้าขอถึงพระภงฆ์เป็ นท่ีพงึ่ )
แบบทดภอบอ่านภาษาบาลี
คาอาราธนาศีล ๕
(สะกดแบบบาลี) อมิ านิ ปญฺจ ภิกฺขาปทานิ ภีเลน โภคภมฺปทา
ตภฺมา ภีล วโิ ภธเย ฯ
ภีเลน ภุคตึ ยนฺติ
ภีเลน นิพฺพตุ ึ ยนฺติ
(สะกดแบบไทย) อมิ านิ ปัญจ ภิกขาปทานิ ภีเลนะ โภคะภัมปะทา
ตภั มา ภีลงั วโิ ภธะเย
ภีเลนะ ภุคตงิ ยนั ติ
ภีเลนะ นิพพตุ งิ ยนั ติ คาแปล
อิมานิ ปัญจ สิกขาปทานิ สิกขาบทหา้ ประการเหล่าน้ี
สีเลนะ สุคติง ยนั ติ ยอ่ มนาไปสู่ความสุขดว้ ยศีล
สีเลนะ โภคะสมั ปะทา ถึงพร้อมดว้ ยโภคทรัพยด์ ว้ ยศีล
สีเลนะ นิพพตุ ิง ยนั ติ ยอ่ มไปสู่นิพพานดว้ ยศีล
ตสั มา สีลงั วโิ สธะเย เพราะฉะน้นั พงึ สมาทานศีลใหบ้ ริสุทธ์ิ
ประมาท แบบทดภอบอ่านภาษาบาลี
คาอาราธนาศีล ๕
คาแปล
ขา้ พเจา้ สมาทานซ่ึงสิกขาบท คือ เวน้ จากการฆ่าสตั ว์
ขา้ พเจา้ สมาทานซ่ึงสิกขาบท คือ เวน้ จากการลกั ทรัพย์
ขา้ พเจา้ สมาทานซ่ึงสิกขาบท คือ เวน้ จากการประพฤติผิดในกาม
ขา้ พเจา้ สมาทานซ่ึงสิกขาบท คือ เวน้ จากการพดู เทจ็
ขา้ พเจา้ สมาทานซ่ึงสิกขาบท คือ เวน้ จากการด่ืมสุรา เมรัย ของเมาอนั เป็นที่ต้งั แห่งความ
แบบทดภอบอ่านภาษาบาลี
คาอาราธนาศีล ๘
(สะกดแบบบาลี) ปาณาตปิ าตา เวรมณี ภิกฺขาปท ภมาทยิ ามิ
อทินฺนาทานา เวรมณี ภิกฺขาปท ภมาทยิ ามิ
อพฺรหฺมจริยา เวรมณี ภิกฺขาปท ภมาทยิ ามิ
มุภาวาทา เวรมณี ภิกฺขาปท ภมาทยิ ามิ
ภุราเมรยมชฺชปมาทฏฺ ฐานา เวรมณี ภิกฺขาปท ภมาทยิ ามิ
วกิ าลโภชนา เวรมณี ภิกขาปท ภมาทยิ ามิ
นจฺจคติ วาทติ วภิ ูกทภฺภนะ มาลาคนฺธวเิ ลปน ธารณมณฺฑนวภิ ู
ภนฏฺ ฐานา เวรมณี ภิกฺขาปท ภมาทยิ ามิ
อุจฺจาภยนมหาภยนา เวรมณี ภิกฺขาปท ภมาทยิ ามิ
แบบทดภอบอ่านภาษาบาลี
คาอาราธนาศีล ๘
(สะกดแบบไทย) ปาณาตปิ าตา เวระมะณี ภิกขาปะทัง ภะมาทยิ ามิ
อะทินนาทานา เวระมะณี ภิกขาปะทัง ภะมาทยิ ามิ
อะพรหมจะริยา เวระมะณี ภิกขาปะทงั ภะมาทยิ ามิ
มุภาวาทา เวระมณี ภิกขาปะทงั ภะมาทยิ ามิ
ภุราเมระยะมชั ชะปะมาทฏั ฐานา เวระมะณี ภิกขาปะทงั ภะมาทยิ ามิ
วกิ าละโภชะนา เวระมะณี ภิกขาปะทัง ภะมาทยิ ามิ
นัจจะคตี ะวาทติ ะวภิ ูกะทภั ภะนะ มาลาคนั ธะวเิ ลปะนะ ธาระณะมัณฑะะนะวภิ ู
ภะนัฏฐานา เวระมะณี ภิกขาปะทัง ภะมาทยิ ามิ
อุจจาภะยะนะมะหาภะยะนา เวระมะณี ภิกขาปะทงั ภะมาทยิ ามิ
แบบทดภอบอ่านภาษาบาลี
คาอาราธนาศีล ๘
คาแปล
งดเวน้ จากการฆ่าสตั ว์
งดเวน้ จากการลกั ทรัพย์
งดเวน้ จากการประพฤติผดิ พรหมจรรย์
งดเวน้ จากการพดู เทจ็
งดเวน้ จากการดื่มน้าเมาอนั เป็นฐานแห่งความประมาท
งดเวน้ จากการบริโภคอาหารในเวลาวกิ าล
งดเวน้ จากการฟ้อนรา ขบั ร้อง ประโคมดนตรี ดูการละเล่นอนั เป็นขา้ ศึกเเห่ง
พรหมจรรย์ ตลอดจนลูบไลท้ ดั ทรงประดบั ตกเเต่งร่างกายดว้ ยดอกไมข้ องหอม
เคร่ืองยอ้ ม เคร่ืองทา
งดเวน้ จากการนอนบนที่อนั สูงใหญ่ภายในยดั ดว้ ยนุ่นและสาลี
แบบทดภอบอ่านภาษาบาลี
คาอาราธนาศีล ๑๐
(สะกดแบบบาลี) ปาณาตปิ าตา เวรมณี ภิกฺขาปท ภมาทยิ ามิ
อทนิ ฺนาทานา เวรมณี ภิกฺขาปท ภมาทยิ ามิ
อพฺรหฺมจริยา เวรมณี ภิกฺขาปท ภมาทิยามิ
มฺภาวาทา เวรมณี ภิกฺขาปท ภมาทยิ ามิ
ภุราเมรยมชฺชปมาทฏฐานา เวรมณี ภิกฺขาปท ภมาทยิ ามิ
วกิ าลโภชนา เวรณี ภิกฺขาปทฺ ภมาทยิ ามิ
นจฺจคติ วาทติ วภิ ูกทภฺภนา เวรมณี ภิกฺขาปท ภมาทยิ ามิ
มาลาคนฺธวเิ ลปนธารณมณฺฑนวภิ ู ภะนฏฺ ฐานา วเรมณี ภิกฺขาปท ภมาทยิ ามิ
อจุ ฺจาภยนมหาภยนา เวรมณี ภิกฺขาปท ภมาทยิ ามิ
ชาตรูปรชตปฏิคฺคหณา เวรมณี ภิกฺขาปท ภมาทยิ ามิ
แบบทดภอบอ่านภาษาบาลี
คาอาราธนาศีล ๑๐
(สะกดแบบไทย) ปาณาตปิ าตา เวระมะณี ภิกขาปะทัง ภะมาทยิ ามิ
อะทนิ นาทานา เวระมะณี ภิกขาปะทัง ภะมาทยิ ามิ
อะพรหมจะริยา เวระมะณี ภิกขาปะทงั ภะมาทยิ ามิ
มุภาวาทา เวระมะณี ภิกขาปะทงั ภะมาทยิ ามิ
ภุราเมระยะมชั ชะปะมาทฏั ฐานา เวระมะณี ภิกขาปะทงั ภะมาทยิ ามิ
วกิ าละโภชะนา เวระมะณี ภิกขาปะทงั ภะมาทยิ ามิ
นัจจะคตี ะวาทติ ะวภิ ูกะทภั ภะนา เวระมะณี ภิกขาปะทงั ภะมาทยิ ามิ
มาลาคนั ธะวเิ ลปะนะธาระณะมณั ฑะนะวภิ ูภะนัฏฐานา เวระมะณี ภิกขาปะทงั ภะมาทยิ ามิ
อุจจภภะยะนะมหาภะยะนา เวระมะณี ภิกขาปะทงั ภะมาทยิ ามิ
ชาตะรูปะระชะตะปฏิคคะหะณา เวระมะณี ภิกขาปะทงั ภะมาทยิ ามิ
แบบทดภอบอ่านภาษาบาลี
คาอาราธนาศีล ๑๐
คาแปล
งดเวน้ จากการฆ่าสตั ว์
งดเวน้ จากการลกั ทรัพย์
งดเวน้ จากการประพฤติผดิ พรหมจรรย์
งดเวน้ จากการพดู เทจ็
งดเวน้ จากการด่ืมน้าเมาอนั เป็นฐานแห่งความประมาท
งดเวน้ จากการบริโภคอาหารในเวลาวกิ าล
งดเวน้ จากการฟ้อนรา ขบั ร้อง ประโคมดนตรี ดูการละเล่นอนั เป็นขา้ ศึกแห่งพรหมจรรย์
งดเวน้ จากการลูบไลท้ ดั ทรงประดบั ตกแต่งร่างกายดว้ ยดอกไมข้ องหอม เคร่ืองหอม เครื่องทา
งดเวน้ จากการนอนบนท่ีนอนอนั สูงใหญ่ ภายในยดั ดว้ ยนุ่นและสาลี
งดเวน้ จากการรับทรัพยส์ ินเงินทอง
การอ่านภาษาบาลี
(จากพทุ ธศาภนภุภาษติ )
การอ่านภาษาบาลจี ากพทุ ธศาภนภุภาษติ
(สุภาษิต)
อตฺตนา โจทยตฺตาน อ่านว่า อตั -ตะ-นา-โจ-ทะ-ยตั -ตา-นัง
( จงเตือนตนด้วยตนเอง )
ตน หมายถึง กายและใจของคน แต่กายจะอยใู่ นอานาจของใจ ดงั น้นั การเตือนใจตนเองเป็นส่ิงสาคญั ที่
จะทาใหล้ ะเวน้ ความชวั่ ประพฤติชอบ ประพฤติดี เพอ่ื ใหต้ นมีความสุขความเจริญ ยงิ่ ๆ ข้ึน ในชีวติ ของคนเรา
หลายคร้ังที่ตกอยใู่ นความประมาท หลงผิด ทาผดิ ท้งั โดยไม่ต้งั ใจ และต้งั ใจ ซ่ึงถือวา่ เป็นธรรมดาแต่ถา้ เราโชคดี
ไดอ้ ยใู่ กลค้ นท่ีหวงั ดีต่อเรา เช่น พอ่ แม่ พี่ นอ้ ง ญาติและเพ่ือน คอยช่วยเหลือตกั เตือน ใหเ้ ราหยดุ คิดไม่ทาผดิ แต่
บุคคลเหล่าน้ีไม่ไดอ้ ยกู่ บั เราตลอดเวลา เราจึงควรมีสติที่จะพยายามเตือนตนเอง เพราะเป็นส่ิงท่ีแน่นอนท่ีสุด
การเตือนตนดว้ ยตนเอง เป็นส่ิงท่ียากแต่กท็ าไดโ้ ดยการฝึ ก คอ่ ย ๆ ทาเรื่องเลก็ ๆ ไปก่อนเพื่อใหเ้ กิด
ความเคยชิน เช่น ไม่ประหยดั กต็ อ้ งคอยเตือนวา่ จะไม่มีเงิน จะไม่มีกิน จะเดือดร้อน แลว้ อนาคตจะเป็นอยา่ งไร
การอ่านภาษาบาลจี ากพุทธศาภนภุภาษติ
(สุภาษิต)
วริ ิเยน ทุกฺขมจฺเจติ อ่านว่า ว-ิ ริ-เย-นะ ทุก-ขะ-มัจ-เจ-ติ
( คนล่วงทุกข์ได้เพราะความเพยี ร )
ทุกข์ หมายถึง ความยาก ความลาบาก ความเดือดร้อน ความไม่สบายกายไม่สบายใจ
ความเพยี ร หมายถึง ความพยายามในการต่อสูก้ บั ความยากลาบากความเดือดร้อน ความไม่สบายกายสบายใจและ
อ่ืน ๆ อยา่ งไม่ยอ่ ทอ้
ความเพยี รจึงเป็นเหตุใหพ้ น้ ทุกขไ์ ดใ้ นทุกสถานการณ์ เช่น เรียนหนงั สือไม่เก่ง เป็นทุกขก์ ต็ อ้ งพยายาม
อ่านหนงั สือใหม้ าก ต้งั ใจเรียน กจ็ ะเรียนได้ ความทุกขก์ จ็ ะหมดไป พระพทุ ธองคจ์ ึงตรัสไวว้ า่ คนจะล่วงทุกขไ์ ด้
เพราะความเพียร
การอ่านภาษาบาลจี ากพทุ ธศาภนภุภาษติ
(สุภาษิต)
ทท มติ ฺตานิ คนฺถติ อ่านว่า ทะ-ทงั มิต-ตา-นิ คนั -ถะ-ติ
(ผู้ให้ย่อมผูกไมตรีไว้ได้ )
ให้ หมายถึง การสละแบ่งปันในส่ิงของของตนที่ควรใหแ้ ก่คนท่ีควรให้ เป็นการแสดงน้าใจ หรือ
เอ้ือเฟ้ื อเผือ่ แผ่ การใหม้ ี 3 อยา่ ง คือ
๓.๑ อนุเคราะห์ คือ การช่วยเหลือผทู้ ่ีดอ้ ยกวา่ ใหเ้ ขามีความสุขสบายยงิ่ ข้ึน จะทาใหผ้ รู้ ับนึกถึงอยเู่ สมอ
๓.๒ สงเคราะห์ คือ การให้ เพ่อื แสดงความโอบออ้ มอารีและมีน้าใจ ผรู้ ับจะตอ้ งชอบใจ
๓.๓ บูชา คือการใหด้ ว้ ยความเคารพ ระลึกถึง เป็นการใหส้ ่ิงของ พอ่ แม่ ครู- อาจารย์ จะทาใหผ้ ใู้ หญ่รักใคร่เอน็ ดู
การใหท้ ุกชนิดลว้ นผกู ใจคนไวไ้ ด้ เพราะทาใหผ้ อู้ ื่น พน้ ทุกข์ ระลึกถึง รักใคร่และนบั ถือ
จึงพดู ไดว้ า่ ผใู้ หย้ อ่ มผกู ไมตรีไวไ้ ด้
การอ่านภาษาบาลจี ากพุทธศาภนภุภาษติ
(สุภาษิต)
ธมฺมจารี ภุข เภติ อ่านว่า ธัม-มะ-จา-รี ภุ-ขงั -เภ-ติ
( ผู้ประพฤตธิ รรมย่อมผู้เป็ นภุข )
คาวา่ ธรรม หมายถึง หลกั ธรรมคาสง่ั สอนของพระพทุ ธเจา้ ท่ีผปู้ ฏิบตั ิแลว้ ไม่ตกต่า เกิดความ
เจริญรุ่งเรือง ประพฤติ หมายถึง การปฏิบตั ิ การกระทา
ผปู้ ระพฤติธรรมยอ่ มอยเู่ ป็นสุข คือ ผทู้ ่ีปฏิบตั ิตามหลกั ธรรมคาสอนของพระพทุ ธเจา้ แลว้ ประพฤติดี
ประพฤติชอบ กจ็ ะเกิดความสุข เช่น ผทู้ ่ีปฏิบตั ิ ศีล 5 ไดก้ ส็ ามารถขจดั ความทุกขม์ ีความสุขทนั ที
การอ่านภาษาบาลจี ากพุทธศาภนภุภาษติ
(สุภาษิต)
ย เว เภวติ ตาทโิ ภ อ่านว่า ยงั -เว เภ-วะ-ติ ตา-ท-ิ โภ
( คบคนเช่นใดย่อมเป็ นเช่นน้ัน )
คนเราจะอยคู่ นเดียวในโลกน้ีไม่ได้ จึงตอ้ งมีการคบคา้ สมาคมกบั คนอ่ืน ซ่ึงบุคคลที่เรา จะคบดว้ ยมีอยู่ 2 ประเภท คือ
คนดีหรือบณั ฑิต คือ คนที่ประพฤติดีท้งั กาย วาจา ใจ เช่น มีจิตเมตตาเอ้ือเฟ้ื อ ไม่ลกั ขโมย ไม่พดู เทจ็ ไม่พดู สบั ปรับ ไม่อิจฉาริษยาใคร
ขยนั เรียน ประกอบอาชีพสุจริต เป็นตน้
คนไม่ดีหรือคนพาล คือคนท่ีประพฤติชว่ั ท้งั กาย วาจา ใจ เช่น คนชอบขโมย ข้ีเกียจ พดู จาไม่ไพเราะ ชอบเบียดเบียนผอู้ ่ืน
เป็นตน้ การคบ คือการไปมาหาสู่ การสนิทชิดชอบ ใหค้ วามรักความเคารพต่อกนั คนเรามกั จะเอาสิ่งใกลต้ วั เป็นแบบอยา่ ง บางคร้ัง
ซึมซาบโดยไม่รู้ตวั เช่น อยใู่ กลค้ นสกปรก แรก ๆ รู้สึกรังเกียจอยนู่ าน ๆ กค็ ลอ้ ยตามกลายเป็นคนสกปรกไปดว้ ย แต่ถา้ เราอยใู่ กลค้ น
ดี จะทาอะไรกค็ อยตกั เตือนช่วยเหลือ เรากจ็ ะซึมซบั เอาความดีไปดว้ ย ดงั คาสุษาษิตท่ีวา่
คบคนพาล พาลพาไปหาผดิ
คบบณั ฑิต บณั ฑิตพาไปหาผล
คบคนชวั่ พาตวั อบั จน คบคนดีมีผลจนวนั ตาย
แบบฝึ กหัด
(การอ่านและเขยี นภาษาบาล)ี
แบบทดภอบอ่านภาษาบาลี
จงเขียนภะกดคาต่อไปนีต้ ามแบบภาษาไทย
(ภะกดแบบภาษาไทย)
อถโข พฺรหฺมา ภหมฺปติ
กตาวกาโภ โขมฺหิ ภควตา ธมฺมเทภนายาติ ภควนฺต
อภวิ าเทตฺวา ปทกฺขิณ กตฺวา ตตฺเถวนฺตรธายิ ฯ
จตฺตาโรเม ภกิ ฺขเว ปคุ ฺคลา ภนฺโต ภวชิ ฺชมานา โลกภฺมึ กตเม จตฺตาโร
อุคฺฆฏิตญู วปิ จติ ญู เนยฺโย ปทปรโม
อเิ ม โข ภกิ ฺขเว จตฺตาโร ปุคฺคลา ภนฺโต ภวชิ ฺชมานา โลกภฺมนิ ฺติ ฯ
แบบทดภอบอ่านภาษาบาลี
จงเขียนภะกดคาต่อไปนีต้ ามแบบภาษาบาลี
(ภะกดแบบบาล)ี
อคุ ฺฆะฏิตญั ูภุตตะวณั ณะนา ตะตเิ ย ฯ
จตุนนัมปิ ปคุ คะลานัง อมิ นิ า ภุตเตน วเิ ภโภ เวทติ พั โพ กะตะโม จะ ปคุ คะโล
อคุ ฆะฏิตญั ฺญู ยภั ภะ ปคุ คะลภั ภะ ภะหะ อทุ าหะฏะเวลายะ ธัมมาภภิ ะมะโย โหติ
อะยงั วจุ จะติ ปคุ คะโล อุคฆะฏติ ญั ู ฯ