คนมาเลย์เช้ือสายสยาม
ดร.อภริ ัชศักดิ์ รชั นีวงศ์
ชาวมาเลเซียเชื้อสายไทย (Malaysian Siam) หรือ ชาวสยาม (นิยมเรียกในมาเลเซีย) หรือ Orang
Siam (โอรังเซียม ออแฆ ซีแย)๑ เป็นชาวไทยถ่ินใต้ที่อาศัยอยู่พื้นที่แถบนี้มาช้านาน โดยการเข้ามาเร่ือย ๆ
พอนานเข้าก็กลายเป็นชนกลุ่มหนึ่งในรัฐไทรบุรี ปะลิส กลันตันทางตอนเหนือของรัฐเปรักและมีจานวนหน่ึง
อาศัยในปีนัง โดยบางส่วนได้ผสมกลมกลืนกับชนพ้ืนเมืองแถบน้ีด้วย ภายหลังการยกดินแดนส่วนน้ีแก่อังกฤษ
ชาวไทยกลุ่มนี้จึงเป็นสิ่งตกค้างในประเทศมาเลเซียจนถึงปัจจุบัน แต่ชาวไทยในประเทศมาเลเซียยังรักษา
ประเพณีวัฒนธรรมของไทยในอดีตไว้ได้อย่างดี รวมถึงภาษาและศาสนาที่เป็นเอกลักษณ์ท่ีแตกต่างกับ
ชาวมลายูทวั่ ไป ชาวมาเลเซยี เชื้อสายไทยเปน็ กลุ่มชาติพันธุ์ท่ีมีเชื้อสายเดียวกับชาวไทยในประเทศไทย เช่ือกัน
วา่ อพยพเข้าสดู่ นิ แดนมลายูตั้งแต่ 300-500 ปีมาแล้ว โดยเป็นช่วงท่ีไทยขยายอานาจไปถึงปะหัง ผู้ที่ติดตาม
กองทัพสยามจึงเข้าไปอยู่อย่างกระจัดกระจาย ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยาต้ัง “เมือง
ชัยนคร” ข้ึนใหม่ เม่ือไทยยกไปตีมะละการะหว่าง พ.ศ. 1998-2003 จึงเรียกว่า “เมืองไชยบุรี” และมี
ราษฎรทางหัวเมืองเหนืออพยพมาอยู่กันมาก จึงออกเสียงแบบสาเนียงเหนือเป็นไซบุรี ต่อมาปี พ.ศ. 2067
เมืองไชยบุรีได้ตกเป็นเมืองข้ึนของอาเจะฮ์ ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา ประชากรจึงได้หันไปนับถือ
ศาสนาอิสลามเป็นจานวนมาก แต่ก็ยังมีคนท่ีนับถือศาสนาพุทธจานวนมากเช่นเดียวกัน ต่อมาในสมัยสมเด็จ
พระเจา้ ปราสาททองในราว พ.ศ. 2173 จึงได้เมืองไชยบุรีกลับมาตามเดิม ช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้นก็ยังเขียน
ช่ือเป็น “ไซบุรี” ภายหลงั จึงเขียนเปน็ “ไทรบรุ ี”
ในสมัยยุคลา่ อาณานิคม “บางสว่ นของมาเลเซยี คือพ้ืนที่ของประเทศไทย”2 สงิ่ หนง่ึ ท่ีเป็นเรื่องจริงคือ
บางส่วนของมาเลเซีย อย่าง เกดาห์ เปอร์ลิส กลันตันและตรังกานู เป็นพ้ืนที่ท่ีมีความเกี่ยวพันทาง
ประวัติศาสตร์มาตั้งแต่ยุคโบราณ งานเขียนบางชิ้นระบุว่า ดินแดนเหล่านี้เดิมอยู่ในอาณาจักรศรีวิชัย และ
อาณาจักรตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช) รัฐตอนเหนือของมาเลเซียบางส่วน บางเวลาอยู่ภายใต้อานาจและ
อิทธิพลของไทยตั้งแต่สุโขทัย แต่สถานะความสัมพันธ์ระหว่างรัฐในลุ่มแม่น้าเจ้าพระยากับหัวเมืองมลายู
บางคร้ังก็ไม่แน่ชัดว่าเป็นอย่างไร งานวิจัยของ พรชัย นาคสีทอง ชี้ให้เห็นภาพภูมิหลังทางประวัติศาสตร์
ความสัมพันธ์ระหว่างหัวเมืองมลายูกับรัฐไทย หลักฐานช้ินสาคัญคือ ต้นไม้เงินต้นไม้ทอง (บุหงามาส)
ซ่ึงเจ้าเมืองมลายูต้องมอบให้กษัตริย์ไทย สิ่งนี้มีกลายนัยยะซ่ึงยังไม่มีใครตีความได้แน่ชัดว่าการมอบต้นไม้เงิน
ต้นไม้ทองเป็นการแสดงถึงอะไร บางส่วนบอกว่าเป็นการแสดงความจงรักภักดี เป็นสถานะความสัมพันธ์ใน
ลักษณะของเมืองประเทศราช หรือ แสดงความหมายแห่งมิตรภาพ ข้อมูลอีกช้ินช้ีให้เห็นว่า ชาวมาเลเซีย
เช้ือสายไทย อพยพเข้ามาเลเซียต้ังแต่ 300 - 500 ปีที่แล้ว ด้วยหลักฐานจากการที่กองทัพสยามยกทัพไปตี
เมืองปาหังของมลายู ผู้ที่ติดตามกองทัพสยามตั้งรกรากอยู่ในปาหังอย่างกระจัดกระจาย รวมไปถึง
สมัยพระบรมไตรโลกนาถ เคยมีการยกทัพมาตีมะละกา กองบริวารบางส่วนอาจตั้งถิ่นฐานบริเวณภาคเหนือ
๒
ของมาเลเซียในปัจจุบัน ช่วงเวลาใกล้ต้ังรัฐชาติ เม่ือ 100 กว่าปีที่แล้ว (พ.ศ. 2452) ในวันท่ี 10 มีนาคม
พ.ศ. 2451 หรือเมื่อ 100 ปีก่อน1 คิดเป็นพ้ืนที่ท่ีเสียในคร้ังที่ 13 ประมาณ 52,100 ตารางกิโลเมตร
หลังสยามทาสนธิสัญญายกไทรบุรี ปะลิส กลันตันและตรังกานู ให้อยู่ในความดูแลของอังกฤษ ทาให้เกิด
เสน้ แบ่งพรมแดนทชี่ ดั เจน หากแตไ่ ม่สามารถแยกเอาผู้คนและวัฒนธรรมท่ีเคยอยู่ติดที่ในดินแดนเหล่านั้นออก
จากกันอย่างชัดเจนได้ จึงทาให้มีคนมาเลเซียเช้ือสายไทยท่ีนับถือทั้งพุทธและมุสลิมหลงเหลือ ช่วงเวลาน้ันแม้
จะมีการประกาศให้คนไทยท่ีอยใู่ นมาเลเซยี มารายงานตัวว่าต้องการฝ่งั ไหนที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย แม้จะเลย
กาหนดเส้นตายไปแล้ว คนไทยส่วนมากไม่ทราบข่าวสารและไม่สนใจ เพราะบางคนมีหลักแหล่งท่ีดินทามาหา
กนิ หรอื ครอบครัวอยูท่ นี่ น่ั แลว้ ดงั น้ัน ในบางหม่บู ้านมาเลย์จะมีชื่อแบบไทย ๆ ว่า บา้ นควนขนุน บ้านต้นพยอม
บ้านสกั เป็นต้น และตามขา้ งทางจะเหน็ วดั ไทยปะปนอยู่ตามหมู่บ้าน
ปัจจุบันคนไทยท่ีนับถือศาสนาพุทธ มีอิสรภาพในการคงรักษาประเพณีและวัฒนธรรมเอาไว้อย่าง
เหนียวแน่น มีโรงเรียนสอนภาษาไทยและพระพุทธศาสนา โดยประเทศไทยเสียดินแดนดังกล่าว แต่ชาวไทย
ในหวั เมืองมลายทู งั้ 4 เมือง ยงั คงตง้ั หลักปักฐานอยู่ทนี่ ัน่ นับตงั้ แต่องั กฤษยดึ ครองมาเลเซีย จนกระท่ังมาเลเซีย
ได้รับเอกราชจนถึงปัจจุบันโดยเฉพาะในเกอดะฮ์มี 11 เขต 27 หมู่บ้าน มีวัด 50 วัด มีชาวไทยไม่ต่ากว่า
50,000 คน ก่อนมาเลเซียได้รับเอกราช ชาวไทยมีหลักฐานแสดงสถานภาพความเป็นชนกลุ่มน้อย คือ
(๑) สูติบัตรแสดงความเป็นไทย เช้ือสายไทย (๒) ทะเบียนสามะโนครัว แสดงสัญชาติมาเลเซีย (๓) บัตร
ประชาชน เริ่มทาต้ังแต่อายุ 12 ปี และทาใหม่อีกคร้ัง เม่ืออายุ 18 ปี หลังจากได้รับเอกราชแล้ว (วันที่ 31
สงิ หาคม 2500 ถือเปน็ วนั ทช่ี าวมาเลเซยี เรียกกันวา่ Merdeka Day หรือ วันชาติมาเลเซยี ดินแดนแห่งน้ีเคย
ตกเป็นประเทศในปกครองของอังกฤษ หลังได้รับเอกราช จึงประกาศให้วันท่ี 31 สิงหาคม ของทุกปีเป็น
วนั ชาติ)2 ชาวไทยมหี ลักฐานการแสดงสถานภาพ ดังน้ี (๑) สูติบัตร แสดงว่าเป็นคนไทย เช้ือสายไทย (๒) บัตร
ประชาชน แสดงสัญชาติมาเลเซีย เดิมทีชาวไทยไม่มีสถานะเป็นภูมิบุตร โดยมีสิทธิ์ครองดินเป็นของตนเอง
มีสิทธ์ิขายท่ีดินให้แก่ผู้อื่นได้ แต่ผู้ซ้ือต้องเป็นชาวมลายู ชาวไทยด้วยกันไม่มีสิทธิ์ซ้ือขายที่ดินไม่ว่าเป็นของ
ชาวไทยหรือของชาวมาเลเซีย อีกประการหนึ่งเจ้าของท่ีดินต้องเป็นเกษตรกรชาวไทยและมีบัตร Regence
Patanian Orang Orang Siam มาเลเซีย จงึ ยอมรับวา่ ชาวไทยเป็นเกษตรกรเจ้าของท่ดี นิ และไม่ประสงค์กลับ
เข้าไปอยู่ในประเทศไทย ส่วนชาวไทยบางส่วนก็ได้กลับประเทศไทยแล้ว หากมีกิจกรรมบางอย่างก็จะกลับมา
และหลังจากนั้นก็จะกลับประเทศไทยตามเดิม1 ย้อยอดีต ในปี พ.ศ.๑๙๙๘ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ส่ง
กองทัพไปตเี มืองมะละกา มีคนไทยจากเมืองเหนือติดตามกองทัพลงไปอยู่ตามเมืองรายทางในแหลมมลายูด้วย
เมื่อตกเป็นของอังกฤษ หลายกลุ่มได้อพยพกลับมาอยู่เขตไทย แต่หลายคนก็ลงหลักปักฐานอยู่ท่ีน่ัน จนมลายู
ได้รับเอกราชจากอังกฤษ คนไทยท่ีเหลืออยู่จึงกลายเป็น “ชนกลุ่มน้อย” ของสหพันธรัฐมาเลเซีย (จนถึงปี
2565 เป็นเวลา 567 ป)ี 4 มาเลเซียเป็นประเทศท่ีมีประชากรหลายเช้ือชาติ ในจานวนประชากร ๓๒.๗ ล้าน
คน เป็นคนเชื้อสายมาเลย์ ร้อยละ ๖๙.๖ ซึ่งตามกฎหมายที่ออกตอนได้เอกราช ถือว่าเป็น “ภูมิบุตรา” หรือ
“บุตรของแผ่นดิน” นอกนั้นถือว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ มีจีน ร้อยละ ๒๒ อินเดีย ร้อยละ ๖.๘ ส่วนคนไทย
ท่ีเรียกกันว่าชาวสยาม มีรวมกัน ๗๐,๐๐๐ คน ยังไม่ถึงร้อยละ ๑ แต่ก็ได้รับการรับรองว่าเป็นพลเมืองชั้น ๒
ต่างกบั คนเช้อื สายจีนและอนิ เดีย ซึง่ ถือวา่ เปน็ พลเมอื งช้ัน ๓ คนไทยเหล่าน้อี ยใู่ นรฐั เคดะห์หรือไทรบุรีมากท่ีสุด
๓
ซึ่งตามประวัติหลวงพ่อทวดผู้เหยียบน้าทะเลจืดก็ได้ไปสร้างวัดไว้ท่ีเมืองไทรบุรีด้วย รองลงมาคือรัฐกลันตัน
ซึ่งอยตู่ ิดกับจงั หวัดนราธิวาส กลุ่มนี้มักจะมีญาติอยู่ฝ่ังไทยไปมาหากันตลอด นอกจากในรัฐตรังกานูและปะลิส
แลว้ ก็ยงั มีคนไทยอยใู่ นปนี ัง หรือเกาะหมาก เกาะลังกาวี และกรุงกัวลาลัมเปอร์ ส่วนคนเชื้อสายไทยก็ประท้วง
เร่ืองน้ีด้วยเช่นกัน โดยตั้ง “สมาคมสยาม-มาเลเซีย” “สมาคมสยามเกอดะฮ์-ปะลิส” เพื่อปกป้องสิทธิของ
ชาติพันธุ์ แต่เคลื่อนไหวในกรอบของความสงบและกฎหมาย ยื่นข้อเรียกร้องขอมีสิทธิเป็นภูมิบุตรา เพราะอยู่
อาศยั ในแผน่ ดนิ นมี้ ากว่า ๕๐๐ ปีแล้ว ขอสร้างพระพทุ ธรปู ขนาดใหญ่เพ่อื ให้เป็นท่ีสักการะของชาวพุทธทั่วโลก
ขอให้รับรองกลุ่มชาติพันธ์ุ ชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐได้ ขอให้ประกาศ
วัฒนธรรมไทยเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมแห่งชาติ และขอให้วันสงกรานต์เป็นวันหยุดราชการ ขอสิทธิใ น
กองทุนช่วยเหลือทางการศึกษาและประกอบธุรกิจ รวมทั้งขอสิทธิในการเป็นสมาชิกพรรคอัมโน ซึ่งเป็นพรรค
การเมืองทผี่ ูกขาดการปกครองประเทศ แม้จะขอไปมาก รัฐบาลมาเลเซียก็ตอบมาด้วยความเห็นใจ แม้จะไม่ได้
สถานภาพเปน็ ภูมบิ ุตรา แต่ก็ใหส้ ิทธเิ ป็นเจา้ ของที่ดนิ ได้ รวมทั้งสิทธ์ิต่างๆในด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม
มากกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อ่ืน ประกาศให้วัฒนธรรมการเล่นกลองยาว การฟ้อนราไทย ประเพณีสงกรานต์ เป็น
วัฒนธรรมของชาติ ให้สิทธิในกองทุนต่างๆเท่าเทียมกันทุกประการ ทั้งสงวนสิทธิตาแหน่งในสภานิติบัญญัติไว้
สาหรับคนมาเลเซียเชื้อสายไทยไว้ ๑ ที่น่ัง การขอมีสิทธิในการกู้ยืมกองทุนช่วยเหลือด้านการศึกษาและด้าน
การประกอบทางธุรกจิ รฐั บาลมาเลเซียไดใ้ ห้สทิ ธิการขอทุนทง้ั การศึกษาอย่างเช่น ทุน MARA ซ่ึงเป็นทุนพิเศษ
สาหรบั ชาวมลายูและทนุ การประประกอบทางธรุ กิจอย่าง เชน่ ASB และ ASN ซึ่งเป็นกองทุนทางธุรกิจสาหรับ
ชาวมลายูและพลเมืองแห่งชาตแิ กช่ าวพุทธเชื้อสายไทยเท่ากับชาวมลายูในมาเลเซียทุกประการ และยังให้สร้าง
พระพุทธรูปใหญ่ได้ในเมืองอิสลาม ซึ่งคนเชื้อสายไทยก็ได้สร้างข้ึนที่วัดมัชชิมารามในรัฐกลันตัน เป็น
พระพุทธรปู ประทบั บนดอกบวั สูง ๓๐ เมตร กว้าง ๔๗ เมตร ได้รับพระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระ
บรมชนกาธิเบศรภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ว่า “พระพุทธบารมีธรรมจารัสโลก” เป็น
พระพุทธรูปใหญ่อันดับ ๒ ของโลกรองจากญ่ีปุ่น ซ่ึงองค์การท่องเท่ียวของมาเลเซียก็ประกาศให้เป็นสถานท่ี
ท่องเท่ียวที่สาคัญแห่งหน่ึง ซึ่งประดิษฐานอยู่ท่ีวัดมัชฌิมาราม หมู่บ้านตือรือโบะ (Tereboh) อาเภอตุมปัต
(Tumpat) รัฐกลันตัน (Kelantan) ผู้ที่เดินทางเข้าประเทศมาเลเซียจากฝั่งอาเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส
จะพบเห็นพระพุทธรูปดังกล่าวทางด้านซ้ายมือห่างจาก “เปิงกาลันกุโบร์” (Pengkalan Kubor) ริมฝ่ังแม่น้า
ตรงกันขา้ มอาเภอตากใบ 5 – 8 กิโลเมตร)
วิถีชีวิต1 ในชีวิตประจาวันชาวไทยส่วนมาก ทานา ทาสวนยางพารา และพูดภาษาไทยถิ่นใต้สาเนียง
ถนิ่ ของไทรบรุ ี ท่ใี กลเ้ คยี งสาเนียงนครศรีธรรมราชและสงขลา ถ้าสมาคมกับชาวจีนซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยด้วยกัน
ก็จะใช้ภาษาฮกเกี้ยนและภาษาจีน ถ้าสมาคมกับชาวมาเลเซียจะใช้ภาษามลายู ชาวไทยเรียนหนังสือไทยจาก
วัด ส่วนใหญ่มีพระภิกษุหรือคนไทยอาสาสมัครเป็นผู้สอนพอให้อ่านและเขียนภาษาไทยได้ ปัจจุบันพ่อแม่
เด็กไทยไมน่ ิยมสง่ ลกู หลานให้เรียนภาษาไทย เพราะผู้เรียนภาษาไทยไม่มีสิทธ์เรียนต่อชั้นสูงในโรงเรียนรัฐบาล
รัฐบาลมาเลเซยี ไมอ่ นุญาตให้เปิดการเรียนการสอนภาษาไทย ภาษา ระบบเสียง คา ความหมายของคาบางคา
และลักษณะการเรียงคาของประโยคในภาษาถิ่นที่ใช้ในปัจจุบัน ในรัฐกลันตัน ไทรบุรีและปะลิส ในประเทศ
๔
มาเลเซีย (ภาษาถิ่นในรัฐกลันตัน ไทรบุรีและปะลิสกับภาษากรุงเทพฯ และภาษาถิ่นท่ีวิจัยแต่ละถ่ินที่พูดใน
มาเลเซียกับภาษาไทยถ่ินใต้ท่ีพูดในเมืองไทย) พบว่า ภาษาถิ่น 3 ถิ่นนี้มีทั้งลักษณะท่ีคล้ายคลึงกันและต่างกัน
โดยเฉพาะภาษาไทยไทรบุรีกับปะลิสคล้ายคลึงกันมากเกือบทุกด้าน แต่แตกต่างจากภาษาไทยกลันตันอย่าง
เห็นไดช้ ดั และท้งั 3 ภาษาน้ีจะแตกต่างจากภาษากรุงเทพฯ แต่จะคล้ายคลึงกับภาษาไทยถ่ินใต้ สามารถจะจัด
ให้ภาษาไทยกลันตันอยู่กลุ่มเดียวกับภาษาไทยถ่ินใต้กลุ่มตากใบ ส่วนภาษาไทยไทรบุรีและปะลิสอยู่กลุ่ม
เดียวกับภาษาไทยถิ่นใต้กลุ่มนครศรีธรรมราชและสงขลา ภาษาไทยในกลันตัน มีคาเรียกสิ่งของต่าง ๆ ยังเป็น
คาราชาศพั ทอ์ ยู่ เชน่ หมวกเรียกมาลา กางเกงเรียกสนับเพลา รองเท้าเรียกบาท เป็นต้น และลักษณะการเรียง
ประโยคต่างจากกรุงเทพฯ เช่น ออกเสียงว่า อะ-ไร-ช่ือ แปลว่า ช่ืออะไร มีการสันนิษฐานว่า ภาษาไทยใน
กลันตัน มีการผสมความเป็นปักต์ใต้เข้ากับสุโขทัย เชียงใหม่และสุพรรณบุรี เพราะใน ประวัติศาสตร์
สมัยรัชกาลท่ี 2 ดินแดนแถบน้ีแข็งเมือง จึงต้องส่งกองทัพมาปราบและได้กวาดต้อนคนในรัฐกลันตันไปไว้ท่ี
กรุงเทพฯ เพชรบุรี และเชียงใหม่ แล้วนาพาคนในพ้ืนท่ีมาไว้ท่ีรัฐกลันตัน จึงทาให้สาเนียงภาษาในพื้นที่มี
ลักษณะท่ีแปลกแตกต่างออกไป วัฒนธรรม ชาวไทยที่อาศัยในประเทศมาเลเซียส่วนใหญ่จะนับถือ
พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทแบบเดียวกับไทย แม้ว่าในวัดไทยบางแห่งจะมีเทพเจ้าจีนที่ผู้มีศรัทธาชาวจีนมา
ประดิษฐานไว้ก็ตาม แต่คนไทยที่ไทรบุรีจะเช่ือในเรื่องส่ิงเหนือธรรมชาติและอานาจไสยศาสตร์เร้นลับ
ผสมผสานกับความเชื่อทางพุทธศาสนา และฮินดูสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะของคนไทย ชาวมาเลเซีย
ท่ีเป็นชนกลุ่มใหญ่มักเกรงกลัวชาวไทยซ่ึงเป็นชนกลุ่มน้อย เพราะคิดว่าชาวไทยมีคาถาอาคม สามารถดล
บันดาลส่ิงต่างๆ ได้อย่างน่ามหัศจรรย์ เช่น มีพิธีกรรมรับ-ส่งเทวดา (เทียมดา) พิธีกรรมในงานศพ ดนตรี
กาหลอ พิธีกรรมโนราโรงครู ในช่วงเดือนเมษายนของทุก ๆ ปี คนไทยในมาเลเซียจะนัดหมายกันพาลูกหลาน
ท่ีมอี ายุครบบวชมาบวชเป็นพระภิกษุท่ีวัดพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช ซึ่งแต่ละปีจะมีมาบวชกันหลายสิบรูป
และมีญาติพี่น้องยกขบวนกันมาร่วมงาน มาแสวงบุญนมัสการพระมหาธาตุ ซ่ึงชาวไทยในมาเลเซียมีความ
เคารพศรัทธาและความผูกพันกับพระบรมธาตุท่ีนครศรีธรรมราชมาช้านานหลายชั่วอายุคนแล้ว ซึ่งในอดีต
อันยาวนานนับตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 17-18 เมืองนครศรีธรรมราชหรือตามพรลิงก์ เป็นแคว้นใหญ่
ท่ีเจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่นเป็นเมืองศูนย์กลางในแหลมมลายูมีเมืองบริวารถึง 12 เมืองเรียกว่าเมือง 12
นักษัตร และไทรบุรีหรือเกอดะฮ์แห่งนี้ก็เป็นหน่ึงใน 12 เมืองบริวาร โดยถือตรงมะโรงหรืองูใหญ่เป็นตรา
สัญลักษณ์ ประกอบกับทั้งเมืองนครศรีธรรมราชท่ีตั้งอยู่ริมฝั่งอ่าวไทย ในขณะท่ีรัฐไทรบุรีเป็นเมืองที่ต้ังอยู่ริม
ฝง่ั มหาสมทุ รอินเดยี จึงเป็นเสน้ ทางค้าขายที่สาคัญตอ่ กัน ผ้คู นพลเมืองเดนิ ทางไปมาหาสู่กันเหมือนบ้านพี่เมือง
น้องจนมีคากล่าวท่ีติดปากกันสืบมาว่า “กินเมืองคอน นอนเมืองไทร” อันเป็นคากล่าวท่ีแสดงถึงความผูกพัน
ระหว่างสองเมืองได้เป็นอย่างดีย่ิง และความผูกพันเช่นนี้ก็ยังสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน บรรยากาศของความ
เคารพความศรัทธาของชาวไทยในมาเลเซียที่มีต่อพระบรมธาตุ คนไทยในไทรบุรีมีคติความเชื่อสืบต่อกันมา
แต่คร้ังโบราณว่า หากใครได้มีโอกาสเดินทางมานมัสการพระบรมธาตุท่ีนครศรีธรรมราชแล้ว ก็จะได้บุญกุศล
มากมายยงิ่ เพราะได้มาถึงศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาที่เจริญรุ่งเรืองมาแต่อดีต อีกท้ังยังเป็นการเดินทางที่
ยาวไกลและสมบกุ สมบันทุรกนั ดารย่งิ นัก
๕
ชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยในกลันตันมีอยู่มากเป็นอันดับสองรองจากรัฐเคดาห์หรือไทรบุรี 3
นอกจากน้ียังมีอยู่บ้างประปรายท่ีรัฐตรังกานูและปะลิส ไทรบุรีหรือเคดาห์อยู่ทางฝ่ังตะวันตกทางอันดามัน
ส่วนกลันตันและตรังกานูอยู่ทางฝั่งตะวันออกติดทะเลจีนใต้ รัฐเหล่าน้ีเคยอยู่ในอารักขาของสยามและ
ส่งบุหงามาศต่อกรุงศรีอยุธยาและกรุงเทพฯ ชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยท่ีนับถือพุทธศาสนาเฉพาะในกลันตัน
มีท้ังคนเชื้อสายไทยท่ีเป็นชุมชนอยู่มากมายใน ๗ อาเภอ ได้แก่ อาเภอตุมปัต มีคนไทยอยู่มากที่สุดที่
(๑) ตาบลใย อยู่ท่ีบ้านยุงเกา บ้านปลักยาว ปลักเคล้าบ้านเก่า บ้านโคกแนะ บ้านนกฮูก บ้านตีนเป็ด
บ้านหัวสะพาน บ้านทุ่งทวน บ้านโคกกลาง บ้านเมืองไพร บ้านยูโร๊ะบ้านเบอสุต บ้านรัก บ้านใกล้
วัดบ้านทุ่งศาลา บ้านใหม่หัวนอน บ้านใหม่ใต้ตีน บ้านบันหยัง บ้านยะหลง บ้านยามู บ้านทุ่ง
(๒) ตาบลเปิงกาลันกูโบร์ คือ บ้านบางตะวา บ้านปลักเคล้า (๓) ตาบลตือรือโบ๊ะ คือ บ้านบ่อเหม็ด บ้านลาจิ
บ้านโคกเภา (๔) ตาบลบาราคัน บ้านใน บ้านตราด บ้านเขาดิน (๕) ตาบลจาบังเอมปัต คือบ้านโคกสยา
บา้ นทรายขาว บ้านบอื ใย (๖) ตาบลวากัฟบารู หรือตาบลศาลาใหม่ คือ บ้านคูลิม บ้านบังกลับ บ้านกุตัง บ้าน
ตลาดคลองน้า อาเภอปะแสรม์ าส อยใู่ น ๕ ตาบล คือ บา้ นบางแซะ บ้านโคกกอ บ้านตะโหน่ง บ้านกะเล่า และ
มคี นไทยอย่ทู ต่ี ลาดปะแสรม์ าสในย่านธุรกิจดว้ ยและเขตท่ีตดิ กับสุไหงโกลก มีบา้ นคง บา้ นพร้าว และบ้านม่วง
อาเภอตะเนาะแมเราะ อยู่ท่ีบ้านท่าซ้อง มูริง ปลาซิว เกาะตะเภาตลาดบ้านป้อง อาเภอปะแสร์ปูเต๊ะ อยู่ริม
ทะเลมีเศรษฐกจิ ดี มคี นไทยอยู่ทบี่ า้ นเสมอรัก บ้านโตะหมอทอง บ้านบูกิตโยง อาเภอบาเจาะ อยู่ท่ีบ้านมาลัย
ปลักนอนบ้านกลาง บ้านยาว บ้านบ่ออิฐ อาเภอโกตาบารู ซึ่งเป็นเมืองหลวง อยู่ท่ีบ้านอาเร อาเภอมาจัง
อยู่ท่ีบ้านบางเสียว บ้านบาตูบาลา และ นิพนธ์ ทิพย์ศรีนิมิต ผู้ทาวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก มหาวิทยาลัย
ทักษิณ เรื่องเกี่ยวอัตลักษณ์ของคนไทยสยามในมาเลเซีย “คนไทยในรัฐกลันตันแม้จะมีความพยายามธารงไว้
ซ่ึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมทางพุทธศาสนา แต่โลกในยุคการเปล่ียนแปลงจึงเป็นส่วนท่ีทาให้อัตลักษณ์
บางอย่างสูญสลายและมีการเปล่ียนแปลง รวมท้ังมีการสร้างอัตลักษณ์ข้ึนมาใหม่ บนฐานความคิดและความ
เช่ือที่ว่า คนกลุ่มน้อยต้องยอมรับวัฒนธรรมของคนกลุ่มใหญ่ต้องเรียนรู้วัฒนธรรมของคนกลุ่มใหญ่ แต่ท้ังนี้
จะต้องไมล่ ืมอตั ลักษณข์ องตนเอง”
นับตั้งแต่คืนวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ.1957/พ.ศ.2500 (ถึง พ.ศ. 2565 เป็นเวลา 65 ปี) ฝูงชน
รวมตัวกันท่ีสนาม Royal Selangor club ในกัวลาลัมเปอร์5 เพื่อเป็นสักขีพยานการรับมอบอานาจจาก
อังกฤษ ไม่เพียงแต่เป็นการประกาศถึงความเป็นอิสระของสหพันธรัฐมาลายาจากการปกครองอาณานิคมของ
อังกฤษเท่าน้ัน แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างประเทศ Malaysia หมายถึง การรวมตัวของรัฐต่างๆ เป็น
หุ้นส่วนในการสร้างประเทศใหม่ขึ้นมาในนาม สหพันธรัฐมาเลเซีย (Federation of Malaysia) เมือง Kuala
Lumpur เมืองหลวงและศูนย์กลางการปกครองของประเทศมาเลเซีย ซึ่งอยู่ในดินแดนของรัฐ Selangor
ถูกซ้ือโดยรัฐบาลกลางมาเลเซีย ประกาศเป็นเขต Wilayah Perseketuan แปลว่า Federal Area หมายถึง
พ้ืนท่ีของรัฐบาลกลางมาเลเซีย ซึ่งเป็นพื้นท่ีกลางของทุกๆ รัฐที่ร่วมเป็นหุ้นส่วนในการก่อตั้งประเทศมาเลเซีย
ถึงแม้ว่าจะต้ังอยู่ใจกลางรัฐ Selangor วีรบุรุษหรือบุคคลสาคัญของมาเลเซีย คือ “ตนกูอับดุลเราะห์มาน”
“ดาโต๊ะ ฮุสเซน ออน” หรือแม้กระท่ัง ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด เม่ือถามถึงวีรบุรุษที่มีตัวตนในประวัติศาสตร์
๖
มลายูและรู้จักกันอย่างแพร่หลายใน โลกมลายู เช่น Hang Tuah คาตอบท่ีได้รับคือ Hang Tuah เป็น
วีรบุรุษของมลายูและเป็นวีรบุรุษของมะละกาไม่ใช่วีรบุรุษของชาติมาเลเซีย ภาษาและวัฒนธรรม คนในรัฐ
ต่างๆ เช่น Kelantan, Terengganu, Kedah, Negeri Sembilan, Johor ต่างก็มีสาเนียงภาษาและ
ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แต่จะปรับเปลี่ยน Mode เป็น Bahasa (หมายถึง ภาษามลายู
สาเนียงกลาง) หรือภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็วและไม่สับสน เม่ือพูดกับคนในรัฐอื่น ส่วนคนมาเลเซียเช้ือสาย
จีนและอินเดียหรอื คนต่างชาติ จะพูดภาษาถิ่นเฉพาะกบั คนในรัฐเดียวกับตนเท่านั้น การปกครอง แต่ละรัฐต่าง
ก็มกี ฎหมายเฉพาะของรฐั นอกเหนือจากกฎหมายกลางของประเทศ สลุ ต่านของรฐั ตา่ งๆ มีความสาคัญเฉพาะ
ในรัฐของตนองเท่าน้ันและภารกิจต่างๆ ในราชพิธีท่ีเกี่ยวข้องกับสุลต่านท่ีจะต้องปฏิบัติในนามประเทศ
มาเลเซีย จะถูกปฏิบัติผ่าน Agong ซึ่งเป็นประมุขของบรรดาสุลต่านที่ผ่านการคัดเลือกจากมติของบรรดา
สลุ ต่าน โดยดารงอยใู่ นวาระ 4ปี (สุลต่านประจารัฐจะอยู่ในวาระตลอดพระชนม์ชีพและสืบทอดโดยทายาทใน
สายตระกูลสุลต่าน) วันหยุดในประเทศมาเลเซีย จะถูกแยกออกเป็นวันสาคัญของชาติ ซึ่งเป็นวันหยุดของ
ท้ังประเทศ เช่น วันประกาศเอกราช ต่างจากวันสาคัญของรัฐ เช่น วันประสูติของสุลต่านก็จะประกาศเป็น
วันหยุดเฉพาะรัฐนั้นๆ ส่วนวันสาคัญทางศาสนา ไม่ว่าจะเป็นวัน Aidil Fitri และ Aidil Adha ของชาวมุสลิม
Depawali ของชาวฮินดู และ Kongsi Fachai หรือ ตรุษจีนของชาวจีน ต่างก็เป็นวันหยุดของชาติที่มีจานวน
วันหยุดเท่าเทียมกันทั่วประเทศ สิ่งต่างในประเทศมาเลเซีย ตัวอย่างข้างต้นช้ีให้เห็นว่า “นับตั้งแต่มีการ
ประกาศเอกราชมา รฐั บาลมาเลเซียมีความพยายามตลอดมาในการสร้างสานึกของความเป็นชาติมาเลเซียและ
ประสบความสาเร็จอย่างย่ิงในการก้าวพ้นสานึกของแต่ละรัฐ ซึ่งเคยเป็นรัฐอิสระท่ีไม่ข้ึนต่อกันมาก่อน
ไปสู่สานึกรวมของการเป็นชาติมาเลเซียร่วมกันพัฒนานาพาชาติมาเลเซียไปสู่การแข่งขันระดับสากล โดยที่
แต่รัฐบาลชาติมาเลเซียไม่เคยท่ีจะมีนโยบายใดๆ ในการกลืนหรือลบล้างประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียมและ
วฒั นธรรมของรัฐด้ังเดิมเหลา่ นนั้ ”
ประเทศไทย นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่การ
ปกครองระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เม่ือวันท่ี 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 (ถึง พ.ศ.
2565 เป็นเวลา 90 ปี) และการสละราชสมบัติของสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เม่ือวันท่ี 2 มีนาคม พ.ศ.
2477 รวมทั้งการเปลี่ยนชื่อจากประเทศสยาม มาเป็น “ประเทศไทย” เม่ือวันท่ี 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482
นับได้ว่าเป็นการตกลงท่ีจะยุติบทบาทการเป็นประเทศสยาม เปลี่ยนมาเป็นประเทศใหม่ในนาม “ประเทศ
ไทย” อันหมายความว่า เป็นการรวมตัวของคนเชื้อชาติต่างๆ ในอาณาเขตของประเทศ มาร่วมหุ้นเพื่อสร้าง
ประเทศชาติสมัยใหมท่ ม่ี ีนามว่า “ประเทศไทย” ตลอดระยะเวลาที่รัฐชาติไทยใช้ชื่อว่า “ประเทศไทย” รัฐไทย
ไม่เคยมีพัฒนาการในการสานึกถึงความเป็น “ชาติไทย” ได้อย่างแท้จริง ซ้าร้ายรัฐชาติไทยกลับสลัดสานึก
ความเป็น “ชาติสยาม อยุธยา–รัตนโกสินทร์” ไม่พ้น ในเรื่องน้ี คงต้องยกเครดิตให้กระทรวงศึกษาธิการของ
ประเทศไทยท่ีสามารถสร้างสานึกความเป็น “ชาติสยาม อยุธยา–รัตนโกสินทร์” ในประเทศไทยอย่างได้ผล
จนเกอื บค่อนประเทศ ยกเว้น ในดินแดนที่เคยเป็นรัฐปาตานีเท่าน้ันที่การยัดเยียดสานึกความเป็น “ชาติสยาม
อยุธยา–รัตนโกสินทร์” ไม่เคยประสบความสาเร็จ หรืออาจกล่าวได้ว่า “ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง” การเปลี่ยน
๗
“สยามประเทศ” มาเป็นประเทศไทย ควรเป็นการรวมคน เช้ือชาติและรัฐประเทศราชต่างๆ ในประเทศ
มาร่วมกันสร้างสานึกใหม่ ในนามสานึกของ “ชาติไทย” ซึ่งเป็นชาติใหม่ เพ่ือร่วมกันนาพา “ประเทศไทย”
ไปสกู่ ารพฒั นาและแข่งขันกบั ประเทศอื่นๆ ไดอ้ ย่างผาสุก เหมือนเช่นท่ีประเทศมาเลเซียสามารถก้าวพ้นสานึก
ของรัฐไปสู่สานึกของประเทศได้อย่างปราศจากอุปสรรค เหตุใดท่ีการยัดเยียดสานึกความเป็น “ชาติสยาม
อยุธยา–รัตนโกสินทร์” ไม่เคยประสบความสาเร็จในดินแดนรัฐมลายูปาตานี เพราะอาณาจักรสยาม อยุธยา
ธนบุรีและรัตนโกสินทร์กับรัฐปาตานี มีสถานะท่ีเป็นเจ้าประเทศราชและเมืองประเทศราชมาก่อน ซ่ึงเป็น
ความสัมพันธ์ในสถานะท่ีมีความต่างกันในศักด์ิศรี มีสถานะที่เป็นนายและเชลย รวมทั้งความต่างจากพื้นที่
ท่ีเคยเป็นประเทศราชของสยาม ในด้านเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา วัฒนธรรมและวิถีชีวิต นโยบายที่สร้างสานึก
ของความเป็น “ชาตสิ ยาม อยธุ ยา–รัตนโกสนิ ทร์” ยง่ิ ทวคี วามรนุ แรงเทา่ ใด คนมลายูปาตานีก็จะย่ิงสร้างสานึก
ของ “รัฐปาตานี” อย่างเขม้ ขน้ เทา่ นั้น เพื่อเป็นการตอบโต้และรักษาไว้ซึ่งอัตตลักษณ์ของตน จนนาไปสู้ปัญหา
ความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงและกระจายไปในวงกว้างในท่ีสุด ไส้ในของสานึก “ชาติสยาม อยุธยา–
รัตนโกสนิ ทร์” ท่ีถูกห่อหุ้มด้วยและโฆษณาชวนเชื่อว่าเป็น “สานึกประเทศไทย” ท่ีเห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดคือ
เร่ืองวีรบุรุษของชาติไทย ซ่ึงในแบบเรียนที่มีมาแต่เดิมจนถึงปัจจุบันก็มีการเชิดชูวีรกรรมของพระมหากษัตริย์
อยุธยา มาเป็นวีรบุรุษของชาติไทย ยัดเยียดให้กลุ่มเมืองประเทศราชเดิมให้นับถือและเชิดชู เป็นเรื่อง
ผิดธรรมชาติท่ีคนในกลุ่มเหล่านี้ ซึ่งเป็นคู่กรณีในความขัดแย้งแต่เดิม จะหันไปยอมรับคู่ขัดแย้งฝ่ายตรงข้ามได้
อย่างสนิทใจ จริงอยู่ที่บุคคลเหล่านั้นเป็นผู้ที่มีพระปรีชาสามารถในด้านต่างๆ ท่ีควรยกย่องเชิดชูอย่างไม่มี
ข้อสงสยั แต่ควรยกยอ่ งเชดิ ชูจากัดเฉพาะพื้นที่ท่ีบุคคลเหล่าน้ัน มีคุณูปการหาใช่ท้ัง “ประเทศไทย” เช่น กรณี
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์ทรงเป็นผู้ที่มีพระปรีชาสามารถสูงยิ่งในหลายๆ ด้าน และทรงมีบุญคุณ
ท่พี ลเมืองของ “เมอื งอยธุ ยา” ต้องสานึก เพราะวีรกรรมการกอบกู้เอกราชจาก “หงสาวดี” แต่เร่ืองนี้ไม่ได้เป็น
บุญคุณท่ี “เมืองปาตานี” หรือ “เมืองเชียงใหม่” ต้องสานึก เพราะคือการเปลี่ยนสถานะจากการเป็นเมืองข้ึน
ของหงสาวดีมาสู่การเป็นเมืองข้ึนของเมืองอยุธยา ซึ่งอยู่ในสถานะของเมืองประเทศราชอยู่ดี (หาได้เป็น
เอกราชไม)่ ต่างกับกรณขี องพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรี (ท่ีนับเฉพาะ) ต้ังแต่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า
เจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ของ “ประเทศไทย” เพราะส่ิงท่ีพระองค์ทรงกระทาน้ัน เป็นสิ่งที่พลเมือง
ของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น “ปาตานี” หรือ “เชียงใหม่” ต่างก็ได้รับประโยชน์ท้ังสิ้น เช่น ในกรณีท่ี
พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หวั สละพระราชอานาจของพระองค์ไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย
ทั้งประเทศ และพระราชกรณียกิจของพระเจ้าอยู่หัวท่ีคานึงถึงผลประโยชน์และความผาสุกของพลเมือง
ท้ังหมดใน “ประเทศไทย” สานึกของข้าราชการใน “ประเทศไทย” โดยเฉพาะสานึกเบื้องลึกของข้าราชการ
เป็นสานึกของข้าราชการ “ชาติสยาม อยุธยา–รัตนโกสินทร์” หรือ สานึกของข้าราชการ “ชาติไทย” อย่าง
แท้จริง ถ้าเป็นสานึกของข้าราชการ “ชาติสยาม อยุธยา–รัตนโกสินทร์” ในครรลอง “ชาติไทย” ก็เป็นส่ิงท่ี
สมควรแล้วท่ีการแก้ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จะเป็นไปด้วยความรุนแรง แบบ
“ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” และไม่จาเป็นต้องมีความปรานี เพราะ ”ปาตานี” คือ เมืองประเทศราช เป็นปรปักษ์
เป็นศัตรูและเป็นขบถ แต่ถ้าเป็นสานึกของข้าราชการ “ชาติไทย” อย่างแท้จริงแล้ว ก็ย่อมดาเนินนโยบาย
ที่เป็นธรรมและมีความเมตตาปรานี เพราะ “คนปาตานี” ได้เปล่ียนจากคนในเมืองประเทศราช หรือคนใน
๘
เมืองที่ถูกผนวกเป็นส่วนหน่ึงของราชอาณาจักรไทย กลายเป็น “เพื่อนร่วมชาติไทย” นับต้ังแต่ พ.ศ. 2475
ซึ่งมีการเปล่ียนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ย์มาสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์เปน็ ประมุขและการสละราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมทั้งการ
เปล่ียนชื่อจากประเทศสยามมาเป็น “ประเทศไทย”
“คนมาเลย์เช้อื สายสยาม” “คนไทยเช้ือสายมลายู” สิ่งที่เหมอื นและแตกตา่ งกัน ผู้เกี่ยวข้องควรมีการ
ทบทวน “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง” แล้วนาพาก้าวข้าม หรือพ้นมายาคติข้างต้นโดยพลัน หรือเพียงการเปิด
เพลงปลุกใจ เพลงรักชาติ ทุกเช้าค่า ดังเช่น “เพลงตื่นเถิดชาวไทย” “เพลงบ้านเกิดเมืองนอน” “เพลง
ต้นตระกูลไทย” แล้วจะไปสู่สานึกรวมของการเป็นชาติไทย ร่วมกันพัฒนานาพาชาติไทยไปสู่การแข่งขันระดับ
สากลไดฤ้ า
อ้างอิง
1 วิกิพเี ดยี สารานกุ รมเสรี. 2564. ชาวมาเลเซียเชอื้ สายไทย. เข้าถึงข้อมลู ได้จาก https://th.wikipedia.
Org/wiki/ วันทีส่ ืบคน้ ขอ้ มลู 23 มกราคม 2565.
๒ Hatyai Focus. 2560. อดตี และปจั จบุ นั ...ชาวสยามในมาเลเซีย. เขา้ ถงึ ข้อมลู ไดจ้ าก https://www.
hatyaifocus.com/ วันทส่ี บื ค้นขอ้ มลู 23 มกราคม 2565.
3 วลัยลกั ษณ์ ทรงศริ .ิ 2561. มาเลเซียเช้อื สายไทยในตุมปตั . เข้าถงึ ขอ้ มูลไดจ้ ากมลู นธิ ิเล็ก-ประไพ
วิรยิ ะพันธุ์ https://lek-prapai.org/home/slide.php?id=42 วนั ทส่ี บื คน้ ข้อมูล 23 มกราคม 2565.
4 โรม บนุ นาค. 2535. เมื่อคนไทยกลายเป็น “ชนกลมุ่ น้อย” ในแผ่นดนิ ท่อี ยู่มากว่า ๕๐๐ ปี! ต้องร้องขอ
สทิ ธเิ ท่าเทียมเป็นพลเมอื ง!! เขา้ ถงึ ข้อมลู ได้จาก https://mgronline.com/onlinesection/detail/
9650000002747 วนั ทส่ี ืบคน้ ขอ้ มูล 23 มกราคม 2565.
5 Najib Bin Ahmad. 2555. อันเนอ่ื งมาจาก 31 August “Hari Merdeka” สานกึ การสร้างชาติ Malaysia
ในรัฐมลายูและสานกึ สยามในรฐั ชาติไทย. เข้าถงึ ข้อมลู ได้จากมูลนิธิเลก็ -ประไพ วิรยิ ะพนั ธุ์
https://www.lek-prapai.org/home/view.php?id=881 วนั ที่สืบค้นขอ้ มูล 23 มกราคม 2565.