การศึกษาความคงทนของสีด้วยการย้อมเส้นไหมด้วยสีธรรมชาติที่ได้จาก แก่นแกแลเพื่องานมัดหมี่ A study of color fastness by dyeing silk threads with the natural color obtained from Maclura Cochinchinensis Corner heartwood for Mudmee silk ปัณณทัต ผิวงาม ณัฐพล สุขเต็ม งานวิจัยเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ ภาควิชาเกษตรและสิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ พุทธศักราช 2563
งานวิจัยฉบับนี้เสนอต่อคณะกรรมการประจ าหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชา คหก ร รมศ า สต ร์ ภ าควิ ช าเกษต รแ ละสิ่ง แ วด ล้อม คณะ วิทย าศ าสต ร์ และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ โดย นายปัณณทัต ผิวงาม นายณัฐพล สุขเต็ม เรื่อง การศึกษาความคงทนของสีด้วยการย้อมเส้นไหมด้วยสีธรรมชาติที่ได้จาก แก่นแกแลเพื่องานมัดหมี่ RESEARCH TITLE A study of color fastness by dyeing silk threads with the natural color obtained from Maclura Cochinchinensis Corner heartwood for Mudmee silk คณะกรรมการที่ปรึกษาปัญหาพิเศษ/โครงการศึกษาเอกเทศ/งานวิจัย และคณะกรรมการ สอบได้พิจารณางานวิจัยฉบับนี้ แล้วเห็นสมควรรับเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร สาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ คณะกรรมการสอบ .................................................................อาจารย์ที่ปรึกษา (อาจารย์ศิริกุล อัมพะวะสิริ) ..................................................................ประธานกรรมการ (อาจารย์นลินทิพย์ มากเขียว) ...................................................................กรรมการ (อาจารย์รัชวรรณ จันทเขต) คณะกรรมการประจ าหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต ภาควิชาเกษตรและสิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์เห็นชอบให้รับปัญหาพิเศษ/โครงการ ศึกษาเอกเทศ/งานวิจัยฉบับนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร สาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ ............................................................................ (อาจารย์รัชวรรณ จันทเขต) ประธานหลักสูตร วันที่............เดือน................พ.ศ. .............
ค กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี้ส าเร็จลงด้วยดีเนื่องจากได้รับความกรุณาอย่างสูงที่ให้ค าแนะน าปรึกษา ตลอดจนแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ด้วยความเอาใจใส่อย่างยิ่งจากอาจารย์ศิริกุล อัมพะวะสิริ อาจารย์นลินทิพย์ มากเขียว อาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัย และอาจารย์รัชวรรณ จันทเขต อาจารย์ ประจ าวิชา ผู้วิจัยตระหนักถึงความจริงใจและความทุ่มเทของอาจารย์อย่างแท้จริงและขอกราบ ขอบพระคุณเป็น อย่างสูงมา ณ ที่นี้ ขอขอบพระคุณผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไหมและผู้เชี่ยวชาญตรวจแบบสอบถามความพึงพอใจ ขอขอบพระคุณศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าบรมราชินีนาถ จังหวัดสุรินทร์ ที่ให้ความอนุเคราะห์ในการให้ความรู้และสถานที่ในการวิจัย ขอบคุณคณะวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ที่ให้ใช้เครื่องมือในการวัดค่าสีในการวิจัย และ ขอขอบพระคุณนักศึกษาสาขาวิชา คหกรรมศาสตร์ชั้นปีที่ 1-5 คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทุกท่านที่ให้ความร่วมมือในการตอบแบบสอบถามจนท าให้งานวิจัยส าเร็จลุล่วงด้วยดี อนึ่ง ผู้วิจัยหวังว่า งานวิจัยฉบับนี้จะมีประโยชน์อยู่ไม่มากก็น้อยและขอขอบคุณความกตัญญ คุณ แด่บิดา มารดา ที่ส่งเสริมให้ผู้วิจัยได้มีโอกาสในการศึกษาเล่าเรียนจนท าให้ผู้วิจัยมีโอกาสท างาน วิจัยเล่มนี้จนส าเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ส าหรับข้อบกพร่องต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นนั้นผู้วิจัยขอน้อมรับเพียง ผู้เดียวและยินดีที่จะรับฟังค าแนะน าจากทุกท่านที่ได้เข้ามาศึกษา เพื่อประโยชน์ในการพัฒนางาน วิจัยต่อไป ปัณณทัต ผิวงาม ณัฐพล สุขเต็ม ผู้วิจัย
ง บทคัดย่อ ชื่อเรื่องปัญหาพิเศษ : การศึกษาความคงทนของสีด้วยการย้อมเส้นไหมด้วยสีธรรมชาติที่ได้ จากแก่นแกเเลเพื่องานมัดหมี่ ชื่อผู้วิจัย : นายปัณณทัต ผิวงาม ค.บ. (คหกรรมศาสตร์) : นายณัฐพล สุขเต็ม ค.บ. (คหกรรมศาสตร์) หลักสูตร : ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ ภาควิชาเกษตรและสิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ปีการศึกษา : 2563 อาจารย์ที่ปรึกษา : อาจารย์ศิริกุล อัมพะวะสิริ ค าส าคัญ : แก่นแกแล วัสดุธรรมชาติ เส้นไหม สารช่วยติดสี มัดหมี่ การศึกษาความคงทนของสีด้วยการย้อมเส้นไหมด้วยสีธรรมชาติที่ได้จากแก่นแกแล เพื่องานมัดหมี่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาค่าสีของเส้นไหมที่ย้อมด้วยสีธรรมชาติจากแก่นแกแล ศึกษาความคงทนของสีด้วยการทดสอบการตกสีของเส้นไหมด้วยสบู่มาตรฐานและศึกษาความ พึงพอใจที่มีต่อลายมัดหมี่จากการย้อมด้วยแก่นแกแล ของนักศึกษาชั้นปีที่ 1-5 สาขาวิชา คหกรรมศาสตร์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์จ านวน 90 คน โดยการย้อมด้วยสีธรรมชาติจากแก่นแกแลด้วยวิธีการสกัดสีด้วยการน ามาต้ม 60 นาที แล้วย้อมร้อน 45 นาที โดยไม่ใส่สารช่วยติดสี และใส่สารช่วยติดสีทั้งหมด 2 ชนิด ได้แก่ เกลือ สารส้ม ท าการ ทดลอง 3 ซ้ า จ านวน 3 ชิ้น ผลการศึกษาค่าสีของเส้นไหมที่ย้อมด้วยสีธรรมชาติที่ได้จากแก่นแกแล ผลค่าสีL* a* และ b* มีค่าดังนี้ ค่า L*(ความสว่าง) =73.80, 72.35, 69.82 ตามล าดับ ค่า a*(+ คือ สีแดง)= 9.41, 8.64, 7.96 ตามล าดับ ค่า b* (+ คือ สีเหลือง) = 51.81, 36.73, 33.73 ตามล าดับ ผลการศึกษา ความคงทนของสีด้วยการทดสอบการตกสีด้วยน้ าสบู่มาตรฐานผลการทดสอบการย้อมเส้นไหมด้วย สีธรรมชาติที่ได้จากแก่นแกแลเพื่อทดสอบความคงทนของสีในแต่ละสูตรนั้น ผ่านเกณฑ์ และผลการศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อลายมัดหมี่จากการย้อมด้วยแก่นแกแลของนักศึกษาสาขาวิชา คหกรรมศาสตร์ชั้นปีที่ 1-5 พบว่า มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (̅= 4.48)
จ สรุปว่าการศึกษาค่าสีของเส้นไหมที่ย้อมด้วยสีธรรมชาติที่ได้จากแก่นแกแล ศึกษาความคงทน ของสีด้วยการทดสอบการตกสีของเส้นไหมด้วยสบู่มาตรฐาน และศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อ ลายมัดหมี่จากการย้อมด้วยแก่นแกแล ท าให้คุณภาพของการย้อมเส้นไหมด้วยสีธรรมชาติที่ได้จาก แก่นแกแลเพื่องานมัดหมี่ดีขึ้น และกลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจมากที่สุดต่อลวดลายมัดหมี่ ง
ฉ Abstract Special Problems : A study of color fastness by dyeing silk threads with the natural color obtained from Maclura Cochinchinensis Corner heartwood for Mudmee silk Researcher : Mr. Phannathat Piwngam B.Ed. (Home Economics) : Mr. Natthaphon Suktem B.Ed. (Home Economics) Curriculum : Bachelor of Education in Home Economics, Agriculture and Environment Program, Faculty of Science and Technology Surindra Rajabhat University Academic Year : 2020 Advisor : Miss Sirikoon Ampawasiri Keyword : Maclura Cochinchinensis Corner heartwood, Natural material, threads, mordants, Mudmee A study of color fastness by dyeing silk threads with the natural color which obtained from Maclura Cochinchinensis Corner heartwood for Mudmee silk aimed to study the color value of the silk threads dyed with the natural color from Maclura Cochinchinensis Corner heartwood, to study color fastness by testing discoloration of the silk threads with standard soap, and to study the satisfaction to Mudmee silk dyed with Maclura Cochinchinensis Corner heartwood of 1 st - 5 th year students in Home Economics, Faculty of Science and Technology, Surindra Rajabhat University total 90 students. The methodology of the research was to dye the natural color from Maclura Cochinchinensis Corner heartwood with extraction by boiling it about 60 minutes. Then dyed with heat about 45 minutes without mordants, and put two types of mordants such as chloride and alum totally 3 times per 3 pieces. The results of the study were found that L* a* and b* were as follows: L* (brightness) = 73.80, 72.35, and 69.82, respectively. a* (+ was red color) = 9.41, 8.64, จ
ช and 7.96, respectively. b* (+ was yellow color) = 51.81, 36.73, and 33.73, respectively. The results of color fastness by testing discoloration with standard soap, dyeing silk threads with the natural color which obtained from Maclura Cochinchinensis Corner heartwood for testing color fastness in each formula were passed the criteria. And the results of satisfaction of Mudmee silk from dyeing Maclura Cochinchinensis Corner heartwood of 1 st - 5 th year students in Home Economics were found that they had the satisfaction at the highest level (̅= 4.48). It concluded that the study of the color values of the silk threads dyed with natural color obtained from Maclura Cochinchinensis Corner heartwood, color fastness by testing discoloration of the silk threads with standard soap, and the satisfaction to Mudmee silk dyed with Maclura Cochinchinensis Corner heartwood improved the quality of dyeing silk threads with natural color obtained from Maclura Cochinchinensis Corner heartwood for Mudmee silk, and the satisfaction of the sample group was at the highest level. จ
ฉ สารบัญ หน้า กิตติกรรมประกาศ ค บทคัดย่อ ง บทคัดย่อภาษาอังกฤษ จ สารบัญ ฉ สารบัญตาราง ช สารบัญรูปภาพ ซ บทที่ 1 บทน า 1.1 ความเป็นมาและความส าคัญ 1 1.2 วัตถุประสงค์ 2 1.3 สมมติฐานการวิจัย 2 1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 2 1.5 ขอบเขตการศึกษา 2 1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ 3 บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง 2.1 ไหม 5 2.2 แก่นแกแล 6 2.3 สีจากธรรมชาติและกรรมวิธีการย้อมเส้นไหม 8 2.4 สารช่วยติดสี 10 2.5 การทดสอบการตกสีด้วยน าสบู่มาตรฐาน 13 2.6 ค่าสี L* a* b* 17 2.7 การมัดหมี่ 18 2.8 รูปเรขาคณิต 20 2.9 ความพึงพอใจ 20 2.10 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 24
ฉ สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 3 วิธีการด าเนินการวิจัย 3.1 ไหมทดลอง 26 3.2 วัสดุสีย้อม 26 3.3 วิธีการสกัดสีย้อมและการย้อมไหม 27 3.4 การทดสอบการตกสีของเส้นไหมด้วยน าสบู่มาตรฐาน 29 3.5 การวัดค่าเฉดสี เปรียบเทียบสี (Spectro Photometer & Colorimeter) 30 3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล 30 3.7 ออกแบบลายมัดหมี่ 30 3.8 การมัดหมี่ 36 3.9 การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ 36 3.10 การเก็บรวบรวมข้อมูล 37 3.11 สถิติที่ใช้ในการวิจัย 37 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.1 ผลของการศึกษาค่าสีของเส้นไหมที่ย้อมด้วยสีธรรมชาติที่ได้จากแก่นแกแล 38 4.2 ผลของการศึกษาความคงทนของสีด้วยการทดสอบการตกสีของเส้นไหมด้วยน ้า สบู่มาตรฐาน 39 4.3 ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญต่อลวดลายของมัดหมี่ 39 4.4 ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญต่อสูตรการย้อมมัดหมี่ 41 4.5 ข้อมูลพื นฐาน 43 4.6 ผลศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อลายมัดหมี่จากการย้อมด้วยแก่นแกแล 44 ของนักศึกษาสาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
ฉ สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายการวิจัย และข้อเสนอแนะ 5.1 สรุปผลการวิจัย 50 5.2 อภิปรายผล 52 5.3 ข้อเสนอแนะ 54 บรรณานุกรม 56 ภาคผนวก ก การด าเนินการวิจัย ภาคผนวก ข ผลของการศึกษาค่าสีของเส้นไหมที่ย้อมด้วยสีธรรมชาติที่ได้จากแก่นแกแล ภาคผนวก ค ผลความคงทนของสีด้วยการทดสอบการตกสีของเส้นไหมด้วยน าสบู่มาตรฐาน ภาคผนวก ง ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญต่อลวดลายของมัดหมี่และสูตรการย้อมมัดหมี่ ภาคผนวก จ แบบประเมินแบบสอบถามความพึงพอใจทีมีต่อลวดลายมัดหมี่ ประวัติผู้จัดท า
ช สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า ตารางที่ 1 แสดงเกณฑ์การทดสอบการตกสีของผ้าไหมด้วยสบู่มาตรฐาน 15 (ตรานกยูงพระราชทาน) ตารางที่ 2 แสดงเกณฑ์การทดสอบการตกสีของผ้าไหมด้วยสบู่มาตรฐาน 16 โดยการซัก (ตรานกยูงพระราชทาน) ตารางที่ 3 แสดงเกณฑ์การทดสอบการตกสีของผ้าไหมด้วยสบู่มาตรฐาน 16 โดยการใช้ส าลีชุบเช็ด (ตรานกยูงพระราชทาน) ตารางที่ 3.3 ตารางการทดลองการย้อมไหมด้วยสีดุธรรมชาติที่ได้จากแก่นแกแล 29 โดยวิธีการสกัดร้อนด้วยการน ามาต้ม 60 นาที แล้วย้อมร้อน 45 นาที ตารางที่ 4.1.1 ผลของการศึกษาค่าสี L*a* และ b* ของไหมที่ย้อมด้วยสีธรรมชาติที่ได้ 38 จากแก่นแกแล โดยวิธีการสกัดสีด้วยการน ามาต้ม 60 นาที แล้วย้อมร้อน 45 นาที ตารางที่ 4.2.1 ตารางแสดงผลการศึกษาความคงทนของสีด้วยการทดสอบการตกสี 39 ของเส้นไหมด้วยน าสบู่มาตรฐาน ตารางที่ 4.3.1 แสดงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ เรื่อง ลวดลายมัดหมี่ 40 ตารางที่ 4.4.1 แสดงความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ เรื่อง สูตรการย้อมมัดหมี่ 42 ตารางที่ 4.5.1 แสดงข้อมูลพื นฐานของรูปแบบสอบถาม 43 ตารางที่ 4.6.1 แสดงระดับความพึงพอใจที่มีต่อลวดลายมัดหมี่ 44
ซ สารบัญรูปภาพ ภาพที่ หน้า ภาพที่ 2.2 แก่นแกแล 7 ภาพที่ 2.6 รูปไดอะแกรมสัมประสิทธิ์สี a*,b* 17 ภาพที่ 3.3.1.1 แสดงแผนการทดลองซ ้าที่ 1 28 ภาพที่ 3.3.1.2 แสดงแผนการทดลองซ ้าที่ 2 28 ภาพที่ 3.3.1.3 แสดงแผนการทดลองซ ้าที่ 3 28 ภาพที่ 3.7.1 แสดงภาพร่างการออกแบบลวดลายมัดหมี่ลายที่ 1 31 ภาพที่ 3.7.2 แสดงภาพร่างการออกแบบลวดลายมัดหมี่ลายที่ 2 32 ภาพที่ 3.7.3 แสดงภาพร่างการออกแบบลวดลายมัดหมี่ลายที่ 3 33 ภาพที่ 3.7.4 แสดงภาพร่างการออกแบบลวดลายมัดหมี่ลายที่ 4 34 ภาพที่ 3.7.5 แสดงภาพร่างการออกแบบลวดลายมัดหมี่ลายที่ 5 35 ภาพที่ 4.3.1 แสดงภาพร่างลวดลายมัดหมี่ลายที่ 1 41 ภาพที่ 1 แสดงการชั่งแก่นแกแล 126 กรัม 59 ภาพที่ 2 แสดงการสกัดสีแก่นแกแลด้วยการน้ามาต้ม 60 นาที 59 ภาพที่ 3 แสดงการกรองน ้าย้อมด้วยผ้าข้าวบาง 60 ภาพที่ 4 แสดงการน้าไหมไปแช่น ้าสะอาดก่อนย้อม 60 ภาพที่ 5 แสดงการทดลองตามแผนการทดลอง CRD 61 (Completely Randomized Design) ภาพที่ 6 แสดงการล้างเส้นไหมด้วยน ้าสะอาด 62 ภาพที่ 7 แสดงการทดสอบค่าสีด้วยเครื่อง color meter 66 ภาพที่ 8 แสดงการมัดหมี่ตามลวดลายที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการท้าผ้าไหมได้ให้ 66 ความยอมรับมากที่สุด ภาพที่ 9 แสดงการชั่งแก่นแกแล 700 กรัม 67 ภาพที่ 10 แสดงสกัดสีแก่นแกแลด้วยการน้ามาต้ม 60 นาที 67 ภาพที่ 11 แสดงการน้ามัดหมี่ไปแช่น ้าสะอาดก่อนย้อม 68 ภาพที่ 12 แสดงการย้อมมัดหมี่เป็นเวลา 45 นาที 68 ภาพที่ 13 แสดงการขยี มัดหมี่ เพื่อให้สีซึมเข้าไปในมัดหมี่ 69 ภาพที่ 14 แสดงการการใช้ขวดทุบมัดหมี่ เพื่อให้สีซึมเข้าไปในมัดหมี่ 69 ภาพที่ 15 แสดงการล้างมัดหมี่ด้วยน ้าสะอาด 70
ซ สารบัญรูปภาพ (ต่อ) ภาพที่ หน้า ภาพที่ 15 แสดงการตากมัดหมี่ในที่ร่ม 70
1 บทที่ 1 บทน ำ 1.1 ควำมเป็นมำและควำมส ำคัญ จากภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างหลากหลาย มีการขยายตัวและเพิ่มขึ้นเป็นจ านวนมาก อุตสาหกรรมสิ่งทอเป็นอุตสาหกรรมจ านวนหนึ่งทีมีจ านวนเพิ่ม มากขึ้น สิ่งส าคัญที่จะเกิดขึ้นซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสภาพสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศโดยรอบๆ อุตสาหกรรมสิ่งทอในปัจจุบันได้มีการแข่งขันสูง เนื่องจากอุตสาหกรรมสิ่งทอนั้นในหลายๆประเทศมีการ ผลิตสิ่งทอในรูปแบบเดียวกันเป็นจ านวนมาก จึงท าให้เกิดการแข่งขันกันเป็นจ านวนมากในด้านต่างๆ เส้น ใยจากการทอเป็นผืนผ้าเป็นปัจจัยที่เพิ่มความสนใจและความสวยงามเป็นอันดับแรกก็คือการย้อมสี การ ย้อมสีไหมเป็นการตกแต่งสิ่งทอที่ช่วยเพิ่มความสวยความงามเมื่อน าไปตัดเย็บกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ สีย้อมผ้า ที่ผลิตในอุตสาหกรรมส่วนใหญ่เป็นสีสังเคราะห์จากสารเคมี ดังนั้นสีประเภทนี้จึงมีผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อม ในปัจจุบันสีในการย้อมผ้ายังคงมาจากสีที่ได้มาจากธรรมชาติซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตราย และเป็น เครื่องอุปโภคที่ต้องใช้ในชีวิตประจ าวัน ซึ่งคนในสมัยโบราณมีวิธีได้สีมาหลากหลายวิธี สีย้อมธรรมชาติ สามารถผลิตได้โดยการน าวัตถุดิบที่มีอยู่ในท้องถิ่นตามธรรมชาติ เช่น พืช แร่ธาตุมาใช้ในการผลิต หลาย ประเทศทั่วโลก ส่งเสริมการด ารงชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้สีย้อมจากธรรมชาติ ซึ่งกลับมา มีความนิยมในการใช้ผ้าหรือผลิตภัณฑ์ จากสีธรรมชาติ ได้เริ่มกลับมานิยมมากขึ้น เนื่องจากส่งผลดีต่อ สุขภาพและสิ่งแวดล้อม ผ้าที่ย้อม สีธรรมชาติ มีสีนุ่มนวล สีไม่ฉูดฉาดเป็นที่ต้องการของตลาดใน ต่างประเทศอย่างยิ่ง (กรมส่งเสริมการส่งออก. 2546: 15) ผู้ทอผ้าไหมหลายรายจึงได้หันมามอง สีธรรมชาติที่ได้จากพืชพรรณต่างๆ อันเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิม ชาวสุรินทร์เชื่อสายเขมรยังใช้สีธรรมชาติเป็น แม่สีในการย้อมผ้าโฮล (ผ้ามัดหมี่ของชาวสุรินทร์) เป็นภูมิเป็นท้องถิ่นที่ทรงคุณค่าและควรอนุรักษ์สืบสาน ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงเกิดความสนใจที่จะศึกษาการย้อมเส้นไหมด้วยสีธรรมชาติที่ได้จากแก่นแกแล เพื่อน าไปท าการมัดหมี่ ทั้งนี้เป็นแนวทางหนึ่งในการอนุรักษ์พัฒนาและฟื้นฟูการใช้สีธรรมชาติและยังเป็น ส่วนหนึ่งในการพัฒนาการย้อมสีเส้นไหมให้มีความโดดเด่นสู่ตลาดสินค้าที่มีบทบาทส าคัญต่อระบบ
2 เศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคต ดังนั้นจึงได้เลือกแก่นแกแลในการน ามาย้อมไหม เพราะเป็นพืชที่ นิยมมา ย้อมผ้าและเป็นแม่สีจากสีธรรมชาติที่ชาวสุรินทร์น ามาย้อมผ้าโฮล (ผ้าหมัดหมี่ของชาวสุรินทร์) สีที่ได้จะสีเป็นธรรมชาติเป็นสีเหลือง เหลืองขี้ม้า เป็นสีธรรมชาติหาได้ง่ายไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ และสิ่งแวดล้อม ลักษณะสีเป็นสีธรรมชาติไม่ฉูดฉาด 1.2 วัตถุประสงค์ 1. ศึกษาค่าสีของเส้นไหมที่ย้อมด้วยสีธรรมชาติที่ได้จากแก่นแกแล 2. ศึกษาความคงทนของสีด้วยการทดสอบการตกสีของเส้นไหมด้วยน้ าสบู่มาตรฐาน 3. ศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อลายมัดหมี่จากการย้อมด้วยแก่นแกแล ของนักศึกษาสาขาวิชา คหกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ 1.3 สมมติฐำนกำรวิจัย แก่นแกแลเมื่อน ามาย้อมโดยใช้สารช่วยติดสีที่แตกต่างกัน จะให้ค่าสีความคงทนของสี และความพึงพอใจที่มีต่อลายมัดหมี่ที่แตกต่างกัน 1.4 ประโยชน์ที่คำดว่ำจะได้รับ 1. ทราบค่าสีของเส้นไหมที่ย้อมด้วยสีธรรมชาติที่ได้จากแก่นแกแล 2. ทราบความคงทนของสีด้วยการทดสอบการตกสีของเส้นไหมด้วยสบู่มาตรฐาน 3. ทราบลายมัดหมี่ที่กลุ่มตัวอย่างชื่นชอบมากที่สุด เพื่อเป็นแนวทางน าไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ 1.5 ขอบเขตกำรศึกษำ 1. เส้นไหมที่ใช้ในการทดลองใช้เฉพาะเส้นไหมจุล เบอร์ 6 ผ่านการฟอกขาวแล้ว 2. วัสดุย้อมที่ใช้ในการทดลองที่ใช้ส่วนแก่นของแกแล 3. สารช่วยติดสี ได้แก่ เกลือ สารส้ม
3 4. กรรมวิธีในการย้อม คือ การย้อมร้อน 5. ตัวแปร ตัวแปรอิสระ คือ ลวดลายของมัดหมี่ ชนิดของสารช่วยติดสีในการย้อมเส้นไหมด้วย แก่นแกแล ตัวแปรตำม คือ ค่าสีของเส้นไหมที่ได้จากการย้อมในแต่ละสูตร ความคงทนของเส้นไหมที่ได้ จากการย้อมในแต่ละสูตร ความพึงพอใจที่มีต่อลายมัดหมี่ ตัวแปรควบคุม คือ ร ะยะเ วล าในก ารย้อมร้อน ส ารช่วยติดสี ป ริม าณสัดส่วน ร้อยละของวัตถุดิบ เส้นไหมจุล แก่นแกแล ขอบเขตกำรวิจัยด้ำนประชำกร 1. ผู้เชี่ยวชาญที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไหม จ านวน 5 ท่าน ส าหรับ เลือกลายมัดหมี่ และสูตรการย้อมมัดหมี่ ถ้าสูตรย้อมเส้นไหมมีคุณภาพทุกสูตรจะให้ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้า ไหมเลือกสูตรการย้อมเส้นไหมโดยเลือกจากสีที่ปรากฏ 2. ผู้เชี่ยวชาญตอบแบบสอบถามความพึงพอใจลายมัดหมี่ จ านวน 3 ท่าน 3. ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1- 5 สาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ จ านวน 116 คน ที่ลงทะเบียนเรียน ในปีการศึกษา 2/2563 4. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในวิจัยครั้งนี้คือ นักศึกษาชั้นปี 1 - 5 สาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ซึ่งได้มาจากการเทียบตาราง Taro yamane จ านวน 90 คน 1.6 นิยำมศัพท์เฉพำะ ภูมิปัญญำท้องถิ่น หมายถึง ความรู้พื้นบ้านที่ได้รับการเรียนรู้ ถ่ายทอดสืบต่อกันจากคนรุ่นหนึ่ง มาสู่อีกรุ่นหนึ่ง สีธรรมชำติหมายถึง สีที่ได้จากการน าส่วนต่าง ๆ ของพืชที่ให้สีได้ เช่น ราก แก่น เปลือก ต้น ผล ดอก เมล็ด ใบ หรือส่วนต่าง ๆของสัตว์ หรือวัสดุที่มีอยู่ในธรรมชาติ เช่น ดิน หิน แร่มาสกัดสี
4 แก่นแกแล หมายถึง เป็นพันธุ์ไม้ป่าที่พบได้ทั่วไปในป่าดงดิบ และป่าเบญจพรรณ โดยพบมากใน ป่าเบญจพรรณของทุกภาคในประเทศไทย แต่จะพบมากในภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคใต้ ซึ่งเป็นไม้ป่า ที่นิยมน าแก่นมาต้มย้อมผ้าที่ให้สีธรรมชาติเป็นสีเหลือง เหลืองขี้ม้า กำรต้ม หมายถึง การเอาของเหลว เช่น น้ า ใส่ในภาชนะแล้วท าให้ร้อน ให้เดือด ดังนั้นค าว่า ต้ม เป็นการน าภาชนะ พร้อมกับน้ า น าไปตั้งไฟให้เดือด กำรสับ หมายถึง การเอาของมีคม เช่น มีดหรือขวานฟันลงไปโดยแรงหรือซอยถี่ๆ ค้นหมี่ หมายถึง การนับจ านวนเส้นด้ายพุ่งตามลวดลายที่ได้ออกแบบไว้ทั้งผืนเพื่อเรียมมัดลาย และย้อมสี
5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาความคงทนของสีด้วยการย้อมเส้นไหมด้วยสีธรรมชาติที่ได้จากแก่นแกแลเพื่อ งานมัดหมี่ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นพื้นฐานแนวทางการวิจัย โดยมีประเด็นการน าเสนอ ดังนี้ 2.1 ไหม 2.2 แก่นแกแล 2.3 สีจากธรรมชาติและกรรมวิธีการย้อมเส้นไหม 2.4 สารช่วยติดสี 2.5 การทดสอบการตกสีด้วยน ้าสบู่มาตรฐาน 2.6 ค่าสีL* a* b* 2.7 การมัดหมี่ 2.8 รูปเรขาคณิต 2.9 ความพึงพอใจ 2.10 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 ไหม จากการศึกษาเอกสารทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับไหมพบว่า ไหม เป็นเส้นใยโปรตีนธรรมชาติ มีสารโปรตีนที่เรียกว่า Fibroin และมีโปรตีนที่เรียกว่า เซริซิน (Sericen) มีลักษณะเหนียวเหมือนกาว ช่วยยึดให้เส้นใยสองเส้นติดกัน โปรตีนของเส้นใยไหม ประกอบด้วยกรออะมิดนเกาะเข้าด้วยกันเป็นโซ่ยาว เรียกว่า โพลิเปปไทด์ (Polypeptide chain) สาร (Fibroin) แตกต่างจากสารเคราติน (Keratin) ซึ่งเป็น โปรตีนในขนสัตว์ คือไม่มีตัวยึดที่เรียกว่า Cysine หรือ Sulphur เช่นในใยขนสัตว์ โปรตีนของเส้นใยไหม ประกอบด้วย กรดอะมิโน ประมาณ 15 ชนิด ส่วนใหญ่เป็นกรดอะมิโนเดียว เช่น Glycin,Alanine,Serine เป็นต้น โมเลกุลของเส้นใยไหมเรียงตัวกันเป็นระเบียบดีมาก ท าให้เส้นใยมีความเหนียวแข็งแรงทนทาน
6 2.1.1 สมบัติทางเคมีของเส้นใยไหม 2.1.1.1 การฟอกขาว คือ ไม่ควรใช้สารฟอกขาวชนิดที่มีคลอรีนเป็นส่วนประกอบกับเป็นใยไหม เพราะจะท าให้เส้นใยลดค่าความเหนียวและความแข็งแรง ควรใช้สารฟอกขาวที่ไม่รุนแรงมากนัก เช่น ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ 2.1.1.2 เมื่อเปียกเหงื่อจะเห็นรอยเปียกได้ง่าย และเมื่อเหงื่อแห้งจะเห็นรอยคราบเหงื่อได้ง่าย 2.1.1.3 การย้อมสี คือ ย้อมได้ทั้งสีธรรมชาติและสีเคมี 2.1.1.4 แสงแดดและความร้อนสูง จะท าให้เส้นใยลดความเหนียวลง สาเหตุจากโปรตีนสลายตัว เร็วขึ้น 2.1.2 ประโยชน์ของเส้นใยไหมทางด้านสิ่งทอ เส้นใยไหมเป็นสิ่งทอที่ล้ าค่ามากกว่าสิ่งทออื่น ๆ จนได้รับสมญานามว่า “ราชินีแห่งเส้นใย” แม้เส้นใยไหมจะมีข้อเสียคือ มีความยืดหยุ่นได้น้อย เกิดการยับง่าย และซักรีดยาก แต่ข้อเสียดังกล่าวก็ได้ จัดการหรือท าให้เกิดปัญหาน้อยลง โดยการน าสารเคมีมาใช้ในกระบวนการผลิตผ้าเพื่อให้ผ้าไหมซักรีดง่าย ขึ้น ลดการยับและลดคราบเหลืองของผ้าลงได้ นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงเส้นไหมดิบ ให้มีคุณสมบัติด้าน ความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยการน าเส้นใยมาติดเกลียวในทิศทางที่กลับกันและมีความแน่นมากขึ้น และ เลือกใช้เส้นใยขนาดใหญ่ ท าให้เส้นใยไหมมีคุณสมบัติทางด้านเคมีและทางด้านกายภาพที่ดีมากขึ้น ก าจัด ข้อเสียต่าง ๆ ออกได้ ด้วยความที่เป็นเส้นใยซึ่งได้มาจากสัตว์เส้นใยไหมจึงได้เปรียบเหนือเส้นใยอื่น เส้นใย ไหมมีคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมส าหรับระบายความร้อนเส้นใยไหมจึงดูดซับความร้อน ท าให้ร่างกายสบาย และ เส้นใยไหมดูดซับน้ า มีการระบายความชื้นที่ดี เส้นใยไหมมีการดูดซับน้ าได้ดีกว่าฝ่ายซ้ายถึง 1.5 เท่า ระบายความชื้นออกได้เร็วกว่า 50% และยังสามารถดูดซับความร้อนไว้ที่ผิวผ้าได้สูงกว่าด้วยเหตุผล ดังกล่าว ประเทศญี่ปุ่น เกาหลี และจีน ที่มีอากาศหนาวและร้อนในรอบหนึ่งปี จึงพัฒนาชุดชั้นในที่ท าด้วย เส้นใยไหม ดึงดูดความสนใจได้มากกว่าใยสังเคราะห์อื่น ๆ และนอกจากจะใช้ผ้าไหมเป็นเครื่องนุ่งห่มแล้ว ยังใช้เป็นเคหะสิ่งทอ อาทิ ผ้าม่านและผ้าหุ้มชุดเฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ 2.2 แก่นแกแล จากการศึกษาเอกสารทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับแก่นแกแลพบว่าแก่นแกแล เป็นพันธุ์ไม้ป่าที่พบได้ ทั่วไปในป่าดงดิบ และป่าเบญจพรรณ โดยพบมากในป่าเบญจพรรณของทุกภาคในประเทศไทย แต่จะพบ มากในภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคใต้ ซึ่งเป็นไม้ป่าที่นิยมน าแก่นมาต้มย้อมผ้าที่ให้สีธรรมชาติเป็น
7 สีเหลือง เหลืองขี้ม้า ขึ้นอยู่กับอายุของแก่น นอกจากนั้น แก่นยังนิยมน ามาใช้เป็นยาสมุนไพรในการรักษา และบรรเทาโรคต่างๆ อาทิ ช่วยในการอยู่ไฟของสตรีหลังคลอดบุตร ช่วยบ ารุงเลือด ช่วยในการักษาแผล ลดอาการอักเสบของแผล เป็นต้น จากการศึกษาแก่นแกแล แกแล (เข) ชื่อวิทยาศาสตร์Maclura cochinchinensis Corner ชื่อวงศ์ MORACEAE ชื่อท้องถิ่น แกก้อง แกแล สักขี เหลือง แกล แหร เข ช้างงาต้อก น้ าเคี่ยโซ่ หนามเข กะเลอะเซอะ มีลักษณะเป็น ไม้พุ่มรอเลื้อย ชอบขึ้นตามชายน้ า ตามเถามีหนามตลอดเถา เนื้อไม้สี ค่อนข้างขาว มียางขาว แก่นเป็นสีเหลือง ใบเดี่ยวเรียงสลับ เวียนรอบกิ่งรูปวงรี กว้าง 1-3.5 เซนติเมตร ยาว 2-9 เซนติเมตร มีหนามแหลมออกตรงซอกใบ 1 อัน ยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ดอกช่อ ออกที่ซอก ใบ แยกเพศ อยู่คนละต้น รูปกลม ผล เป็นผลรวม มีเกิดตามป่าโปร่งทางภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคใต้ ใช้แก่นซึ่งให้สีเป็นสีเหลืองสดเหมาะแก่การย้อมไหมเป็นสีเหลือง ภาพที่ 2.2 แก่นแกแล (ที่มา : http://www.esanpedia.oar.ubu.ac.th)
8 เทคนิควิธีการย้อมสี: การย้อมสีเหลืองจากแก่นแกแล ใช้ส่วนของแก่นแกแลควรเลือกแก่น จากต้นที่มีอายุมากพอควร ย้อมผ้าจะได้สีเหลือง ซึ่งจะมีสารสีเหลืองชื่อ Morin อยู่ประมาณ 1% ให้น าเอาแก่นแกแลมาตากให้แห้งแล้วผ่าให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่หม้อต้มเดือด จนน้ าต้มสีเป็นสีเหลืองจึงยกลง และน าเอาไปกรองเก็บน้ าสีไว้ เอาแกแลที่กรองไว้ไปต้มน้ าให้เดือดต่อไปจนได้น้ าสีจากแกแล ซึ่งสีอ่อนกว่า หม้อแรก เก็บน้ าสีไว้ท าแบบเดียวกัน จนได้น้ าสีครบ 3 หม้อ จะได้น้ าสีอ่อนสุดถึงแก่สุด น าเอาเส้นใยที่ เตรียมไว้ลงย้อมในน้ าสีหม้อที่ 3 ซึ่งเป็นสีอ่อนสุดยกเส้นใยกลับไปกลับมาเพื่อให้น้ าสีเข้าไปในเนื้อฝ้ายได้ ทั่วถึงไม่ด่าง ทิ้งไว้สักพักจึงยกเส้นใยขึ้นบิดพอหมาด น าไปย้อมในหม้อที่ 2 และหม้อที่ 1 ท าแบบเดียวกัน จนย้อมได้ครบ 3 หม้อ น าเส้นใยขึ้นซักน้ าสะอาดจนสีไม่ตก เอาเข้ารางผึ่งให้แห้ง สารช่วยย้อม คือ สารส้ม ให้ท าการบดละเอียดก่อนใช้ 2.3 สีจากธรรมชาติกรรมวิธีการย้อมเส้นไหม 2.3.1 สีธรรมชาติ สีมีบทบาทและเกี่ยวข้องกับการด ารงชีวิตของมนุษย์มายาวนาน สีและการใช้ประโยชน์จากสาร สีที่ได้จากพืชเป็นทีรู้จักมาตั้งแต่สมัยโบราณ ความรู้เกี่ยวกับสารสีและการใช้ประโยชน์ ทั้งนี้คนโบราณยัง ได้สีย้อมธรรมชาติจากสัตว์และแร่ธาตุ แหล่งสีดังกล่าวเป็นสีธรรมชาติที่ใช้กันมายาวนาน แต่ไม่ได้ใช้ใน การย้อมในอุตสาหกรรมและยังคงมีการใช้ในแถบตะวันออกใช้ย้อมพรม (ศรัณยา.2554) งานฝีมือท้องถิ่น หลายพื้นที่ของโลก ส าหรับพืชที่ใช้ให้สีธรรมชาตินั้นมีมากมายนับร้อยชนิด บางชนิดให้สีจากเปลือก ราก ใบ ดอก แก่นและผล นอกจากนี้ยังได้จากผัก ทั้งนี้แล้วแต่ชนิดของไม้ ศิริ.(2547) ได้รวบรวมพืชที่ให้สีธรรมชาติ โดยสามารถให้สีจากเปลือก ราก ใบ ดอก แก่นและผล ไว้มีดังนี้ 1) สีแดงได้จาก รากยอป่า มะไฟ เปลือกที่หุ้มเมล็ดค าแสด แก่นฝาง เปลือกสมอ ไม้ เหมือด เม็ดสะตีใบสัก เปลือกสะเดา เปลือกรากยอบ้าน ดอกมะลิวัลย์ แกนมะกล่ าต้น แก่นประดู่ เปลือก ส้มเสี้ยว เนื้อหุ้มเมล็ดพุดซ้อนและครั่ง 2) สีเหลืองได้จาก หัวขมิ้นชัน ขมิ้นอ้อย แก่นไม้พุด ดอกกรรณิการ์ รากฝาง ใบมะขาม ผลดิบมะตูม ใบหรือเปลือกมะขามป้อม เปลือกของผลมังคุด แก่นของรากยอบ้าน ดอกผกากรอง เปลือก มะพูด(ปะโหด) แก่นแข(แขแล) ใบเสนียด แก่นแค แก่นฝรั่ง แก่นสุพรรณิการ์ แก่นต้นปีบ หัวไพล ต้นมหากาฬ ใบขี้เหล็ก แก่นขนุน ต้นสะตือและใบเทียนกิ่ง
9 3) สีน้ าตาลได้จาก เปลือกไม้โกงกาง เปลือกสีเสียด เปลือกพะยอม เปลือกผลของทับทิม เปลือกคาง เปลือกโปร่งขาว เปลือกสนทะเล เปลือกแสมด า เปลือกนนทรี เปลือกฝาดแดง เปลืองมะหาด เปลืองเคี่ยม เปลือกติ้วขน เปลือกและผลอาราง เปลือกและผลโกแก่นคูณ แก่นทองหลาง และเปลือก มะพร้าวแก่ 4) สีน้ าเงินได้จาก ดอกอัญชัน ลูกหว้า ดอกกระเจี๊ยบแดง ดอกเข็ม รากพิลังกาสา ต้นและใบคราม เถาและใบเถาคัน และแก่นล าดวน สีเขียวได้จาก ใบหูกวาง เปลือกเอกา เปลือกต้นมะรด ต้น เปลือกสมอ เปลือกกระหูด ใบเปลี่ยนเปลือกสมอพิเภก ใบตะขบและเปลือกเพกา 5) สีด าได้จาก ผลสมอพิเภก ผลมะเกลืออ่อน(มะเกิ้ม) เปลือกรกฟ้า(คลี้) ผลตักเต่า (มะเมียง) ผลคนทา ผลมะยมป่า ใบหูกวางและเปลือกมะขามเทศ 2.3.2 กรรมวิธีในการย้อมสีธรรมชาติ สีธรรมชาติมีความแตกต่างของสีทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศ ชนิดของพันธุ์ อายุและ สิ่งแวดล้อมของพืช สีธรรมชาติเป็นสีที่สามารถละลายได้ในน้ าและมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถติดใยได้ด้วย ตนเอง โดยไม่ต้องใช้สารอื่นช่วยในการย้อม เพียงแต่น าสีผสมน้ าก็สามารถย้อมได้ เมื่อน ามาย้อมผ้าจะเข้า ไปแทรกในช่องว่างของเส้นใยและเชื่อมโยงกับโมเลกุลของเส้นใย โดยไม่ท าให้คุณสมบัติทางเคมีของเส้นใย เปลี่ยนไป แต่ท าให้สีเส้นใยจะมองเห็นเส้นใยสีต่างกัน ซึ่งมีลักษณะคล้ายสีสังเคราะห์ชนิดหนึ่ง คือไดเร็ก เป็นสีที่ติดง่ายและหลุดง่ายเช่นเดียวกัน ความคงทนต่ าเป็นสีที่ไม่สดใส สีธรรมชาติการย้อมควรย้อมที่ อุณหภูมิห้องแต่จะติดสีดีที่อุณหภูมิสูงประมาณ 80-100 องศาเซลเซียส ระว่างการย้อมต้องหมั่นคนเพราะ สีธรรมชาติตกตะกอนง่าย แต่สีธรรมชาติจะมีคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่ง คือสามารถกระจายตัวได้ดีนอกจากนี้ สีธรรมชาติอาจจะอยู่ในรูปของสีที่ไม่ละลายน้ าซึ่งต้องเปลี่ยนเป็นสีที่ละลายน้ าและสามารถย้อมสีสิ่งทอได้ เช่น สีจากต้นคราม เป็นต้น(ศรัณยา.2554) 2.3.2.1 การย้อมด้วยสีธรรมชาติมีกรรมวิธีการย้อม 1) แบบโดยตรง (direct dye) สีที่ใช้ย้อมเกิดพันธะเคมีกับเส้นด้ายโดยตรง ใยเซลลูโลสจะมี หมู่ไฮดรอกซิลมาก สามารถเกิดพันธะไฮโดรเจนกับโมเลกุลสีโดยตรงส่วนเส้นใยที่เป็นพวกโพลีเปปไทด์ ได้แก่ ขนสัตว์และไหม โมเลกุลเส้นใยมีส่วนที่เป็นหมู่กรดและเบส ซึ่งทั้งสองส่วนนี้จะเกิดปฎิกิริยากับส่วน ที่เป็นหมู่กรดหรือเบสในโมเลกุลของสีเกิดเป็นเกลือขึ้น ท าให้เกิดแรงยึดเหนี่ยวกันแบบไอออนิก (ionic - interaction)
10 2) แบบเวต (vat dyes) สารที่ให้สีประเภทนี้ไม่ละลายน้ าต้องท าการรีดิวซ์สารให้สีในพืชให้เป็น สารละลายน้ าได้ แล้วจึงน าย้อมในสารละลายนั้นเมื่อย้อมแล้วน าไปผึ่งแดดจะท าให้โมเลกุลของสีเกิดการ ออกซิไดร์กลับไปอยู่ในรูปเดิมที่ไม่ละลายน้ า โมเลกุลของสีจึงจับแข็งอยู่บนเส้นใย 3) แบบมอร์แดนท์ (mordant dyes) การย้อมวิธีนี้เป็นการย้อมแบบใส่สารมอร์แดนท์เพื่อช่วย ให้การยึดติดระหว่างตัวสีกับเส้นใยดีขึ้นท าให้สีมีความคงทน สีไม่ซีดหรือตกง่าย สารมอร์แดนท์ที่ใช้คือ สารละลายของเกลือโลหะ เช่นเกลือโครเมี่ยม ทองแดง อลูมิเนียม ดีบุก เหล็ก และแทนินการย้อมวิธีนี้ท า ได้ 3 ลักษณะ(ศรัณยา.2554) - การย้อมสารละลายมอร์แดนท์ก่อนแล้วจึงย้อมสี - ย้อมสารละลายมอร์แดนท์และสีพร้อม ๆกัน - ย้อมสารละลายมอร์แดนท์หลังท าการย้อม ปฎิกิริยาที่เกิดขึ้นในการย้อม คือเส้นใยเมื่อผ่านการย้อมด้วยสารละลายมอร์แดนท์แล้ว โลหะของ สารละลายมอร์แดนท์เกิดเป็นสารเชิงซ้อนที่แข็งแรงกับเส้นใย การย้อมวิธีนี้ให้สีที่มีความคงทนมากขึ้น ถ้าใช้มอร์แดนท์ต่างชนิดกันกับสีชนิดเดียวกันหลังจากการย้อมจะมีสีที่ 2.4 สารช่วยติดสี จากการศึกษาเอกสารทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับสารช่วยติดพบว่า สารช่วยติดสี เป็นตัวที่ช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพให้สีย้อมติดอยู่บนผ้าและเส้นใยได้ดีขึ้น สารช่วยติดสีนี้เป็นสารประกอบที่เพิ่มคุณสมบัติการ ดูดซึมน้ าสีของเส้นใยได้ และในขณะเดียวกัน การเกิดสีที่แตกต่างกันก็ขึ้นอยู่กับการใช้สารช่วยติดสีแต่ละ ชนิด การใช้สารช่วยติดสีจะเหมาะอย่างยิ่งต่อการย้อมเส้นใยด้วยสีธรรมชาติ ซึ่งสีธรรมชาติส่วนใหญ่ติด วัสดุสิ่งทอได้ไม่คงทน สีธรรมชาติส่วนใหญ่เป็นสีที่ละลายได้ในน้ า (มีน้อยมากที่ไม่ละลายในน้ า เช่น คราม) และท าปฏิกิริยากับเส้นใยด้วยตนเอง กระบวนการย้อมไม่ยุ่งยาก สีเข้าไปในเส้นใยได้ง่าย และเมื่อน าไปซัก ล้างสีก็สามารถละลายน้ าออกมาได้ง่ายเช่นกัน การใช้สารช่วยติดสีเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยปรับปรุงความคงทน ของการย้อมสีธรรมชาติ สารช่วยติดสีจะสามารถรวมกับโมเลกุลของสีเกิดสารประกอบเชิงซ้อนกับสี (Metal Dye Complexes) สีสามารถยึดติดภายในเส้นใยได้ดีขึ้น ท าให้โมเลกุลของสีมีขนาดใหญ่ขึ้น ท าให้มีความคงทนมากขึ้น บางครั้งสารช่วยติดสีจะเป็นสารให้สีด้วย และสามารถใช้ได้ทั้งช่วงก่อนย้อม ขณะย้อม และหลังย้อม ส ารช่วยติดสีจะท าปฏิกิริยากับสีย้อมผ่ านพันธะโควาเลนท์ หรือ พันธะโคออร์ดิเนต เกิดเป็นสารประกอบเชิงซ้อน ซึ่งมีชื่อเรียกว่า “สารประกอบเชิงซ้อนประเภท วงแหวน” ทั้งนี้สารที่นิยมใช้เป็นสารช่วยติดได้แก่ เกลือของโลหะบางชนิด เช่น อลูมิเนียม ทองแดง เหล็ก โครเมียม ฯลฯ รวมทั้งกรดบางชนิด เช่น กรดแทนนิก กรดทาทาร์ริก กรดอะซิติก ฯลฯ เมื่อน าผ้าไปต้มใน
11 น้ าย้อมผสมสารช่วยติด โลหะของเกลือจะท าปฏิกิริยาไฮโดรไลซีส ซึ่งท าให้ได้สารประกอบ ไฮดรอกไซด์ ของโลหะที่ไม่ละลายน้ าแทรกตัวอยู่ในเส้นใย เมื่อสีซึมเข้าไปจับสารช่วยติดสีจึงไม่ท าให้ สีละลายมาขณะ ท าการซักล้าง 2.4.1 ประเภทของสารช่วยติดสี สารช่วยติดสี เป็นตัวที่เพิ่มการเกาะติดของสีกับเส้นใย และท าให้การย้อมสีธรรมชาติเกิดสีที่ หลากหลายมากขึ้น ในอดีตมีการน ามูลหรือปัสสาวะของสัตว์ผสมกับสีย้อมในกระบวนการย้อมสีใน ปัจจุบันสารช่วยติดสีมีหลากหลายมากขึ้นทั้งสารเคมี และสารที่ได้จากธรรมชาติดังนี้ 2.4.1.1 สารช่วยติดสีเคมี (มอร์แดนท์) คือ วัตถุธาตุที่ใช้รวมกับสีเพื่อให้สีกับผ้าเกาะติดแน่นมาก ขึ้นในการย้อม ส่วนใหญ่เป็นเกลือ โลหะ เช่น อลูมิเนียม เหล็ก ทองแดง ดีบุก โครเมียม สารมอร์แดนท์ ที่ใช้กันทั่วไปคือ 1) สารส้ม (มอร์แดนท์อลูมิเนียม) เป็นตัวช่วยเพิ่มการเกาะติดของสีกับเส้นใย และช่วย ให้สีมีความเข้มมากขึ้น นิยมใช้กับการย้อมเส้นใยโทนสีน้ าตาลออกเหลือง-สีน้ าตาลออกเขียว 2) จุนสี (มอร์แดนท์ทองแดง) เป็นตัวช่วยเพิ่มการเกาะติดของสีกับเส้นใย และช่วยให้สีมี ความสดใสมากขึ้น นิยมใช้กับการย้อมเส้นใยโทนสีเขียวและสีน้ าตาล ข้อเสียส าหรับการใช้มอร์แดนท์ ทองแดง คือ จะท าให้เกิดการตกค้างของทองแดงในน้ าทิ้งหลังการย้อม เมื่อมีการใช้ทองแดงในปริมาณที่ มากเกินไป 2.4.1.2 สารช่วยติดสีธรรมชาติ (มอร์แดนท์ธรรมชาติ) คือ สารละลายจากวัตถุดิบธรรมชาติที่เป็น ตัวช่วยเพิ่มการเกาะติดของสีกับเส้นใย และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของเฉดสี 1) น้ าปูนใส เกิดจากการน าปูนขาวหรือปูนแดงที่เคี้ยวกินกับหมาก หรือเกิดจากการน า เปลือกหอยมาเผา วิธีการคือ ผสมปูนขาวในน้ า ทิ้งไว้ให้ปูนนอนก้น จากนั้นจึงดักน้ าที่ใสด้านบนมาใช้ใน การย้อม 2) กรด เป็นการน าพืชที่มีความเปรี้ยวมาใช้ผสมกับสีย้อม เช่น มะนาว ใบส้มป่อย หรือ ฝักส้มป่อย มะขามเปียก เป็นต้น 3) สารแทนนิน เป็นสารประกอบของพืชที่มีความฝาดและรสขม เช่น ผลหมาก เปลือก ผลทับทิม เปลือกเพกา เปลือกประดู่ เปลือกสีเสียด ใบเหมือดแอ ใบยูคาลิปตัส เป็นต้น สารแทนนินเป็น ตัวช่วยเพิ่มการเกาะติด ของสีกับเส้นใย วิธีกี่คือ การน าพืช ดังกล่าวมาต้มสกัดกับน้ าเป็นสารละลาย น้ าฝาด แล้วน าเส้นใยต้มย้อมกับน้ าฝาดก่อน จากนั้นจึงน าเส้นใยไปย้อมกับน้ าสีก่อน
12 4) โปรตีนจากน้ าถั่วเหลือง ใช้เพื่อช่วยในการเพิ่มโปรตีนบนเส้นใย วิธีการคือใช้ต้มรวม กับเส้นใยไปย้อมสี เป็นตัวช่วยเพิ่มการเกาะติดของสีกับเส้นใยมากขึ้น คนญี่ปุ่นเมื่อย้อมไหมหรือฝ้าย จะท าการชุบเส้นใยนั้น ๆ ด้วยน้ าถั่วเหลืองก่อนการย้อมสี โดยจะหมักเส้นใยกับน้ าถั่วเหลือง ทิ้งไว้ 1 คืน ท าให้สีย้อมติดเส้นใยได้ดีมากขึ้น 5) เกลือแกง เมื่อย้อมสีจะใช้ผสมรวมเป็นสารละลายเดียวกันกับสีย้อม เพื่อท าให้สีย้อม ติดเส้นใยได้ดีมากขึ้น 6) น้ าโคลน เตรียมจากโคลนใต้สระ หรือบ่อที่มีน้ าขังตลอดปี ใช้ดินโคลนมาละลายใน น้ าเปล่าสัดส่วนน้ า 1 ส่วนต่อดินโคลน 1 ส่วนจะช่วยให้ได้โทนสีเข้มขึ้น หรือโทนสีเทา-ด าเช่นเดียวกับน้ า สนิม 7) น้ าบาดาล หรือ น้ าสนิมเหล็ก จะใช้น้ าบ่อบาดาลที่เป็นสนิม หรือน าเหล็กไปเผาไฟให้ แดงแล้วน าไปแช่ในน้ า ทิ้งไว้ 3 วันจึงน าน้ าสนิมมาใช้ได้ น้ าสนิมจะช่วยให้สีเข้มขึ้น ให้เฉดสีเทา-ด าเหมือน มอร์แดนท์เหล็ก แต่ถ้าสนิมมากเกินไปจะท าให้เส้นใยเปื่อยได้เช่นกัน 2.4.1.3 การใช้สารช่วยติดสีในกระบวนการย้อมสี 1) การใช้สารช่วยติดสีก่อนการย้อมสี วิธีการคือน าผ้าไปย้อมสารช่วยติดสีก่อนน ามาย้อม สี วิธีนี้ใช้เวลาน้อยกว่าวิธีอื่น ๆ โดยน าสิ่งที่จะยอมลงไปแช่ในสารช่วยติดสี ส่วนมากจะต้มในน้ าร้อนหรือ น้ าเดือดซึ่งใช้เวลาอย่างน้อย 15 นาที จนถึง 1 ชั่วโมง จากนั้นจะน าสิ่งที่ย้อมออกล้างท าความสะอาด ก่อนท าให้แห้งหรือน าไปย้อมสีต่อ 2) การใช้สารช่วยติดสีพร้อมการย้อมสี วิธีการคือน าสารช่วยติดสีผสมรวมกับสีย้อมแล้ว น าผ้าลงย้อมพร้อม ๆ กัน ท าให้ประหยัดเวลาและพลังงาน การย้อมใช่อุณหภูมิเดียวกันกับการย้อมสี ทั้งนี้ สารช่วยติดสีจะถูกใส่ลงในน้ าย้อมทั้งแบบก่อนย้อม ใส่เมื่อการย้อมผ่านไปได้ซักพักแบ่งใส่เป็นระยะ ระหว่างการย้อม และใส่เมื่อการย้อมใกล้สิ้นสุดลงก็ได้การยอมแบบนี้ ข้อเด่นที่ลดระยะเวลาของ กระบวนการย้อมลงได้ แต่ความคงทนของสีที่ได้มักไม่คงทนเหมือนการย้อมแบบแรก หลังการย้อมแล้วสิ่ง ที่ย้อมอาจถูกปล่อยแช่ไว้ในน้ าย้อม จนเย็นตัวลง การย้อมแบบนี้มีข้อด้อยที่น้ าย้อมที่ใช้แล้วน ากลับมาใช้ ใหม่อีกไม่ได้และก่อให้เกิดปัญหาในการบ าบัดน้ าเสียอีกด้วย 3) การใช้สารช่วยติดสีหลังย้อมสี วิธีการคือน าผ้าไปย้อมอีกครั้งด้วยสารช่วยติดสี ภายหลังการย้อมสีแล้ว วิธีการนี้สีจะเปลี่ยนแปลง มากสารช่วยติดสีที่นิยมเช่น เกลือของดีบุก เกลือของ เหล็ก กรดแทนนิกหรือสารแทนนิน การย้อมสารช่วยติดสีแบบนี้อาจใช้วิธีการยอมแยกอิสระหรือในบาง กรณีสารช่วยติดสีจะใส่ในน้ าย้อมก่อนการย้อมใกล้หมดเวลา บางกรณีผู้ย้อมจะใช้วัสดุในสารละลายเกลือ ดีบุก หรือเกลือของเหล็ก ภายหลังจากการย้อมสีเสร็จแล้วเพื่อให้เกิดเฉดสีใหม่ที่เปลี่ยนแปลงจากเดิม
13 การใช้สารช่วยติดสีนอกจากจะท าให้สีติดดีขึ้น สารช่วยติดสียังมีผลต่อความคงทนต่อแสงของสีที่ย้อมอีก ด้วย 2.5 ทดสอบการตกสีด้วยน ้าสบู่มาตรฐาน ในการตรวจสอบการตกสีผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย จากเกณฑ์คู่มือปฏิบัติงานการตรวจประเมิน ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย (ตรานกยูงพระราชทาน) ตามข้อบังคับกรมหม่อนไหมว่าด้วยการใช้เครื่องหมาย รับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย พ.ศ. 2554 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2554 2.5.1 วัตถุประสงค์เพื่อเป็นการก าหนดขั้นตอน วิธีการ และผู้รับผิดชอบ ในการตรวจสอบการ ตกสีผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย ตามข้อบังคับกรมหม่อนไหมว่าด้วยการใช้เครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ ผ้าไหมไทย พ.ศ. 2554 ทั้ง 4ชนิด ได้แก่ Royal Thai Silk , Classic Thai Silk , Thai Silk และThai Silk Blend 2.5.2 วัสดุอุปกรณ์ 1) น้ าดื่มบริโภค 2) สบู่มาตรฐาน (Standard soap) ISO 105:1989:C10 to C05 3) ส าลีแผ่น(ไม่มีสารเรืองแสง) ขนาดไม่น้อยกว่า 5x6 เซนติเมตร หนา 0.5 เซนติเมตร 4) ภาชนะส าหรับใส่ผ้าซัก สีขาว ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 15-20 เซนติเมตร จ านวน 6 ใบต่อชุด 5) เครื่องชั่ง 0- 100 กรัม ที่มีความละเอียด 0.01 กรัม 6) กระบอกตวงขนาด 300 มิลลิลิตร 7) กระบอกตวงขนาด 1000-2000 มิลลิลิตร 8) กระบอกฉีด (Syringe) หรือ กระบอกตวง ขนาด 50-100 มิลลิลิตร 9) เทอร์โมมิเตอร์(0-100 องศาเซลเซียส) 10) กรรไกรตัดผ้า 11) แท่งแก้วหรือแท่งพลาสติก 12) กระติกน้ าร้อน 13) นาฬิกาจับเวลา 14) เครื่องคิดเลข
14 2.5.3 วิธีปฏิบัติงาน 2.5.3.1 การเตรียมสารละลายสบู่มาตรฐาน 1) ชั่งสบู่มาตรฐาน (Standard soap) น้ าหนัก 2 กรัม 2) ละลายสบู่มาตรฐาน ในน้ าอุ่นอุณหภูมิประมาณ 70-80 องศาเซลเซียส ปริมาตร 100 มิลลิลิตร ในกระบอกตวงขนาด 100 มิลลิลิตร 3) ใช้แท่งแก้วคนให้สบู่ละลาย 4) เทใส่กระบอกตวงขนาด 1000-2000 มิลลิลิตร แล้วเติมน้ าดื่มบริโภคให้ได้ปริมาตร ทั้งหมด 1000 มิลลิลิตร ใช้แท่งแก้วคนให้สบู่ละลายเข้ากัน 2.5.3.2 การตรวจสอบการตกสีโดยวิธีการซัก 1) ตัดผ้าไหมที่จะทดสอบซักขนาด 3X5 เซนติเมตร หรือ เส้นไหมแต่ละสี น้ าหนักประมาณ 0.3-0.5กรัม (ในกรณีที่ไม่สามารถตัดเนื้อผ้าได้) จ านวน 2 ชิ้นๆแรกส าหรับทดสอบการตกสี ส่วนอีกชิ้น ส าหรับ เย็บติดในแบบทดสอบการตกสี(แบบ กมม.03 - 2, 04 – 2, 05 -2, 06-2) 2) ใช้กระบอกฉีด (Syringe) หรือ กระบอกตวง ตวงน้ าสบู่ที่ละลายแล้วปริมาตร 50 มิลลิลิตร เทลงภาชนะสีขาวส าหรับใส่ผ้า/เส้นไหมซัก เตรียม ๓ ชุด 3) ตวงน้ าเปล่าปริมาตร 50 มิลลิลิตร ส าหรับล้างผ้า/เส้นไหมที่ซักแล้ว เตรียม 3 ชุด 4) น าผ้าไหม/เส้นไหม ที่จะทดสอบการตกสี ลงซัก ใช้แท่งแก้วหรือแท่งพลาสติกกดผ้า/เส้น ไหมให้น้ าซึมเข้าจนทั่ว แล้วคนเบาๆ 5 นาที น าผ้าขึ้นจากน้ าสบู่ บีบน้ าออกให้หมาดๆ ตรวจดูสีของน้ าสบู่ แล้ว บันทึกผลลงในแบบ กมม.03-2 หรือ กมม.04-2 หรือ กมม.05-2 หรือ กมม.06-2 และน าผ้า/เส้นไหม นั้นล้างน้ า 5) ท าซ้ าตามข้อ 4 อีก 2 ครั้ง รวมการซักและล้างทั้งหมด 3 ครั้ง 6 2.5.3.3 การตรวจสอบการตกสีโดยวิธีการใช้ส าลีชุบเช็ด (ใช้เฉพาะกรณีที่ตัดผืนผ้าไม่ได้ เช่น ผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ ผ้าผืนเฉพาะบางประเภท ที่ไม่สามารถตัด ตัวอย่างได้) 1. น าส าลีแผ่นชุบสารละลายสบู่มาตรฐานให้ชุ่มจ านวน 2 แผ่น 2. น าไปวางประกบบนผ้าไหมที่ต้องการทดสอบตกสี โดยทดสอบบริเวณจุดที่ห่างจากปลาย ผ้า ลึกเข้าไปในผืนผ้า 2.5 เซนติเมตร (1นิ้ว) หรือจุดที่คาดว่าสีจะตกทุกสีเช่น จุดแต้มของผ้ามัดหมี่
15 3. กดและถูส าลีกับผืนผ้า ประมาณ 5 นาที กระท าเช่นนี้ รวม 3 ครั้ง ที่จุดเดิม โดยเปลี่ยน ส าลีแล้วชุบสารละลายสบู่มาตรฐานใหม่ทุกครั้ง สังเกตว่ามีน้ าซึมลงในผืนผ้าผ่านไปถึงด้านล่าง ถ้ามีการตก สีจะ เห็นสีติดมากับส าลีทุกๆครั้ง บันทึกผลการทดสอบในแบบบันทึกผล กมม.03-2 หรือ กมม.04-2 หรือ กมม.05-2 หรือ กมม.06-2 4. ถ้าเป็นผ้ามีลายและมีหลายสีให้ท าการทดสอบให้ครอบคลุมครบทุกสี 5. ติดรูปถ่ายผืนผ้าพร้อมแนบเส้นไหม/เส้นใยอื่นที่ทดสอบในแบบบันทึกผล กมม.03-2 หรือ กมม.04-2 หรือ กมม.05-2 หรือ กมม.06-2 2.5.4 เกณฑ์การพิจารณาตัดสินการตกสี เกณฑ์การทดสอบการตกสีของผ้าไหมด้วยสบู่มาตรฐาน (ตรานกยูงพระราชทาน) ตารางที่ 1 แสดงเกณฑ์การทดสอบการตกสีของผ้าไหมด้วยสบู่มาตรฐาน (ตรานกยูงพระราชทาน) กรณีที่ ครั งที่ 1 ครั งที่ 2 ครั งที่ 3 ผลการพิจารณา 1 ไม่ตก จาง จาง ไม่ผ่าน 2 ไม่ตก จาง ตกเข้ม ไม่ผ่าน 3 จาง จาง ไม่ตก ไม่ผ่าน 4 ตกเข้ม จาง ไม่ตก ไม่ผ่าน 5* จาง ไม่ตก ไม่ตก ผ่าน 6 ไม่ตก ไม่ตก ไม่ตก ผ่าน หมายเหตุ * ให้ผ่าน ถ้าเป็นการย้อมด้วยสีธรรมชาติ กรณีย้อมสีเคมี ถือว่าไม่ผ่าน
16 เกณฑ์การพิจารณาตัดสินการตกสี วิธีที่1 โดยการซัก ตารางที่ 2 แสดงเกณฑ์การทดสอบการตกสีของผ้าไหมด้วยสบู่มาตรฐานโดยการซัก (ตรานกยูงพระราชทาน) กรณีที่ ครั งที่ 1 ครั งที่ 2 ครั งที่ 3 ผลการพิจารณา 1 ไม่ตก จาง จาง ไม่ผ่าน 2 ไม่ตก จาง ตกเข้ม ไม่ผ่าน 3 จาง จาง ไม่ตก ไม่ผ่าน 4 ตกเข้ม จาง ไม่ตก ไม่ผ่าน 5* จาง ไม่ตก ไม่ตก ผ่าน 6 ไม่ตก ไม่ตก ไม่ตก ผ่าน วิธีที่ 1 โดยการใช้ส้าลีชุบเช็ด ตารางที่ 3 แสดงเกณฑ์การทดสอบการตกสีของผ้าไหมด้วยสบู่มาตรฐานโดยการใช้ส้าลีชุบเช็ด (ตรานกยูงพระราชทาน) กรณีที่ ครั งที่ 1 ครั งที่ 2 ครั งที่ 3 ผลการพิจารณา 1 ตกเข้ม ตกเข้ม ตกเข้ม ไม่ผ่าน 2 ตกเข้ม ตกเข้ม จาง ไม่ผ่าน 3 ตกเข้ม จาง จาง ไม่ผ่าน 4 ตกเข้ม จาง ไม่ตก ไม่ผ่าน 5 จาง จาง ไม่ตก ไม่ผ่าน 6* จาง ไม่ตก ไม่ตก ผ่าน 7 ไม่ตก ไม่ตก ไม่ตก ผ่าน หมายเหตุ *ให้ผ่าน ถ้าเป็นการย้อมด้วยสีธรรมชาติกรณีย้อมสีเคมีถือว่าไม่ผ่านข้อมูลวิธีการ ทดสอบจากคณะผู้ทรงคุณวุฒิ 20 ต.ค. 50 หมายเหตุ *ให้ผ่าน ถ้าเป็นการย้อมด้วยสีธรรมชาติกรณีย้อมสีเคมีถือว่าไม่ผ่าน
17 2.6 ค่าสีL* a* b* ระบบสีแบบ L* a* b* เป็นค่าสีที่ถูกก าหนดขึ้นโดย CIE (Commission Internationale d’ Eclarirage) เพื่อให้เป็นสีมาตรฐานกลางของการวัดสีทุกรูปแบบ ครอบคลุมทุกสีใน RGB และ CMYK และ ใช้ได้กับสีที่เกิดจากอุปกรณ์ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นจอคอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ เครื่องสแกนและอื่นๆ ส่วนประกอบของโหมดสีนี้ได้แก่ CIE ได้ก าหนดหน่วยวัดสีมีสัญลักษณ์ L*-a*-b* โดยทั้ง 3 ตัวแปลมีรายละเอียด ดังนี้ - แกน L* บ่งบอกถึง ความสว่าง (lightness) มีค่าตั้งแต่ 0-100 โดย 0 คือ สีด า และ 100 คือ สีขาว - แกน a* บรรยายแกนสี สีเขียว (-a*) สีแดง (+a*) - แกน b* บรรยายแกนสี สีน้ าเงิน (-b*) สีเหลือง (+b*) ภาพที่ 2.6 รูปไดอะแกรมสัมประสิทธิ์สีa*,b* (ที่มา : https://www.google.com)
18 2.7 การมัดหมี่ จากการศึกษาเอกสารทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับการมัดหมี่พบว่า การมัดหมี่ เป็นการท าลวดลายของ ผืนผ้า โดยการใช้วัสดุกันน้ ามัดกลุ่มเส้นฝ้ายเป็นลวดลายตามต้องการ ก่อนน าฝ้ายย้อมน้ าสี เมื่อแก้วัสดุกัน น้ าออกจึงเกิดสีแตกต่างกัน ถ้าต้องการเพียง 2 สี จะแก้วัสดุมัดฝ้ายเพียงครั้งเดียว หากต้องการหลายสีจะ มีการแก้มัดวัสดุหลายครั้ง ก่อนมัดหมี่ ต้องค้นหมี่ก่อน โดยการน าเส้นฝ้ายพันรอบหลักหมี่ 1 คู่ นับจ านวน เส้นฝ้ายให้สัมพันธ์กับลายหมี่ที่จะมัด จากนั้นจึงท าการมัดหมี่กลุ่มเส้นฝ้ายในหลักหมี่ ตามลวดลายหมี่ที่ ต้องการ เมื่อถอดฝ้ายมัดหมี่ออกจากหลักหมี่ น าไปย้อมสี บิดให้หมาดแล้วจึงแก้ปอมัดหมี่ออก ท าให้เกิด ลวดลายตรงที่แก้ปอออก น าฝ้ายที่แก้ปอมัดแล้วนี้ไปพันรอบหลอดไม้ไผ่เรียกว่า การปั่นหลอด ร้อยหลอด ฝ้ายตามล าดับก่อน-หลัง เก็บไว้อย่างดีระวังไม่ให้ถูกรบกวนจนเชือกร้อยขาด ฝ้ายมัดหมี่ในหลอดฝ้ายใช้ เป็นเส้นพุ่งในการทอ 2.7.1การค้นหมี่ เส้นฝ้ายมีไขฉาบโดยธรรมชาติ ก่อนน ามาใช้ต้องชุบน้ าให้เปียกทั่วอณูของเส้นฝ้าย โดยชุบน้ าแล้ว ทุบด้วยท่อนไม้ผิวเรียบ เรียกว่า การฆ่าฝ้าย ก่อนจะชุบฝ้ายหมาดน้ าในน้ าแป้งและตากให้แห้ง คล้องฝ้าย ใส่กงแล้วถ่ายเส้นฝ้ายไปพันรอบอัก ตั้งอักถ่ายเส้นฝ้ายพันรอบหลักหมี่ ซึ่งมีความกว้างสัมพันธ์กับความ กว้างของฟืมที่ใช้ทอผ้า นับจ านวนเส้นฝ้ายให้เป็นหมวดหมู่ แต่ละหมู่มีจ านวนเส้นฝ้ายสัมพันธ์กับลายหมี่ มัดหมวดหมู่ฝ้ายด้วยเชือกฟาง 2.7.2 วิธีการค้นหมี่ 1) เอาฝ้ายที่เตรียมมาแล้วมัดหลักหมี่ด้านล่างก่อน แล้วพันรอบหลักหมี่ไปเรื่อยๆ เรียกว่า การก่อหมี่ 2) การค้นหมี่จะต้องค้นจากล่างขึ้นบน หรือบนลงล่างจนกว่าจะครบจ านวนรอบที่ต้องการ ภาษาท้องถิ่นเรียกแต่ละจ านวนว่าลูกหรือล า ถ้าก่อหมี่ผูก ฝ้ายด้านขวา ก็ต้องวนซ้ายมาขวาทุกครั้ง 3) ควรผูกฝ้ายไว้ทุกลูกด้วยสายแนม เพื่อไม่ให้หมี่พันกัน หรือหลุดออกจากกัน
19 2.7.3 วิธีการมัดหมี่ 1) มัดกลุ่มฝ้ายแต่ละลูกหมี่ด้วยเชือกฟาง จนครบหลักหมี่ ท าเป็นเชิงผ้า 2) การเริ่มต้นลายมัดหมี่ อาจมัดจากด้านบนไล่เรียงลงข้างล่าง หรือมัดข้างล่างก่อนจึงไล่เรียงขึ้น ข้างบน บางคนอาจเริ่มมัดจากตรงกลางก่อน จึงขยายออกไปเต็มหลักหมี่ 3) เริ่มมัดปลายเชือกด้านหนึ่งกับลูกหมี่ก่อน จึงพันอีกปลายหนึ่งซ้อนทับกันให้แน่นเพื่อไม่ให้สี ย้อมซึมเข้าข้อหมี่ เมื่อพันทับกันไปจนได้ความยาวตามลายหมี่แล้ว มัดปลายเชือกกับลูกหมี่ให้แน่นเช่นกัน โดยเหลือปลายเชือกไว้ เมื่อเวลาแก้ปอมัดจะท าได้ง่าย 4) เอาเชือกเส้นหนึ่งสอดเข้าไปในช่องหลักหมี่ข้างใดข้างหนึ่ง ผูกกลุ่มฝ้ายไว้เป็นวงไม่ให้หมี่ที่มัด ลวดลายแล้วหลุดออกจากกัน และใช้เป็นหูหิ้วส าหรับจับเวลาย้อม ถอดฝ้ายมัดหมี่ออกจากหลักหมี่ หลังจากนั้น เราก็จะน าไป ย้อมคราม เมื่อย้อมครามเสร็จก็จะน ามาแก้ปอมัดหมี่ 2.7.4 การแก้ปอมัดหมี่ หมี่ที่มัดเสร็จเรียบร้อยและถอดออกจากหลักหมี่แล้วน าไปแช่น้ าให้เปียก บิดให้หมาด น าไปย้อมสี คราม ล้างสีให้สะอาด จึงน ามาแก้ปอมัดหมี่ พาดราวกระตุกให้เรียงเส้น ผึ่งให้แห้งได้ฝ้ายมัดหมี่ 2.7.5 การปั่นหลอด น าฝ้ายมัดหมี่คล้องใส่กงซึ่งวางอยู่ระหว่างตีนกง 1 คู่ หมุนกงคลายฝ้ายออกจากกงพันเข้าหลอด ไม้ไผ่เล็กๆ ที่เสียบแน่นอยู่กับเหล็กไนของหลา ความยาวของหลอดไผ่สัมพันธ์กันกับกระสวยทอผ้า เมื่อหมุนกงล้อไม้ไผ่ของหลา เหล็กไนและหลอดจะหมุนเอาเส้นฝ้ายจากกงพันรอบแกนหลอดไม้ไผ่ ให้ได้ จ านวนเส้นฝ้ายพอเหมาะกับขนาดองร่องกระสวยทอผ้า 2.7.6 การร้อยฝ้าย ร้อยหลอกฝ้ายที่ปั่นแล้วตามล าดับก่อนหลังหากร้อยหลอดผิดล าดับหรือเชือกร้อยหลอดขาดท า ให้ล าดับฝ้ายผิดไปจะไม่สามารถทอเป็นลวดลายตามความต้องการได้ 2.7.7 การแก้หมี่ การแก้หมี่ คือ การแก้เชือกฟางที่มัดหมี่แต่ละล าออกให้หมดหลังจาการย้อมในแต่ละครั้ง
20 2.8 รูปทรงเรขาคณิต รูปเรขาคณิตสองมิติ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ตามลักษณะของขอบหรือด้านของรูป ได้แก่ กลุ่มที่มีขอบหรือด้านของรูปเป็นส่วนของเส้นตรง กลุ่มนี้คือ รูปหลายเหลี่ยม ( polygon ) และกลุ่มที่มี ขอบหรือด้านเป็นเส้นโค้งงอ เช่น รูปวงกลม และรูปวงรี เป็นต้น กลุ่มนี้ไม่มีชื่อเรียกโดยเฉพาะ รูปเรขาคณิต หมายถึง รูปต่างๆ ทางเรขาคณิต เช่น 1) รูปสามเหลี่ยม มีด้าน 3 ด้าน มีมุม 3 มุม 2) รูปสี่เหลี่ยม มีด้าน 4 ด้าน มีมุม 4 มุม 3) รูปห้าเหลี่ยม มีด้าน 5 ด้าน มีมุม 5 มุม 4) รูปหกเหลี่ยม มีด้าน 6 ด้าน มีมุม 6 มุม 5) รูปแปดเหลี่ยม มีด้าน 8 ด้าน มีมุม 8 มุม 6) รูปวงกลม มีเส้นโค้งเป็นวงกลม และห่างจากจุดศูนย์กลางเป็นระยะทางเท่ากัน 7) รูปวงรี มีเส้นเส้นโค้งเป็นวงรี โดยห่างจากจุดศูนย์กลางไม่เท่ากัน รูปทรง เรขาคณิตรูปทรงเรขาคณิต หมายถึง รูปที่มีส่วนที่เป็นพื้นผิว ส่วนสูง และส่วนลึก หรือหนา 1) รูปทรงกลม 2) รูปทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก 3) รูปทรงกระบอก 2.9 ความพึงพอใจ ความพึงพอใจในการเรียนและผลการเรียน จะมีความสัมพันธ์กันในทางบวก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ กิจกรรมที่ผู้เรียนได้ปฏิบัตินั้น ท าให้ผู้เรียนได้รับการตอบสนองความต้องการทางด้านร่างกายและจิตใจ ซึ่งเป็นส่วนส าคัญที่จะท าให้เกิดความสมบูรณ์ของชีวิตมากน้อยเพียงใด นั่นคือสิ่ง ที่ครูผู้สอนจะค านึงถึง องค์ประกอบต่างๆในการเสริมสร้างความพึงพอใจในการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน 2.9.1 ความหมายความพึงพอใจ ความพึงพอใจเป็นปัจจัยก่อให้เกิดพลังในการปฏิบัติอย่างมากมาย ซึ่งได้มีผู้ให้ความหมายไว้ ดังนี้
21 ระพินทร์ โพธิ์ศรี (2549 : 142) กล่าวว่าความพึงพอใจ คือ ความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบซึ่งอาจ มีมากหรือน้อยก็ได้ ของแต่ละบุคคลที่มีต่อสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เป็นความรู้สึกที่อาจด ารงอยู่ได้น่าพอสมควร ประสาท อิศรปรีดา(2541 : 300) กล่าวว่าความพึงพอใจ หมายถึง พลังที่เกิดทางจิตใจ ที่มีผล ไปสู่เป้าหมายที่ต้องการและหาสิ่งที่ต้องการมาตอบสนอง ลูทานส์ (Luthans. 1992 : 114)กล่าวว่าความพึงพอใจ ในการท างาน หมายถึง ความพอใจหรือ สภาวะอารมณ์ทางบวกที่เป็นผลมาจากการประเมินของบุคคลเกี่ยวกับงาน หรือประสบการณ์จากงาน 2.9.2 ทฤษฎีความพึงพอใจ จากการศึกษาพบว่ามีผู้ศึกษาได้ให้ทฤษฎีความพึงพอใจไว้ดังนี้ สุจิตรา มาลีแก้ว (2558 : 45-48) การศึกษาความพึงพอใจ เป็นการศึกษาในฐานะที่เป็นรูปแบบหนึ่งของ พฤติกรรม และเป็นการศึกษาที่มีรากฐานพฤติกรรมการจูงใจ (Motivation)ดังนั้นการศึกษาในเรื่องนี้จึงมา ใช้หลักการน าทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการจูงใจที่เกี่ยวกับการท างาน (Workmotivation) ทฤษฎีแรงจูงใจในการท างานทฤษฎีแรงจูงใจในการท างานแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ 1) ทฤษฎีที่อธิบายเนื้อหาของงานได้แก่ความส าคัญของงานด้านความท้าทายของงานความ เจริญก้าวหน้าของงานความรับผิดชอบงาน 2) ทฤษฎีที่อธิบายกระบวนการของงาน ได้แก่ การเน้นกระบวนการทางจิตวิทยาการตัดสินใจ และเรื่องงานทฤษฎีแรงจูงใจที่อธิบายเนื้อหาของงาน ทฤษฎีความต้องการล าดับขั้นของมาสโลว์ (Maslow's Hierarchy of Need)การชี้ให้เห็นว่า มนุษย์ถูกกระตุ้นจากความปรารถนาที่จะสนองความต้องการเฉพาะอย่างซึ่งความต้องการนี้เขาได้รับ การสมมติฐานเกี่ยวกับความต้องการของมนุษย์ไว้ ดังนี้ 1) บุคคลต้องมีความต้องการอยู่เสมอและไม่มีที่สิ้นสุด ขณะที่ความต้องการใดได้รับการ ตอบสนองและความต้องการอย่างอื่นก็จะเกิดขึ้นอย่างไม่มีวันจบสิ้น 2) ความต้องการที่ได้รับการตอบสนองแล้ว จะไม่เป็นสิ่งจูงใจของพฤติกรรมอื่นต่อไป ความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง จึงเป็นสิ่งจูงใจในพฤติกรรมของคนนั้น 3) ความต้องการของคนจะเรียงล าดับขั้นตอนความส าคัญ เมื่อความต้องการระดับต่ าได้รับ การตอบสนองแล้ว บุคคลก็จะให้ความสนใจในความต้องการระดับสูงต่อไป ล าดับขั้นความต้องการของบุคคลมี 5 ระดับขั้นตามล าดับ 1) ความต้องการทางกายภาพเป็นความต้องการขั้นพื้นฐานที่สุดเพื่อความมีชีวิตอยู่รอด ได้แก่ ความต้องการอาหารประเภทเครื่องนุ่งห่ม
22 2) ความต้องการความปลอดภัย เป็นความต้องการแสวงหาความปลอดภัยจัดสิ่งแวดล้อม และความคุ้มครองจากผู้อื่น 3) ความต้องการความรักความรู้สึกว่าตนมีส่วนร่วมและการเข้ามาพวก 4) ความต้องการให้ได้รับการยกย่องนับถือ เป็นความต้องการให้คนอื่นยกย่องให้เกียรติ และให้ความส าคัญกับตน 5)ความต้องการความส าเร็จในชีวิตเป็นความต้องการสูงสุดในชีวิตของตนเป็นความ ต้องการที่เกี่ยวกับการท างานที่ตนเองชอบหรือต้องการจะเป็นมากกว่าที่จะเป็นขณะนี้ ทฤษฎีความต้องการของแอลเตอร์เฟอร์ (Alderfer 's Modified need Hierarchy Theory) เข้าได้ที่ท าความเข้าใจการนี้ขึ้นในปี พ.ศ.1972 เรียกว่าทฤษฎี อีอาร์จี (ERG:Existed Relatedness Growth Theory)สืบเนื่องจากได้มีการวิจัยเพื่อทดสอบทฤษฎีตามความต้องการตามล าดับขั้นของมาสโลว์ แอลเตอร์เฟอร์จึงได้เสนอความต้องการโดยมีความต้องการของบุคคล มี 3 ประการคือ 1. ความต้องการมีชีวิตอยู่ (Existence needs) เป็นความต้องการสนองให้มีชีวิตอยู่ได้แก่ ความต้องการทางกาย และความต้องการความปลอดภัย 2. ความต้องการมีสัมพันธภาพกับผู้อื่น (Relatedness needs) เป็นความต้องการของ บุคคลที่จะมีมิตรสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้างอย่างมีความหมาย 3. ความต้องการเจริญก้าวหน้า (Growth needs) เป็นความต้องการสูงสุดรวมถึงความ ต้องการได้รับการยกย่องและความส าเร็จในชีวิต ทฤษฎีความต้องการของเมอร์เรย์ (Murray' s Manifest Needs Theory) ทฤษฎีความต้องการ ของเมอร์เรย์นั้นไม่ได้เรียงล าดับความต้องการเหมือนของมาสโลว์ กล่าวคือ ทฤษฎีของเมอร์ เรย์ สามารถ อธิบายได้ว่าในเวลาเดียวกันบุคคลอาจมีความต้องการด้านใดด้านหนึ่ง หรือหลายด้านสูง และ ความต้องการด้านอื่นต่ าก็ได้ ส่วนทฤษฎีของมาสโลว์ไม่สามารถอธิบายได้ตามทฤษฎีของเมอร์เรย์ ความต้องการที่จ าเป็นและความส าคัญเกี่ยวกับตนมีอยู่ 4 ประการคือ 1) ความต้องการความส าเร็จ (Need of achievement) หมายถึง ความต้องการสิ่งใด สิ่งหนึ่งได้ส าเร็จลุล่วงไปด้วยดี 2) ความต้องการมิตรสัมพันธ์ (Nead of affiliation) หมายถึง ความต้องการมี ความสัมพันธ์ กับคนอื่นค านึงถึงการยอมรับของเพื่อนร่วมงาน
23 3) ความต้องการอิสระ (Need for autonomy) หมายถึง ความต้องการที่จะเป็นตัวของ ตนเอง 4) ความต้องการมีอ านาจ (Need for power) หมายถึง ความต้องการที่จะมีอิทธิพลต่อ คนอื่น 5) ความต้องการความส าเร็จของแมคคลีแลนด์ (Mectetland 's Achievement ation -Theory) โดยเน้นถึงความต้องการ 3 ประการคือ 1)ความต้องการประสบความส าเร็จ (Need for achievement) เป็นความ ต้องการมี ผลงานและบรรลุเป้าหมายที่พึงปรารถนา 2) ความต้องการมิตรสัมพันธ์ (Need for affiation) เป็นความต้องการมี สัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น 3) ความต้องการอ านาจ (Need for power) เป็นความต้องการมีอิทธิพลและ ครอบง าเหนือผู้อื่น ทฤษฎีของเฮอร์สเบอร์ก (Herzberg, 1959 : 113 - 115) ได้ท าการศึกษาค้นคว้าทฤษฎีที่ เป็น มูลเหตุ ที่ท าให้เกิดความพึงพอใจ เรียกว่า The Motivation Hygiene Theory กล่าวถึงปัจจัยที่ท าให้ เกิดความพึงพอใจในการท างานมี ๒ ปัจจัยคือ 1) ปัจจัยค้ าจุน ได้แก่ นโยบายของหน่วยงานและการบริการการบังคับบัญชาหรือ การนิเทศ สภาพการท างานความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลรายได้ต าแหน่งและความมั่นคงปัจจัยเหล่านี้มีได้ เป็น สิ่งจูงใจที่จะท าให้เกิดผลผลิตเพิ่มขึ้นแต่เป็นข้อก าหนดเบื้องต้นเพื่อป้องกันไม่ให้คนเกิดความไม่พอใจ งานที่ท าอยู่ตัวอย่างเช่นการนัดหยุดงานของโรงงานเนื่องจากมีปัญหามาจากเรื่องเงินซึ่งอยู่ในปัจจัยค้ าจุน 2) ปัจจัยกระตุ้นปัจจัยส่วนใหญ่เหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับงานที่ปฏิบัติคนจะถูกจูงใจให้เพิ่ม ผลผลิตจากปัจจัยเหล่านี้กระตุ้น ได้แก่ ความส าเร็จของงานการยอมรับนับถือลักษณะของงานโดยตัว ของ มันเองความรับผิดชอบความเจริญก้าวหน้าในตนเองและอาชีพปัจจัยกระตุ้นท าให้คนท างานมี ความรู้สึก ในด้านดีเป็นสิ่งจูงใจในด้านความรู้สึกนึกคิดของตนปัจจัยกระตุ้นจะน าไปสู่การจูงใจใน วิธีการบริหารด้วย ศุภสิริ โสมาเกตุ (2544 : 52) ความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจและผลการปฏิบัติงานจะ ถูก เชื่อมโยงด้วยปัจจัยอื่นๆผลการปฏิบัติงานที่ดีจะน าไปสู่ผลตอบแทนที่เหมาะสมซึ่งในที่สุดจะน าไปสู่ การ ตอบสนองความพึงพอใจผลการปฏิบัติงานย่อมได้รับการตอบสนองในรูปของรางวัลหรือ ผลตอบแทนซึ่ง แบ่งออกเป็นผลตอบแทนภายใน (Intrinsic Rewards) และผลตอบแทนภายนอก (Extrinsic Rewards)
24 โดยผ่านการรับรู้เกี่ยวกับความยุติธรรมของผลตอบแทนซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ปริมาณ ของผลตอบแทนที่ ผู้ปฏิบัติงานได้รับนั่นคือความพึงพอใจในงานของผู้ปฏิบัติงานจะถูกก าหนดโดย ความแตกต่างระหว่าง ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริงและการรับรู้เกี่ยวกับความยุติธรรมของผลตอบแทนที่ รับรู้แล้วความพึงพอใจ ย่อมเกิดขึ้น ภณิดา ชัยปัญญา (2541 : 51) กล่าวว่า มีวิธีที่สามารถวัดความพึงพอใจได้ดังนี้ 1) การใช้แบบสอบถาม โดยผู้ออกแบบสอบถามจัดท าแบบสอบถามเพื่อต้องการทราบความ คิดเห็น สามารถกระท าได้ในลักษณะก าหนดค าตอบให้เลือก หรือตอบค าถามอิสระ ซึ่งค าถามดังกล่าว อาจถามความพอใจในด้านต่าง ๆ 2) การสัมภาษณ์ เป็นวิธีวัดความพึงพอใจโดยตรงซึ่งต้องอาศัยเทคนิคและวิธีการที่ดีจึงจะได้ ข้อมูลที่เป็นจริง 3) การสังเกต เป็นวิธีวัดความพึงพอใจโดยการสังเกตพฤติกรรมของบุคคลเป้าหมายไม่ว่าจะ แสดงออกจากการพูดจา กริยา ท่าทาง วิธีนี้ต้องอาศัยการกระทาอย่างจริงจัง และสังเกตอย่าง มี ระเบียบแบบแผน 2.10 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วารุณี สุวรรณานนท์(2526 :บทคัดย่อ) การศึกษาวิธีการย้อมผ้าไหมด้วยน้ าย้อมจากแก่นแกแล ได้ท าการทดลองย้อม เปรียบเทียบโดยใช้สารช่วยติดชนิดต่าง ๆ 3 ชนิด คือ สารส้ม เกลือ และน้ ามะขาม โดยใช้สารส้มและเกลือในปริมาณ 10, 20 และ 50 เปอร์เซ็นต์ต่อน้ าหนักผ้า และน้ ามะขามที่มีความ เข้มข้น 20 เปอร์เซ็นต์ ลงในน้ าย้อมโดยใช้ทั้งชนิดเดียวและรวมกันใน ปริมาณ 10, 20 และ 30 ซี.ซี. ต่อผ้า 10 กรัม เวลาที่ใช้ยอม 30 นาทีทุกการทดลองผลการทดลองพบว่า ได้สีของผ้าไหมย้อมเป็นสี เหลืองและสีเหลืองอมแดง ที่มีระดับค่าในน้ าหนักของสีแตกต่างกันถึง 3 ระดับ และมีค่าความเข้มข้นของ สีแตกต่าง กันถึง 8 ระดับ การย้อมโดยใช้สารสม 20 เปอร์เซ็นต์ของน้ าหนักยาเป็นสารช่วยติดในขณะย้อม ท าให้สีของผ้าไหมย้อมมีความคงทนต่อการซักฟอก การขัดถู และแสงแดด จัดอยู่ในระดับดีที่สุด และ ท าให้ผ้าไหมย้อมเป็นสีเหลือง 2.5 Y 6/7 ซึ่งมีความสว่าง น้อยกว่าการย้อมโดยใช้สารส้ม 10 เปอร์เซ็นต์ ของน้ าหนักผ้าผสมกับเกลือ 20 เปอร์เซ็นต์ของน้ าหนักน้าในขณะย้อม จันทนี(2555) ศึกษาการสกัดสีย้อมจากใบหูกวาง ใช้สารส้มเป็นตัวช่วยติดสีย้อมทับหลังการ ย้อม พบว่า ผ้าทดลองที่ย้อมด้วยน้ าสีที่สกัด มีผลต่อความคงทนของสีด้วยการทดสอบการตกสี
25 นันทนัช พิเชษฐวิทย์(2533 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาผลของสารช่วยย้อมสีที่มีผลต่อการย้อมไหม ด้วยใบตะขบ ฝรังโดยใช้สารช่วยย้อม 4 ชนิด คือ สารส้ม จุนสี เหล็ก และโครม ใช้ระยะเวลาย้อม 30 นาที ที่อุณหภูมิ 80-85 องศาเซลเซียส พบว่าสีที่ย้อมได้มีความแตกต่างกันตามชนิดของสารช่วยย้อม คือ สารส้มให้สีเหลืองนวล จุนสีให้สีเหลืองอมเขียว เหล็กให้สีเทาและโครมให้สีเหลืองทอง ผลของการ ทดสอบความคงทนของสีต่อการซัก พบว่าการใช้โครมในขณะย้อมท าให้มีความคงทนต่อการซักสูงสุด และ ความคงทนของสีต่อแสง พบว่า สีผ้าไหมที่ไม่ใช้สารช่วยย้อมมีความคงทนต่อแสงสูงสุด วิจิตร รัตนาพานี (2553) การศึกษาเงื่อนไขเพื่อพัฒนาการย้อมเส้นไหมด้วยสีธรรมชาติที่สกัดได้ จากแก่นแกแล พบว่าความสามารถในการดูดซับสีสกัดจากแก่นแกแลบนเส้นใยไหมขึ้นกับ พีเอช ความเข้มข้นเริ่มต้นของสารละลายสี และอุณหภูมิอย่างมีนัยส าคัญ และยังพบว่าค่าคงที่อัตราการดูด เริ่มต้น(hi ) ของสีบนเส้นใยไหมเพิ่มขึ้นตามอุณหภูมิ การดูดซับสีบนเส้นไหมเป็นแบบ pseudo secondorder พลังงานก่อกัมมันต์ของการดูดซับมีค่าเท่ากับ 18.7 kJ/mol และค่าพลังงานอิสระกิบส์ และเอน ทาลปี ของการดูดซับมีค่าเท่ากับ -22.8 และ -14.2 kJ/mol ตามล าดับและเอนโทรปี มีค่าเท่ากับ -30.8 kJ/mol นอกจากนี้พบว่าการย้อมให้สีติดคงทนนั้นควรใช้สารส้มเป็นสารช่วยติดสี ขณะย้อม พร้อมกันนี้ได้ น าเงื่อนไขที่เหมาะสมในการย้อม คือ ที่พีเอช 4 MLR 1:100 และอุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส เวลาในการ ย้อม 60 นาที โดยเติมสารช่วยติดสีขณะย้อม ไปขยายสเกลการย้อมในระดับครัวเรือนกับกลุ่มแม่บ้าน 3 กลุ่ม ในจังหวัดนครราชสีมาและชัยภูมิ พบว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
26 บทที่ 3 วิธีด ำเนินกำรวิจัย การศึกษาความคงทนของสีด้วยการย้อมเส้นไหมด้วยสีธรรมชาติที่ได้จากแก่นแกแลเพื่อ งานมัดหมี่ ผู้วิจัยได้ด าเนินการวิจัยโดยมีขั้นตอนวางแผนการทดลองการย้อมไหมด้วยสีธรรมชาติ ที่ได้จากแก่นแกแล ดังนี้ 3.1 ไหมทดลอง 3.2 วัสดุสีย้อม 3.3 วิธีกำรสกัดสีย้อมและกำรย้อมไหม 3.4 กำรทดสอบกำรตกสีของเส้นไหมด้วยน ำสบู่มำตรฐำน 3.5 กำรวัดค่ำเฉดสี เปรียบเทียบสี (Spectro Photometer & Colorimeter) 3.6 กำรวิเครำะห์ข้อมูล 3.7 ออกแบบลำยมัดหมี่ 3.8 กำรมัดหมี่ 3.9 กำรสร้ำงและกำรหำคุณภำพของเครื่องมือ 3.10 กำรเก็บรวบรวมข้อมูล 3.11 สถิติที่ใช้ในกำรวิจัย 3.1 ไหมทดลอง เส้นไหมที่ใช้ทดลอง เพื่อศึกษาความคงทนของสีด้วยการย้อมเส้นไหมสีธรรมชาติที่ได้จาก แก่นแกแลเพื่อการมัดหมี่ คือเส้นไหมจุล เบอร์ 6 ที่ผ่านการฟอกขาว คือเส้นไหม สูตรที่ 1 เป็นกลุ่ม ควบคุมไม่ใส่สารช่วยติดสีสูตรที่ 2 ใส่สารช่วยติดสีคือ เกลือ และสูตรที่ 3 ใส่สารช่วยติดสีคือ สารส้ม ตามล าดับ โดยท าการทดลอง 3 ซ้ า 3.2 วัสดุสีย้อม วัสดุสีย้อมที่ใช้ในการทดลองเพื่อศึกษาความคงทนของสีด้วยการย้อมเส้นไหมสีธรรมชาติที่ได้ จากแก่นแกแลเพื่อการมัดหมี่ 3.2.1 เส้นไหมที่ผ่านการฟอกขาวแล้ว 1) การย้อมสีธรรมชาติ 2) ชิ้นตัวอย่างในการทดสอบความคงทนของสีต่อการซัก โดยเส้นไหมที่ใช้มีน้ าหนัก 2 กรัม
27 3.2.2 สารช่วยติดสี 1) เกลือ ซึ่งมีความเป็นกลางใช้เกลือในระดับความเข้มข้นของการย้อมเส้นไหมใช้สาร ช่วยติดสีในอัตราส่วน ¼ ช้อนชาของน้ าหนักไหม 2 กรัมต่อน้ า 100 มิลลิลิตร 2) สารส้ม ซึ่งมีความเป็นกรดใช้สารส้มในระดับความเข้มข้นของการย้อมเส้นไหมใช้ สารช่วยติดสีในอัตราส่วน ¼ ช้อนชาของน้ าหนักไหม 2 กรัมต่อน้ า 100 มิลลิลิตร 3.2.3 แก่นแกแล 1) แก่นแกแล 14 กรัม น้ า 150 มิลลิลิตร 3.2.4 เครื่องมือและอุปกรณ์ 1) อุปกรณ์ในการสกัดสี 1) กะละมังเคลือบ 2) ไม้พาย 3) ผ้าขาวบางกรองกาก 4) ถ้วยตวงของเหลว 5) เตาแก๊ส 6) ราวตากผ้า 7) เครื่องชั่งน้ าหนักดิจิตอล 2) อุปกรณ์การย้อมไหม 1) บีกเกอร์ 2) แท่งแก้วคนสาร 3) ถ้วยเตรียมสาร 4) ช้อนตวง 5) อุปกรณ์ในการล้างไหม 6) กะละมัง 7) เตาHoplate 3.3 วิธีกำรสกัดสีย้อมและกำรย้อมไหม 3.3.1 แผนการทดลอง CRD (Completely Randomized Design) แผนการวางบีกเกอร์ทดลองการย้อมไหมด้วยสีธรรมชาติจากแก่นแกแล 3 ต าแหน่ง 3 ซ้ า 1. บีกเกอร์ใบที่ 1 ควบคุมไม่ใส่สารช่วยติดสี 2. บีกเกอร์ใบที่ 2 เกลือ 3. บีกเกอร์ใบที่ 3 สารส้ม
28 ซ้ าที่ 1 ภาพที่3.3.1.1 แสดงแผนการทดลองซ้ าที่ 1 ซ้ าที่ 2 ภาพที่3.3.1.2 แสดงแผนการทดลองซ้ าที่ 1 ซ้ าที่ 3 ภาพที่3.3.1.3 แสดงแผนการทดลองซ้ าที่ 1 แผนการทดลอง CRD (Completely Randomized Design) คือแผนการทดลองแบบสุ่ม สมบูรณ์ เหมาะส าหรับการทดลองมีความสม่ าเสมอกันทั้งหมด มักใช้กับการทดลองที่ท าใน ห้องปฏิบัติการเรือนกระจก หรือการเพาะช า ที่สามารถควบคุมสภาพแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ ความชื้น ความสว่างและปัจจัยอื่นๆ ได้ 1 2 3 1 2 3 2 3 1
29 ตำรำงที่ 3.3 ตารางการทดลองการย้อมไหมด้วยสีธรรมชาติที่ได้จากแก่นแกแล โดยวิธีการสกัดร้อน ด้วยการน ามาต้ม 60 นาที แล้วย้อมร้อน 45 นาที สูตร สำรช่วยติดสี แก่น แกแล (กรัม) น ำสะอำด (มิลลิลิตร) เวลำ สกัดสี (นำที) ไหม (กรัม) น ำย้อม (มิลลิลิตร) สำรช่วยติด (ช้อนชำ) เวลำ ย้อม (นำที) 1 ไม่ใส่สารช่วยติดสี 14 150 60 2 100 - 45 2 เกลือ 14 150 60 2 100 1/4 45 3 สารส้ม 14 150 60 2 100 1/4 45 3.3.2 กระบวนการย้อม 1) ขั้นตอนการสกัดสี น าแก่นแกแลมาสับให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ จากนั้นน าแก่นแกแลมาชั่ง 14 กรัม แล้วตวงน้ า 150 มิลลิลิตร แล้วน ามาสกัดร้อนด้วยการน ามาต้ม เวลาสกัด 60 นาที 2) ขั้นตอนการย้อมไหม ใช้วิธีการย้อมร้อน ใช้น้ าสี 100 มิลลิลิตร เส้นไหม 2 กรัม (น าไหมไปแช่น้ าสะอาดก่อนย้อม) ใส่สารช่วยติด น าไหมลงย้อมเป็นเวลา 45 นาที 3) ขั้นตอนการล้างไหม ล้างด้วยน้ าสะอาด จนน้ าไม่มีสี จากนั้นน าไปตากในที่ร่ม 4) ขั้นตอนการเก็บรักษาเส้นไหม ใช้วิธีการกรอใส่หลอดกรอด้าย 3.4 กำรทดสอบกำรตกสีของเส้นไหมด้วยน ำสบู่มำตรฐำน 3.4.1 อุปกรณ์การทดสอบการตกสีของเส้นไหมด้วยน้ าสบู่มาตรฐาน 4.1.1 ขวด DURAN ส าหรับซักล้าง 4.1.2 กระบอกตวงพลาสติกขนาด 50 มิลลิลิตร 4.1.3 ลูกปืน 3.4.2. วิธีการทดสอบการตกสี 4.2.1 ทดสอบการตกสีของเส้นไหมด้วยน้ าสบู่มาตรฐาน 4.2.2 ทดสอบด้วยอุปกรณ์ซักล้าง 4.2.3 น าเส้นไหมไปทดสอบด้วยน้ าสบู่เป็นเวลา 5 นาที 4.2.4 จากนั้นน าน้ าสบู่ที่ผ่านการทดสอบทั้ง 3 ครั้ง มาสรุปผล
30 3.5 กำรวัดค่ำเฉดสี เปรียบเทียบสี (Spectro Photometer & Colorimeter) การวัดค่าเฉดสี เปรียบเทียบสี Spectro Photometer & Colorimeter แสดงค่าการวัดเป็น L*a*b* C.I.E COMMISSION INTERNATIONALE DE L'ECLAIRAGE แ ล ะ Hunter Lab (L*, a*, b*) เป็นสเกลสี (color scale) เปรียบเทียบสี การค านวณค่าที่แตกต่างกันของสี เราจะสามารถค านวณได้ ดังนี้ - L* ค่าความสว่าง (Lightness) ซึ่งค านวนจาก +L* สีขาว จนไปถึง -L* สีด า - a* สีเขียว (-a*) จนไปถึง สีแดง (+a*) - b* สีน้ าเงิน (-b*) จนไปถึง สีเหลือง (+b* 3.6 กำรวิเครำะห์ข้อมูล หาค่าเฉลี่ย ของค่าสี L*a*b* ของเส้นไหมที่ผ่านการย้อมสีด้วยวัสดุธรรมชาติจากแก่นแกแล 3.7 ออกแบบลำยมัดหมี่ ผู้วิจัยออกแบบลายมัดหมี่ จ านวน 5 ลาย โดยผู้วิจัยมีแรงบันดาลใจจากรูปเรขาคณิต จากนั้น ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไหมท าการประเมินแบบสอบถามลวดลายมัดหมี่และเลือกสูตรการย้อมเส้นไหมที่มี คุณภาพมากที่สุด ถ้าสูตรย้อมเส้นไหมมีคุณภาพทุกสูตรจะให้ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไหมเลือกสูตรการย้อม เส้นไหมโดยเลือกจากสีที่ปรากฏ ซึ่งผู้วิจัยได้ท าการออกแบบลวดลายมัดหมี่ดังภาพร่าง ต่อไปนี้
31 ภำพที่ 3.7.1 แสดงภาพร่างการออกแบบลวดลายมัดหมี่ลายที่ 1
32 ภำพที่ 3.7.2 แสดงภาพร่างการออกแบบลวดลายมัดหมี่ลายที่ 2
33 ภำพที่ 3.7.3 แสดงภาพร่างการออกแบบลวดลายมัดหมี่ลายที่ 3
34 ภำพที่ 3.7.4 แสดงภาพร่างการออกแบบลวดลายมัดหมี่ลายที่ 4
35 ภำพที่ 3.7.5 แสดงภาพร่างการออกแบบลวดลายมัดหมี่ลายที่ 5
36 3.8 กำรมัดหมี่ ผู้วิจัยท าการมัดหมี่จากการย้อมแก่นแกแลดังนี้ 1. เลือกสูตรย้อมเส้นไหมที่มีคุณภาพมากที่สุด ถ้าสูตรย้อมเส้นไหมมีคุณภาพทุกสูตรจะให้ ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไหมเลือกสูตรการย้อมเส้นไหมโดยเลือกจากสีที่ปรากฏ 2. วิธีการมัดหมี่ 2.1 น าเส้นไหมที่ค้นหมี่แล้วมาขึงในโครงเหล็กเพื่อมัดหมี่ 2.2 มัดหมี่ตามลายที่ผู้เชี่ยวชาญได้ท าการเลือก 2.3 ถอดไหมที่มัดลายเสร็จแล้วออกจากโครงเหล็กแล้วน าไปย้อม 3. ย้อมมัดหมี่จากแก่นแกแลด้วยสูตรที่มีคุณภาพมากที่สุด ถ้าสูตรย้อมเส้นไหมมีคุณภาพ ทุกสูตรจะให้ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไหมเลือกสูตรการย้อมเส้นไหมโดยเลือกจากสีที่ปรากฏ 3.9 กำรสร้ำงและกำรหำคุณภำพของเครื่องมือ ขั้นตอนในการสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบทดสอบความพึงพอใจ ผู้วิจัยได้ด าเนินการ สร้างและหาประสิทธิภาพของแบบสอบถามวัดความพึงพอใจต่อการมัดหมี่และลวดลายมัดหมี่ ดังนี้ 1. ศึกษาทฤษฏี หลักการจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ 2. การศึกษาวิธีการสร้างเครื่องมือ แบบสอบถามวัดความพึงพอใจตามวิธีของ ลิเคิอร์ท (likert) เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) (บุญชม ศรีสะอาด. 2545 : 66-74) 3. ร่างแบบสอบถามความพึงพอใจ แบบสอบถามความพึงพอใจเกี่ยวกับการมัดหมี่และ ลวดลายมัดหมี่ ความพึงพอใจด้านความสวยงาม ความพึงพอใจด้านการมัดหมี่ ความคิดสร้างสรรค์ใน การมัดหมี่ดังต่อไปนี้ โดยก าหนดเกณฑ์ ดังนี้ 5 หมายถึง มีความพึงพอใจมากที่สุด 4 หมายถึง มีความพึงพอใจมาก 3 หมายถึง มีความพึงพอใจปานกลาง 2 หมายถึง มีความพึงพอใจน้อย 1 หมายถึง มีความพึงพอใจน้อยที่สุด 4. น าแบบสอบถามเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ การใช้ภาษา ความเหมาะสมของระดับความ สอดคล้องกับการมัดหมี่และลวดลายมัดหมี่ 5. ปรับปรุง และน าไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย
37 3.10 กำรเก็บรวบรวมข้อมูล ขั้นการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ด าเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่าง คือนักศึกษ าชั้นปี 1 – 5 ส าข าวิช าคหก ร รมศ าสต ร์ คณะ วิทย าศ าสต ร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ จ านวน 90 คน โดยด าเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลดังนี้ 1.น ามัดหมี่ ไปให้นักศึกษาชั้นปี 1 - 5 สาขาวิชาคหกรรมศาสตร์คณะวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ได้ชมและท าการแจกแบบประเมินความพึงพอใจให้กับนักศึกษา เพื่อให้นักศึกษาได้ประเมินความพึงพอใจที่มีต่อลวดลายมัดหมี่ 2. น าแบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อลวดลายของมัดหมี่จากนักศึกษา สาขาวิชา คหกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ มาวิเคราะห์ผล โดยหา ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของแบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อลวดลายของ มัดหมี่ 3.11 สถิติที่ใช้ในกำรวิจัย ผู้วิจัยได้ใช้สถิติวิเคราะห์ข้อมูลตามวัตถุประสงค์การวิจัย การส ารวจความพึงพอใจที่มี ต่อลวดลายมัดหมี่ ของนักศึกษาสาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ดังนี้ 1.ค่าร้อยละ ที่ใช้ในการเปรียบเทียบสัดส่วนของชุดข้อมูล ดังนี้ (เดชพงษ์ อุ่นชาติ, 2556) = ×100 เมื่อ แทน ค่าร้อยละ แทน ค่าความถี่ที่ต้องการแปลค่าให้เป็นร้อยละ แทน จ านวนความถี่ทั้งหมด ก าหนดเกณฑ์ให้คะแนนไว้ดังนี้ ระดับคะแนน 5 หมายถึง มากที่สุด ระดับคะแนน 4 หมายถึง มาก ระดับคะแนน 3 หมายถึง ปานกลาง ระดับคะแนน 2 หมายถึง เล็กน้อยน้อย ระดับคะแนน 1 หมายถึง น้อยที่สุด