บทละครพูดคำฉันท์
เรื่องมัทนะพาธา
อาภาพร คุณประสพ
สารบัญ
๑
ประวัติความเป็นมา
๒
ทั่วไปเกี่ยวกับเรื่อง
๓
เนื้อเรื่องย่อ
๔
สรุปเเละข้อคิด
ประวัติความเป็นมา
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์
ลำดับที่ ๖ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๑
มกราคม พ.ศ.๒๔๒๓ ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
ได้รับพระราชทานพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหา
วชิราวุธ ขณะทรงพระเยาว์ ได้ทรงศึกษาในพระบรมมหาราชวัง จนถึง
พ.ศ.๒๔๓๖ เมื่อพระชนมายุได้ ๑๒ พรรษาเศษ สมเด็จพระบรมชนก
นาถทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เสด็จไปศึกษาต่อ ณ ประเทศ
อังกฤษ นับเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ทรงได้รับการ
ศึกษาจากต่างประเทศ ระหว่างประทับอยู่ที่ประเทศอังกฤษนั้น
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ พระบรมโอรสาธิราช
สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งประทับอยู่ในกรุงเทพฯ เสด็จทิวงคต ใน
พ.ศ. ๒๔๓๗ สมเด็จพระบรมชนกนาถจึงทรงสถาปนา และจะต้อง
เสด็จขึ้น ครองราชย์ต่อไป
สาระสำคัญ
มัทนะพาธา เป็นวรรณคดีประเภท “บทละครพูด” พระราชนิพนธ์ของ
พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ที่แสดงให้เห็น
ถึงพระปรีชาสามารถทางด้านอักษรศาสตร์ของพระองค์ บทละครเรื่องนี้
ได้รับยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่า“เป็นยอดของบทละครพูดคำ
ฉันท์”ด้วยการเลือกถ้อยคำที่ สื่ออารมณ์ความรู้สึกของตัวละครได้ดี
เยี่ยม ตลอดจนมีการวางโครงเรื่องที่ชวนให้ติดตาม ทั้งยังสอดแทรก
คติ สอนใจเรื่องความรักได้อย่างซาบซึ้งกินใจอีกด้วย
ที่มาของเรื่อง
บทละครพูดคำฉันท์เรื่อง มัทนะพาธา เป็นบทละครที่
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ท่านได้ทรง
พระราชนิพนธ์ขึ้นในจินตนาการของพระองค์ โดยพระองค์ท่านได้
ทรงให้ความสำคัญเรื่องความถูกต้องและความสมจริงในราย
ละเอียดของเรื่องทั้ง้ใน ชื่อเรื่อง ชื่อตัวเอก และรายละเอียด ต่าง
ๆเช่น ชื่อเรื่อง มัทนา มาจากศัพท์ มทน แปลว่า ความลุ่มหลง
หรือความรัก และชื่อนางเอกของเรื่องนั้นเอง
มัทนะพาธา มีความหมาย ว่า ความเจ็บปวดและความ
เดือนร้อนเพราะความรัก ซึ่งตรงกับแก่นของเรื่อง ที่ชี้ให้เห็นโทษ
ของความรัก
เเนะนำตัวละคร
ลักษณะการแต่ง
เรื่องมัทนะพาธาใช้คำประพันธ์หลายชนิดแต่เน้นแต่งด้วยฉันท์
บางตอนใช้กาพย์ยานี กาพย์ฉบังหรือกาพย์สุรางคนางค์ และมี
บทเจรจาร้อยแก้วในส่วนของตัวละครที่ไม่สำคัญ ทำให้มีลีลา
ภาษาที่หลากหลาย ตอนใดดำเนินเรื่องรวดเร็วก็ใช้ร้อยแก้ว
ตอนใดต้องการจังหวะเสียงและ
ความคล้องจองก็ใช้กาพย์ และตอนใดที่เน้นอารมณ์มากก็มักใช้
ฉันท์
ระยะเวลาในการแต่ง
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงนำละครพูดมาสู่
วงการวรรณกรรมไทยเป็นครัง้ แรก ทัง้ นีเ้นื่องจากทรงสนพระทัย
ในบทละครของวิลเลียม เชคสเปียร์ จึงทรงพระราชนิพนธ์บท
ละครพูดไว้เป็นจำนวนมาก แต่เรื่องมัทนะพาธาหรือตำนานดอก
กุหลาบนี้ เป็นบทพระราชนิพนธ์ที่เป็นบทละครพูดคำฉันท์เพียง
เรื่องเดียวโดยทรงเริ่มพระราชนิพนธ์เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๔๖๖
ขณะทรงพระประชวร และประทับอยู่ ณ พระราชวังพญาไท และ
ทรงพระราชนิพนธ์เสร็จสมบูรณ์เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๔๖๖ นับ
ได้ว่าใช้เวลาเพียง ๑ เดือน ๑๗ วันเท่านั้น
เรื่องย่อ
มัทนะพาธาเป็นเรื่องสมมุติว่าเกิดในอินเดียโบราณ เนื้อเรื่อง
กล่าวถึงเหตุการณ์บนสวรรค์ เทพบุตรสุเทษณ์หลงรักเทพธิดา
มัทนา แต่นางไม่ปลงใจด้วย สุเทษณ์จึงขอให้วิทยาธรมายาวิน
ใช้เวทมนตร์สะกดเรียกนางมา มัทนาเจรจาตอบสุเทษณ์อย่าง
คนไม่รู้สึกตัว สุเทษณ์จึงไม่โปรด เมื่อขอให้มายาวินคลายมนตร์
มัทนาก็รู้สึกตัวและตอบปฏิเสธสุเทษณ์ สุเทษณ์โกรธ จึงสาปให้
เธอจุติไปเกิดบนโลกมนุษย์ มัทนาขอไปเกิดเป็นดอกกุหลาบ สุ
เทษณ์กำหนดว่า ให้ดอกกุหลาบดอกนั้นกลายเป็นมนุษย์เฉพาะ
วันเพ็ญเพียงวันและคืนเดียว ต่อเมื่อมีความรักจึงจะพ้นสภาพ
จากเป็นดอกไม้ และหากเป็นความทุกข์เพราะความรักก็ให้
วิงวอนต่อพระองค์ พระองค์จะช่วย
ณ กลางป่าหิมะวัน ฤษีกาละทรรศินพบ ต้นกุหลาบจึงขุดไปปลูกไว้ที่
อาศรม เมื่อมัทนากลายเป็นมนุษย์ก็เลี้ยงดูรักใคร่เหมือนลูก ท้าวชัยเสน
กษัตริย์แห่งเมืองหัสตินาปุระเสด็จไปล่าสัตว์ ได้พบนางมัทนาก็เกิด
ความรัก มัทนาก็มีใจเสน่หาต่อชัยเสนด้วยเช่นกัน ทั้งสองจึงสาบานรัก
ต่อกัน และมัทนาไม่ต้องกลับไปเป็นกุหลาบอีก แต่เมื่อชัยเสนพามัทนา
ไปยังเมืองหัสตินาปุระของพระองค์ พระนางจัณฑีมเหสีของชัยเสนหึงหวง
และแค้นใจมาก นางขอให้พระบิดาซึ่งเป็นพระราชาแคว้นมคธยกทัพ
มาตีหัสตินาปุระ จัณฑียังใช้ให้นางค่อมข้าหลวงทำกลอุบายว่า มัทนารัก
กับศุภางค์ทหารเอกของชัยเสน ชัยเสนหลงเชื่อจึงสั่งให้ประหารมัทนา
และศุภางค์ แต่ต่อมาเมื่อชัยเสนรู้ว่ามัทนาและศุภางค์ไม่มีความผิดก็
เสียใจมาก อำมาตย์เอกจึงทูลความจริงว่ายังมิได้สังหารนาง และศิษย์
ของพระกาละทรรศินได้พานางกลับไปอยู่ในป่าหิมะวันแล้ว ส่วนศุภางค์ก็
เป็นอิสระเช่นกัน และได้ออกต่อสู้กับข้าศึกจนตายอย่างทหารหาญ ชัย
เสนจึงเดินทางไปรับนางมัทนา ขณะนั้นมัทนาทูลขอให้สุเทษณ์รับนาง
กลับไปสวรรค์ สุเทษณ์ขอให้นางรับรักตนก่อน แต่มัทนายังคงปฏิเสธ สุ
เทษณ์กริ้วจึงสาปให้มัทนาเป็นกุหลาบตลอดไป ชัยเสนมาถึงแต่ก็ไม่ทัน
การณ์ จึงได้แต่นำต้นกุหลาบกลับไปยังเมืองหัสตินาปุระ
ตอนที่เลือกมาให้เรียนนี้อยู่ในองค์ที่ ๑ เมื่อมายาวินทำพิธีสะกดพา
มัทนามาพบสุเทษณ์ไปจนจบองก์เมื่อสุเทษณ์สาปมัทนา
มัทนะพาธาเป็นเรื่องที่สมมุติว่าเป็นกำเนิดของต้นกุหลาบ มีการผูก
เรื่องให้เกิดความขัดแย้งซึ่งเป็นปมปัญหาของเรื่อง กล่่าวคือ สุเทษณ์
หลงรักมัทนา แต่มัทนาไม่รับรัก สุเทษณ์จึงกริ้ว มัทนาต้องลงมาเกิดใน
โลกมนุษย์เป็นการชดใช้โทษ เมื่อพบรักกับชัยเสน ความรักก็ไม่ราบ
รื่นเพราะมีอุปสรรคคือนางจันฑี มัทนาต้องถูกพรากไปจากชัยเสน และ
ได้พบสุเทษณ์อีกครั้งหนึ่ง แต่มัทนาก็ยังไม่เปลี่ยนใจจากชัยเสนมารัก
สุเทษณ์ เรื่องจึงจบด้วยความสูญเสีย สุเทษณ์ไม่สมหวังในความรัก
ชัยเสนสูญเสียคนรัก และมัทนาต้องเปลี่ยนสภาพมาเป็นเพียงดอก
กุหลาบ
ข้อคิด
มัทนะพาธาเป็นพระราชนิพนธ์เรื่องเอกของพระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรให้เป็น
หนังสือที่แต่งดีเยี่ยม ด้วยการใช้ฉันท์เป็นบทละครพูดซึ่งแปลกและ
แต่งได้ยาก เป็นเรื่องที่มีตัวละครและฉากสอดคล้องกัน กับวัฒนธร
ภารตะโบราณ และเข้ากับเนื้อเรื่องได้ดี โดยมุ่งสอนให้รู้ถึงความเจ็บ
ปวดที่เกิดจากความรักและรู้ถึงโทษของความรัก
๑. ความรักมีทั้งคุณและโทษ
ความรักมีประโยชน์ทำให้จิตใจแช่มชื่นมีความสุขและเมื่อผิดหวัง
พลาดรักอาจทำให้เกิดโทษได้ ถ้าปล่อยให้ความรักนั้นเป็นความหลง
ขาดสติพิจารณา ไตร่ตรองอาจทำให้ตนเองและผู้ที่เกี่ยวข้องเดือดร้อน
ได้ ดังว่า
ความรักเหมือนโรคา บันดาลตาให้มืดมน
ไม่ยินและไม่ยล อุปสรรคใดใด
ความรักเหมือนโคถึก กำลังคึกผิขังไว้
ก็โลดออกจากคอกไป บ ยอมอยู่ ณ ที่ขัง
ถึงหากจะผูกไว้ ก็ดึงไปด้วยกำลัง
ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง บหวนคิดถึงเจ็บกาย
๒. ความรักที่แท้จริงควรเกิดจากใจบริสุทธิ์
บทละครพูดคำฉันท์เรื่องมัทนะพาธามีสาเหตุมาจากความรักของ
สุเทษณ์เทพบุตรที่มีต่อนางมัทนาความรักของสุเทษณ์เป็นความรักที่
เห็นแก่ตัว แฝงไปด้วยความอยากครอบครอง มิได้เสียสละและ
เข้าใจความรักอย่างแท้จริง ความรักที่สุเทษณ์มีต่อนางมัทนาก่อให้นาง
เกิดทุกข์ เมื่อนางไม่รับรักก็สาปให้นางเป็นดอกกุหลาบตลอดไป
๓. ความรักทำให้เกิดทุกข์
ดังคำกล่าวว่า “ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์” สุเทษณ์เทพบุตร
หลงรักนางมัทนาเมื่อนางไม่รับรักก็เจ็บปวดใจ
๔. การพิจารณาตัดสินเรื่องใดควรใช้สติปัญญาประกอบกับ
เหตุผลเพื่อตัดสินความ
การที่ท้าวชัยเสนฟังความจากนางค่อมที่ใส่ร้ายนางมัทนา
และศุภางค์ทหารเอกว่า ลักลอบเป็นชู้กัน ด้วยความโกรธพระองค์
จึงตัดสินให้ประหารชีวิตโดยมิพิจารณาให้ถ่องแท้ทำให้นาง
มัทนาและศุภางค์ต้องรับทุกข์จากการตัดสินใจครั้งนี้โชคดีที่ผู้ที่มี
รับสั่งให้เป็นผู้ประหาร ทั้งสองมีเมตตาทำให้รอดชีวิตในที่สุด
และความจริงก็เปิดเผยนี่เป็นโชคดีแต่ถ้าในทางกลับกันทั้งสอง
ถูกประหารด้วยการใส่ความ การตัดสินด้วยอารมณ์ชั่ววูบทำให้
ทั้งสองสิ้นชีวิต แม้ความจริงจะเปิดเผยในภายหลังก็ไม่มี
ประโยชน์แต่อย่างใดกลับสร้างบาปและความทุกข์ใจให้แก่ท้าว
ชัยเสนมากขึ้นอีกด้วย
คุณค่าทางด้านวรรณศิลป์
๑. มีการใช้ภาพพจน์แบบอุปมาได้อย่างแนบเนียนทำให้ผู้อ่าน
เกิดจินตภาพได้ชัดเจน
เช่น การใช้ภาพพจน์แบบอุปมาเปรียบเทียบโทษ
แห่งความรักดังนี้
ความรักเหมือนโรคา บันดาลตาให้มืดมน
ไม่ยินและไม่ยล อุปสรรคใดใด
ความรักเหมือนโคถึก กำลังคึกผิขังไว้
ก็โลดออกจากคอกไป บ ยอมอยู่ ณ ที่ขัง
ถึงหากจะผูกไว้ ก็ดึงไปด้วยกำลัง
ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง บหวนคิดถึงเจ็บกาย
การใช้ภาพพจน์แบบอุปมากล่าวถึงความงามของนางมัทนา
รูปเจ้าวิไลราว สุระแสร้งประจิตประจักษ์
มิควรจะร้างรัก เพราะพะธูพิถีพิถัน
๒. การใช้รูปแบบฉันทลักษณ์ที่เหมาะสมในการประพันธ์เนื้อเรื่อง
ในเรื่องนี้ถ้าดำเนินเรื่องอย่างรวดเร็วจะใช้ร้อยแก้ว ถ้า
ต้องการจังหวะของเสียงและความคล้องจองจะใช้คำประพันธ์ประเภท
กาพย์และเพื่อเน้นอารมณ์ความรู้สึกมากก็จะใช้ฉันท์ ดังตอนที่สุ
เทษณ์ตัดพ้อนางมัทนาและนางมัทนาเจรจาโต้ตอบซึ่งใช้วสันตดิลก
ฉันท์ ทำให้มีจังหวะรวดเร็ว เสริมการโต้ตอบให้ลีลาฉับไว
๓ . การใช้โวหารในการตัดพ้อเกี่ยวกับความรักระหว่างเทพบุตรสุ
เทษณ์และนางมัทนา
แสดงการใช้รสวรรณคดีแบบนารีปราโมทย์ที่ไพเราะและสละ
สลวยมาก แสดงถึง ความรักที่สุเทษณ์เทพบุตรมีต่อนางมัทนา
อย่างล้นพ้น
๔. การใช้ถ้อยคำที่สั้นและกะทัดรัดแต่สามารถสื่อความได้ครบถ้วน
ดังพิจารณาได้จาคำอธิบายคุณสมบัติของดอกกุหลาบที่มายาวินทูล
แนะนำสุเทษณ์ เน้นการใช้ภาษาที่อธิบายลักษณะของดอกกุหลาบ
และประโยชน์ของดอกกุหลาบได้อย่างชัดเจน
๕. การใช้ภาษาโต้ตอบระหว่างตัวละครก็ใช้ภาษาที่เข้าใจได้ง่าย
ทำให้ลักษณะของการสนทนาดูสมจริง
ลักษณะดีเด่นของมัทนะพาธา
๑. การที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มนำ
ฉันท์มาแต่ง เป็นบทละครพูด ซึ่งทรงทำได้เช่นนี้ เพราะพระองค์ทรง
เป็นนักปราชญ์ทางภาษาและวรรณคดี จึงทรงสามารถ สรรคำที่ง่าย
แก่การเข้าใจของผู้อ่านมาแต่งเป็นฉันท์ ซึ่งเป็นร้อยกรองที่แต่งยาก
เนื่องจากบังคับ ใช้คำครุ ลหุตามฉันทลักษณ์ทุกคำ ทั้งยังทรง
สามารถผูกเป็นบทเจรจาตามลักษณะของบทละครพูดให้ดำเนินเรื่อง
ราวตามโครงเรื่องที่วางไว้ได้อย่างดี จนผู้อ่านสัมผัสได้ทั้งรสคำ รส
ความที่ไพเราะและความงดงามทางภาษา
๒. การที่ทรงตั้งชื่อตัวละคร และสถานที่อันเป็นฉากของ
เรื่องได้อย่างถูกต้องตามยุคแห่งภารตวรรษ คือ ยุคแห่งอาณาจักร
พวกภารตะซึ่งสืบเชื้อสายมาจากพระภรต พระจักรพรรดิโบราณ ของ
อินเดียตามเรื่องมหาภารตะ ซึ่งเป็นมหากาพย์สำคัญเรื่องหนึ่ง แต่ง
ในประเทศอินเดียโบราณ เป็นมหากาพย์ภาษาสันสกฤตเรื่องยาว
ที่สุดในโลก ที่ทรงแต่งได้เช่นนี้ก็เพราะพระองค์ทรงเชี่ยวชาญทาง
วรรณคดีภาษาสันสกฤตด้วย
๓. ได้ทรงใช้เครื่องหมายวรรคตอนตามแบบการเขียนภาษาอังกฤษ
มีเครื่องหมายจุลภาค มหัพภาค ฯลฯ. ส่วนการสะกดการันต์นั้น ได้
ทรงใช้วิสรรชนีย์(สระอะ) กำกับเพื่อให้อ้านออกเสียงตาม พระราช
ประสงค์ เช่น ม–ณี (มณี) ดุจะ (ดุจ)มะทะนา (มทนา) พ–ธู (พธู)
ฯลฯ การเขียนอย่างแบบที่ทรงใช้นี้ ปรากฏว่าไม่มีผู้ใดใช้ตาม ทั้งนี้
อาจขัดกับอักขรวิธีไทย ซึ่งใช้กันมานาน การที่ทรงใช้อักขรวิธีอย่างที่
ปรากฏในบทละครเรื่องนี้ อาจเป็นเพราะทรงคิดมาจากภาษาอังกฤษ
ซึ่งทรงเชี่ยวชาญมากและอาจเป็นการทดลองดูก็ได้ สำหรับชื่อ
นางเอกของเรื่องนี้ มีพระราชปรารภในคำนำของเรื่องฉบับ เดิมว่ามี
พระราชดำริไว้ว่าจะใช้ชื่อนางเอกตามชื่อดอกไม้ แต่เมื่อทรงทราบว่า
ในภาษามคธ เรียกดอกกุหลาบว่า “ กุพชก ” ซึ่งถ้าแผลงสระ อะ
เป็น อา จะได้ศัพทว่า กุพชกา ซึ่งมีความหมายว่านางค่อม จึงไม่
โปรด และได้ทรงหาคำศัพท์ต่างๆ ที่พอจะใช้เป็นามชองสตรี ก็ทรง
เลือกเอา “ มัทนา ” จากศัพท์ “ มทน” ซึ่งมี ความหมายว่า ความ
ลุ่มหลงหรือความรัก ในขณะที่ทรงค้นหาชื่อ นางเอก ทรงพบศัพท์ “
มทนพาธา ” ซึ่งเซอร์โมเนียร์ วิลเลียมส์ แปลไว้ว่า “ ความเจ็บปวด
หรือ ความเดือดร้อนแห่งรัก”ก็โปรดว่าเหมาะกับเนื้อเรื่อง จึงทรงตั้ง
ชื่อเรื่องนี้ว่า “ มัทนะพาธา หรือ ตำนานแห่งดอกกุหลาบ”