The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การสร้างสัมพันธภาพที่ดี1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by saowanit0982256245, 2021-09-07 06:50:42

การสร้างสัมพันธภาพที่ดี1

การสร้างสัมพันธภาพที่ดี1

การสร้างสัมพันธภาพทด่ี ี

จดั ทาโดย
นายชยพล ชาวลมุ่ บัว 2ชฟ7 เลขท่ี 135

ความหมายและความสาคญั ของสมั พนั ธภาพ

สมั พันธภาพ (Relationship) หมายถึง ความสมั พนั ธอ์ นั ดีระหวา่ งบคุ คล

อนั จะทาหเ้ กดิ ความรกั ความนบั ถือ ความรว่ มมือ สามารถอยู่รว่ มกบั บคุ คลอื่นไดอ้ ย่างมี
ความสขุ ซง่ึ มนษุ ยไ์ ม่สามารถอยู่คนเดียวตามลาพงั ได้ จาเป็นตอ้ งอยรู่ ว่ มกบั บคุ คลอื่นในสงั คม

ในการมีสมั พนั ธภาพทด่ี ีนน้ั ควรเรม่ิ จากการทาความเขา้ ใจตนเองและปรบั ปรุง
ขอ้ บกพรอ่ งของตนเองก่อนทจี่ ะมีสมั พนั ธภาพทีด่ ีกบั ผอู้ ่ืน ซงึ่ ความเขา้ ใจตนเองนนั้ คือ
การมองตนเอง แบง่ ออกได้ 2 ประเภท ดงั นี้
1.ตนตามอุดมคติ (Ideal Self) หมายถงึ ตนท่เี ราอยากจะเป็น
2.ตนทตี่ นเองรับรู้และตนทค่ี นอืน่ รับรู้ (perceived) มี 2 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่

2.1 ตนทต่ี นเองรบั รู้ หมายถึง การท่เี รามองตนเองวา่ เป็นอยา่ งไร เช่น เรามองวา่ เกง่ ฉลาด
ไมเ่ ก่ง โง่ ไม่ดี

2.2 ตนทคี่ นอ่ืนรบั รู้ หมายถงึ การที่คนอ่ืนมองเราว่ามีสกั ษณะอย่างไร เช่น สภุ าพ ออ่ นนอ้ ม
กา้ วรา้ ว ไมเ่ ป็นมติ ร
3.ตนทเี่ ป็ นจริง (Real Sel) หมายถงึ สภาพทแ่ี ทจ้ รงิ ของบคุ คล บางครง้ั บคุ คลไม่รูจ้ กั ตนเอง
ดีพอจึงแสดงพฤตกิ รรมทไี่ ม่เหมาะสม เช่น บางคนชอบรอ้ งเพลงแต่รอ้ งเพลงไมเ่ พราะ บางคน
คิดวา่ ตวั เองมีความสามารถตา้ นกีฬาฟตุ บอลแตไ่ ม่สามารถเล่นฟุตบอลเป็นทีมรว่ มกบั ผอู้ ื่นได้

ตัวอย่างคาพดู ทสี่ ร้างสัมพันธภาพในเชิงบวกและเชิงลบ

คาพดู ทีไ่ ม่เหมาะสม คาพูดท่ีเหมาะสม

เธอไมต่ อ้ งมาชวนเราไปเท่ยี ว เราอยากไปเทยี่ วกบั เธอนะแตเ่ รายงั ทา
เลยน เอาเวลาวา่ งไปพฒั นา การบา้ นไม่เสรจ็ เลยมาทาการบา้ น
สมองดกี ว่า ดว้ ยกนั ก่อนเถอะเสร็จแลว้ ไปเทยี่ วกัน

เธอชอบเอาแตใ่ จตวั เอง เธอฟังเหตผุ ลของเราก่อนนะ

ทกั ษะการสื่อสารความเข้าใจ

การส่อื สารความเขา้ ใจ หมายถึง ความสามารถในการแสดงออก สอื่ สารใหผ้ อู้ ื่นเขา้ ใจได้
ถกู ตอ้ งชดั เจน ทาใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจตอ่ กนั และสานต่อเรือ่ งราวท่สี ่ือสารระหว่างผสู้ ง่ สารกบั
ผรู้ บั สาร ซง่ึ เป็นสง่ิ สาคญั ของการสรา้ งสมั พนั ธภาพทด่ี ี

ทักษะการสื่อสารทีด่ ีประกอบดว้ ย

ทักษะการฟัง (Listening Skill) การฟังเป็นทกั ษะพนื้ ฐานทีส่ าคญั ในการสรา้ งสมั พนั ธภาพ
ระหวา่ งบคุ คล ปฏิบตั ิไดด้ งั นี้
1.สอ่ื สารโดยการใช้วาจาหรอื คาพูด เป็นการส่ือสารโดยใชส้ าระทีเ่ ป็นเนอื้ หา ผฟู้ ังควรจบั
ประเด็นหลกั ใหไ้ ดว้ า่ ใคร ทาอะไร ท่ไี หน และอยา่ งไร
2.สอ่ื สารผ่านการใช้น้าเสยี ง สหี น้า และท่าทาง เป็นความรูส้ กึ ของผสู้ ง่ สาร เชน่ ความ
สนกุ สนาน ความจรงิ ใจ เสียใจ มีความสขุ หรือทกุ ข์

ตวั อย่างการใช้ทักษะการส่ือสาร

คุณแม่ซอื้ โทรศพั ทม์ ือถือมาใหป้ อนดเ์ ป็นของขวญั วนั เกดิ หลงั จากนน้ั ปอนดก์ ็เลน่ เกมใน
โทรศพั ทม์ ือถือทกุ วนั จนดึก ทาใหไ้ มม่ ีเวลาอ่านหนงั สือและทาการบา้ น สง่ ผลใหผ้ ลการเรียน
ของปอนดต์ ่าลงอยา่ งมาก คุณแม่จงึ เรียกปอนดม์ าคยุ

คุณแม่ : "ชว่ งนไี้ ม่เหน็ ไดท้ าการบา้ นหรอื ทบทวนบทเรยี นเลย"

ปอนด์ : "ผมสนใจเลน่ E -sport เลยพยายามศึกษาและฝึกฝนครบั "

คุณแม่ : "ตอ้ งแบง่ เวลาใหถ้ กู นะลกู การเรียนเป็นสงิ่ ท่สี าคญั ตอ่ อนาคตของลกู
อยา่ งไรเสยี ก็ทาการบา้ นสง่ ครูใหค้ รบก่อน และเมื่อถึงเวลาใกลส้ อบแลว้
ตอ้ งอา่ นหนงั สือทบทว่ น เม่ือเสรจ็ แลว้ คอ่ ยมาเลน่ เกมเพ่อื ผอ่ นคลาย
เพราะหากปอนดม์ ีผลการเรยี นทไ่ี ม่ดี แมจ่ ะรูส้ กึ ผดิ มากที่เป็นสว่ นหนง่ึ ที่ทาใหล้ กู
เป็นอยา่ งนี้ แม่คงตอ้ งขอโทรศพั ทค์ ืน"

ปอนด์ : "ขอโทษครบั แม่ ผมจะแบง่ เวลาไม่ทาใหเ้ สยี การเรยี นและจะไม่ทาใหแ้ มผ่ ดิ หวงั และ
เสียใจในตวั ผมครบั ผมสญั ญา"

ทักษะการสร้างสัมพนั ธภาพท่ีดี

ทกั ษะการสร้างสมั พนั ธภาพทด่ี ี เป็นทกั ษะท่ชี ่วยใหบ้ คุ คลมีความสมั พนั ธท์ ี่ดีตอ่ กนั สามารถ
รกั ษาและดารงไวซ้ ง่ึ ความสมั พนั ธอ์ นั ดีกบั ผอู้ ื่น ประกอบดว้ ยทกั ษะดงั ตอ่ ไปนี้
1.การเปิ ดเผยตนเอง (Self Disclosure)

การเปิ ดเผยตนเอง หมายถงึ การเปิดเผยใหค้ นอื่นรูถ้ ึงความรูส้ กึ หรอื ปฏกิ ิรยิ าทต่ี นเองมีต่
เหตุการณ์ทเี่ กิดขนึ้ ในปัจจุบนั การเปิดเผยตนเองมากเกนิ ไปหรือนอ้ ยเกนิ ไปมีผลใหส้ ญู เสยี
สมั พนั ธภาพไดก้ ารเผยตนเองทมี่ ีผลทาใหเ้ กิดสมั พนั ธภาพที่ดีและย่งั ยืน ควรปฏิบตั ิดงั นี้
-เมื่อมีการเปิดเผยตนเองซง่ึ กนั และกนั เมื่อบคุ คลหนง่ึ เปิดเผยตวั ตนกม็ ีความ
คาดหวงั วา่ อีกฝ่ายหนง่ึ จะเปิดเผยตนเองดว้ ย แต่ถา้ การเปิดเผยตนเองเกดิ ขนึ้
ฝ่ายเดียวกค็ วรจากดั การเปิดเผยตนเองไวใ้ นขอบเขตหนงึ่ เท่านน้ั ซง่ึ ควรเป็นเร่ือง
เกี่ยวขอ้ งกบั เรือ่ งราวปัจจบุ นั
-ระมดั ระวงั ความรูส้ กึ ของอีกฝ่ายหนงึ่ หากการเปิดเผยความรูส้ กึ ของตนเองอาจ
กระทบกระเทือนฝ่ายหนง่ึ ได้ ตงั นน้ั ควรพจิ ารณาหรอื สงั เกตมุมมองของอีกฝ่ายหนงึ่
ทีม่ ีผลตอ่ การเปิดเผยตวั เองดว้ ย
-การเปิดเผยควรเรมิ่ ตน้ จากระดบั ท่วั ไปแลว้ ค่อยเพม่ิ ระดบั ไปสกู่ ารเปิดเผยตนเอง
ในระดบั ท่ีเป็นการสว่ นตวั มากขึน้ เรอ่ื ย ๆ เช่น อาจเรมิ่ ตน้ จากการพดู ถงึ งานกีฬาทชี่ อบ
แลว้ คอ่ ยเปิดเผยตนเองไปสเู่ รื่องใกล้ ๆ ตวั ที่เก่ียวกับความรูส้ กึ ท่ีลกึ ซงึ้ มากขนึ้ เช่น ความชอบ
ความรกั และรสนยิ ม
2.ความไว้วางใจ (Trust)
ความไวว้ างใจเป็นสง่ิ จาเป็นสาหรบั การพฒั นาสมั พนั ธภาพ ความไวว้ างใจเป็นสง่ิ ที่
เปลี่ยนแปลง

3. การใช้คาถาม (Asking Skill) การใชค้ าถามเป็นสว่ นหนงึ่ ของการสนทนา เพ่อื สรา้ งเสรมิ
สมั พนั ธภาพ โดยมีหลกั การใชค้ าถามดงั นี้

1.1) ถามถงึ ความสามารถที่เป็นจุดเดน่ หรอื ความสาเรจ็ ของผฟู้ ัง เช่น การเลน่ กีฬา การเลน่
ดนตรี และวธิ ีการรอ้ งเพลง

1.2) ถามถงึ เร่ืองท่ีนา่ สนใจ ท่ีเป็นประเดน็ อยู่ในเวลานน้ั เช่น การศึกษาตอ่ คณะตา่ ง ๆ ทช่ี อบ
เรยี น นวตั กรรม

4. การฟัง (Listening skill) การฟังที่ดีจะทาใหม้ ีคนอยากพดู คยุ ดว้ ยเป็นการสรา้ งมนษุ ย
สมั พนั ธโ์ ดยมีหลกั การ ดงั นี้

1.ตง้ั ใจฟังและเบดิ โอกาสใหผ้ พู้ ดู พดู อย่างเตม็ ท่ี

2.สายตามองผพู้ ดู เพ่อื ใหร้ ูว้ า่ เราสนใจ

3.นา้ เสียงตอบรบั เช่น คะ่ ครบั

4.แสดงสหี นา้ ทา่ ทางประกอบ เช่น ยมิ้ หวั เราะทาหนา้ เศรา้ แสตงความหว่ งใย

5. การทวนคาพดู (Restatement) เป็นการสรา้ งความรูส้ กึ ท่มี ีในการสนทนา ช่วยให้

ผพู้ ดู รูว้ า่ เราสนใจฟังเรือ่ งทผ่ี นู้ น้ั พดู มาโดยตลอด โดยตอ้ งมีการทบทวนเนอื้ หา อาจเป็นการ
ทบทวนทกุ คา การเปล่ียนสรรพนามในการพดู และการทบทวนเฉพาทวนคาพดู ควรทวนคาพดู
เพอ่ื ตรวจสอบวา่ ผพู้ ดู พดู ถูกตอ้ งหรอื ไม่ เพอ่ื ใหไ้ ดค้ วามชัดเจนจากผพู้ ดู มากขึน้ เน่อื งจากบางที
ผพู้ ดู อาจพดู ไมต่ รงกบั ความรูส้ กึ ของตนเองทาตวั เป็นผฟู้ ังท่ีดีไมข่ ดั จงั หวะและไม่แสดงทาทาง
ในเชิงซบุ ซบิ นินทาแสดงความรู้ ความคิดเหน็ ของตนเองพอสมควร แต่ระมดั ระวงั อยา่ ให้
กลายเป็นการอวดรูไ้ ม่ทาตวั เป็นคนเจา้ ปัญหา หรอื ชกั ถามมากเกินไปจนทาใหร้ ูส้ กึ ราคาญ
เหมือนสอดรูส้ อดเหน็

ศิลปะในการสร้างมนุษยส์ ัมพันธม์ ีดังนี้

1.มีความสม่าเสมอ
2.เป็นคนเปิดเผย
3.ทาตวั งา่ ย ๆ เป็นกันเอง
4.สดชื่นร่ืนเรงิ
5.ไม่เหน็ แกต่ วั ฟังผอู้ ื่นแบบมีความกระตือรือรน้ ทจ่ี ะช่วยเหลอื ผอู้ ่ืน
6.มีอารมณข์ นั
7.มีความจรงิ ใจ
8.สภุ าพออ่ นโยน
9.ทกั ทายผอู้ ่ืนกอ่ น
10.มีความเมตตากรุณา

หลักพนื้ ฐานในการสร้างสมั พนั ธภาพ

ความสามารถที่จะทาใหผ้ อู้ ่ืนยอมรบั เป็นเพ่ือนนนั้ ขึน้ อยูก่ บั ความสามารถและทกั ษะทาง
สงั คมของบคุ คลโดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการสรา้ งสมั พนั ธภาพระหวา่ งบคุ คลหลกั
พนื้ ฐานในการสรา้ งสมั พนั ธภาพ ประกอบดว้ ย

1.การมีวตั ถุประสงคร์ ่วมกนั สมั พนั ธภาพจะย่งั ยืนก็ตอ่ เม่ือสมั พนั ธภาพนน้ั สนองความ
ตอ้ งการของบคุ คลทง้ั สองฝ่าย เชน่ ความรกั ความรูส้ กึ มีคุณค่า มีศกั ดิศ์ รี การเป็นทย่ี อมรบั ทาง
สงั คม หากไมต่ อบสนองความตอ้ งการขอฝ่ายหนงึ่ ฝ่ายใดสมั พนั ธภาพกไ็ ม่อาจอยคู่ งได้ดงั นนั้
การมีวตั ถปุ ระสงคร์ ว่ มกนั จึงเป็นปัจจยั พนื้ ฐานทีส่ าคญั ในการสรา้ งสมั พนั ธภาพกบั บคุ คลอ่ืน

2.การเคารพในสทิ ธแิ ละความเป็ นสว่ นตวั ของบคุ คล การกา้ วกา่ ยหรอื ล่วงลา้ สทิ ธิของผอู้ ่ืน
หรือไมย่ อมรบั ใหเ้ ป็นตวั ของตวั เองจะทาใหเ้ กิดปัญหาด้านสมั พนั ธภาพไตั ตงั นน้ั การเคารพใน
สทิ ธแิ ละเสรีภาพของกนั และกนั จึงเป็นปัจจยั สาคญั ของการสรา้ งสมั พนั ธภาพและควรปฏิบตั ิ
ต่อกนั ตามหลกั ประชาธิปไตยมีความคดิ และการตดั สนิ ใจดว้ ยตนเอง

3.โครงสรา้ งและแบบแผนของสมั พันธภาพ สมั พนั ธภาพทางสงั คมท่วั ไปมกั มีโครงสรา้ ง
และลกั ษณะการติดตอ่ ส่ือสารที่สอดคลอ้ งกนั เชน่ บดิ ามารดากบั บตุ ร เพอ่ื นกบั เพือ่ น ครูกบั
นกั เรยี นโครงสรา้ งและแบบแผนการติดตอ่ ส่ือสารขนึ้ อยู่กบั ผอู้ ื่นที่อยใู่ นสมั พนั ธภาพ
สมั พนั ธภาพจะยืนนานหรอื ไม่ขนึ้ อยู่กบั ความพงึ พอใจที่ทง้ั สองฝ่ายไดร้ บั

4.องคป์ ระกอบของการตดิ ตอ่ สอ่ื สาร องคป์ ระกอบในการติดตอ่ สื่อสารอาจก่อใหเ้ กดิ ปัญหา
ดา้ นสมั พนั ธภาพระหว่างบคุ คล ไดแ้ ก่

4.1การมีภมู ิหลงั และประสบการณ์ท่แี ตกตา่ ง เช่น ระดบั การศึกษาฐานะทางเศรษฐกิจ

ผทู้ มี่ ีภมู ิหลงั และประสบการณเ์ ดียวกันมกั มีภาษาท่ีตดิ ตอ่ ส่ือสารความหมายในระดบั เดียวกนั

4.2การเลือกรบั รูโ้ ดยใหค้ วามสนใจเฉพาะบางสว่ นที่อาจสนใจทาใหไ้ มไ่ ดร้ บั ขอ้ เทจ็ จรงิ
ทงั้ หมดเกดิ ความผดิ พลาดในการตีความ

4.3 อารมณแ์ ละความรูส้ กึ ในขณะทม่ี ีการรบั รูไ้ มว่ ่าจะเป็นเหตุการณห์ รือบคุ คลท่ีสง่ ผลให้
เกิดอารมณต์ า่ ง ๆ เช่น ความโกรธ ความกลวั ความม่นั ใจ ความสนใจ ความซอบ อาจทาใหเ้ กิด
การรบั รูแ้ ละการตีความหมายที่ผดิ พลาดได้

5.การรู้จักตนเองและสง่ิ แวดลอ้ มอย่างถอ่ งแท้
5.1 การรบั รูต้ นเองตามความเป็นจรงิ จะนาไปสกู่ ารยอมรบั ตนเอง

5.2 การรบั รูผ้ อู้ ่ืนและความเป็นจรงิ ยอ่ มนาไปสกู่ ารยอมรบั ในตวั จรงิ ของผอู้ ื่น

5.3 การรบั รูใ้ ดต้ รงตามความเป็นจรงิ สมั พนั ธภาพจะยืนยาวได้หากตอบสนองความตอ้ งการ

และมีความพงึ พอใจรว่ มกนั ทงั้ สองฝ่าย

6.การหว่ งใยในความรู้สกึ ของผ้อู ื่น
แสดงออกถึงความหว่ งใยโดยการพดู หรือการกระทาเชน่ การพดู ปลอบใจ การใหค้ วามชว่ ยเหลือ

เม่ือประสบปัญหา การแสดงความขอบคุณ การแสดงความชื่นชมในความดีของผอู้ ่ืน ยอ่ มเป็น
การเสรมิ แรงและช่วยสรา้ งเสรมิ สมั พนั ธภาพระหวา่ งบคุ คลใหแ้ น่นแฟันยง่ิ ขนึ้

7.การซื่อสัตยต์ อ่ ตนเองและผูอ้ นื่
การเป็นตวั ของตวั เองและช่ือสตั ยต์ ่อความคดิ เหน็ และความเชื่อของตวั เองนนั้ เป็นสงิ่ ท่สี าคญั

พดู ในสงิ่ ที่เป็นความจรงิ แลว้ กแ็ สดงความขดั แยง้ อย่างสรา้ งสรรคเ์ คารพในความเป็นตวั ของ
ตวั เองและผอู้ ่ืนคานงึ ถงึ ความตอ้ งการและความรูส้ กึ ของคนอื่นพรอ้ มทง้ั แสดงความหว่ งใย
อย่างจรงิ ใจดงั นนั้ จึงกลา่ วไตว้ า่ พืน้ ฐานการสรา้ งสมั พนั ธภาพนนั้ เป็นสง่ิ สาคัญในการทาใหท้ กุ
คนเป็นทยี่ อมรบั ของผอู้ ื่นรบั รูแ้ ละตีความสง่ิ แวดลอ้ มและสงิ่ มีชีวติ ท่ีถูกตอ้ งและตรงตามความ
เป็นจรงิ รบั รูต้ นเองและผอู้ ่ืนตามสภาพความเป็นจรงิ รวมทงั้ การแสดงออก

กลวธิ กี ารสร้างมนุษยส์ ัมพนั ธ์

การมีความสมั พนั ธอ์ นั ดีกบั ผอู้ ื่นเป็นสง่ิ จาเป็นในการมีชีวติ อยู่ของมนษุ ย์ มนษุ ยแ์ ต่ละคน
จะถูกหลอ่ หลอมจากประสบการณใ์ หม้ ีความคิด ความเชื่อ ทศั นคติ และค่านยิ มทแ่ี ตกต่างกนั
ดงั นนั้ การเช่ือความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งคนสองคนจงึ ตอ้ งอาศยั ความเขา้ ใจถึงการสรา้ ง
สมั พนั ธภาพทด่ี ีตอ่ กนั บคุ คลเรียนรูต้ นเองไดจ้ ากการมีความสมั พนั ธก์ บั ผอู้ ่ืน ซง่ึ จะทาใหบ้ คุ คล
ไดร้ ูจ้ ดุ เด่นและจุดตอ้ ยของตนเองรูแ้ ละเขา้ ใจถงึ ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล รวมทง้ั เรียนรู้
ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งคนสองคนจะเป็นสมั พนั ธภาพทด่ี ีตอ่ กนั ตอ้ งอาศยั คณุ ลกั ษณะสาคญั
ไดแ้ ก่ การยอมรบั และใหเ้ กียรติ การเขา้ ใจความรูส้ กึ รวมทงั้ ความจรงิ ใจ ความจรงิ ของโลก
สมั พนั ธภาพอนั ดีระหวา่ งบคุ คลจะช่วยใหก้ ารเรียนรูเ้ ป็นไปได้โดยไม่บดิ เข่ือน มีการยอมรบั และ
เขา้ ใจสงิ่ ทเ่ี กดิ ขนึ้ อยา่ งทเี่ ป็นจรงิ ด่งั นน้ั สมั พนั ธภาพอนั ดีระหวา่ งบคุ คลเป็นจุดสาคญั ท่จี ะนา
บคุ คลไปสกู่ ารพฒั นาเอกลกั ษณข์ องตวั เอง

ความสัมพันธ์ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งคนสองคนจะเป็นสมั พนั ธภาพทด่ี ีตอ่ กนั ตอ้ งอาศยั
คณุ ลกั ษณะสาคญั ไดแ้ ก่ การยอมรบั และใหเ้ กียรติ การเขา้ ใจสาระและความรูส้ กึ รวมทงั้ ความ
จรงิ ใจ

การยอมรับและให้เกยี รติ หมายถงึ การยอมรบั ลกั ษณะสว่ นตวั หรือความเก่ียวชอ้ งกนั ของ
บคุ คล การใหเ้ กียรตแิ ละเคารพในคุณคาของบคุ คล ความเป็นมิตรและความอบอุ่นใจแกผ่ อู้ ่ืน

การเข้าใจสาระและความรู้สกึ หมายถงึ การเขา้ ใจในเนอื้ หาสาระของสงิ่ ทีส่ ง่ สารระหว่างกนั
และเขา้ ใจในความรูส้ กึ ของผอู้ ื่น เสมือนตวั เราเป็นเขาสรา้ งสมั พนั ธภาพ โดยเขา้ ใจความรูส้ กึ ซงึ่
กนั และกนั

การจรงิ ใจ หมายถงึ การไม่เสแสรงั ในการแสดงออกถงึ ความคดิ ความรูส้ กึ และทศั นคตขิ อง
ตนเองนอกจากนกี้ ารสรา้ งมนษุ ยส์ มั พนั ธค์ วรทาดว้ ยวธิ ีต่าง ๆใหเ้ หมาะสมกบั สถานการณ์เวลา
และบคุ คลมีหลกั การดงั นี้

1.สร้างความรู้สกึ ทดี่ ใี ห้กบั ตนเอง การสรา้ งความรูส้ กึ ที่ดีใหก้ ับตนเองเป็นขน้ั ตอนแรกท่ี
สาคญั มากเพราะจะทาใหเ้ กดิ ความคดิ และความเต็มใจท่ีจะสรา้ งสงิ่ ดี ๆใหเ้ กิดขนึ้

ตัวอยา่ งเช่น
-ถา้ ทาใหค้ นอ่ืนไดร้ บั ความสขุ เรากจ็ ะมีความสขุ ดว้ ย
-ถา้ เราใหส้ ง่ิ ทีด่ ีกับคนอ่ืน เรากจ็ ะไดร้ บั สงิ่ ทด่ี ีเช่นกนั
-จงเชื่อม่นั วา่ เราทาได้ แลว้ เราก็จะทาได้
-เราตอ้ งการใหเ้ ขารูส้ กึ ดีกบั เรา เราก็ตอ้ งรูส้ กึ ดีกบั เขาก่อน

2.ใช้เทคนิคการสนทนาเพอ่ื สร้างมนุษยส์ มั พันธ์ การสนทนา คือ การตดิ ตอ่ สอื่ สาร
ความหมายกบั บคุ คลอื่น การสนทนาท่ีดีจะทาใหใ้ ชช้ ีวติ อย่ใู นสงั คมไตอ้ ย่างมีความสขุ เทคนคิ
การสนทนาเพื่อสรา้ งมนษุ ยส์ มั พนั ธ์ ประกอบดว้ ย

2.1 การสนทนาใหเ้ กดิ ความอุ่นใจ (Rapport) ไดแ้ ก่
1) ใชภ้ าษาพดู และภาษาทท่ างทีเ่ ป็นมิตรไดแ้ ก่ การทกั ทาย หยอกลอ้ จบั มือ แตะไหล่
2)ใชค้ าพดู ชมเชย เช่น ชมการแตง่ ตวั เสอื้ ผา้ หนา้ ผม เคร่ืองประดบั

3) ใชค้ าพดู ถามถึงครอบครวั เชน่ ถามทกุ ขส์ ขุ ของพอ่ แม่ พ่ีนอ้ งการสนทนาที่ทาใหเ้ กดิ
ความอุ่นใจ ควรใชส้ ายตาทแ่ี สดงถงึ ความจรงิ ใจมองค่สู นทนาดว้ ยความสนใจ
การฟังทม่ี ีประสทิ ธภิ าพ จะทาใหเ้ ขา้ ใจความหมายท่ีแทจ้ รงิ ของสารท่ผี พู้ ดู เจตนาจะสอื่ หรือ

พยายามท่จี ะหลบซอ่ น กลบเกลอื่ นดว้ ยการใชถ้ อ้ ยคาที่ไมต่ รงกบั ใจ แต่สีหนา้ และทาทางจะไม่
สามารถปิดบงั ได้ ตงั นนั้ การพีงที่มีประสทิ ธิภาพจงึ ตอ้ งอาศยั การใสใ่ จและการสงั เกตใน
ขณะเดียวกนั
การฟังทไี่ ม่มีประสทิ ธภิ าพ เช่น การฟังท่คี ดิ วเิ คราะหล์ ่วงหนา้ วา่ คนพดู จะพดู วา่ อะไร หรือ
หาคาแนะนาและหนทางออกไวใ้ ห้ หรอื ตงั้ ขอ้ สงั เกต ตงั้ คาถาม แสดงความคดิ เหน็ สว่ นตวั
จนทาใหผ้ พู้ ดู ไมไ่ ดพ้ ดู สง่ิ ที่ตอ้ งการพดู การฟังทีใ่ จลอย ไม่สนใจผพู้ ดู ไม่สนใจในเรอ่ื งนนั้

ทกั ษะการพูด
เป็นวธิ ีหนงึ่ ของการสื่อสารดว้ ยเสยี ง ภาษา และกิรยิ าทาทาง เพอื่ ใหผ้ ฟู้ ังรบั รูเ้ ขา้ ใจตรงตาม
จุดประสงคข์ องผพู้ ดู หลกั การพดู ท่ีดีตอ้ งคานงึ ถึงสง่ิ ต่าง ๆ ตงั นี้
1. การใชภ้ าษา ถอ้ ยคาเขา้ ใจงา่ ย เหมาะสมกบั ผฟู้ ัง
2. ออกเสยี งพดู ขดั เจน ดงั พอประมาณ ไม่คอ่ ยหรอื ดงั เกนิ ไป
3. สีหนา้ ทาทางยมิ้ แยม้ แจ่มใส เป็นกนั เอง สงิ่ ท่ีจะเป็นการตอ้ นรบั มติ รภาพและความรูส้ กึ ทีต่ ี
จาก คนอื่น คือ "รอยยมิ้ "
4. ทกั ทายผกู มติ ร การเขา้ ไปพดู คยุ ใหค้ วามสนใจ จะเป็นการเปิดบทสนทนาไดอ้ ย่างประทบั ใจ
สรา้ งความรูส้ กึ เป็นพวกเดียวกนั
5. พดู เรื่องใกลต้ วั ท่เี ป็นเรอ่ื งสนกุ สนานดว้ ยทาทางและกิรยิ านมุ่ นวล สบตาผฟู้ ัง ไม่พดู แทรก
ขณะผอู้ ่ืนพดู อยู่
6. การถามเป็นการแสตงความสนใจและใสใ่ จผอู้ ่ืนธีหนงึ่ การถามทดี่ ีจะชว่ ยสรา้ งความสมั พนั ธ์
ทีด่ ีไปดว้ ย ตวั อยา่ งเชน่
"เป็นอย่างไรบา้ งคะ เม่ือวานเหน็ ไม่สบาย"
"เรียนคณติ ศาสตรว์ นั นไี้ ม่คอ่ ยเขา้ ใจ เธอเรียนรูเ้ รื่องไหม"


Click to View FlipBook Version