ผักคะน้า ชื่อพื้นเมือง : ผักคะน้า ชื่อวิทยาศาสตร์ : Brassica oleracea Alboglabra Group ชื่อวงค์ : Brassicaceae ชื่อสกุล : ชื่อสามัญ : Chinese kale,Borecole, Collard ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ผักคะน้า (Brassica oleracea) เป็นผักที่นิยมรับประทานมากในปัจจุบัน นิยมรับประทานทั้งลำต้น และใบด้วยลักษณะมีรสหวานและกรอบ ไม่มีกลิ่นเหม็นเขียว มักใช้ประกอบอาหารจำพวกผัดและทอด เป็น ส่วนใหญ่ ผักคะน้าชาวจีนจะเรียกว่า ไก่หลันไช่ เป็นผักล้มลุก อายุประมาณ 2 ปี มีต้ำกำเนิดมาจากประเทศ อินเดีย แต่มักเก็บต้นมาบริโภคประมาณ 45-60 หลังการหยอดเมล็ด สามารถเจริญเติบโตได้ดีในทุกสภาพดิน โดยเฉพาะดินร่วนปนทราย ดินเหนียวปนดินร่วน และมีการระบายน้ำดี เป็นผักที่ทนต่อสภาพอากาศร้อนได้ดีปลูก ได้ในทุกฤดูกาล แต่จะได้ผลดีในช่วงปลายฤดูฝนจนถึงฤดูหนาว เดือนตุลาคม-กุมภาพันธุ์ แต่ช่วงนี้ราคาสินค้า จำพวกพืชผักมักมีราคาต่ำ
ต้นคะน้า คะน้า เป็นพืชผักสมุนไพร ที่เจริญเติบโตได้ง่ายๆ มีความสูงประมาณ 30 ซม. ลำต้นมีลักษณะกลมๆ จะมีลำต้น เดี่ยว ต้นมีสีเขียวนวล มีก้านใบยาว ใบกว้างใหญ่สีเขียวนวล ใบคะน้า มีลักษณะต้นอวบใหญ่ ก้านใบเล็ก ใบกลมหนาสีเขียวนวล มีรสชาติกรอบ ทนทานต่อดินฟ้าอากาศได้ดี ดอกคะน้า มีช่อดอกแบบกระจะ (raceme) มีดอกสมบูรณ์เพศ กลีบเลี้ยงมีสีเขียวหรือเขียวปนเหลืองมี 4 กลีบ
แหล่งปลูกที่เหมาะสม - แบบหว่านกระจายทั่วแปลง เหมาะสำหรับแปลงปลูกขนาดใหญ่ ทำเป็นการค้า - แบบแถวเดียว เหมาะสำหรับแปลงปลูกขนาดเล็กหรือผักสวนครัว การเตรียมเมล็ดก่อนเพาะ ในการปลูกคะน้า นิยมหว่านเมล็ดลงบนแปลงปลูกโดยตรงมากกว่าย้ายกล้า โดยมีขั้นตอนดังนี้ 1. หว่านเมล็ดให้ กระจายทั่วทั้งผิวแปลงโดยให้เมล็ดห่างกันประมาณ 2-3 เซนติเมตร 2. ใช้ดินผสมหรือปุ๋ยคอกที่สลายตัวดีแล้ว หว่านกลบเมล็ดให้หนาประมาณ 0.6-1 เซนติเมตร เพื่อเก็บรักษาความชื้นและป้องกันเมล็ดถูกน้ำกระแทกกระจาย การเตรียมดิน - ขุดดินให้ลึกประมาณ 10-15 เซนติเมตร - ตากดินทิ้งไว้ประมาณ 7-10 วัน - ใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีประมาณ 1 ตัน/ไร่ - คลุกเคล้าให้เข้ากัน ถ้าดินเป็นกรดควรใส่ปูนขาวเพื่อปรับปรุงดินให้อยู่ในสภาพ ที่เหมาะสม การเพาะต้นกล้า นำผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำรองด้วยถ้วยพลาสติก และนำเมล็ดคะน้าใส่ลงไป แล้วห่อผ้าขึ้นคลุมเมล็ดไว้ให้มิดจากนั้น นำถุงพลาสติกมาคลุมแล้วมัดให้แน่น การปลูกคะน้า - ผสมดินร่วน ปุ๋ยคอก กาบมะพร้าวสับ คลุกเคล้าให้เข้ากัน - ตักดินใส่กระถาง จากนั้น ย้ายต้นกล้าคะน้าจากถาดเพาะเมล็ด ไว้ในกระถางละ 1 ต้น
การดูแลรักษา การให้น้ำ รดน้ำทุกวัน เช้า–เย็น ให้ดินชุ่มชื้นสม่ำเสมอพอต้นคะน้าอายุได้ 25 วัน ให้บำรุงต้น ด้วยน้ำหมักขี้วัวรดราดทางดิน การใส่ปุ๋ย ปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนสูง อาจใส่ปุ๋ยสูตร 12-8-8 หรือ 20-11-11 ในอัตราประมาณ 100 กิโลกรัมต่อไร่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่ กับความอุดมสมบูรณ์ของดินและปริมาณปุ๋ยคอกที่ใช้โดยแบ่งใส่ 2 ครั้ง คือ หลังจากถอนแยกครั้งแรกและหลังจาก ถอนแยกครั้งที่ 2 การเก็บเกี่ยวคะน้า อายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 45 - 55 วัน หลังจากปลูก ซึ่งเป็น ระยะที่คะน้าโตเต็มที่ คะน้าอายุ 45 วันเป็นระยะที่ ตลาดมีความต้องการมาก
โรคที่สำคัญของคะน้า โรคใบจุด สาเหตุ เชื้อ Alternaria brassicicola. ลักษณะอาการ จุดแผลสีน้ำตาล ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-2 มิลลิเมตร ลักษณะเด่นที่แตกต่างจากอาการ ใบจุดชนิดอื่น คือ เป็นแผลลักษณะเนื้อใบแห้งตาย ทำให้บริเวณแผลเป็นหลุม กลางแผลมีลักษณะโปร่งแสง ขอบ แผลชัดเจนสีน้ำตาล เมื่อจุดแผลเกิดใกล้ชิดกันทำให้เกิดลักษณะไหม้ แห้งตายเป็นหย่อมๆ ในเวลาต่อมา การป้องกันกำจัด - ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ปลอดโรค หรือฆ่าเชื้อที่อาจติดมากับเมล็ด โดยแช่ในน้ำอุ่น 49-50 องศาเซลเซียส นาน 20-25 นาที - หลีกเลี่ยงการปลูกผักกาดหรือกะหล่ำต่างๆ ลงในดินที่เคยปลูกและมีโรคระบาดมาก่อนอย่างน้อย 3-ปี - กำจัดทำลายวัชพืชในแปลงปลูก
โรคและแมลงศัตรูพืช สาเหตุ เชื้อรา Pythium sp. หรือ Phytophthora sp. ลักษณะอาการ การทำลาย โดยหนอนจะกัดกินใบและก้านใบของคะน้า มักจะเข้าทำลายเป็นหย่อมๆ ตามจุดที่ ผีเสื้อวางไข่ หนอนชนิดนี้สังเกตได้ง่ายคือ ลำต้นอ้วนป้อม ผิวหนังเรียบ คล้ายหนอนกระทู้หอม มีสีสันต่างๆ กัน มี แถบสีขาวข้างลำตัวแต่ไม่ค่อยชัดนัก เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดประมาณ 3-4 เซนติเมตรเคลื่อนไหวช้า การป้องกันกำจัด - ตรวจดูไข่หรือตัวหนอนในระยะเล็กๆ หากพบให้ใช้สารกำจัดแมลงฉีดพ่น - หากใช้ในขณะที่หนอนยังมีขนาดเล็กจะได้ผลดี - หากการระบาดมีอยู่ตลอดเวลาควรพ่นสารกำจัดแมลงดังกล่าว 5-7 วันต่อครั้ง
โรคเน่าคอดิน สาเหตุ เชื้อ Pythium spp. ลักษณะอาการ บริเวณโคนติดกับผิวดิน มีลักษณะช้ำน้ำสีน้ำตาลเข้ม เมื่ออาการรุนแรง เนื้อเยื่อจะเกิดเป็นแผลเน่า ลาม ทำให้ต้นกล้าเหี่ยวทั้งต้น หักล้มและตายก่อนแตกใบจริง บางครั้งเชื้อราอาจจะเข้าทำลายเมล็ดก่อนงอกพ้นดิน ทำให้เมล็ดไม่งอก หรืองอกออกมาแต่ไม่มีใบเลี้ยง การป้องกันกำจัด - ไม่หว่านเมล็ดผักในแปลงที่แน่นทึบเกินไป - แช่หรือคลุกเมล็ดด้วยสารฆ่าเชื้อรา เช่น คลอโรเนป
ประโยชน์ของคะน้า 1. เสริมภูมิคุ้มกัน 2. บำรุงสายตา 3. เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก 4. บำรุงเลือด ป้องกันโลหิตจาง 5. บำรุงผิวพรรณ เพิ่มคอลลาเจนให้ผิว 6. ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย 7. ลดความเสี่ยงมะเร็ง ประโยชน์ของคะน้า 1. มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายได้ 2. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานในกับร่างกาย ทำให้มีสุขภาพแข็งแรง 3. ช่วยบำรุงผิวพรรณและป้องกันการติดเชื้อต่างๆ 4. ผักคะน้ามีวิตามินซี ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อให้ชุ่มชื้นมากขึ้น (วิตามินซี) 5. ช่วยบำรุงและรักษาสายตา (วิตามินเอ) 6. คะน้ามีสารลูทีน (Lutein) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต้อกระจกได้ถึง 29% (ลูทีน) 7. ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมและยังช่วยป้องกันการเสื่อมของศูนย์จอตาได้อีกด้วย 8. ช่วยบำรุงโลหิต 9. ธาตุเหล็กและธาตุโฟเลตในผักคะน้ามีความสำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง 10. ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต
ข้อควรระวังในการรับประทานคะน้า การรับประทานผักคะน้าอาจให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย แต่อาจมีข้อควรระวังสำหรับผู้ที่กำลังใช้ยาต้านการ แข็งตัวของเลือด เช่น วาร์ฟาริน (Warfarin) เนื่องจากผักคะน้ามีวิตามินเคที่อาจลดประสิทธิภาพของยากลุ่มนี้ลง ดังนั้น จึงควรปรึกษาคุณหมอหรือเภสัชกรก่อนบริโภค นอกจากนี้ ผักคะน้ายังเป็นแหล่งของไฟเบอร์ ที่ร่างกายอาจต้องใช้เวลานานในการย่อย หากรับประทานผักคะน้า มากเกินไปและรับประทานรวดเร็วเกินไปก็อาจส่งผลให้มีก๊าซในลำไส้และท้องอืดได้