The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

อิเหนา ตอน ศึกกะหมังกุหนิง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by krutonraksornthai, 2022-12-26 03:54:21

อิเหนา ตอน ศึกกะหมังกุหนิง

อิเหนา ตอน ศึกกะหมังกุหนิง

ตอน



ความเป็นมา
และจดุ มงุ่ หมายในการแตง่

อเิ หนาเร่มิ เข้ามาในประเทศไทยต้ังแต่สมัยกรุงศรอี ยธุ ยา

เจ้าฟ้าหญงิ กณุ ฑล และเจ้าฟ้าหญงิ มงกฎุ ทรงฟัง “นิ ทานปันหยี”

ซง่ึ มเี รอ่ื งเลา่ วา่ พระราชธดิ าในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ไดแ้ ก่
นางข้าหลวงจากปัตตานี เล่าถวาย เจ้าฟ้าหญงิ ท้งั สองจึงนา

เค้าโครงเรอื่ งมาแต่งเป็นบทละคร โดยเจ้าฟ้าหญิงกณุ ฑลทรงนิ พนธ์
บทละครเรอื่ งดาหลัง (อเิ หนาใหญ่) ส่วนเจ้าฟ้าหญงิ มงกุฎ

ทรงนิ พนธบ์ ทละครเรอ่ื งอิเหนา (อเิ หนาเลก็ ) และเมอื่ เสียกรุงอยธุ ยา
ต้นฉบับบทละครเรอื่ งอิเหนาทัง้ สองก็หายไป ในสมยั กรุงธนบรุ ี
ก็ไมป่ รากฏหลักฐานว่ามีการประพันธบ์ ทละครอิเหนาข้ึนใหม่

ความเป็นมา
และจุดมงุ่ หมายในการแต่ง

จนกระท่งั สมัยรตั นโกสินทร์ พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

ทรงมีพระราชประสงค์ให้ฟ้ ืนฟูศิลปวฒั นธรรมไทยท่เี ส่ือมโทรมข้ึนมาอีกครงั้
จึงโปรดเกลา้ ให้กวีแต่งละครในข้ึนมาหลายเรอ่ื ง เชน่ อุณรุท ดาหลัง และอเิ หนา

ตอ่ มาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลยั ไดพ้ ระราชนิ พนธอ์ ิเหนา
สาหรบั บทละครใน ลักษณะคาประพันธเ์ ป็นรูปแบบกลอนบทละคร

โดยมวี ตั ถุประสงค์เพ่ือสรา้ งความบนั เทิงแกข่ ้าราชบรพิ ารและประชาชน
จึงสรุปไดว้ ่าจุดมงุ่ หมายในการแต่งอิเหนาคือ เพ่ือให้เป็นบทละครใน

สาหรบั เล่นเพื่อสรา้ งความบนั เทิงแกข่ ้าราชบรพิ ารและประชาชน
และผูแ้ ต่งอเิ หนา ตอน ศึกกะหมงั กหุ นิ งในชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ ๔ กค็ ือ

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รชั กาลที่ ๒) น่ั นเอง

ผ้แู ต่ง

พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลิศหล้านภาลัย

เน้ื อเรอ่ื งอิเหนา ตอน ศึกกะหมังกหุ นิ ง

เน้ื อเรอื่ งของอิเหนา เล่าถงึ ‘‘ ราชวงศ์อสัญแดหวา’’
ท้าวปะตาระกาหรา ตน้ ราชวงศ์อสัญแดหวามีพระราชโอรส ๔ พระองค์ คือ
ทา้ วกเุ รปัน ท้าวดาหา ทา้ วกาหลัง และท้าวสิงหัดส่าหรี ทุกพระองค์
ตา่ งเป็นกษัตรยิ ์ปกครองนคร ๔ นคร ตามชอ่ื ของตนเอง ราชวงศ์อสัญแดหวาถอื
เป็นราชวงศ์ทีย่ ่ิงใหญท่ ่สี ดุ ในดินแดนชวาเน่ื องจากสืบเชอ้ื สายมาจากเทวดา โดย
ตวั ละครของราชวงศ์นี้ จะใชค้ านาหน้ าวา่ “ระเด่น” ส่วนราชวงศ์อืน่ ๆ

ทีม่ ยี ศน้ อยกวา่ จะใชค้ านาหน้ าว่า “ระตู”

เมืองกเุ รปัน

ปกครองโดยท้าวกเุ รปนั เบ้อื งตน้ ท้าวกเุ รปนั และลิกูมีโอรสชอ่ื กะหรดั ตะปาตี
(เป็นพช่ี ายต่างแม่ของอิเหนา) ต่อมาท้าวกุเรปนั กม็ โี อรสกบั ประไหมสุหรี (นิหลาอรตา) อีกสองคน
คนแรกคือ “อิเหนา” ซึ่งเปน็ หนุ่มรปู งาม เจ้าชู้ คารมดี มคี วามสามารถในการรบ อเิ หนามี “กรชิ เทวา”
อาวุธวิเศษคู่กายที่ท้าวปะตาระกาหลา (ป)ู่ ประทานให้ตอนเกดิ ช่อื อื่น ๆ ของอิเหนา เชน่ ระเด่นมนตรี
มิสาระปันหยี (เป็นชื่อในวงการโจรป่า) นอกจากนี้อเิ หนายงั มีน้องสาวชอื่ วยิ ะดา (เกนหลง) อกี คนหนง่ึ ด้วย

โดยทา้ วกเุ รปันได้หมั้นหมายอิเหนาไว้กับบุษบาแหง่ เมืองดาหา
และหมน้ั หมายวยิ ะดาไวก้ บั สยี ะตราแหง่ เมืองดาหาตามธรรมเนียมของวงศเ์ ทวญั

เมอื งดาหา
ปกครองโดยท้าวดาหา ซ่ึงท้าวดาหาและประไหมสหุ รี (ดาหราวาตี)
มธี ดิ าองคโ์ ตผเู้ ลอโฉมคือบษุ บา (อุณากรรณ) และสยี ะตรา (ยา่ หรัน) เปน็ โอรสคนเล็ก
ในอเิ หนา ตอน ศึกกะหมงั กุหนงิ นี้ เม่ือมศี ึกชิงตวั บุษบามาประชิดเมือง
ทา้ วดาหาไดข้ อความช่วยเหลือจากวงศเ์ ทวัญทัง้ ๓ เมอื ง
ให้มาชว่ ยรบ อิเหนาจงึ ต้องยกทัพมาช่วยทา้ วดาหา (อา)
เพราะถา้ ไมย่ กทพั มาช่วยอา ท้าวกุเรปันขู่ว่าจะตัดพ่อตดั ลูกทันที

เมืองกาหลัง

ปกครองโดยท้าวกาหลัง ทา้ วกาหลงั มีธิดาสองคน
คือสะการะหน่ึงหรัดและบุษบารากา*

ในศกึ กะหมงั กหุ นิงครง้ั น้ี ทา้ วกาหลงั ไมม่ โี อรส
จงึ ส่งตามะหงงและดะหมังซ่งึ เป็นเสนาบดตี าแหนง่ ใหญม่ าช่วยรบแทน

เมืองสิงหัดสา่ หรี

ปกครองโดยทา้ วสงิ หดั ส่าหรี ท้าวสิงหดั สา่ หรแี ละประไหมสหุ รี
มีโอรสคอื สหุ รานากง และมีธิดาคือจนิ ดาส่าหรี

ประวตั ิผ้แู ตง่ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหล้านภาลยั (รัชกาลท่ี ๒)
พระราชสมภพเม่อื ๒๔ กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๓๑๐

เสดจ็ ขึ้นครองราชย์ใน พ.ศ. ๒๓๒๕ ครองสิรริ าชสมบตั ิ
เป็นเวลา ๑๕ ปี พระองค์ทรงเปน็ ยอดกวดี า้ นการแตง่ บทละคร

ทัง้ ละครในและละครนอก มีหลายเรอ่ื งที่มีอย่เู ดมิ
และทรงนามาแต่งใหม่เพอ่ื ให้ใชใ้ นการแสดงได้
เช่น รามเกียรต์ิ อณุ รุท และอเิ หนา ไดท้ รงเลอื กเอาของเกา่
มาทรงพระราชนิพนธข์ น้ึ ใหมบ่ างตอน และยงั ทรง

พระราชนิพนธบ์ ทพากย์โขนอกี หลายชดุ

ลกั ษณะคาประพันธ์

บทละครรา เรอื่ ง อเิ หนา แต่งแบบ“บทละคร”
ลักษณะเหมอื นกลอนสุภาพ แต่วรรคสดับมักจะข้ึนต้นดว้ ยคาว่า
“เมื่อน้นั ” “บัดนั้น” และ “มาจะกลา่ วบทไป” และจานวนคาในแตล่ ะวรรค

ไมแ่ น่นอน เนือ่ งจากมกี ารปรบั เพ่อื การแสดงละคร

เมื่อน้ัน

ความเปน็ มาของเรอื่ ง

อเิ หนาเปน็ วรรณคดีจาก “ชวา” หรือ

ประเทศอนิ โดนเี ซยี ในปจั จบุ นั นทิ าน เจ้าฟ้าหญิง
อิเหนาเริ่มเขา้ มาในประเทศไทย ปันหยี กุณฑล
ตั้งแต่สมยั กรงุ ศรอี ยุธยา
เจา้ ฟา้ หญิง
พระราชธดิ าในสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศ มงกุฎ

ไดแ้ ก่ เจ้าฟา้ หญิงกุณฑล

และเจา้ ฟ้าหญิงมงกฎุ ทรงฟัง “นิทานปันหยี”

ซงึ่ นางข้าหลวงจากปตั ตานีเล่าถวาย

ความเป็นมาของเรอื่ ง

เจา้ ฟา้ หญงิ ท้งั สองจงึ นาเค้าโครงเรือ่ งมาแตง่ เปน็ บทละคร
และเมื่อเสยี กรงุ อยุธยา ต้นฉบบั บทละครเรือ่ งอิเหนา
ทัง้ สองก็หายไป ในสมยั กรุงธนบุรีก็ไม่ปรากฏหลกั ฐาน
ว่ามกี ารประพันธบ์ ทละครอเิ หนาขน้ึ ใหม่ จน
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั (ร.๒)
นามาพระราชนิพนธ์ใหมใ่ นสมัยรัตนโกสนิ ทร์

ความสัมพนั ธข์ องตัวละคร

ทา้ วกเุ รปนั ท้าวดาหา ระตูล่าสา

จนิ ตหราวาตี เมีย พ่อลกู พอ่ ลกู พนี่ อ้ ง
อดีตคหู่ มน้ั
อิเหนา บษุ บา มาสู่ขอ ระตูจรกา

เพ่ือน วหิ ยาสะกา ฆา่

สังคามาระตา พ่อลูก ทา้ ว
กะหมังกหุ นิง
ฆา่

บุษบา อิเหนา

เปน็ ธิดาของทา้ วดาหา อิเหนาหรือระเด่นมนตรี
และประไหมสหุ รดี าหราวาตี เปน็ โอรสของท้าวกเุ รปัน
แหง่ กรุงดาหา ทา้ วกุเรปนั กข็ อ และประไหมสุหรีนหิ ลาอระตา
ตนุ าหงนั ให้กบั อเิ หนา บษุ บา แห่งกรงุ กุเรปัน อเิ หนาเป็นชาย
เปน็ หญิงท่ีงามลา้ เลิศกว่านางใด รูปงามมเี สน่ห์ เจรจาอ่อนหวาน
ในแผน่ ดินชวากริ ยิ ามารยาท นิสัยเจ้าชู้ มคี วามเช่ียวชาญ
ในการใช้กริชและกระบ่ี
เรยี บรอ้ ย คารมคมคาย
เฉลยี วฉลาดทันคน เปน็ อาวุธ
ใจกวา้ งและมเี หตุผล

ทา้ วกุเรปัน กษัตรยิ ผ์ ้คู รองกรุงกุเรปนั เปน็ พระบดิ าของกะหรดั ตะปาตี

อเิ หนา และวิยะดา ท้าวกุเรปนั มนี อ้ งชายอกี ๓ องค์ ซึ่งได้เป็นกษตั ริย์
ครองเมอื งต่าง ๆ คอื ท้าวดาหา ท้าวกาหลงั และทา้ วสิงหัดส่าหรี
ท้าวกเุ รปันนนั้ ทรงหยง่ิ ทระนงในศกั ด์ศิ รขี องวงศอ์ สญั แดหวา

ทา้ วดาหา เปน็ กษตั รยิ ผ์ ้คู รองกรุงดาหา

ท้าวดาหามีโอรสและธดิ ากบั ประไหมสหุ รี ๒ องค์
คือ บษุ บาหนึง่ หรดั กบั สยี ะตรา

ทา้ วดาหาเปน็ ผมู้ ีใจยตุ ิธรรม หยง่ิ ในศักดิ์ศรี
เปน็ คนรกั ษาสจั จะ

ทา้ วกะหมังกุหนงิ ท้าวกะหมงั กหุ นิง เปน็ กษตั รยิ ์ครองเมอื งกะหมังกหุ นงิ

มโี อรสช่อื วิหยาสะกา เป็นกษัตรยิ ท์ ม่ี คี วามหย่งิ ในเกยี รติและศักดศิ์ รขี องตน
และเป็นคนทรี่ ักลูกมาก

วิหยาสะกา เป็นโอรสของทา้ วกะหมงั กหุ นิง

เป็นผมู้ คี วามเอาแต่ใจตน และลุ่มหลงในรูปรสภายนอก
เปน็ ชายหนุม่ ที่มีหน้าตาดี ใจกล้าหาญ

จรกา ผ้คู รองนครเมอื งจรกาซ่ึงเปน็ เพียงเมอื งเลก็ ๆ

รปู ร่างหน้าตาขรี้ วิ้ ขี้เหร่มาก ผมหยิกผวิ หนา้ ขรุขระ
ปากหนา จมูกใหญ่ พดู เสยี งแหบ รปู ร่างอว้ น
แตท่ ว่าอยากไดภ้ รรยาสวย

จินตะหรา เป็นธิดาของระตูหมนั หยา

รปู โฉมงดงาม มนี ิสยั เจา้ อารมณ์ เอาแต่ใจตัวเอง
แสนงอน อิเหนาได้พบนางคร้ังแรกกห็ ลงรกั
และปฏเิ สธการแต่งงานกบั บษุ บา

๕ ตำแหน่งมเหสี ๑. ประไหมสหุ รี
๓. มะโต
“อิเหนำ”
๕. เหมำหลำหงี
๒. มะเดหวี

๔. ลิกู

เนอื้ เรอ่ื ง อิเหนา ตอน ศกึ กะหมังกหุ นิง

ในแผน่ ดินชวา มีกษัตรยิ ์ผู้ยง่ิ ใหญส่ บื เชื้อสายมาจากวงศ์เทวัญ
(เทวดา) ๔ พระองค์ ไดแ้ ก่ ท้าวกุเรปนั ทา้ วดาหา ทา้ วกาหลงั และ
ทา้ วสงิ หดั สา่ หรี ทุกพระองค์ต่างเปน็ กษตั รยิ ป์ กครองนคร ๔ นคร

ตามชอ่ื ของตนเอง ท้าวกุเรปนั มโี อรสรูปงามนามว่า “อิเหนา”
ส่วนทา้ วดาหาก็มีพระธิดาคอื “บษุ บา” ผทู้ รงโฉม ตามประเพณี
ของกษตั รยิ ์วงศเ์ ทวญั ท้าวกเุ รปันและท้าวดาหาจงึ ตุนาหงัน (หมนั้

หมาย) อิเหนาและบษุ บาไวต้ ัง้ แต่เกิด

แตเ่ ม่ืออเิ หนาโตเปน็ หนมุ่ อายุ ๑๕ ปี กไ็ ปพบรกั กบั จินตะหราวาตี
ธิดาของทา้ วหมนั หยาทพ่ี บในงานพระเมรุของพระอัยยกิ า (ยาย)
อเิ หนาคลั่งไคลน้ างจินตะหราวาตีมากจนไมย่ อมกลบั บา้ นกลบั เมอื ง

รวมถึงปฎเิ สธการหมั้นหมายกบั นางบษุ บาด้วย

ทา้ วดาหาจึงโกรธมากและประกาศว่าจะยกบษุ บาใหใ้ ครกไ็ ดท้ ่มี าสู่ขอ
เมื่อระตูจรกาไดท้ ราบขา่ วจงึ ใหร้ ะตลู า่ สาพ่ีชายของตนไปสขู่ อนางบษุ บา

ทา้ วดาหากต็ ้องยกให้แมจ้ ะไมเ่ ต็มใจนักเพราะจรกาน้ันรูปช่วั ตวั ดา

แตใ่ นขณะเดียวกนั “วิหยาสะกา”
โอรสของท้าวกะหมงั กุหนิงตามกวางทอง

(องคป์ ะตาระกาหลาแปลง)
จนได้พบรูปวาดของนางบุษบา
(เปน็ ภาพทอี่ งคป์ ะตาระกาหลา
จงใจใหภ้ าพที่จรกาสั่งใหช้ ่างวาดภาพ
ไปวาดน้ัน ปลวิ มาตกในปา่ ๑ ภาพ

จากภาพท่ีวาดไว้ ๒ ภาพ)
ขณะที่วิหยาสะกาออกประพาสป่า
เมื่อเหน็ ภาพวาดของนางบุษบา
จึงหลงใหลในตวั บุษบาเปน็ อยา่ งมาก

วหิ ยาสะกาจึงไปบอกให้บดิ าของตนมาสขู่ อนางบุษบาท้าวกะหมงั กหุ นิงจึงไปสู่ขอ
นางบษุ บาจากทา้ วดาหา แตก่ ็ถกู ปฎเิ สธเนอ่ื งจากทา้ วดาหายกนางบุษบา

ให้จรกาไปแล้ว ทา้ วกะหมังกหุ นิงโกรธมากจึงยกทพั มาล้อมกรงุ ดาหาเพอ่ื ชงิ ตวั นางบษุ บา
ท้าวดาหาจึงได้ขอความช่วยเหลอื จากทา้ วกุเรปัน ทา้ วกาหลัง ทา้ วสิงหดั สา่ หรี
และจรกาใหย้ กทัพมาชว่ ยกันรบ

ท้าวกุเรปนั สง่ั ใหอ้ ิเหนามาช่วยรบท่กี รุงดาหา แตด่ ว้ ยความทอ่ี ิเหนาเคยทาให้
ท้าวดาหาโกรธเรื่องปฏิเสธการแต่งงานกับบษุ บา จนทาใหเ้ กดิ เรอ่ื งวุ่นวายขนึ้ มา

อเิ หนาจึงตดั สินใจส้รู บใหช้ นะกอ่ น แลว้ คอ่ ยเขา้ ไปเฝา้ ท้าวดาหา
เม่อื ทา้ วกะหมังกหุ นงิ ยกทพั มาใกลด้ าหาก็เกดิ การตอ่ สูก้ บั กองทัพของอิเหนา

ในทส่ี ดุ สังคามาระตาคนสนทิ ของอิเหนากส็ ังหารวหิ ยาสะกา
ส่วนอเิ หนาสังหารทา้ วกะหมังกหุ นิงตาย
ในสนามรบด้วยกรชิ เทวา

เมอื่ อเิ หนารบชนะกไ็ ดเ้ ข้าเฝ้าทา้ วดาหาและได้พบกบั นางบุษบา
อเิ หนาเมอื่ ได้พบนางบุษบากห็ ลงรักนางทันทีและรสู้ กึ เสียดายมาก
และอเิ หนากก็ ลับหลงรกั นางเสยี เอง และพยายามทาทกุ วิถีทาง

เพ่ือใหไ้ ด้นางบษุ บามาครอง

ตอน ศึกกะหมงั กหุ นงิ

คณุ คา่ ดา้ นเนอ้ื หา

๑. เปน็ เร่อื งที่แสดงใหเ้ หน็ ถึงความรักของพ่อทมี่ ตี ่อลกู
รกั และตามใจทุกอยา่ ง แมน้ กระทงั่ ตวั ตายกย็ อม

๒. ได้ความรเู้ ก่ียวกับการรบมกี ารต้ังคา่ ย การใช้อาวุธ
และการต่อสู้ของตวั ละครสาคัญ

๓. แสดงใหเ้ ห็นความเช่อื ประเพณี และพธิ ีกรรมโบราณ

คณุ ค่าด้านสงั คม

๑. ความเชอื่ เรอื่ งโชคชะตา การเชอ่ื เรื่องคาทานาย ดงั ท่ที ้าวกะหมังกหุ นิง

ให้โหรมาทานายกอ่ นจะยกทัพไปเมืองดาหา โหรก็ทานายว่า

บัดนนั้ พระโหราราชครูผ้ใู หญ่

รับรสพจนารถภวู ไนย คลตี่ ารับขับไลไ่ ปมา

เทยี บดูดวงชะตาพระทรงยศ กบั โอรสถึงฆาตชนั ษา

ทง้ั ชนั้ โชคโยคยามยาตรา พระเคราะหข์ ดั ฤกษ์พาสารพนั

จงึ ทูลวา่ ถา้ ยกวันพรุ่งน้ี จะเสียชยั ไพรีเป็นแม่นมัน่

งดอยูอ่ ย่าเสด็จสกั เจด็ วนั ถ้าพ้นนั้นกเ็ หน็ ไม่เปน็ ไร

คณุ ค่าดา้ นสงั คม

๒. การดูฤกษ์ยาม มกี ารทาพิธตี ดั ไม้ข่มนาม และยังมพี ธิ เี บิกโขลนทวาร

ซง่ึ ทาพิธตี ามตาราพราหมณ์ โดยทาเป็นประตูสะดว้ ยใบไม้ สองข้างประตู

มพี ราหมณ์นั่งประพรมนา้ มนตใ์ ห้ทหารท่เี ดินลอดประตู ทั้ง ๒ พิธีน้ี

ทาเพ่ือความเป็นสิรมิ งคล และสร้างขวญั กาลังใจให้ทหาร

พอได้ศภุ กฤกษ์กล็ ่นั ฆอ้ ง ประโคมคึกกกึ กอ้ งทอ้ งสนาม

ประโรหติ ตัดไม้ข่มนาม ทาตามตาราพิชัยยทุ ธ์

คุณคา่ ด้านวรรณศลิ ป์

๑. การสร้างจินตภาพ กวใี ชค้ าบรรยายได้ชดั เจนสามารถทาใหผ้ อู้ า่ น

คดิ ภาพตามและไดร้ บั อรรถรสในการอา่ นมากข้นึ (ภาพการเคลอื่ นไหว)

กรงุ กษตั รยิ ข์ อขึ้นก็นบั รอ้ ย เราเป็นเมอื งน้อยกระจหิ รดิ

ดงั หง่ิ หอ้ ยจะแขง่ แสงอาทิตย์ เห็นผิดระบอบบุราณมา

อิเหนา ตอนศกึ กะหมงั กหุ นงิ : พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั

คุณค่าด้านวรรณศลิ ป์

๒. การเลน่ คา การเลน่ คาพอ้ งเสียง เล่นสมั ผสั พยญั ชนะ

ว่าพลางทางชมคณานก โผนผกจับไมอ้ ึงม่ี

เบญจวรรณจับวัลย์ชาลี เหมอื นวนั พ่ไี กลสามสดุ ามา

นางนวลจับนางนวลนอน เหมอื นพแี่ นบนวลสมรจนิ ตะหรา

จากพรากจับจากจานรรจา เหมือนจากนางสการะวาตี

อเิ หนา ตอนศึกกะหมังกุหนิง : พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลัย

คุณค่าด้านวรรณศิลป์

๒. การเล่นคา การเลน่ คาพอ้ งเสยี ง เลน่ สัมผัสพยัญชนะ

แขกเต้าจับเต่ารา้ งรอ้ ง เหมอื นรา้ งห้องมาหยารศั มี
นกแก้วจบั แกว้ พาที เหมอื นแก้วพีท่ ั้งสามสง่ั ความมา
ตระเวนไพรร่อนร้องตระเวนไพร เหมอื นเวรใดให้นิราศเสน่หา
เคา้ โมงจับโมงอย่เู อกา เหมอื นพ่ีนบั โมงมาเม่ือไกลนาง
คบั แคจบั แคสันโดษเดย่ี ว เหมือนเปล่าเปลย่ี วคบั ใจในไพรกวา้ ง
ชมวหิ คนกไมไ้ ปตามทาง คะนึงนางพลางรบี โยธี

อิเหนา ตอนศกึ กะหมังกหุ นงิ : พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หล้านภาลยั

คณุ ค่าดา้ นวรรณศิลป์

๓. อุปมา เปน็ การใชโ้ วหารเปรยี บเทยี บโดยใช้คาเปรียบเทียบสิ่งหน่ึง

เหมอื นสิง่ หนึง่ ทาใหเ้ ห็นภาพได้ชัดเจนยิง่ ขน้ึ

เมอ่ื น้นั ทา้ วกะหมงั กหุ นิงเรอื งศรี

ไดฟ้ ังกร้วิ โกรธดงั อคั คี จงึ มพี จนาดถ์ตอบไป

อเิ หนา ตอนศึกกะหมังกหุ นิง : พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หล้านภาลัย

คุณค่าด้านวรรณศิลป์

๔. อติพจน์ เป็นภาพพจน์เปรยี บเทยี บเกินความจรงิ

เม่อื นัน้ ระเด่นมนตรีเรืองศรี

เหลยี วไปรับไหวเ้ ทวี ภูมดี นู างไมว่ างตา

งามจรงิ ยิ่งเทพนมิ ติ ให้คิดเสยี ดายเปน็ หนักหนา

เสโทไหลหลัง่ ท้ังกายา สะบดั ปลายเกศาเนืองไป
อเิ หนา ตอนศึกกะหมงั กหุ นิง : พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลัย

คุณค่าดา้ นวรรณศิลป์

๑. เสาวรจนี คอื การชมความงาม ชมโฉม พรา่ พรรณนาและบรรยาย
ถงึ ความงามหรอื อาจจะเป็นชมความงามของสถานท่ี สิ่งของ

หนุ่มน้อยโสภาน่าเสียดาย ควรจะนับวา่ ชายโฉมยง

ทนตแ์ ดงดั่งแสงทบั ทมิ เพริศพร้มิ เพรารบั กบั ขนง

เกศาปลายงอนงามทรง เอวองค์สารพัดไม่ขดั ตา

อเิ หนา ตอนศกึ กะหมงั กหุ นงิ : พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั

คุณคา่ ด้านวรรณศิลป์

๒. นารปี ราโมทย์ คอื การแสดงความรกั ผา่ นการเกย้ี ว

เมือ่ น้ัน พระสุริยว์ งศ์เทวัญอสัญหยา

โลมนางพลางกลา่ ววาจา จงผินมาพาทีกับพ่ีชาย

ซ่ึงสัญญาวา่ ไวก้ บั นวลน้อง จะคงครองไมตรีไม่หนีหนา่ ย

มไิ ด้แกลง้ กลอกกลับอภิปราย อย่าสงกาวา่ จะวายคลายรกั
อเิ หนา ตอนศึกกะหมงั กุหนิง : พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหล้านภาลยั

คณุ คา่ ดา้ นวรรณศิลป์

๓. พโิ รธวาทัง คือ การแสดงความโกธรแค้นผา่ นการใช้คาตดั พ้อ

ตอ่ วา่ ใหส้ าใจ ทงั้ ยังสาแดงความนอ้ ยเน้อื ต่าใจ ความผิดหวงั

เมอ่ื นั้น พระผู้ผ่านไอศูรยส์ ูงส่ง

ประกาศิตสีหนาทอาจอง จะณรงค์สงครามกต็ ามใจ

ตรสั พลางย่างเย้อื งยุรยาตร จากอาสน์แทน่ ทองผอ่ งใส

พนกั งานปดิ ม่านทนั ใด เสด็จเข้าข้างในฉับพลนั

อเิ หนา ตอนศึกกะหมังกหุ นงิ : พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลัย

คุณค่าด้านวรรณศลิ ป์

๔. สัลลาปังคพสิ ยั คือ การโอดคร่าครวญ หรือบทโศกเศร้า
วา่ พลางทางชมคณานก โผนผกจบั ไมอ้ ึงม่ี

เบญจวรรณจบั วลั ยช์ าลี เหมือนวันพ่ไี กลสามสดุ ามา

นางนวลจับนางนวลนอน เหมือนพีแ่ นบนวลสมรจนิ ตะหรา

จากพรากจบั จากจานรรจา เหมอื นจากนางสการะวาตี

อิเหนา ตอนศกึ กะหมงั กหุ นิง : พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หล้านภาลัย


Click to View FlipBook Version