วิชาทักษะการเรียนรู้ (ครั้งที่ 2)
เรื่องที่ 4 การคิดเป็น
กระบวนการ คิดเป็น
คิดเป็น หมายถึง การวิเคราะห์ปัญหา และการแสวงหาคำ
ตอบหรือทางเลือกเพื่อแก้ปัญหาหรือดับทุกข์ การคิดอย่าง
รอบคอบเพื่อแก้ไขปัญหา โดยอาศั ยข้อมูลตนเอง
ด้านสังคมและสิ่ งแวดล้อมและด้านวิชาการ มาเป็นองค์
ประกอบในการคิดตัดสิ นใจแก้ปัญหา
ขั้นตอนการคิดการแก้ปัญหาแบบคนคิดเป็น
กระบวนการคิดเป็น แบ่งเป็น 6 ขั้นตอน
1. ขั้นตอนที่ 1 ขั้นระบุปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่
2. ขั้นตอนที่ 2 ทำการศึกษารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาที่กำลัง
เผชิญอยู่ โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท
2.1 ข้อมูลตนเอง
2.2 ข้อมูลทางสังคม
2.3 ข้อมูลวิชาการ
3. ขั้นตอนที่ 3 การสังเคราะห์ข้อมูล 3 ด้าน
4. ขั้นตอนที่ 4 การตัดสินใจ
5. ขั้นตอนที่ 5 ปฏิบัติตามสิ่งที่ได้คิดและตัดสินใจ
6. ขั้นตอนที่ 6 การประเมินผล
สรุป การคิดเป็น เป็นลักษณะที่พึงประสงค์ของคนไทย
ทุกคนไม่เฉพาะแต่ผู้เรียน กศน.เท่านั้น เพราะ“คิดเป็น” จะช่วย
ให้คนไทยทุกคนยืนอย่างมั่นคง ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง
ของสั งคมโลกและสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสั นติสุข
เพราะเข้าใจในสรรพสิ่ งรอบตัว และข้อสำคัญคือ เข้าใจตนเอง
เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเห็นภาพของกระบวนการคิดเป็น
เรื่องที่ 5
ความหมาย ความสำคัญ
ของการวิจัย
งานวิจัยคืออะไร กระบวนการแสวงหาความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
และมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน ภายในขอบเขตที่กำหนด
โดยใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้
ความจริงเป็นที่ยอมรับ
ประโยชน์ ปลูกฝังให้เป็นคนดีมีพื้นฐานในการแสวงหาความรู้
ของงานวิจัย การวิจัยทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ ๆ
การวิจัยช่วยตอบคำถามที่อยากรู้ ช่วยในการแก้ไขปัญหา
การวิจัยช่วยในการวางแผนและการตัดสินใจ
การวิจัยช่วยให้ทราบผลและข้อบกพร่องจากเรียน/การทำงาน
ขั้นตอนการวิจัย 1.กำหนดคำถามวิจัย/ปัญหาวิจัย
เริ่มต้นจากผู้วิจัยอยากรู้อะไร
มีปัญหาข้อสงสัยที่ต้องการคำตอบอะไร
2. การเขียนโครงการวิจัย
4. การเขียนรายงานการวิจัย 2.1ชื่อโครงการวิจัย
4.1 ชื่อเรื่อง
2.2 ความเป็นมาและความสำคัญ
4.2 ชื่อผู้วิจัย
2.3 วัตถุประสงค์ของการวิจัย
4.3ความเป็นมาของการวิจัย 2.4วิธีการดำเนินการวิจัย
4.4วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2.5ปฏิทินปฏิบัติงาน
4.5วิธีการดำเนินการวิจัย 2.6ประโยชน์ของการวิจัย/ผลที่คาดว่าจะได้รับ
4.6 ผลการวิจัย
4.7 ข้อเสนอแนะ 3. การดำเนินงานตามแผนในโครงการวิจัย
4.8 เอกสารอ้างอิง(ถ้ามี)
5. การเผยแพร่งานวิจัย
สถิติง่ายๆ เพื่อการวิจัย
ความถี่ (Frequency)
คือ การแจงนับจำนวนของสิ่งที่เราต้องศึกษาว่ามีจำนวนเท่าใด
เช่น จำนวนผู้เรียนในห้องเรียน จำนวนสิ่งของ จำนวนคนที่ไป
ใช้สิทธิเลือกตั้ง เป็นต้น
ตัวอย่างเช่น
ชุดตัวเลขต่อไปนี้ ตัวเลขใดมีความถี่มากที่สุด 10 15 18 10 13 10 10 15 18 18
ตำตอบก็คือ 10 เพราะ แจงนับความถี่ได้ 4 รองลงมาคือตัวเลข 18 ที่แจงนับความถี่ได้ 3
ตัวเลข 15 ความถี่ 2 และตัวเลข 13 มีความถี่น้อยสุด คือ 1
ร้อยละ (Percentage)
ร้อยละ = ตัวเลขที่ต้องการเปรียบเทียบ * 100
เป็นสถิติที่ใช้กันมากในงานวิจัย
จำนวนเต็ม
เพราะคำนวณและทำความเข้าใจได้ง่าย
ตัวอย่างเช่น นิยมเรียนว่า เปอร์เซ็นต์ ใช้สัญลักษณ์ %
หมู่บ้านแห่งหนึ่งมีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 50 คน เป็นหญิง 20 คน เป็นชาย 30 คน
มีประชากรหญิงและชายคิดเป็นร้อยละ ดังนี้
หญิง = 20 * 100 = ร้อยละ 40 หรือ 40%
100
ชาย = 30 * 100 = ร้อยละ 60 หรือ 60%
100
ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเฉลี่ย = ผลรวมของข้อมูลทั้งหมด
คือ ค่ากลาง ๆ ของข้อมูล
คำนวณโดยการนำค่าของข้อมูลทั้งหมดมารวมกัน จำนวนข้อมูลที่มีอยู่
ตัวอย่างเช่น แล้วหารด้วยจำนวนข้อมูลที่มีอยู่
ครอบครัวหนึ่ง พ่ออายุ 58 ปี แม่อายุ 42 ปี ลูกอายุ 12 ปี ถ้าอยากรู้ว่าคนในครอบครัวนี้
มีอายุเฉลี่ยเท่าใด เราสามารถคำนวณได้ดังนี้
อายุเฉลี่ยของคนในครอบครัว = อายุพ่อ + อายุแม่ + อายุลูก
จำนวนคนในครอบครัวทั้งหมด
= 58+42+12 = 37.33
3
ดังนั้น คนในครอบครัวนี้มีอายุเฉลี่ย = 37.33
การเครื่องมือการวิจัย
ในการดำเนินงานวิจัย มีความจำเป็นที่จะต้องมีการรวบรวมข้อมูล
เพื่อนำมาวิเคราะห์หาคำตอบตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยที่กำหนด
เครื่อองมือการวิจัยเป็ นสิ่งสำคัญในการเก็บรวบรวมข้อมูลสิ่งที่ต้องการ
ศึกษา
ประเภทของเครื่องมือการวิจัยที่นิยมใช้กันมาก ได้แก่
1. แบบสอบถาม
แบบสอบถามปลายเปิด เช่น แบบสอบถามความคิดเห็น
แบบสอบถามปลายปิด เช่น อาชีพ อายุ
2. แบบสัมภาษณ์
- การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง
เช่น คณะกรรมการสอบสัมภษณ์เข้ามหาวิทยาลัย
- การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง
เช่น ครูสัมภษณ์นักเรียนเกี่ยวกับปัญหาในการเรียนการสอน
3. แบบสังเกต
- แบบสังเกตที่มีโครงร่างการสังเกต
เช่น แบบสังเกตุพฤติกรรมในการพบกลุ่มของนักเรียนชั้น ม.ปลาย
- แบบสังเกตที่ไม่มีโครงร่างการสังเกต
เช่น การสังเกตุพฤติกรรมการเรียนของพลทหาร