General Chemistry
พนั ธะเคมี
(Chemical Bonding)
สาขาวชิ าเคมี คณะศิลปศาสตร์และวทิ ยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตกาํ แพงแสน
เนือ้ หาหลักในบทเรียน
พนั ธะเคมชี นิดตา่ ง ๆ
ปริมาณท่ีเกี่ยวข้องกบั พนั ธะและโครงสร้าง
• พลงั งานของพนั ธะเคมีและความร้อนของการเกิดปฏกิ ิริยา
• ความยาวพนั ธะมมุ พนั ธะ
• สภาพขวั้ ของพนั ธะ
ทฤษฎีท่ีใช้อธิบายพนั ธะโควาเลนต์
• โครงสร้างของลวิ อสิ (Lewis Structure)และทฤษฎี VSEPR
• ทฤษฎีโมเลกลู า่ ร์ออร์บทิ ลั (Molecular Orbtial Theory; MO)
• ทฤษฎีพนั ธะวาเลนซ์ (Valence Bond Theory; VB)
ทฤษฎีท่ีใช้ในการอธิบายพนั ธะโลหะ
แรงระหวา่ งพนั ธะ
2
พนั ธะเคมี (Chemical Bonding)
พนั ธะเคมี คอื แรงดงึ ดดู ที่ยดึ อะตอมเข้าด้วยกนั เป็นโมเลกลุ
(An attractive force that holds atoms together to form molecules)
• การสร้างพนั ธะเป็ นกระบวนการคายพลงั งาน
(ทําให้อะตอมมีความเสถียรเพิ่มขนึ ้ )
• การทําลายพนั ธะเป็ นกระบวนการดดู พลงั งาน
พนั ธะเคมีแบง่ ออกเป็ นประเภทหลกั ๆ ดงั นี ้
1.พนั ธะไอออนิก (Ionic Bond)
2.พนั ธะโควาเลนต์ (Covalent Bond)
3.พนั ธะโลหะ (Metallic Bond)
3
1. พนั ธะไอออนิก (Ionic bond)
พนั ธะไอออนิก คอื แรงยดึ เหนียวระหวา่ งไอออนบวกและ
ไอออนลบ เป็นพนั ธะที่เกิดขนึ ้ ระหวา่ งธาตทุ ี่มีคา่ EN ตา่ งกนั
มาก เป็นผลจากแรงดงึ ดดู ทางไฟฟ้ า (coulombic attraction)
• อะตอม EN ต่าํ : ให้อเิ ลก็ ตรอน → ไอออนบวก (โลหะ)
• อะตอม EN สูง: รับอเิ ลก็ ตรอน → ไอออนลบ (อโลหะ)
M+ (g) + X− (g) → MX(s) + lattice energy
4
2. พนั ธะโควาเลนต์ (Covalent Bond)
พนั ธะโควาเลนต์ คือแรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งธาตทุ ่มี ีคา่ EN
ใกล้เคียงกนั (และ EN มีคา่ มาก) อะตอมที่เกิดพนั ธะจะใช้
วาเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนร่วมกนั ในการเกิดพนั ธะทําให้เสถียรขนึ ้
• อะตอม EN สูง: ไมม่ ีอะตอมใดยอมเสยี อเิ ลก็ ตรอน
- --
-
- - + -
-
+ Shared -
electrons
-
5
3. พนั ธะโลหะ (Metallic Bond)
พนั ธะโลหะ คอื แรงท่ียดึ อะตอมโลหะไว้ด้วยกนั ในผลกึ (ระหวา่ ง
อะตอมท่ีมีคา่ EN ตํ่า)
• วาเลนซ์อิเลก็ ตรอนของโลหะเคล่อื นที่ไปในที่ตา่ ง ๆ ได้อยา่ งอสิ ระ
• อเิ ลก็ ตรอนอสิ ระทําหน้าท่ีดงึ ดดู นิวเคลยี สของอะตอมตา่ ง ๆเข้า
ด้วยกนั
- - +- - -
+- - - -+
--
- + - - - +- -+
- - - - - Sea of
อเิ ล็กตรอนอสิ ระ - - - -- + -- -
(วาเลนซ์อเิ ล็กตรอน) -+- - - electrons
+- - - +-
-+ -
- +- -
-
-- - --
- -+- -
- - - +- - - +-
- -
- +- +- - +
- -
เวเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนมาก พนั ธะแขง็ แรงมาก
6
พลังงานพนั ธะ (Bond Energy)
พลังงานพนั ธะ หรือ พลังงานสลายพนั ธะ (Bond dissociation
energy, D) คอื พลงั งานท่ีต้องใช้ในการสลายพนั ธะเคมีแตล่ ะ
พนั ธะในโมเลกลุ (มีคา่ เป็ นบวก) เชน่
พนั ธะเคมชี นHิด2เ(ดgยี) →วกนั 2ใHน(โgม)เลDก(ลุ Hท—่ีตา่Hง)ก=นั อ43า6จมkีคJ/า่ mพoลlงั งาน
สลายพนั ธะตา่ งกนั เช่น C-H
• CH4(g) → CH3(g) + H(g) DDDD((((HHHH----CCCC))))CCCCHHHH324====435363136895kkkkJJJJ//mm//mmoooollll
• CH3(g) → CH2(g) + H(g)
• CH2(g) → CH(g) + H(g)
• CH(g) → C(g) + H(g)
7
พลังงานพนั ธะเฉล่ีย (Average Bond Energy)
พลังงานพันธะเฉล่ีย เป็ นคา่ เฉล่ียของพลงั งานสลายพนั ธะ
สําหรับพนั ธะแตล่ ะชนิดในโมเลกลุ ตา่ ง ๆ (เป็ นคา่ โดยประมาณ)
8
ความร้อนของปฏกิ ริ ิยา (Heat of Reaction)
การเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี คือกระบวนการที่มีการทาํ ลายพนั ธะเดมิ
(สารตงั้ ต้น)และสร้างพนั ธะใหม่(สารผลิตภณั ฑ์)
ควทามี่เปรล้อี่ยนนขแอปงลปงไฏปกิ ใรินิยรูปาค(∆วาHมrxรn้อ)คนอืเมพื่อลเงักงิดาปนฏเอิกนิริทยาาลสปาี ขมอางรรถะหบาบ
ได้จาก
∑ ∑∆Hrxn = D − D
reactants products
พลขังองงาสนาพรันตธัง้ ตะ้รนวม พลังงานพันธะรวม
ของผลติ ภณั ฑ์
• ∆∆HHrrxxnn เป็ นลบ ปฏกิ ิริยาคายพลงั งาน
• เป็ นบวก ต้องใช้พลงั งานเพ่ือให้เกิดปฏกิ ิริยา (ดดู พลงั งาน)
9
การคาํ นวณหาค่าความร้อนของปฏกิ ริ ิยา
ตวั อย่าง จงหาพลงั งานท่ีเปลี่ยนแปลงของปฏิกิริยาตอ่ ไปนี ้
CH4(g) + Cl2(g) → CH3Cl (g) + HCl(g)
• ∑ D(พลงั งานพนั ธะสารตงั้ ต้น) = 4D(C-H) + D(Cl-Cl)
reactants (พลงั งานพนั ธะผลติ ภณั ฑ์ ) = D(C-Cl) + 3D(C-H) + D(Cl-H)
• ∑D
products
4D(C-H) + D(Cl-Cl) – [D(C-Cl) + 3D(C-H) + D(Cl-H)]
∆H ==rxn
(4×414 + 243) –(339 + 3×414 + 431) kJ/mol = –104 kJ/mol
ปฏิกิริยานีจ้ ะคายความร้อนออกมา 104 kJ/mol
10
ความยาวพนั ธะ (Bond Length)
ความยาวพนั ธะ คอื ระยะหา่ งระหวา่ งอะตอมคทู่ ่ี
สร้างพนั ธะ โดยเป็ นตําแหนง่ ที่อะตอมทงั้ สองดงึ ดดู
กนั ได้ดที ่ีสดุ มีพลงั งานตํา่ สดุ หรือมีเสถียรภาพที่สดุ
ความยาวของพนั ธะโควาเลนต์สมั พนั ธ์กบั
พลงั งานพนั ธะ
• ความยาวพนั ธะเดี่ยว > พนั ธะคู่ > พนั ธะสาม
• พลงั งานพนั ธะเดี่ยว < พนั ธะคู่ < พนั ธะสาม
Bond Bond
Length Energy
11
ความยาวพนั ธะเฉล่ียของโมเลกุลต่างๆ
12
มุมพนั ธะ
มุมพนั ธะ คอื มมุ ที่เกิดขนึ ้ เม่ือลาก 106.0°
เส้นผ่านพนั ธะ 2 พนั ธะมาตดั ท่ี 104.0°
นิวเคลียสของอะตอมกลาง
โมเลกลุ ท่ีมีสตู รเคมีคล้ายกนั มมุ พนั ธะอาจไมเ่ ทา่ กนั
• H2O = 104.5° • H2S = 92°
การทํานายโครงสร้างของโมเลกลุ เชน่ มมุ พนั ธะ จําเป็ นต้อง
อาศยั ข้อมลู เก่ียวกบั อเิ ลก็ ตรอนในโมเลกลุ
13
สภาพขัว้ ของพนั ธะ (Bond Polarity)
สภาพขัว้ ของพนั ธะ คือการอธิบายการกระจายตวั ของ
อเิ ลก็ ตรอนทใี่ ช้ในการสร้างพนั ธะระหวา่ งอะตอม
สภาพขวั้ ของพนั ธะโควาเลนต์ขนึ ้ อยกู่ บั คา่ EN ของอะตอมทงั้
สอง ถ้าคา่ EN ของอะตอมทงั้ สองตา่ งกนั การกระจายตวั ของ
อิเลก็ ตรอนในบริเวณระหวา่ งอะตอมทงั้ สองจะไมส่ ม่ําเสมอ ซง่ึ
จะเรียกวา่ พนั ธะโควาเลนต์แบบมีขวั้
Xδ+−Yδ- เม่ือ EN ของ Y > X
H +F H F
δ+ δ-
14
ทฤษฎที ่ใี ช้อธิบายพนั ธะโควาเลนต์
1. แบบจาํ ลองของลิวอสิ (Lewis Structure)
2. ทฤษฎีโมเลกุลาร์ออร์บทิ ัล (Molecular Orbital, MO)
3. ทฤษฎีพนั ธะวาเลนซ์ (Valence Bond, VB)
15
กฎออกเตท (Octet Rule)
กฎออกเตท อะตอมท่ีมีวาเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนครบแปด* (มีการ
จดั เรียงอเิ ลก็ ตรอนเหมือนแก๊สเฉื่อยในหมู่ 8A)จะมีความเสถียร
มาก โดยไม่สําคญั ว่าอิเล็กตรอนดงั กล่าวจะเป็นของอะตอมเองหรือ
ไดม้ ากจากการใชอ้ ิเล็กตรอนร่วมกบั อะตอมอืน่ (พนั ธะโควาเลนต์)
• ใช้ได้ดกี บั ธาตใุ น s และ p block
• ใช้ได้ดกี บั สารประกอบอนิ ทรีย์
• มีข้อยกเว้นมาก โดยเฉพาะกบั อะตอม BแลeะBHeแลจะะมAวี าlเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนครบสอง
* ตามกฎออกเตท H
Noble Gas (8A) valence e− < 8 valence e− = 8
16
1. แบบจาํ ลองของลิวอสิ (Lewis structure)
G.N. Lewis เสนอวา่ การสร้างพนั ธะโควาเลนต์ระหวา่ งอะตอมใน
โมเลกลุ จะเป็นไปตาม กฎออกเตต (Octet rule) คอื “อะตอมใด ๆ มี
แนวโน้มท่จี ะสร้างพันธะเพ่ือให้ตวั มันมีวาเลนซ์อเิ ล็กตรอนครบ
แปด” เพ่ือท่ีจะมีการจดั เรียงอเิ ลก็ ตรอนเหมือนแก๊สเฉ่ือยในหมู่ 8A)ซ่งึ
ทําให้ทงั้ โมเลกลุ มีความเสถียรมากท่ีสดุ
• สนใจเฉพาะวาเลนซ์อิเลก็ ตรอนของแตล่ ะอะตอม
• ใช้ได้ดีกบั ธาตใุ น s และ p block
Carbon Hydrogen CH4
17
โครงสร้างแบบจุดอเิ ล็กตรอน
การเขียนโครงสร้างลิวอิสหรือโครงสร้างแบบจดุ อิเลก็ ตรอน
(Lewis’s dot structure) เป็ นวธิ ีการเขียนเพ่ือแสดงวาเลนซ์
อิเลก็ ตรอนและการสร้างพนั ธะโควาเลนต์ระหวา่ งอะตอมใน
โมเลกลุ
โครงสร้างลิวอสิ ของอะตอม
• ใช้จดุ แทนวาเลนซ์อเิ ลก็ ตรอน
18
โครงสร้างลิวอสิ ของโมเลกุล
โครงสร้างลิวอสิ ของโมเลกลุ
• พนั ธะโควาเลนต์คอื การใช้อเิ ลก็ ตรอนร่วมกนั ของสองอะตอม
• หนง่ึ พนั ธะประกอบด้วยสองอเิ ลก็ ตรอน (2 shared electrons)
• แตล่ ะพนั ธะแทนด้วยจดุ 2 จดุ (:) หรือ หนงึ่ เส้น (−)
♦ อเิ ลก็ ตรอนที่ใช้ในการสร้างพนั ธะ เรียกวา่ bonding electron
♦ อเิ ลก็ ตรอนท่ีไมเ่ กี่ยวข้องกบั การสร้างพนั ธะเรียกวา่ non-bonding electron
H H
HCH
H−C−H
H
H
N N N≡N
19
การเขยี นโครงสร้างลวิ อสิ
1. กาํ หนดอะตอมกลาง(ต้องการ valence electron หลายตวั ) และการ
จดั เรียงอะตอมในโมเลกุล
2. น••ับไไจออาํ ออนออวนนนลบเบววก:เ:เลพลน่มิบซจจ์อาําํ นนเิ ลววน็กนอตอเิเิรลลอก็ก็ นตตรขรอออนนงเเทททุก่า่ากกอับับะจจตาําํ อนนมววนในนปปโรรมะะจจเลุลุบบกวขกุลอของไงอไอออออนน
3. เช่ือมอะตอมด้วยพนั ธะเด่ยี ว(ระหว่างอะตอมกลางกบั อะตอม
ปลาย) โดยใช้ 2 อเิ ล็กตรอนในการสร้างพนั ธะเด่ยี วแต่ละพันธะ
4. เตมิ วาเลนซ์อเิ ล็กตรอนให้กับอะตอมปลายให้ครบ8 (ยกเว้น H
เท่ากับ 2)
5. เตมิ อเิ ล็กตรอนท่เี หลือให้กับอะตอมกลาง (อาจมากกว่า 8)
6. ถ้าจาํ นวนวาเลนซ์อเิ ล็กตรอนท่อี ะตอมกลางไม่ครบ 8 ให้นํา
อเิ ล็กตรอนท่ไี ม่ร่วมพนั ธะ (unshared pair electron) ของอะตอม
รอบๆ มาสร้างพนั ธะค่หู รือพันธะสาม
7. จาํ นวนวาเลนซ์อเิ ล็กตรอนรวมต้องเท่ากับท่ไี ด้จากข้อ 1.
20
ตวั อย่าง โครงสร้างลวิ อสิ ของ NF3
1. อะตอมกลางคอื N
2. จาํ นวนเวเลนซ์อเิ ล็กตรอน = 5 + (7x3) = 26 อเิ ลก็ ตรอน
(จาํ นวนเวเลนซ์อเิ ล็กตรอนของ N = 5 F = 7)
3. เขียนพนั ธะเด่ยี วระหว่างอะตอมกลางกับอะตอมปลาย
FNF FNF
หรือ
4. เขียนอเิ ล็กตรอนFของอะตอมปลาFยให้ครบ 8
FNF
F
5. เอตเิ ลมิ ็กอตเิ ลร็กอตนร)อนท่เี หลือให้กับอะตอมกลาง (26-24 = 2
FNF หรือ F N F F N F
F F F
หรือ
21
ตวั อย่าง โครงสร้างลวิ อสิ ของ HCN
1. อะตอมกลางคอื C
2. จาํ นวนเวเลนซ์อเิ ล็กตรอนของ HCN 1 + 4 + 5 =10 อเิ ล็กตรอน
3. เขียนพันธะเด่ยี วระหว่างอะตอมกลางกับอะตอมท่มี ีพันธะ
HCN
4. เขียนอเิ ล็กตรอนของอะตอมปลาย ให้ครบ 8 (หรือ 2)
HCN
5. เตมิ อเิ ลก็ ตรอนท่เี หลือให้กับอะตอมกลาง (10-10 = 0)
ยังไม่เป็ นไปตามกฎออกเตท
6. นําอเิ ล็กตรอนท่ไี ม่ร่วมพนั ธะของอะตอมรอบๆ (N) มาสร้างพนั ธะ
คู่หรือพันธะสาม จนอะตอมกลางมีอเิ ล็กตรอนครบแปด
HCN H C N H−C≡N
22
ข้อยกเว้นของกฎออกเตต
1. โมเลกุลท่มี ีอเิ ล็กตรอนเป็ นเลขค่ี เช่น
NCOlO2 มีอเิ ล็กตรอนรวม เท่ากับ 19
• มีอเิ ล็กตรอนรวม เท่ากับ 11
•
2. โม•เNลOก2ุลท่อี มะตีอเิอลม็กกตลรอานงมรวีอมเิ ลเทก็ ่าตกรับอ1น7น้อยกว่า 8
3. โม••เBBลFeกH3 ุล2 ท่อี BBะeตมอมีอมีอเิ ลเิกล็กล็กตาตรงรอมอนีอนเทเิเทล่า่กาก็ กับตับร6อ6นมากกว่า 8
XSPFCeF4l54 มีอเิ ล็กตรอน เท่ากับ 10 F
• มีอเิ ล็กตรอน เท่ากับ 12 F S F
• มีอเิ ลก็ ตรอน เท่ากับ 10 F
•
23
ประจุฟอร์มาล (Formal charge)
ประจุฟอร์ มาล เป็ นความแตกต่างระหว่างจาํ นวนเวเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนของ
อะตอมเด่ยี วกับของอะตอมในโครงสร้างลวิ อสิ เป็ นการทาํ นายการสภาพ
ขัว้ ของโมเลกุลอย่างคร่าว ๆ
การคาํ นวณประจุฟอร์มาลของอะตอม
formal charge = Ve − Ne − 1 Be
2
• V เวเลนซ์อเิ ล็กตรอนของอะตอมเด่ยี ว
• N เวเลนซ์อเิ ล็กตรอนท่ไี ม่ได้สร้างพนั ธะ
• B เวเลนซ์อเิ ล็กตรอนทงั้ หมดท่สี ร้างพนั ธะรอบอะตอมนัน้
24
ตวั อย่าง จงหาประจุฟอร์มาลของแต่ละอะตอม
[IO3]– O−I−O
O
• I = 7 – 2 – ½ (6) = +2 −O1 −+I2−O−1
• O = 6 – 6 – ½ (2) = -1 O−1
ประจรุ วม = +2 – 1 – 1 – 1 = -1
[NH3CH2COO]– วธิ ีลัด ดจู ํานวนพนั ธะเปรียบเทียบกบั
HH O จํานวนพนั ธะที่ควรจะมีของแตล่ ะอะตอม
เชน่ N มีวาเลนซ์ 5 ควรมีพนั ธะ 3 พนั ธะ
H−+N−C−C ถ้ามีเกินจะเป็นบวก ถ้ามีไมค่ รบจะเป็นลบ
H H O-
25
เรโซแนนซ์ (Resonance)
ในบางโมเลกลุ หรือไอออน สามารถเขียนแบบจําลองของลวิ อสิ ได้
มากกวา่ 1 แบบ เช่น CO2 และ SO2
+1 -1 O=C=O -1 − C ≡ +1
O≡C−O O O
S+1 S+1
OOOO
-1 -1
เรียกปรากฏการณ์นีว้ า่ ปรากฏการณ์เรโซแนนซ์ โดยต้องมี
การจดั เรียงลําดบั ของอะตอมเหมือนกนั เสมอ ตา่ งกนั แตเ่ พียง
การกระจายอเิ ลก็ ตรอนในพนั ธะ
26
เรโซแนนซ์ (Resonance)
โครงสร้างลิวอิสของ O3
O +1 O+1
OO OO
-1 -1
จากการทดลองพบวา่ ความยาวพนั ธะระหวา่ ง O ทงั้ สองเทา่ กนั
แเรสียดกงววา่ า่ โโคมรเลงสกรลุ ้าOงเ3รโไซมแเ่ กนิดนพซนั์ (ธRะeทsoงั้ n2aแnบceบ แตเ่ กิดโครงสร้างที่
structure)
1.278 Å O 1.278 Å
OO
27
โครงสร้าง Lewis ท่เี ป็ นไปได้
หลกั ในการพิจารณาวา่ โครงสร้างใดเป็นโครงสร้างที่
เป็นไปได้ มากที่สดุ มีหลกั การดงั นี ้
1. เป็นไปตามกฎออกเตตมากที่สดุ
2. โครงสร้างที่มีประจฟุ อร์มาลต่ําที่สดุ
3. อะตอมท่ีมีคา่ EN สงู ควรมีประจฟุ อร์มาลเป็ นลบ
4. อะตอมชนิดเดยี วกนั ไมค่ วรมีประจฟุ อร์มาลตรงข้ามกนั
CO2 O ≡ C − O O = C = O O − C ≡ O
+1 0 -1 0 0 0 -1 0 +1
N3− N N N N NN N NN
-2 +1 0
-1 +1 -1 0 +1 -2
28
ทฤษฎีการผลักกลุ่มอเิ ลก็ ตรอนในวงเวเลนซ์
Valence Shell Electron Pair Repulsion(VSEPR) คือทฤษฎีท่ีใช้
ทํานายรูปร่างของโมเลกลุ หรือไอออนท่ียดึ กนั ด้วยพนั ธะโควาเลนซ์
โดยโครงสร้างของโมเลกลุ จะขนึ ้ อยกู่ บั จํานวนกลมุ่ อิเลก็ ตรอนที่ใช้
สร้างพนั ธะและอเิ ลก็ ตรอนโดดเด่ียว
ไม่จําเป็ นต้ องมี
• พิจารณาเฉพาะวาเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนเทา่ นนั้ 2 อเิ ลก็ ตรอน
• แบง่ อเิ ลก็ ตรอนออกเป็ นกลมุ่ ตา่ ง ๆ (คอู่ เิ ลก็ ตรอน; electron pair)
♦ อเิ ลก็ ตรอนสร้างพันธะ
(2, 4, 6 อเิ ลก็ ตรอน ตามชนิดของพนั ธะ คือ พนั ธะเด่ียว, ค,ู่ สาม )
♦ อเิ ลก็ ตรอนคู่โดดเด่ียว (2 อเิ ลก็ ตรอน)
♦ อเิ ลก็ ตรอนโดดเด่ยี ว (1 อเิ ลก็ ตรอน)
• กลมุ่ อเิ ลก็ ตรอนจะจดั ตวั รอบอะตอมกลาง ให้หา่ งกนั มากท่ีสดุ เพ่ือให้
ผลกั กนั น้อยท่ีสดุ และเกิดความเสถยี รมากท่สี ุด
29
การผลักกันของกลุ่มอเิ ลก็ ตรอน
พนั ธะแตล่ ะพนั ธะ (พนั ธะเดยี่ ว พนั ธะคู่ หรือ พนั ธะสาม) นบั เป็ น
อเิ ลก็ ตรอนสร้างพนั ธะกลมุ่ เดยี ว ดงั นนั้ แตล่ ะกลมุ่ อาจมีจํานวน
อิเลก็ ตรอนแตกตา่ งกนั
การผลกั กนั กนั ของกลมุ่ อเิ ลก็ ตรอนขนึ ้ กบั ขนาดของกลมุ่
อเิ ลก็ ตรอน (ถ้ากลมุ่ อเิ ลก็ ตรอนมีขนาดใหญ่ จะต้องการท่ีอยมู่ ากจงึ
สามารถผลกั กลมุ่ อเิ ลก็ ตรอนอ่ืนออกไปได้ดี)
ขนาดของกลมุ่ อเิ ลก็ ตรอน
ขนคู่โาดดดขเอดง่ยี กวล>มุ่ พอนั ิเลธก็ะสตารมอ>นสพรนั ้าธงะพคนั ่>ู ธพะจันะธละดเดล่ยี งวถ>้าอEเิ ลN็กขตอรงออนะเตดอ่ยี มว
ปลายเพ่ ิมขนึ ้ (การผลกั จะลดลง)
30
การจดั ตาํ แหน่งของกลุ่มอเิ ล็กตรอน(m+n)
กลุ่มอเิ ลก็ ตรอนอาจเป็ นอเิ ล็กตรอนสร้างพันธะหรือไม่สร้างพันธะกไ็ ด้
180°
120°
109.5°
90,120°
90°
31
การทาํ นายรูปร่างโมเลกุลโดย VSEPR
1. เขียนสตู รโครงสร้างลวิ อิส
2. เข•ียนAสตูแรทนAอXะmตอEมnกลาง
• X แทนพนั ธะรอบอะตอมกลาง
โดย m คอื จาํ นวนกลุ่มอเิ ล็กตรอนท่สี ร้างพันธะ
• E แทนกลมุ่ อเิ ลก็ ตรอนรอบอะตอมกลางท่ีไมไ่ ด้สร้างพนั ธะ
โดย n คอื จาํ นวนกลุ่มอเิ ล็กตรอนท่ไี ม่ได้สร้างพนั ธะ
3. ทํานายการจดั เรียงตําแหนง่ ของกลมุ่ อเิ ลก็ ตรอน (m+n)
4. พิจารณาตาํ แหน่งของคอู่ ิเลก็ ตรอนโดดเดี่ยว (ต้องการพืน้ ท่ีมาก
ท่ีสดุ ) หรือ อเิ ลก็ ตรอนโดดเด่ยี ว (ต้องการพืน้ ที่น้อยที่สดุ )
5. ทํานายรูปร่างโมเลกลุ โดยดจู ากการจดั ตําแหน่งของพนั ธะ
32
2 กลมุ่ อเิ ลก็ ตรอน (n+m=2) รูปร่ างของโมเลกุล
• AX2 เส้นตรง
สามเหล่ียม
3 กลมุ่ อเิ ลก็ ตรอน (n+m=3) แบนราบ
มุมงอ (<120°)
• AX3
• AX2E
33
4 กลมุ่ อเิ ลก็ ตรอน (n+m=4) รูปร่ างของโมเลกุล
• AX4 ทรงสี่หน้า
• AX3E พีระมดิ ฐาน
สามเหล่ียม
• AX2E2 มุมงอ (<109.5°)
34
รูปร่ างของโมเลกุล
5 กลมุ่ อเิ ลก็ ตรอน (n+m=5) พีระมิดค่ฐู าน
สามเหล่ียม
• AX5 กระดานหก
• AX4E
• AX3E2 ตวั ที
• AX2E3
เส้นตรง
35
รูปร่ างของโมเลกุล
6 กลมุ่ อเิ ลก็ ตรอน (n+m=6) ทรงแปดหน้า
• AX6 พีระมิดฐาน
ส่ีเหลี่ยม
• AX5E
สี่เหลี่ยม
• AX4E2 แบนราบ
36
ตวั อย่างการทาํ นายรูปร่างโมเลกุล
สูตรลวิ อสิ สูตร AXmEn ตาํ แหน่งกลุ่ม รูปร่ างโมเลกุล
อเิ ลก็ ตรอน
CH4 AX4E0
H
HCH
H
NH3 E
H AX3E1
HNH
37
สภาพขวั้ ของโมเลกุล (Polarity of Molecule)
สภาพขัว้ ของโมเลกุลคือสภาพขวั้ สทุ ธิ(net dipole)ของพนั ธะทกุ
พนั ธะในโมเลกลุ
สภาพขวั้ ของโมเลกลุ หาได้โดยการรวมสภาพขวั้ ของพนั ธะทกุ
พนั ธะแบบเวคเตอร์
42
BCl3 ตวั อย่างสภาพขวั้ ของโมเลกุล
NH3
CHCl3 43
SF5
HCN
2. ทฤษฎีโมเลกุลาร์ออร์บทิ อล (MO Theory)
ทฤษฎีโมเลกุล่าร์ออร์บทิ ลั (Molecular Orbital Theory)
อธิบายการเกิดพนั ธะโควาเลนต์โดยใช้ออร์บิทลั ของโมเลกลุ
อะตอม + อะตอม โมเลกุล
AO AO MO
ออร์บทิ ลั ของโมเลกุล (MO) คอื ท่ีอยขู่ องอเิ ลก็ ตรอนใน
โมเลกลุ เกิดจากการรวมออร์บทิ ลั ของอะตอม (AO) ตามวิธี
ผลรวมเชิงเส้นตรง (Linear Combination of Atomic Orbital,
LCAO)
จํานวน MO ที่เกิดขนึ ้ เทา่ กบั จํานวน AO ทงั้ หมด
44
การสร้างโมเลกูลาร์ออร์บทิ ลั
ออร์บทิ ลั ของโมเลกลุ เกิดจากการซ้อนเหลื่อม (overlap) ของ AO
แบบเสริม (Bonding): เป็นการรวม AO ด้านที่มีเคร่ืองหมาย(สี)เหมือนกัน
ขนาดออร์บทิ ลั ในแนวเช่ือมอะตอมเพ่มิ ขนึ้ เสถียรมากขนึ้
แบบทาํ ลาย (Antibonding): เป็นการรวม AO ด้านท่ีมีเคร่ืองหมาย(สี)ต่างกัน
ขนาดออร์บทิ ลั ในแนวเช่ือมอะตอมลดลง เสถียรน้อยลง (พลังงานเพ่มิ )
1sA − 1sB Antibonding แผนผังระดับพลังงานของโมเลกลู าร์ออร์บทิ ลั
(Molecular Orbital Diagram) คอื แผนผงั ที่แสดง
ระดบั พลงั งานของ MO เทียบกบั AO
antibonding
Energy 1sA 1sB
bonding
1sA + 1sB Bonding
45
ชนิดของโมเลกูลาร์ออร์บทิ ลั
ชนิดของ MO ขนึ ้ กบั รูปแบบการรวมตวั ของ AO
sigma bond (σ,σ*): การซ้อนเหลื่อมกนั แบบ 1-lobe ของ Aos
(head-on overlap)
pi-bond (π,π*): การซ้อนเหลอ่ื มσกboนั ndแinบg บ 2-loσbanetiboขndอinงg AOs
(side-on overlap)
delta-bond (δ,δ*): การπซb้อonนdinเgหลื่อมπกaนั ntแiboบndบing4-lobe ขπอboงndAingOs
δ bonding
48
พลังงานและการซ้อนเหล่ือมของ AO’s
Sigma bonding Pi bonding
s+s py+py
px+px
ชนิดของออร์บทิ ลั y x
ขนึ้ กับทศิ ทางการซ้อน z
เหล่ือมกันของ AO 52
Energy Molecular Orbital Diagram
E-configuration: (σ2s)2(σ2s*)2 (σ2px)2 (π2p)4(π 2p*)4(σ2px*)2
53
การบรรจุอเิ ลก็ ตรอนใน MOs
1. สนใจเฉพาะเวเลนซ์อิเลก็ ตรอน
2. แตล่ ะ MO มีอิเลก็ ตรอนได้ไมเ่ กิน 2 ตวั และต้องมีสปิ นตา่ งกนั
3. จดั อเิ ลก็ ตรอนใสใ่ น MO ที่มีพลงั งานตา่ํ ที่สดุ กอ่ น
4. ถ้า MO มีพลงั งานเทา่ กนั ให้จดั ตามกฎของฮนุ ด์
5. จํานวนอิเลก็ ตรอนใน MO เทา่ กบั ผลรวมจํานวนอิเลก็ ตรอน
ท่ีมาจากอะตอมที่สร้างพนั ธะ
6. การเขียนโครงแบบอิเลก็ ตรอนทําเชน่ เดียวกบั ของอะตอมแต่
เปลยี่ นชนิดของออร์บิทลั เป็ นแบบ σ, π, δ, σ*, π*, δ*
54
H2 molecule การบรรจุอเิ ลก็ ตรอนใน MOs
Antibonding He2 molecule
Antibonding
H1s H1s He1s
He1s
Bonding
Bonding
He2 = (σ1s)2(σ1s*)2
H2 = (σ1s)2
Bond energy = 431 kJ/mol (จาก 2 อเิ ลก็ ตรอน)
55
อนั ดบั พนั ธะ(Bond order)
อนั ดบั พนั ธะคอื การทํานายความแข็งแรงของพนั ธะโควาเลนต์
หรือความเสถียรของโมเลกลุ โดยดจู ากจํานวนอิเลก็ ตรอนใน
BMO และ AMO
• อนั ดบั พนั ธะ = ½(อเิ ลก็ ตรอนใน BMO – อเิ ลก็ ตรอนใน AMO)
• โมเลกลุ ท่ีมีอนั ดบั พนั ธะสงู จะมีความเสถียรมาก
ตวั อยา่ ง
H2 H2+ H2–
อนั ดบั พนั ธะ : 1 0.5 0.5
56
MO Diagram of Li2 & Be2
Li2 (2 x 3 electrons) B•e2B(e2=x 4 electrons)
• Li = 1s2 2s1 1s2 2s2
• Bond order = 1 • Bond order = 0 (no bond)
Energy
MO of Li2 (σ1s)2(σ1s*)2 (σ2s)2 MO of Be2 (σ1s)2(σ1s*)2 (σ2s)2 (σ2s*)2
57
MO Diagram of N2 & O2
N ( ) O (คดิ เฉพาะ electrons)
2 คดิ เฉพาะ valence electrons 2 valence
= 1s2 2s2 O = 1s2
• N 2p3 • 2s2 2p4
• อนั ดบั พนั ธะ = 1
• เมปีก็นาขร้อสยลกบั เทว้่ีขนอมงอี MอOร์บคทิ ลลั ้าσยpแลBะ2πแpละ C2 • อนั ดบั พนั ธะ = 2
• • มีลําดบั ของ MO แบบปกติ
Energy
MO of N2 (σ2s)2(σ2s*)2 (π2p)4(σ2px)2 MO of O2 (σ2s)2(σ2s*)2(σ2px)2(π2p)4(π2p*)2
58
สมบตั ทิ างแม่เหลก็ ของโมเลกุล
สารไดอะแมกเนตกิ (Diamagnetic)สารท่ีมีจํานวนอิเลก็ ตรอนสปินขนึ ้ และ
สปิ นลงเทา่ กนั สนามแมเ่ หลก็ ท่ีกระทําตอ่ โมเลกลุ เป็นศนู ย์
สารพาราแมกเนตกิ (Paramagnetic) สารที่มีอเิ ลก็ ตรอนเดี่ยว ทําให้มีแรง
ดงึ ดดู กบั สนามแมเ่ หลก็ ที่กระทํา
ออกซเิ จนเหลวผ่านขวั้ แมเ่ หลก็
59