The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by rattikarn.jin, 2022-09-15 04:15:03

วิจัย-CLT

วิจัย-CLT

การพฒั นาความสามารถในการส่ือสารภาษาองั กฤษ
โดยใช้แนวคดิ ภาษาเพ่ือการสื่อสาร (CLT)

ของนักเรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 6 โรงเรยี นบ้านตรวจ

นางสาวรัตติกาล พมิ ูลชาติ

โรงเรยี นบ้านตรวจ ตาบลตรวจ
อาเภอศรณี รงค์ จังหวดั สุรินทร์
สานักงานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศึกษาสรุ ินทร์ เขต 3
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน

กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

ชือ่ เรอื่ ง การพัฒนาความสามารถในการสอื่ สารภาษาอังกฤษ โดยใช้แนวคิดภาษาเพื่อการ
ชอ่ื ผู้วจิ ัย สื่อสารของนักเรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 6 โรงเรียนบา้ นตรวจ
นางสาวรตั ติกาล พิมูลชาติ

บทคดั ยอ่

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเพื่อศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดภาษาเพื่อการ
สื่อสารในการพัฒนาความสามารถด้านการส่ือสารภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
โรงเรียนบ้านตรวจ โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาความสามารถในการส่ือสารภาษาอังกฤษของ
นกั เรยี นช้ันโดยประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านตรวจ ใช้วิธีสอนตามแนวคิดภาษาเพ่ือการส่ือสาร และ
2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการส่ือสารภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6
โรงเรียนบ้านตรวจ ก่อนและหลังการใช้วิธีสอนตามแนวคิดภาษาเพ่ือการสื่อสาร ประชากรในการวิจัย
คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านตรวจ ปีการศึกษา 2564 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ
นักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 6 จานวน 20 คน เคร่ืองมอื ทีใ่ ช้ในการวิจยั ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้
โดยใช้วิธีสอนตามแนวคิดภาษาเพ่ือการสื่อสาร 2) แบบทดสอบความสามารถในการสื่อสารด้านการฟัง
จานวน 10 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉล่ีย ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และทดสอบ
สมมตุ ิฐานด้วยคา่ ที (t - test for dependent) โดยกาหนดระดับนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05

ผลการวิจยั พบวา่
1. ผลทดสอบความสามารถในการส่ือสารภาษาอังกฤษ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 5 เรื่อง Giving
Direction ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนตามแนวคิดภาษา
เพ่อื การสอื่ สาร พบวา่ ก่อนเรียนนักเรียนมีคะแนนเฉล่ีย เท่ากับ 4.29 คะแนน หรือคิดเป็นร้อยละ 42.9
หลังเรยี นนักเรยี นมคี ะแนนเฉลย่ี เทา่ กบั 7.88 คะแนน หรือคดิ เปน็ รอ้ ยละ 78.8
2. ผลทดสอบความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 6 เร่ือง Giving
Direction ของนกั เรียนช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 6 จากการจัดการเรยี นรโู้ ดยใชว้ ิธีสอนตามแนวคิดภาษาเพื่อ

การส่อื สาร หลงั เรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรียนอยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ทิ ่ีระดบั .05

กติ ติกรรมประกาศ

การศกึ ษาวจิ ัยครัง้ นส้ี าเร็จลุล่วงไปไดด้ ้วยดี ด้วยความอนุเคราะห์จากผู้เช่ียวชาญท่ีให้คาปรึกษา
แนะนา ตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่อง ตลอดจนให้กาลังใจในการศึกษา ผู้ศึกษาขอกราบขอบพระคุณด้วย
ความเคารพอยา่ งสงู
ขอกราบขอบพระคุณคณาจารย์ทุกท่านท่ีให้ความรู้และประสบการณ์อันมีค่า ยิ่งแก่ผู้ศึกษาตลอดเวลา
ขอขอบคณุ ผู้บริหารสถานศึกษาและคณะครู โรงเรยี นบา้ นตรวจ ทีไ่ ดใ้ ห้ความร่วมมือในการศึกษาคร้ังนี้
จนสาเร็จลลุ ว่ งไปไดด้ ว้ ยดี

ผวู้ ิจยั

สารบญั หน้า

บทคัดยอ่ 1
กิตตกิ รรมประกาศ 3
สารบญั 3
5
บทที่ 1 บทนา 6
ที่มาและความสาคัญของปญั หา
วตั ถปุ ระสงคก์ ารวิจยั 7
ขอบเขต การวิจัย 27
นยิ ามศัพท์เฉพาะ
ประโยชนท์ คี่ าดว่าจะได้รบั 31
32
บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ ก่ียวข้อง 34
แนวคิด หลกั การ ทฤษฎี 34
งานวิจยั ทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง
35
บทท่ี 3 วธิ ีดาเนินการวิจัย
แบบแผนการทดลอง 37
เคร่อื งมอื ท่ใี ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมลู 38
การเก็บรวบรวมขอ้ มลู
การวิเคราะหข์ อ้ มูล

บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู
ผลการศกึ ษา

บทท่ี 5 สรุป อภปิ รายผลและขอ้ เสนอแนะ
สรปุ ผลการศกึ ษา
การอภิปรายผล

บรรณานกุ รม
ภาคผนวก

บทที่ 1
บทนา

ที่มาและความสาคัญของปัญหา
ในปัจจุบันภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลท่ีใช้กันอย่างแพร่หลาย และมีบทบาทสาคัญในวิถีชีวิต

ของผู้คน จากอิทธิพลของความก้าวไกลทางด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร ส่งผลให้ภาษาอังกฤษย่ิงทวี
ความสาคัญมากย่งิ ข้นึ เพราะถือเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อส่ือสาร ศึกษาค้นคว้าแสวงหาความรู้จาก
แหล่งเรียนรู้ท่ีหลากหลาย รวมถึงการประกอบอาชีพ การจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในประเทศ
ไทยน้ัน กระทรวงศึกษาธิการได้ให้ความสาคัญโดยกาหนดภาษาอังกฤษไว้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาต่างประเทศ ซึ่งเป็นหน่ึงในกลุ่มสาระการเรียนรู้ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
พุทธศักราช 2551 โดยสถานศึกษาต้องจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษให้แก่ผู้เรียนทุกระดับชั้ น
(กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. 2551 : 220)

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งหวังให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อ
ภาษาอังกฤษ สามารถใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารในสถานการณ์ต่างๆ แสวงหาความรู้ ประกอบอาชีพและ
ศกึ ษาตอ่ ในระดบั ทส่ี งู ขึน้ รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจในวัฒนธรรมที่หลากหลายของประชาคมโลก และ
สามารถถ่ายทอดความคิดและวัฒนธรรมไทยไปยังสังคมโลกได้อย่างสร้างสรรค์ (สานักวิชาการและ
มาตรฐานการศกึ ษา. 2562 : 1)

สภาพการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในปัจจุบัน พบว่า ผู้เรียนยังไม่สามารถนาภาษาอังกฤษไป
ใช้ในสถานการณ์ตามสภาพความเป็นจริงได้ สาเหตุหนึ่งเกิดจากสภาพแวดล้อมของสังคมไทยที่ไม่ได้ใช้
ภาษาอังกฤษในชีวิตประจาวัน เม่ือผู้เรียนฝึกฟัง และพูดภาษาอังกฤษท่ีโรงเรียนแล้วก็ไม่ได้นาไปใช้ที่
บ้านหรือชุมชนจึงขาดความต่อเนื่อง สอดคล้องกับสุมิตรา อังวัฒนกุล (2560 : 159) กล่าวว่า ทักษะฟัง
และพูดภาษาอังกฤษเป็นทักษะสาคัญในการส่ือสาร เป็นทักษะท่ีต้องพัฒนาควบคู่กันและสอดคล้องกับ
วสิษฐ์ เกษมทรพั ย์ (2562 : 83) ไดใ้ ห้แนวทางการเรียนร้ภู าษาอังกฤษว่า ต้องเริ่มจากการฟังและการพูด
ก่อนจึงนาไปสู่การอ่านและการเขียน ธรรมชาติของการเรียนภาษาไม่ได้เกิดจากการจา หรือการเรียน
ตามหลักไวยากรณ์ แต่เป็นการซึมซับ เรียนรู้และเข้าใจด้วยการฟัง การจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ
ผู้สอนจาเป็นต้องคานึงถึงหลักธรรมชาติในการรับรู้ภาษา ซึ่งเร่ิมจากการฟัง ดังที่นักภาษาศาสตร์อย่าง
Krashen (2013 : 21) กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถด้านการฟังและพูดว่า การมี
ความสามารถด้านการฟังที่ดี เป็นส่ิงสาคัญที่ช่วยทาให้สามารถพูดได้อย่างมีความหมาย ดังน้ันหาก
ผเู้ รยี นไดร้ ับการพฒั นาสง่ เสริมความสามารถด้านการฟังแล้ว ความสามารถด้านการพูดของผู้เรียนก็จะดี
ข้ึนดว้ ย

ผู้วิจัยเห็นความสาคัญในการพัฒนาทักษะในการส่ือสารภาษาอังกฤษของผู้เรียนและสนใจท่ีจะ
นาวิธีการสอนตามแนวคิดภาษาเพ่อื การส่อื สารมาใชพ้ ัฒนาความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษของ
ผู้เรียน จากการศึกษางานวิจัยข้างต้น พบว่า มักสอนโดยอิงจากหนังสือเรียนเป็นหลัก และเน้นการ
ส่ือสารด้วยการฟังและพูดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เม่ือพิจารณาจากเน้ือหาในหน่วยการเรียนรู้เร่ือง
Care & Clean สามารถใช้วิธีการสอนตามแนวคิดภาษาเพื่อการสื่อสารได้ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถใช้
ภาษาองั กฤษสอื่ สารตามบริบทและสถานการณ์ทีเ่ หมาะสม มากกว่าการเน้นการสอนตามหลกั ไวยากรณ์

แม้วิธสี อนภาษาอังกฤษทมี่ ุ่งเน้นพฒั นาผูเ้ รียนใหป้ ระสบผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนจะมีอยู่หลายวิธี
แต่ก็ไม่ปรากฏว่าวิธีการสอนใดดีและเหมาะสมท่ีสุด จากการศึกษาเอกสาร พบว่า วิธีสอนภาษาอังกฤษ
ตามแนวคดิ ภาษาเพือ่ การสื่อสาร (Communication Language Teaching ) หรือ CLT เป็นวิธีสอนท่ีมี

ลาดับข้ันตอนการสอนผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ โดยให้ผู้เรียนสามารถนาความรู้ ไปใช้ประโยชน์ใน
ชีวิตประจาวันได้อย่างแท้จริง ให้ผู้เรียนได้มีส่วนรวมในการทากิจกรรม มีการบูรณาการ 4 ทักษะ
(Integrated 4 skills) ทาให้เกิดทักษะภาษา 4 ด้าน คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน โดยมีการปฏิสัมพันธ์
ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน และผู้เรียนกับผู้สอน เน้นการสื่อความหมาย (focus on meaning) ระหว่าง
ผู้สอนกับผู้เรียน โดยการนาส่ือสภาพจริง (authentic material) มาเป็นสื่อในการจัดกิจกรรม และให้
ผู้เรียนสามารถเขาถึงข้อมูลข่าวสารได้ด้วยตนเอง (self - access) สามารถนาภาษาอังกฤษไปใช้ใน
สถานการณ์จริง (real situation) ซึ่งผู้สอนเป็นเพียงผู้อานวยความสะดวก (Teacher is a facilitator)
จะเห็นไดว้ า่ การจดั การเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะการฟังมีความสาคัญที่จะต้องทาการ
พัฒนาให้เกิดข้ึนอย่างต่อเน่ือง ความสามารถด้านการฟังมีผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการนา
ภาษาไปใชเ้ พื่อการสื่อสาร

ในงานวิจัย ผู้วิจัยได้มุ่งพัฒนาเฉพาะทักษะด้านการฟังของผู้เรียน เนื่องจากการฟังเป็นทักษะ
พนื้ ฐานทผี่ ูเ้ รยี นจาเป็นตอ้ งฟงั ใหค้ วามใจความหมายแลว้ จึงจะสามารถตอบสนองเป็นทักษะการพูดต่อไป
ได้ การฟงั มคี วามสาคญั ตอ่ มนุษยต์ ั้งแตแ่ รกเกิด เพราะเป็นทักษะแรกทท่ี าให้มนุษยส์ ามารถส่ือสารได้ จะ
เห็นได้จากการที่เด็กเรียนรู้และทาเสียงโดยการฟังและเลียนแบบคาพูดของพ่อแม่ น่ันคือ เด็กฟังภาษา
ก่อนที่จะเกิดการเรียนรู้ การฟังเป็นการให้ตัวป้อนทางภาษาแก่ผู้เรียนถ้าผู้เรียนไม่เข้าใจตัวป้อนภาษาที่
ได้รับแล้วจะไม่เกิดการเรียนรู้ภาษาท่ีเรียน ทักษะการฟังเป็นทักษะพ้ืนฐานสาคัญนาไปสู่การพัฒนา
ทักษะพูด อ่าน เขียน และมีบทบาทในการส่ือสารในชีวิตประจาวันมากกว่าทักษะอ่ืน ถ้าบุคคลมีทักษะ
การฟงั ท่ไี ม่ดีอาจมีผลเสียหายต่องานและสูญเสียสัมพันธภาพระหว่างบุคคลได้ นอกจากน้ีการฟังยังเป็น
กุญแจสาคัญของความสาเร็จท่จี ะนาไปส่คู วามสามารถทางภาษา

ดังนั้น ผู้วิจัยจึงมีความประสงค์จะทาวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษของ
นักเรียนชั้นช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านตรวจ โดยใช้วิธีการสอนตามแนวคิดภาษาเพ่ือการ
สอื่ สาร เพื่อช่วยพัฒนาการเรยี นรู้ภาษาองั กฤษ ในด้านการสื่อสารของผู้เรียนให้ดีข้ึน ซึ่งทักษะการฟังจะ
เป็นพ้ืนฐานทีน่ าไปสู่ทักษะอื่นๆ ตลอดจนการศึกษาต่อในระดับที่สูงข้ึน สร้างความม่ันใจในการใช้ภาษา
และสามารถปรับตวั กับการเปล่ียนแปลงของสงั คมโลกในยุคข้อมูลขา่ วสารได้ต่อไป

วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย
1. เพื่อพัฒนาความสามารถในการส่ือสารภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ัน ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6

โรงเรยี นบา้ นตรวจ โดยใช้วิธีสอนตามแนวคิดภาษาเพ่ือการส่ือสาร
2. เพ่อื เปรยี บเทยี บความสามารถในการสอื่ สารภาษาองั กฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6

โรงเรยี นบ้านตรวจ ก่อนและหลังการใช้วิธสี อนตามแนวคิดภาษาเพ่ือการส่อื สาร

ขอบเขตการวิจยั
1. ประชากรที่ใช้ในการวจิ ัยคร้ังนี้ คือ นกั เรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 โรงเรียนบา้ นตรวจ
2. กลุ่มตวั อยา่ งทีใ่ ช้ในการวจิ ัยคร้ังนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ี่ 6 โรงเรยี นบา้ นตรวจ
จานวน 20 คน ได้มาด้วยวธิ ีสมุ่ แบบกล่มุ (Cluster random sampling)
3. ตวั แปรที่ศึกษา
ตวั แปรต้น วธิ กี ารสอนตามแนวคดิ ภาษาเพ่ือการสื่อสาร
ตัวแปรตาม ความสามารถด้านการฟงั ของนักเรยี น

4. เนื้อหาในสาระภาษาเพื่อการสอ่ื สารรายวิชาพ้นื ฐาน ภาษาองั กฤษช้ัน ป.6 ภาคเรยี นที่ 2
ปีการศึกษา 2564 ซ่ึงอยู่ในเน้ือหาของหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ)
ในหลักสูตรสถานศึกษา จากหนังสือเรียน smile : out and about หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง Giving
Direction

5. ระยะเวลาท่ใี ช้ในการดาเนินการวจิ ัย ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564
ต้ังแตเ่ ดอื นธนั วาคม 2564 - กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2565 ระยะเวลาทง้ั สิ้นรวม 3 เดอื น

กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั
การวิจัยคร้ังน้ี ผู้วิจัยได้นาหลักการและแนวคิดรูปแบบการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร

(Communication Language Teaching) หรือ CLT ซ่ึงมีขั้นตอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่สุมิ
ตรา องั วัฒนากุล (2560 : 112) ปรับเปน็ 4 ข้ันตอน ดังน้ี

1. ขนั้ นาเขา้ สบู่ ทเรียน (Warm up)
2. ข้นั นาเสนอ (Presentation)
3. ข้นั ฝกึ (Practice)
4. ขัน้ การใชภ้ าษา (Production)
และข้นั ตอนในการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ของ Scott (2021 : 72) มี 4 ขั้นตอน ดงั นี้
1. การตงั้ จุดประสงค์ (Setting objective)
2. การนาเสนอเนอ้ื หา (Presentation)
3. การฝกึ (Practice)
4. การถ่ายโอน (Transfer)
ในการวิจยั ครง้ั น้ี ผวู้ ิจัยได้ปรับขัน้ ตอนการจัดการเรยี นรู้โดยใช้วิธีการสอนตามแนวคิดภาษาเพ่ือ
การสอ่ื สาร เป็น 5 ข้ันตอน ดังน้ี
1. การเตรยี มความพร้อม (Warm up)
2. การนาเสนอเน้ือหา (Presentation)
3. การฝึกปฏิบตั ิ (Practice)
4. การใช้ภาษา (Production)
5. การสรปุ บทเรยี น (Wrap up)
จากหลกั การและแนวคิดดังกล่าว ผู้วิจัยจึงกาหนดเป็นกรอบแนวคิดในการวิจัย โดยจัดข้ันตอน
การสอนและรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับทุกข้ันตอน เพื่อพัฒนาความสามารถใน
การสือ่ สารภาษาอังกฤษของนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รบั วธิ กี ารสอนตามแนวคิดภาษาเพื่อการ

สอ่ื สาร ดงั น้ี

ภาพท่ี 1 กรอบแนวคิดในการวจิ ัย ตวั แปรท่ีศึกษา
ตัวจดั กระทา

การจดั การเรียนรู้ตามแนวคิด CLT ความสามารถในการฟัง
1. การเตรียมความพร้อม (Warm up) ภาษาองั กฤษ
2. การนาเสนอเน้ือหา (Presentation)
3. การฝึกปฏิบตั ิ (Practice) หน่วยการเรียนรู้ที่ 5
4. การใชภ้ าษา (Production) เรื่อง Giving Direction
5. การสรุปบทเรียน (Wrap up)

สมมตฐิ านการวิจยั
นักเรียนท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ วิธีสอนตามแนวคิดภาษาเพ่ือการสื่อสาร มี

ความสามารถในการสื่อสารภาษาองั กฤษหลังเรยี นสูงกวา่ ก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ทิ ่ีระดบั .05

นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ
1. ความสามารถในการสื่อสารภาษาองั กฤษ หมายถงึ ความสามารถในการฟังภาษาอังกฤษของ

นกั เรียน โดยใช้วิธีการสอนตามแนวคดิ ภาษาเพอื่ การสอ่ื สารแล้วสามารถฟังเสียงคาศัพท์ ประโยคท่ีใช้ใน
การส่ือความหมายได้อยา่ งถกู ต้อง ตามแผนการจดั การเรยี นรภู้ าษาอังกฤษโดยใช้วิธีการสอนตามแนวคิด
ภาษาเพอื่ การสอ่ื สาร ซงึ่ วดั ไดจ้ ากแบบทดสอบวัดความสามารถดา้ นการฟังภาษาอังกฤษท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้น
จานวน 10 ข้อ โดยผู้วิจัยสร้างสถานการณ์ให้นักเรียนฟังเสียงคาศัพท์และประโยคแล้วเลือกรูปภาพที่
ตรงตามความหมายหรือเก่ียวข้องกับส่ิงท่ีได้ฟัง ซึ่งผ่านการพัฒนาหาคุณภาพแล้ว โดยมีความเชื่อมั่นทั้ง
ฉบับ เท่ากับ 0.72

2. การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดภาษาเพ่ือการสื่อสาร หมายถึง การออกแบบกิจกรรม
การเรียนรู้ภาษาอังกฤษสาหรับนักเรียน เพื่อพัฒนาความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษ โดยอิง
หลักการสอนภาษาเพ่ือการส่ือสาร ซึ่งผู้สอนเป็นผู้คอยให้คาแนะนาและอานวยความสะดวกในการจัด
กิจกรรม ประกอบด้วย 5 ข้ันตอน คือ 1. การเตรียมความพร้อม (Warm up) 2. การนาเสนอเน้ือหา
(Presentation) 3. การฝึกปฏิบัติ (Practice) 4. การใช้ภาษา (Production) และ5. การสรุปบทเรียน
(Wrap up)

ประโยชน์ท่ีได้รับ
ผู้ที่สนใจศึกษาหรือครูผู้สอนสามารถนาผลการใช้วิธีสอนตามแนวคิดภาษาเพ่ือการสื่อสารไป

พฒั นาความสามารถในการส่ือสารภาษาองั กฤษของนกั เรยี นหรือเปน็ ข้อมลู ในการศึกษาเร่ืองทเ่ี กีย่ วขอ้ ง

บทท่ี 2
เอกสารและงานวิจัยท่เี กีย่ วข้อง
ในวิจยั การพัฒนาความสามารถในการส่ือสารภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6
โรงเรียนบ้านตรวจ โดยใช้แนวคิดภาษาเพ่ือการสื่อสารครั้งนี้ผู้วิจัยได้ดาเนินการศึกษาเอกสารและ
งานวิจยั ท่ีเก่ียวข้อง โดยมีสาระสาคัญท่ีมุ่งนาเสนอ ดังนี้

1. แนวคิดเก่ียวกับทฤษฎีการสอนภาษาเพ่ือการสื่อสาร (Communication Language
Teaching)

1.1 ความหมายของการสอนภาษาเพื่อการส่ือสาร
1.2 แนวคดิ พืน้ ฐานของการสอนภาษาเพอื่ การสื่อสาร
1.3 หลักการสอนและจดั กจิ กรรมตามแนวคดิ ภาษาเพอื่ การสือ่ สาร
1.4 ขั้นตอนการสอนภาษาเพ่ือการสือ่ สาร
1.5 ทฤษฎีการเรียนรู้ทางจติ วทิ ยาที่เกย่ี วข้องกับวธิ ีการสอนภาษาเพ่อื การส่อื สาร
2. ทกั ษะการฟัง
2.1 ความหมายของการฟงั
2.2 ความสาคญั ของทกั ษะการฟงั
2.3 ระดับขน้ั ของการฟัง
2.4 ความสามารถในการฟัง
3. การสอนฟังเพอื่ การส่อื สาร
3.1 วธิ ีการและการจดั กิจกรรมการสอนฟังเพื่อการสอื่ สาร
3.2 การประเมนิ ผลการสอนฟงั เพ่อื การส่ือสาร
4. แนวคดิ เก่ยี วกับแผนการจัดการเรยี นรู้
4.1 ความหมายของแผนการจดั การเรียนรู้
4.2 องค์ประกอบของแผนการจดั การเรยี นรู้
4.3 ประโยชนข์ องแผนการจัดการเรียนรู้
5. งานวจิ ัยท่เี ก่ียวขอ้ ง
5.1 งานวิจยั ภายในประเทศ
5.2 งานวจิ ัยตา่ งประเทศ

1. แนวคิดเก่ียวกับทฤษฎีการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร (Communication Language
Teaching)
1.1 ความหมายของการสอนภาษาเพอ่ื การสือ่ สาร

นกั ภาษาศาสตรไ์ ด้ให้ความหมายของการสอนภาษาเพ่ือการส่ือสารไว้ ดังน้ี
สมุ ิตรา อังวัฒนกุล (2560 : 107) กล่าวว่า การสอนภาษาเพ่ือการสื่อสารเกิดจากแนวคิดที่เชื่อ
วา่ ภาษาไมไ่ ดเ้ ป็นเพียงระบบไวยากรณ์ทีป่ ระกอบด้วยศพั ท์ เสยี ง โครงสร้างเท่าน้ัน แต่ภาษา คือ ระบบ
ท่ีใชใ้ นการสื่อความหมาย ดังนั้นการสอนภาษาเพ่ือสื่อสารจึงควรให้ผู้เรียนสามารถนาภาษาไปใช้ในการ
สอื่ สารหรือสอ่ื ความหมายได้และใช้ภาษาไดอ้ ยา่ งเหมาะสมกับบริบท
กุลยา เบญจกาญจน์ (2560 : 22) กล่าวว่า แนวการสอนเพ่ือการสื่อสาร หมายถึง การสอนให้
ผูเ้ รยี นเรยี นร้ภู าษาโดยใชภ้ าษาไดอ้ ยา่ งเหมาะสมกับสถานการณม์ ากกว่าเรียนเพื่อสร้างประโยคท่ีถูกต้อง
ทางไวยากรณเ์ ทา่ นัน้
Littlewood (2021 : 17) กล่าวว่า การสอนภาษาเพ่ือการสื่อสารควรเน้นเร่ือง หน้าท่ีของ
ภาษามากกว่ารูปแบบของภาษา การเรียนภาษาไม่ได้เรียนแต่เฉพาะกฎเกณฑ์ไวยากรณ์เท่านั้น แต่
ผเู้ รยี นจะตอ้ งมคี วามสามารถในการสือ่ ความหมายให้ผู้อ่ืนเขา้ ใจได้
สรุปได้ว่า การสอนภาษาเพ่ือการสื่อสาร (Communication Language Teaching) หมายถึง
การสื่อความหมายใหผ้ อู้ น่ื เขา้ ใจ เหมาะสมตามสถานการณ์ และบริบท ไม่ใช่เพียงยึดตามหลักไวยากรณ์
ที่ถกู ตอ้ งเพยี งเทา่ น้ัน

1.2 แนวคดิ พ้ืนฐานของการสอนภาษาเพื่อการสือ่ สาร
ปจั จบุ นั การสอนภาษาเพ่อื การส่ือสารมีบทบาทอย่างมาก ในการจัดการเรียนการสอน การสอน

ภาษาเพอื่ การสอ่ื สารมุง่ เน้นให้ผ้เู รียนสามารถนาความรู้ ไปใช้ในชีวิตประจาวันได้ ซ่ึงผู้เรียนต้องมีความรู้
ในเรอ่ื งกฎเกณฑ์ทางภาษา และนอกเหนอื จากกฎเกณฑ์ทางภาษา เช่น บทบาททางสังคม เจตคติของ คู่
สนทนา โดยสื่อความหมายให้ผ้อู ่นื เขา้ ใจ

Littlewood (2014 : 22) ให้ความเห็นว่าแนวความคิดของการสอนภาษา เพ่ือการส่ือสารนั้น
เนน้ การที่ผ้เู รยี นสามารถฝึกฝนสิ่งท่ตี นเองได้รับกบั สถานการณ์ท่ตี อ้ งสื่อสารโตต้ อบจริง ๆ

Hymes (2021: 5) กล่าวว่า ผู้เรียนที่เรียนภาษาต่างประเทศเป็นภาษาท่ีสองนั้น ควรเน้นท่ี
ประสิทธิภาพในการสื่อสารมากกวา่ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงการใชภ้ าษาได้อย่างเหมาะสมกับสภาพสงั คม

สรุปไดว้ า่ แนวคดิ พื้นฐานของการสอนภาษาเพ่ือการสอื่ สารน้นั เน้นให้ผู้เรียนฝึกการใช้ส่ือสารให้
เหมาะสมตามสถานการณ์ และบรบิ ท

1.3 หลกั การสอนและจัดกจิ กรรมตามแนวคิดภาษาเพอื่ การส่อื สาร
หลักการสอนตามแนวคิดภาษาเพอื่ การสือ่ สาร

การสอนภาษาเพ่ือการสื่อสารมีหลักสาคัญอยู่หลายประการ ผู้เชี่ยวชาญทางภาษา ได้กล่าวถึง
หลกั การจัดกิจกรรมการเรียนรทู้ างภาษาเพ่ือการสอื่ สารไว้ ดงั นี้

วจิ ติ รา การกลางและคณะ (2560 : 2) กลา่ วถึงหลักการสอนภาษาเพือ่ การส่ือสาร ดงั น้ี
1. ให้ความสาคญั แกค่ วามหมาย
2. ไม่เน้นการท่องหลักไวยากรณ์ จากสถานการณจ์ รงิ
3. บรบิ ทเป็นสง่ิ สาคัญ
4. โครงสร้างเสียงและคาศัพทม์ ีความสาคัญเท่ากับการใชภ้ าษาเพ่ือส่ือความหมาย

5. การเข้าใจสิง่ ท่อี อกเสยี งสาคัญกว่า
6. ใชว้ ิธีหลากหลาย ยืดหยุน่ ตามความเหมาะสมของวัย และความสนใจของผเู้ รยี น
7. พยายามกระตนุ้ ผเู้ รียนให้ใชภ้ าษาเพ่อื การส่ือสารใหม้ ากท่สี ุด
8. ใช้ภาษาท่ีหน่งึ ได้ ขึน้ อยู่กบั สถานการณแ์ ละเหตผุ ล
9. แปลได้ ถา้ เปน็ ประโยชนส์ าหรบั ผูเ้ รยี น
10. ภาษาเรียนรไู้ ด้โดยกระบวนการการสอ่ื สาร
11. ความสามารถดา้ นการใชภ้ าษาเพ่ือการสอื่ สารเปน็ เปา้ หมายสาคัญ
Finocchiaro and Bonomo (2018 : 65) กลา่ วถึงหลกั การสอนภาษาเพือ่ การส่ือสาร ดงั นี้
1. วางแผนในการจัดประสบการณ์การเรยี นการสอนแก่ผู้เรียนอย่างรอบคอบ
2. จัดสถานการณ์และการใช้อปุ กรณ์เพ่ือชว่ ยให้ผู้เรียนเข้าใจความหมายของเร่ืองทน่ี าเสนอ
3. จดั บทเรยี นให้มีการฝึกใช้กิจกรรมเพ่อื การส่ือสาร
4. ใชภ้ าษาทชี่ ว่ ยให้ผเู้ รยี นเขา้ ใจขอ้ มลู ได้ชัดเจน
5. รวู้ ธิ ีการฝกึ นกั เรยี นพร้อมกันทัง้ ชนั้ เปน็ รายกลุม่ และรายบุคคล
6. มคี วามชานาญในการสอน
7. จดั หาบทเรยี นทห่ี ลากหลายรปู แบบ เพื่อพัฒนาความสามารถในการสอ่ื สาร
8. จดั เตรียมอปุ กรณ์ เพ่อื ความคลอ่ งตวั ในการจัดกิจกรรมในหอ้ งเรยี น
9. ส่งเสรมิ ใหน้ ักเรียนเขา้ ใจวฒั นธรรมของเจ้าของภาษาจากการจดั กิจกรรมและบทสนทนา
10. เลอื กโสตทัศนปู กรณอ์ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพ
11. จดั ใหม้ ีการประเมนิ ผล เพอ่ื ทราบผลสมั ฤทธิข์ องผูเ้ รียน และประสิทธภิ าพในการสอน
สรุปได้ว่า หลักการสอนตามแนวคดิ ภาษาเพ่ือการสอ่ื สารมีหลักการสาคัญ ได้แก่ การสอนภาษา
ให้ผู้เรียนต้องเป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ให้ความสาคัญกับบริบทและสถานการณ์จริง ใช้วิธีการ
หลากหลาย ยดื หยุ่นเหมาะสมกับผเู้ รยี น และกระตุ้นผู้เรียนให้ได้ใชภ้ าษาในส่อื สาร

หลกั การจัดกิจกรรมตามแนวคดิ ภาษาเพ่ือการส่อื สาร
สมถวิล ธนโสภณ (2560 : 12) แบง่ กจิ กรรมสอนภาษาเพื่อการสือ่ สารเป็น 2 กจิ กรรมหลกั คือ
1. กิจกรรมเพื่อการสื่อสารตามจุดประสงค์และสถานการณ์การใช้ภาษา ( Functional

Communication Activities) กิจกรรมนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อพัฒนาทักษะทางภาษาเพ่ือการสื่อสารท่ี
จาเป็นในการสอ่ื สารให้บรรลตุ ามจดุ ประสงค์ โดยผู้สอนกาหนดสถานการณใ์ ห้ผเู้ รียนใชภ้ าษา

2. กิจกรรมการใช้ภาษาเพ่ือการส่ือสารท่ีเน้นพัฒนาทักษะ หมายถึง กิจกรรมที่ฝึกให้ผู้เรียนมี
ความสามารถในการใช้ภาษาในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสมและถูกต้องเป็นท่ียอมรับของสังคม
ทีใ่ ช้ภาษานนั้ ๆ ตามจดุ หมายหลกั ของการใชภ้ าษาเพือ่ การสอื่ สารมุ่งพัฒนาทักษะท้ัง 4 ด้าน โดยผู้เรียน
มโี อกาสไดท้ ากิจกรรมอย่างเสรี ผู้สอนเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือในการใช้ภาษา เช่น การสนทนาอภิปราย
โต้วาที การเลยี นแบบ การแสดงบทบาทสมมุติ เป็นตน้

สุภัทรา อักษรานุเคราะห์ (2560 : 15) กล่าวว่า หลักการจัดกิจกรรมเพ่ือการส่ือสารผู้สอนควร
จดั กิจกรรมการสอนภาษาเพ่อื การส่ือสาร ดว้ ยวิธกี าร ดังน้ี

1. ผู้สอนนาเหตุการณ์นอกห้องเรียนเข้าไปสู่ชั้นเรียนโดยใช้บทบาทสมมุติ (Role Play) การ
เลียนแบบ (Simulation) และกิจกรรมการแก้ปญั หา (Problem Solving Activity)

2. ผูส้ อนใช้ภาษาที่เปน็ สภาพจรงิ (Authentic Language) ใช้ภาษาทีเ่ ป็นธรรมชาติเป็นภาษาท่ี
ใช้ไดท้ ัง้ ใน และนอกหอ้ งเรียนใหม้ ีเนอ้ื หาที่เป็นจรงิ ในชีวิตประจาวนั

3. ผู้สอนเน้นความหมายของภาษาเพื่อการสื่อสารเพื่อช่วยให้ผู้เรียนคาดเดา ผู้พูดได้ ผู้เรียน
เลือกเนอื้ หา สอดคล้องกับวิชาทีส่ อนโดยยึดจุดประสงคก์ ารสอนเป็นสาคัญ

4. ผสู้ อนให้โอกาสผู้เรียนแสดงความร้สู ึก ความคดิ และทัศนคติ แลกเปล่ียนข้อมูล
5. ผู้สอนกระตุ้น และส่งเสริมให้ผู้เรียนร่วมมือ และทางานเป็นกลุ่ม เปิดโอกาสให้ผู้เรียนแต่ละ
คนมีสว่ นร่วมในกจิ กรรม โดยการสรา้ งแรงจูงใจ
6. ผู้สอนออกแบบกิจกรรมทเ่ี ปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นได้ใช้ภาษาในการสือ่ สารไดค้ รอบคลุม
สรุปได้ว่า หลกั การจดั กิจกรรมตามแนวคิดภาษาเพือ่ การสอ่ื สาร คอื การจดั กจิ กรรมทางภาษาท่ี
มงุ่ ให้ผูเ้ รียนใชภ้ าษาในสถานการณ์จรงิ เปน็ การเรียนรอู้ ยา่ งมีความหมาย

1.4 ข้ันตอนการสอนภาษาเพ่อื การสื่อสาร
ขัน้ ตอนการสอนภาษาเพอ่ื การสอ่ื สารของ สมุ ิตรา อังวฒั นากุล (2560 : 112) มดี ังน้ี
1. ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน (Warm up) มีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้ผู้เรียนเกิดความพร้อม และอยากรู้

อยากเรียนในบทใหม่ เน้ือหาจะเช่ือมโยงไปสู่สาระสาคัญ เม่ือผู้สอนเห็นว่าผู้เรียนมีความพร้อม เกิด
ความสนกุ และสนใจเรยี นแล้ว กเ็ รม่ิ เรยี นเนอ้ื หาต่อไป กิจกรรมที่กาหนดในข้ันนี้มีหลากหลาย เช่น เล่น
เกม ปรศิ นาคาทาย เพ่ือทบทวนความรู้ที่เรยี นมาแลว้

2. ขั้นนาเสนอ (Presentation) ผู้สอนให้ข้อมูลทางภาษาแก่ผู้เรียน มีการนาเสนอศัพท์หรือ
เนื้อหาใหม่ให้เข้าใจทั้งรูปแบบและความหมาย กิจกรรมท่ีกาหนดในข้ันนี้ประกอบด้วยการให้ฟังเน้ือหา
ใหม่ ให้ผู้เรียนฝึกพูดตาม ผู้สอนเป็นผู้ให้ความรู้ทางภาษาที่ถูกต้อง และเป็นแบบอย่างท่ีถูกต้องในการ
ออกเสียง

3. ขั้นฝึก (Practice) ในข้ันนี้ผู้เรียนจะได้ฝึกใช้ภาษาที่เรียนมาแล้วในข้ันนาเสนอ โดยมี
วัตถุประสงค์ให้ผู้เรียนใช้ภาษาได้ถูกต้อง ขณะเดียวกันก็เน้นเร่ืองการใช้ภาษาให้คล่องแคล่ว การฝึก
อาจจะฝึกทัง้ ชนั้ เป็นกลมุ่ เป็นคู่ หรือรายบุคคล ขั้นนี้เป็นโอกาสที่ผู้สอนจะแก้ไขข้อผิดพลาดของผู้เรียน
ในการใชภ้ าษา ซึ่งการแก้ไขข้อผิดพลาดน้ัน ควรทาหลังการฝึกหากทาระหว่างท่ีผู้เรียนกาลังลองผิดลอง
ถกู อยู่ ความมัน่ ใจทีจ่ ะใชภ้ าษาให้คล่องแคลว่ อาจลดลง กจิ กรรมท่ีกาหนดในแผนการจัดการเรียนรู้ มีทั้ง
ในลักษณะที่กล่าวมา และใน ลกั ษณะทีเ่ ปดิ โอกาสให้ผ้เู รยี นได้ฝกึ อยา่ งอสิ ระ Learning by Doing

4. ข้ันการใช้ภาษา (Production) มีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้ผู้เรียนนาคาหรือประโยคท่ีฝึกมาใช้ใน
สถานการณต์ า่ ง ๆ ในรปู แบบกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อให้เกิดความคล่องแคล่วความสนุกสนาน ในขั้น
นี้เป็นข้ันท่ีเน้นผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติกิจกรรม ผู้สอนคอยให้ความช่วยเหลือ ถ้าผู้เรียนผิดพลาดไม่ควร
ขดั จงั หวะ เพื่อให้ผู้เรยี นรสู้ กึ สบายใจ กจิ กรรมท่กี าหนดไวม้ ีหลากหลาย เช่น เล่นเกม ทาช้นิ งาน ทาแบบ
ฝึก เปน็ ตน้

Scott (2021 : 72) ไดแ้ บง่ ข้นั ตอนในการสอนภาษาเพือ่ การส่ือสารเปน็ 4 ขัน้ ตอน ดงั นี้
1. การตงั้ จดุ ประสงค์ (Setting objective) เป็นการตัง้ จดุ ประสงคป์ ลายทางและนาทาง
2. การนาเสนอเน้ือหา (Presentation) ผูส้ อนต้องใหค้ วามชัดเจน และกระจา่ งในเร่อื งท่ีสอน
3. การฝกึ (Practice) ฝึกภาษาท่ีสอนไปแลว้ ในขั้นท่ีสอง อาจฝึกเปน็ รายบคุ คลหรือกลมุ่
4. การถ่ายโอน (Transfer) เป็นการเลือกฝึกการใช้ภาษาผู้เรียนอาจมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
โดยใช้ภาษาที่เรียนมาแล้วอย่างเสรี เช่น การแสดงบทบาทสมมุติ เล่นเกม เป็นต้น เพ่ือเปิดโอกาสให้ใช้
ภาษาสื่อสารได้เตม็ ที่ หรอื อาจจดั ใหผ้ ้เู รียนนาภาษาไปใช้ ในสถานการณตา่ ง ๆ

สรุป ข้ันตอนการสอนภาษาเพื่อการส่ือสาร ประกอบไปด้วย 1) การนาเข้าสู่บทเรียนท่ี
สอดคล้องกบั จดุ ประสงคห์ รอื นาไปสจู่ ดุ ประสงค์การเรียนรู้ 2) การนาเสนอเน้อื หา 3) การฝึกให้ผู้เรียนใช้
ภาษา และ4) การนาภาษาไปใช้ตามบรบิ ทหรอื สถานการณ์จริง

1.5 ทฤษฎีการเรียนรู้ทางจติ วิทยาทเ่ี กย่ี วข้องกับวธิ กี ารสอนภาษาเพอ่ื การสอื่ สาร
1. แนวคิดทางด้านภาษาศาสตร์ อิทธิพลของนักภาษาศาสตร์ท่ีมีตอการเรียนการสอนภาษาที่

สาคัญ ได้แก่ นักภาษาศาสตร์ กลุ่มโครงสร้าง (Structuralizes) กลุ่มไวยากรณ์ปริวรรต
(Transformational lists) และกลุ่มภาษาศาสตร์ (Sociologists) ซึ่งมีรายละเอียด ดงั น้ี

1.1 กลุ่มท่ีเน้นโครงสร้าง กลุ่มนี้เน้นว่าภาษาเป็นส่ิงท่ีวิเคราะห์ได้และแต่ละหน่วยของภาษา
เกยี่ วพันกัน ภาษาพดู ไมใ่ ชภ่ าษาเขียน การวเิ คราะห์ภาษาจึงควรดจู ากสิง่ ท่เี จ้าของภาษาพดู

1.2 กลุ่มไวยากรณ์ปริวรรต กลุ่มน้ีนาโดย Noam Chomsky (2016 : 6) มีความคิดท่ีแตกต่าง
ออกไปว่าภาษาเป็นเร่ืองของกฎเกณฑ์การวิเคราะห์ไวยากรณ์ของประโยคทาให้เกิดแนวคิดเก่ียวกับ
ประโยคหรือคาที่เราได้ยินหรืออ่าน นอกจากนี้ยังมีแนวคิดว่า เราทุกคนมีความสามารถที่จะเข้าใจ และ
สามารถจะแสดงออกมาได้ แตค่ วามสามารถท่ีจะเข้าใจภาษานน้ั จะต้องมมี าก่อนถงึ จะแสดงออกได้

2. แนวคิดทางด้านมานุษวิทยาผู้มีความเช่ือทางด้านมานุษวิทยา เช่น Carl Rogers (2017 :
171) มีความเห็นว่าผ้ทู ่ีจะเรียนรภู้ าษาไดด้ ีน้นั จะตอ้ งเป็นผ้ทู ่คี ิดและแสดงความรู้สกึ หรือแสดงพฤติกรรม
โดยตอ้ งอยู่บนพน้ื ฐานไมเ่ พียงแต่ความสามารถทางดานสติปัญญาเท่าน้ัน จะต้องข้ึนอยู่กับความรู้สึกของ
ตนเองด้วย ดังนั้นในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน จะต้องคานึงถึงเน้ือหาท่ีสัมพันธ์กับความรู้สึก
ประสบการณ์ ความจา ความหวัง ความปรารถนา ความเช่ือ ค่านิยมและความต้องการของผู้เรียนเป็น
สาคัญ

ด้านจิตวิทยากลุ่มท่ีเน้นพฤติกรรมนิยม (อารี รังสินันท์ 2560 : 14) กล่าวว่า แนวคิดของกลุ่ม
พฤติกรรมนิยมเน้นว่าพฤติกรรมทุกอย่างต้องมีสาเหตุและสาเหตุนั้น อาจมาจากส่ิงเร้าในรูปใดก็ได้มา
กระทบอินทรีย์ ทาให้อินทรีย์มีพฤติกรรมตอบสนอง กลุ่มพฤติกรรมนิยม จึงศึกษาพฤติกรรมด้วยวิธี
ทดลอง และสังเกตอย่างมีระบบ และสรุปว่าการวางเงื่อนไข (Conditioning) เป็นสาเหตุสาคัญที่ทาให้
เกิดพฤติกรรมและสามารถเปล่ียนพฤติกรรมได้ พฤติกรรมส่วนใหญ่ของมนุษย์เกิดจากการเรียนรู้
มากกว่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จากการศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ของสัตว์ที่ถูกทดลองของ Pavlov
เช่ือวา่ การเรียนรขู้ องสงิ่ มชี วี ิตเกดิ จากการวางเง่ือนไข (Conditioning)

แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษา การเรียนรู้ภาษามี 2 แบบ คือ แบบรู้ภาษา (Acquisition)
และแบบเรียนภาษา (Learning) ซึ่งทั้งสองแบบจะให้ผลต่างกัน คือ แบบรู้ภาษาจะช่วยให้ผู้เรียนใช้
ภาษาอย่างคล่องแคล่ว ส่วนแบบเรยี นภาษาจะชว่ ยในด้านความถูกต้องของภาษา นอกจากน้ียังมี ปัจจัย
อ่ืนท่ีมีความสาคัญตอการเรียนรู้ภาษา เช่น ข้อมูลทางภาษาที่ผู้เรียนสามารถเข้าใจได้ และเจตคติของ
ผเู้ รียน แนวคดิ เกยี่ วกบั การสอนภาษาอาศัยความเช่ือด้านจิตวิทยา ภาษาศาสตร์และมานุษยวิทยา ทา
ให้เกดิ แนวคดิ เกีย่ วกบั การสอนภาษา ดงั นี้

1) กลุ่มที่เน้นพฤติกรรมได้แนวคิดจากทฤษฎีการเรียนรู้ แบบการกระตุ้นและการตอบสนอง
การเสริมแรง และแนวคิดจากทฤษฎีทางภาษากลุ่มโครงสร้าง โดยเช่ือว่า ภาษาเป็นเรื่องของนิสัย หรือ
ความเคยชิน การเรียนภาษาก็คือ การเลียนเสียง หรือ การเลียนแบบ การสอนภาษาจึงมุงเน้นที่การ
สร้างนิสัย ให้พูดภาษาใหม่อย่างคล่องแคล่วโดยไม่ต้อง คิดจะเน้นที่เน้ือหาท่ีจะพูดเท่านั้น (วิธีสอนตาม
แนวคิดนี้ ได้แก่ วิธีสอนแบบฟังพูด ซึ่งจะเน้นที่ระบบเสียงและรูปประโยค) หลักการสาคัญของแนวคิด
กลุ่มน้ี คอื

1. ภาษาคอื ภาษาพดู ที่ไม่ใช่ภาษาเขียน เพราะการเรียนภาษาของตนเองเร่ิมจากเรียนภาษาพูด
กอ่ นท่ีจะเรียนภาษาเขียน ลาดับขั้นของการเรียนจึงเน้นความสาคัญของการออกเสียงให้ถูกต้อง ผู้เรียน
จะตอ้ งฝึกฟังภาษาพูดจนเขา้ ใจ แลว้ พูดซ้าในระดับความเร็วปกติและให้ความสนใจกับการฝึกตามลาดับ
ขั้นตอน คอื ฟงั พดู อา่ น และ เขียน ตามลาดบั

2. ภาษาเป็นเร่ืองของนิสยั เป็นแนวคิดทอี่ าศัยหลกั การเรียนของสกินเนอร์ ท่ีว่านิสัยเกิดข้ึนเมื่อ
ทาอะไรแล้วได้รับรางวัล แนวคิดน้ีเป็นรากฐานของวิธีเรียนแบบจดจา มุ่งให้ผู้เรียนเรียนโครงสร้างของ
ภาษา โดยฟงั และพูดตามจนถงึ ขัน้ ที่จะตอบไดโ้ ดย อตั โนมตั ิ เม่ือถกู กระตุ้น

3. การสอนภาษา ไม่ใช่เป็นเร่ืองเกี่ยวกับภาษา แต่เน้นการฝึกใช้ภาษา ไวยากรณ์เป็นส่ิงท่ีจะ
ชว่ ยนาไปสู่เปา้ หมายในการเรยี นภาษา

4. การสอนภาษาท่ีเจ้าของภาษาใช้พูดไม่ใช่ส่ิงท่ีควรพูด สานวนที่ได้ยินในบทสนทนาของ
เจา้ ของภาษา ถงึ แม้วา่ จะไมเ่ หมือนกับไวยากรณ์แบบเก่าก็ถือว่าใช้ได้ โดยผู้สอนต้องเลือกมาใช้สอน

5. ภาษาแต่ละภาษามโี ครงสรา้ งท่ีแตกต่างกัน ความแตกต่างระหว่างภาษาของตน และภาษาท่ี
เรียนจะเป็นปญั หา วธิ สี อนตามแนวคดิ นี้ ไดแ้ ก่ วิธสี อนแบบฟังพดู (Audio Lingual Method)

2) กลมุ่ ทเ่ี นน้ ความรคู้ วามเข้าใจ กลมุ่ นมี้ คี วามคดิ ตรงขา้ มกับกลมุ่ แรกไดร้ บั อิทธิพล จากแนวคิด
ทางจิตวิทยาแบบความคิดความเข้าใจ และทฤษฎีภาษาศาสตร์ กลุ่มไวยากรณ์ปริวรรต โดยเช่ือว่าการ
เรียนรู้ภาษาของมนุษย์มีขอบเขตกว้างกว่าท่ีกลุ่มแรกอธิบาย การเรียนรู้ภาษาเป็นกระบวนการอิสระไม่
ผูกพันกับส่ิงที่เรียนมาแล้ว มนุษย์สามารถสร้างประโยคใหม่ ๆ ขึ้นเองได้ และสามารถเข้าใจได้โดยไม่
ต้องสอน เพราะมกี ลไกสมองท่จี ะวเิ คราะห์ขอ้ มลู ผู้สอนเป็นเพยี งผ้ปู อ้ นข้อมูลให้กับผู้เรียน ส่วนเร่ืองการ
เรยี นร้ผู ู้เรยี นจะเปน็ ผู้กระทาเอง โดยอาศัยกลไกตามธรรมชาติ หลักการสาคญั ของแนวคดิ กลุม่ น้ี คือ

1. คนเราใช้ภาษาไปตามกฎเกณฑ์การสอนภาษาจึงควรสอนระบบภาษา
2. ภาษามีจานวนประโยคมิรู้จบ ภาษาหน่ึง ๆ มีจานวนประโยคมากมายและไม่สามารถสอน
ประโยคไดท้ ุกประโยค
3. คนมีความสามารถท่ีจะเข้าใจ และแสดงออก แต่ความสามารถที่จะเข้าใจภาษาน้ันมีมาก่อน
ความสามารถในการแสดงออกทางภาษา ฉะน้ันก่อนท่ีจะให้ผู้เรียนแสดงออกผู้สอนต้องฝึกความเข้าใจ
ภาษาใหแ้ กผ่ ้เู รยี นก่อน
4. ไวยากรณข์ องทกุ ภาษามลี กั ษณะสากล คอื มีโครงสร้างพนื้ ฐานคลา้ ยกัน
3) กลุ่มที่เน้นการส่ือสาร กลุ่มนี้มีแนวคิดด้านจิตวิทยา ตามความคิดความเข้าใจ และกลุ่ม
ภาษาศาสตร์สังคม เชื่อว่าการเรียนภาษาย่อมมีเป้าหมาย เน้นท่ีความสามารถในการใช้ประโยค และ
ความคิดอยา่ งต่อเนอ่ื งในขณะสอ่ื สาร กระบวนการของการส่อื สารมีความสาคัญเท่ากับรูปแบบทางภาษา
ข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์ไม่ใช่อุปสรรคสาคัญในการส่ือสาร (วิธีสอนตามแนวคิดน้ี ได้แก่ วิธีสอนตาม
แนวการสอนภาษาเพอื่ การส่ือสาร) หลกั การสาคัญของแนวคิดกลุ่มน้ี คอื
1. การเรียนภาษายอ่ มมเี ป้าหมาย
2. ความสามารถในการใช้ประโยค และความคิดอย่างต่อเน่ืองทั้งหมดในขณะสื่อสารมี
ความสาคญั กวา่ ส่วนประกอบยอ่ ย ๆ ในประโยค
3. กระบวนการของการสือ่ สารมคี วามสาคญั เท่ากบั รปู แบบของภาษา
4. การเรยี นภาษาเนน้ การปฏิบตั ิ
5. ขอ้ ผดิ พลาดทางไวยากรณ์มใิ ชอ่ ปุ สรรคทสี่ าคัญที่สดุ ของการสื่อสาร

4) กลมุ่ มานษุ ยวิทยากลุม่ นีย้ ดึ แนวความคดิ ทางมานุษยวิทยาเก่ียวกับการสอนภาษา มีหลักการ
สาคญั คือ จุดประสงค์ของการเรียนรู้ภาษาไม่ใช่เพียงการสื่อสารกับผู้คนเท่าน้ัน แต่เพื่อพัฒนาศักยภาพ
ภายในตนเอง และถอื ว่าภาษาเป็นเครือ่ งมือของการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม (Social Interaction) วิธีสอน
ตามแนวคิดน้ี ได้แก่ วิธีสอนแบบกลุ่มสัมพันธ์ (Community Language Learning) วิธีสอนแบบการ
ตอบสนองดว้ ยท่าทาง (Total Physical Response) และวิธีสอนแบบชักชวน (Suggestopedia)

สรุปได้ว่า การสอนภาษาอังกฤษผู้สอนควรศึกษาแต่ละวิธีให้เข้าใจและเลือกใช้ให้เหมาะสมกับ
ผู้เรยี นและจดุ มงุ่ หมายของการเรียนการสอนในแตล่ ะระดบั ชนั้

2. ทกั ษะการฟัง
2.1 ความหมายของการฟงั

การฟังเปน็ ทักษะทีส่ าคญั อย่างยิง่ ในการส่ือสารเพราะการฟังมีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตประจาวัน
มากทสี่ ดุ จะเห็นได้วา่ ในการสนทนาแต่ละคร้ังนั้น ผู้ฟังจะต้องฟังข่าวสารให้เข้าใจไม่เช่นนั้นจะก่อให้เกิด
ผลเสียดังสานวนไทยที่ว่า “ฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียด” นักการศึกษา หลายท่านความหมายของการ
ฟงั ดงั นี้

วิดโดว์สัน (Widdowson.2019 : 12) กลา่ วถึงความแตกตา่ งของคาว่า การฟัง การไดย้ ิน ดงั นี้
การฟัง (Listening) หมายถึง ความสามารถท่ีจะเข้าใจว่าประโยคหนึ่งประโยคใดโดยเฉพาะ
นั้นสัมพันธ์กับประโยคอื่น ๆ ท่ีพูดไปแล้วอย่างไร และเข้าใจว่าประโยคดังกล่าวมีหน้าที่อย่างไรในการ
ส่ือสาร ซ่ึงการฟังแบบน้ีผู้ฟังจะเลือกจาแต่เฉพาะท่ีสัมพันธ์หรือตรงกับจุดประสงค์ในการฟังและจะไม่
สนใจต่อสิ่งท่ีไม่ต้องการ ถ้าจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การฟัง หมายถึง ความสามารถท่ีผู้เรียนเข้าใจว่า
ประโยคน้ัน ๆเก่ียวข้องกับสิ่งท่ีพูดไปแล้วอย่างไร และมีหน้าที่ในการสื่อสารอย่างไร ในข้ันนี้ผู้ฟังต้อง
เลือกในส่งิ ท่ีเกีย่ วขอ้ งกับวัตถปุ ระสงคข์ องผู้ฟงั เองและตดั สว่ นท่ีไมเ่ กยี่ วข้องออกไป
การได้ยิน (Hearing) หมายถึง ความสามารถของผู้ฟังที่จะเข้าใจหน่วยย่อยของภาษาในรูป
ของกระแสเสยี งและโดยอาศยั ความรู้ด้านระบบเสียงและไวยากรณ์ของภาษา ผู้ฟังจะสัมพันธ์หน่วยย่อย
ของภาษานัน้ เขา้ ดว้ ยกันเป็นประโยค และเข้าใจความหมายของประโยค หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การ
ไดย้ ินหมายถึง ความสามารถที่ผู้เรียนสามารถจาส่วนของภาษาที่ได้ยินโดยอาศัยความรู้เรื่องระบบเสียง
และระบบไวยากรณ์ของภาษาในการเช่ือมส่วนต่าง ๆ ของภาษาเข้าด้วยกัน เป็นข้อความหรือประโยค
เพอื่ ทาความเข้าใจความหมายของประโยคเหลา่ นัน้
ริเวอร์ส (Rivers.2020 : 16) กล่าวว่า การฟังเป็นทักษะสร้างสรรค์ในการทาความเข้าใจเสียง
ท่ีเราได้ยิน ผู้ฟังจะรับเอาคาพูดท่ีได้ยิน การจัดเรียงลาดับคาน้ัน ๆ ตลอดจนการข้ึนลงของเสียงมาสร้าง
ให้เกิดความหมายขึ้นเพราะผู้พูด ๆ ออกมาอย่างมีความหมายอยู่แล้ว แต่ความพยายามท่ีจะสร้าง
ความหมายของคาพดู นน้ั ๆ ขน้ึ อยู่กับตัวผูฟ้ งั
เพยี ซ (Pierce.2018 : 13) ได้กล่าวถงึ การฟังไวว้ ่า การฟงั เป็นกระบวนการทเ่ี ก่ยี วกับการสร้าง
ความหมายในสิ่งทไ่ี ดย้ ินได้รบั รู้แล้วทาความเขา้ ใจเก่ียวกบั เสยี งหรือส่งิ ท่ไี ดย้ นิ
รูบิน (Rubin.2015 : 336) ได้ให้ความหมายของการฟงั ไว้วา่ การฟังเป็นกระบวนการท่ีผู้ฟังให้
ความสนใจในข้อมูลทไ่ี ดร้ ับฟงั โดยเลอื กและแปลความหมายข้อมูลน้ัน และใช้ตัวแนะท่ีมองเห็นได้ชัดใน
การกาหนดส่ิงท่ีกาลังฟังและส่งิ ทีผ่ ูพ้ ดู กาลังพยายามท่ีจะแสดงออกทางความคดิ
อันเดอร์วูด (Underwood.2019 : 1) ได้กล่าวถึงการฟังไว้ว่า การฟังเป็นกิจกรรมเก่ียวกับ
การใหค้ วามสนใจและความพยายามท่จี ะรับความหมายจากสง่ิ ที่ได้ยนิ

จากความหมายของการฟัง และการได้ยินข้างต้น จะเห็นว่าการได้ยินเป็นกระบวนการข้ันต้น
ก่อนการฟัง กล่าวคือ การได้ยินเป็นกระบวนการรับรู้เสียงที่ผู้ฟังได้ยินเสียง โดยไม่จาเป็นต้องเข้าใจ
ความหมาย หรือเข้าใจเสียงท่ีได้ยิน แต่การฟังเป็นกระบวนการซ่ึงซับซ้อนต่อเนื่อง เป็นกระบวนการท่ี
ต้องอาศัยประสบการณ์มาผสมผสานกัน จึงจะเป็นการฟังท่ีสมบูรณ์ นอกจากนี้ การฟังยังเป็น
กระบวนการท่ีผ้ฟู ังต้องใช้ความสามารถในการเรียบเรียง ตีความ เพ่ือที่จะได้เข้าใจว่า ส่ิงที่ผู้พูดกล่าวมา
นั้น มีความหมายอยา่ งไร การฟงั ตอ้ งสัมพนั ธ์กับความเข้าใจ สาเนียง หรือการออกเสียงของผู้พูด รวมถึง
ไวยากรณ์ คาศัพท์ และความเขา้ ใจดา้ นความหมาย

2.2 ความสาคัญของทกั ษะการฟงั
การฟังมีความสาคัญต่อมนุษย์เราตั้งแต่แรกเกิด เพราะเป็นทักษะแรกท่ีจะทาให้มนุษย์

สามารถสอ่ื สารได้ จะเหน็ ไดจ้ ากการท่ีเดก็ เรียนรู้และทาเสียงโดยการฟัง และเลียนแบบคาพูดของพ่อแม่
น่ันก็คอื เด็กฟังภาษากอ่ นทจ่ี ะเกิดการเรยี นรู้ ไดม้ ีผกู้ ล่าวถึงความสาคญั ของทักษะการฟังไว้ ดังน้ี

บราวเนลล์ (Brownnell.2016 : 5) ได้กล่าวถึงความสาคัญของการฟังท่ีสอดคล้องกับอัมบ
รัมส์ไว้ว่า การฟังมีความสาคัญมาก ถ้าเราไม่รู้ถึงความสาคัญของการฟัง จะทาให้การสื่อสารของเรากับ
บุคคลอ่ืนเป็นไปอย่างไม่ราบร่ืนหรือไม่เข้าใจตรงตามความประสงค์ของผู้พูดได้ และอาจจะทาให้เกิด
ความผิดพลาดเสียหายตอ่ ธรุ กิจหรืองานที่ทาได้ การมีทักษะฟังท่ีไม่ดีน้ัน อาจทาให้เกิดความเสียหายต่อ
ทรพั ยส์ ินและสญู เสยี สมั พนั ธภาพระหว่างบุคคลได้

รอสท์ (Rost.2014 : 5) ได้สรุปความสาคัญของการฟังที่มีต่อการเรียนรู้ภาษาท่ีสองและ
ภาษาตา่ งประเทศ ดงั นี้

1. การฟังเป็นส่งิ ที่สาคญั ในขัน้ เรียนภาษา เพราะการฟังเป็นการให้ตัวป้อนทางภาษา แก่ผู้เรียน
ถา้ ผูเ้ รียนไมเ่ ข้าใจตวั ปอ้ นภาษาท่ีไดร้ บั แล้วจะไมเ่ กิดการเรยี นรู้ภาษาที่เรียน

2. การฟังภาษาพูดเป็นวิถีทางที่จะทาให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ ถ้าผู้เรียนเข้าใจในส่ิงที่ได้ฟัง
สามารถพูดโต้ตอบได้ แสดงว่าผเู้ รียนมีปฏสิ ัมพนั ธ์และเกดิ การเรยี นรู้

3. การฟงั ภาษาทีส่ มจริงเป็นสง่ิ ท้าทายสาหรับผ้เู รียนซ่ึงทาใหเ้ ขา้ ใจภาษาพูดท่เี จา้ ของภาษาใช้
4. การฝึกการฟังโดยใช้กิจกรรมตา่ งๆ ทาให้ผู้เรยี นเกิดความสนใจที่จะเรียน
สรุปได้ว่า การฟังมีความสาคัญ คือ เป็นพ้ืนฐานที่สาคัญนาไปสู่การพัฒนาทักษะฟัง พูด อ่าน
เขียน และมีบทบาทในการสือ่ สารในชีวิตประจาวันมากกว่าทักษะอื่น ถ้าบุคคลมีทักษะการฟังที่ไม่ดีอาจ
มีผลเสยี หายต่องานและสูญเสียสัมพันธภาพระหว่างบุคคลได้ นอกจากน้ีการฟังยังเป็นกุญแจสาคัญของ
ความสาเร็จที่จะนาไปสู่ความสามารถทางภาษา และการเรียนรู้ภาษาที่สองหรือภาษาต่างประเทศ เช่น
ผเู้ รยี นทอี่ าศัยอยู่ในประเทศท่ีใช้ภาษาอังกฤษเปน็ ภาษาท่ี 1 จะเรียนรไู้ ดเ้ รว็ กวา่ ผู้เรยี นผู้เรียนท่ีไม่ได้ยินผู้
พดู ภาษาอังกฤษรอบขา้ งเลย ในชน้ั เรยี นภาษาผูเ้ รียนจะเกิดการเรียนรู้ภาษาได้ หากผู้เรียนมีความเข้าใจ
ในตวั ป้อนภาษา มปี ฏิสมั พนั ธต์ อ่ สิ่งท่ีได้ฟัง ได้ฟังภาษาพูดที่เจ้าของภาษาใช้อยู่ และได้รับการฝึกการฟัง
จากกิจกรรมตา่ ง ๆ

2.3 ระดับขนั้ ของการฟงั
นกั การศึกษาหลายท่านได้แบ่งทักษะการฟงั เปน็ ระดบั ดงั น้ี ดันเคลิ (Dunkel.2021 : 175) แบ่ง

ทักษะการฟังเป็น 2 ระดับ คอื
1. ระดับการจาได้ (Recognition Level)
2. ระดับความเข้าใจ (Comprehension Level)

ริเวอรส์ (Rivers.2020 : 142) แบ่งทกั ษะการฟงั ออกเป็น 2 ระดับ คอื
1. ระดับค้นุ เคย หรอื ระดับการรับรู้ (Reception Level)
2. ระดับการเลือก (Selection Level)
เออร์ (Ur.2019 : 47) กล่าวถึง กิจกรรมการสอนฟังว่ามี 2 ประการคือ การฟังเพ่ือการรับรู้
(Listening for Perception) และการฟงั เพอื่ ความเขา้ ใจ (Listening for Comprehension)
การฟังเพื่อการรับรู้ คือ การฟังคา ประโยค แล้วสามารถออกเสียงตามหรือแยกแยะเสียงได้
ถูกต้อง โดยไม่จาเป็นต้องรู้หรือเข้าใจความหมายของคาหรือประโยคนั้น ๆ การฟังเพื่อความเข้าใจ คือ
การฟังเน้ือเร่ืองโดยเข้าใจความหมายหรือเน้ือหาของเรื่องที่ฟัง ซ่ึงวิลคินส์ และริกสัน (Wilkins.2011 :
134 ; Rixon.2016 : 34) เรียกการฟังเพื่อเก็บใจความท่ัวไปว่า Extensive Listening และเรียกการฟัง
เพ่ือเกบ็ รายละเอียดว่า Intensive Listening โดยกล่าวว่ากิจกรรมการสอนฟังไม่ควรจากัดแค่เพียงการ
รบั รู้ แตค่ วรครอบคลุมถงึ การฟังเพอ่ื ความเขา้ ใจ
จากระดับขั้นของการฟังท่ีกล่าวมานั้น สรุปได้ว่าระดับขั้นของการฟังภาษาต่างประเทศ
แบ่งเป็น 3 ระดับใหญ่ ๆ คอื
1. ระดบั การรับรหู้ รือระดบั การจา
2. ระดับความเขา้ ใจ
3. ระดับการวิพากษ์วิจารณ์
จากระดับของการฟังภาษาต่างประเทศดังกล่าว เห็นได้ว่ากว่าจะถึงข้ันให้เกิดความเข้าใจและ
สามารถวิเคราะห์สิ่งท่ีฟังได้นั้น ผู้ฟังต้องผ่านขั้นตอนการจดจาเสียง จาแนกเสียงของคาหรือกลุ่มคา ได้
ทราบ ตาแหน่งของคาที่ใช้ในประโยค และผ่านการฝึกมาแล้วอย่างเพียงพอ จึงจะสามารถคัดเลือก
องค์ประกอบทางภาษาท่จี าเปน็ มาสมั พันธ์กบั ความรูเ้ ดิม และวิเคราะห์ ตีความได้ การวิเคราะห์ ตีความ
ที่ถูกต้องจะเกิดขึ้นก็ต่อเม่ือมีความเข้าใจเก่ียวกับวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมขณะท่ีฟัง ดังน้ันในการ
สอนทักษะการฟังภาษาต่างประเทศ ผู้สอนควรคานึงถึงระดับต่าง ๆ ของการฟังของผู้เรียนด้วย เพราะ
ความเข้าใจเป็นองค์ประกอบที่สาคัญของการส่ือความหมาย การท่ีผู้ฟังจะสามารถเข้าใจส่ิงท่ีฟังได้อย่าง
ดนี ั้น ต้องมีความสามารถในการฟงั ระดับพน้ื ฐานก่อนจะฟังในระดบั สงู ต่อไป

2.4 ความสามารถในการฟงั
ความสามารถในการฟัง หมายถึง ความสามารถของผู้ฟังในการเข้าใจคาข้อความที่ได้ฟัง

สามารถสรุปใจความสาคัญของเร่ืองที่ฟัง โดยใช้ความรู้ทางด้านภาษา และความรู้เดิมเพื่อให้เกิดความ
เขา้ ใจในเร่อื งท่ฟี ังได้ มีนกั การศึกษาหลายทา่ นกลา่ วถงึ ความสามารถในการฟงั ภาษาองั กฤษไว้ ดงั น้ี

ฮตี ัน (Heaton.2015 : 25) แบง่ ความสามารถในการฟงั ภาษาอังกฤษของผู้เรียนไว้ 2 ระดบั คอื
1. ระดบั ความสามารถในการจาแนกเสยี ง การเน้นหนกั ของเสียงในระดับเสียงสูงต่า ในประโยค
ซึ่งแบ่งย่อยได้ คือ

1.1 ความสามารถในการจาแนกเสียงในคา
1.2 ความสามารถในการฟงั การเนน้ ในคาและระดับเสยี งสงู ต่าในประโยค
2. ระดับความสามารถในการฟัง เพือ่ ความเข้าใจประโยคที่ไดฟ้ ังวา่ ตรงกับกบั ภาพใด
2.1 ระดบั ความสามารถในการฟังเพอื่ เข้าใจประโยค
2.2 ความสามารถในการเข้าใจการสนทนาและการบรรยาย
วลิ คนิ ส์ (Wilkins.2021 : 16) แบง่ การฟงั ออกเป็น 7 ระดับ
1. ระดับท่ี 1 ผูฟ้ ังสามารถรบั ร้ใู นสงิ่ ท่ไี ด้ยนิ เท่าน้ันแต่ไมอ่ าจบอกไดว้ า่ เกย่ี วกับอะไร

2. ระดับท่ี 2 ผฟู้ งั เรม่ิ เข้าใจเกี่ยวกบั สิ่งทไี่ ด้ยนิ ว่าเกี่ยวกบั อะไรเขา้ ใจข้อความง่าย ๆ ที่จาได้
3. ระดับท่ี 3 ผฟู้ ังเข้าใจบทสนทนาวา่ เก่ยี วกบั เรื่องอะไรในการพดู ตวั ต่อตัว
4. ระดับท่ี 4 ผ้ฟู ังเร่มิ เข้าใจข้อความ แตผ่ พู้ ดู ตอ้ งไม่ใช้คาศพั ทห์ รือสานวนทย่ี ากเกนิ ไป
5. ระดับที่ 5 ผฟู้ ังสามารถเข้าใจภาษาพูดในสาขาวิชาทต่ี นเรยี นจากการฟงั บรรยาย
6. ระดบั ท่ี 6 ผู้ฟงั สามารถเขา้ ใจภาษาทกุ รปู แบบเหมอื นเจ้าของภาษาท่ีมีภูมิหลงั
7. ระดบั ท่ี 7 เป็นขน้ั สงู สุดในการรับฟังดา้ นการฟังของมนษุ ยใ์ นการเรยี นรูภ้ าษา
รอสท์ (Rost.2021 : 3)กล่าวถงึ ความสามารถในการฟงั ว่า ผฟู้ งั ต้องใช้ทกั ษะต่าง ๆ ดังนี้
1. ทักษะการรับรู้ (Perception Skills) คือ ความสามารถในการจาแนกเสียงต่าง ๆ ได้ และ
สามารถจดจาคาทีฟ่ ังได้
2. ทักษะการวิเคราะห์ (Analysis Skills) คือ ความสามารถในการจาแนกหน่วยทางไวยากรณ์
ได้ และสามารถจาแนกหน่วยทางภาษาทค่ี วรนาไปใช้ได้
3. ทักษะการสังเคราะห์ (Synthesis Skills) คือ ความสามารถในการเช่ือมโยงตัวชี้แนะด้าน
ภาษากับส่วนอื่น ๆ ได้ และสามารถนาความรู้เดิมมาใช้ประกอบ เพ่ือให้เกิดความเข้าใจในการฟังได้
อย่างเหมาะสม
สรุปได้ว่า ความสามารถในการฟังมี 2 ระดับ คือ ระดับความสามารถในการจาแนกเสียง
ประโยค และระดับความสามารถในการฟงั เพื่อความเขา้ ใจประโยค จากงานวิจยั มีการวัดทักษะด้านการ
ฟังซึ่งก็คือทักษะการรับรู้ จัดอยู่ในระดับท่ี 2 ที่ผู้ฟังเริ่มเข้าใจเก่ียวกับสิ่งท่ีได้ยินว่าเก่ียวกับอะไรเข้าใจ
ขอ้ ความงา่ ย ๆ โดยใหผ้ ู้เรยี นฟงั แลว้ เลือกรูปภาพท่ีตรงความหมายทไ่ี ด้ฟงั

3. การสอนฟงั เพอ่ื การสื่อสาร
3.1 วิธีการและการจดั กิจกรรมการสอนฟังเพ่อื การส่ือสาร

จุดมุ่งหมายในการสอนฟังภาษาอังกฤษ วัตถุประสงค์หลักในการสอนฟังภาษาอังกฤษ เพ่ือให้
ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาได้คล่องแคล่ว หมายถึง ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาที่ได้เรียนมาติดต่อกับเจ้าของ
ภาษาหรือผู้ใช้ภาษานั้น ๆ ได้เข้าใจ การสอนฟังควรฝึกให้ผู้เรียนเป็นผู้ฟังท่ีมีประสิทธิภาพโดยให้
ความหมายของ ผฟู้ ังท่มี ปี ระสทิ ธภิ าพวา่ หมายถงึ ผู้ท่มี คี วามสามารถ ดังน้ี

1. เข้าใจเรอื่ ง จบั ประเดน็ สาคญั และถา่ ยทอดส่งิ ทร่ี ใู้ หค้ นอนื่ ฟังตอ่ ไปได้
2. จาแนกและวเิ คราะหไ์ ด้ ฟงั แลว้ บอกว่าอะไรเปน็ เหตุ อะไรเปน็ ผล ส่วนใดเป็นขอ้ เท็จจรงิ
3. ตีความได้
4. วิจารณไ์ ด้
พอลสตนั (Paulston.2016 : 131) ไดเ้ สนอข้นั ตอนในการฝกึ ทกั ษะการฟัง ดังน้ี
1. กระตุ้นความสนใจของผู้เรยี น ให้ผ้เู รียนไดร้ ู้จุดมุ่งหมายของการฝกึ ทกั ษะการฟงั
2. ให้ผู้เรียนฟังข้อความหรือเรื่องที่เตรียมไว้ ข้อความที่ฟังควรเป็นข้อความท่ีใช้อัตราความเร็ว
ปกติ และควรจะเปิดโอกาสให้ผู้ฟังได้ฟังซ้า ซึ่งจะฟังซ้าก่ีครั้งนั้นขึ้นอยู่กับความยาว และความยากง่าย
ของเร่อื งทฟ่ี ัง ลกั ษณะงานท่ใี หท้ า และความสามารถของผ้เู รียน
3. ให้ผเู้ รยี นทาแบบฝึกหัดหรอื งานทมี่ อบหมายให้หลงั จากการฟงั แลว้ ติ ชมงาน
ฟนิ อกเชยี โร (Finocchairo.2012 : 138) ไดเ้ สนอกจิ กรรมการสอนทกั ษะฟัง ดังนี้
1. ให้ฟังคาส่ังที่ใช้ในการเรียน เช่น การถามคาถามกระตุ้นให้ผู้เรียนตอบสนองอย่างเหมาะสม
ฟังการบอกแนวทางในการปฏิบัติ การบรรยายภาพ และการเล่าเหตุการณ์ เป็นตน้
2. ใหฟ้ ังเพ่อื นคนอนื่ ถามคาถาม สรุปเรอื่ ง หรือเลา่ เรอ่ื งตา่ ง ๆ เป็นภาษาองั กฤษ

3. ใหผ้ เู้ รียนมสี ว่ นรว่ มในการแสดงบทบาทสมมตุ กิ ารแสดงละคร การสนทนา
4. ใหฟ้ งั คาบรรยายของบุคคลภายนอก หรอื ฟังบทเรียนจากเทป ฟงั เพลงหรือปาฐกถาต่าง ๆ
5. ใหด้ ภู าพยนตร์ โดยเฉพาะที่จดั ทาข้นึ เพื่อสอนภาษาอังกฤษ
6. ใหส้ ัมภาษณช์ าวต่างชาติที่อยใู่ นชุมชน
7. ใหเ้ ข้าร่วมการบรรยาย การประชุมปฏิบตั ิการชมรมภาษาองั กฤษ
สรุปได้ว่า การสอนทักษะฟังในแนวการสอนภาษาเพ่ือการสื่อสารส่วนมากมี 3 ขั้นตอน คือ ขั้น
ก่อนฟัง ขั้นระหว่างฟัง และขั้นหลังฟัง และควรกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนด้วยวิธีการท่ีหลากหลาย
โดยเปดิ เทปให้ฟงั ซ้า การแสดงบทบาทสมมตุ ิ การสนทนา แล้วทาแบบฝึกหัด

3.2 การประเมินผลการสอนฟังเพอ่ื การส่อื สาร
เสาวลกั ษณ์ รตั นวิชช์ (2561, หน้า 116) ให้ตัวอย่างแบบทดสอบเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการฟัง

เปน็ แบบทดสอบชนิดเขียนตามคาบอก โดยแยกออกเป็น 2 ขนั้ ตอน ดังน้ี
1. ข้นั ตอนในการเตรยี มประกอบด้วย
1.1 เลือกขอ้ ความ ลาดบั ขั้นตอนในการทาแบบทดสอบ กาหนดจดุ ม่งุ หมายการสอบ
1.2 เลอื กชนดิ ของแบบทดสอบให้เหมาะสมกับจดุ มุ่งหมายของการทดสอบ
1.3 กาหนดเนื้อหาตา่ ง ๆ ทจี่ ะออกขอ้ สอบ
1.4 กาหนดเวลาในการสอบ การตรวจใหค้ ะแนนและวิธแี ปลความหมายคะแนน
2. ข้ันตอนในการดาเนินการเขียนตามคาบอกแบบมาตรฐาน
2.1 ผู้สอนอา่ นข้อความทง้ั หมดดว้ ยความเร็วปกติ ผู้สอบต้ังใจฟังและพยายามทาความ

เขา้ ใจเน้อื เรื่องในข้อความนัน้ ใหม้ ากที่สดุ
2.2 ผู้สอนอ่านข้อความครั้งที่สอง ซ่ึงการอ่านคร้ังนี้ ผู้สอนอ่านวลีหรือประโยคซ้า ๆ

และมีการหยดุ เปน็ ชว่ ง ๆ มกี ารแบง่ วรรคตอน ในขน้ั น้ผี สู้ อบฟงั แลว้ เขียนประโยคหรอื วลที ไ่ี ด้ยนิ
2.3 ผู้สอนอ่านข้อความท้ังหมดด้วยความเร็วปกติอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ผู้สอบได้

ตรวจทาน ส่งิ ทเ่ี ขียนไว้ และเติมสว่ นทขี่ าดตกบกพรอ่ งให้สมบรู ณ์
ทกั ษะการฟังและทักษะการอ่านเป็นทักษะการรับสาร การสร้างแบบทดสอบของทั้งสองทักษะ

นจ้ี ึงมีความคลายคลึงกนั
ประเภทของแบบทดสอบทกั ษะการฟัง
1. แบบเลอื กตอบ (Multiple Choice, True / False)
2. การตอบคาถามแบบสั้น (Short Answer)
3. การถา่ ยโอนข้อมลู ท่ไี ดจ้ ากการฟังในรปู แบบต่าง ๆ เชน่ การเติมคาหรือข้อมูลในแผนภูมิหรือ

รปู ภาพ การเตมิ คาลงในแบบฟอร์มการลากเส้นแสดงทิศทางท่ไี ด้จากการฟงั เป็นตน้
4. การจดบนั ทึกข้อความ
5. การเขียนตามคาบอก เฉพาะบางสว่ นหรือเฉพาะคาที่เวน้ วา่ ง (Partial or Cloze Dictation)
สรุปได้ว่า การประเมินผลการสอนฟังภาษาเพ่ือการสื่อสารมีข้ันตอน ได้แก่ ขั้นการเตรียม

ข้อความ ชนิดแบบทดสอบ เน้ือหาและเวลาท่ีใช้ในการสอบ ข้ันการดาเนินการประเมินผลโดยใช้
แบบทดสอบ ซ่ึงแบบทดสอบมี 5 ประเภท ได้แก่ แบบเลือกตอบ การตอบแบบส้ัน การถ่ายโอนข้อมูล
เช่น เติมคา ลากเส้น เป็นต้น การจดบันทึกข้อความ และการเขียนตามคาบอก ในการวิจัยคร้ังน้ีได้
ประเมินทกั ษะการฟงั ของผเู้ รียน โดยใชแ้ บบทดสอบประเภทเลือกตอบเปน็ รปู ภาพ

4. แนวคิดเกย่ี วกับแผนการจดั การเรียนรู้
4.1 ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้

แผนการจดั การเรียนรู้ เดิมเรยี กว่า แผนการสอน เม่ือระบบการศกึ ษาไทยให้ความสาคัญกับการ
จดั การเรยี นรู้โดยเนน้ ผู้เรียนเป็นสาคญั แผนการสอนจึงเปลี่ยนคาเรยี กเปน็ แผนการจดั การเรียนรู้

กรมวิชาการ (2560) ได้ให้ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ คือ การนาวิชาหรือกลุ่ม
ประสบการณ์ทีต่ อ้ งทาการสอนตลอดภาคเรียน มาสร้างเป็นแผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การ
ใชส้ ือ่ อปุ กรณ์ การวดั ประเมินผลสาหรับเนื้อหาสาระและจุดประสงค์การเรียนการสอนย่อย ๆ ให้ตรงกับ
วัตถุประสงค์หรือจุดเน้นของหลักสูตร สภาพผู้เรียน ความพร้อมของโรงเรียน ในด้านวัสดุอุปกรณ์และ
ตรงกับชีวิตจริง ซ่ึงถ้ากล่าวอีกนัยแผนการจัดการเรียนรู้ คือการเตรียมการสอนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้
ลว่ งหน้า

สถาบันพัฒนาความก้าวหน้า (2560) ได้ให้ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ว่า เป็น
แผนงานหรือโครงการท่ีผู้สอนได้เตรียมการจัดการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรเพ่ือ ใช้
ปฏิบัติการเรยี นรใู้ นรายวิชาใดวิชาหนงึ่ อย่างเป็นระบบระเบียบโดยใช้เป็นเคร่ืองมือสาหรับจัดการเรียนรู้
เพ่อื นาผู้เรียนไปสู่จุดประสงคก์ ารเรียนรูแ้ ละจุดหมายของหลักสูตรอยา่ งมีประสิทธภิ าพ

กฤษดา บุญหม่ืน (2561) แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แนวการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่
กาหนดใหผ้ ูส้ อนปฏบิ ตั ติ ามขั้นตอนการจัดกจิ กรรม ซ่งึ กาหนดรายละเอยี ดการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้เป็น
ลายลักษณ์อักษร เพื่อให้ผู้สอนสามารถนาไปปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพในการจัดการ
เรยี นรู้

สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ คือ การวางแผนการจัดกิจกรรมเป็นลายลักษณ์อักษรไว้
ล่วงหน้าอย่างละเอียด เพื่อเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ซ่ึงมีเน้ือหากิจกรรมการ
เรียนการสอน ส่ือการสอน และวิธีวัดผลประเมินผลกาหนดชัดเจน เป็นเคร่ืองมือสาคัญที่จะนาผู้เรียน
ไปสู่จุดประสงค์การเรียนรู้และจดุ หมายตามหลกั สตู รอยา่ งมีประสิทธภิ าพ

4.2 องค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้
1) ส่วนหัวของแผน ประกอบด้วย ชื่อแผนการจัดการเรียนรู้ ช่ือหน่วยการเรียนรู้ ชื่อเร่ืองของ

แผนการจัดการเรียนรู้ ชน้ั ท่ีสอน และจานวนคาบทใี่ ช้ในการสอน
2) สาระสาคัญ เป็นการบรรยายกรอบความคิดหลักในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของแผนตาม

จุดประสงค์การเรียนรู้ โดยผู้สอนได้ระบุความคิดรวบยอด ของเนื้อหาที่เรียน ทักษะหรือกระบวนการ
ทางภาษาทีฝ่ กึ และคุณลกั ษณะท่ีพึงประสงค์ท่ีเกดิ ขึน้ จากการปฏิบตั ภิ าระงานตามตัวชี้วัด

3) ตวั ช้ีวัด การออกแบบกจิ กรรมเป็นการออกแบบท่ีอิงมาตรฐานและตวั ชีว้ ัดตามหลักสตู ร
4) สาระการเรียนรู้ เป็นสาระการเรียนรู้ที่ระบุไว้ในตัวช้ีวัด และเป็นสาระการเรียนรู้ที่ผู้เรียน
ตอ้ งเรียนในแผนการจดั การเรยี นรนู้ นั้ ๆ
5) จุดประสงค์การเรียนรู้ ในแผนการจัดการเรียนรู้ที่อิงมาตรฐานต้องกาหนดจุดประสงค์การ
เรียนรทู้ ี่มาจากการวิเคราะห์มาตรฐานและตวั ช้ีวดั ทกี่ าหนดตามตารางวิเคราะห์หลกั สูตร
6) ภาระงาน เมื่อมีจดุ ประสงค์การเรียนรู้ ผู้สอนต้องกาหนดภาระงาน เพื่อใช้เป็นหลักฐานหรือ
ร่องรอยการเรียนรู้ของผู้เรียนว่าอยู่ในระดับใด ดังนั้นภาระงานจึงเป็นภาระงาน หรือชิ้นงานที่เกิดจาก
การเรยี นรู้ของผู้เรียนในแตล่ ะจุดประสงค์การเรียนรู้
7) การวัดประเมินผล การวัดประเมินผลการเรียนรู้ได้รับการออกแบบให้สอดคล้องและ
เหมาะสมกับภาระงานท่ีกาหนด เช่น ภาระงานด้านการอ่าน วัดประเมินผลจากหลักฐานผู้เรียนสร้างไว้

จากการอ่านบทอ่านประเภทต่าง ๆ เป็นต้น สาหรับคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์บางประการจาเป็นต้อง
อาศยั การสงั เกตจากพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมในช้ันเรียน ซึ่งแสดงออกให้เห็นถึงคุณลักษณะนั้น ๆ
เชน่ คุณลักษณะของการรักการอ่าน ผู้เรียนมักแสดงออกด้วยความมุ่งมั่นในการอ่านเพื่อท่ีจะเข้าใจ บท
อ่านและเรียนรู้ทจ่ี ะถ่ายทอดความร้ทู ไี่ ด้

8) สื่อและอุปกรณ์การจัดการเรียนรู้ แบบมุ่งเน้นภาระงาน สื่อและอุปกรณ์เป็นส่ิง สาคัญที่จะ
ชว่ ยให้ผเู้ รียนเรยี นร้ภู าษาได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ

9) กจิ กรรมการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ตอ้ งเป็นไปตามข้ันตอนของเทคนิควิธีการสอนท่ีเลือก
และควรเป็นกิจกรรมทส่ี อดคล้องกับจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ และตวั ชว้ี ดั ทีก่ าหนด

10) เกณฑ์การประเมินความก้าวหน้าในการเรียน เป็นเกณฑ์ท่ีผู้สอนสร้างข้ึน เพ่ือวัด
ประเมินผลการเรียนตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ดังน้ันจึงควรสร้างให้มีความเหมาะสมกับส่ิงที่ ต้องการ
วัดและสอดคล้องกับเรื่องที่สอน ผลการวัดและประเมินผลท่ัวไปแบ่งระดับคุณภาพ ออกเป็น 5 ระดับ
คือ ระดบั 4 3 2 1 และ 0 การแปลความหมาย คอื ดมี าก ดี ปานกลาง พอใช้ และ ปรบั ปรุง

11) ข้อเสนอแนะ เป็นหัวข้อที่กาหนดไว้สาหรับการเสนอทางเลือกหรือแนวทางอื่น ๆ ในการ
ปฏิบตั ภิ าระงาน เช่น ในการปฏบิ ตั ภิ าระงานเขียนประโยคต่อเนื่องเก่ียวกับบา้ นในฝันของ ตนเอง ผู้เรียน
อาจวาดรูปบ้านในฝันของตนเองในกระดาษ A4 หรือสมุดการบ้านก็ได้ หรือผู้เรียนอาจตัดภาพบ้านท่ี
ชอบจากสอื่ ทม่ี อี ยจู่ ริงมาเขียนอธบิ ายบ้านในฝนั ของตนเองก็ได้

12) บันทึกหลังสอน เป็นหัวข้อท่ีใช้เป็นข้อมูลสารสนเทศท่ีสาคัญในการปรับปรุง แผนการ
จัดการเรียนรู้ เน่ืองจากผู้สอนต้องบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนในห้องเรียนว่าเป็นอย่างไร ผู้สอนได้ให้ตัว
ป้อนเข้า (Input) อะไร และผลออกมาเป็นอย่างไร ผู้เรียนผ่านเกณฑ์ที่กาหนดหรือไม่มีอุปสรรคหรือ
ปัจจัยใดที่สง่ ผลตอ่ การเรียนของผเู้ รยี น

สรุปได้ว่า องค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้มีส่วนประกอบ ได้แก่ ส่วนหัวของแผน
สาระสาคัญ ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ ภาระงาน การวัดประเมินผล สื่ออุปกรณ์
กจิ กรรมการเรียนรู้ เกณฑ์การประเมนิ ขอ้ เสนอแนะ และบนั ทกึ หลงั การสอน

4.3 ประโยชน์ของแผนการจัดการเรยี นรู้
หากผู้สอนจัดทาแผนการสอนและใช้แผนการสอนที่จัดทาขึ้น เพื่อนาไปใช้สอนในคราวต่อไป

แผนการสอนดังกล่าวจะเกิดประโยชน์ ดังนี้ (สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ.
2564:134)

1) ผู้สอนรวู้ ตั ถุประสงคข์ องการสอน
2) ผู้สอนจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนด้วยความมัน่ ใจ
3) ผ้สู อนจดั กิจกรรมการเรียนการสอนได้เหมาะสมกับวัยของผ้เู รียน
4) ผ้สู อนจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนได้อย่างมคี ุณภาพ
5) กรณีผ้สู อนประจาชั้นไมส่ ามารถมาสอนได้ ผู้สอนคนอน่ื สามารถสอนแทนได้
กฤษดา บุญหม่ืน (2560) ไดร้ ะบปุ ระโยชน์ของ แผนการจดั การเรียนรไู้ ว้ ดงั นี้
1) เปน็ คมู่ ือในการดาเนนิ การจัดกิจกรรมการเรยี นรตู้ ามท่ีกาหนด
2) เปน็ คมู่ ือจดั เตรยี มวสั ดุ อุปกรณ์ประกอบการจดั กิจกรรมการเรียนรู้
3) เปน็ คมู่ ืออธบิ ายรายละเอยี ดแนวคิดและขั้นตอนการวัดผลประเมินผล
4) เปน็ เคร่อื งชวี้ ัดประสทิ ธิภาพ และข้อบกพรอ่ งในการจัดการเรยี นรู้

5) เป็นหลักฐานในการปฏิบัติการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบมี ข้ันตอนการ
จัดการเรียนรู้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ

สรุปได้ว่า ประโยชน์ของแผนการจัดการเรียนรู้ ทาให้ทราบว่าจะสอนอะไร เม่ือไหร่ อย่างไร
เป็นเคร่ืองช้ีทางในการกาหนดพฤติกรรมแก่ผู้เรียน และเป็นเครื่องมือในการเลือกกิจกรรมและวิธีการ
จัดการเรยี นรู้ ชว่ ยใหผ้ ูส้ อนบรหิ ารเวลาในการสอนได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ

5. งานวิจยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง
5.1 งานวิจัยภายในประเทศ

ริมล โพธิ์ชัยรัตน์ (2560) ศึกษาเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ และความพึงพอใจต่อการเรียน
ภาษาองั กฤษของนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 โดยใช้วิธีการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร (CLT) กับวิธีการ
สอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (TPR) กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย (Sample
Random Samplings) เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ห้อง 1 จานวน 35 คน เป็นกลุ่มทดลอง ใช้
วธิ ีการสอนภาษาเพ่ือการสื่อสาร (CLT) และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 ห้อง 2 จานวน 35 คน เป็น
กลุ่มควบคุม ใช้วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (TPR) ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนท่ีเรียนโดย
วิธกี ารสอนภาษาเพ่ือการสอื่ สาร (CLT) เร่ือง Descriptions มีผลการเรียนรู้ในการเรียนภาษาอังกฤษสูง
กว่านักเรียนที่เรียนโดยวิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (TPR) อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ
0.05

สวุ ิมล พฒุ ริ ุ่งโรจน์ (2559) ศกึ ษาความสามารถในการฟัง-การพูดภาษาอังกฤษ และความสนใจ
ต่อการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับช้ันอนุบาลปีท่ี 2 โรงเรียนวัดพเนินพลู โดยใช้วิธีสอนตาม
แนวทฤษฎีการสอนภาษาเพื่อการส่ือสารด้วยกิจกรรมเพลงและเกม กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยครั้งน้ี
เป็นนักเรียนระดับช้ันอนุบาลปีท่ี 2 โรงเรียนวัดพเนินพลู ท่ีเรียนวิชาภาษาอังกฤษในระดับเตรียมความ
พร้อม ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2559 ซ่ึงได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย
ได้แก่ แผนการจัดการประสบการณ์โดยใช้วิธีสอนตามแนวทฤษฎีการสอนภาษาเพ่ือการส่ือสารด้วย
กิจกรรมเพลงและเกม แบบสังเกตพฤติกรรมความสามารถในการฟัง-การพูดภาษาอังกฤษ และแบบ
สังเกตพฤติกรรมความสนใจต่อการเรียนภาษาอังกฤษ สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ
ค่าเฉลยี่ ผลการวิจยั พบวา่
1. ความสามารถในการฟงั -การพูดภาษาองั กฤษของนักเรยี นระดับชนั้ อนุบาลปีท่ี 2 โรงเรียนวัดพเนินพลู
โดยใช้วิธีสอนตามแนวทฤษฎกี ารสอนภาษาเพือ่ การสอ่ื สารดว้ ยกจิ กรรมเพลงและเกมหลังการทดลองอยู่
ในระดับดมี าก คอื ร้อยละ 82.1
2. ความสนใจต่อการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนวัดพเนินพลู โดยใช้
วิธีสอนตามแนวทฤษฎีการสอนภาษาเพ่ือการสื่อสารด้วยกิจกรรมเพลงและเกมหลังการทดลองอยู่ใน
ระดบั มาก คือ รอ้ ยละ 84.3

วาสนา สิงห์ทองลา (2561) ศึกษาการพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ภาษาเพื่อการสื่อสาร มีกลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียน
ช้ัน ป.5/3 โรงเรียนชุมชนบ้านฝาง สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 จานวน 30 คน เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้
จานวน 15 แผน แบบสังเกตพฤติกรรมผู้เรียน และแบบทดสอบทักษะการฟังภาษาอังกฤษ ผลการวิจัย
พบวา่

1. การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ภาษาองั กฤษ โดยใช้รปู แบบการจดั การเรยี นรู้ภาษาเพ่อื การสอื่ สาร โดยมี 3
ขนั้ ตอน ไดแ้ ก่ ขั้นนาเสนอเนอื้ หา ขั้นฝกึ ทักษะ และขั้นนาไปใช้ ทาให้ผู้เรียนมีโอกาสได้ใช้ภาษาเพ่ือการ
ส่ือสารในสถานการณจ์ รงิ สง่ ผลให้ผู้เรียนไดร้ จู้ ักการชว่ ยเหลอื ซง่ึ กันและกนั มีความมน่ั ใจ กล้าแสดงออก
รู้จักคิดและตดั สินใจไดด้ ว้ ยตนเอง
2. ผู้เรียนมีทักษะการฟังภาษาอังกฤษเฉลี่ย 24.20 คิดเป็นร้อยละ 80.67 และมีจานวนนักเรียนผ่าน
เกณฑ์ 26 คน คดิ เป็นร้อยละ 86.67 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑท์ กี่ าหนดไว้
3. ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้
ภาษาเพอื่ การส่อื สาร โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก

วิไล ตนั เสียงสม (2560) ได้ศึกษาการพฒั นาความสามารถดา้ นการฟังและการอ่านภาษาอังกฤษ
ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยวิธีการสอนภาษาเพ่ือการส่ือสาร กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนช้ัน
มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 จานวน 27 คน โรงเรยี นวัดบางพระ อาเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ภาคเรียนที่ 1
ปกี ารศึกษา 2560 แผนการทดลอง คอื One Group Pretest – Posttest Design เครื่องมือท่ีใช้ในการ
วิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนภาษาเพ่ือการสื่อสาร 2) แบบทดสอบวัด
ความสามารถดา้ นการฟังภาษาอังกฤษ 3) แบบทดสอบวัดความสามารถด้าน การอ่านภาษาอังกฤษ และ
4) แบบสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อวิธีการสอนภาษาเพ่ือการสื่อสาร วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ
ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมุติฐานด้วย t-test แบบ Dependent ผลการวิจัย
พบว่า 1) ความสามารถด้านการฟังภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ก่อนและหลังการ
สอนดว้ ยวิธกี ารสอนภาษาเพอื่ การสื่อสารแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ.05 โดยหลังเรียน
มีคะแนนเฉล่ียด้านการฟังสูงกว่าก่อนเรียน 2) ความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 1 ก่อนและหลังการสอนด้วยวิธีการสอนภาษาเพ่ือการสื่อสารแตกต่างกันอย่างมี
นัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 โดยหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยด้านการอ่านสูงกว่าก่อนเรียน 3) นักเรียนมี
ความคดิ เห็นตอ่ วธิ กี ารสอนภาษาเพ่ือการสื่อสารอยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด โดยมีความคิดเห็นว่าช่วย
ให้นักเรยี นไดพ้ ัฒนาจากการฝึกภาษาสามารถฟงั อ่านและนาไปใช้ในชีวิตประจาวันได้

5.2 งานวิจยั ต่างประเทศ
เอลลิส (Ellis, 2014) ศึกษาวิธีการสื่อสารในการประเมินการใช้ภาษาเพ่ือการสื่อสารของ

นักเรียนจากโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน ซ่ึงมีอายุระหว่าง 10 - 12 ปี กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2
กลุ่ม คือ กลุ่มท่ี 1 เป็นนักเรียนที่เรียนภาษาอังกฤษในประเทศอังกฤษมาเป็นเวลา 1 ปี จานวน 16
คน กลุม่ ท่ี 2 เป็นนักเรยี นทใี่ ชภ้ าษาองั กฤษเป็นภาษาแม่ จานวน 16 คน กลมุ่ ตวั อย่างต้องบรรยายเรื่อง
จากภาพเหตุการณ์ซ่ึงประกอบด้วยภาพย่อย 3 ภาพให้ครูฟัง ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนท่ีใช้
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่สามารถส่ือเน้ือหาสาระในภาพได้ดีกว่านักเรียนท่ีไม่ใช้เจ้าของภาษา นักเรียน
ท่ีไม่ใช้เจ้าของภาษาใช้กลวิธีการถอดความมากกว่านักเรียนท่ีเป็นเจ้าของภาษา และสรุปว่านักเรียนท่ี
สามารถใช้ภาษาไดด้ ที ี่ใช้วิธีการการถอดความมากกวา่ วธิ ีการหลกี เลีย่ ง

จอห์นสัน (Johnson, 2014) ได้ทาการวิจัยเรื่องปัญหาและการปฏิรูปการสอนภาษาเพ่ือการ
ส่ือสารพบว่าในอนาคตการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการส่ือสารนั้น มีความจาเป็นอย่างย่ิงเพราะมนุษย์ใช้
ภาษาในการตดิ ต่อส่อื สารและเพ่อื ให้ไดม้ าซ่งึ ข้อมลู ตา่ ง ๆ และมีความจาเป็นอย่างมากในการดาเนินชีวิต
ฉะนนั้ จงึ จาเปน็ อยา่ งยง่ิ ท่ีจะต้องตระหนักและมองเห็นความสาคัญในการส่งเสริมสนับสนุนให้มีการสอน
ภาษาโดยใชว้ ธิ กี ารสอนภาษาเพอ่ื การสื่อสาร

ฮอล์ดนิก (Haldnig, 2016) ได้ทาการวิจัยเรื่อง การสอนวิชาภาษาอังกฤษในโรงเรียน
ประถมศึกษาประเทศออสเตรเลีย พบว่า การพัฒนาการสอนวิชาภาษาอังกฤษในโรงเรียนการ
ประถมศกึ ษาน้นั ได้มกี ารพฒั นาอย่างเปน็ ระบบและสืบเน่ืองกนั มาตลอด โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้ง
ที่สอง มีการส่งเสริมให้มีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นอย่างมาก เนื่องจากความจาเป็นทางด้านการ
สื่อสารซึ่งนาไปสู่การสอนภาษาอังกฤษในรูปแบบการสอนภาษาเพื่อการศึกษาอย่างกว้างขวางข้ึน และ
จาเป็นที่จะตอ้ งฝกึ ครใู ห้มีความรู้ความมามารถในการใชภ้ าษาให้มาก

จากการศึกษางานวิจัยท่ีเก่ียวข้องท้ังงานวิจัยในประเทศและงานวิจัยต่างประเทศที่กล่าวมา
ข้างต้นแสดงให้เห็นว่า การจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยวิธีการสอนตามแนวคิดภาษาเพ่ือการส่ือสาร
สามารถพัฒนาทักษะในการส่ือสารภาษาอังกฤษของผู้เรียนให้สูงข้ึน ท้ังน้ีอาจเป็นเพราะว่า การจัดการ
เรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยวิธีการสอนตามแนวคิดภาษาเพ่ือการส่ือสาร ผู้เรียนได้ฝึกภาษาอังกฤษการโดย
สื่อความหมายให้ผู้อื่นเข้าใจ ตามสถานการณ์ และบริบท ไม่ใช่เพียงยึดตามหลักไวยากรณ์ที่ถูกต้อง
เท่าน้ันซ่ึงได้จัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ 1. การเตรียมความพร้อม (Warm up) 2. การ
นาเสนอเนื้อหา (Presentation) 3. การฝึกปฏิบัติ (Practice) 4. การใช้ภาษา (Production) และ5.
การสรุปบทเรียน (Wrap up) โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติกิจกรรมใช้ภาษา จึง
สง่ ผลใหผ้ ู้เรียนมีทักษะในการสือ่ สารภาษาองั กฤษสูงขึ้น

บทท่ี 3
วธิ ีดาเนนิ การวิจยั

การวจิ ัยครั้งนี้ เพ่ือศึกษาความสามารถในการส่ือสารภาษาองั กฤษของนักเรยี นชัน้ ประถมศกึ ษา
ปีที่ 6 โรงเรียนบ้านตรวจ โดยใช้วิธสี อนตามแนวคิดภาษาเพื่อการส่ือสาร ซึ่งผ้วู ิจยั ได้ดาเนินการตาม
ข้ันตอน ดังน้ี

1. รูปแบบการวิจัย
2. ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง
3. เน้อื หาในการวิจัย
4. เคร่ืองมือทใ่ี ช้ในการวิจัยและการหาคุณภาพเครือ่ งมือ
5. การเกบ็ รวบรวมข้อมูล

6. การวเิ คราะห์ข้อมูลและสถิติทีใ่ ช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

รปู แบบการวจิ ยั

การวิจัยคร้ังน้ีเป็นวิจัยเชิงทดลอง ผู้วิจัยใช้แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและ

หลังการทดลอง (One Group Pre-test Post-test Design) ซึ่งมีรายละเอียดแบบแผน ดังน้ี (มาเรียม

นิลพันธุ์, 2563, หน้า 157)

กล่มุ ตวั อย่าง การทดสอบ การทดลอง การทดสอบ

E T1 X T2

E แทน นกั เรยี นทเ่ี ปน็ กลมุ่ ตวั อย่าง

T1 แทน การทดสอบก่อนเรยี น

X แทน การทดลองสอนโดยใช้แนวคดิ ภาษาเพ่ือการส่ือสาร

T2 แทน การทดสอบหลงั เรียน

ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง
ประชากรในการวิจัยคร้งั น้ไี ด้แก่ นักเรยี นชนั้ ป.6 โรงเรยี นบา้ นตรวจ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา

2564 จานวน 1 หอ้ งเรียน นกั เรยี นทั้งหมด 29 คน
กลมุ่ ตวั อยา่ งในการวจิ ัยครั้งนไ้ี ดแ้ ก่ นักเรียนช้นั ป.6 โรงเรยี นบา้ นตรวจ ภาคเรียนที่ 2

ปีการศึกษา 2564 จานวน 1 ห้อง นักเรียนท้ังหมด 20 คนได้มาด้วยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster
random sampling)
เนือ้ หาในการวิจัย

เนื้อหาในสาระภาษาเพ่ือการสื่อสารรายวิชาพื้นฐาน ภาษาอังกฤษชั้น ป.6 ภาคเรียนที่ 2 ปี
การศึกษา 2564 ซ่งึ อยู่ในเนือ้ หาของหลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ใน

หลกั สตู รสถานศกึ ษา จากหนังสือเรยี น Smile : หน่วยการเรยี นรู้ที่ 5 เร่อื ง Giving Direction

เครอ่ื งมือทใ่ี ช้ในการวจิ ัยและการหาคุณภาพเคร่อื งมือ
1. เครื่องมือทใ่ี ช้ในการทดลอง

คือ แผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีสอนตามแนวคิดภาษาเพ่ือการส่ือสารของ
นักเรยี นชนั้ ป.6 หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 6 เร่อื ง Giving Direction จานวน 2 คาบ

มกี ระบวนในการสร้างและหาคณุ ภาพ ดงั น้ี
1.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาแกนกลางขั้นพื้นฐานปีพุทธศักราช 2551 และตัวอย่างแผนการ

จัดการเรียนรูข้ องกรมวชิ าการ
1.2 ศึกษาคาอธิบายวิชาภาษาอังกฤษ ตัวชี้วัดและจุดประสงค์การเรียนรู้ภาษาอังกฤษตาม

หลักสตู รการศึกษาแกนกลางข้ันพื้นฐานปพี ทุ ธศักราช 2551
1.3 สมั ภาษณค์ รูผู้สอนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนบ้านตรวจ เพ่ือให้ทราบแนว

ทางการจัดการเรยี นตามเนอ้ื หาที่เหมาะสม
1.4 ศึกษาหลักการแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับวิธีสอนและการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ตาม

แนวทฤษฎีการสอนภาษาเพ่ือการส่ือสาร ซ่ึงผู้วิจัยได้ประยุกต์ข้ันตอนการสอนของ สุมิตรา อังวัฒนากุล
(2537, หน้า 112) โดยมีข้ันตอนการสอน 5 ข้ัน ดังน้ี 1) ขั้นนา (warm up) 2) ขั้นนาเสนอ
(presentation) 3) ข้ันฝึก (practice) 4) ข้ันการใช้ภาษา (production) 5) ข้ันสรุปบทเรียน (wrap
up)

1.5 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีสอนตามแนวคิดภาษาเพื่อการส่ือสาร
ของนักเรียนระดบั ชั้น ป.6 จานวน 2 แผน

1.6 ตรวจหาความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหา โดยผู้วิจัยนาแผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้
วิธีสอนตามแนวคิดภาษาเพื่อการสื่อสารท่ีสร้างขึ้น ให้ผู้เช่ียวชาญด้านการสอนภาษาอังกฤษตรวจสอบ
ความถูกต้องของการใช้ภาษา ความสอดคล้องของจุดประสงค์กับเน้ือหา และขั้นตอนการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้

1.7 แก้ไขตามข้อเสนอแนะที่ได้รบั จากผู้เช่ยี วชาญ เพื่อให้ได้แผนการจัดการเรยี นรู้ที่สมบรูณ์

2. เครอื่ งมือท่ใี ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมูล
คอื แบบทดสอบวดั ความสามารถการสอื่ สารในด้านการฟังภาษาอังกฤษเป็นแบบวัดตรงท่ีผู้วิจัย

สร้างขึ้นจานวน 10 ข้อ โดยผู้วิจัยสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนฟังเน้ือหาภาษาอังกฤษ แล้วเลือกภาพท่ี
สัมพันธ์กบั ความหมายท่ีได้ฟงั ซงึ่ ผา่ นการพฒั นาหาคุณภาพแล้วโดยมีความเชือ่ มน่ั ทัง้ ฉบับ เท่ากับ 0.72

มีกระบวนในการสรา้ งและหาคณุ ภาพ ดงั นี้
2.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐานพุทธศักราช 2551 เพ่ือจะได้แนวทางในการกาหนด
ขอบเขตของเนอื้ หาทจี่ ะทาการวัด
2.2 ศึกษาแนวการสรา้ งขอ้ สอบ เอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับการวัดความสามารถในการ
สือ่ สารภาษาอังกฤษ เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างแบบทดสอบวดั ความสามารถการส่ือสารในด้านการฟัง
ภาษาอังกฤษของนักเรยี นชน้ั ป.6 โรงเรียนบา้ นตรวจ
2.3 ดาเนินการสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถการสื่อสารในด้านการฟังภาษาอังกฤษของ
นักเรยี นชนั้ ป.6 เพอ่ื ใช้ทดสอบความสามารถด้านการส่ือสารภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันป.6 ก่อนและ
หลังการสอนตามแนวคดิ ภาษาเพ่อื การสอ่ื สาร
2.4 ตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบ โดยนาไปให้ผู้เชี่ยวชาญจานวน 3 คน ตรวจสอบความ
เที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ความถูกต้องในการใช้ภาษา ความสอดคล้องของจุดประสงค์
และพฤติกรรมท่ีต้องการวัด โดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC: index of item objective
congruence) ของขอ้ คาถามกับจุดประสงค์การเรยี นรู้โดยใช้เกณฑ์ในการพิจารณา ดงั น้ี
คะแนน +1 เมื่อขอ้ คาถามมคี วามสอดคล้องกับจุดประสงค์ของการจัดการเรยี นรู้
คะแนน 0 เมอื่ ไมแ่ น่ใจว่าขอ้ คาถามสอดคล้องกบั จุดประสงค์ของการจัดการเรียนรู้

คะแนน -1 เมือ่ ข้อคาถามไม่มีความสอดคล้องกบั จุดประสงค์ของการจดั การเรยี นรู้
2.5 บนั ทกึ ผลการพิจารณาลงความเห็นของผู้เชย่ี วชาญแต่ละคนในแตล่ ะข้อนามาปรับปรุงแก้ไข
แบบทดสอบตามคาแนะนาของผู้เช่ียวชาญที่มีความคิดเห็นตรงกันโดยใช้เกณฑ์ พิจารณาจากความ
คิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ นาผลการประเมินของผู้เช่ียวชาญแต่ละคนในแต่ละข้อไปคานวณค่าดัชนีความ
สอดคล้องระหว่างข้อคาถามกับจุดประสงค์ (IOC: index of item objective congruence) แล้ว
คัดเลือกข้อคาถามทมี่ ีค่าดชั นีความสอดคล้องตงั้ แต่ 0.50 ขน้ึ ไป
2.6 นาแบบทดสอบวัดความสามารถการสื่อสารในด้านการฟังภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 3 ไปทดลองใช้ (try out) กับเด็กนักเรียนช้ัน ป.6 โรงเรียนบ้านตรวจ ท่ีไม่ใช่กลุ่ม
ตัวอย่าง จานวน 20 คน แล้วนาผลมาวิเคราะห์หาความยาก (p) และค่าอานาจจาแนก (r) ของ
แบบทดสอบแต่ละข้อแล้วคัดเลือกข้อท่ีมีความยากระหว่าง 0.20 - 0.80 และค่าอานาจจาแนกระหว่าง
0.20 ขึ้นไป โดยเลือกไว้ 10 ขอ้ ซึ่งข้อสอบทั้ง 10 ขอ้ มีความยากง่าย (p) อยู่ตั้งแต่ 0.25 - 0.72 และค่า
อานาจจาแนก (r) อยตู่ ั้งแต่ 0.40 - 0.66
2.7 หาคา่ ความเช่อื ม่ันของแบบทดสอบวัดความสามารถการสื่อสารในด้านการฟังภาษาอังกฤษ
ของนักเรียนชน้ั ป.6 โดยใช้วิธีของคูเดอร์ - ริชาร์ดสัน (Kuder - Richardson Procedore) สูตร KR-20
(ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. 2539 : 215 - 216) ปรากฏว่าค่าความเช่ือมั่นของแบบทดสอบ
เท่ากับ 0.72 (ภาคผนวก ค)

การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
ผวู้ จิ ัยดาเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ตามแบบแผนการทดลองท่กี าหนดไว้ ดังนี้ (P-D-C-A)
1. วางแผนประสานงานกับผ้บู รหิ ารโรงเรียน ผู้สอนภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ัน ป.6 โรงเรียน

บ้านตรวจ เพอ่ื กาหนดวนั เวลา สถานที่ เพือ่ ทาการทดลองนาผลไปสกู่ ารวจิ ยั
2. สมุ่ กลุ่มตัวอยา่ งแบบกล่มุ โดยการจับสลากนักเรยี นช้นั ป.6 โรงเรยี นบ้านตรวจ
3. ทดสอบกอ่ นเรียน (pre-test) นักเรียนนักเรียนชั้น ป.6 โดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถ

การส่ือสารในด้านการฟงั ภาษาอังกฤษกอ่ นการสอนโดยใช้แนวคดิ ภาษาเพ่ือการส่ือสาร
4. ดาเนินการทดลองสอนโดยใช้แผนจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เรื่อง Giving Direction กับ

นกั เรยี นชน้ั ป.6 เปน็ ระยะเวลา 2 คาบ
5. ทดสอบหลังเรียน (post-test) นักเรียนนักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนบ้านตรวจ โดยใช้

แบบทดสอบวัดความสามารถการส่ือสารในด้านการฟังภาษาอังกฤษ หลังการสอนโดยใช้แนวคิดภาษา
เพือ่ การส่อื สาร

6. นาขอ้ มูลท่เี ก็บรวบรวมมาวิเคราะหต์ ามวตั ถุประสงคก์ ารวิจัยทต่ี ง้ั ไว้
7. สะท้อนผลการปฏิบัติ/การวจิ ยั เพือ่ พฒั นาการเรยี นรู้

การวิเคราะหข์ ้อมลู
ในการวจิ ยั คร้ังนผ้ี วู้ จิ ยั ดาเนนิ การวิเคราะห์ข้อมูล ดงั น้ี
1. หาค่าสถิติพ้ืนฐาน ได้แก่ ค่าเฉล่ีย (Arithmetic Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน

(Standard Deviation: S.D.) คะแนนการทดสอบความสามารถในการส่ือสาร ของนักเรียนชั้น ป.6
ก่อนเรยี นและหลงั การใชว้ ิธสี อนตามแนวคิดภาษาเพอื่ การสอ่ื สาร

2. วิเคราะห์เปรียบเทียบความสามารถในการส่ือสารภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้น ป.6 ก่อน
และหลังการใช้วิธีสอนตามแนวคิดภาษาเพ่ือการสื่อสาร โดยใช้การทดสอบค่าที (t - test for
dependent) โดยกาหนดระดับนยั สาคัญทางสถิตทิ รี่ ะดับ .05

บทท่ี 4
ผลการวจิ ยั
ผู้วิจัยนาเสนอผลการพัฒนาความสามารถในการส่ือสารภาษาอังกฤษ โดยใช้แนวคิดภาษาเพื่อ
การสือ่ สารของนักเรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 โรงเรียนบ้านตรวจ ดงั นี้

ตารางท่ี 1 แสดงผลการเปรยี บเทียบความสามารถด้านการฟังของช้ัน ป.6 โรงเรียนบ้านตรวจ
กอ่ นและหลงั การใชแ้ นวคดิ ภาษาเพอื่ การส่อื สาร วดั โดยใช้แบบทดสอบ 2 ตอน

ตอนท่ี 1 ฟังเสียงคาศัพท์ เลือกภาพตามความหมายของคา จานวน 5 ขอ้ 5 คะแนน
ตอนที่ 2 ฟงั เสยี งประโยค เลือกภาพท่คี วามหมายเกยี่ วข้องกบั ประโยค จานวน 5 ข้อ 5คะแนน

คะแนนการทดสอบ

เลขที่ กอ่ นเรยี น หลังเรยี น ผลตา่ ง

1 6 10 4
2 6 10 4
3 38 5
4 46 2
5 67 1
6 59 4
7 6 10 4
8 46 2

9 46 2
10 3 10 7
11 3
36
12 1
13 45 6
14 4 10 7
15 07 4
48
16 6
17 39 5
18 38 4
19 48 3
20 69 4
คา่ เฉลี่ย 37
4.29 7.88

จากตารางแสดงวา่ นกั เรียนชั้น ป.6 โรงเรียนบ้านตรวจ จานวน 20 คน มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนโดยใช้
แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดภาษาเพ่ือการสื่อสาร เท่ากับ 4.29 มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนโดยใช้
แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดภาษาเพ่ือการสื่อสาร เท่ากับ 7.88 แสดงให้เห็นว่า นักเรียนมีคะแนน
การฟัง หลงั เรยี นสูงกว่าก่อนเรียนโดยใชแ้ นวคิดภาษาเพื่อการสือ่ สาร

ตารางที่ 2 แสดงคา่ เฉล่ยี ค่าสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน และคา่ สถิติท่ีใช้ในการทดสอบสมมตฐิ าน

ของการเปรยี บเทยี บความแตกต่างคะแนนก่อนเรยี นและหลงั เรยี น ของกลุ่มทดลอง

ผลคะแนน จานวน คา่ เฉลยี่ ส่วนเบีย่ งเบน คา่ t p

มาตรฐาน

ก่อนเรยี น 34 4.29 1.47 10.87* 0.000

หลังเรียน 34 7.88 1.55

จากตารางที่ 2 พบว่า นักเรียนช้นั ป.6 มีผลคะแนนหลังเรียนโดยวธิ ีสอนตามแนวคดิ ภาษาเพ่ือ

การสื่อสารสงู กวา่ กอ่ นเรยี นอยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถติ ิ 0.05

บทท่ี 5
สรุปผลการวจิ ัย อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ
การวจิ ยั ครง้ั น้ีมวี ัตถปุ ระสงค์ 1.เพอ่ื พัฒนาความสามารถในการสือ่ สารภาษาอังกฤษของนักเรียน
ช้ัน ป.6 โดยใช้วิธีสอนตามแนวคิดภาษาเพื่อการสื่อสารและ 2.เพ่ือเปรียบเทียบความสามารถในการ
สอื่ สารภาษาองั กฤษของนกั เรยี นช้นั ป.6 ก่อนและหลงั การใชว้ ธิ ีสอนตามแนวคิดภาษาเพอ่ื การสอ่ื สาร
กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ คือ นักเรียนช้ัน ป.6 โรงเรียนบ้านตรวจ ปีการศึกษา 2564
จานวน 20 คน ไดม้ าด้วยวิธกี ารสุ่มแบบกล่มุ (Cluster random sampling)
เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยเครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ 1. แผนการจัดการ
เรยี นรูภ้ าษาอังกฤษโดยใชว้ ิธีสอนตามแนวคดิ ภาษาเพื่อการสื่อสารของนักเรียนชั้น ป.6 หน่วยการเรียนรู้
ท่ี 5 เรื่อง Giving Direction จานวน 2 แผนการจัดการเรยี นรู้ แผนละ 1 ช่ัวโมง รวมทั้งส้ิน 2 ช่ัวโมง ซ่ึง
ผ่านการตรวจสอบความถกู ต้องของการใช้ภาษา ความสอดคล้องของจุดประสงค์กับเนื้อหา และขั้นตอน
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยผู้เชี่ยวชาญ และ 2. แบบทดสอบวัดความสามารถการส่ือสารในด้านการ
ฟังภาษาอังกฤษ หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 เร่ือง Giving Direction ของนักเรียนชั้น ป.6 จากการจัดการ
เรียนรู้โดยใช้วิธีสอนตามแนวคดิ ภาษาเพอ่ื การส่ือสาร จานวน 10 ขอ้ คะแนนเตม็ 10 คะแนน ความยาก
ง่าย (p) อยู่ต้ังแต่ 0.25 - 0.72 ค่าอานาจจาแนก (r) อยู่ต้ังแต่ 0.40 - 0.66 และค่าความเชื่อมั่นของ
แบบทดสอบท้ังฉบับ เท่ากับ 0.72 วิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือศึกษาความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษ
หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง Giving Direction ของนักเรียนช้ัน ป.6 จากการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีสอน
ตามแนวคิดภาษาเพ่อื การสอ่ื สาร กอ่ นและหลังการจัดการเรียนรู้ โดยการหาค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าส่วน
เบ่ียงเบนมาตรฐานและใช้การทดสอบค่าที (t - test for dependent) โดยกาหนดระดับนัยสาคัญทาง
สถิติทร่ี ะดบั .05

สรุปผลการวิจัย
จากการศกึ ษาความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น ป.6 โดยใช้วิธีสอนตาม

แนวคดิ ภาษาเพื่อการส่ือสาร ผลการวจิ ัยสรปุ ได้ ดงั น้ี
1. ผลทดสอบความสามารถในการส่ือสารภาษาอังกฤษ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 5 เรื่อง Giving

Direction ของนักเรียนชั้น ป.6 จากการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนตามแนวคิดภาษาเพื่อการส่ือสาร
พบว่า ก่อนเรียนนักเรียนมีคะแนนเฉล่ีย เท่ากับ 4.29 คะแนน หรือคิดเป็นร้อยละ 42.9 หลังเรียน
นักเรยี นมีคะแนนเฉลี่ย เท่ากบั 7.88 คะแนน หรอื คิดเปน็ ร้อยละ 78.8

2. ผลทดสอบความสามารถในการส่ือสารภาษาอังกฤษ หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 เร่ือง Giving
Direction ของนักเรียนช้ัน ป.6 จากการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนตามแนวคิดภาษาเพื่อการส่ือสาร
หลงั เรยี นสงู กว่าก่อนเรียนอยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถิติทรี่ ะดับ .05

อภิปรายผล
จากการวิจัย เร่ือง การพัฒนาความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น ป.6

โดยใชว้ ธิ ีสอนตามแนวคดิ ภาษาเพอื่ การสื่อสาร ผลการวจิ ัยสรุปได้ ดังน้ี
จากผลการวิจัย พบว่า ภายหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนตามแนวคิดภาษาเพ่ือการ

สื่อสาร นักเรียนกลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉล่ียผลการทดสอบความสามารถในการสื่อสารสูงขึ้นเมื่อ
เปรียบเทียบกับก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เน่ืองจากผู้เรียนได้รับการจัดการเรียนรู้
โดยใช้วิธีสอนตามแนวคิดภาษาเพื่อการส่ือสาร (Communication Language Teaching) เป็นการ

จัดการเรียนรู้ท่ีเน้นการสอนภาษาเพ่ือการสื่อสาร มีข้ันตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นการสื่อสาร
ด้วยการฟังและพูดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เป็นวิธีสอนที่มีลาดับขั้นตอนการสอนผู้เรียนให้เกิดการ
เรียนรู้ โดยให้ผู้เรียนสามารถนาความรู้ ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวันได้อย่างแท้จริง ให้ผู้เรียนได้มี
ส่วนร่วมในการทากิจกรรม มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน และผู้เรียนกับผู้สอน เน้นการสื่อ
ความหมาย (focus on meaning) ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน โดยการนาส่ือสภาพจริง (authentic
material) มาเปน็ สอ่ื ในการจดั กจิ กรรม และใหผ้ ู้เรียนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ด้วยตนเอง (self -
access) สามารถนาภาษาอังกฤษไปใช้ในสถานการณ์จริง (real situation) ซ่ึงผู้สอนเป็นเพียงผู้อานวย
ความสะดวก (Teacher is a facilitator)

ในการวิจยั ได้ใชว้ ธิ ีสอนตามแนวคดิ ภาษาเพอื่ การส่ือสารตามข้ันตอน ดังนี้
1. ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน (Warm up) มีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้ผู้เรียนเกิดความพร้อมและอยากรู้
อยากเรียนในบทใหม่ เน้ือหาจะเช่ือมโยงไปสู่สาระสาคัญ หรือเพ่ือทบทวนความรู้ที่เรียนมาแล้ว โดยใน
การสอนหน่วยการเรียนรู้ท่ี 6 เรื่อง Care & Clean ผู้สอนได้ใช้การทบทวนความรู้โดยใช้สื่อรูปภาพ
ประกอบ เป็นการเร้าความสนใจ
2. ข้ันนาเสนอ (Presentation) ผู้สอนให้ข้อมูลทางภาษาแก่ผู้เรียน โดยนาเสนอศัพท์ใหม่จาก
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 6 เร่ือง Care & Clean ให้เข้าใจทั้งรูปแบบและความหมาย กิจกรรมท่ีกาหนดในขั้น
นี้ ประกอบด้วยการให้ฟังเนื้อหาใหม่ ให้ผู้เรียนฝึกพูดตาม ในข้ันนี้ผู้สอนเป็นผู้ให้ความรู้ทางภาษาที่
ถูกต้อง และเป็นแบบอย่างที่ถูกต้องในการออกเสียง ซึ่งในระยะ 2 คาบ ในขั้นน้ีได้ใช้สื่อรูปภาพในการ
ฝกึ ผูเ้ รียนจาความหมายของคาศัพทป์ ระกอบรูปภาพ โดยฝึกซ้า ๆ จนผู้เรียนเกิดความแม่นยา จากนั้นให้
ผู้เรยี นออกเสยี งคาศัพทต์ ามรูปภาพทีเ่ ห็นดว้ ยตัวของผู้เรยี นเอง
3. ขั้นฝึก (Practice) ให้ผู้เรียนฝึกใช้ภาษาที่เรียนมาแล้วจากขั้นนาเสนอ มีวัตถุประสงค์ให้
ผู้เรียนใช้ภาษาได้ถูกต้อง และคล่องแคล่ว การฝึกอาจจะฝึกทั้งช้ัน เป็นกลุ่ม เป็นคู่ หรือรายบุคคล
กิจกรรมที่กาหนดในแผนการจัดการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ท่ี 6 เร่ือง Care & Clean มีในลักษณะที่
กล่าวมา คอื เม่อื ได้เรียนร้คู าศพั ทจ์ ากขั้นนาเสนอแลว้ ผเู้ รยี นถกู ฝึกใหน้ าคาศัพทเ์ ขา้ ไปในประโยค
4. ขั้นการใช้ภาษา (Production) เพื่อให้ผู้เรียนนาคาหรือประโยคท่ีฝึกมาใช้ในสถานการณ์
ต่างๆ ในรูปแบบกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อให้เกิดความคล่องแคล่ว ความสนุกสนาน ในข้ันน้ีเป็นข้ันที่
เนน้ ผู้เรยี นเป็นผู้ปฏิบตั ิกจิ กรรม ผ้สู อนคอยให้ความชว่ ยเหลอื โดยกจิ กรรมท่ีใช้ คือ การเล่นเกม โดยเม่ือ
ผูเ้ รียนไดเ้ รียนรคู้ าศัพท์จากขั้นนาเสนอและฝึกพูดประโยคในข้ันการฝึกแล้ว ผู้เรียนจะมีโอกาสในการนา
คาศัพท์เหล่านั้นมาใช้ในประโยคสนทนาตามความเหมาะสมของสถานการณ์และบริบทในกิจกรรมที่
ผู้สอนจัดขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายให้ผู้เรียนได้มีโอกาสในการใช้ภาษาอังกฤษเพ่ือส่ือสารกับผู้อื่น ซ่ึง
สอดคลอ้ งกบั หลกั การจัดการเรยี นรู้ตามแนวคิดภาษาเพ่ือการส่อื สาร
5. ขน้ั การสรปุ บทเรียน (Wrap up)
จากการศึกษาข้อมูล พบว่า ข้ันตอนการสอนภาษาเพื่อการส่ือสารมีเพียง 4 ขั้นตอนเท่านั้น แต่
ผู้วิจัยได้ศึกษาหลักการจัดกิจกรรมเพ่ือการสื่อสาร ของสุภัทรา อักษรานุเคราะห์ (2530 : 15) พบว่า
เม่อื ผู้สอนจดั กจิ กรรมการสอนภาษาเพ่อื การสื่อสารครบถ้วนและจบท่ีการให้ผู้เรียนฝึกใช้ภาษาแล้ว ควร
เปดิ โอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความรู้สึก ความคิดและทัศนคติ แลกเปลี่ยนข้อมูลด้วย ผู้วิจัยจึงได้เพิ่มเติม
ข้ันท่ี 5 คือ ขั้นการสรุปบทเรียน (Wrap up) เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ภาษาในการส่ือสารได้
ครอบคลมุ ไดแ้ สดงความรสู้ กึ ความคิดและทศั นคติ แลกเปล่ียนข้อมูล ตามหลักการจัดกิจกรรมเพ่ือการ
ส่ือสารอย่างครบถ้วนแท้จริง กิจกรรมที่ปรากฏในแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีลักษณะเป็นการ

ทบทวนโดยใช้คาถาม และร่วมกันอภิปราย เพื่อให้ผู้เรียนทุกคนเข้าใจหลักภาษาและเป็นการประเมิน
ความเขา้ ใจของผูเ้ รยี นจากการตอบคาถาม

แมว้ ิธีสอนภาษาอังกฤษทม่ี งุ่ เนน้ พัฒนาผ้เู รียนให้ประสบผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนจะมีอยู่หลายวิธี
แต่ก็ไม่ปรากฏว่าวิธีการสอนใดดีและเหมาะสมที่สุด ดังน้ันในส่วนของกิจกรรมการจัดการเรียนรู้หน่วย
การเรียนรู้ที่ 5 เร่ือง Giving Direction ของนักเรียนชั้น ป.6 ผู้วิจัยจึงได้ใช้วิธีการที่หลากหลายในการ
จัดกิจกรรมการเรียนรู้ ได้แก่ การใช้คาถาม การแสดงบทบาทสมมติ และการใช้เกม ซึ่งการให้ผู้เรียนได้
เลน่ เกมได้สอดคลอ้ งกบั งานวิจยั ของสวุ ิมล พุฒิรุ่งโรจน์ (2559) ได้ศึกษาความสามารถในการฟัง-การพูด
ภาษาอังกฤษ และความสนใจต่อการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับช้ันอนุบาลปีท่ี 2 โรงเรียนวัด
เนินพลู โดยใช้วิธีสอนตามแนวทฤษฎีการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารด้วยกิจกรรมเพลงและเกม ส่งผลให้
ผู้เรียนมีความสนใจต่อการเรียนภาษาอังกฤษอยู่ในระดับมาก คือ ร้อยละ 84.3 และผู้เรียนมี
ความสามารถในการการฟงั -การพูดอยู่ในระดับดีมาก

กล่าวสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนตามแนวคิดภาษาเพื่อการสื่อสาร เป็นการ
จัดการเรยี นรู้ท่ีเน้นการสอนภาษา สามารถช่วยพัฒนาความสามารถในการสื่อสารของผู้เรียนโดยรวมได้
ได้แก่ ทักษะการฟัง ทักษะการพูด ทักษะการอ่านและทักษะการเขียน ช่วยให้ผู้เรียนสื่อความหมายให้
ผู้อนื่ เข้าใจ เหมาะสมตามสถานการณ์ และบริบท ไม่ใช่เพียงยึดตามหลักไวยากรณ์ที่ถูกต้องเพียงเท่านั้น
โดยผ้สู อนสามารถศกึ ษาวิธกี ารหรือเทคนคิ ทีห่ ลากหลายให้เข้าใจและเลือกใช้ให้เหมาะสมกับผู้เรียนและ
จุดมงุ่ หมายของการเรียนการสอนในแตล่ ะระดบั ช้นั เพียงแค่ดาเนินกรจัดการเรียนรู้ให้อยู่ภายใต้หลักการ
สอนภาษาเพ่ือการส่ือสาร ด้วยเหตุนี้แนวคิดการสอนภาษาเพ่ือการสื่อสารจึงส่งผลให้สามารถพัฒนา

ความสามารถในการส่อื สารของผเู้ รียนไดด้ ยี ่งิ ข้ึน

บรรณานุกรม
กระทรวงศึกษาธิการ. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551.กรุงเทพฯ : โรง

พิมพช์ มุ นมุ สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย, 2551.
ริมล โพธ์ิชัยรัตน์. การเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ และความพึงพอใจต่อการเรียนภาษาอังกฤษของ

นกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 1 โดยใช้วิธีการสอนภาษาเพ่ือการสื่อสาร (CLT) กับวิธีการ
สอน แบบตอบสนองด้วยท่าทาง (TPR). วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอน

ภาษาองั กฤษ,มหาวิทยาลัยรามคาแหง, 2559.
รุ่งนภา เทศนา. การเปรียบเทียบทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันประถม ศึกษาปีที่ 6

โดยวิธีสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (TPR) กับวิธีสอนแบบปกติ. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรม
หาบัณฑิต สาขาวชิ าหลกั สูตรและการสอน, มหาวิทยาลัย ราชภัฏเทพสตรี, 2560.
วาสนา สิงหท์ องลา. การพัฒนาทักษะการฟังภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้
รูปแบบ การจัดการเรียนรู้ภาษาเพ่ือการสอ่ื สาร. วิทยานพิ นธ์ปรญิ ญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต
, มหาวิทยาลัยขอนแกน่ , 2560.
วิไล ตันเสียงสม. การพัฒนาความสามารถด้านการฟัง และการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีท่ี 1 ด้วยวิธีการสอนภาษาเพ่ือการสื่อสาร. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร
มหาบณั ฑิต สาขาวชิ าหลกั สูตรและการนเิ ทศ, มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร, 2560.
สุมิตรา อังวัฒนกุล. วิธีสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลยั , 2562.
สุรศักดิ์ ปาเฮ. การสอนทักษะฟัง-พูดภาษาอังกฤษ, 27 กุมภาพันธ์ 2564. http://www.
addkutec3.com, 2564.
สุวิมล พุฒิรุ่งโรจน์. การศึกษาความสามารถในการฟัง-การพูดภาษาอังกฤษและความสนใจตอการ
เรียนภาษาอังกฤษ ของนักเรียนระดับชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนวัดพเนินพลู โดยใช้วิธีสอน
ตามแนวทฤษฎกี ารสอน ภาษาเพื่อการสื่อสารด้วยกิจกรรมเพลงและเกม. วิทยานิพนธ์ครุศา
สตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลกั สูตรและการสอน, มหาวทิ ยาลัยราชภฏั หมู่บ้านจอมบึง, 2559.
Asher, J. J. Learning Another Language Through Actions : The Complete Teacher’s
Guide Book : Los Gatos. California : Sky Oaks, 2019.
Krashen, S.D., & Terrell, T.D. The Natural Approach. London : Almany, 2013.


Click to View FlipBook Version