The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by fanudslo, 2022-09-02 01:57:53

pdf_20220902_111837_0000

pdf_20220902_111837_0000

รายวิชา
การจัดการงานส่วนหน้าโรงแรม 30701-2002

ห้องพักแขกและอัตราค่าห้องพัก

เสนอ
อาจารย์อุรัสยา ไชยดี

นางสาวพรทิพย์ ศรีมุงคุณ เลขที่16
สอร1/2 รหัสนักศึกษา 65307010038



บทนำ

โรงแรมพยายามที่จะสร้างสรรค์ ห้องพักแขก (Guest Room)
เพื่อให้แขกรู้สึกเหมือนกับอยู่บ้านของตนเอง ทั้งการจัดวางเตียงนอน
ห้องน้ำ กระจกเงา รวมถึงการลงทุนการออกแบบและตกแต่งห้องพัก
ด้วยจำนวนเงินมหาศาล เนื่องจากแต่ละโรงแรมต่างมีพื้นที่จำกัดดังนั้น
ผู้บริหารโรงแรมจึงพยายามที่จะพัฒนาคุณภาพห้องพักแต่ละประเภทให้
อยู่ในระดับสูงสุด แต่ละโรงแรมจึงจะมีการจัดขนาดและผังห้องพักที่แตก
ต่างกัน รวมไปถึงมาตรฐานที่แตกต่างกันตามระดับการบริหารและกลุ่ม
เป้าหมายทางการตลาดของโรงแรม สถานที่ตั้ง (Location) ของ
โรงแรมมีผลต่อการกำหนดประเภทห้องพักด้วยเช่นกัน ปัจจุบันโรงแรม
พยายามสร้างห้องพักให้เข้าถึงความต้องการของแขกมากที่สุดโดย
กำหนดประเภทห้องพัก (Room Types) และโครงสร้างห้องพัก
(Room Configuration) ให้มีความหลากหลาย

บทความนี้จะกล่าวถึงการกำหนดโครงสร้างห้องพัก ประเภทห้อง
พัก การกำหนดหมายเลขห้องพัก การรายงานสถานะห้องพักและ
กำหนดนโยบายด้านราคาและอัตราค่าห้องพัก

สารบัญ หน้า

เรื่อง 1
6
กำหนดโครงสร้างห้องพัก 11
สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพัก 12
การกำหนดหมายเลขห้อง 14
การรายงานสถานะห้องพัก 17
การรายงานสถานะห้องพักในกรณีอื่นๆ 19
การกำหนดราคาและอัตราค่าห้องพัก 27
โครงสร้างอัตราค่าห้องพัก 29
บทสรุป 30
คำถามท้ายบท
บรรณานุกรม

1

การกำหนดโครงสร้างห้องพัก (Room Configuration)

การกำหนดโครงสร้างห้องพัก (Room Configuration) หมายถึง
การออกแบบและตกแต่งลักษณะทางกายภาพห้องพัก โดยปกติแล้ว
โครงสร้างของห้องพักจะประกอบด้วยส่วนของห้องพักที่มีขนาดสอดคล้อง
กับจำนวนเตียงภายในห้องพักรวมไปถึงตำแหน่งที่ตั้งของสิ่งอำนวยความ
สะดวกภายในห้องพัก เช่น พื้นที่สำหรับจัดวางตู้เย็นในห้องพัก (Mini-bar)
ตู้เสื้อผ้า ที่วางโทรทัศน์ ที่วางกระเป๋าเดินทาง เป็นต้น นอกจากพื้นที่ดังกล่าว
ข้างต้นแล้ว โครงสร้างห้องพักยังหมายถึงพื้นที่ห้องน้ำและพื้นที่บริเวณ
ระเบียงห้องอีกด้วย ดังนั้น การจัดประเภทห้องพักจะอยู่บนพื้นฐานของ
จำนวนแขกที่ใช้บริการในห้องพักนั้นๆ โดยทั่วไปโรงแรมจะประกอบด้วยห้อง
พักประเภทต่างๆ ดังต่อไปนี้

1. ห้องเดี่ยว (Single Room: SGL) คือห้อง สำหรับแขกพักเพียงคนเดียว
จัดเป็นประเภทห้องพักมาตรฐานสำหรับรองรับแขกหนึ่งคน

2. ห้องคู่่(Double Room: DBL) คือห้อง สำหรับแขกสองคนโดยใช้เตียงคู่
(Double Bed) 1 เตียง

3. ห้องคู่สองเตียง (Twin Room: TWN) คือห้องสำหรับแขกสองคนโดยใช้
เตียงเดี่ยว (Single Bed) 2 เตียง

4. พักแขกสามคน (Triple Room: TRP) คือห้องพักสำหรับแขกสาม อาจ
จะใช้เตียงเดี่ยว 3 เตียงแยกกันหรือ 1 เตียงคู่ กับ 1 เตียงเดี่ยว หรือ 1 เตียง
เสริม (Extra Bed)

2

5. ห้องพักแขกสี่คน (Quad Room) คือ ห้องพักสำหรับแขก 4 คน อาจจะ
ใช้เตียงเดี่ยว 4 เตียง แยกกันหรือ 2 เตียงคู่ แยกกัน กรณีที่แขกมีความ
ประสงค์ให้จัดวางเตียงทั้งหมดติดกัน เรียกการจัดห้องลักษณะนี้ว่า "Hol-
lywood Style" กรณีใช้เตียงคู่ 2 เตียง อาจเรียกว่า (Double-Double)

ประเภทเตียงที่ใช้ในโรงแรม

Single Bed เตียงสำหรับใช้นอนเพียงคนเดียว มีขนาด 3.5 × 6.5 ฟุต

Double Bed เตียงสำหรับใช้นอน 2 คน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
King Size มีขนาด 6.5 × 6.5 ฟุต และ Queen Size

Extra Bed มีขนาด 6 × 6.5 ฟุต

เตียงพิเศษหรือเตียงเสริม มีขนาดเท่าเตียงเดี่ยว หรืออาจ
จะเล็กกว่าบางโรงแรมนิยมใช้ลักษณะ Roll-away Bed
คือ เตียงที่สามารถเคลื่อนย้ายได้หรือพับได้

Baby Cot/Crib เด็กหรือเปลเด็ก

Bunk Bed เตียงสองชั้น

Water Bed เตียงที่ใช้น้ำแทนวัสดุเพื่อรับน้ำหนักภายในเตียง

Murphy/Wall Bed ทั้งที่ติดผนังเพื่อประหยัดพื้นที่

Sofa Bed เตียงที่ใช้ในลักษณะโซฟาสามารถนอนและนั่งได้

3

นอกจากประเภทห้องพักจะสร้างความแตกต่างห้องพักแล้ว การ
ตกแต่งโครงสร้างห้องพักจะทำให้โรงแรมสามารถสร้างความแตกต่างของ
ห้องพักและอัตราค่าห้องพัก (Room Upgrading) คือ ความสามารถใน
การนำเสนอห้องพักด้วยโครงสร้างห้องพักที่ดีกว่าระดับความต้องการพื้นฐาน
ของห้องพักที่แขกต้องการ การยกระดับห้องพักก่อให้เกิดผลทางบวกหลาย
ประการต่อธุรกิจโรงแรม กล่าวคือเป็นการสร้างโอกาสในการเพิ่มรายได้อัน
เป็นผลมาจากการยกระดับห้องพักและอัตราค่าห้องพัก การยกระดับห้องพัก
ยังครอบคลุมไปถึงการนำเสนอห้องพักให้กับแขกบุคคลสำคัญ(VIP Guest)
นอกจากนี้การยกระดับห้องพักยังเป็นกลยุทธ์สำคัญที่โรงแรมนำมาใช้ใน
กรณีต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น กรณีที่แขกไม่พอใจกับการบริการหรือข้อผิด
พลาดต่างๆ พี่อาจจะเกิดกับแขก โรงแรมอาจจะแก้ไขโดยการชดเชยหรือนำ
เสนอห้องพักที่มีระดับดีกว่าห้องพักที่แขกใช้อยู่ วิธีการดังกล่าวนี้นอกจากจะ
สร้างความพึงพอใจให้กับแขกแล้ว การยกระดับห้องพักยังเป็นการสร้าง
เอกลักษณ์เฉพาะและเพิ่มมูลค่าห้องพักให้กับโรงแรมอีกทางหนึ่ง

เพื่อสร้างความแตกต่างของโครงสร้างห้องพัก นักการตลาดโรงแรมจึง
กำหนดให้ห้องพักมีลักษณะที่แตกต่างกันโดยระดับความหรูหรา ปัจจุบัน
โรงแรมตกแต่งโครงสร้างห้องพักให้มีระดับความหรูหราแตกต่างโดยแบ่ง
ออกเป็น 3 ประเภท คือ

1. ห้องพักระดับมาตรฐาน (Standard Room) คือ ห้องพักที่มี
โครงสร้างห้องพักตามลักษณะพื้นฐานตามประเภทของโรงแรมและระดับของ
โรงแรม

2.ห้องพักระดับพิเศษ (Superior Room) คือ ห้องพักที่มีความพิเศษ
มากกว่าห้องพักระดับมาตรฐาน เช่น การเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกในห้อง
พัก การตกแต่งและมุมมองชมทัศนียภาพที่สวยงามกว่าระดับมาตรฐาน
เป็นต้น

4

3.ห้องพักระดับหรูหรา (Deluxe Room) คือ ห้องพักที่มีความหรูหรา
ตกแต่งอย่างพิเศษ สิ่งที่อยู่ภายใต้แนวคิดดังกล่าวนี้ คือ การสร้างการรับรู้
แก่แขกที่จะพักกับโรงแรมถึงมูลค่าเพิ่มที่จะได้รับจากโครงสร้างห้องที่แตก
ต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อความตั้งใจที่จะจ่ายในอัตราที่สูงกว่ามาตรฐาน เพื่อให้ได้
รับความแตกต่างกันของมูลค่าทั้งด้านห้องพักและการบริการภายในห้องพัก

นอกจากการสร้างความแตกต่างของโครงสร้างห้องพัก โดยใช้การ
ตกแต่งโครงสร้างห้องพักให้มีความหรูหราแตกต่างกันแล้ว "การกำหนด
ตำแหน่ง (Location) และจุดชมทัศนียภาพจากห้องพัก (View)" ยังช่วย
สร้างความแตกต่างและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโรงแรมอีกด้วย โดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง โรงแรมที่พักต่างอากาศที่มีลักษณะของตัวอาคารสูงหรือโรงแรมที่
ตั้งอยู่ใกล้กับจุดที่สามารถชมทัศนียภาพโดยรอบของโรงแรม เช่น แม่น้ำ
เมืองใหญ่ ทะเลและสวนธรรมชาติ เป็นต้น โดยนิยมเรียกประเภทห้องพัก
แขกจากทัศนียภาพที่แขกจะสามารถชมได้จากห้องพัก โดยมีรายละเอียดดัง
ต่อไปนี้

ห้องที่สามารถชมทะเลหรือมหาสมุทรจากห้องพัก (Sea View Room
หรือOcean View Room) คือ ห้องพักแขกที่สามารถมองเห็นทะเลหรือ
มหาสมุทรจากระเบียงห้องพักหรือหน้าต่างห้องพักได้ในมุมกว้าง

ห้องที่สามารถชมตัวเมืองจากห้องพัก (City View Room) คือ ห้องพัก
แขกที่สามารถมองเห็นเมืองส่วนใหญ่จะเป็นวิวที่สวยงามในช่วงกลางคืนและชม
ได้จากระเบียงห้องพักหรือหน้าต่างห้องพักได้ในมุมกว้าง

ห้องที่สามารถชมสวนจากห้องพัก (Garden View Room) คือ ห้องพัก
แขกที่สามารถมองเห็นสวนธรรมชาติจากระเบียงห้องพักหรือหน้าต่างห้องพักได้
ในมุมกว้าง

ห้องที่สามารถชมแม่น้ำจากห้องพัก (River View Room หรือ Water
View Room) คือ ห้องพักที่สามารถมองเห็นแม่น้ำและทะเลสาบจากระเบียง
ห้องพักหรือหน้าต่างห้องพักในมุมกว้าง

5

ห้องที่สามารถชมสระว่ายน้ำจากห้องพัก (Pool View Room) คือ ห้อง
พักแขกที่สามารถมองเห็นสระว่ายน้ำจากระเบียงห้องพักหรือหน้าต่างห้องพักได้
ในมุมกว้าง

ห้องที่สามารถชมเกาะจากห้องพัก (Island View Room) คือห้องพัก
แขกที่สามารถมองเห็นเกาะจากระเบียงห้องพักหรือหน้าต่างห้องพัดได้ในมุม
กว้าง

การเพิ่มมาตรฐานโครงสร้างห้องพัก (Enhanced Configuration)
หมายถึง การเพิ่มระดับมาตรฐานห้องพักแขกประกอบด้วย การเพิ่มสิ่งอำนวย
ความสะดวกในห้องพักและห้องน้ำ (Amenity) และรูปแบบการบริการที่มากก
ว่ามาตรฐานโครงสร้างห้องพัก สิ่งอำนวยความสะดวกและการบริการที่โรงแรม
จัดเพิ่มเติมเพื่อมาตฐานโครงสร้างห้องพักแขกประกอบด้วย การเพิ่มบริการ
ภายในห้องพักที่มีความหลากหลายและให้ตรงกับความต้องการใช้ของกลุ่มแขก
ของโรงแรม เช่น การจัดให้มีการบริการอินเทอร์เน็ตในห้องพัก สำหรับโรงแรม
ที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นนักธุรกิจ เป็นต้น

ห้องชุด (Suite Hotels) เป็นโรงแรมประเภทที่เพิ่งได้รับการพัฒนาขึ้น
มาล่าสุด และกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก โรงแรมประเภทนี้จะมีห้องพัก
เป็นห้องชุดล้วนๆ คือ จะมีห้องรับแขกแยกออกจากห้องนอน บางแห่งก็อาจ
จะมีห้องครัวเล็ก ๆ ให้โดยมีตู้เย็นและเครื่องดื่มต่างๆ จัดให้พร้อมอยู่ภายในห้อง
พักนั้น กลุ่มคนที่ต้องเดินทางบ่อยๆ ก็ชอบโรงแรมประเภทนี้เพราะให้ความ
รู้สึกเหมือนอยู่บ้าน โรงแรมในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นโรงแรมประเภทใดมักนิยมมี
ห้องชุดนี้ไว้บริการ

นอกจากห้องชุดแล้วโรงแรมยังมีการเพิ่มมาตรฐานโครงสร้างห้องพัก ใน
ลักษณะห้องพักประเภทอื่นๆ เพื่อรองรับความต้องการแขกที่แตกต่างกัน ดังต่อ
ไปนี้

6

1. ห้องพักติดกัน (Adjoining Room) คือ ห้องพักที่ติดกันส่วนใหญ่ใช้
กับกลุ่มแขกที่มาเป็นกลุ่มหรือครอบครัว

2. ห้องพัก 2 ห้องที่ประตูเชื่อม (Connecting Room) คือ ห้องพัก 2
ห้องที่ติดกันนอกจากจะมีประตูเข้า-ออกของแต่ละห้องแล้วยังมีประตูเชื่อม
ระหว่างสองห้องใช้กับกลุ่มแขกที่มาเป็นกลุ่มหรือครอบครัว

3. ห้องพักที่มีตำแหน่งตรงข้ามหรือเยื้องกัน (Adjacent Room) คือ
ห้องพักโรงแรมจัดให้แขกที่มาในกลุ่มเดียวกันโดยห้องที่มีตำแหน่งตรงข้ามหรือ
เยื้องกัน

4. ห้องเล็กตามมุมดึกสามารถดัดแปลงเป็นห้องนอนหรือห้องทำงาน
(Studio Room)

5. ห้องที่มี 2 ชั้น (Duplex Room)ส่วนใหญ่ภายในห้องจะมีบันไดเวียน

6. ห้องที่อยู่ใกล้กับสระว่ายน้ำหรือมีทางเดินจากห้องพักไปยังสระว่ายน้ำ
(Cabana Room)

สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพัก

ภายในห้องพักแขกนอกจากจะมีการจัดแผนผังห้องพัก (Guest Room
Layout) และการตกแต่งห้องพักแล้วโรงแรมจะต้องคำนึงถึงสิ่งอำนวยความ
สะดวกภายในห้องและสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องน้ำอีกด้วยความหลากหลาย
ของสิ่งอำนวยความสะดวก จะเป็นไปตามระดับห้องพักประเภทห้องพักและ
อัตราค่าห้องพักรวมถึงการมุ่งเน้นการบริการเฉพาะส่วนบุคคล (Personalize
Service) นอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องพักแล้วในโรงแรมที่มี
มาตรฐานระดับสูงจะมีการเพิ่มการบริการ เช่น

7

บริการเปิดเตียง (Turn Down Service) เป็นบริการที่โรงแรมจัดให้กับ
แขกทุกห้องพักตั้งแต่เวลา 18.00 น. แต่ไม่เกิน 21.00 น. พนักงานทำความ
สะอาดห้องพัก (Room Attendant) จะเข้าไปทำความสะอาดในส่วนที่จําเป็น
ภายในห้องพักให้เรียบร้อยพร้อมที่จะให้บริการแขกเช่นการเปิดผ้าม่านภายใน
ห้องพักการเปิดผ้านวมเพื่อพร้อมให้แขกได้แทรกตัวเข้าไปนอนและในบาง
โรงแรมอาจจะมีการวางดอกไม้ใบรายการอาหารเช้า (Breakfast Menu) ไว้ที่
เตียงในกรณีที่แขกจะคืนห้องพักในวันรุ่งขึ้นจะมีการส่งแบบสอบถามความพึง
พอใจ (Guest Questionnaire) เพื่อให้แขกได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการ
บริการของโรงแรมอีกด้วย

บริการซักรีด (Laundry Service) โดยทั่วไปโรงแรมจะเปิดให้บริการ
เวลาประมาณ 07.00-21.00 น. ทางแผนกแม่บ้านจัดเตรียมถุงสำหรับใส่ผ้าที่
แขกต้องการให้รักและรายการสิ่งของที่ต้องการซักไว้ภายในตู้เสื้อผ้าของทุกห้อง
พักในบางโรงแรมอาจจะมี

บริการซักผ้าด่วนพิเศษ (Laundry Express) เสร็จภายในเวลา 3
ชั่วโมงและทางโรงแรมจะเรียกเก็บค่าบริการเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตัวจากอัตราค่า
บริการปกติเช่นหากอัตราค่าบริการปกติ 100 บาทต่อชิ้นบริการซักผ้าด่วน
พิเศษจะเรียกเก็บค่าบริการ 200 บาทต่อชิ้น

บริการขัดรองเท้า (Shoe Shine Shoe Polish Service) โดยปกติ
ภายในห้องพักแขกจะมีผ้าเช็ดรองเท้าวางอยู่ภายในตู้เสื้อผ้าเรียกว่า“Shoe
Mitt"

บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (High Speed Internet) แขกสามารถ
ขอใช้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงภายในห้องพักทุกห้องโดยจะกำหนดอัตรา
ค่าบริการส่วนใหญ่คิดเป็นรายชั่วโมง อย่างไร ก็ตามในกรณีที่แขกพักในห้องพัก
ที่มีราคาสูงจะมีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วรวมอยู่ในอภินันทนาการของ
โรงแรม

8

บริการพี่เลี้ยงเด็ก (Baby Sitting) เป็นบริการพี่เลี้ยงเด็กโรงแรมจะ
กำหนดอัตราค่าบริการเป็นรายชั่วโมงต่อจำนวนเด็กที่ดูแลเช่นบริการดูแลเด็ก 1
คนต่อ 1 ชั่วโมงคิดอัตราค่าบริการ 200 บาท

บริการต้นห้อง/บริการเลขา (Butter Service/Secretarial Service)
เป็นเสมือนบริการเลขาส่วนตัวให้กับแขก โดยจะทำหน้าที่จัดหาและอำนวยความ
สะดวกต่างๆ ตามที่แขกต้องการ เช่น บริการดูแลสัมภาระแขก การจัดกระเป๋า
ตลอดจนหน้าที่ต่างๆ ที่แขกขอความช่วยเหลือ

บริการเตียงเสริม (Extra Bed ) แขกสามารถขอใช้บริการเตียงเสริมได้
โดยแจ้งความประสงค์กับแผนกแม่บ้านหรือที่แผนกบริการส่วนหน้าโดยจะมีการ
เรียกเก็บค่าบริการเพิ่มเติมด้วยในที่นี้อาจรวมถึงบริการเตียงเด็ก (Baby Cot)
อีกด้วย

บริการให้ยืมเตารีดและที่รองรีด (Ironing and Ironing Board) เป็น
บริการที่จัดให้กับแขกผู้มาพักได้ใช้ในกรณีที่แขกร้องขอโดยสามารถติดต่อขอยืม
ได้ที่แผนกแม่บ้านส่วนใหญ่จะไม่คิดค่าบริการ

บริการและสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องพัก

24-Hour Concierge บริการอำนวยความสะดวกข้อมูล 24 ชั่วโมง

24-Hour Room Service บริการอาหารในห้องพัก 24 ชั่วโมง

Air-Conditioned Room ห้องพักพร้อมเครื่องปรับอากาศ

Bathroom Telephone โทรศัพท์ภายในห้องน้ำ

Bathtub อ่างอาบน้ำ

Butler Service พนักงานต้นห้อง

Cable/Satellite TV channelsรายการทีวีเคเบิ้ล

Coffee Maker เครื่องชงกาแฟ

Color TV โทรทัศน์สี

Connecting Room ห้องที่มีประตูภายในเชื่อมต่อกัน

Crib upon Request บริการเปลเด็กตามที่ต้องการ

Deluxe Bath Amenities สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องน้ำอย่างหรูหรา

Double Glazing กระจกเงา

DVD Player เครื่องเล่นดีวี

DVD/CD Player เครื่องเล่นดีวีดี/ซีดี

9

Enhanced work desk lighting ไฟที่โต๊ะทํางาน

Escort to Guest Room at Check-in บริการลงทะเบียนที่ห้องพักแขก

Free Daily Newspaper/Morning หนังสือพิมพ์รายวัน

Newspaper

Fresh Flowers บริการดอกไม้สดภายในห้องพัก

Fruit Basket ตะกร้าผลไม้

Hairdryer เครื่องเป่าผม

Handicap Accessible Room ห้องสําหรับช่วยเหลือผู้พิการ

High-speed wireless Internet accessบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง

In Room Check-out บริการคืนห้องพักในห้องพัก

In Room Movies บริการภาพยนตร์ในห้องพัก

In Room Video Games Available บริการวีดีโอเกมส์ในห้องพัก

Individual Air Conditioning Control ระบบควบคุมเครื่องปรับอากาศ

ในห้องพัก

In Room Electronic Safe ตู้นิรภัยภายในห้องพัก

In Room Fax Machine เครื่องโทรสารในห้องพัก

In Room Yoga Mat With Yoga Away ผ้ารองสำหรับเล่นโยคะพร้อม

DVD ด้วยเครื่องเล่นวิดีโอสอนโยคะ

International Direct Dialing (IDD) โทรศัพท์จากห้องพักไปยัง

ต่างประเทศ

Iron/Ironing Board บริการเตารีดและที่รองรีด

Kitchenette บริการเครื่องครัว

LCD Flat Screen TV โทรทัศน์จอแบนแบบแอลซีดี

Maid Service บริการแม่บ้าน

Marble Bath ห้องอาบนํ้าตกแต่งด้วยหินอ่อน

Mini Bar ตู้เย็นขนาดเล็กในห้องพัก

Non-Smoking Room ห้องพักที่ไม่สูบบุหรี่

10

Outlet Adaptors ช่องเสียบปลักไฟ

Plates/Glassware จานช้อนและเครื่องแก้ว

Poolside Room สระว่ายนํ้าในห้องพัก

Private Balcony or Patio ระเบียง/ชานห้องส่วนบุคคล

Radio/Alarm Clock นาฬิกาปลุก/วิทยุปลุก

Refrigerator ตู้เย็น

Robes/Bathrobes เสื้อคลุมอาบน้ำเ

Rollaway Beds ตียงเสริมเคลื่อนที่

Satellite Radio วิทยุ

Scale เครื่องชั่งน้ำหนัก

Separate Sitting Area พื้นที่นั่งเล่นส่วนตัว

Separate Work Areal พื้นที่ทํางานส่วนตัว

Slippers รองเท้ายในห้องพัก

Smoke Detectors in Room เครื่องตรวจควันในห้องพัก

(กรณีไฟไหม้)

Spacious Bathroom ห้องนํ้าแบบพิเศษ

Speakerphone ระบบลำโพงในเครื่องโทรศัพท์

Sprinklers In Room ระบบฉีดน้ำในห้องพัก(กรณีไฟไหม้)

Tea Maker Television with Remote เครื่องชงชา

Control โทรศัพท์พร้อมรีโมทควบคุม

Toaster เครื่องปิ้ งขนมปัง

Turndown Service บริการเปิดเตียง

Voicemail บริการข้อความเสียง

Wake-up Service บริการปลุก

Work Desk โต๊ะทํางาน

Work Desk / Lamp โต๊ะทํางานและโคมไฟ

11

การกำหนดหมายเลขห้องพัก (Room Numbering)

การกำหนดหมายเลขห้องพักเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งที่เอื้อ
ประโยชน์ต่อการบริการและการทำงานของพนักงานของแผนกบริการส่วน
หน้าโดยทั่วไปการกำหนดหมายเลขห้องพักจะประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญคือ
ส่วนที่ 1 คือลำดับชั้นในอาคาร (Floor) โดยทั่วไปจะอยู่ในส่วนหน้าของ
หมายเลขห้องพักส่วนที่ 2 คือลำดับหมายเลขห้องพักในชั้นนั้น ๆ เช่นห้อง
หมายเลข 1201 โดยหมายเลข 12 หมายถึงห้องพักอยู่ในชั้นที่ 12 และ
หมายเลข 01 หมายถึงห้องพักลำดับที่ 1-ปกติโครงสร้างอาคารของโรงแรม
จะจัดให้มีห้องพักแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ งที่มีประตูห้องตรงข้ามกันรูปแบบของ
การเรียงลำดับห้องพักสามารถจัดทำได้ 2 ลักษณะคือ 1) การเรียงลำดับ
หมายเลขห้องต่อเนื่องกันเช่น 1201, 1202, 1203 และ 1204 และ 2) การ
เรียงลำดับห้องเป็นฝั่ งเลขคู่และเลขเช่น 1201, 1203, 1205 และ 1207 หรือ
1202, 1204, 1206 และ 1208 เป็นต้นนอกจากที่กล่าวข้างต้นแล้วในการ
กำหนดหมายเลขห้องพักได้ มีการยกเว้นหมายเลขบางหมายเลขอันเป็นผลมา
จากความเชื่อเช่นหมายเลข 13 ชาวตะวันตกถือว่าเป็นหมายเลขที่ไม่ดีทําให้
หมายเลข 13 ถูกนำมายกเว้นในการกําหนดลำดับชั้นในอาคารคือโรงแรมบ้าน
หมายเลข 13 ไปเช่นชั้น 11, 12, 14 และ 15

ไม่เพียง แต่ลำดับชั้นในอาคารเท่านั้นยังรวมไปถึงลำดับห้องพัก ก็จะ
ยกเว้นเช่นกันแม้ว่าความเชื่อดังกล่าวจะเป็นของชาวตะวันตก แต่โรงแรมที่อยู่
ในเอเชียหรือแม้แต่ประเทศไทยเองก็กำหนดหมายเลขห้องโดยคำนึงถึงความ
เชื่อดังกล่าวด้วยเช่นกันทั้งนี้เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายหลักของโรงแรมคือนัก
ท่องเที่ยวหรือแขกชาวตะวันตกดังนั้นโรงแรมจะมองข้ามพฤติกรรมนักท่อง
เที่ยวในประเด็นดังกล่าว นี้ไม่ได้ไม่เพียง แต่หมายเลข 13 เท่านั้นประเทศใน
เอเชียเองก็มีความเชื่อต่อหมายเลข 4 ว่าเป็นเลขที่ไม่ดีซึ่งโรงแรมนำมา
ประยุกต์ใช้เช่นเดียวกับหมายเลข 13

12

1101 1102 1103 1104 1105

1106 1107 1108 1109 1110

การกำหนดหมายเลขตามห้องพักตามลำดับ

1101 1103 1105 1107 1109

1102 1104 1106 1108 1110

การกำหนดหมายเลขตามห้องพักตามลำดับเลขคู่-คี่

การรายงานสถานะห้องพัก (Room Status
Reconciliation)

นอกจากความเข้าใจเรื่องห้องพักดังกล่าวข้างต้นแล้วกระบวนการใน
การตรวจสอบสถานะห้องพักคือสิ่งสําคัญด้วยเช่นเดียวกันโดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งแผนกบริการส่วนหน้าและแผนกแม่บ้านจำเป็นจะต้องทราบสถานะห้อง
พักที่เป็นปัจจุบัน และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงพนักงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้อง
ปรับสถานะห้องพักโดยการรายงานสถานะห้องพักจะใช้ตัวอักษรภาษา
อังกฤษเป็นตัวย่อแทนสถานะห้องพักประเภทต่าง ๆ
จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ

13

1. การรายงานสถานะห้องพักในการเข้าพัก(Status of Occupancy)
อักษร O มาจากคำว่า Occupancy หมายถึงห้องพักที่แขกได้ลงทะเบียน
เข้าพักแล้ว
อักษร V มาจากคำว่า Vacant หมายถึงห้องพักที่แขกทำการคืนห้องพัก
แล้วหรือห้องว่างไม่มีการใช้งาน
อักษร R มาจากคำว่า Ready หมายถึงห้องพักที่พร้อมให้บริการแขกราย
ใหม่
อักษร AE มาจากคำว่า Arrival Expected หมายถึงห้องพักที่คาดว่า
แขกจะเข้าพัก
อักษร DE มาจากคำว่า Departure Expected หมายถึงห้องพักที่คาด
ว่าแขกจะคืน
2. การรายงานสถานะห้องพักขั้นการทำความสะอาด (Status of
Cleanliness) อักษร D มาจากคำว่า Dirty หมายถึงห้องพักที่แผนกแม่บ้าน
ยังไม่ได้ทำความสะอาดอักษร C มาจากคำว่า Clean หมายถึงห้องพักที่แผนก
แม่บ้านทำความ สะอาดเรียบร้อยแล้วแต่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบมาตรฐาน
ความสะอาด
3. การรายงานสถานะห้องพักที่ไม่สามารถให้บริการแขกได้ (State of
Exception) อักษร OOO มาจากคําว่า Out Of Order หรืออักษร OOS มา
จากคําว่า Out Of Service หมายถึงห้องพักแขกที่ไม่สามารถให้บริการแขกได้
ซึ่งอาจจะเกิดจากห้องชำรุดหรืออยู่ระหว่างการปรับปรุง (Renovation)
การใช้อักษรต่าง ๆ เหล่านี้จะเปรียบเสมือนรหัสที่ใช้แสดงสถานะห้องพักจะ
เป็นแผนกบริการส่วนหน้าหรือแผนกแม่บ้านจำเป็นจะต้องศึกษาให้ตรงกัน
การใช้รูปแบบตัวอักษรดังกล่าวจะใช้ร่วมกันเพื่อแสดงสถานะห้องพักโดยมี
ตัวอย่างดังต่อไปนี้

14

C/O มาจาก Clean & Occupied หมายถึงห้องพักที่แผนกแม่บ้าน
ทำงานความสะอาดเรียบร้อยและแขกได้ลงทะเบียนเข้าพักแล้ว

C/AE มาจาก Clean & Arrival Expected หมายถึงห้องพักที่
แผนกแม่บ้านทํางานความสะอาดเรียบร้อยและห้องพักที่คาดว่าแขกจะเข้าพัก

C/DE มาจาก Clean & Departure Expected หมายถึงห้องพักที่
แผนกแม่บ้านทำงานความสะอาดเรียบร้อยและห้องพักที่คาดว่าแขกจะคืนห้อง
พัก

C/V มาจาก Clean & Vacant หมายถึงห้องพักที่แผนกแม่บ้าน
ทำงานความสะอาดเรียบร้อยและห้องพักที่แขกทำการคืนห้องพักแล้ว

D/O มาจาก Dirty & Occupied หมายถึงห้องพักที่แผนกแม่บ้านยัง
ไม่ได้ทำความสะอาดและแขกได้ลงทะเบียนเข้าพักแล้ว

D/AE มาจาก Dirty & Arrival Expected หมายถึงห้องพักทีแผนก
แม่บ้านยังไม่ได้ทำความสะอาดและห้องพักที่คาดว่าแขกจะเข้าพัก

D/DE มาจาก Dirty & Departure Expected หมายถึงห้องพักแแม่
บ้านยังไม่ได้ทำความสะอาดและห้องพักที่คาดว่าแขกจะคืน

D/V มาจาก Dirty & Vacant หมายถึงห้องพักที่แผนกแม่บ้านยังไม่
ได้ทำความสะอาดและห้องพักที่แขกทำการคืนห้องพักแล้ว

การรายงานสถานะห้องพักในกรณีอื่นๆ

นอกจากหลักการดังกล่าวข้างต้นแล้วการรายงานสถานะห้องพักอาจจะ
เกี่ยวข้องระหว่างความสัมพันธ์ระหว่างแขกกับการชำระค่าบริการระยะเวลาการ
เข้าพักการคืนห้องพักโดยมีคำศัพท์ที่ใช้รายงานสถานะห้องพักได้ดังต่อไปนี้

15

Complimentary Room ห้องพักอภินันทนาการที่โรงแรมจัดให้แขกโดย
ไม่คิดค่าบริการเช่นมัคคุเทศก์หรือสื่อมวลชน
ห้องพักอภินันทนาการจะถูกจัดให้กับบุคคลที่
มีชื่อเสียงและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับโรงแรม
จากการเข้าพักและห้องพักอภินันทนาการยังถูก
เป็นเครื่องมือการส่งเสริมการตลาดในการสร้าง
ความสัมพันธ์กับส่วนต่างๆอย่างไรก็ตามการ
ควบคุมภายในสำหรับการจัดห้องพัก
อภินันทนาการเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ตรวจสอบภาค
กลางคืนจะต้องจัดทำให้กับผู้บริหารโรงแรมรับ
ทราบ (K.Vallen and J.Vallen,2000)

Did Not Check Out ห้องที่แขกได้ชำระค่าบริการทั้งหมดก่อนวันที่
จะสิ้นสุดการเข้าพักหรืออาจจะชำระตั้งแต่วันที่
ลงทะเบียนการเข้าพักโดยวันที่แขกออกจาก
โรงแรมแขกจะไม่กลับไปคืนห้องที่แผนก
ต้อนรับแขกจะออกจากโรงแรมเวลาใดก็ได้โดย
ไม่มีการแจ้งโรงแรม

Do Not Disturb Room เป็นการรายงานว่าแขกไม่ต้องการให้แม่บ้าน
House Used Room รบกวนส่วนใหญ่โรงแรมจะมีป้ายนี้ไว้ให้แขก
คล้องลูกบิดประตูในกรณีที่แขกยังไม่ต้องการให้
แม่บ้านทำความสะอาดห้องหรือแจ้งกับแผนก
บริการส่วนหน้าเพื่อไม่ให้รบกวนการพักผ่อน

ห้องพักที่จัดให้กับพนักงานของโรงแรมใช้
บริการเช่นผู้บริหารโรงแรมพนักงานของ
โรงแรม

Lock-out Room 16

Overstay Room ห้องที่ผู้บริหารหรือผู้จัดการแผนกบริการส่วน
Sleep-out Room หน้าสั่งให้ปิดประตูห้องโดยมีอนุญาตให้แขกเข้า
Sleeper Room ได้ในกรณีที่มีเหตุการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจเช่นแขก
มีทีท่าว่าจะหนีหรือไม่าระการเข้าพักโดยโรงแรม
Skipper Room จะสั่งปิดห้องพักแขกเพื่อเรียกเก็บค่าบริการและ
Understay Room เพื่อแขการะค่าบริการแล้วจะเปิดห้องให้ใช้ตาม
ปกติ

ห้องพักที่แขกขอขยายเวลาการพักเพิ่มขึ้นจาก
วันที่คาดว่าจะสิ้นสุดการเข้าพัก

ห้องพักที่แขกลงทะเบียนการเข้าพักไว้ แต่แขก
ไม่ได้นอนที่ห้องพัก

ห้องพักที่แยกออกจากโรงแรมเป็นที่เรียบร้อย
แล้วแต่สามารถเรียกเก็บค่าบริการภายหลัง แต่
ยังไม่เปลี่ยนสถานะห้องพักเพื่อให้ข้อมูลเป็น
ข้อมูลที่ถูกต้อง

ห้องพักแขกที่หนีไปโดยไม่ชำระค่าห้องพักหรือ
ค่าบริการอื่น ๆ

ห้องพักที่แขกขอคืนห้องก่อนวันที่คาดว่าจะสิ้น
สุดการเข้าพัก

17

การกำาหนดราคาและอัตราค่าห้องพัก (Room Rate)

ราคา หมายถึง มูลค่าของสินค้าหรือบริการที่สามารถวัดได้โดยรูปของ
จำนวนเงินเพื่อก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนหรือโอนย้ายกรรมสิทธิ์ในสินค้าและ
บริการ หรือ ราคา หมายถึง จํานวนเงินที่ใช้แลกเปลี่ยนกับมูลค่าของผลิตภัณฑ์
ซึ่งผลิตภัณฑ์นั้นอาจรวมเอาอรรถประโยชน์ด้านอื่น ๆ และมีการบริการที่เหมาะ
สมเข้าไปด้วย แต่ละโรงแรมมีการกำหนดนโยบายด้านราคาและอัตราห้องพักที่
แตกต่างกันขึ้นอยู่กันปัจจัยสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ
(Business Environment) วัตถุประสงค์ในการกำหนดอัตราค่าห้องพักและ
ค่าบริการคือ
1) เพื่อผลตอบแทนในรูปของกำไรอาจจะแสดงออกมาในรูปกำไรตามเป้าหมาย
ที่กำหนดกำไรสูงสุดหรือกำไรในระดับที่พอใจ
2) เพื่อทำให้เกิดยอดขายเพิ่มมากขึ้นโดยการเพิ่มปริมาณการขายห้องพักหรือ
การเพิ่มส่วนครองตลาดและ
3) เพื่อรักษาสถานะของธุรกิจโรงแรมให้อยู่คงเดิม

ดังนั้นการกำหนดอัตราค่าห้องพักผู้บริหารโรงแรมจะต้องพิจารณาจาก
ปัจจัยหลายด้านเช่นโครงสร้างทางด้านต้นทุนการดำเนินธุรกิจโรงแรมดัชนีราคา
ผู้บริโภคและราคาตลาดของคู่แข่งขันระหว่างโรงแรมในระดับเดียวกัน โดย
เฉพาะอย่างยิ่งจะต้องคำนึถึงผลประโยชน์สูงสุดแรกจะได้ รับอย่างไร ก็ตาม
สามารถสรุปปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการกําหนดอัตราค่าห้องพัก ประกอบด้วย

1. ช่วงเวลาการท่องเที่ยวในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรมมีการ
กำหนดช่วงเวลาของการท่องเที่ยวออกเป็น 2 ช่วงเวลาหรือที่นิยมเรียกว่าฤดู
การท่องเที่ยว (Figh Season) และนอกฤดูการท่องเที่ยว (Low Season)
สำหรับประเทศไทยฤดูการท่องเที่ยว (High Season) จะอยู่ช่วงเวลาประมาณ
เดือนตุลาคมจนถึงเมษายนของปีถัดไปเหตุผลที่กำหนดช่วงเวลาดังกล่าว
เนื่องจากเป็นช่วงที่กำลังเข้าสู่ฤดูหนาว

18

ปัจจัยการท่องเที่ยวทาง เช่น ประเพณีลอยกระทงธรรมชาติเริ่มมีความสวยงาม
และยังมีกิจกรรมทางวัฒนธรรม เทศกาลปีใหม่ เทศกาลตรุษจีน และเทศกาล
สงกรานต์เป็นต้นปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้มีผลต่อการกระตุ้นให้เกิดความต้องการ
ท่องเที่ยวสูง (High Demand) ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูกาล
ดังกล่าวมีจำนวนมากส่งผลต่อการกำหนดราคาสินค้าและบริการที่สูงตามระดับ
ของความต้องการ ในการกำหนดช่วงเวลาการท่องเที่ยวนั้นโรงแรมแต่ละ
โรงแรมอาจจะมีบริบทในการดำเนินธุรกิจที่แตกต่างกัน จึงเป็นไปได้ว่า ช่วงฤดู
การท่องเที่ยว (High Season) ของโรงแรมบางแห่งอาจจะเป็นช่วงเดือน
ตุลาคมจนถึงเมษายนก็เป็นได้

ในขณะที่นอกฤดูการท่องเที่ยว (Low Season) จะอยู่ในช่วงเดือน
พฤษภาคมตุลาคม โดยในช่วงเวลาดังกล่าวไม่เอื้อต่อกิจกรรมการท่องเที่ยวอัน
เป็นผลมาจากอากาศร้อนและฤดูฝนทำให้ความต้องการท่องเที่ยวต่ำ (Low
Demand) เพื่อความอยู่รอดทางธุรกิจธุรกิจโรงแรมได้พยายามนำเอากลยุทธ์
ต่าง ๆ ทั้งในแง่ของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เช่น การปรับลดจํานวน
พนักงานให้มีสัดส่วนที่สอดคล้องกับปริมาณงานสําหรับการขายห้องพัก
โรงแรมนำเอากลยุทธ์ในการส่งเสริมการขาย เช่น การลดราคาในช่วงพิเศษการ
เสนอโปรแกรมการขายร่วมกับโรงแรมในเครือในราคาพิเศษ การให้บริการโดย
ไม่คิดมูลค่าเพิ่มและการร่วมกิจกรรมส่งเสริมการขาย เป็นต้น

นอกจากนี้บางโรงแรมอาจจะมีการกำหนดเวลาการท่องเที่ยวออกเป็น 3
ช่วงเวลาคือ 1) ช่วงฤดูการนิยมการท่องเที่ยว (Peak Season) 2) ช่วงฤดูการ
ท่องเที่ยว (High Sea son) และ 3) ช่วงนอกฤดูการท่องเที่ยว (Low
Season) ในขณะที่บางโรงแรมที่มีอัตราการเข้าพักสูง (High Occupancy
Rate) ตลอดทั้งปีอาจจะแบ่งอัตราค่าห้องพักจากวันในรอบสัปดาห์ซึ่งส่วนใหญ่
จะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงคือ 1) ระหว่างวันจันทร์พฤหัสบดีและ 2) ระหว่างวัน
ศุกร์-อาทิตย์ แต่ถ้าเป็นโรงแรมประเภทที่พักตากอากาศ (Resort Hotel)
ระหว่างวันศุกร์-อาทิตย์จะมีอัตราค่าห้องพักสูงและอัตราค่าห้องพักจะลดลง
ระหว่างวันจันทร์-พฤหัสบดีในขณะที่โรงแรมในเมือง (City Hotel) ที่รองรับ
แขกนักธุรกิจจะกำหนด

19

ให้อัตราค่าห้องพักระหว่างวันจันทร์-พฤหัสบดีมีอัตราค่าห้องพักสูงในขณะที่
ระหว่างศุกร์อาทิตย์จะปรับอัตราค่าห้องพักลดลง

2. การตั้งราคาจากสภาพการแข่งขันในธุรกิจเป็นการตั้งราคาโดยอ้างอิง
ราคาของคู่แข่งที่เป็นผู้นำในธุรกิจโรงแรมมาเป็นเกณฑ์ในการตั้งราคากลยุทธ์
การตั้งราคาลักษณะนี้เหมาะกับโรงแรมที่มาตรฐานเดียวกันเนื่องจากสามารถ
เปรียบเทียบราคาได้โดยง่ายดังนั้นโรงแรมจะต้องติดตามข่าวสารทางด้านราคา
ของโรงแรมคู่แข่งขันโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงแรมในมาตรฐานเดียวกันหากคู่
แข่งขันมีการปรับเปลี่ยนราคาหรืออัตราค่าห้องพักโดยมีการตั้งให้ต่ำกว่า
โรงแรมก็จะเป็นการดึงดูดแขกด้วยโรงแรมมีนโยบายรับมือโดยการยังคงราคา
เท่าเดิม แต่อาจจะเพิ่มส่วนอื่น ๆ หรือบริการอื่น ๆ ในโรงแรมเข้าไปในโปรแกรม
ให้กับแขกทั้งนี้เพื่อสร้างความรู้สึกว่าคุ้มค่ากว่าจึงตัดสินใจใช้บริการห้องพักของ
โรงแรม

3. เศรษฐกิจและการเมืองเศรษฐกิจและการเมืองเป็นปัจจัยภายนอก
โรงแรมที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่ถือว่าเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบทางด้านราคา
ด้วยเช่นกันเนื่องจากว่าถ้าประเทศมีเศรษฐกิจและการเมืองไม่ดีและไม่น่าเชื่อถือ
ก็จะทำให้การท่องเที่ยวนั้นลดความน่าเชื่อถือและความน่าสนใจลดน้อยลงไปด้วย

โครงสร้างอัตราค่าห้องพัก

นอกจากปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นที่ถูกนำมาพิจารณาในการกำหนด
อัตราค่าห้องพักแล้วผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมและผู้จัดการโรงแรมยังจำเป็น
จะต้องพิจารณาถึงต้นทุนการดำเนินการและการตอบแทนการลงทุน (Return
on Investment: ROI)“ ผลตอบแทนการลงทุน (Return on
Investment: ROI) "หมายถึงเครื่องชี้วัดผลตอบแทนจากการลงทุนซึ่ง
ครอบคลุมถึงการลงทุนในกิจการเพื่อสร้างผลตอบแทนมาในรูปการลงทุนของ
สินทรัพย์ด้วยที่สำคัญยอดขายห้องพักสูง ๆ ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ธุรกิจ
นั้น ๆ ได้รับผลกำไรสูงเสมอไปโดยสามารถคำนวณได้จากรายจ่ายที่เหมาะสม
และเทคโนโลยีที่ก่อให้เกิดผลิตภาพ (Productivity)

20

สำหรับธุรกิจโรงแรมมีการพัฒนาวิธีการคำนวณอัตราค่าห้องพักโดยยึด
หลักจากต้นทุนการดำเนินงาน (Operating Expenses) และผลตอบแทน
การลงทุน (Return on Investment: ROI) อย่างไรก็ตามการคำนวณอัตรา
ค่าห้องพักประกอบด้วย 2 ส่วนคือ 1) การคำนวณต้นทุนทางการเงินและ 2)
การคำนวณอัตราค่าห้องพักต่อห้องโดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1. การคำนวณต้นทุนทางการเงินเป็นการพิจารณาจากต้นทุน (Cost) ซึ่ง
ประกอด้วยค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ เช่น ค่าใช้จ่ายจากฝ่ายห้องพัก ฝ่าย
บริการโทรศัพท์เงินเดือนและค่าตอบแทน ค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์ ค่านํ้า
ค่าไฟฟ้า ค่าซ่อมแซม ค่าธรรมเนียม เป็นต้น และความคาดหวังจากผล
ตอบแทนการลงทุน (BOI) และรายได้ต่างๆที่ได้รับเช่นรายได้จากแผนกต่างๆ
เป็นต้น การคำนวณต้นทุนทางการเงินเพื่อกำหนดอัตราค่าห้องพักจัดทำได้
ดังสูตรต่อไปนี้

อัตราค่าห้องพัก (Room Rate)
=

ต้นทุนการดำเนินการ + ผลตอบแทนการลงทุน)-รายได้จากการดำเนินการ



จำนวนห้องพักจากการคำนวณอัตราการเข้าพัก

2. การคำนวณอัตราค่าห้องต่อห้องเป็นการนำเอาผลจากการคำนวณ
ต้นทุนทางการเงินมาคำนวณกับจำนวนห้องพักและอัตราการเข้าพักเพื่อให้ได้
อัตราค่าห้องพักต่อห้องตัวอย่างการคำนวณอัตราค่าห้องต่อห้องสามารถ
คำนวณได้ดังต่อไปนี้

21

ตัวอย่างการคํานวณ

ต้นทุนการดำเนินการจริง 82,400,000 บาท
จำนวนห้องพักที่สามารถขายได้
จำนวนห้องพักที่สามารถขายได้ภายในระยะเวลา 1 ปี 250 ห้อง

(อัตราการเข้าพักร้อยละ100) (250×365)

91,250 ห้อง

จํานวนห้องพักที่ให้บริการห้องพักร้อยละ 70 63,875 ห้อง
บาท
(อัตราการเข้าพักในอดีตของโรงแรมร้อยละ 70)

อัตราค่าห้องพักต่อวันจากผลตอบแทนการลงทุน

(82,400,000 63,875) 1,290.02

ดังนั้นการกำหนดอัตราค่าห้องพักจะมีความแตกต่างกันในแต่ละโรงแรม
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทโรงแรม สถานที่ตั้ง ขนาด เงื่อนไขทางการตลาดและคู่
แข่งขันซึ่งส่งผลโดยตรงกับการกำหนดอัตราค่าห้องพัก (Room Rate) ผู้
ประกอบธุรกิจโรงแรมหรือผู้จัดการจะต้องคำนึงถึงการสร้างรายได้สูงสุดให้กับ
โรงแรมอีกด้วย อัตราค่าห้องพักของโรงแรมประกอบด้วย

1. อัตราค่าห้องพักมาตรฐาน (Rack Rate) หรืออาจจะเรียกว่า Full
Rate คืออัตราค่าห้องพักสูงสุดที่โรงแรมกำหนดไว้สำหรับห้องพักประเภทต่าง
ๆ อัตราค่าห้องพักลักษณะนี้จะแสดงไว้ในเอกสารราชการอัตราค่าห้องพัก
(Tariff Sheet) บางโรงแรมอาจจะเรียกอัตราค่าห้องพักแบบนี้ว่า Tariff
Rate เอกสารนี้จะแสดงรายการประเภทห้องพักและอัตราค่าห้องพักที่ถูกจัดทำ
ขึ้นใหม่เมื่อมีการปรับอัตราค่าห้องพักโดยทั่วไปในแต่ละปีโรงแรมจะจัดทำปีละ
สองครั้งคือช่วงฤดูการท่องเที่ยว (High Season) และนอกฤดูการท่องเที่ยว
(Low Season) เนื่องจากมีอัตราค่าห้องพักที่แตกต่างกันในบางโรงแรมอาจจะ
มีการจัดทำทุกเดือนทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยสภาพแวดล้อมทางการท่องเที่ยวที่มีผล
ต่อจำนวนนักท่องเที่ยว

22

2. อัตราค่าห้องพักสำหรับแขกองค์กร (Corporate Rate) คืออัตรา
ค่าห้องพักเสนอขายให้กับกลุ่มองค์กรโดยทั่วไป กำหนดอัตราพิเศษโดยให้
ส่วนลดประมาณร้อยละ 10-20 จากอัตราค่าห้องพัก มาตรฐานอัตรานี้ อาจถูก
นำมาใช้กับแขกกลุ่มนักธุรกิจอีกด้วย

3. อัตราค่าห้องพักที่มีการทำสัญญาล่วงหน้า (Contract Rate) หรือ
อาจจะเรียกว่า Volume Account Rate หรือ Preferred Rate คืออัตรา
ค่าห้องพักที่โรงแรมตกลงกับกลุ่มองค์กร โดยมีการกำหนดจำนวนวันที่เข้าพัก
อย่างแน่นอน โดยปกติจะมีการทำสัญญตกลงเบ็นรายปีและได้รับความนิยมใน
กลุ่มโรงแรมในเมือง (City Hotel) การลดราคาห้องพักจะแตกต่างกันตาม
จำนวนวันเข้าพักที่แตกต่าง เช่น กลุ่ม เอ ได้รับส่วนลดร้อยละ 20 สําหรับการ
เข้าพักตั้งแต่ 50 วันขึ้นไป กลุ่ม บี ได้รับส่วนลดร้อยละ 15 สําหรับการเข้าพัก
ตั้งแต่ 40 วันขึ้นไป และกลุ่ม ซี ได้รับส่วนลดร้อยละ 10 สำหรับการเข้าพัก
ตั้งแต่ 30 วันขึ้นไป กรณีที่โรงแรมทำข้อตกลงกับสายการบินโดยเสนออัตราค่า
ห้องพักสำหรับแขกที่สำรองห้องพักผ่านสายการบินเรียกว่าอัตราค่าห้องพัก
สําหรับสายการบิน (Airline Rate) กรณีที่อัตราค่าห้องพักสำหรับแขกจาก
สายการบินในกรณีที่เกิดเหตุสุดวิสัย เช่น การงดเที่ยวบินโดยสายการบินจะรับ
ผิดชอบค่าห้องพักแขกเรียกว่า Lay Over Rate

4. อัตราค่าห้องพักสำหรับแขกภาครัฐ (Government Rate) คือ
อัตราค่าห้องพักที่ให้กับแขกในนามภาครัฐบาลและอาจรวมถึงหน่วยงาน
รัฐวิสาหกิจโดยส่วนใหญ่จะได้รับส่วนลดพิเศษประมาณร้อยละ 10-20

5. อัตราค่าห้องพักตามฤดูกาล (Seasonal Rate) คืออัตราค่าห้องพัก
ที่ถูกนำมาเสนอในช่วงฤดูการท่องเที่ยว (High Season) และนอกฤดูการท่อง
เที่ยว (Low Season สำหรับช่วงฤดูการท่องเที่ยวจะมีอัตราค่าห้องพักสูงกว่า
ช่วงนอกฤดูการท่องเที่ยวอัตราค่าห้องพักประเภทนี้จะถูกนำมาใช้กับโรงแรม
ที่พักตากอากาศ (Resort Hotel)

23

6. อัตราค่าห้องพักวันปกติและวันหยุด (Weekday / Weekend
Rate) คือการกำหนดอัตราค่าห้องพักสำหรับโรงแรมที่มีความต้องการห้องพัก
ผันผวนในช่วงสัปดาห์โดยโรงแรมจะกําหนดเป็นสองช่วงเวลาคือระหว่างวัน
จันทร์-พฤหัสบดีเป็นอัตราค่าห้องพักแบบวันปกติ (Weekday Rate) และ
ระหว่างวันศุกร์-อาทิตย์เป็นอัตราค่าห้องพักแบบวันหยุด (Weekend Rate)
อัตราค่าห้องพักแบบวันปกติจะต่ำกว่าอัตราค่าห้องพักแบบวันหยุดเนื่องจาก
ปกติแล้วจะเป็นวันทำงานและถ้าหากวันมีหยุดต่อเนื่องจากวันหยุดปกติ (Long
Weekend) อัตราค่าห้องพักอาจจะเพิ่มขึ้น (Mark Up Rate)

7. อัตราค่าห้องพักสำหรับบุคคลที่ทำงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
(Indus try Rate) คืออัตราค่าห้องพักสำหรับบุคคลที่ทำงานในอุตสาหกรรม
การท่องเที่ยวจะได้รับส่วนลดพิเศษร้อยละ 30-50 จากราคาห้องพักมาตรฐาน
ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับประเภทห้องพักฤดูกาลและปัจจัยสภาพแวดล้อมทางการท่อง
เที่ยวอีกด้วยอัตราค่าห้องพักนี้มักจะสร้างความสับสนกับอัตราห้องพักสำหรับ
พนักงาน (Employee Rate) หมายถึงอัตราค่าห้องพักโรงแรมจัดให้กับ
พนักงานหรือครอบครัวของพนักงานที่ต้องการพักในโรงแรมและโรงแรมใน
เครือซึ่งสูงสุดอาจจะได้ส่วนลดถึงร้อยละ 75 ของอัตราค่าห้องพักมาตรฐาน

8. อัตราค่าห้องพักสำหรับแขกที่ไม่สำรองห้องพักล่วงหน้า (Walk-in
Rate) โดยโรงแรมจะมีการกำหนดอัตราค่าห้องพักสำหรับแขกที่ไม่สำรองห้อง
พักล่วงหน้า (Walk-in Guest) ส่วนใหญ่จะเสนออัตราที่ค่อนข้างสูงหรืออาจ
จะใช้อัตราห้องพักมาตรฐาน (Back Rate) ก็เป็นได้

9. อัตราค่าห้องพักแบบครึ่งวัน (Half Day Rate) คืออัตราค่าห้องพัก
แบบครึ่งวันกล่าวคือเป็นไปได้ว่าแขกอาจจะมาขอใช้บริการห้องพักแบบไม่เต็ม
วันในที่นี้ส่วนใหญ่จะกำหนดช่วงเวลาไม่เกิน 8 ชั่วโมงนับตั้งแต่เวลาลงทะเบียน
เข้าพักเช่นโรงแรมท่าอากาศยาน (Airport Hotel) อาจจะมีแรกที่โดยสาร
เครื่องบินอาจจะเดินทางมาถึงหรือไปในช่วงกลางคืนหรือโรงแรมเพื่อการประชุม
อาจจะบริการจัดประชุมที่เสร็จสิ้นในหนึ่งวัน (One Day Meeting โดยแขก
อาจจะไม่ต้องใช้ห้องพักเพื่อการพักผ่อนในกรณีต่าง ๆ เหล่านี้โรงแรมจะอัตรา
ค่าห้องพักแบบครึ่งวันส่วนใหญ่จะมีราคาครึ่งหนึ่งของอัตราห้องพักปกติ

24

10. อัตราค่าห้องพักแบบเหมาจ่าย (Package Rate) คืออัตราค่า
บริการที่ประกอบด้วยการรวมเอาสินค้าและบริการที่มากกว่าหนึ่งอย่างไว้ด้วย
กัน ทั้งนี้เพื่อสร้างความน่าสนใจให้เพิ่มมากขึ้นโดยส่วนใหญ่จะประกอบด้วย
อัตราค่าห้อง พักและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ของโรงแรมโดยจะมีการ
กำหนดอัตราค่าบริการให้ถูกกว่าเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับอัตราค่าบริการ กรณี
ที่แยกสินค้าและบริการจากกันอัตราค่าห้องพักแบบเหมาจ่ายที่นิยมใช้ใน
โรงแรม คืออัตราค่าห้องพักและจำนวนมื้ออาหารซึ่งจะทำให้แขกประหยัดค่าใช้
จ่ายสะดวกสบาย รูปแบบอัตราค่าห้องพักแบบเหมาจ่ายจะประกอบด้วย

อัตราค่าห้องพักเหมาจ่ายแบบรวมมื้ออาหาร (Meal Package Rate)
ประกอบด้วยค่าห้อง พักและจำนวนมื้ออาหารแผนหมายถึงการเสนอแบบ
เบ็ดเสร็จของห้องพร้อมด้วยอาหารในขณะที่แขกพัก (ขจิต, 2543) โดยโรงแรม
จะเสนอทางเลือกให้กับแขกได้ดังต่อไปนี้

(European Plan (EP) คืออัตราค่าห้อง พักเหมาจ่ายที่แขกสำรอง
เพียงห้องพักเท่านั้นไม่รวมมื้ออาหาร ในบางโรงแรมเรียกว่า Room Only: RO

(Continental Plan (CP) คืออัตราค่าห้องพักเหมาจ่ายที่แขกสํารอง
ห้องพักและอาหารมื้อเช้าแบบ Continental Breakfast ในบาง ครั้งอาจ
เรียกว่าการบริการแบบ Bed and Breakfast (B & B)

Bermuda Plan (BP) คืออัตราค่าห้องพักหมาจ่ายที่แขกสำรองห้อง
พักและอาหารมื้อเช้าแบบ American Breakfast คืออาหารประเภท เนื้อ นม
ไข่

Modified American Plan (MAP) คืออัตราค่าห้อง พักเหมาจ่ายที่
แขกสํารองห้องพักและอาหาร 2 มื้อคืออาหารเช้าและให้เลือกระหว่างอาหาร
กลางวันหรือเย็นหรืออาจจะเรียกว่า Half Board

American Plan (AP) คืออัตราค่าห้องพักเหมาจ่ายที่แขกสำรอง
ห้องพักและอาหาร 3 มื้อคือเช้า (Breakfast) กลางวัน (Lunch) เย็น
(Dinner) หรือบางโรงแรมจะมีบริการอาหารว่างช่วงบ่าย (Afternoon
Break) ในบางครั้งอาจเรียกการสำรองลักษณะนี้ว่า Full Board การสำรอง
ในลักษณะดังกล่าวนี้โรงแรมจะเสนอบริการให้กับแขกที่มีการพักระยะเวลา
ยาวนาน

25

ประเภทมื้ออาหาร

Continental Breakfast คือ อาหารเช้าที่ประกอบด้วย น้ำผลไม้ ชา
กาแฟ ขนมปัง

American Breakfast คือ อาหารเช้าที่ประกอบด้วย เนื้อ นม ไข่
English Breakfast คือ อาหารเช้าที่ประกอบด้วย อาหารธัญพืชปรุง
ร้อนหรือเย็น โข่ เบคอน ขนมปัง เนย และเครื่องดื่มการบริการอาหารลักษณะนี้
บริการในอังกฤษหรือยุโรปขนมปัง
Brunch คือ มื้ออาหารระหว่างเช้าและกลางวัน ส่วนใหญ่จะให้บริการ
ระหว่าง 09.30-11.00 น. หรืออาจจะกล่าวได้ว่าอาหารที่ควบรวมมื้อเช้าและมื้อ
กลางวันเข้าด้วยกัน
Lunch คือ อาหารมื้อกลางวันเป็นอาหารในช่วงกลางวัน ซึ่งมักจะเป็น
อาหารมือเบาๆ
Dinner คือ อาหารมื้อเย็นจะเป็นมื้อใหญ่ มีครบชุดทั้งเนื้อ ผักและซุป
ปิดท้ายด้วยอาหารหวาน

อัตราค่าห้องพักเหมาจ่ายแบบรวมกิจกรรมการท่องเที่ยว (Vacation
Package Rate) ประกอบด้วยค่าห้องพักและกิจกรรมการท่องเที่ยวเช่นบัตร
โดยสารเครื่องบิน (Airline Ticket) ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
(Transportation) บัตรเข้าชมแหล่งท่องเที่ยวโรงแรมอาจร่วมกับแผนกการ
ตลาดและการขายกำหนดเป็นโปรแกรมเหมาจ่ายขึ้นมาเช่นรายการเหมาจ่ายคู่
แต่งงาน (Honeymoon Package) รายการเหมาจ่ายเพื่อสินค้า (Shopping
Package) และรายการเหมาจ่ายชมคอนเสิร์ต (Concert Package) เป็นต้นุ

26

อัตราค่าห้องพักเหมาจ่ายแบบรวมการประชุม (Meeting Package
Rate) อาจจะเรียกว่า Completed Meeting Package: CMP อัตราค่า
บริการนี้จะประกอบด้วยค่าห้องพักและค่าใช้จ่ายในการประชุมเช่นอาหารว่าง
(Coffee Break) อาหารเช้ากลางวันหรือ เย็นและค่าห้องประชุมรวมถึง
อุปกรณ์และเอกสารอัตราค่าบริการนี้ส่วนใหญ่ผู้วางแผนการประชุมมืออาชีพ
(Professional Conference Organizer: PCO) จะเจรจากับโรงแรมเพื่อ
กําหนดเป็นอัตราค่าบริการ

11. อัตราค่าห้องพักต่อแขกหนึ่งท่าน (Per Person Rate) คืออัตราค่า
ห้องพักที่เรียกเก็บตามจำนวนแขกที่พักในห้องพักดัง ที่กล่าวไปเบื้องต้นเกี่ยวกับ
ประเภทห้องพักว่าประเภทห้องพักจะแสดงให้เห็นถึงจำนวนผู้เข้าพักเช่นห้อง
เดี่ยว (Single Room) คือห้องพักสำหรับแขกหนึ่งท่านห้องคู่ (Double
Room) คือห้องพักสำหรับแขกสองท่านเป็นต้นในกรณีแขกขอใช้บริการเตียง
เสริม (Extra Bed) โรงแรมอาจจะกำหนดอัตราค่าห้องพักจากจำนวนแขกที่
เข้าพักก็ได้อัตรานี้อาจจะเรียกว่า Rate Spread

12. อัตราค่าห้องพักหมู่คณะ (Group Rate) คืออัตราค่าห้องพักกรณีที่
แขกที่สำรองห้องพักล่วงหน้าในลักษณะหมู่คณะโดยทั่วไปจะกำหนดจากแขก
ตั้งแต่ 15 คนขึ้นไปอัตราค่าห้องพักได้รับส่วนลดพิเศษร้อยละ 10-20 หรืออาจ
จะมอบอภินันทนาการให้ 1 ห้อง

27

บทสรุป (Conclusion)

ห้องพักแขก (Guest Room) เป็นสินค้าหลักของโรงแรมที่สร้างรายได้
ให้กับโรงแรมในจำนวนมหาศาลเมื่อเปรียบเทียบกับแผนกบริการอื่น ๆ ของ
โรงแรมเพื่อรองรับกับความต้องการที่หลากหลายของแขกผู้บริหารโรงแรมจึงได้
พยายามพัฒนาประเภทห้องพัก (Room Types) และโครงสร้างห้องพัก
(Room Configuration) ให้มีความหลากหลายและแตกต่างด้วยเช่นกันการ
กำหนดประเภทห้องพักแขกจะกำหนดตามจำนวนแขกที่รองรับในห้องพักนั้น ๆ
ได้แก่ ห้องเดี่ยว (Single Room) ห้องคู่ (Double Room) ห้องคู่สองเตียง
(Twin Room) ห้องพักแขกสามคน (Triple Room) และห้องพักแขกสี่คน
(Quad Room) โดยต้องมีการจัดจํานวนเตียงให้สอดคล้องกับประเภทห้องพัก

นอกจากประเภทห้องพักดังกล่าวข้างต้นโรงแรมได้ใช้การยกระดับห้อง
พักเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการสร้างความแตกต่างของห้องพัก
โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือหรูหราและการเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกภายใน
ห้องพักห้องพักมาตรฐาน (Standard Room) ห้องพิเศษ (Superior
Room) และห้องหรูหรา (De luxe Room) หรืออาจจะสร้างจากตำแหน่งห้อง
พักและการชมทัศนียภาพจากห้องพัก เช่น ห้องพักที่สามารถชมทะเลตัวเมือง
สวนธรรมชาติและสระว่ายน้ำ เป็นต้น

การเพิ่มมาตรฐานห้องพักคือการเพิ่มมาตรฐานระดับห้องพักโดยเน้นที่
การสร้างความแตกต่างโครงสร้างห้องพักจากหลักการดังกล่าวโรงแรมจึงสร้าง
ห้องชุด (Suite Room) กล่าวคือห้องพักที่มีขนาดใหญ่มีการแยกห้องนั่งเล่น
ออกจากห้องพักและอาจจะมีห้องอื่น ๆ เช่นห้องครัวและห้องนั่งเล่นเป็นต้นโดยมี
การแบ่งเป็นระดับ ได้แก่ ห้องชุดขนาดเล็ก (Junior Suite) ห้องชุดมุมอาคาร
(Corner Suite) ห้องชุดขนาดใหญ่ (Hospitality Suite) และห้องชุดชั้น
พิเศษ (Presidential Suite) เป็นต้น

การกำหนดหมายเลขห้องพักที่เหมาะสมจะช่วยให้พนักงานแผนกบริการ
ส่วนหน้าปฏิบัติงานได้สะดวกมากขึ้นรวมไปถึงการกำหนดหมายเลขห้องพักควร
จะพิจารณาพฤติกรรมความเชื่อและความต้องการของแขกอีกด้วย

28

การรายงานสถานะห้องพักแขกคือเครื่องมือในการสื่อสารระหว่างแผนก
บริการส่วนหน้าและแผนกที่เกี่ยวข้องกับการบริการโดยตรงเช่นแผนกแม่บ้าน
เป็นต้นในการรายงานสถานะห้องพักจะต้องพิจารณา 3 ปัจจัยสำคัญคือ 1)
สถานะห้องพักขั้นการทำความสะอาด 2) สถานะห้องพักชั่นการเข้าพักและ 3)
สถานะห้องพักที่ไม่สามารถให้บริการแขกได้โดยจะมีอักษรย่อที่ใช้แทนคำและ
ความหมายเพื่อการสื่อสารนอกจากนี้การรายงานสถานะห้องพักอาจจะเกี่ยวข้อง
กับระยะเวลาการเข้าพักและเงื่อนไขการเข้าพักอีกด้วย

การกําหนดอัตราค่าห้องพัก (Room Rate) โรงแรมมีนโยบายอัตราค่า
ห้องพักโดยพิจารณาจาก 3 ปัจจัยหลักคือฤดูการท่องเที่ยวโรงแรมคู่แข่งขันและ
สถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองโดยสามารถสรุปประเภทอัตราค่า
ห้องพักได้ดังต่อ ไปนี้ 1) อัตราค่าห้องพักมาตรฐาน (Rack Rate) 2) อัตราค่า
ห้องพักสำหรับแขกองค์กร (Corporate Rate 3) อัตราค่าห้องพักที่มีการทำ
สัญญาล่วงหน้า (Contract Rate) 4) อัตราค่าห้องพักสําหรับแขก ภาครัฐ
(Government Rate) 5) อัตราค่าห้องพักตามฤดูกาล (Seasonal Rate 6)
อัตราค่าห้องพักวันปกติและวันหยุด (Weekday / Weekend Rate) 7)
อัตราค่าห้องพักสําหรับบุคคลที่ทํางานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว (Industry
Rate) 8) อัตราค่าห้องพักสําหรับแขกที่ไม่สํารองห้องพักล่วงหน้า 9) อัตราค่า
ห้องพักแบบครึ่งวัน (Half Day Rate) 10) อัตราค่าห้องพักแบบเหมาจ่าย
(Package Rate) 11) อัตรา ค่าห้องพักต่อแขกหนึ่งท่าน (Per Person
Rate) และ 12) อัตราค่าห้องพักหมู่คณะ (GroupRate)

29

คำถามท้ายบท

จงตอบคำถามต่อไปนี้

1. C/O ย่อมาจากอะไร พร้อมบอกความหมาย
2. C/V ย่อมาจากอะไร พร้อมบอกความหมาย
3. C/AE ย่อมาจากอะไร พร้อมบอกความหมาย
4. C/DE ย่อมาจากอะไร พร้อมบอกความหมาย
5. D/O ย่อมาจากอะไร พร้อมบอกความหมาย
6. D/V ย่อมาจากอะไร พร้อมบอกความหมาย
7. D/AE ย่อมาจากอะไร พร้อมบอกความหมาย
8. D/DE ย่อมาจากอะไร พร้อมบอกความหมาย
9. การรายงานสถานะห้องพักจะต้องพิจารณา 3 ปัจจัยหลัก มีอะไรบ้าง
10. อัตราค่าห้องพักหมู่คณะคืออะไร อธิบายพอเข้าใจ

30

บรรณานุกรม

มลรัตนวิระกุล, 2551. ทำไมโรงแรมจึงล้มเหลว, บริษัท แอดลานซ์ฮอสปิทาลิ
ตี้คอนซัลแตนท์จํากัด.

จิตกอบเดช 2543, งานโรงแรมฝ่ายห้องพัก (ROOMS DIVISION)
พนักงานส่วนหน้าโรงแรม (FRONT OFFICE CLERKS), กรุงเทพฯ: บริษัท
พรินท์ค จำกัด.

จิตตินันท์นันทไพบูลย์, 2551. จิตวิทยาบริการกรุงเทพฯ: บริษัท ซีเอ็ดยู
เคชั่น จำกัด (มหาชนชัยสมพลชาวประเสริฐ 2549. การตลาดบริการกรุงเทพฯ:
บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) ธารทิพย์ทาก, 2549. การจัดการส่วน
หน้าของโรงแรมกรุงเทพฯ: บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน).

นงนุชศรี ธ นาอนันต์, 2547. การโรงแรมเบื้องต้นกรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัย
ธุรกิจบัณฑิตย์นิคมจารุมณี, 2544. การท่องเที่ยวและการจัดการอุตสาหกรรม
การท่องเที่ยวกรุงเทพฯโอเดียนสโตร์.

นิศารัชกุล, 2550. อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกรุงเทพ: สำนัก พิมพ์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบังอรฉัตรรุ่งเรืองและวรพลวัฒนเหลืองอรุณ, 2547.
การบริการและการจัดการงานโรงแรมกรุงเทพฯ: บริษัท เพียร์สันเอ็ดดูเคชั่นอิน
โดไชน่า จำกัด.

บุญเลิศจิตตั้งวัฒนา, 2548. อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมที่ไม่มี
วันตายของประเทศไทย, กรุงเทพฯ: ซี. พี. บุ๊คสแตนดาร์ด.

ปิยพรรณกลั่นกลิ่น 2546. การปฏิบัติงานและการจัดการส่วนหน้าของ
โรงแรมกรุงเทพฯโอเดียนสโตร์.

ทกานติแลนแคสเตอร์, 25 49. การตลาดโรงแรมกรุงเทพฯ: คณะ
ศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์.

โชติการ 2540. การบริการส่วนหน้าของโรงแรมกรุงเทพฯ: สถาบันราชมงคล
วิทยาเขตเทคนิคกรุงเทพฯ.

รัญยาวรากุลวิทย, 254 7. ปฐมนิเทศอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว, พระนคร
สถาบันเทคโนโลยี ราชมงคลวิทยาเขตพระนครศรีอยุธยาวาสุกรี.

ณ บัณฑิตและภาสกรอดุลพัฒนกิจ, 2548. จิตวิทยาบริการกรุงเทพฯ: อุด
พัฒนกิจ.


Click to View FlipBook Version