บทที่12
จดั ทำโดย
นำงสำวอรวรำนนั ท์ ศริ ิทรัพย์ ม5/8 เลขที่22
นำเสนอโดย
คณุ ครู นำงสำวนิชำภำ พฒั น์วิชยั โชติ
กรดแอบไซซิก (ABSCISIC ACID) กำรตอบสนองตอ่ กำรสมั ผสั
Response to touch
กรดแอบไซซิก หรืABA พบครัง้ แรกโดยคำร์นส์ (CARNS) และ
แอดดิคอท(ADDICOT) เม่ือปีพ.ศ. 2507 โดยสกดั และแยกสำร กำรตอบสนองตอ่ กำรสมั ผสั
พืชบำงชนิดตอบสนองตอ่ กำรสมั ผสั เช่น เมื่อใช้มือแตะทต่ี ้นไมยรำบเบำ ๆ ใบของต้น
กระต้นุ กำรหลดุ ร่วงของใบและผลฝำ้ ย และให้ช่ือว่ำ แอบไซซนิ
(ABSCISIN) ตอ่ มำผ้คู ้นพบสำรจำกตำของต้นบิชที่ทำให้ตำพกั และ ไมยรำบจะหบุ อยำ่ งรวดเร็ว หรือต้นกำบหอยแครง ซง่ึ เป็นพชื กินแมลง เม่อื แมลงบนิ มำเกำะท่ีใบ
ของมนั ใบจะหบุ ทนั ทแี ละแมลงจะถกู ยอ่ ยเป็นอำหำร โดยนำ้ ยอ่ ยที่พืชปลอ่ ยออกมำทนั ที
ตวั ช่ือสำรวำ่ ดอร์มิน(DORMIN) ซงึ่ ก็คอื แอบไซซนิ นนั่ เอง
กำรตอบสนองตอ่ นำ้ hydrotropism
กำรตอบสนองตอ่ นำ้
นำ้
กำรตอบสนองของพืชตอ่ ปริมำณนำ้ สงั เกตได้จำกพชื ที่เจริญเติบโตในบริเวณที่แห้งแล้ง เช่น
พืชในทะเลทรำยซงึ่ บริเวณทะเลทรำยในแตล่ ะปีจะมฝี นตกเฉลย่ี น้อยกวำ่ 250 มิลลิเมตรตอ่ ปี
ดงั นนั้ พืชท่ีขนึ ้ ในทะเลทรำยจะต้องมีกำรปรับตวั เพ่ือตอบสนองตอ่ ปริมำณนำ้ ทม่ี นี ้อย โดยพืชบำง
ชนิดจะมมีพชื บำงชนิดลดขนำดของใบหรือเปลยี่ นให้อยใู่ นรูปของหนำมเพ่ือลดกำรสญู เสยี นำ้
การตอบสนองทางเคมี(CHEMOTROPISM) กำรเบนเนื่องจำกควำมโน้มถ่วง ( gravitropism)
เป็นกำรตอบสนองของพืชโดยกำรเจริญเข้ำหำหรือหนี จำกสำรเคมีบำงอยำ่ งที่เป็นสง่ิ เป็นกำรตอบสนองของพชื ตอ่ ควำมโน้มถว่ ง มีสำเหตมุ ำจำกกำรเจริญเติบโต แบง่ เป็น 2 แบบ
ได้แก่
เร้ำเช่นกำรงอกของหลอดละอองเรณไู ปยงั รังไขข่ องพืชโดยมี สำรเคมีบำงอย่ำงเป็นสง่ิ
เร้ำ กำรตอบสนองตอ่ แรงโน้มถว่ งของโลก เป็นกำรตอบสนองของพืชท่ีตอบสนองตอ่ กำรเคลอื่ นไหวเข้ำหำแรงโน้มถ่วงของโลก (positive gravitropism) รำกของพืชจะเจริญ
แรงโน้มถว่ งของโลกโดยรำกพืชจะเจริญเข้ำ ไปในทิศเดียวกบั แรงโน้มถว่ งของโลก เมือ่ พืชมลี ำต้นและรำกทอดนอนไปตำมพนื ้ ออกซนิ จะ
กำรเบนตำมแสง ( Phototropism) ลำเลยี งไปทำงด้ำนลำ่ งมำกกวำ่ ทำงด้ำนบนในรำก ออกซนิ ในปริมำณสงู ๆ จะยบั ยงั้ กำรแบง่ เซลล์
ทำให้ด้ำนลำ่ งแบง่ เซลล์ได้น้อยกวำ่ ด้ำนบน รำกพืชจงึ โค้งลงตำมแรงโน้มถว่ งของโลกเสมอ
กำรเคลอ่ื นไหวหนีแรงโน้มถ่วงของโลก (negative gravitropism) ลำต้นของพืชจะเจริญ
ไปในทิศตรงข้ำมกบั แรงโน้มถ่วงของโลกเสมอ เม่ือให้ลำต้นพืชทอดนอนไปตำมพืน้ จะเห็นปลำย
ยอดชสู งู ขนึ ้ ทงั้ นีเ้น่ืองจำกทำงด้ำนลำ่ งของลำต้นมอี อกซนิ สงู กวำ่ ด้ำนบนท่ีลำต้นและปลำยยอด
ตอบสนองตอ่ ออกซินในปริมำณสงู โดยเซลล์แบง่ ตวั ได้ดีกวำ่ ด้ำนทีม่ ีออกซินน้อยกวำ่ ทำให้เซลล์
แบง่ ตวั ได้มำกกวำ่ จงึ โค้งขนึ ้ หรือหนีแรงโน้มถว่ งของโลก
เป็นกำรเบนของพืชโดยมีแสงซง่ึ เป็นส่ิงเร้ำภำยนอก มกั พบได้กบั พืชท่ีปลกู ในร่ม ซงึ่ สำมำรถ
จำแนกได้สองประเภทคอื
กำรเบนเข้ำหำแสง (Positive phototropism) - ปลำยยอดของพชื จะพยำยำมเบนเข้ำหำ
แสง
กำรเบนออกจำกแสง (Negative phototropism) - รำกของพืชจะพยำยำมงอกไปยงั
ทศิ ทำงที่ไมม่ ีแสง
จิบเบอเรลลิน(GIBBERELLIN) ไซโทไคนิน ( Cytokinin)
จิบเบอเรลลนิ (GIBBERELLIN) เป็นฮอร์โมนพืชที่มีโครงสร้ำง ไซโตไคนินมีสองประเภท ได้แก่ ไซโตไคนินทีเ่ ป็นอนพุ นั ธ์ของอะดีนีนโดยมีโซข่ ้ำงมำเช่ือมตอ่ กบั
โมเลกลุ ขนำดใหญ่ ควบคมุ กำรเจริญเติบโตและมีอทิ ธิพลต่อ เบสที่ตำแหน่ง N6 ไซโตไคนินแบง่ ได้เป็นสองชนิดตำมชนิดของโซข่ ้ำงคือ ไอโซพรีนอยด์ ไซโตไค
นิน (Isoprenoid cytokinin) มีโซข่ ้ำงเป็นสำรกลมุ่ ไอโซพรีน กบั อะโรมำตกิ ไซโตไคนิน
กระบวนกำรทำงพฒั นำกำรรวมทงั้ กำรยืดของข้อ กำรงอก กำรพกั เช่น ไคนีตนิ ซเี อติน และ6-benzylaminopurine อีกกลมุ่ หนงึ่ คอื ไซโตไคนินท่ีเป็นอนพุ นั ธ์
ตวั กำรออกดอก กำรแสดงเพศ กำรชกั นำกำรสร้ำงเอนไซม์ ของไดฟี นิลยเู รีย และ ไทเดียซูรอน (TDZ) ไซโตไคนินชนิดอะดนี ีนมกั สงั เครำะห์ท่ีรำก[2] แคม
รวมทงั้ กำรชรำของดอกและผล เบียม และเนือ้ เยื่อเจริญอื่นๆเป็นแหลง่ ทม่ี กี ำรสงั เครำะห์ไวโตไคนินเช่นกนั [3] ไมม่ ีหลกั ฐำนวำ่ พืช
สร้ำงไซโตไคนินชนิดฟีนิลยเู รียได้[4] ไซโตไคนินเก่ียวข้องกบั กำรสง่ สญั ญำณทงั้ ระยะใกล้และ
ระยะไกล และเกี่ยวข้องกบั กำรขนสง่ นิวคลโี อไทด์ในพืช[5] โดยทว่ั ไป ไซโตไคนินถกู ขนสง่ ผำ่ น
ไซเลม
ทรอพิซมึ tropism
Tropic movement หรือ Tropism. หมำยถงึ กำรเคล่อื นไหวของพืช โดยมีทิศทำง
เกี่ยวข้องสมั พนั ธ์กบั ทศิ ทำงของสง่ิ เร้ำกำรเคลอ่ื นไหวแบบนี ้จะทำให้ลำต้นของพืชโค้งเข้ำหำหรือ
หนีส่งิ เร้ำที่มำกระต้นุ นนั้ ถ้ำโค้งเข้ำหำเป็น Positive tropism แตถ่ ้ำโค้งหนีก็เป็น
Negative tropism จำแนกออกหลำยชนิดตำมส่งิ เร้ำ
บราสสิโนสเตอรอยด์ (BRASSINOSTEROIDS
เป็นสำรกลมุ่ สเตียรอยด์ท่ีออกฤทธิ์ตอ่ กำรเจริญเติบโตของพชื ได้ พลั ไวนสั (pulvinus)
หลำกหลำย พบครัง้ แรกในละอองเรณขู องพืชตระกลู ผกั กำด ใน
ปัจจบุ นั พบสำรกลมุ่ นีแ้ ล้วมำกกวำ่ 60 ชนิด นอกจำกนนั้ BR ยงั มี
โครงสร้ำงคล้ำยฮอร์โมนที่ควบคมุ กำรลอกครำบของแมลง และ
สำมำรถออกฤทธ์ิเป็นสำรตอ่ ต้ำนกำรลอกครำบได้ จงึ เป็นสำร ...
พืชดนิ เค็มSaline soil plants พลั ไวนสั , กลมุ่ เซลล์ที่มีขนำดใหญ่ผนงั เซลล์บำง มีควำมไวสงู ตอ่ สิง่ เร้ำที่มำกระต้นุ อยบู่ ริเวณโคน
ก้ำนใบของพืชบำงชนิด เชน่ ต้นไมยรำบ
ดินเคม็ คือ ดินทีม่ ีเกลอื ทล่ี ะลำยได้ในสำรละลำยดินปริมำณมำก จนกระทบตอ่ กำรเจริญเติบโต
และผลผลติ ของพืช กำรสงั เกตโดยดจู ำกครำบเกลอื จะเห็นครำบเกลือเป็นหยอ่ มๆ โดยเฉพำะใน
ฤดแู ล้ง พืชมกั จะแสดงอำกำรใบไหม้ ลำต้นแคระแกร็น เน่ืองจำกพชื จะขำดนำ้ ควำมเป็นพษิ จำก
ธำตโุ ซเดียมและคลอไรด์ และเกิดควำมไม่สมดลุ ของธำตอุ ำหำร ดินเคม็ มีคำ่ กำรนำไฟฟ้ำของ
สำรละลำยท่สี กดั จำกดนิ ทีอ่ ่มิ ตวั ด้วยนำ้ มำกกวำ่ 2 เดซิซเี มนส์ตอ่ เมตร ที่อณุ หภมู ิ 25 องศำ
เซลเซยี ส ปัญหำดนิ เคม็ นอกจำกจะสง่ ผลกระทบตอ่ กำรเกษตรแล้ว ยงั สง่ ผลกระทบตอ่ สภำพ
เศรษฐกิจ สงั คมและสง่ิ แวดล้อม ปัญหำดนิ เคม็ ในประเทศไทยพบทงั้ ในภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือ
ภำคกลำงและพนื ้ ทชี่ ำยทะเล
แรงดนั เต่ง (TURGOR PRESSURE)
คือแรงดนั ท่ีเกิดขนึ ้ ภำยในเซลล์ เกิดขนึ ้ เนื่องมำจำกนำ้ ออสโมซสิ เข้ำไปภำยในเซลล์แล้วดนั ให้เซลล์แต่งหรือบวมขนึ ้ มำ เม่ือนำ้ เข้ำ
ไปภำยในเซลล์มำกเกินไปในกรณีท่ีเป็นเซลล์สตั ว์อำจเกิดกำรแตกได้ แต่หำกเป็นเซลล์พืชมกั จะไมม่ ีกำรแตกของเซลล์เน่ืองจำกมี
ผนงั เซลล์คงรูปร่ำงไว้
สตริโกแลกโทนStrigolag Tone
พืชสำมำรถสร้ำงสำรจำพวกออกซิน ไซโทไคนิน จิบเบอเรลลิน เอทิลีน และกรดแอบไซซกิ ซง่ึ เป็น
สำรควบคมุ กำรเจริญเตบิ โตหรือฮอร์โมนพืช นอกจำกนนั้ นกั วิทยำศำสตร์ยงั สำมำรถสร้ำงสำรเคมี
สงั เครำะห์ตำ่ ง ๆ ที่มีสมบตั เิ หมือนสำรควบคมุ กำรเจริญเติบโตของพืช ท่ีพืชสร้ำงได้เองตำม
ธรรมชำติเพื่อประโยชน์ทำงกำรเกษตร
กำรพกั ตวั ของเมลด็ (Dormancy)
กำรงอกของเมลด็ ต้องได้รับสภำพแวดล้อมภำยนอกที่เหมำะสมมำกระต้นุ กำรเปลี่ยนแปลง
ภำยในเมลด็ ซงึ่ เกี่ยวข้องกบั หลำยกระบวนกำร เริ่มตงั้ แตเ่ มลด็ มีกำรดดู นำ้ เพ่ือทำให้เซลล์ได้รับนำ้
เข้ำไป จงึ เร่ิมมีกำรทำงำนของเอนไซม์สำหรับยอ่ ยอำหำรท่ีเก็บสะสมไว้ในกำรพฒั นำของต้นกล้ำ