The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2022-09-15 21:51:19

ลักษณะที่7ความผิดเกี่ยวกับการปลอมและการแปลง

อาญา2

คำนำ ก

วิชากฎหมายอาญา2 : ภาคความผิดเป็ นการ
ศึกษาในเนื้อหาเฉพาะเรื่อง ซึ่งผมก็จะนำเอา
เรื่องความผิดเกี่ยวกับการปลอมเเละการเเป
ลงโดยได้เน้ นเนื้อหาเเละคำวินิ จฉั ยของศาล

ฎีกาเพื่อเสริมสร้างทักษะความรู้เพื่อเป็ น
เเนวทางในการศึกษากฎหมายอาญาใน
ระดับสูงขึ้น หากมีข้อผิดพลาดประการใด

ขออภัยมา ณ ที่นี้

ฐิติศักดิ์ เจิมขุนทด



สารบัญ

เรื่ อง หน้ า

คำนำ 1-4


5-8
สารบัญ
9-17
หมวด1 ความผิดเกี่ยวกับเงินตรา 18-19

20-27

หมวด 2 ความผิดเกี่ยวกับดวงตราเเสตมป์เเละตั๋ว



หมวด 3 ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร



หมวด 4 ความผิดเกี่ยวกับบัตรอีเล็กทรอนิกส์



หมวด 5 ความผิดเกี่ยวกับหนังสือเดินทาง

อ้างอิง ค

00

ลักษณะ 7
ความผิดเกี่ยว
กับความปลอม
เเละการเเปลง

...........................…..............

..............................

ความผิดเกี่ยวกับเงินตรา

• มาตรา 243 นำเงินตราปลอมหรือแปลงเข้าราชอาณาจักร
- ราชอาณาจักรตามม.243 นี้ หมายถึงราชอาณาจักรไทย คือประเทศไทยเท่านั้น ไม่
รวมถึง เรือไทย หรืออากาศยานไทย ตาม ม.4 วรรค 2 หรือสถานทูตไทยในต่าง
ประเทศ

• มาตรา 244 รู้ว่าเป็ นของปลอมตามม.240 หรือของแปลงตามม.241 ก่อนได้มา
และมีไว้เพื่อนำออกใช้
- มีไว้ หมายถึง ยึดถือหรือครอบครองอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
- เพื่อนำออกใช้ (ยังไม่ใช้ก็ผิด เพียงมีเจตนานำออกใช้) หมายความว่า แม้ขณะที่ได้
มาโดยรู้ว่าเป็ นของปลอมหรือของแปลง แต่ยังไม่คิดนำออกใช้ คือ เก็บไว้ดูเล่นก่อน
แต่ต่อมาเกิด "คิด" จะนำออกใช้ เช่น ตั้งใจว่าจะนำออกใช้ซื้อสินค้าก็เป็ นความผิด
ตั้งแต่ขณะนั้นทันทีอันเป็ นความผิดสำเร็จ

• มาตรา 245 ได้มาก่อน แล้วถึงรู้ว่าเป็ นของปลอมหรือของแปลง แต่ยังขืนนำออก
ใช้
- การรู้ว่าเป็ นของปลอมหรือของแปลงนั้น จะต้องรู้ก่อนนำออกใช้ ถ้าใช้โดยไม่รู้ก็ไม่
ผิด หรือหากขณะที่ได้มาไม่รู้ว่าเป็ นของปลอมหรือของแปลง แต่ต่อมารู้แต่ยังมิได้นำ
ออกใช้ แม้จะมีไว้เพื่อนำออกใช้ ก็ไม่ผิดตามมาตรานี้ ต้องมีการนำออกใช้จริงๆ
- นำออกใช้ หมายความถึงเสนอใช้ เช่น หยิบธนบัตรปลอมออกยื่นให้ผู้ขาย แม้ผู้ขาย
ยังไม่รับ หรือไม่ยอมรับ ก็เป็ นการนำออกใช้ (เป็ นความผิดสำเร็จ) แต่ถ้าเพียงหยิบ
ธนบัตรปลอมออกมาจะใช้ แต่ยังไม่ทันยื่นให้ เป็ นเพียงพยายามนำออกใช้

• มาตรา 246 ทำ หรือ มี เครื่องมือหรือวัตถุสำหรับปลอมหรือแปลงเงินตรา ก็เป็ น
ความผิดตามมาตรานี้แล้ว

• มาตรา 247 กระทำผิดตามม.240 - ม.246 ต่อเงินตราต่างประเทศ ผู้กระทำผิด
ต้องระวางโทษกึ่งหนึ่งของโทษที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ
- มีและจำหน่ายธนบัตรรัฐบาลต่างประเทศปลอมเป็ นความผิด แม้ต่อมารัฐบาลจะ
ยกเลิกธนบัตรชนิดนั้น ความผิดก็ไม่ระงับ

• มาตรา 248 ถ้าผู้กระทำความผิดตามม.240 (ปลอม) ม.241(แปลง) หรือม.247
(ปลอมหรือแปลงเงินต่างประเทศ) ได้กระทำความผิดตามมาตราอื่นที่บัญัติไว้ใน
หมวดนี้อันเกี่ยวกับสิ่งที่ตนปลอมหรือแปลงนั้นด้วย ให้ลงโทษกระทงเดียว แม้จะเป็ น
ความผิดต่างกรรมก็ให้ลงโทษเพียงกระทงเดียวซึ่งเป็ นข้อยกเว้นของ ม.91 ที่ให้เรียง
กระทงลงโทษ

• มาตรา 249 ทำเลียนเงินตราหรือพันธบัตร
- "เลียน" คือ ทำไม่ให้เหมือน แต่ทำให้มีลักษณะคล้ายคลึง
"คล้ายคลึง" แสดงว่าเกือบเหมือนหรือไม่ต้องเหมือนทีเดียว เพียงมีลักษณะสีสันรูป
ร่างและขนาดคล้ายเงินตราที่จริงก็เป็ นความผิดตามมาตรานี้ << หลักจากฎีกา
....มาตรา 249 วรรคสอง ถ้าการจำหน่ายบัตรหรือโลหะธาตุตามวรรคแรก เป็ นการ
จำหน่ายบัตรหรือโลหะธาตุในลักษณะคล้ายคลึ่งของจริง เป็ นความผิดตามม.249
วรรคสอง และผู้กระทำผิดต้องรับโทษหนักขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4930/2557

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายอาญา 240 244 พระราชบัญญัติเงินตราพ.ศ.2501 ม.18 18 ป.อ.
ม.240 ม.244 พ.ร.บ.เงินตราพ.ศ.2501

ป.อ. มาตรา 240 บัญญัติว่า "ผู้ใดทำปลอมขึ้นซึ่งเงินตรา ไม่ว่าจะปลอมขึ้นเพื่อให้เป็ น
เหรียญกระษาปณ์ ธนบัตร หรือสิ่งอื่นใดซึ่งรัฐบาลออกใช้หรือให้อำนาจให้ออกใช้ ผู้นั้น
กระทำความผิดฐานปลอมเงินตรา" คำว่า "ทำปลอมขึ้น" หมายความถึงทำโดยตั้งใจให้
เหมือนของจริง จึงต้องทำในประการที่จะให้มีลักษณะอย่างเดียวกับเงินตราที่รัฐบาล
กำหนด เช่น มีลวดลาย สี ขนาด ลักษณะของกระดาษอย่างเดียวกัน ซึ่งจะต้องพอที่จะ
ลวงตาให้เห็นว่าเป็ นเงินตรา แต่ไม่จำต้องถึงกับต้องพิจารณาจึงจะรู้ว่าปลอม เพียงแต่
ลวงตาซึ่งถ้าไม่พิจารณาให้ดีอาจหลงเข้าใจว่าเป็ นเงินตราได้ ก็ถือว่าเป็ นการทำปลอมขึ้น
แล้ว และการทำปลอมย่อมจะเหมือนของจริงไปทุกอย่างไม่มีผิดกันเลยไม่ได้ ย่อมต้องมี
บางสิ่งบางอย่างผิดจากของจริงบ้างไม่มากก็น้อย ฉะนั้น การปลอมจะผิดจากของจริงที่
ตั้งใจทำให้เหมือนมากน้ อยเพียงใดจึงไม่สำคัญ

การที่จำเลยนำธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท ซึ่งเป็ นเงินตราที่รัฐบาลไทยออกใช้จำนวน
46 ฉบับ มาตัดออกเป็ น 2 ท่อนทุกฉบับ ท่อนหนึ่งยาวเกินครึ่งฉบับ อีกท่อนหนึ่งยาวไม่
ถึงครึ่งฉบับ แล้วนำท่อนซ้ายที่สั้นมาต่อสลับท่อนเข้ากับท่อนขวาที่สั้นของอีกฉบับหนึ่ง
ด้วยเทปใส ย่อมเป็ นการทำธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท ขึ้นใหม่อีก 23 ฉบับ โดยตั้งใจ
ให้เหมือนของจริง จึงเป็ นการทำปลอมขึ้นซึ่งธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท ที่รัฐบาลออก
ไว้ การที่ธนบัตรของกลางเป็ นธนบัตรชำรุดตาม พ.ร.บ.เงินตรา พ.ศ.2501 มาตรา 18
ประเภทต่อท่อนผิด ทำให้ไม่เป็ นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ไม่ทำให้การกระทำของ
จำเลยไม่เป็ นความผิดฐานปลอมเงินตรา เพราะหากธนบัตรดังกล่าวเป็ นเงินที่ชำระหนี้ได้
ตามกฎหมาย ธนบัตรดังกล่าวย่อมไม่เป็ นของปลอม การที่ใช้ชำระหนี้ไม่ได้ตามกฎหมาย
แสดงว่าเป็ นของปลอม จำเลยจึงมีความผิดฐานปลอมเงินตราและมีเงินตราปลอมเพื่อนำ
ออกใช้โดยรู้ว่าเป็ นเงินตราปลอมตาม ป.อ. มาตรา 240 และ 244

โจทก์ฟ้ องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 240, 244 ริบของ
กลาง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 240, 244
แต่จำเลยเป็ นทั้งผู้ปลอมเงินตราและมีเงินตราปลอมเพื่อนำออกใช้โดยรู้ว่าเป็ นเงินตรา
ปลอม จึงให้ลงโทษฐานปลอมเงินตราแต่กระทงเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 248 จำคุก 12 ปี และปรับ 40,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็ นประโยชน์แก่
การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
78 คงจำคุก 9 ปี และปรับ 30,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้ อง คืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟั งว่า จำเลยได้นำธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท
จำนวน 46 ฉบับ มาตัดออกเป็ น 2 ท่อนทุกฉบับ ท่อนหนึ่งยาวเกินครึ่งฉบับ อีก
ท่อนหนึ่งยาวไม่ถึงครึ่งฉบับ แล้วนำท่อนซ้ายที่สั้นมาต่อสลับท่อนเข้ากับท่อนขวาที่
สั้นของอีกฉบับหนึ่งด้วยเทปใส จำเลยได้นำธนบัตรของกลางจำนวน 18 ฉบับ ไป
ชำระหนี้การใช้บัตรเครดิตจำนวน 18,000 บาท ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น สาขาศรี
ดินแดง ต่อมาพนักงานร้านดังกล่าวนำธนบัตรไปขอแลกที่ธนาคารแห่ง
ประเทศไทย แต่แลกไม่ได้

มีปั ญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็ นความผิดฐานปลอม
เงินตราและมีเงินตราปลอม เพื่อนำออกใช้โดยรู้ว่าเป็ นเงินตราปลอมตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 240 และ 244 ตามฟ้ องหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 240 บัญญัติว่า "ผู้ใดทำปลอมขึ้นซึ่งเงินตรา ไม่ว่าจะปลอมขึ้นเพื่อ
ให้เป็ นเหรียญกระษาปณ์ ธนบัตรหรือสิ่งอื่นใด ซึ่งรัฐบาลออกใช้หรือให้อำนาจให้
ออกใช้ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเงินตรา " คำว่า "ทำปลอมขึ้น" หมายความ
ถึงทำโดยตั้งใจให้เหมือนของจริง จึงต้องทำในประการที่จะให้มีลักษณะอย่างเดียว
กับเงินตราที่รัฐบาลกำหนด เช่น มีลวดลาย สี ขนาด ลักษณะของกระดาษอย่าง
เดียวกัน ซึ่งจะต้องพอที่จะลวงตาให้เห็นว่าเป็ นเงินตรา แต่ไม่จำต้องถึงกับต้อง
พิจารณาจึงจะรู้ว่าปลอม เพียงแต่ลวงตาซึ่งถ้าไม่พิจารณาให้ดีอาจหลงเข้าใจว่าเป็ น
เงินตราได้ ก็ถือได้ว่าเป็ นการทำปลอมขึ้นแล้ว และการทำปลอมย่อมจะเหมือนของ
จริงไปทุกอย่างไม่มีผิดกันเลยไม่ได้ ย่อมต้องมีบางสิ่งบางอย่างผิดจากของจริงบ้าง
ไม่มากก็น้อย ฉะนั้น การปลอมจะผิดจากของจริงที่ตั้งใจทำให้เหมือนมากน้อย
เพียงใดจึงไม่สำคัญ การที่จำเลยนำธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท ซึ่งเป็ นเงินตราที่
รัฐบาลไทยออกใช้จำนวน 46 ฉบับ มาตัดออกเป็ น 2 ท่อน ทุกฉบับ ท่อนหนึ่งยาว
เกินครึ่งฉบับ อีกท่อนหนึ่งยาวไม่ถึงครึ่งฉบับ แล้วนำท่อนซ้ายที่สั้นมาต่อสลับท่อน
เข้ากับท่อนขวาที่สั้นของอีกฉบับหนึ่งด้วยเทปใสตามธนบัตรของกลาง ย่อม
เป็ นการทำธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท ขึ้นใหม่อีก 23 ฉบับ โดยตั้งใจให้เหมือน
ของจริง จึงเป็ นการทำปลอมขึ้นซึ่งธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท ที่รัฐบาลออกไว้
แม้จะมีขนาดสั้นกว่าปกติก็ยังคงถือเป็ นการทำปลอม เพราะพอที่จะลวงตาให้เห็น
ว่าเป็ นเงินตราและของปลอมไม่จำต้องเหมือนของจริงไปทุกอย่างโดยไม่ผิดกันเลย
การที่จำเลยเบิกความตอบคำถามค้านโจทก์ว่า จำเลยรู้ว่าธนบัตรท่อนยาวเกินครึ่ง
ฉบับแลกได้เต็มราคาตามกฎกระทรวง แสดงว่าจำเลยมีเจตนาทำให้ธนบัตรฉบับ
ละ 1,000 บาท 2 ฉบับ เป็ นธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท 3 ฉบับ ท่อนยาว 2
ท่อน แลกคืนได้ 2,000 บาท ส่วนท่อนสั้น 2 ท่อน ต่อกันเป็ นฉบับเดียว 1,000
บาท แม้จะแลกคืนไม่ได้ แต่การที่จำเลยนำไปใช้ชำระหนี้การใช้บัตรเครดิตย่อม
แสดงว่า จำเลยประสงค์จะแสวงหาประโยชน์จากการทำปลอมดังกล่าว หากการก
ระทำเช่นนี้ไม่เป็ นความผิดฐานปลอมเงินตราเท่ากับเป็ นการส่งเสริมสนับสนุนให้มี
การทำธนบัตรโดยผู้ไม่มีอำนาจ อันมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของ
ประเทศ

การที่ธนบัตรของกลางเป็ นธนบัตรชำรุดตามพระราชบัญญัติ
เงินตรา พ.ศ.2501 มาตรา 18 ประเภทต่อท่อนผิด ทำให้ไม่
เป็ นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ไม่ทำให้การกระทำของ
จำเลยไม่เป็ นความผิดฐานปลอมเงินตรา เพราะหากธนบัตรดัง
กล่าวเป็ นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ธนบัตรดังกล่าวย่อม
ไม่เป็ นของปลอม การที่ใช้ชำระหนี้ไม่ได้ตามกฎหมายแสดงว่า
เป็ นของปลอม จำเลยจึงมีความผิดฐานปลอมเงินตราและมี
เงินตราปลอมเพื่อนำออกใช้โดยรู้ว่าเป็ นเงินตราปลอมตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 240 และ 244 ตามฟ้ อง ที่
ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของ
โจทก์ฟั งขึ้น

พิพากษากลับเป็ นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 240 และ 244 จำเลยเป็ นทั้งผู้ปลอมเงินตรา
และมีเงินตราปลอมเพื่อนำออกใช้โดยรู้ว่าเป็ นเงินตราปลอม
จึงให้ลงโทษฐานปลอมเงินตราตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 240 แต่กระทงเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 248 จำคุก 10 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็ นประโยชน์
แก่การพิจารณาและจำเลยได้นำเงินไปแลกธนบัตรปลอมคืน
อันเป็ นการรู้สึกความผิดและบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้น
นับว่ามีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 5 ปี ริบของกลาง

หมวด 2 ความผิดเกี่ยวกับดวงตราเเสตมป์เเละตั๋ว

มาตรา ๒๕๐ ผู้ใดทำปลอมขึ้นซึ่งดวงตราแผ่นดิน รอยตราแผ่นดิน หรือพระ
ปรมาภิไธย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปี ถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสน
บาทถึงสี่แสนบาท

[อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไข
เพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐]

มาตรา ๒๕๑ ผู้ใดทำปลอมขึ้นซึ่งดวงตราหรือรอยตราของทบวง
การเมือง ขององค์การสาธารณะ หรือของเจ้าพนักงาน ต้องระวางโทษจำคุก
ตั้งแต่หนึ่งปี ถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท

[อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไข
เพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐]

มาตรา ๒๕๒ ผู้ใดใช้ดวงตรา รอยตราหรือพระปรมาภิไธยดังกล่าว
มาในมาตรา ๒๕๐ หรือมาตรา ๒๕๑ อันเป็ นดวงตรา รอยตราหรือพระ
ปรมาภิไธยที่ทำปลอมขึ้น ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ

มาตรา ๒๕๓ ผู้ใดได้มาซึ่งดวงตราหรือรอยตราดังกล่าวในมาตรา
๒๕๐ หรือมาตรา ๒๕๑ ซึ่งเป็ นดวงตราหรือรอยตราอันแท้จริง และใช้ดวงตรา
หรือรอยตรานั้นโดยมิชอบในประการที่น่ าจะทำให้ผู้อื่ นหรือประชาชนเสียหาย
ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๕๐ หรือมาตรา
๒๕๑ นั้น

มาตรา ๒๕๔ ผู้ใดทำปลอมขึ้นซึ่งแสตมป์ รัฐบาล ซึ่งใช้สำหรับการ
ไปรษณีย์ การภาษีอากรหรือการเก็บค่าธรรมเนียม หรือแปลง
แสตมป์ รัฐบาลซึ่งใช้ในการเช่นว่านั้นให้ผิดไปจากเดิม เพื่อให้ผู้อื่น
เชื่อว่ามีมูลค่าสูงกว่าจริง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปี ถึงเจ็ดปี
และปรับตั้งแต่สองหมื่ นบาทถึงหนึ่ งแสนสี่หมื่ นบาท

[อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราช
บัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ.
๒๕๖๐]

มาตรา ๒๕๕ ผู้ใดนำเข้าในราชอาณาจักรซึ่งดวงตรา
แผ่นดิน รอยตราแผ่นดิน พระปรมาภิไธย ดวงตราหรือรอยตราของ
ทบวงการเมือง ขององค์การสาธารณะ หรือของเจ้าพนักงาน หรือ
แสตมป์ ซึ่งระบุไว้ในมาตรา ๒๕๐ มาตรา ๒๕๑ หรือมาตรา ๒๕๔ อัน
เป็ นของปลอม หรือของแปลง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปี ถึง
สิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท

[อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราช
บัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ.
๒๕๖๐]

มาตรา ๒๕๖ ผู้ใดลบ ถอนหรือกระทำด้วยประการใด ๆ
แก่แสตมป์ รัฐบาลซึ่งระบุไว้ในมาตรา ๒๕๔ และมีเครื่องหมายหรือ
การกระทำอย่างใดแสดงว่าใช้ไม่ได้แล้ว เพื่อให้ใช้ได้อีก ต้องระวาง
โทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้ง
ปรับ

[อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราช
บัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ.
๒๕๖๐]

มาตรา ๒๕๗ ผู้ใดใช้ ขาย เสนอขาย แลกเปลี่ยน หรือ
เสนอแลกเปลี่ยนซึ่งแสตมป์ อันเกิดจากการกระทำดังกล่าวใน
มาตรา ๒๕๔ หรือมาตรา ๒๕๖ ไม่ว่าการกระทำตามมาตรานั้น ๆ จะ
ได้กระทำภายในหรือนอกราชอาณาจักร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
สามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

[อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราช
บัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ.
๒๕๖๐]

มาตรา ๒๕๘ ผู้ใดทำปลอมขึ้นซึ่งตั๋วโดยสารซึ่งใช้ในการขนส่ง
สาธารณะ หรือแปลงตั๋วโดยสารซึ่งใช้ในการขนส่งสาธารณะให้ผิดไปจาก
เดิม เพื่อให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีมูลค่าสูงกว่าจริง หรือลบ ถอน หรือกระทำด้วย
ประการใด ๆ แก่ตั๋วเช่นว่านั้น ซึ่งมีเครื่องหมายหรือการกระทำอย่างใด
แสดงว่าใช้ไม่ได้แล้วเพื่อให้ใช้ได้อีก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือ
ปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

[อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติ
แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐]

มาตรา ๒๕๙ ถ้าการกระทำตามมาตรา ๒๕๘ เป็ นการกระทำ
เกี่ยวกับตั๋วที่จำหน่ายแก่ประชาชนเพื่อผ่านเข้าสถานที่ใด ๆ ผู้กระทำต้อง
ระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้ง
ปรับ

[อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติ
แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐]

มาตรา ๒๖๐ ผู้ใดใช้ ขาย เสนอขาย แลกเปลี่ยนหรือเสนอแลก
เปลี่ยนซึ่งตั๋วอันเกิดจากการกระทำดังกล่าวในมาตรา ๒๕๘ หรือมาตรา
๒๕๙ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือ
ทั้งจำทั้งปรับ

[อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติ
แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐]

มาตรา ๒๖๑ ผู้ใดทำเครื่องมือหรือวัตถุสำหรับปลอมหรือแปลง
สิ่งใด ๆ ซึ่งระบุไว้ในมาตรา ๒๕๔ มาตรา ๒๕๘ หรือมาตรา ๒๕๙ หรือมี
เครื่องมือหรือวัตถุเช่นว่านั้นเพื่อใช้ในการปลอมหรือแปลง ต้องระวาง
โทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

[อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติ
แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๖๐]

มาตรา ๒๖๒ ถ้าการกระทำดังกล่าวในมาตรา ๒๕๔ มาตรา
๒๕๖ มาตรา ๒๕๗ หรือมาตรา ๒๖๑ เป็ นการกระทำเกี่ยวกับแสตมป์ รัฐบาล
ต่างประเทศ ผู้กระทำต้องระวางโทษกึ่งหนึ่งของโทษที่บัญญัติไว้ในมาตรา
นั้น ๆ

มาตรา ๒๖๓ ถ้าผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๒๕๐ มาตรา ๒๕๑
มาตรา ๒๕๔ มาตรา ๒๕๖ มาตรา ๒๕๘ มาตรา ๒๕๙ หรือมาตรา ๒๖๒ ได้
กระทำความผิดตามมาตราอื่นที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้ อันเกี่ยวกับสิ่งที่เกิด
จากการกระทำความผิดนั้นด้วย ให้ลงโทษผู้นั้นตามมาตรา ๒๕๐ มาตรา
๒๕๑ มาตรา ๒๕๔ มาตรา ๒๕๖ มาตรา ๒๕๘ มาตรา ๒๕๙ หรือมาตรา ๒๖๒
แต่กระทงเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5843/2552
มูลคดีที่โจทก์ฟ้ องว่า จำเลยที่ 3 กับพวกร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้ องข้อ 1.1
ถึง ข้อ 1.4 โดยร่วมกันปลอมและประทับดวงตราปลอม และลงลายมือชื่อ
ปลอมบัตรประจำตัวบุคคลพื้นที่สูงอันเป็ นเอกสารราชการ ปลอมหนังสือ
อนุญาตให้บุคคลพื้นที่สูงออกนอกเขตที่พักอาศัยหรือพื้นที่ออก บัตรเป็ นการ
ชั่วคราวอันเป็ นเอกสารราชการและประทับดวงตราปลอมและลงลายมือชื่อ
ปลอม ปลอมแบบพิมพ์ประวัติบุคคลบนพื้นที่สูงอันเป็ นเอกสารราชการ และ
ปลอมทะเบียนบ้านของบุคคลที่อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรให้แก่บุคคล 1 คน
โดยบรรยายฟ้ องว่าเป็ นการกระทำความผิดในวันที่ 23 พฤษภาคม 2547 เวลา
กลางวัน พฤติการณ์แห่งคดีเห็นได้ว่าจำเลยที่ 3 กระทำความผิดดังกล่าวใน
คราวเดียวกัน ด้วยมีเจตนาที่จะปลอมเอกสารดังกล่าวต่อเนื่ องกันเพื่อให้
เอกสารบริบูรณ์เท่านั้น หาได้มีเจตนาหลายเจตนาที่จะให้เกิดผลต่างกรรมกันแต่
อย่างใดไม่ แม้จะมีการใช้ดวงตราปลอมในเอกสาร 2 ฉบับ ก็ตาม ก็ไม่เป็ น
ความผิดฐานใช้ดวงตราปลอม 2 กรรมการกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็ นความ
ผิดกรรมเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 657/2541
โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้ องว่า จำเลยปลอมหนังสือรับรองที่ อนุญาตทำงาน
เฉพาะบุคคลอยู่พื้นที่สูงใช้ในกรณีไปทำงาน นอกพื้นที่ควบคุมซึ่งเป็ นเอกสาร
ราชการและยังได้ปลอมดวงตรา ของเจ้าพนักงานฝ่ ายปกครองอำเภอส. แล้ว
ประทับดวงตราปลอมดังกล่าวลงในหนั งสือรับรองที่อนุญาตทำงานเฉพาะบุคคล
อยู่พื้นที่สูงใช้ในกรณีไปทำงานนอกพื้นที่ควบคุมที่ปลอมขึ้น เช่นกันดังกล่าวนั้น
พฤติการณ์แห่งคดีเห็นได้ว่าจำเลย กระทำการดังกล่าวก็ด้วยมีเจตนาที่จะปลอม
หนั งสือรับรองที่อนุญาตทำงานเฉพาะบุคคลอยู่พื้นที่สูงใช้ในกรณี ไปทำงานนอก
พื้นที่ควบคุม ทั้งฉบับให้สำเร็จบริบูรณ์เท่านั้น กรณีหาได้มีการกระทำอื่นใดอีก
ไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็ นความผิดฐานปลอมเอกสารราชการและทำดวง
ตราปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265,251 อันเป็ นกรรมเดียวผิด
ต่อกฎหมายหลายบท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1293/2537
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาพิพากษาคดีเจ็ดสำนวนรวมกันเพราะเป็ นคดีเกี่ยว
พันกัน จึงลงโทษจำเลยได้ไม่เกินกำหนดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
265 ซึ่งมีโทษจำคุกอย่างสูงห้าปี ทั้งเจ็ดสำนวน และศาลอุทธรณ์พิพากษาให้
ลงโทษฐานปลอมรอยตราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 251 ซึ่งเป็ นบทที่
มีโทษหนักที่สุดมีโทษจำคุกอย่างสูงถึงเจ็ดปี โดยศาลอุทธรณ์กับศาลชั้นต้น
กำหนดโทษจำคุกจำเลยไว้สำนวนละ 1 ปี 4 เดือน เมื่อรวมโทษที่โจทก์ฟ้ องเจ็ด
สำนวน เป็ นจำคุกทั้งหมด 9 ปี 4 เดือนไม่เกินยี่สิบปี ตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 91(2) จึงนับโทษจำคุกจำเลยต่อกันได้

หมวด 3 ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร

มาตรา 264: ความผิดฐานปลอม
เอกสาร

องค์ประกอบภายนอก
ผู้ใด (มนุษย์ซึ่งไม่จำกัดว่าเป็ นใคร)

เอกสาร
พฤติการณ์ประกอบการกระทำ: โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น
หรือประชาชน
องค์ประกอบภายใน: เจตนา
รู้ข้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบความผิด
ประสงค์ต่อผล/เล็งเห็นปลอมแปลงเอกสาร
เจตนาพิเศษ: เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็ นเอกสารที่แท้จริง
ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล (causation)
ได้มีการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้น
คุณธรรมทางกฎหมาย
ความมั่นคงและความเชื่อถือในการใช้เป็ นพยานหลักฐาน

ปลอมเอกสาร

การปลอมเอกสาร = การที่บุคคลหนึ่งทำ
เอกสารขึ้นโดยให้เข้าใจว่าเอกสารนั้น
เป็ นเอกสารที่ทำขึ้นโดยบุคคลอื่น
ข้อความในเอกสารจะเป็ นจริงหรือเท็จ
ก็ได้
ไม่จำเป็ นต้องมีเอกสารที่แท้จริงอยู่ก่อน
(ฏ. 1422/2554)
ไม่ต้องปลอมให้เหมือนของจริงก็ได้ (ฏ.
1650/2493)

ปลอมเอกสาร เอกสารเท็จ

ฎ. 6509/2549 จำเลยที่ 2 ในฐานะกรรมการผู้
จัดการและผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็ น
ประธานที่ประชุมผู้ถือหุ้นเป็ นผู้มีหน้าที่ต้องจัดให้มี
การทำรายงานการประชุมของจำเลยที่ 1 การที่จำเลย
ที่ 2 ได้จัดให้มีการทำบันทึกรายงานการประชุมผู้ถือ
หุ้นขึ้นตามหน้าที่ของตนและลงลายมือชื่อตนเองเป็ น
ประธานที่ประชุม มิได้ทำในนามของบุคคลอื่น จึงเป็ น
เอกสารที่แท้จริงของจำเลยที่ 2 แม้ข้อความในเอกสาร
จะไม่เป็ นความจริง เพราะไม่มีการประชุมดังกล่าว ก็
เป็ นการทำเอกสารอันเป็ นความเท็จเท่านั้น ไม่ทำให้
เป็ นเอกสารปลอมตาม ป.อ. มาตรา 264

ฎ. 106/2497 เช่าบ้านเขาอยู่โดยไม่ได้ทำหนังสือ
สัญญาเช่ากันไว้ครั้นเจ้าของบ้านขายบ้านนั้นให้ผู้อื่ นไปผู้
ซื้อคนใหม่ให้ผู้เช่าออกจากบ้านเช่าผู้เช่าก็ไม่ยอมออกผู้
ซื้อจึงฟ้ องขับไล่ผู้เช่าได้สมคบกับเจ้าของบ้านคนเดิมทำ
หนังสือสัญญาเช่าขึ้น 1 ฉบับแล้วผู้เช่าเอามาอ้างเป็ น
พยานต่อศาลดังนี้ ถือว่ายังไม่เป็ นผิดฐานปลอมหนังสือ

เอกสารปลอม

ปลอมหนังสือสัญญาโดยลงชื่อผู้อื่นที่ไม่มีอยู่จริง หรือใช้ชื่อบุคคลอื่น
ลงลายมือชื่อตัวเองในเอกสารว่าเป็ นบุคคลอื่นหรือแอบอ้างตำแหน่ง
หน้ าที่ว่าตนมีอำนาจทำเอกสาร
ถ่ายเอกสารสีแผ่นป้ ายแสดงการเสียภาษีรถยนต์ประจำปี ให้เหมือน
ของจริง
แก้ไขสำเนา น.ส.3 ก. แล้วนำไปถ่ายสำเนาว่าเป็ นสำเนาของๆจริง
ตัดเลขสลากกินแบ่งฉบับอื่นมาปิ ดสลากกินแบ่งอีกฉบับหนึ่ง
นำภาพถ่ายของตนไปปิ ดทับภาพถ่ายของคนอื่นในบัตรประชาชน/
หนั งสือเดินทาง

ฎ. 9042/2547 การที่จำเลยนำเช็คธนาคาร ก. ของโจทก์ร่วม
มาแก้ไขและเติมข้อความในช่องสั่งจ่ายบ้าง ช่องจำนวนเงิน
บ้างหรือปลอมลายมือชื่อโจทก์ร่วมในช่องสั่งจ่าย แล้วนำเช็ค
ไปขอเบิกเงินจากธนาคาร ก. ซึ่งหลงเชื่อว่าเป็ นเช็คที่แท้จริง
ของโจทก์ร่วม จึงจ่ายเงินให้จำเลยไป การกระทำของจำเลยจึง
เป็ นการทำเอกสารปลอมขึ้นบางส่วนโดยการแก้ไขเติม
ข้อความและลงลายมือชื่อปลอมในตั๋วเงินที่แท้จริง เพื่อให้ผู้
อื่นหลงเชื่อว่าเป็ นเอกสารที่แท้จริงที่โจทก์ร่วมทำขึ้น และก่อ
ให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วมและธนาคาร ก. การกระทำ
ของจำเลยจึงครบองค์ประกอบความผิดฐานปลอมตั๋วเงิน

โดยประการที่น่าจะเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน

ฎ. 1020/2517 ลายมือชื่อนั้นไม่มีกฎหมายให้เซ็นแทนกันได้
แม้จะมอบอำนาจก็เซ็นแทนไม่ได้ จำเลยเซ็นชื่อสามีจำเลยลงใน
สัญญามัดจำซื้อขายที่ดินจึงเป็ นการลงลายมือชื่อปลอม แต่ความ
ผิดฐานปลอมเอกสารนั้นจะต้องมีลักษณะที่น่ าจะเกิดความเสีย
หายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนด้วย เมื่อผู้เสียหายรู้จักชื่อและตัวสามี
จำเลยผู้เป็ นเจ้าของที่ดินตลอดจนจำเลยซึ่งเป็ นภรรยาอยู่ก่อน
แล้ว ยังได้สมัครใจเข้าทำสัญญากับจำเลยและรู้เห็นว่าจำเลยได้
ลงชื่อสามีจำเลยในช่องผู้ให้สัญญาตอนทำสัญญานั้น จาก
พฤติการณ์ ดังกล่าวแสดงว่าผู้เสียหายมิได้หลงผิดหรือหลงเชื่ อ
จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะอ้างว่าได้รับความเสียหายตามกฎหมายสามี
จำเลยก็ไม่เสียหายเพราะเป็ นผู้มอบอำนาจให้จำเลยไว้ จำเลยจึง
ไม่มีความผิด

เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง

ฎ. 2995/2537 จำเลยได้นำแผ่นกระดาษซึ่งมีข้อความ
และตัวเลขว่าเหมือนกับแผ่นป้ ายทะเบียนกรุงเทพมหานคร
9ง-9999 ของทางราชการ แล้วนำไปใส่กรอบโลหะติดไว้
กับรถจักรยานยนต์ของจำเลย เมื่อแผ่นป้ ายดังกล่าวมิได้
ทำขึ้นด้วยแผ่นโลหะเช่นของทางราชการ ทั้งยังปรากฎ
ข้อความอย่างอื่นในแผ่นกระดาษนั้นว่า คุ้มครองป้ ายทะ
เบียนและห.จ.ก.รวมการช่าง แสดงให้เห็นว่าเป็ นป้ ายที่ใช้
เป็ นตัวอย่างในการโฆษณา การจัดทำป้ ายทะเบียนรถ
จักรยานยนต์เพื่อจำหน่ายของห้างดังกล่าว กรณีจึงมิใช่การ
ทำเอกสารปลอมเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็ นเอกสาร
ที่แท้จริงเอกสารแผ่นป้ ายดังกล่าวจึงมิใช่เอกสารปลอม

มาตรา 265: เอกสารสิทธิ

มาตรา 1(9)
โฉนดที่ดิน
สัญญาต่างๆ
สลากกินแบ่งรัฐบาล
ตั๋วเครื่องบิน/ ตั๋วหนัง
สมุดคู่ฝากเงินกับธนาคาร/ใบถอนเงินธนาคาร
ใบเสร็จรับเงิน

ไม่ใช่เอกสารสิทธิ

ทะเบียนสมรส
บัตรประจำตัวประชาชน/ ใบสำคัญประจำตัว
คนต่างด้าว
หนั งสือเดินทาง
ใบขับขี่รถยนต์
ใบสั่งซื้อสินค้า/ คำขอใช้บริการ/ คำขอเอา
ประกันชีวิต/ ใบเสนอราคา

มาตรา 265: เอกสารราชการ

มาตรา 1(8) --- เฉพาะเอกสารของราชการไทย
เท่านั้น
ป้ ายทะเบียนรถยนต์/ แผ่นป้ ายแสดงการเสียภาษี
รถยนต์/ ใบขับขี่
บัตรประชาชน
ประกาศนียบัตรของกระทรวงศึกษา/ ในปริญญา
หนั งสือรับรอง/อนุญาตที่ออกโดยเจ้าหน้ าที่ราชการ

มาตรา266

1) เอกสารสิทธิอันเป็ นเอกสารราชการ
โฉนดที่ดิน/ หนังสือรับรองการทำประโยชน์
ใบเสร็จรับเงินที่ทางราชการออกให้
รายงานการใช้จ่ายการเดินทางไปราชการสำหรับการเบิก
เงินกับทางราชการ

มาตรา 267: ความผิดฐานแจ้งให้เจ้าพนักงาน
จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสาร

องค์ประกอบภายนอก
ผู้ใด (มนุษย์ซึ่งไม่จำกัดว่าเป็ นใคร)
แจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำตามหน้าที่จดข้อความอันเป็ น
เท็จ
เอกสารมหาชน หรือ เอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์
สำหรับใช้เป็ นพยานหลักฐาน
พฤติการณ์ประกอบการกระทำ: โดยประการที่น่าจะเกิด
ความเสียหายแก่ผู้อื่ นหรือประชาชน
องค์ประกอบภายใน: เจตนา
รู้ข้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบความผิด
ประสงค์ต่อผล/เล็งเห็นผลแจ้งให้เจ้าพนั กงานจดข้อความ
อันเป็ นเท็จ
ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล (causation)
มีการแจ้งและจดข้อความลงในเอกสาร
คุณธรรมทางกฎหมาย
ความมั่นคงและความเชื่อถือในการใช้เป็ นพยานหลักฐาน

ฎ. 1430/2537 การที่จำเลยร่วมกับ อ.และให้อ. ยื่นขอ
จดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติม กรรมการของบริษัท ก. ต่อนาย
ทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทโดยยื่นเอกสารรายงานการประชุม
วิสามัญของบริษัท ก. อันเป็ นเอกสารเท็จประกอบไปด้วย
เป็ นเหตุให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนให้เป็ นการแจ้งให้
เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็ นเท็จ
ลงในเอกสารมหาชน ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็ นพยาน
หลักฐานโดยประการที่น่ าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ซึ่ง
เป็ นผู้ถือหุ้นและเป็ นกรรมการของบริษัท ก. และประชาชน
จึงเป็ นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267

มาตรา 268: ความผิดฐานใช้

เอกสารปลอมหรือเอกสารเท็จ
ผู้ใช้เอกสารปลอม/เท็จเป็ นผู้ปลอม

องค์ประกอบภายนอก เอกสาร/แจ้งให้จดเอกสารเท็จ = ลงโทษ
ผู้ใด ฐานเป็ นผู้ใช้เอกสารเพียงกระทงเดียว



ใช้หรืออ้าง

เอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดตามมาตรา 264 -

267

พฤติการณ์ประกอบการกระทำ: ในประการที่น่าจะเกิด

ความเสียหายแก่ผู้อื่ นหรือประชาชน

องค์ประกอบภายใน: เจตนา

รู้ข้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบความผิด

ประสงค์ต่อผล/เล็งเห็นผลใช้เอกสารปลอมหรือเอกสาร

เท็จ

ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล (causation)

มีการใช้เอกสารปลอมหรือเอกสารเท็จ

คุณธรรมทางกฎหมาย

ความมั่นคงและความเชื่อถือในการใช้เป็ นพยานหลักฐาน

มาตรา 269: ความผิดฐานทำคำรับรองอันเป็นเท็จ

องค์ประกอบภายนอก
ผู้ใด ในการประกอบการงานในวิชาแพทย์ กฎหมาย บัญชี หรือวิชาชีพอื่นใด
ทำคำรับรองเป็ นเอกสารอันเป็ นเท็จ
พฤติการณ์ประกอบการกระทำ: โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้
อื่ นหรือประชาชน
องค์ประกอบภายใน: เจตนา
รู้ข้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบความผิด
ประสงค์ต่อผล/เล็งเห็นผลทำคำรับรองอันเป็ นเท็จ
ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล (causation)
มีการทำคำรับรองอันเป็ นเท็จ
คุณธรรมทางกฎหมาย
ความมั่นคงและความเชื่อถือในการใช้เป็ นพยานหลักฐาน

มาตรา 269 วรรค 2: ความผิดฐาน
ใช้หรืออ้างคำรับรองอันเป็นเท็จ

องค์ประกอบภายนอก
ผู้ใด
ใช้หรืออ้าง
คำรับรองอันเกิดจากการกระทำความผิดตามาตรา 269
วรรคแรก
องค์ประกอบภายใน: เจตนา
รู้ข้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบความผิด
ประสงค์ต่อผล/เล็งเห็นผลใช้เอกสารปลอมหรือเอกสาร
เท็จ
โดยทุจริต
ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล (causation)
มีการใช้หรืออ้างคำรับรองอันเป็ นเท็จ
คุณธรรมทางกฎหมาย
ความมั่นคงและความเชื่อถือในการใช้เป็ นพยานหลักฐาน

หมวด 4 ความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์

ความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิ กส์
ปั จจุบันมีปั ญหาเยอะมาก แยกออกเป็ นดังนี้
1. การปลอมบัตร
2. การขโมยข้อมูลบัตร
3. การนำบัตรบุคคลอื่นไปใช้โดยความยินยอม
4. การนำบัตรบุคคลอื่นไปใช้โดยไม่ยินยอม
ผมได้รวบรวมฎีกาที่เกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิ กส์ทั้งหมดมา
นำเสนอท่านผู้อ่าน หากท่านได้รับความเดือดร้อนจากการที่
คนอื่นนำบัตรของท่านใช้โดยมิชอบ มีด้วยกันหลายฎีกา

1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 464/2551
จำเลยลักบัตรอิเล็กทรอนิ กส์ไปจากผู้เสียหายแล้วนำไปลักเงินของผู้
เสียหายโดยผ่านเครื่องฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติ ทรัพย์ที่จำเลยลักเป็ น
ทรัพย์คนละประเภทและเป็ นความผิดสำเร็จในตัวต่างกรรมต่างวาระ

และอาศัยเจตนาแตกต่างแยกจากกันได้ ดังนั้น การลักบัตร
อิเล็กทรอนิ กส์ไปจากผู้เสียหายกับลักเงินของผู้เสียหายโดยใช้บัตร
อิเล็กทรอนิ กส์เบิกถอนเงินผ่านเครื่ องฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติในแต่ละ
ครั้งจึงเป็ นความผิดสองกรรมต่างกัน แต่ศาลล่างทั้งสองพิพากษา

ว่าการกระทำแต่ละครั้งดังกล่าวเป็ นกรรมเดียวเป็ นความผิดต่อ
กฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นตาม
ป.วิ.อ. มาตรา 269/5 ประกอบมาตรา 269/7 ซึ่งเป็ นบทที่มีโทษหนัก

ที่สุด และโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษ ศาลฎีกาจึงไม่อาจ
ลงโทษจำเลยรวม 14 กระทง ได้ เพราะจะเป็ นการเพิ่มเติมโทษจำเลย

ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225



2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8177/2543
การกระทำของจำเลยตามฟ้ องที่ระบุว่าจำเลยร่วมกับพวกลักเอา
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าอันเป็ นทรัพย์ของผู้เสียหายที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้กับวิทยุ
คมนาคม โดยจำเลยกับพวกนำเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ปรับคลื่น
สัญญาณและรหัสเลขหมายของโทรศัพท์ผู้อื่ นมาใช้ติดต่อสื่ อสารโทร
ออกหรือรับการเรียกเข้าผ่านสถานี และชุมสายโทรศัพท์ระบบเซลลูลาร์
ของผู้เสียหายนั้น เป็ นเพียงการรับส่งวิทยุคมนาคมหรือกล่าวอีกนัย
หนึ่งว่า เป็ นการแย่งใช้คลื่นสัญญาณโทรศัพท์โดยไม่มีสิทธินั่ นเอง จึง
มิใช่เป็ นการเอาไปซึ่งทรัพย์สินของผู้อื่นโดยทุจริตการกระทำของจำเลย
จึงไม่เป็ นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(7)
วรรคสอง แต่จำเลยคงมีความผิดตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคมฯ

หมวด 5 ความผิดเกี่ยวกับหนังสือเดินทาง

2. หนังสือเดินทางแบบดั่งเดิม มีลักษณะเป็ นเอกสาร
บอกลักษณะของบุคคลทั่วไป โดยนำรูปมาติด หนังสือ
เดินทางไม่สามารถอ่านข้อมูล โดยใช้อุปกรณ์
คอมพิวเตอร์ ซึ่งการลงรายละเอียดของ
หนังสือเดินทางแจ้งต่อ เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ และเจ้า
หน้าที่จะตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคล จากหน่วยง่าน
ต่างๆเพื่อเสนออนุญาต ต่อไป
หนังสือเดินทางแบบระบบดิจิตอล มีการถ่ายรูปภาพผู้
ถือบัตรด้วยระบบดิจิตอล ไม่ต้องเบาะรูปในหนังสือ
เดินทางเหมือนหนั งสือเดินทางแบบดั่งเดิมและ
สามารถอ่านข้อมูลรายละเอียดจากเครื่ องมือ
คอมพิวเตอร์
หนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์หรือที่เรียกว่า “อี-พาส
ปอร์ต” (Electronic-Passport หรือ หนังสือ เดินทาง
อัจฉริยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า
หนังสือเดินทางแบบชีวภาพ มีชื่อเป็ นทางการว่า “ไป
โอพาส” (หนังสือเดินทางชีวภาพ) เนื่ องจากภายใน
หนั งสือเดินทางมีชิพคอมพิวเตอร์”

3. ประเภทหนังสือเดินทาง

หนังสือเดินทางทูต เป็ นหนังสือเดินทางสำหรับนักการ

ทูต และข้าราชการการเมือง เพื่อใช้เดินทางไปราชการ

ต่างประเทศเท่านั้น

หนังสือเดินทางราชการ (Official Passport) เป็ น

หนังสือเดินทางสำหรับข้าราชการสำหรับเดินทางไป ราช

การนั้นๆ

หนังสือเดินทางยกเว้นค่าธรรมเนียม(Gratis) เป็ น

หนังสือเดินทางสำหรับข้าราชการเกษียณอายุ, พนักงาน

ของรัฐ และข้าราชการที่จะเดินทางไปศึกษาต่อต่าง

ประเทศโดยทุนส่วนตัว หรือไปฝึ กอบรมใน หลักสูตร

ต่างๆ

หนังสือเดินทาง(Passport) เป็ นหนังสือเดินทางสำหรับ

ประชาชนทั่วไป หรือข้าราชการ และพนักงาน ของรัฐ ก็

สามารถใช้ในกรณี ที่เดินทางไปต่างประเทศด้วนกิจธุระ

ส่วนตัว ความผิดฐานปลอมหนั งสือเดินทาง

4.

ความผิดที่ 1

ความผิดที่ 2

ความผิดที่ 3

1.ทำหนังสือเดินทางปลอมขึ้นทั้งฉบับ หรือแต่ส่วนหนึ่งส่วน

ใด

2.โดยประการที่น่ าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่ นหรือประชาชน

3. เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็ นหนังสือเดินทางที่แท้จริง

4. โดยเจตนา

1. เติม ตัดทอนข้อความ หรือ

แก้ไขด้วยประการใดๆในหนั งสือเดินทางที่แท้จริง

2. โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือ

ประชาชน

3.เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็ นหนังสือเดินทางที่แท้จริง

5. นำเข้า/ส่งออก เพื่อจำหน่าย
นำเข้า /ส่งออก
จำหน่ าย
ใช้
ปลอมหนั งสือเดินทาง
มีไว้เพื่ อ
จำหน่ าย
มีไว้เพื่ อใช้
นำเข้า/ส่งออก เพื่อจำหน่าย

6. การทำปลอม

1. การทำปลอม หมายถึง การทำโดยไม่มีอำนาจ ถ้ามีอำนาจทำแต่
ข้อมูลเป็ นเท็จไม่เป็ นเอกสารปลอม แต่เป็ นเอกสารเท็จ
2. การปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือส่วนหนึ่งส่วนใด
-ไม่จำเป็ นต้องมีหนังสือเดินทางแท้จริง
-การปลอมหนังสือเดินทางอาจทำแต่เพียงส่วนหนึ่งส่วนใด ไม่จำ
ต้องปลอมทั้งฉบับ
-หนังสือเดินทางอาจทำไว้โดยแท้จริงแต่ยังไม่สำเร็จครบถ้วน ถ้าผู้ใด
ปลอมข้อความต่อไปจนครบถ้วน ก็เป็ นการปลอมแต่บางส่วน หรือ
-อาจทำหนังสือเดินทางขึ้นยังไม่สำเร็จครบถ้วนหรือไม่ครบถ้วน ก็
เป็ นการปลอมแต่บางส่วน หรืออาจทำหนังสือเดินทางขึ้นไม่สำเร็จ
ครบถ้วน ทำไปได้แต่เพียงบางส่วน ก็เป็ นการปลอมหนังสือเดินทาง
สำเร็จ
3. การเติม ตัดทอน หรือแก้ไข จะต้องกระทำลงในเอกสารที่แท้จริง
4. ประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอมในหนังสือเดินทางที่แท้
จริง
ปลอมวิธีหนึ่ งวิธีใดดังต่อไปนี้
1.ทำหนังสือเดินทางปลอมขึ้นทั้งฉบับ หรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
2. เติม ตัดทอนข้อความ หรือ
แก้ไขด้วยประการใดๆในหนั งสือเดินทางที่แท้จริง
3.ประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอมในหนังสือเดินทางที่แท้
จริง

7 ความผิดฐานใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ จำหน่าย หรือมีไว้เพื่อจำหน่าย ซึ่ง
หนังสือเดินทางปลอม ม.269/9
ความผิดที่ 1 ใช้ หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งหนังสือเดินทางปลอม
ใช้ หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งหนังสือเดินทางปลอมตามมาตรา 269/8
โดยเจตนา
ใช้ คือ นำออกใช้ในลักษณะที่เป็ นหนังสือเดินทาง เช่น การใช้เพื่อ
แสดงหลักฐานการเดินทางไปยังประเทศต่างๆ และ การใช้อย่าง
หนังสือเดินทาง เพียงแต่แสดงข้อความในหนังสือเดินทางให้ปรากฏ
ต่อผู้อื่นไม่ถึงกับยื่นหนังสือเดินทางส่งให้ ผู้อื่นรับก็เป็ นการใช้
หนั งสือเดินทางแล้ว
มีไว้เพื่อใช้ คำว่า “มีไว้” เป็ นองค์ประกอบส่วนการกระทำ ส่วน “เพื่อ
ใช้” เป็ นเจตนาพิเศษ ดังนั้น ถ้าผู้กระทำมีไว้ โดยมี เจตนาพิเศษเพื่อ
ใช้ ก็เป็ นความผิดสำเร็จ แม้ว่าจะยังไม่ทันได้ใช้
ผู้ใช้ หรือมีไว้ ต้องกระทำโดยเจตนา และต้องรู้ว่าเป็ น
หนั งสือเดินทางปลอม

8. ความผิดฐานใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ จำหน่าย หรือมีไว้เพื่อจำหน่าย
ซึ่งหนั งสือเดินทางปลอม
ความผิดที่ 2 จำหน่าย หรือมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งหนังสือเดินทาง
ปลอม
จำหน่ ายหรือมีไว้เพื่ อจำหน่ ายซึ่งหนั งสือเดินทางปลอม
เจตนาธรรมดา
จำหน่าย หมายถึง การส่งต่อให้ผู้อื่นไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่
มีไว้เพื่อจำหน่าย นั้น ข้อสันนิษฐานของกฎหมาย การมี
หนังสือเดินทางปลอมตั้งแต่สองฉบับขึ้นไป ให้ สันนิษฐานไว้ก่อน
ว่ามีไว้เพื่ อจำหน่ าย

9 ความผิดฐาน นำเข้าใน หรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งหนังสือเดินทาง
ปลอม ม
ความผิดฐาน นำเข้าใน หรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งหนังสือเดินทาง
ปลอม ม.269/10
นำเข้าใน หรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งหนังสือเดินทางปลอม ตามมาตรา
269/8
เจตนา
ถ้าการนำเข้าหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรผู้กระทำได้กระทำไปโดยมีเจตนา
พิเศษ เพื่อจำหน่าย ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น แม้ยังไม่มีการจำหน่ายใดๆเลย
ก็ตาม
หมายความว่า ราชอาณาจักรที่แท้จริง ตาม ม. 4 เท่านั้น ไม่รวมถึง เรือไทย
หรืออากาศยานไทย ซึ่งอยู่ นอกราชอาณาจักร และไม่รวมสถานทูตไทยในต่าง
ประเทศด้วย

10 ความผิดฐานใช้หนังสือเดินทางผู้อื่นโดยมิชอบ และจัดหา
หนังสือเดินทาง ม
ความผิดฐานใช้หนังสือเดินทางผู้อื่นโดยมิชอบ และจัดหา
หนังสือเดินทาง ม.269/11
องค์ประกอบ
ใช้หนั งสือเดินทางของผู้อื่ นโดยมิชอบ
ในประการที่น่ าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่ นหรือประชาชน
โดยเจตนา
หมายความว่า หนังสือเดินทางที่แท้จริงเป็ นหนังสือเดินทางของผู้
อื่น โดยหนังสือเดินทางนั้นไม่มีการ ปลอมแต่อย่างใด
หากยังไม่มีการใช้ก็เป็ นความผิด เนื่ องจากหากผู้กระทำความผิดยัง
ไม่ทันใช้ก็ยังไม่ถือว่าเป็ นผู้กระทำ ความผิดตามมาตรา 269/11
ได้

11 ความผิดฐานจัดหาหนังสือเดินทางโดยมิชอบ 269/11 ว.2
องค์ประกอบ
จัดหาหนังสือเดินทางผู้กระทำความผิด ตามวรรค 1
เจตนาธรรมมา ตาม ป.อ. 59
ผู้จัดหาหนั งสือเดินทางให้ผู้ใช้หนั งสือเดินทางของผู้อื่ นโดยมิชอบ
ต้องระวางโทษเท่ากับผู้ใช้หนังสือ เดินทางของผู้อื่นโดยมิชอบ

12 ความผิดเกี่ยวกับการปลอมดวงตรา รอยตรา หรือแผ่นปะ ใน
การตรวจลงตราสำหรับการเดินทาง
มาตรา ๒๖๙/๑๒ ผู้ใดทำปลอมขึ้นซึ่งดวงตรา รอยตรา หรือแผ่นปะ
ตรวจลงตราอันใช้ในการตรวจลงตรา สำหรับการเดินทางระหว่าง
ประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปี ถึงสิบปี และปรับตั้งแต่
สองหมื่นบาท ถึงสองแสนบาท
มาตรา ๒๖๙/๑๓ ผู้ใดใช้ดวงตรา รอยตรา หรือแผ่นปะตรวจลงตรา
ที่ทำปลอมขึ้นตามมาตรา ๒๖๙/๑๒ ต้อง ระวางโทษจำคุกตั้งแต่
หนึ่งปี ถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็ นผู้ปลอมซึ่งดวงตรา รอยตรา
หรือแผ่นปะตรวจลงตราตามมาตรา ๒๖๙/๑๒ ให้ลงโทษตามมาตรา
นี้แต่กระทงเดียว
มาตรา ๒๖๙/๑๔ ผู้ใดนำเข้าในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่ง
ดวงตรา รอยตรา หรือแผ่นปะตรวจลง ตราซึ่งระบุไว้ในมาตรา
๒๖๙/๑๒ อันเป็ นของปลอม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปี ถึงสิบ
ปี และปรับตั้ง แต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท

13 ความผิดฐานใช้ดวงตรา รอยตรา แผ่นปะ อันแท้จริง โดยมิชอบ
มาตรา ๒๖๙/๑๕ ผู้ใดใช้ดวงตรา รอยตรา หรือแผ่นปะตรวจลงตรา
อันแท้จริงที่ใช้ในการตรวจลงตราสำหรับ การเดินทางระหว่าง
ประเทศโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้
อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่บัญญัติ
ไว้ในมาตรา ๒๖๙/๑๓
องค์ประกอบ
ใช้ดวงตรา รอยตรา หรือแผ่นปะตรวจลงตราสำหรับการเดินทาง
ระหว่างประเทศอันแท้จริง
โดยมิชอบ
ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือประชาชน
โดยเจตนา

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายอาญา 269/1 269/4วรรคแรก 269/4วรรคสาม 269/5 91

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.212 212 ป.อ. ม.269/1
ม.269/4วรรคแรก ม.269/4วรรคสาม ม.269/5 ม.91 ป.วิ.อ.

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทง
ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 91 ฐานปลอมบัตรอิเล็กทรอนิกส์ จำคุก 2 ปี ฐานมีไว้
เพื่อนำออกใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ จำคุก 2 ปี และฐานใช้
บัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอม จำคุก 3 ปี แต่ความผิดฐานใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์
ปลอม ศาลชั้นต้นปรับบทว่าเป็ นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 269/5 ซึ่งไม่ถูก
ต้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ปรับบทว่าเป็ นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 269/4
วรรคแรก ให้ถูกต้องเท่านั้น ส่วนโทษคงพิพากษาจำคุก 3 ปี เช่นเดิมตามคำ
พิพากษาศาลชั้นต้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิใช่เป็ นการเพิ่มเติม
โทษจำเลย จึงไม่ขัดต่อ ป.วิ.อ. มาตรา 212
โจทก์ฟ้ องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 269/1,
269/5, 269/6, 269/7, 91, 32, 33 ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
269/1, 269/5, 269/6 เป็ นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทง
ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานปลอมบัตรอิเล็กทรอนิกส์
จำคุก 2 ปี ฐานมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ จำคุก 2 ปี ฐานใช้บัตร
อิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ จำคุก 3 ปี รวมจำคุก 7 ปี จำเลยให้การรับ
สารภาพเป็ นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 6 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์ ขอให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็ นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 269/1, 269/4, (ที่ถูก มาตรา 269/4 วรรคแรก) 269/7
การกระทำของจำเลยเป็ นกรรมเดียวเป็ นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ลงโทษฐานใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งสิ่งใดๆ
อันได้มาโดยรู้ว่าเป็ นของที่ทำปลอมหรือแปลงขึ้น ตามมาตรา 269/4 วรรค
แรก, 269/7 ตามมาตรา 269/4 วรรคสาม จำคุก 3 ปี เมื่อลดโทษให้ตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน คำขอ
อื่นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็ นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้น
ต้นอนุญาตให้ฎีกาในปั ญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟั งได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 269/1, 269/4 วรรคแรก ประกอบมาตรา 269/7 คดีมีปั ญหา

วินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในปั ญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยเป็ นความผิด
หลายกรรมต่างกันหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยปลอมบัตรอิเล็กทรอนิกส์ตามฟ้ องข้อ
ก. อันเป็ นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 269/1 และจำเลยมีไว้เพื่อใช้
ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมตามฟ้ อง ข้อ ข. และจำเลยใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอม
ตามฟ้ องข้อ ค. อันเป็ นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 269/4 วรรค

แรก นั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 269/4 วรรคสาม บัญญัติว่า "ถ้าผู้
กระทำความผิดตามวรรคแรกหรือวรรคสองเป็ นผู้ปลอมซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ตาม

มาตรา 269/1 ให้ลงโทษตามมาตรานี้แต่กระทงเดียว" การที่จำเลยปลอมบัตร
อิเล็กทรอนิกส์ กับจำเลยมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมและจำเลยใช้บัตร
อิเล็กทรอนิกส์ปลอมดังกล่าว จำเลยมีเจตนาเดียวคือนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมไป
ใช้เพื่อประโยชน์ในการชำระค่าสินค้า การกระทำของจำเลยจึงเป็ นกรรมเดียวผิดต่อ
กฎหมายหลายบท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟั งไม่ขึ้น



คดีมีปั ญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในปั ญหาข้อกฎหมายว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้

พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 212 หรือไม่ จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดตาม

ประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 269/4 จำคุก 2 ปี แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็ น จำคุก 3 ปี
เป็ นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นได้พิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดหลาย
กรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานปลอม
บัตรอิเล็กทรอนิกส์ จำคุก 2 ปี ฐานมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ จำคุก 2
ปี และฐานใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอม จำคุก 3 ปี แต่ความผิดฐานใช้บัตร
อิเล็กทรอนิกส์ปลอม ศาลชั้นต้นปรับบทว่า เป็ นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 269/5 ซึ่งไม่ถูกต้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 คงแต่ปรับบทว่าเป็ นความผิดตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 269/4 วรรคแรก ให้ถูกต้องเท่านั้น ส่วนโทษคง
พิพากษาจำคุก 3 ปี เช่นเดิมตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค
1 มิใช่เป็ นการเพิ่มเติมโทษจำเลย จึงไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญา มาตรา 212 ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟั งไม่ขึ้น

คดีมีปั ญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายว่า มีเหตุสมควรรอการลงโทษ
จำเลยหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีบุตรต้องเลี้ยงดู 4 คน จำเลยไม่เคยกระทำ
ความผิดมาก่อน จำเลยประกอบอาชีพโดยสุจริต พฤติการณ์แห่งคดีไม่ร้ายแรง
เห็นว่า ที่จำเลยนำบัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ดอันเป็ นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่น
ทำปลอมขึ้น แล้วนำไปใช้ชำระค่าสินค้าเป็ นเงินถึง 10,700 บาท เป็ นการกระทำที่
เป็ นภัยต่อสุจริตชนและเป็ นการบ่อนทำลายระบบเศรษฐกิจโดยรวม พฤติการณ์ใน
การกระทำของจำเลยถือเป็ นเรื่องร้ายแรง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำ
คุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษนั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ฎีกาของ
จำเลยในข้อนี้ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟั งไม่ขึ้น


Click to View FlipBook Version