นิราศภูเขาทอง
คุณค่าด้านวรรณศิลป์
จัดทำโดย
น.ส.ศศิธร กิจสนอง ม.๕/๑ เลขที่ ๓๘
คุณค่าด้านวรรณศิลป์
“ ดูน้ำวิ่งกลิ้งเชี่ยวเป็นเกลียวกลอก
กลับกระฉอกฉาดฉัดฉวัดเฉวียน
บ้างพลุ่งพลุ่งวุ้งวงเหมือนกงเกวียน
ดูเวียนเวียนคว้างคว้างเป็นหว่างวน ”
๑. มีการเล่นเสียง
-สัมผัสสระ : วิ่ง-กลิ้ง เชี่ยว-เกลียว พลุ่ง-วุ้ง คว้าง-หว่าง เกวียน-เวียน
-สัมผัสพยัญชนะ : กลิ้ง-เกลียว-กลอก ฉอก-ฉาด-ฉัด-ฉวัด-เฉวียน
วุ้ง-วง เวียน-หว่าง-วน
๒. มีการใช้โวหารภาพพจน์
-บุคคลวัต : มีการแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนตัวของน้ำเหมือนคน
-อุปมา : มีการใช้คำว่า “เหมือน” ซึ่งเปรียบว่าน้ำเหมือนกงเกวียน
-อุปลักษณ์ : มีการใช้คำว่า “เป็น” ซึ่งเปรียบว่าน้ำวิ่งเป็นเกลียว
คุณค่าด้านวรรณศิลป์
“ เมื่อเคราะห์ร้ายกายเราก็เท่านี้
ไม่มีที่พสุ ธาจะอาศั ย
ล้วนหนามเหน็บเจ็บแสบคับแคบใจ
เหมือนนกไร้รังเร่อยู่เอกา ”
๑. มีการเล่นเสียง
-สัมผัสสระ : ร้าย-กาย นี้-มี-ที่ พสุธา-อาศัย เหน็บ-เจ็บ
แสบ-แคบ ใจ-ไร้
-สัมผัสพยัญชนะ : ร้าย-เรา หนาม-เหน็บ คับ-แคบ ไร้-รัง-เร่
๒. มีการใช้โวหารภาพพจน์
-อุปมา : มีการใช้คำว่า “เหมือน” ซึ่งเปรียบว่าตัวเราเหมือนนกที่ไร้รัง
๓. มีการใช้รสวรรณคดี
-สัลลาปังคพิสัย : มีการกล่าวถึงความเศร้า ความเจ็บปวดของผู้เขียน
ที่ไร้บ้านเมืองจะอาศัย ต้องเร่ร่อนเอาชีวิตรอด
คุณค่าด้านวรรณศิลป์
“ ถึงหน้าวังดังหนึ่งใจจะขาด คิดถึงบาทบพิตรอดิศร
โอ้ผ่านเกล้าเจ้าประคุณของสุนทร แต่ปางก่อนเคยเฝ้าทุกเช้าเย็น
พระนิพพานปานประหนึ่งศีรษะขาด ด้วยไร้ญาติยากแค้นถึงแสนเข็ญ
ทั้งโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น ไม่เล็งเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา ”
๑. มีการเล่นเสียง
-สัมผัสสระ : ถึง-หนึ่ง วัง-ดัง ขาด-บาท คิด-บพิตร เกล้า-เจ้า ประคุณ-สุนทร
นิพพาน-ปาน ขาด-ญาติ แค้น-แสน ซัด-วิบัติ ซึ่ง-พึ่ง
-สัมผัสพยัญชนะ : หน้า-หนึ่ง ปาน-ประหนึ่ง ญาติ-ยาก ซ้ำ-ซัด พึ่ง-พา
๒. มีการใช้โวหารภาพพจน์
-อุปมา : มีการใช้คำว่า “ดัง” ซึ่งเปรียบว่าตัวผู้เขียนมีความรู้สึหเหมือนใจจะขาด
เมื่อถึงหน้าวัง และมีการใช้คำว่า “ปานประหนึ่ง” ซึ่งเปรียบว่าการที่บพิตรนิพพานไปนั้น
ทำให้ตนเองก็เหมือนคนตาย
-อธิพจน์ : มีการกล่าวเกินจริง ดังประโยค “ใจจะขาด”
๓. มีการใช้รสวรรณคดี
-สัลลาปังคพิสัย : มีการกล่าวถึงความเศร้า ความทุกข์ของผู้เขียน ทั้งคิดถึงบาทบ
พิตรที่ตนเคยรับใช้ และความอาภัพของตนเองที่ปัจจุบันไม่มีที่ให้พึ่งพาอาศัย ร่างกายก็
รุมล้อมไปด้วยโรคมากมาย
คุณค่าด้านวรรณศิลป์
“ ขอเดชะพระพุทธคุณช่ วย
แ ม้ น ม อ ด ม้ ว ย ก ลั บ ช า ติ ว า ส น า
อายุยืนหมื่ นเท่าเสาศิ ลา
อ ยู่ คู่ ฟ้ า ดิ น ไ ด้ ดั ง ใ จ ป อ ง ”
๑. มีการเล่นเสียง
-สัมผัสสระ : เดชะ-พระ ช่วย-ม้วย ชาติ-วาสนา ยืน-หมื่น เท่า-เสา
ศิลา-ฟ้า อยู่-คู่ ได้-ใจ
-สัมผัสพยัญชนะ : พระ-พุทธ แม้น-มอด-ม้วย เสา-ศิลา อายุ-ยืน
ดิน-ได้-ดัง
๒. มีการใช้โวหารภาพพจน์
-อธิพจน์ : มีการกล่าวเกินจริง ดังประโยค “อายุยืนหมื่นเท่าเสาศิลา”
และประโยค “อยู่คู่ฟ้าดินดังใจปอง”
คุณค่าด้านวรรณศิลป์
“ ถึงบางจากจากวัดพลัดพี่น้อง
มามัวหมองม้วนหน้าไม่ฝ่าฝืน
เพราะรักใคร่ใจจืดไม่ยืดยืน
จำต้องขืนใจพรากมาจากเมือง ”
๑. มีการเล่นเสียง
-สัมผัสสระ : วัด-พลัด น้อง-หมอง หน้า-ฝ่า มา-หน้า-ฝ่า ใคร-ใจ
จืด-ยืด-ยืน-ขืน พราก-จาก ฝืน-ยืน
-สัมผัสพยัญชนะ : มา-มัว-หมอง-ม้วน ฝ่า-ฝืน ใจ-จืด ยืด-ยืน
จำ-ใจ-จาก
๒. มีการเล่นคำ
- การใช้คำซ้ำ ดังประโยค “ถึงบางจากจากวัดพลัดพี่น้อง” จากประโยคมี
การพูดถึง บางจาก ที่เป็นสถานที่ แล้ว จากวัด ซึ่งเป็นกริยา
๓. มีการใช้รสวรรณคดี
-สัลลาปังคพิสัย : บทประพันธ์ทีการแสดงถึงความเศร้าที่ต้องพลัดพราก
จากครอบครัว จากบ้านเมืองของตน
คุณค่าด้านวรรณศิลป์
“ ถึงเกร็ดย่านบ้านมอญแต่ก่อนเก่า
ผู้หญิงเกล้ามวยงามตามภาษา
เดี๋ยวนี้ มอญถอนไรจุ กเหมือนตุ๊กตา
ทั้งผัดหน้าจับเขม่าเหมือนชาวไทย ”
๑. มีการเล่นเสียง
-สัมผัสสระ : ย่าน-บ้าน มอญ-ก่อน เก่า-เกล้า งาม-ตาม มอญ-ถอน
จุก-ตุ๊กตา
-สัมผัสพยัญชนะ : เกร็ด-ก่อน-เก่า-เกล้า มอญ-เหมือน
๒. มีการใช้โวหารภาพพจน์
- อุปมา : มีการใช้คำว่า “เหมือน” จากประโยค “ มอญถอนไรจุกเหมือนตุ๊กตา”
ซึ่งเปรียบเทียบการทำผมของชาวมอญว่าเหมือนกับตุ๊กตา และจากประโยค
“ผัดหน้าจับเขม่าเหมือนชาวไทย” ก็ยังเปรียบเทียบอีกว่าคนมอญมีการแต่งหน้าที่
เหมือนชาวไทยเรา
คุณค่าด้านวรรณศิลป์
“ กระนี้หรือชื่ อเสี ยงเกียรติยศ
จะมิหมดล่วงหน้าทันตาเห็น
เป็นผู้ดีมีมากแล้วยากเย็น
คิดเป็นอนิจจังเสี ยทั้งนั้น ”
๑. มีการเล่นเสียง
-สัมผัสสระ : หรือ-ชื่อ เสียง-เกียรติ ยศ-หมด หน้า-ตา ดี-มี
เห็น-เป็น-เย็น มาก-ยาก คิด-อนิจ จัง-ทั้ง
-สัมผัสพยัญชนะ : มิ-หมด มี-มาก ยาก-เย็น
๒. มีการใช้โวหารภาพพจน์
- อุปลักษณ์ : มีการใช้คำว่า “เป็น” จากประโยค “เป็นผู้ดีมีมากแล้วยากเย็น”
ซึ่งเปรียบเทียบได้ว่า การจะทำตัวให้เป็นผู้ดีสำหรับผู้แต่งนั่นเป็นเรื่องที่ทำได้
ยากเย็น และจากประโยค “คิดเป็นอนิจจังเสียทั้งนั้น” จะเป็นการเปรียบเทียบ
ความคิดว่าทุกสิ่งมีความไม่แน่นอน
คุณค่าด้านวรรณศิลป์
“ ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่ นเกล้า
พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี
ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี
ชื่ อปทุมธานีเพราะมีบัว ”
๑. มีการเล่นเสียง
-สัมผัสสระ : โคก-โศก ถวิล-ปิ่ น เกล้า-เจ้า บำรุง-กรุง ศรี-ตรี
นาม-สาม นี-มี
-สัมผัสพยัญชนะ : สาม-โศก
๒. มีการเล่นคำ
-มีการใช้คำซ้ำ ดังประโยค “ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่ นเกล้า” จาก
ประโยคมีการใช้คำว่า “ถึง” ถึงสองครั้ง โดยถึงแรกหมากถึงกริยาที่เดินทาง
มาถึงสถานที่หนึ่ง และถึงที่สอง มาจากถวิลถึงหรืออาการคิดถึงของมนุษย์
คุณค่าด้านวรรณศิลป์
“ ถึงบางเดื่อโอ้มะเดื่อเหลือประหลาด
บังเกิดชาติแมลงหวี่มีในไส้
เหมือนคนพาลหวานนอกย่อมขมใน
อุปไมยเหมือนมะเดื่อเหลือระอา”
๑. มีการเล่นเสียง
-สัมผัสสระ : มะ-ประ หลาด-ชาติ เดื่อ-เหลือ หวี่-มี ใน-ไส้
พาล-หวาน ไส้-ใน-ไมย มะ-ระอา
-สัมผัสพยัญชนะ : เหลือ-หลาด นอก-ใน ไมย-เหมือน-มะ
๒. มีการเล่นคำ
-มีการใช้คำซ้ำ ดังประโยค “ถึงบางเดื่อโอ้มะเดื่อเหลือประหลาด” โดย
บางเดื่อ หมาถึงสถานที่ และ มะเดื่อ หมายถึงผลไม้ชนิดหนึ่ง
๓. การใช้โวหารภาพพจน์
-อุปมา : มีการใช้คำว่า “เหมือน” ซึ่งมีการเปรียบเทียบได้ว่า ผลมะเดื่อที่มี
แมลงหวี่อยู่ข้างในก็เหมือนคนพาล ที่ภายนอกดูดี แต่ภายในใจอาจจะคิดร้าย
ต่อผู้อื่นได้
คุณค่าด้านวรรณศิลป์
“ นาวาเอียงเสี ยงกุกลุกขึ้นร้อง
มันดำล่องน้ำไปช่างไวเหลือ
ไม่เห็นหน้าสานุศิษย์ที่ชิดเชื้ อ
เหมือนเนื้ อเบื้ อบ้าดูเซอะซะ”
๑. มีการเล่นเสียง
-สัมผัสสระ : นา-วา เอียง-เสียง กุก-ลุก ร้อง-ล่อง ไป-ไว เหลือ-เชื้อ
หน้า-สา ศิษย์-ชิด เชื้อ-เนื้อ-เบื้อ
-สัมผัสพยัญชนะ : ล่อง-เหลือ หน้า-นุ ชิด-เชื้อ เบื่อ-บ้า เซอะ-ซะ
๒. การใช้โวหารภาพพจน์
-บุคคลวัต : จากประโยค “นาวาเอียง” เป็นการแสดงให้เห็นถึงแม่น้ำที่มี
การกระทำเหมือนมนุษย์
-สัทพจน์ : จากประโยค “เสียงกุกลุก” เป็นการเลียนเสียงธรรมชาติขณะ
เรือโยกโคลงเคลง
-อุปมา : มีการใช้คำว่า “เหมือน” เปรียบได้ว่าขณะนั้นกริยาดูไม่ปกติ
นิราศภูเขาทอง
คุณค่าด้านสั งคม
จัดทำโดย
น.ส.ศศิธร กิจสนอง ม.๕/๑ เลขที่ ๓๘
คุณค่าด้านสังคม
“ ถึงเกร็ดย่านบ้านมอญแต่ก่อนเก่า
ผู้หญิงเกล้ามวยงามตามภาษา
เดี๋ยวนี้ มอญถอนไรจุ กเหมือนตุ๊กตา
ทั้งผัดหน้าจับเขม่าเหมือนชาวไทย ”
• สะท้อนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของผู้คนในยุคสมัยนั้น
-มีการกล่าวถึงการรักสวย รักงาน ของหญิงไทยตั้งแต่อดีต
-มีการกล่าวถึงชุมชนต่างชาติ จากบทประพันธ์จะเห็นได้ว่าชาวมอญ
มีการทำผมถอนไรจุกและแต่งหน้าเหมือนกับชาวไทย สิ่งนี้เป็นสิ่งที่
สะท้อนให้เราเห็นถึงความเป็นอยู่ของชาวต่างชาติที่กลายมาเป็นส่วน
หนึ่งของสังคมไทย ชาวต่างชาติได้นำวิถีชีวิตและวัฒนธรรมไทยมาผสม
ผสานในชีวิตประจำวัน
คุณค่าด้านสังคม
“ ไปพ้นวัดทัศนาริมท่าน้ำ
แพประจำจอดรายเขาขายของ
มีแพรผ้าสารพัดสี ม่วงตอง
ทั้งสิ่งของขาวเหลืองเครื่องสำเภา ”
• สะท้อนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของผู้คนในยุคสมัยนั้น
-มีการกล่าวถึงการติดต่อค้าขาย โดยผู้เขียนได้ถ่ายทอดถึง
สภาพการค้าขายบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา การค้าขายเป็นไปอย่าง
คึกคัก มีการนำสินค้าหลากหลายประเภทที่บรรทุกมากับเรือสำเภา
มาวางขายในแพที่จอดเรียงราย จากบทประพันธ์จะเห็นว่ามีทั้งแพร
ผ้าและสิ่งของอีกมากมาย
คุณค่าด้านสังคม
“ ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่ นเกล้า
พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี
ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี
ชื่ อปทุมธานีเพราะมีบัว ”
•กล่าวถึงตำนานของสถานที่
-ผู้เขียนได้กล่าวถึงสถานที่ซึ่งชื่อเดิมมีชื่อว่า “สามโคก” แต่
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยพระราชทาน
เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “ปทุมธานี” เพราะมีพระราชดำริว่าเมืองนี้
เป็นเมืองที่มีดอกบัวขึ้นอยู่มาก (ดอกบัว: ปทุม , ธานี: เมือง]
คุณค่าด้านสังคม
“ ทั้งองค์ฐานรากร้าวถึงเก้าแฉก เผยอแยกยอดทรุดก็หลุดหัก
โอ้เจดีย์ที่สร้างยังร้างรัก เสี ยดายนักนึกน่านน้ำตากระเด็น
กระนี้หรือชื่ อเสี ยงเกียรติยศ จะมิหมดล่วงหน้าทันตาเห็น
เป็นผู้ดีมีมากแล้วยากเย็น คิดเป็นอนิจจังเสี ยทั้งนั้น ”
•ให้แง่คิดเกี่ยวกับความจริงของชีวิต
-บทประพันธ์นี้ได้ปรากฏในบทกลอนตอนหนึ่งซึ่งมีเนื้อหา
กล่าวเกี่ยวเนื่องถึงเรื่อง โลกธรรม๘ ตามหลักคำสอนทางพุทธ
ศาสนา โดยผู้เขียนได้กล่าวว่า แม้เจดีย์ภูเขาทองที่เคยงดงามจะ
ยังมีวันสุดโทรม ชื่อเสียงเกียรติยศก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีรุ่งเรืองก็
มีเสื่อมได้เป็นธรรมดา จึงควรมองโลกอย่างเข้าใจว่าทุกสิ่งล้วน
เป็นอนิจจัง
คุณค่าด้านสังคม
“ ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์
มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา ”
•ให้แง่คิดเกี่ยวกับความจริงของชีวิต
-จากบทประพันธ์ ผู้เขียนได้แทรกคำสอน ซึ่งสามารถนำมา
ปรับใช้ในชีวิตได้เป็นอย่างดี อาทิเช่น คำสอนเรื่องการพูดโดย
สอนให้รู้จักพูด เพื่อป้องกันไม่ให้คำพูดก่อให้เกิดโทษแก่ตนเอง
เนื่องจากการพูดดีจะเป็นมงคลแก่ตัวและมีแต่คนรักใครเอ็นดู
แต่ถ้าพูดไม่ดีย่อมมีผลกระทบในด้านลบแก่ตนเอง
คุณค่าด้านสังคม
“ ถึงบางเดื่อโอ้มะเดื่อเหลือประหลาด
บังเกิดชาติแมลงหวี่มีในไส้
เหมือนคนพาลหวานนอกย่อมขมใน
อุปไมยเหมือนมะเดื่อเหลือระอา”
•ให้แง่คิดเกี่ยวกับความจริงของชีวิต
-จากบทประพันธ์ ผู้เขียนได้ให้แง่คิดเรื่องการคบคน ว่าไม่
ควรประมาทและไม่ควรวางใจผู้ใดง่ายๆเนื่องจากบางคนอาจพูด
หรือทำให้เราเห็นว่าเขาเป็นคนดี แต่แท้จริงแล้วเค้าอาจจะเป็น
คนที่มีจิตใจไม่ดี เปรียบได้กับผลมะเดื่อที่ภายนอกมีสีสัน
สวยงามแต่กลับเต็มไปด้วยหนอนแมลงหวี่ชอนไชอยู่ภายใน
คุณค่าด้านสังคม
“ ขอเดชะพระพุทธคุณช่วย
แม้นมอดม้วยกลับชาติวาสนา
อายุยืนหมื่ นเท่าเสาศิ ลา
อยู่คู่ฟ้าดินได้ดังใจปอง”
•สะท้อนความเชื่อของคนไทย
-จากบทประพันธ์ มีความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด
กลับชาติมาเกิดใหม่ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ได้รับมาจากพระพุทธ
ศาสนา อีกทั้งยังมียังมีความเชื่อเรื่องบุญ-บาปวาสนาเข้ามา
เกี่ยวในบทประพันธ์ด้วย
คุณค่าด้านสังคม
“ งิ้วนรกสิ บหกองคุลีแหลม
ดังขวากแซมเสี้ ยมแทรกแตกไสว
ใครทำชู้ คู่ท่านครั้นบรรลัย
ก็ต้องไปปีนต้นน่าขนพอง ”
•สะท้อนความเชื่อของคนไทย
-ผู้เขียนได้สอดแทรกคติความเชื่อของคนไทย ซึ่งส่วนใหญ่
มักเกี่ยวเนื่องในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะเรื่องนรก-สวรรค์
อาทิ เช่น ความเชื่อที่ว่าหาใครคบชู้คือประพฤติตนผิดศีลข้อสาม
ตามหลักศีลห้า เมื่อตายไปผู้นั้นจะต้องตกนรกและต้องปีนต้นงิ้ว
ซึ่งมีหนามยาวและแหลมคม
คุณค่าด้านสังคม
“จึงสร้างพรตอตส่ าห์ส่ งส่ วนบุญถวาย
ประพฤติฝ่ายสมถะทั้งวสา
เป็นสิ่ งของฉลองคุณมุลิกา
ขอเป็นข้าเคียงบาททุกชาติไปฯ ”
•สะท้อนความเชื่อของคนไทย
-จากบทประพันธ์ มีความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด
กลับชาติมาเกิดใหม่ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ได้รับมาจากพระพุทธ
ศาสนา อีกทั้งยังมียังมีความเชื่อเรื่องบุญ-บาปวาสนาเข้ามา
เกี่ยวในบทประพันธ์ด้วย
คุณค่าด้านสังคม
“ ถึงแขวงนนท์ชลมารคตลาดขวัญ
มีพ่วงแพแพรพรรณเขาค้าขาย
ทั้งของสวนล้วนเรือนอยู่เรียงราย
พวกหญิงชายประชุมกันทุกวันคืน”
• สะท้อนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของผู้คนในยุคสมัยนั้น
-มีการกล่าวถึงการติดต่อค้าขาย โดยผู้เขียนได้กล่าวถึง
“ตลาดขวัญ” โดยบรรยายไว้ว่าเมื่อเดินทางผ่านตลาดขวัญก็เห็น
ภาพการค้าขาย หรือการจับจ่ายสินค้าหลากหลายชนิด ทั้ง
เสื้อผ้าและพืชผลต่างๆ อยู่บนเรือมากมายหลายลำ และตลาด
แห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับพบปะพูดคุยกันของชาวบ้านอีก
ด้วย