บทท่ี
3
พนั ธะเคมี
รปู ท่ี 3.14 แสดงไอออนบวกและไอออนลบของธาตบุ างชนดิ ในตารางธาตุ
(5) การเขียนสูตรอย่างงา่ ยทาไดด้ ังตัวอย่างตอ่ ไปนี้
เขียนไอออนบวกก่อนแล้วตามด้วยไอออนลบ จากนั้นให้ไขว้เลขประจุของไอออน
บวกไปเป็นเลขห้อยของไอออนลบ และไขว้เลขประจุของไอออนลบไปเป็นเลขห้อย
ของไอออนบวก โดยท่ีไม่ต้องแสดงเครื่องหมายบวกและลบ จากตัวอย่างจะได้ว่า
Mg2O2 และเลขหอ้ ยทาเปน็ สดั สว่ นอย่างตา่ จึงเขียนสูตรอย่างง่ายได้เปน็ MgO
3.2.3.2 การเรียกชือ่
(1) ไอออนบวก
- การเรียกชื่อไอออนบวกท่ีมีประจุคา่ เดียว (ธาตุหมู่ IA, IIA, IIA และโลหะแทรนซิชัน
ท่มี เี ลขออกซิเดชันค่าเดียว เชน่ Ag+, Zn2+) ใหเ้ รยี กเป็น
ชือ่ ธาตุ + ไอออน
เช่น Na+ โซเดียมไอออน Sr2+ สทรอนเชียมไออน
Ca2+ แคลเซยี มไอออน K+ โพแทสเซยี มไออน
Ag+ ซิลเวอร์ไอออน Zn2+ ซิงคไ์ อออน
- การเรียกช่ือไอออนบวกท่ีมีประจุหลายค่า (โลหะแทรนซิชันส่วนใหญ่ และธาตุหมู่
IVA บางชนดิ ไดแ้ ก่ Sn2+, Sn4+ และ Pb2+, Pb4+) ใหเ้ รยี กเป็น
ชอื่ ธาตุ (แสดงประจดุ ว้ ยเลขโรมัน) + ไอออน
เชน่ Fe2+ ไอรอ์ อน(II)ไอออน Fe3+ ไอรอ์ อน(III)ไอออน
Cu+ คอปเปอร(์ I)ไอออน Cu2+ คอปเปอร(์ II)ไอออน
Pb2+ เลด(II)ไอออน Pb4+ เลด(IV)ไอออน
เอกสารประกอบการสอน 123 วชิ าเคมี 1 (ว 31221)
บทท่ี
3
(2) ไอออนลบ
- การอ่านชื่อไอออนลบทีเ่ กดิ จากอะตอมเดย่ี ว ให้อา่ นเปน็
ชอ่ื ธาตอุ โลหะเปลย่ี นเสยี งท้ายเป็นไอด์ (-ide) + ไอออน
พันธะเค ีม เชน่ O2‒ ออกไซดไ์ อออน S2‒ ซัลไฟดไ์ อออน
N3‒ ไนไตรดไ์ อออน Br‒ โบรไมด์ไอออน
- การอา่ นช่อื ไอออนลบท่ีเกิดจากกลุ่มอะตอมที่มอี อกซเิ จนเปน็ องค์ประกอบ
(1) ลงทา้ ยดว้ ย เ-ต (-ate)
(2) ลงท้ายดว้ ย ไ-ต์ (-ite) ใช้กบั ไอออนลบทปี่ ระจุเทา่ กนั แต่ออกซเิ จน
ลดลง 1 อะตอม เช่น
NO3‒ ไนเตรตไอออน NO2‒ ไนไตรตไ์ อออน
SO42‒ ซลั เฟตไอออน SO32‒ ซัลไฟตไ์ อออน
- การอ่านชื่อไอออนลบที่เกิดจากกลุ่มอะตอมท่ีมีออกซิเจนและฮาโลเจนเป็น
องคป์ ระกอบ
(1) ถา้ เดิมลงทา้ ยด้วย เ-ต แต่มีออกซเิ จนเพ่ิมมา 1 อะตอม เตมิ คานาหน้า
วา่ เปอร์ (per-)
(2) ถ้าเดิมลงท้ายด้วย ไ-ต์ แต่มีออกซิเจนลดลง 1 อะตอม เติมคานาหน้า
ว่า ไฮโป (hypo-) เชน่
ClO3‒ คลอเรตไอออน ClO4‒ เปอรค์ ลอเรตไอออน
ClO2‒ คลอไรตไ์ อออน ClO‒ ไฮโปคลอไรตไ์ อออน
- ไอออนลบที่มีออกซิเจนเป็นองค์ประกอบ เม่ือเติม H+ ให้เติมคานาหน้าว่า
ไฮโดรเจน หรือ ไดไฮโดรเจน ตามจานวนของไฮโดรเจนท่เี ตมิ เชน่
CO32‒ คาร์บอเนตไอออน PO43‒ ฟอสเฟตไอออน
HCO3‒ ไฮโดรเจนคารบ์ อเนตไอออน HPO42‒ ไฮโดรเจนฟอสเฟตไอออน
H2PO4‒ ไดไฮโดรเจนฟอสเฟตไอออน
ขอ้ สังเกต : เมื่อเตมิ H+ ประจุลบจะลดลง 1 เสมอ
- ไอออนลบทีเ่ กิดจากกลุ่มอะตอมชนดิ อ่นื ๆ เช่น
OH‒ ไฮดรอกไซด์ไอออน CN‒ ไซยาไนดไ์ อออน
CrO42‒ โครเมตไอออน Cr2O72‒ ไดโครเมตไอออน
CH3COO‒ อะซีเตตไอออน MnO42‒ แมงกาเนตไอออน
MnO4‒ เปอร์แมงกาเนตไอออน SCN‒ ไธโอไซยาเนตไอออน
BO32‒ บอเรตไอออน MoO42‒ โมลิบเดตไอออน
S2O32‒ ไธโอซลั เฟตไอออน
เอกสารประกอบการสอน 124 วิชาเคมี 1 (ว 31221)
- การเรยี กช่อื สารประกอบไอออนิก ทาได้ดงั น้ี บทที่
ชือ่ ไอออนบวก + ช่ือไอออนลบ *แต่ตัดคำว่ำไอออนท้งิ ไป 3
เชน่
Na2S เรียกชอ่ื เปน็ โซเดยี มซลั ไฟด์ พนั ธะเคมี
KBr เรียกชื่อเปน็ โพแทสเซียมโบรไมด์
NaSCN เรียกชื่อเป็น โซเดียมไธโอไซยาเนต
Ca3(PO4)2 เรยี กช่ือเปน็ แคลเซียมฟอสเฟต
MnO เรยี กชื่อเปน็ แมงกานสี (II)ออกไซด์
MnO2 เรยี กชื่อเป็น แมงกานีส(IV)ออกไซด์
Mn2O3 เรยี กชอ่ื เป็น แมงกานสี (III)ออกไซด์
FeCl2 เรียกชอ่ื เปน็ ไอรอ์ อน(II)คลอไรด์
FeCl3 เรยี กชื่อเปน็ ไอรอ์ อน(III)คลอไรด์
QR code ลงิ ก์แหลง่ เรยี นรู้ออนไลน์
ตามโครงการ Project 14 ของ สสวท.
เรอื่ ง สตู รเคมี และ ช่อื ของสารประกอบไอออนกิ
แบบฝกึ หดั ที่ 3.5 : การเขียนสูตรและเรียกชื่อสารประกอบไอออนิก
จงเขยี นสูตรอยา่ งงา่ ย หรือ เรยี กช่ือสารประกอบไอออนกิ โดยเติมขอ้ มลู ลงในช่องว่างให้สมบรู ณ์
สตู รอยา่ งง่าย ไอออนบวก ไอออนลบ ชือ่ ภาษาอังกฤษ ชื่อภาษาไทย
BaS2O3 Ba2+ S2O32‒ Bariumthiosulphate แบเรยี มไธโอซลั เฟต
Ni(OH)2
CH3COONa
Fe(SCN)2
Na2BO3
Silver cyanide
Zinc sulphate
Calcium dihydrogenphosphate
สทรอนเชียมอะซิเตต
โซเดยี มไฮโปคลอไรต์
แมงกานีส(II)ไนเตรต
อะลมู ิเนียมไดโครเมต
เอกสารประกอบการสอน 125 วิชาเคมี 1 (ว 31221)
บทท่ี
3
3.2.4 พลงั งานกับการเกดิ สารประกอบไอออนิก
การอธิบายขั้นตอนการเกิดสารประกอบไอออนิก และแสดงการเปล่ียนแปลงพลังงานในข้ัน
ต่าง ๆ น้ัน มักใช้ วัฏจักรบอร์น-ฮำเบอร์ (Born-Haber cycle) ในการอธิบาย ยกตัวอย่างการเกิด
สารประกอบ NaCl ดังรปู ท่ี 3.15
พันธะเค ีม
รปู ท่ี 3.15 แสดงวฏั จักรบอร์น-ฮาเบอร์ ของการเกิดผลึกโซเดยี มคลอไรด์ (NaCl)
จากรูปที่ 3.15 อธบิ ายการเปลย่ี นแปลงแตล่ ะขน้ั ตอนในวัฏจกั รบอรน์ -ฮาเบอร์ ไดด้ ังนี้
ขนั้ ที่ 1 การระเหดิ ของโซเดยี ม
โลหะโซเดียมในสถานะของแข็งระเหิดกลายเป็นไอ (อะตอมในสถานะแก๊ส) ข้ันน้ีต้อง
ดูดพลงั งาน 107 kJ/mol เรียกว่า พลังงานการระเหดิ (Heat of sublimation, ∆Hs)
Na (s) → Na (g)
ขัน้ ท่ี 2 การแตกตัวเปน็ ไอออนของโซเดยี ม
อะตอมโซเดียมในสถานะแก๊สจากข้ันท่ี 1 เสียเวเลนซ์อิเล็กตรอน 1 อนุภาค กลายเป็น Na+
ในสถานะแก๊ส ข้ันนีจ้ ะดูดพลังงาน 496 kJ/mol เรยี กว่า พลังงานไอออไนเซชัน (Ionization Energy, IE)
Na (g) → Na+ (g)
ขน้ั ที่ 3 การสลายพนั ธะของแก๊สคลอรนี
โมเลกุลของแก๊สคลอรีน สลายตัวให้อะตอมคลอรีนในสถานะแก๊ส ข้ันน้ีจะดูดพลังงาน
243 kJ/mol เรยี กวา่ พลังงานสลายพนั ธะ (Dissociation energy, D)
Cl2 (g) → 2Cl (g)
แตใ่ นการเกิด NaCl 1 โมล ตอ้ งใช้ Cl (g) เพียง 1 โมล ดังน้ัน ข้นั น้จี ึงสอดคลอ้ งกบั สมการ
1 Cl2 (g) → Cl (g)
2
พลังงานจงึ เทา่ กับ 1 (D) = 1 (243 kJ/mol) = 121.5 ≈ 122 kJ/mol
22
เอกสารประกอบการสอน 126 วชิ าเคมี 1 (ว 31221)
ขัน้ ที่ 4 การเกดิ คลอไรดไ์ อออน บทท่ี
3
คลอรีนอะตอมในสถานะแก๊ส รับอิเล็กตรอนเข้ามาเพิ่ม 1 อนุภาค กลายเป็นคลอไรด์ไอออนใน
สถานะแกส๊ ขนั้ น้ีคายพลังงาน 349 kJ/mol เทา่ กบั คา่ สัมพรรคภาพอิเล็กตรอน (Electron Affinity, EA)
Cl (g) → Cl‒ (g)
ขั้นที่ 5 การเกิดผลึกโซเดียมคลอไรด์ พนั ธะเคมี
โซเดียมไอออนและคลอไรด์ไอออนในสถานะแก๊ส รวมตัวกันเป็นผลึก NaCl ขั้นน้ีคายพลังงาน
787 kJ/mol เรียกวา่ พลังงานโครงผลกึ หรือพลงั งานแลตทิซ (Lattice energy, U)
Na+ (g) + Cl‒ (g) → NaCl (s)
เมอื่ รวมสมการจากท้งั 5 ข้ัน จะได้สมการรวม ดังนี้
Na (s) + 1 Cl2 (g) → NaCl (s)
2
สามารถคานวณพลังงานรวมของการเกิดปฏิกิรยิ า (Heat of formation, ∆Hf) ต่อการเกิด
NaCl 1 โมล ไดด้ งั น้ี
∆Hf of NaCl = ∆Hs + IE + 1 D + EA + U
2
ทงั้ นจ้ี ะตอ้ งพจิ ารณาเครอื่ งหมายดว้ ย
ดดู พลังงาน มีคา่ เป็นบวก ได้แก่ ∆Hs , IE , 1 D
2
คายพลงั งาน มีคา่ เปน็ ลบ ได้แก่ EA , U
∆Hf = (+107 kJ) + (+496 kJ) + (+122 kJ) + (-349 kJ) + (-787 kJ)
= -411 kJ
แปลความหมายได้วา่ “การเกดิ ผลึก NaCl 1 โมล ปฏิกิริยาจะคายพลังงานออกมา 411 kJ”
(การเกิดสารประกอบไอออนิก อาจคายหรือดูดพลังงานก็ได้ แต่ส่วนใหญ่มักจะ
คายพลงั งาน)
QR code ลงิ กแ์ หลง่ เรียนรู้ออนไลน์
ตามโครงการ Project 14 ของ สสวท.
เรือ่ ง พลงั งานกับการเกดิ สารประกอบไอออนกิ
เอกสารประกอบการสอน 127 วชิ าเคมี 1 (ว 31221)
บทท่ี
3
แบบฝกึ หัดท่ี 3.6 : วัฏจักรบอร์น-ฮาเบอร์
จงเขียนแผนภาพแสดงการเปลี่ยนแปลงพลังงานในการเกิดสารประกอบไอออนิกตามสมการต่อไปนี้
(ให้ระบวุ า่ แต่ละข้นั มีพลงั งานใดเกีย่ วขอ้ ง แต่ไม่ต้องแสดงตวั เลขคา่ พลงั งาน)
1. Al (s) + 3 Cl2 (g) → AlCl3 (s)
2
พันธะเค ีม
2. 2Na (s) + 1 S8 (s) → Na2S (s)
8
3.2.5 สมบัติของสารประกอบไอออนกิ
สรปุ สมบัติท่วั ไปของสารประกอบไอออนิก มีดงั น้ี
(1) เป็นผลึกของแข็งท่ีอุณหภูมิห้อง ไม่นาไฟฟ้า เนื่องจากไอออนบวกและลบไม่สามารถ
เคลื่อนทีไ่ ด้ แตเ่ มื่อหลอมเหลวหรือละลายน้าจะนาไฟฟ้าได้
(2) เปน็ ผลึกของแขง็ จึงมจี ุดเดอื ดและจุดหลอมเหลวสงู
(3) เปราะและแตกง่าย เม่ือทุบผลึกของสารประกอบไอออนิก จะเกิดการเล่ือนไถลของไอออน
ไปตามระนาบผลึก เม่ือไอออนชนดิ เดียวกนั อย่ตู าแหนง่ ตรงกนั จะเกดิ แรงผลักระหวา่ งไอออน ทาใหผ้ ลกึ แตก
(4) สารประกอบไอออนิกบางชนิดละลายในน้าได้ดี บางชนิดละลายได้ไม่ดี และบางชนิด
ไมล่ ะลายน้า
เอกสารประกอบการสอน 128 วิชาเคมี 1 (ว 31221)
3.2.5.1 สมบตั ิการละลายน้าของสารประกอบไอออนิก บทที่
3
1) พลังงานกบั การละลายน้าของสารประกอบไอออนิก
เม่ือละลายสารประกอบไออนิกในน้า จะเกดิ การเปลย่ี นแปลง 2 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นท่ี 1 ของแข็งไอออนิกดูดพลังงาน เพ่ือสลายพันธะไอออนิก กลายเป็นไอออนบวกและ
ลบในสถานะแก๊ส พลังงานท่ีใช้ในข้ันนี้ เรียกว่า พลังงำนโครงผลึก หรือ พลังงำนแลตทิซ (Lattice energy) พนั ธะเคมี
หากมองในทางกลับกัน จะเป็นพลังงานท่ีคายออกมาเมื่อไอออนบวกและลบในสถานะแก๊สรวมตัวกันเป็น
โครงผลกึ ดูดพลงั งาน
คายพลังงาน
ผลึกของสารประกอบไออกนิก (s) ไอออนบวก (g) + ไอออนลบ (g)
ข้นั ที่ 2 โมเลกุลของน้าเข้าล้อมรอบไอออนบวกและลบในสถานะแก๊ส โดยที่โมเลกุลของน้า
จะหันด้าน δ+ เข้าล้อมรอบไอออนลบ และหันด้านนδา้ - เมื่อล้อมรอบไอออนบวก ในขั้นนี้จะมีการคายพลังงาน
ทเ่ี รยี กวา่ พลังงำนไฮเดรชนั (Hydration energy) สารใดมคี ่าพลังงานไฮเดรชันมาก แสดงว่าละลายน้าไดด้ ี
ไอออนบวก (g) + ไอออนลบ (g) ไอออนบวก (aq) + ไอออนลบ (aq)
ข้อสงั เกต : ถ้าเพ่ิมอุณหภูมิ สารใดละลายได้มากข้ึน แสดงว่าเกิดกระบวนการดูดพลังงาน (Lattice
energy > Hydration energy) ถ้าเพิ่มอุณหภูมิ สารใดละลายได้น้อยลง แสดงว่าเกิดกระบวนการ
คายพลังงาน (Lattice energy < Hydration energy)
2) ความสามารถในการละลายน้าของสารประกอบไอออนกิ
ความสามารถในการละลาย หรือ สภาพการละลาย (Solubility) หมายถึง ความสามารถ
ของสารที่ละลายในสารอ่ืนจนเป็นสารละลายอิ่มตัว โดยท่ัวไปนิยมใช้น้าเป็นตัวทาละลาย จะมีหน่วยเป็น
กรัมของสารต่อนา้ 100 กรัม ท้งั นี้จะข้ึนอยู่กับชนิดของสารและอุณหภูมดิ ว้ ย แสดงตัวอย่างดังรปู ที่ 3.16
รูปท่ี 3.16 กราฟแสดงสภาพการละลายของสารประกอบไอออนิกบางชนิด ณ อุณหภูมิต่าง ๆ
ดัดแปลงรปู จาก : http://www.sciencegeek.net/Chemistry/taters/graphics/solubility.gif
เอกสารประกอบการสอน 129 วชิ าเคมี 1 (ว 31221)
บทที่
3 - ข้อตกลงเกยี่ วกับความสามารถการละลายของสาร สามารถบอกได้ 3 ระดับ ดังนี้
(1) ละลายไดด้ ี หมายถงึ Solubility > 1 g/100 g H2O
(2) ละลายได้เลก็ น้อย หมายถงึ 0.1 g/100 g H2O ≤ Solubility < 1 g/100 g H2O
(3) ไมล่ ะลาย หมายถงึ Solubility < 0.1 g/100 g H2O
พันธะเค ีม - หลกั การพิจารณาการละลายในนา้ หรือไมล่ ะลายของสารประกอบไอออนิก พอสรปุ ได้ดังน้ี
สารประกอบทล่ี ะลายในนา้
(1) สารประกอบทุกชนิดของโลหะหมู่ IA
(2) สารประกอบทกุ ชนิดของ NH4+
(3) สารประกอบทกุ ชนิดของ NO3‒ , CH3COO‒ , ClO3‒ และ ClO4‒
(ยกเวน้ AgCH3COO, KClO4 ละลายได้เล็กน้อย)
(4) สารประกอบส่วนใหญ่ของ Cl‒, Br‒ และ I‒ (ยกเว้น Cl‒, Br‒ และ I‒ กับ Ag+,
Pb2+, Hg22+/Hg2+ ไม่ละลาย สว่ น PbCl2 ละลายไดเ้ ล็กนอ้ ย)
(5) สารประกอบส่วนใหญ่ของ SO42‒ (ยกเว้น SO42‒ กับ Pb2+, Sr2+, Ba2+ ไม่ละลาย
ส่วน SO42‒ กับ Ca2+ กับ Ag+ ละลายได้เล็กนอ้ ย)
สารประกอบที่ไมล่ ะลายในน้า
(1) สารประกอบออกไซด์ของโลหะ
(ยกเว้น ออกไซด์ของโลหะหมู่ IA และออกไซดข์ อง Ca2+, Sr2+, Ba2+ ละลายได้)
เมื่อละลายน้าจะทาปฏกิ ริ ยิ ากับนา้ เกดิ สารประกอบไฮดรอกไซด์ เชน่
BaO + H2O → Ba2+ + 2OH‒
(2) สารประกอบสว่ นใหญ่ของ OH‒
( ยกเว้น OH‒ ของโลหะหมู่ IA และ Ba2+, Sr2+ ละลายได้ ส่วนของ Ca2+ ละลายได้
เลก็ น้อย)
(3) สารประกอบ CO32‒, PO43‒, S2‒, SO32‒
(ยกเว้น กับโลหะหมู่ IA และ NH4+ ละลายได้)
QR code ลิงกแ์ หล่งเรยี นรูอ้ อนไลน์
ตามโครงการ Project 14 ของ สสวท.
เรื่อง สมบตั ิของสารประกอบไอออนกิ
เอกสารประกอบการสอน 130 วิชาเคมี 1 (ว 31221)
3.2.6 ปฏกิ ริ ยิ าของสารประกอบไอออนกิ บทท่ี
สารประกอบไอออนิกท่ีละลายน้าได้ ไอออนบวกและไอออนลบจะแยกออกจากกันและ
3
ถูกโมเลกุลของน้าล้อมรอบไว้ เมื่อนามาผสมกันก็อาจจะเกิดปฏิกิริยาได้ โดยสังเกตได้จากการเกิดตะกอน
เช่น การผสมกันระหว่างสารละลายซิลเวอร์ไนเตรต (AgNO3) กับโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) จะเกิดตะกอน พนั ธะเคมี
สีขาวของซิลเวอรค์ ลอไรด์ (AgCl)
การเขียนสมการแสดงการเกิดปฏกิ ิริยา มี 2 ลกั ษณะ ได้แก่
(1) สมการไอออนิก
คอื สมการท่ีแสดงไอออนบวกและลบของสารประกอบไอออนิกในสารละลายครบทุกชนดิ
Ag+ (aq) + NO3‒ (aq) + Na+ (aq) + Cl‒ (aq) → AgCl (s) + Na+ (aq) + NO3‒ (aq)
(aq = ไอออนทีล่ ะลายอยูใ่ นสารละลายซ่ึงมนี ้าเปน็ ตวั ทาละลาย และ s = ของแขง็ หรือตะกอน)
(2) สมการไอออนกิ สุทธิ
คอื สมการทแ่ี สดงเฉพาะไอออนที่เขา้ ทาปฏิกิรยิ ากนั แล้วเกิดตะกอนเทา่ น้นั
Ag+ (aq) + Cl‒ (aq) → AgCl (s)
ข้อสาคัญ : การเขียนสมการไอออนิกและไอออนิกสุทธินั้น จะต้องทราบว่าสารใดละลายในน้า
ได้ สารใดไม่ละลายในน้า ต้องเขียนสูตรของสารประกอบไอออนิกได้ และจะต้องวงเล็บแสดงสถานะ
พร้อมทง้ั ดุลสมการใหเ้ รยี บรอ้ ย
QR code ลงิ กแ์ หลง่ เรียนรู้ออนไลน์
ตามโครงการ Project 14 ของ สสวท.
เร่อื ง สมการไอออนกิ และสมการไอออนิกสทุ ธิ
แบบฝึกหัดท่ี 3.7 : สมบัติการละลายและปฏิกิริยาของสารประกอบไอออนิก
1. จงระบวุ า่ สารประกอบไอออนิกท่กี าหนดใหล้ ะลายน้าได้หรอื ไม่
สารประกอบ การละลายนา้ สารประกอบ การละลายนา้
Na2SO4 Mn(NO3)2
BaCO3 PbSO4
AgCl MgSO4
AlPO4 (NH4)2SO3
ZnS Ba(ClO3)2
เอกสารประกอบการสอน 131 วชิ าเคมี 1 (ว 31221)
พันธะเค ีมบทที่
3
2. จงเขยี นสมการไอออนิกและสมการไอออนิกสทุ ธขิ องคู่สารต่อไปน้ี
ค่ทู ี่ 1 : AgNO3 + NaOH
สมการไอออนิก…………………………………………………………………………………………………………………………………
สมการไอออนิกสุทธิ………………………………………………………………………………………………………………………….
คทู่ ี่ 2 : Rb3PO4 + CrCl3
สมการไอออนกิ ……………………………………………………………………………………………………………………………….
สมการไอออนกิ สุทธิ………………………………………………………………………………………………………………………..
คูท่ ี่ 3 : BaCl2 + Na2CO3
สมการไอออนกิ ……………………………………………………………………………………………………………………………….
สมการไอออนกิ สุทธิ………………………………………………………………………………………………………………………..
คทู่ ่ี 4 : K2S + Fe(NO3)3
สมการไอออนิก……………………………………………………………………………………………………………………………….
สมการไอออนิกสุทธิ………………………………………………………………………………………………………………………..
3.3 พันธะโลหะ (Metallic Bond)
3.3.1 การเกดิ พันธะโลหะ
โลหะมีค่า IE ต่า จึงเสียเวเลนซ์อิเล็กตรอนและกลายเป็นไอออนบวกได้ง่าย เวเลนซ์อิเล็กตรอนท่ีหลุด
ออกมา สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระไปท่ัวท้ังก้อนโลหะ ไม่ได้อยู่กับอะตอมใดอะตอมหนึ่ง แรงยึดเหนี่ยว
อย่างแข็งแรงระหว่างไอออนบวกกับเวเลนซ์อิเล็กตรอนอิสระน้ีเรียกว่า พันธะโลหะ หรอื กล่าวอีกนัยหน่ึง คือ
ประจบุ วกของโลหะ ลอยอยู่ในทะเลอิเล็กตรอน (electron sea) ดงั รปู ที่ 3.17
สแกน QR code
เพ่ือชมภาพเคลื่อนไหว
รูปท่ี 3.17 แสดงอเิ ลก็ ตรอนและไอออนบวกในกอ้ นโลหะ ตามแบบจาลองทะเลอเิ ลก็ ตรอน
ท่ีมาของรปู : http://www.kentchemistry.com/links/bonding/MetallicBond.jpg
เอกสารประกอบการสอน 132 วชิ าเคมี 1 (ว 31221)
3.3.2 สมบัติของโลหะ บทที่
สรุปสมบตั ิท่วั ไปของโลหะ ดงั น้ี
(1) โลหะเป็นตัวนาไฟฟ้าและนาความร้อนท่ีดี เพราะอิเล็กตรอนเคลื่อนท่ีไปทั่วท้ังก้อนโลหะได้ การที่ 3
อิเล็กตรอนได้รับความร้อน พลังงานจลน์จะสูงข้ึนและเกิดการชนกันขณะเคลื่อนที่ไป แล้วเกิดการถ่ายเท พนั ธะเคมี
พลังงานระหวา่ งอิเลก็ ตรอน จงึ นาความรอ้ นไดด้ ี
(2) โลหะถูกตีเป็นแผ่นและดึงเป็นเสน้ ได้ เพราะไอออนโลหะเรียงเป็นชนั้ ๆ อย่างเป็นระเบียบ การทุบ
หรือดึงแผ่นโลหะเป็นการผลักให้ช้ันของไอออนบวกเล่ือนไถลออกไปจากตาแหน่งเดิม แต่ไม่หลุดออกจากกัน
เพราะมกี ล่มุ ของเวเลนซ์อเิ ล็กตรอนอสิ ระยึดไอออนเหลา่ นัน้ ไว้
(3) โลหะมีความมันวาว เพราะกลุ่มอิเล็กตรอนอิสระท่ีอยู่บริเวณผิวของโลหะ ได้รับพลังงานแสง
มากระตนุ้ จากน้นั กจ็ ะคายพลงั งานในรปู ของคลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ซงึ่ เป็นแสงสะท้อนออกมาให้มองเห็นได้
(4) โลหะมีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวสูง เพราะไอออนบวกยึดเหน่ียวกันอย่างแข็งแรงมาก การทาให้
โลหะกลายเป็นของเหลวหรือกลายเป็นไอ จะตอ้ งใชพ้ ลงั งานสงู
QR code ลงิ ก์แหล่งเรยี นรู้ออนไลน์
ตามโครงการ Project 14 ของ สสวท.
เรื่อง การเกดิ พันธะโลหะ และสมบตั ขิ องโลหะ
QR code ลงิ กแ์ หลง่ เรียนรู้ออนไลน์
ตามโครงการ Project 14 ของ สสวท.
เรือ่ ง การใชป้ ระโยชน์ของสารประกอบไอออนกิ สารโคเวเลนต์ และโลหะ
เอกสารประกอบการสอน 133 วิชาเคมี 1 (ว 31221)
พันธะเค ีมบทท่ี
3
บทสรุป
พันธะเคมี เป็นแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอม หรือแรงยึดเหน่ียวภายในโมเลกุล แบ่งเป็น 3 ประเภท
ได้แก่ พันธะโคเวเลนต์ พนั ธะไอออนกิ และพนั ธะโลหะ
พันธะโคเวเลนต์ มักจะเกิดข้ึนระหว่างอะตอมอโลหะ ซ่ึงมีความสามารถในการดึงดูดอิเล็กตรอน
ไม่แตกต่างกันมาก จึงสร้างพันธะโดยการใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกัน เกิดเป็นสารโคเวเลนต์ที่มีรูปร่าง
แตกต่างกันมากมาย ทาให้เกดิ สภาพขว้ั โมเลกุลท่ีต่างกนั และแรงยดึ เหนี่ยวระหวา่ งโมเลกลุ ทแ่ี ตกต่างกนั ด้วย
สารโคเวเลนต์พบได้ทุกสถานะ ส่วนใหญ่จะมีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดต่า ยกเว้น สารท่ีมีโครงสร้างแบบ
โครงร่างตาขา่ ย จะมจี ดุ หลอมเหลวและจดุ เดือดสงู มาก
พันธะไอออนิก มักเกิดข้ึนระหว่างอะตอมของโลหะกับอโลหะ ท่ีมีความสามารถในการดึงดูด
อิเล็กตรอนแตกต่างกันอย่างมาก โดยอะตอมโลหะมีความสามารถในการดงึ ดดู อิเล็กตรอนทต่ี ่ากว่า จงึ สูญเสีย
อิเล็กตรอนให้กับอะตอมอโลหะ เกิดเป็นไอออนบวก และอโลหะท่ีรับอิเล็กตรอน เกิดเป็นไอออนลบ และ
ยึดเหน่ียวกันด้วยแรงทางไฟฟ้าสถิตที่แข็งแรงในทุกทิศทางจนเกิดเป็นโครงผลึกขนาดใหญ่และ ส่งผลให้
สารประกอบไอออนิก มีจุดหลอมเหลวและจดุ เดือดสูง พบในสถานะของแขง็ ท่ีอุณหภูมิห้อง บางชนิดละลาย
นา้ ได้ดี ทาใหส้ ารละลายนาไฟฟ้าได้ดี บางชนดิ ละลายได้เล็กน้อย และบางชนดิ ไม่ละลายนา้
พันธะโลหะ เกิดจากการสร้างแรงยึดเหนี่ยวกันระหว่างอะตอมโลหะ โดยการใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอน
ร่วมกันทั่วท้ังก้อนโลหะน้ัน อิเล็กตรอนของโลหะจะไม่ได้เคล่ือนท่ีอยู่ระหว่างอะตอมท่ีอยู่ติดกันเท่าน้ัน
อเิ ล็กตรอนท่ีเคล่ือนที่ไปได้ทวั่ ทั้งก้อนโลหะ ทาใหโ้ ลหะมีจุดหลอมเหลวและจุดเดอื ดสงู มาก สามารถนาความ
รอ้ นและนาไฟฟ้าได้ดี มคี วามมนั วาว และตเี ปน็ แผน่ หรอื ยืดเปน็ เสน้ ได้
เอกสารประกอบการสอน 134 วชิ าเคมี 1 (ว 31221)
เคมี 1 ว 31221
บรรณานกุ รม
กระทรวงศึกษาธิการ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2561). หนังสือเรียนรายวิชา
เพม่ิ เติม เคมี เล่ม 1 (พมิ พค์ ร้งั ท่ี 1). กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์ สกสค.
กระทรวงศึกษาธิการ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2562). คูมือครู รายวิชา
เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์ เคมี เล่ม 1. สืบค้นเม่ือ 15 ธันวาคม 2562, จาก https://www.
scimath.org/ebook-chemistry/item/8292-4-1
กระทรวงศึกษาธิการ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2556). คู่มือการใช้หลักสูตร
วิทยาศาสตร์ ฉบับอนาคต ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1. สืบค้นเม่ือ 14 ตุลาคม 2562, จาก
http://www.ipst.ac.th/files/curriculum2556/ManualScienceM1.pdf
นิพนธ์ ตังคณานุรักษ์ และ เสกสรร ศิริวัฒนวิบูลย์ เคมีพื้นฐานและเพ่ิมเติม ม. 4 กรุงเทพมหานคร:
ฟิสิกส์เซน็ เตอร์ 2551.
ประภาณี เกษมศรี ณ อยธุ ยา และคณะ. (2535). เคมีท่วั ไป เลม่ 2. กรงุ เทพฯ: จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.
ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. (2561). คู่มือปฏิบัติการเคมี ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4
(โครงการ วมว.-มข.). ขอนแกน่ : มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
วิทติ เกษคปุ ต.์ (2559). ระเบิดไฮโดรเจน. วารสารปรมาณเู พอ่ื สันต.ิ 29(1): 18-21.
วรัญญา ภิบาลวงษ์ และ สัญญา เทศทอง. (2562). มารู้จัก Gamma Radiography. วารสารปรมาณู
เพ่ือสันติ. 32(1): 16-18.
สมเกียรติ พรพิสุทธิมาศ. (2551). การสอนวิทยาศาสตรโดยเนนทักษะกระบวนการ. ก้าวทันโลก
วทิ ยาศาสตร.์ 8(2): 28-38.
สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์. (2561). การประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์
ระดับมัธยมศึกษา-สมาคมวิทยาศาสตร์ฯ-อพ วช. สืบค้นเมื่อ 14 ตุลาคม 2562, จาก
https://www.scisoc.or.th/image/สัปดาหว์ ทิ ยาศาสตร/์ การประกวดโครงงานวทิ ยาศาสตร.์ pdf
สุนันทา สาวิกันต์ และ กนกพร ธรฤทธ์ิ. (2562). การกากับดูแลการใช้ประโยชน์ เรเดียม-223 ในทาง
การแพทย.์ วารสารปรมาณูเพอ่ื สนั ติ. 32(2): 12-15.
สานักงานปรมาณูเพื่อสันติ. (2552). ศัพทานุกรมนิวเคลียร์ (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: สานักงานปรมาณู
เพ่ือสันติ.
สาราญ พฤกษส์ นุ ทร. (2535). เคมี ม. 4 เลม่ 1-2 ฉบบั สมบูรณ์ กรงุ เทพมหานคร: พัฒนาศกึ ษา.
Chang, R. (2010). Chemistry (10th ed). New York: McGraw-Hill.
David P. S. (2001). History of the Electron. สืบค้นเม่ือ 14 ตุลาคม 2562, จาก https://www-
spof.gsfc.nasa.gov/Education/whelect.html
O’hara J. G. George Johnstone Stoney, F. R. S. and the concept of the electron. (1997).
สืบค้นเม่ือ 14 ตุลาคม 2562, จาก https://royalsocietypublishing.org/doi/pdf/10.1098/
rsnr.1975.0018
เอกสารประกอบการสอน 135 วชิ าเคมี 1 (ว 31221)
เคมี 1 ว 31221
ตารางธาตุ
เอกสารประกอบการสอน 136 วชิ าเคมี 1 (ว 31221)