The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nopphakao, 2022-01-19 10:27:47

การจัดการเรียนรู้แบบเน้นผู้เรียนเป็นหลัก

วิธีวิทยาการจัดการเรียนรู้

มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์

การจัดการเรียนการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ

ETP205 วิธีวิทยาการจัดการเรียนรู้

บทความตั้งต้น

หนังสือเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับ 5 เรื่อง ดังนี้

1 การเรียนรู้อย่างมีความหมาย (Meaningful Learning)


2 นักออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ (Professional Learning


3 การเรียนการสอนแบบ (Active Learning)


4 ประสบการณ์สอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ


5 การจัดการเรียนรู้นอกห้องเรียน (Outdoor Education)

ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้หลักจากความคิดกลวิธีการเรียนการสอน
รวมถึงกิจกรรมการเรียนการสอนในแง่มุมต่าง ๆ แก่ผู้ที่สนใจ

คณะผู้จัดทำ 1 นายกฤตเมธ ไมล์สูงเนิน



2 นายวิศรุต บัวหิรัญ



3 นางสาวนัฏติกา สิมลี



4 นางสาวพิชชานันท์ ทองหอม


5 นางสาวนพเก้า แก้วทับ

เสนอผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.เลอลักษณ์ โอทกานนท์
รายวิชา ETP วิธีวิทยาการจัดการเรียนรู้ Sect.09 กลุ่ม 5

คำนำ

POCKET BOOK เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาวิทยาการจัดการเรียนรู้ EP205 โดย
จุดประสงค์ เพื่อการศึกษาความรู้ที่ได้จากเรื่องการเรียนการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็น
หลัก ทั้งนี้ใน POCKET BOOK มีเนื้อหาที่ประกอบด้วยการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
(MEANINGFUL LEARNING), นักออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ (PROFESSIONAL
LEARNING, การเรียนการสอนแบบ (ACTIVE LEARNING), ประสบการณ์สอนที่เน้นผู้เรียน
เป็นสำคัญ, การจัดการเรียนรู้นอกห้องเรียน (OUTDOOR EDUCATION) และแบบฝึกหัด
ท้ายบทเพื่ อให้ผู้ที่สนใจในเรื่องดังกล่าวได้ศึกษาหาความรู้และได้ทำความเข้าใจกับเรื่องที่
จะศึกษา เพื่อนำไปต่อยอดในการเรียนการสอนในอนาคต

POCKET BOOK เรื่องนี้ คณะผู้จัดทำต้องขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร. เลอ
ลักษณ์ โอทกานนท์ ที่ได้ให้คำปรึกษาในเรื่องของการทำ POCKET BOOK ที่ถูกต้องเรื่อง
การตรวจทานส่วนต่าง ๆ ของเนื้อหาก่อนที่จะลง POCKET BOOK จริง คณะผู้จัดทำหวัง
เป็นอย่างยิ่งว่า POCKET BOOK เรื่องนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ศึกษาและบุคคลที่สนใจได้ไม่
มากก็น้อยหากมีข้อผิดพลาดประการใด คณะผู้จัดทำยินดีรับข้อเสนอและแนะนํา เพื่อเป็น
แนวทางในการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นในโอกาสต่อไป

สารบัญ

01 การเรียนรู้อย่างมีความหมาย (Meaningful Learning) หน้า
02 1 .ความหมายของการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
03 2. ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย 1
04 3. ประเภทของการเรียนรู้อย่างมีความหมาย 1
05 4. หลักการของกระบวนการเรียนรู้อย่างมีความหมาย 1
5. ตัวแปรสำคัญที่ก่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้อย่างมีความหมาย 2
2

3

นักออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ (Professional Learning Design: PLD) 4
1. ความหมายและความสำคัญนักออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ (Professional 4

Design) 5
2. บทบาทของนักเทคโนโลยีการศึกษา 5-6
3. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้



การเรียนการสอนแบบ (Active Learning)
7
1. การเรียนรู้ แบบ Active Learning คืออะไร 7
2. ลักษณะของการเรียนการสอนแบบ Active Learning 7-8
3. บทบาทของอาจารย์ผู้สอนในการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning 8-9
4. แนวคิดการเรียนการสอนแบบ Active Learning 9
5. ตัวอย่างเทคนิคการเรียนการสอนแบบ Active Learning 10


11
11
ประสบการณ์สอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 12-12
1. เทคนิคการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนเรียนเพื่อรู้รอบ 14-15
2. เทคนิคการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนเรียนแบบร่วมมือ

3. เทคนิคการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนบริการชุมชน
16

16
16-17
การจัดการเรียนรู้นอกห้องเรียน (Outdoor Education) 17
1. ปรัชญาและทฤษฎีการเรียนรู้ 18-19
2. การสร้างความสนใจให้กับผู้เรียน 20
3. การจัดกิจกรรมนอกห้องเรียน 20
4. ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ 21
5. ข้อดีของการเรียนรู้นอกห้องเรียน 21-22
6. ข้อจำกัด

7. ความสำคัญของแหล่งเรียนรู้
8. หลักการพื้นฐานของการเรียนรู้โดยใช้แหล่งเรียนรู้ในชุมชนและธรรมชาติ

1. การเรียนรู้อย่างมีความหมาย 1
(Meaningful Learning)

1. ความหมายของการเรียนรู้อย่างมีความหมาย

เป็นการเรียนที่ผู้เรียนได้รับมาจากการที่ผู้สอน อธิบายสิ่งที่จะต้องเรียนรู้
ให้ทราบและผู้เรียนรับฟังด้วยความเข้าใจ โดยผู้เรียนเห็นความสัมพันธ์ของสิ่ง
ที่เรียนรู้กับโครงสร้างพุทธิปัญญาที่ได้เก็บไว้ในความทรงจำ และจะสามารถนำ
มาใช้ในอนาคต ออซูเบลได้ชี้ให้เห็นว่าทฤษฎีนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะอธิบาย
เกี่ยวกับพุทธิปัญญาตัวแปรที่มีความสำคัญในการเรียนรู้ โดยการรับอย่างมี
ความหมาย ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย

2. ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย

ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ออซูเบล เป็นนักจิตวิทยาแนว
ปัญญานิยมที่แตกต่างจากเพียเจต์และบรูเนอร์ เพราะออซูเบลไม่ได้มี
วัตถุประสงค์ที่จะสร้างทฤษฎีที่อธิบายการเรียนรู้ได้ทุกชนิด ทฤษฎีของออซู
เบลเป็นทฤษฎีที่หาหลักการอธิบายการเรียนรู้ที่เรียกว่า "Meaningful
Verbal Learning" เท่านั้น โดยเฉพาะการเชื่อมโยงความรู้ที่ปรากฎใน
หนังสือที่โรงเรียนใช้กับความรู้เดิมที่อยู่ในสมองของผู้เรียนในโครงสร้าง
สติปัญญา (Cognitive Structure) หรือการสอนโดยวิธีการให้ข้อมูล
ข่าวสาร ด้วยถ้อยคำ ทฤษฎีของออซูเบล เน้นความสำคัญของการเรียนรู้
อย่างมีความเข้าใจและมีความหมาย การเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อผู้เรียนได้เรียน
รวมหรือเชื่อมโยง (Subsumme) สิ่งที่เรียนรู้ใหมหรือข้อมูลใหม่ ซึ่งอาจจะ
เป็นความคิดรวบยอด (Concept) หรือความรู้ที่ได้รับใหม่ในโครงสร้างสติ
ปัญญากับความรู้เดิมที่อยู่ในสมองของผู้เรียนอยู่แล้ว ทฤษฎีของออซูเบ
ลบางครั้งเรียกว่า "Subsumption Theory" การเรียนรู้อย่างมีความหมาย
นั่นคือ ผู้เรียนได้เชื่อมโยง (Subsumme) สิ่งที่จะต้องเรียนรู้ใหม่ หรือ
ข้อมูลใหม่ กับความรู้เดิมที่มีมาก่อนที่มีในโครงสร้างในสติปัญญาของผู้
เรียนมาแล้ว

2

3. ประเภทของการเรียนรู้อย่างมีความหมาย

แบ่งการเรียนรู้อย่างมีความหมายเป็น 3 ประเภท คือ
1. Subordinate learning เป็นการเรียนรู้โดยการรับอย่างมีความหมาย
โดยมีวิธีการ 2 ประเภท คือ
1.1 Deriveration Subsumption เป็นการเชื่อมโยงสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ใหม่
กับหลักการหรือกฎเกณฑ์ที่เคย เรียนมาแล้ว โดยการได้รับข้อมูลมาเพิ่ม เช่น
มีคนบอก แล้วสามารถดูดซึมเข้าไปในโครงสร้างทางสติปัญญาที่มีอยู่แล้ว
อย่างมีความหมาย โดยไม่ต้องท่องจำ
1.2 Correlative subsumption เป็นการเรียนรู้ที่มีความหมายเกิดจากการ
ขยายความ หรือปรับโครงสร้างทางสติปัญญาที่มีมาก่อนให้สัมพันธ์กับสิ่งที่
จะเรียนรู้ ใหม่
2. Superordinate learning เป็นการเรียนรู้โดยการอนุมาน โดยการจัด
กลุ่มสิ่งที่เรียนใหม่เข้ากับความคิดรวบยอดที่กว้างและครอบคลุม ความคิด
ยอดของสิ่งที่เรียนใหม่ เช่น สุนัข แมว หมู เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
3. Combinatorial learning เป็นการเรียนรู้หลักการ กฎเกณฑ์ต่างๆเชิง
ผสม ในวิชาคณิตศาสตร์ หรือ วิทยาศาสตร์ โดยการใช้เหตุผล หรือการ
สังเกต เช่นการเรียนรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างน้ำหนักกับระยะทางใน
การที่ทำ ให้เกิดความสมดุล

4. หลักการของการเรียนรู้อย่างมีความหมาย

1. ใช้งาน: ผู้เรียนรับรู้จะต้องมีส่วนร่วมกับข้อมูลที่นำเสนอโดยใช้ที่เหมาะ
สมรูปแบบการเรียน
2. สร้างสรรค์: เมื่อข้อมูลถูกรวมเข้ากับโครงสร้างทางปัญญา ข้อมูลจะถูก
สร้างใหม่เป็นรูปแบบใหม่ที่แสดงความเข้าใจของผู้เรียนเอง
3. สะสม: ข้อมูลใหม่สร้างขึ้นจากข้อมูลเก่า แทนที่จะถูกแทนที่หรือจัดเก็บ
อย่างอิสระ
4 .ควบคุมตนเอง: การเรียนรู้ที่มีความหมายเป็นกระบวนการที่เป็นอิสระ ผู้
เรียนจะต้องดำเนินการและควบคุมกระบวนการเรียนรู้ของตัวเองเช่นเดียว
กับการตัดสินใจทำในวิธีการจัดรูปแบบจิต
5 .มุ่งเน้นเป้าหมาย: ผู้เรียนควรใช้ผลลัพธ์หรือความคาดหวัง นอกจากนี้
เป้าหมายจะต้องถูกออกแบบเป็นรายบุคคล

3

5. ตัวแปรที่สำคัญของการเรียนรู้อย่างมีความหมาย

ออซูเบลได้บ่งว่า การเรียนรู้อย่างมีความหมายขึ้นอยู่กับตัวแปร 3 อย่าง ดังต่อไปนี้
1. สิ่งที่จะต้องเรียนรู้จะต้องมีความหมาย ซึ่งหมายความว่าจะต้องเป็นสิ่งที่มีความ
สัมพันธ์กับสิ่งที่เคยเรียนรู้และเก็บไว้ในโครงสร้างพุทธิปัญญา
2. ผู้เรียนจะต้องมีประสบการณ์และมีความคิดที่จะเชื่อมโยงหรือจัดกลุ่มสิ่งที่เรียนรู้
ใหม่ให้สัมพันธ์กับความรู้หรือสิ่งที่เรียนรู้เก่า
3. ความตั้งใจของผู้เรียนและการที่ผู้เรียนมีความรู้ คิดที่จะเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนรู้ใหม่
ให้มีความสัมพันธ์กับโครงสร้างพุทธิปัญญา ที่อยู่ในความทรงจำแล้ว นอกจาก
ตัวแปรทั้ง 3 อย่างดังกล่าว ออซูเบลกล่าวว่า การสอนจะต้องคำนึงถึงวัยของ
นักเรียนด้วย เพราะถ้าหากนักเรียนไม่พร้อมที่จะรับหรือรับโดยไม่เข้าใจ ก้อาจจะต้อง
ใช้การท่องจำแบบนกแก้วนกขุนทอง

เอกสารอ้างอิง

อาเเอเสาะ หะยีเด็ง ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมายของออซูเบล.
[ออนไลน์]. (2555). เข้าถึงได้จาก
http://asmat1430.blogspot.com/2012/09/blog-post_5.html?
m=1 (สืบค้นเมื่ิอ 25 ธันวาคม2564).

4

นักออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้

(PROFESSIONAL LEARNING DESIGN: PLD)

1. ความหมายและความสำคัญนักออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้
(Professional Learning Design: PLD)




ครูต้องทำความเข้าใจและวิเคราะห์ให้ได้ว่าจะตอบสนองความต้องการ
ของผู้เรียนอย่างไร เอาความต้องการของผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเพื่อนำ
เทคโนโลยีหรือสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมาตอบโจทย์และสร้างทัศนคติที่ดี
ต่อนักเรียนในการจัดการเรียนรู้จากการเรียนในรูปแบบเดิม ๆ แต่หากคุณครู
คิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ไม่ออก หรือไม่ทราบว่ามีเทคโนโลยี หรือ Application
ใดบ้าง ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้บ้าง ก็
สามารถค้นหานวัตกรรมที่ครูท่านอื่นได้เผยแพร่ผ่านสื่อหรือช่องทางต่าง ๆ
ได้ เช่น ช่องทาง YouTube Channel, เว็บไซต์สื่อการสอนของครู-โรงเรียน
หรือถ้าคุณครูมีนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อครูท่านอื่น ก็
สามารถเผยแพร่ผ่านสื่อหรือช่องทางต่าง ๆ เองได้

5

2. บทบาทของนักเทคโนโลยีการศึกษา

นักเทคโนโลยีการศึกษาจะต้องมีความเข้าใจเป็นอย่างดีในเรื่อง วิธีระบบ
วิธีการสอนต่างๆ กระบวนการการใช้สื่อการวัดและประเมินการเรียนการสอน
เพื่อให้มีศักยภาพในกระบวนการการออกแบบและพัฒนาระบบการเรียนการ
สอนให้มีประสิทธิภาพและที่สำคัญต้องมีคุณลักษณะในการสื่อสารที่ดีและ
มนุษย์สัมพันธ์ที่ดี เพราะจะต้องมีทั้งความรู้ สามารถสื่อสารกับบุคคลอื่นให้
เป็นที่ยอมรับได้ในการเรียนรู้บางเรื่อง ผู้เรียนต้องผ่านประสบการณ์เฉพาะ
บางอย่าง การเรียนรู้จึงจะเกิดขึ้นคนสอนจึงต้องเลือกใช้วิธีที่เหมาะสม และ
ต้องออกแบบให้ประสบการณ์แบบนั้นๆ เกิดขึ้นกับผู้เรียนให้ได้ แต่ในบางครั้ง
ที่การเรียนรู้ไม่เกิดขึ้น เพราะมี “ปัญหาในการเรียนรู้” (Learning problem)
มีเหตุปัจจัยมากมายที่ทำให้เกิดปัญหาในการเรียนรู้ ปัญหาแบบนี้เรียกว่า
“Wicked problem” ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่จะแก้ได้ด้วยคำตอบตายตัว ไม่มีสูตรสำเร็จ
ปัญหาลักษณะนี้ จึงต้องใช้ “การออกแบบ” มาช่วยแก้ปัญหาจึงเกิดสิ่งที่เรียก
ว่า “Learning Design” หรือ “การออกแบบการเรียนรู้”เพื่อช่วยแก้ปัญหา
การเรียนรู้การจะออกแบบการเรียนรู้ได้ เราต้องเข้าใจว่า ปัญหาในการเรียนรู้
นั้นคืออะไร การออกแบบเป็นกระบวนการที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ การสอน
และการออกแบบการเรียนรู้ก็เช่นกัน วิธีการแก้ปัญหาจึงเป็นไปได้หลากหลาย
ตั้งแต่ทำสื่อการเรียนรู้ใหม่ๆ ออกแบบวิธีการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน
สร้างสิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้หลักสูตร อุปกรณ์ในการเรียนการสอน การ
ทำงานร่วมต่างสาขา และอื่นๆ อีกมาก การสอนมักจะนำเราไปสู่การเรียนรู้
ใหม่ๆ เสมอ ยิ่งมีผู้เรียนเปลี่ยนหน้าเข้ามาเรียนรู้ในเรื่องที่เราเชี่ยวชาญ ก็ใช่ว่า
เราจะสามารถสอนแบบเดิมๆ ได้ทุกครั้ง ความสุขสำหรับผู้สอน หรือคนที่
ออกแบบการเรียนรู้ คือยามได้เห็นผู้เรียนทำอะไรบางอย่างได้ เกิดทักษะใหม่
เกิดความรู้ใหม่ มีความสามารถใหม่เพิ่มขึ้น ทุกคนมีความเป็นครูและมีความ
คิดสร้างสรรค์ซ่อนอยู่ในตัว ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่

3. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้

‘ความเก่ง’ ที่แท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่?
Instructional Design ทำไมเราถึงต้องรู้จักกับประกอบของความเก่ง

6

หากเราตีความความเก่งไว้ว่า ความรู้ และความสามารถที่ครอบคลุมในการ
ทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้อย่างชำนาญ และไม่ว่าพวกเราทุกคนจะต้องการที่จะเก่ง
ในด้านไหน Learning designer ได้นิยามองค์ประกอบของความเก่งไว้ด้วย 3
องค์ประกอบเสมอ คือ
1. ชุดของความรู้ (Knowledge)
2. ชุดของทักษะ (Skill)
3. ชุดของทัศนคติ (Mindset)

สาเหตุที่ต้องแตกองค์ประกอบความเก่งออกมา เพื่อที่จะได้รู้ว่าสิ่งใดกันที่
เป็นอุปสรรคต่อในการสร้างความสามารถของคุณอยู่ และจะได้สร้างรูป
แบบการเรียนรู้ให้ถูกจุด ยกตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการที่ขับรถให้เก่ง
คุณต้องมีความรู้ด้านกฎจราจร (Knowledge) แต่หากมีความรู้อย่างเดียว
โดยขาดทักษะในการควบคุมพวงมาลัย (Skill) ก็ไม่นับว่าคุณเป็นบุคคลที่ขับ
รถเก่งได้ ดังนั้น ปัญหาของคุณก็คือการเสริมทักษะในการขับรถ จึงจะ
สามารถขับรถได้อย่างชำนาญบนท้องถนน และถ้าคุณมีทัศนคติในการขับ
รถที่ไม่ดี (Mindset) นั่นแสดงว่าคุณก็ต้องแก้ปัญหาตรงนี้เพิ่มขึ้นอีก การ
ยกตัวอย่างขับรถอาจทำให้เห็นว่าสิ่งที่ Learning Designer ทำ เป็นสิ่งที่
ใครๆ ก็ทำได้ แต่หากเปลี่ยนโจทย์เป็น ‘ต้องการที่จะเขียนโปรแกรม
คอมพิวเตอร์ได้อย่างชำนาญ’ โจทย์อาจจะดูยากขึ้น แต่จะเห็นได้ว่าวิธีการ
ยังคงเป็นแบบเดิม ไม่ว่าใครก็ตามที่มีวิธีการคิดในอย่างเป็นระบบเช่นนี้ก็จะ
ทำให้เข้าใจได้ว่าความเก่งนั้นสร้างได้อย่างไร

เอกสารอ้างอิง

นันทิยา ตันศรีเจริญ. ครูนักออกแบบการเรียนรู้ Teacher as a Learning
Designer 2564 https://www.holisticteacher.net/wp-
content/uploads/2021/01/LearningDesigner_compressed.pdf

7

3. การเรียนการสอนแบบ
(Active Learning)

1. การเรียนรู้แบบ Active Learning คืออะไร

ACTIVE LEARNING เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการสร้างสรรค์
ทางปัญญา (CONSTRUCTIVISM) ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่าเนื้อหาวิชา เพื่อช่วยให้
ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้ หรือสร้างความรู้ให้เกิดขึ้นในตนเอง ด้วยการลงมือ
ปฏิบัติจริงผ่านสื่อหรือกิจกรรมการเรียนรู้ ที่มีครูผู้สอนเป็นผู้แนะนำ กระตุ้น หรืออำนวย
ความสะดวก ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ขึ้น โดยกระบวนการคิดขั้นสูง กล่าวคือ ผู้เรียนมี
การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการประเมินค่าจากสิ่งที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนรู้ ทำให้
การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีความหมายและนำไปใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ ได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ (สถาพร พฤฑฒิกุล, 2558)

2. ลักษณะของการเรียนการสอนแบบ Active Learning

1. เป็นการเรียนการสอนที่พัฒนาศักยภาพทางสมอง ได้แก่ การคิด การแก้ปัญหา และ
การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
2. เป็นการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้สูงสุด
3. ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้และจัดกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง
4. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนทั้งในด้านการสร้างองค์ความรู้ การสร้าง
ปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน ร่วมมือกันมากกว่าการแข่งขัน

8

2. ลักษณะของการเรียนการสอนแบบ Active Learning

5. ผู้เรียนเรียนรู้ความรับผิดชอบร่วมกัน การมีวินัยในการทํางาน และการแบ่งหน้าที่ความ
รับผิดชอบ
6. เป็นกระบวนการสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนอ่าน พูด ฟัง คิดอย่างลุ่มลึก ผู้เรียนจะเป็น
ผู้จัดระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง
7. เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นทักษะการคิดขั้นสูง
8. เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูลข่าวสาร หรือสารสนเทศ และหลัก
การความคิดรวบยอด
9. ผู้สอนจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติด้วย
ตนเอง
10. ความรู้เกิดจากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้ และการสรุปทบทวนของผู้เรียน

3. บทบาทของอาจารย์ผู้สอนในการจัดการเรียน
การสอนแบบ Active Learning

จัดให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอน กิจกรรมต้องสะท้อนความต้องการใน
การพัฒนาผู้เรียนและเน้นการนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงของผู้เรียน
1. สร้างบรรยากาศของการมีส่วนร่วม และการเจรจาโต้ตอบที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมี
ปฏิสัมพันธ์ที่ดี กับผู้สอนและเพื่อนในชั้นเรียน
2. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เป็นพลวัต ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรม
รวมทั้ง กระตุ้นให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียนรู้
3. จัดสภาพการเรียนรู้แบบร่วมมือ ส่งเสริมให้เกิดการร่วมมือในกลุ่มผู้เรียน

9

3. บทบาทของอาจารย์ผู้สอนในการจัดการเรียน
การสอนแบบ Active Learning

4. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ท้าทาย และให้โอกาสผู้เรียนได้รับวิธีการสอนที่หลาก

หลาย
5. วางแผนเกี่ยวกับเวลาในจัดการเรียนการสอนอย่างชัดเจน ทั้งในส่วนของเนื้อหา และ

กิจกรรม
6. ครูผู้สอนต้องใจกว้าง ยอมรับในความสามารถในการแสดงออก และความคิดเของที่ผู้

เรียน

4. ประโยชน์ของการเรียนการสอนแบบ Active Learning

การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ก่อให้เกิดประโยชน์
ดังนี้
1. เป็นแรงขับที่ทำให้ผู้เรียนอยากเรียนรู้ในเนื้อหารายวิชา
2. ส่งเสริมและพัฒนาทักษะการสร้างการทำงานเป็นทีมสร้างความแข็งแกร่งของเครือ
ข่ายการเรียนรู้การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมทำให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าในตนเองทำให้เกิดการแก้
ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
3. ส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยการค้นพบแนวคิดการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
4. ส่งเสริมการเรียนให้สนุกสนานมีแบบเรียนรู้ที่หลากหลายเหมาะสมกับผู้เรียนที่มีความ
แตกต่างกันในรูปแบบการเรียนรู้ของแต่ละคนทำให้การเรียนสนุกและสิ่งแวดล้อมการ
เรียนรู้ที่ตื่นเต้นเสริมพลังทางบวกและการมีส่วนร่วมของผู้เรียนอย่างมีชีวิตชีวา
5. สามารถนำเนื้อหาที่เรียนไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติจริง
6. เพิ่มช่องทางสื่อสารกับผู้เรียนที่มีความแตกต่างกัน
7. ช่วยสร้างความคงทนในการจดจำข้อมูลและสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้
8. ทำให้ผู้สอนมีการตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาคิดค้นสิ่งใหม่ๆเพื่อเตรียมจัดการเรียนการสอน
ให้กับผู้เรียน
9. ทำให้มีส่วนร่วมสำหรับผู้สอนและผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กัน

10

5. ตัวอย่างเทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning

การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning สามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ทั้งใน
ห้องเรียนและนอกห้องเรียน รวมทั้งสามารถใช้ได้กับนักเรียนทุกระดับ ทั้งการ
เรียนรู้เป็นรายบุคคล การเรียนรู้แบบกลุ่มเล็ก และการเรียนรู้แบบกลุ่มใหญ่
McKinney (2008) ได้เสนอตัวอย่างรูปแบบหรือเทคนิค การจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้ที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แบบ Active Learning ได้ดี ได้แก่
1. การเรียนรู้แบบแลกเปลี่ยนความคิด (Think-Pair-Share) คือการจัด

กิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ ผู้เรียนคิดเกี่ยวกับประเด็นที่กำหนดแต่ละคน ประมาณ
2-3 นาที (Think) จากนั้นให้แลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อนอีกคน 3-5 นาที
(Pair) และนำเสนอความคิดเห็นต่อผู้เรียนทั้งหมด (Share)
2. การเรียนรู้แบบใช้เกม (Games) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สอนนำ

เกมเข้าบูรณาการใน การเรียนการสอน ซึ่งใช้ได้ทั้งในขั้นการนำเข้าสู่บทเรียน
การสอน การมอบหมายงาน และหรือขั้นการประเมินผล
3. การเรียนรู้แบบวิเคราะห์วีดีโอ (Analysis or reactions to videos) คือการ
จัดกิจกรรมการ เรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ดูวีดีโอ 5-20 นาที แล้วให้ผู้เรียนแสดง

ความคิดเห็น หรือสะท้อนความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ดู อาจโดยวิธีการพูดโต้ตอบ
กัน การเขียน หรือ การร่วมกันสรุปเป็นรายกลุ่ม
4. การเรียนรู้แบบผู้เรียนสร้างแบบทดสอบ (Student generated exam
questions) คือการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนสร้างแบบทดสอบจาก

สิ่งที่ได้เรียนรู้มาแล้ว
5. การเรียนรู้แบบการเขียนบันทึก (Keeping journals or logs) คือการจัด

กิจกรรมการเรียนรู้ที่ ผู้เรียนจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่ได้พบเห็น หรือ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน รวมทั้งเสนอความคิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบันทึกที่
เขียน
6. การเรียนรู้แบบแผนผังความคิด (Concept mapping) คือการจัดกิจกรรม

การเรียนรู้ที่ให้ ผู้เรียนออกแบบแผนผังความคิด เพื่อนำเสนอความคิดรวบ

ยอด และความเชื่อมโยงกันของกรอบความคิด โดยการใช้เส้นเป็นตัวเชื่อมโยง

อาจจัดทำเป็นรายบุคคลหรืองานกลุ่ม แล้วนำเสนอผลงานต่อผู้เรียนอื่นๆ จาก

นั้นเปิดโอกาสให้ผู้เรียนคนอื่ นได้ซักถามและแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

‘นรินทร์ เจริญพันธ์. การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning.
[ออนไลน์]. (2559). เข้าถึงได้จาก
https://km.buu.ac.th/article/frontend/article_detail/141 (สืบค้นเมื่อ: 24
ธันวาคม 2564).

11

4. การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ

1. แนวคิดในการจัดการเรียนการสอน
เป็นการยึดผู้สอนเป็นศูนย์กลาง

แต่เดิมแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนเป็นการยึดผู้สอนเป็นศูนย์กลาง
(Techer-centered) โดยผู้สอนเป็นผู้กำหนดเนื้อหาและวิธีการเรียนการสอนเอง
ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงการบรรยายหน้าชั้นเรียนเท่านั้น ต่อมานักการศึกษาเชื่อว่า
แนวคิดดังกล่าวไม่ได้เอื้อต่อเกิดการพัฒนาผู้เรียนอย่างแท้จริง เพราะไม่ใช่วิธีการ
ที่ตอบสนองต่อความต้องการหรือลักษณะของผู้เรียน การศึกษาควรให้ความ
สำคัญกับ “การเรียน” มากกว่า “การสอน” แนวคิดของการจัดการเรียนการสอนที่
เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (Learner-centered, Student-centred หรือ Child-
centered) จึงเป็นการปฏิรูปการศึกษาที่เปลี่ยนมายึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยมี
หลักการว่า กระบวนการจัดการเรียนการสอนต้องเน้นให้ผู้เรียนสามารถแสวงหา
ความรู้ และพัฒนาความรู้ได้ตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพของตนเอง รวม
ทั้งสนับสนุนให้มีการฝึกและปฏิบัติในสภาพจริงของการทำงาน มีการเชื่อมโยงสิ่ง
ที่เรียนกับสังคมและการประยุกต์ใช้ มีการจัดกิจกรรมและกระบวนการให้ผู้เรียนได้
คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินและสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ โดยไม่เน้นไปที่การท่องจำ
เพียงเนื้อหา

12

2. สรุปลักษณะของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ

1. Active Learning เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนเป็นผู้กระทำหรือปฏิบัติด้วยตนเอง
ด้วยความกระตือรือร้น เช่น ได้คิด ค้นคว้า ทดลองรายงาน ทำโครงการ
สัมภาษณ์ แก้ปัญหา ฯลฯ ได้ใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ ทำให้เกิดการเรียนรู้ด้วย
ตนเองอย่างแท้จริง ผู้สอนทำหน้าที่เตรียมการจัดบรรยากาศการเรียนรู้ จัดสื่อ
สิ่งเร้าเสริมแรงให้คำปรึกษาและสรุปสาระการเรียนรู้ร่วมกัน
2. Construct เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนได้ค้นพบสาระสำคัญหรือองค์การความรู้
ใหม่ด้วยตนเอง อันเกิดจากการได้ศึกษาค้นคว้าทดลอง แลกเปลี่ยนเรียนรู้และ
ลงมือปฏิบัติจริง ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ได้จริงในชีวิต
ประจำวัน รวมทั้งทำให้ผู้เรียนรักการอ่าน รักการศึกษาค้นคว้าเกิดทักษะในการ
แสวงหาความรู้ เห็นความสำคัญของการเรียนรู้ ซึ่งนำไปสู่การเป็นบุคคลแห่ง
การเรียนรู้ (Learning Man) ที่พึงประสงค์
3. Resource เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนได้เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ที่หลาก
หลายทั้งบุคคลและเครื่องมือทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ผู้เรียนได้
สัมผัสและสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทั้งที่เป็นมนุษย์ (เช่น ชุมชน ครอบครัว
องค์กรต่างๆ) ธรรมชาติและเทคโนโลยี ตามหลักการที่ว่า “การเรียนรู้เกิดขึ้นได้
ทุกที่ทุกเวลาและทุกสถานการณ์)”
4. Thinking เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมกระบวนการคิด ผู้เรียนได้ฝึกวิธีคิดใน
หลายลักษณะ เช่น คิดคล่อง คิดหลากหลาย คิดละเอียด คิดชัดเจน คิดถูก ทาง
คิดกว้าง คิดลึกซึ้ง คิดไกล คิดอย่างมีเหตุผล เป็นต้น การฝึกให้ผู้เรียนได้คิด
อยู่เสมอในลักษณะต่างๆ จะทำให้ผู้เรียนเป็นคนคิดเป็น แก้ปัญหาเป็น คิดอย่าง
รอบคอบมีเหตุผล มีวิจารณญาณ ในการคิด มีความคิดสร้างสรรค์ มีความ
สามารถในการคิดวิเคราะห์ที่จะเลือกรับและปฏิเสธข้อมูล ข่าวสารต่างๆ ได้อย่าง
เหมาะสม ตลอดจนสามารถแสดงความคิดเห็นออกได้อย่างชัดเจนและมี
เหตุผลอันเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตประจำวัน

13

2. สรุปลักษณะของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ

5. Happiness เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนเรียนอย่างมีความสุข ซึ่งเป็นความสุขที่
เกิดจาก
1) ผู้เรียนได้เรียนในสิ่งที่ตนชอบหรือสนใจ ทำให้เกิดแรงจูงใจในการใฝ่รู้ ท้าทาย
อยากค้นคว้า อยากแสดงความสามารถและให้ใช้ศักยภาพของตนอย่างเต็มที่
2) การมีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนและระหว่างผู้เรียน
กับผู้เรียน มีลักษณะเป็นกัลยาณมิตร มีการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มี
กิจกรรมร่วมด้วยช่วยกัน ทำให้ผู้เรียนรู้สึกมีความสุขและสนุกกับการเรียน
6. Participation เป็นกิจกรรมที่เน้นการให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม ตั้งแต่การวางแผน
กำหนดงาน วางเป้าหมายร่วมกัน และมีโอกาสเลือกทำงานหรือศึกษาค้นคว้าใน
เรื่องที่ตรงกับความถนัดความสามารถ ความสนใจ ของตนเอง ทำให้ผู้เรียน
เรียนด้วยความกระตือรือร้น มองเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรียนและสามารถ ประยุกต์
ความรู้นำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริง
7. Individualization เป็นกิจกรรมที่ผู้สอนให้ความสำคัญแก่ผู้เรียนในความเป็น
เอกัตบุคคล ผู้สอนต้องยอมรับในความสามารถ ความคิดเห็น ความแตกต่าง
ระหว่างบุคคลของผู้เรียน มุ่งให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองให้เต็มศักยภาพมากกว่า
เปรียบเทียบแข่งขันระหว่างกันโดยมีความเชื่อมั่นผู้เรียนทุกคนมีความสามารถ
ในการเรียนรู้ได้ และมีวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน
8. Good Habit เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนได้พัฒนาคุณลักษณะนิสัยที่ดีงาม เช่น
ความรับผิดชอบ ความเมตตา กรุณา ความมีน้ำใจ ความขยัน ความมีระเบียบ
วินัย ความเสียสละ ฯลฯ และ ลักษณะนิสัยในการทำงานอย่างเป็นกระบวนการ
การทำงานร่วมกับผู้อื่น การยอมรับผู้อื่น และ การเห็นคุณค่าของงาน เป็นต้น
9. Self Evaluation เป็นกิจกรรมที่เน้นการประเมินตนเอง เดิมผู้สอนเป็นผู้
ประเมินฝ่ายเดียว แต่การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนประเมินตนเองอย่างสม่ำเสมอและ
ต่อเนื่อง จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจตนเองได้ชัดเจนขึ้น รุ้จุดเด่นจุดด้อยและพร้อมที่
จะปรับปรุงหรือพัฒนาตนเองให้เหมาะสมยิ่งขึ้น การประเมินในส่วนนี้เป็นการ
ประเมินตามสภาพจริงและอาจใช้แฟ้มสะสมผลงานช่วย

14

3. บทบาทของครูผู้สอน

บทบาทของครูผู้สอนในการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญจะไม่เป็นผู้ชี้นำ
หรือผู้ออกคำสั่งแต่จะเปลี่ยนเป็นผู้กระตุ้น ผู้อำนวยความสะดวกและให้คำแนะนำ
ช่วยเหลือเมื่อจำเป็น ติดตามตรวจสอบ รวมทั้งให้การสนับสนุนด้านอุปกรณ์การ
เรียนรู้ เช่น แหล่งข้อมูล เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ที่เป็นสื่อการเรียนรู้รูป
แบบต่างๆ เว็บไซด์ อีเมล์ ฯลฯ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบลักษณะการจัดกิจกรรมการ
เรียนการสอนของครูสมัยใหม่กับครูสมัยเก่าก็จะเห็นความแตกต่าง ดังนี้

ครูสมัยใหม่ ครูสมัยเก่า

1. สอนนักเรียนโดยวิธีบูรณาการเนื้อหาวิชา 1. สอนแยกเนื้อหาวิชา

2. แสดงบทบาทในฐานะผู้แนะนำ (Guide) 2. มีบทบาทในฐานะตัวแทนของเนื้อหา
ประสบการณ์ทางการศึกษา วิชา(Knowledge)

3. กระตือรือร้นในบทบาท ความรู้สึกของ 3. ละเลยเฉยเมยต่อบทบาทนักเรียน
นักเรียน
4. ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการวางแผนของ 4. นักเรียนไม่มีส่วนร่วมแม้แต่จะพูด
หลักสูตร เกี่ยวกับหลักสูตร

5. ใช้เทคนิคการค้นพบด้วยตนเองของ 5. ใช้เทคนิคการเรียนโดยใช้การจำเป็นหลัก
นักเรียนเป็นกิจกรรมหลัก
6. เสริมแรงหรือให้รางวัลมากกว่าการ 6. มุ่งเน้นการให้รางวัลภายนอก เช่น เกรด
ลงโทษ โดยใช้แรงจูงใจภายใน แรงจูงใจภายนอก
7. เคร่งครัดกับมาตราฐานทางวิชาการมาก
7. ไม่เคร่งครัดกับมาตราฐานทางวิชาการ
จนเกินไป

8. มีการทดสอบเล็กน้อย 8. มีการทดสอบสม่ำเสมอเป็นระยะๆ

9. มุ่งเน้นการทำงานแบบร่วมใจ 9. มุ่งเน้นการแข่งขัน

15

3. บทบาทของครูผู้สอน

ครูสมัยใหม่ ครูสมัยเก่า

10. สอนโดยไม่ยึดติดกับห้องเรียน 10. สอนในขอบเขตของห้องเรียน

11. มุ่งสร้างสรรค์ ประสบการณ์ใหม่ให้ 11. เน้นย้ำประสบการณ์ใหม่เพียงเล็กน้อย
นักเรียน 12. มุ่งเน้นความรู้ทางวิชาการเป็นสำคัญ
12. มุ่งเน้นความรู้ทางวิชาการและ ละเลยความรู้สึกหรือทักษะทางด้านจิตพิสัย
ทักษะด้านจิตพิสัย เท่าเทียมกัน
13. มุ่งเน้นการประเมินกระบวนการเป็น 13. ประเมินกระบวนการเล็กน้อย
สำคัญ

เอกสารอ้างอิง

นาตยา ปิ ลันธนานนท์และคณะ. การเรียนการสอน
ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ.[ออนไลน์]. (2542). เข้าถึง
ได้จาก http://www3.ru.ac.th/km-
technical/index.php/km/viewIndex/7 (สืบค้น
เมื่อ: 24 ธันวาคม 2564).

16

5. การจัดการเรียนรู้นอกห้องเรียน
(Outdoor Education)

1. ปรัชญาและทฤษฎีการเรียนรู้

ปรัชญาและทฤษฎีการเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนนอกห้องเรียน เน้น
ให้ความสำคัญกับผลกระทบของสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติของมนุษย์ บทบาทของการ
ศึกษาในเรื่องความเครียด การท้าทาย และการเรียนรู้ประสบการณ์การสร้างและพัฒนา
ทัศนคติที่ดีต่อการเรียน ทำได้โดย

1.1 จัดประสบการณ์ที่นำความพอใจ นำความสนุกสนานให้แก่ผู้เรียน โดยการสอนวิชา
ต่าง ๆ ให้เด็กเกิดความรู้ ความเข้าใจอย่างแท้จริง

1.2 จัดสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ในโรงเรียนให้น่าสนใจ เช่น สภาพของห้อง บรรยากาศใน
ห้องเรียน มีการจัดห้องสมุดศูนย์การเรียน ห้องอ่านหนังสือ มุมวิทยาศาสตร์ และห้อง
ชวนคิด เป็นต้น

2. การสร้างความสนใจให้กับผู้เรียน

1. ต้องศึกษาถึงความต้องการของผู้เรียนโดยส่วนใหญ่ว่าเป็นอย่างไร จะได้จัดบท
เรียนสภาพห้องเรียน สื่อการเรียนต่าง ๆ ให้ตรงกับความต้องการของเขา

2. ก่อนจะสอนเรื่องใดควรสำรวจความสามารถพื้นฐาน ตลอดจนความถนัดของผู้
เรียนก่อนเพื่อจัดสิ่งเร้าให้ตรงกับที่เขาต้องการ

17

2. การสร้างความสนใจให้กับผู้เรียน

3. จัดสภาพห้องเรียนให้น่าสนใจ ตั้งคำถามยั่วยุและท้าทายความสามารถของ
นักเรียนในขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้ผู้เรียนตื่นตัวกับสภาพการณ์บางอย่างที่เป็น
ปัญหาที่แปลกไปจากเดิม เป็นต้น

4. ฝึกให้ผู้เรียนเรียนรู้ ด้วยตัวเขาเอง จากการศึกษานอกสถานที่ จากการสังเกต
หรือจากการสัมภาษณ์ สอบถามจากแหล่งวิชาการต่าง ๆ ตลอดจนการทดลอง
ค้นคว้าหาคำตอบด้วยตนเองด้วยวิธีการเรียนแบบสืบสวนสอบสวน หรือให้นักเรียน
ฝึกเป็นผู้นำและผู้ตามได้ในโรงเรียน หรือนอกห้องเรียน โดยให้นักเรียนเป็นผู้ดำเนิน
งานเกี่ยวกับการเรียนการสอนและการฝึกวินัยด้วยตัวของนักเรียนเอง

3. การจัดกิจกรรมนอกห้องเรียน

การออกแบบกิจกรรมนอกห้องเรียนเพื่อพัฒนาทักษะ ความสามารถผู้เรียน มีแนว
ดำเนินการดังนี้ การจัดกิจกรรมนอกห้องเรียนให้มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมให้ผู้เรียน
เกิดทักษะ ความสามารถสอดคล้องตามจุดเน้นการพัฒนาผู้เรียนได้อย่างแท้จริง
สิ่งสำคัญคือการออกแบบกิจกรรมนอกห้องเรียนอย่างเป็นระบบ มีความเชื่อมโยง
ต่อเนื่องตลอดเวลา

18

4. ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้

1. ขั้นวางแผน ควรดำเนินการดังนี้
1.1 ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันกำหนดวัตถุประสงค์หัวข้อ เรื่องหรือประเด็นที่
จะศึกษาเรียนรู้
1.2 สำรวจแหล่งเรียนรู้ ประเภทต่าง ๆ ซึ่งอาจเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการ
สัมภาษณ์ แบบสอบถาม แบบสำรวจ เป็นต้น
1.3 นำข้อมูลที่ได้มาจัดทำทะเบียน หมวดหมู่ รายชื่อ รายละเอียดของแหล่ง
เรียนรู้
1.4 ผู้สอนและผู้เรียนเลือกแหล่งเรียนรู้ ที่สอดคล้องกับหัวข้อเรื่องและ
วัตถุประสงค์ที่ต้องการเรียน
1.5 ประสานขอความร่วมมือในการใช้แหล่งเรียนรู้
1.6 ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันกำหนดกรอบเนื้อหา ประเด็นศึกษากิจกรรมหรือ
วิธีการที่จะศึกษา เช่น จะใช้วิธีการสังเกต การจดบันทึก อัดเทป ถ่ายภาพ ถ่าย
วีดีทัศน์ สัมภาษณ์ ลงมือปฏิบัติหรือทดลอง เป็นต้น ซึ่งวิธีการใดจำเป็นจะ
ต้องใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ก็จะต้องมีการจัดเตรียมให้เรียบร้อย
1.7 กำหนดและมอบหมายหน้าที่ความรับผิดชอบให้ผู้เรียนทุกคนอย่างชัดเจน
อาจจะจัดทำเป็นเอกสารแจกให้สมาชิกทุกคนรับรู้ ตรงกัน หรือกรณีที่แบ่งผู้
เรียนออกเป็นกลุ่ม อาจจะให้โอกาสสมาชิกประชุมเตรียมการร่วมกัน
1.8 กำหนดวัน เวลา วิธีการเดินทางและค่าใช้จ่าย (ถ้ามี)

2. ขั้นเก็บรวบรวมข้อมูล ควรดำเนินการดังนี้
2.1 ผู้สอนนำผู้เรียนไปเรียนที่แหล่งเรียนรู้ ซึ่งผู้สอนควรจะดูแลเอาใจใส่ใน
เรื่องความปลอดภัย สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนและให้คำปรึกษา แนะนำ
ตามความเหมาะสม
2.2 ผู้เรียนจะได้นำทักษะกระบวนต่าง ๆ ไปใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น
สังเกตการใช้ ภาษาในการสัมภาษณ์ การจดบันทึกข้อมูลด้วยวิธีต่าง ๆ
เป็นต้น โดยผู้สอนคอยดูแล ช่วยเหลือให้ผู้เรียนมีการศึกษาเรียนรู้ คอย
ไต่ถามถึงการทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามที่เตรียมไว้ เพื่อให้ได้ข้อมูลมากที่สุด

19

3. ขั้นสรุปผลการเรียนรู้ อาจทำได้ดังนี้
3.1 สรุปการเรียนรู้ ทันที ในกรณีที่สามารถจัดสรรเวลาได้และไม่รีบเดินทางกลับ ควรให้
โอกาสผู้เรียนสรุปผลการเรียนรู้ ทันที ณ สถานที่ศึกษาดูงาน จะทำให้ได้ผลดีมากเพราะยัง
จำความคิดประสบการณ์ ข้อมูล และความรู้สึกต่าง ๆ ได้ดี
3.2 สรุปการเรียนรู้ หลังจากกลับถึงสถานศึกษา ซึ่งโดยทั่วไปหลังจากศึกษาเรียนรู้ แล้ว
ผู้สอนและผู้เรียนมักจะไม่มีเวลาสรุปทันที ดังนั้น เมื่อเดินทางกลับถึงสถานศึกษาแล้วควร
รีบหาโอกาสให้ผู้เรียนสรุปผลการเรียนรู้ โดยเร็ว การสรุปผลการเรียนรู้ ทำได้หลายวิธี
เช่น ให้ผู้เรียนแต่ละคนนำเสนอประสบการณ์ และข้อมูลที่ตนได้รับจากการศึกษา จัดให้มี
การอภิปรายร่วมกันในประเด็นหรือหัวข้อที่สำคัญ การเขียนรายงาน การจัดนิทรรศการ
เป็นต้น และในการสรุปผลการเรียนรู้นั้นผู้สอนควรดูแลให้มีการสรุปให้ครอบคลุมประเด็น
การเรียนรู้ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่

1. ด้านความรู้ที่ได้รับ
2. ด้านเจตคติ
3. ด้านทักษะกระบวนการที่ใช้ในการแสวงหาความรู้ เช่น กระบวนการคิด กระบวนการ
ทำงานเป็นกลุ่ม เป็นต้น

4. ขั้นประเมินผล เป็นขั้นที่ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันประเมินผล เพื่อให้ทราบว่าการไป
ทัศนศึกษาครั้งนี้มีผลเป็นอย่างไร เช่น บรรลุตามวัตถุประสงค์หรือไม่ ปัญหาและอุปสรรค์
มีอะไรบ้าง ตลอดจนข้อเสนอแนะอื่น ๆ ซึ่งอาจประเมินได้จากการสอบถาม การสังเกต
หรือข้อเสนอแนะต่าง ๆ เป็นต้น

20

5. ข้อดีของการเรียนรู้นอกห้องเรียน

1. ช่วยให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรง ได้เรียนรู้ สัมผัสสภาพ
ความเป็นจริง ก่อให้เกิดการเชื่อมโยง ระหว่างการเรียนรู้ใน
ห้องเรียนและสภาพความเป็นจริง
2. เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศของกระบวนการเรียนรู้ ส่งผลให้ผู้
เรียนตื่นตัว สนใจ สนุกสนานกับการเรียนรู้
3. ฝึกให้ผู้เรียนมีทักษะด้านต่าง ๆ เช่น ความรับผิดชอบ เสีย
สละ สามัคคี ทักษะการวางแผนทำงานกลุ่ม ประสานงาน
เป็นต้น
4. ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรและแหล่งเรียนรู้ในชุมชนและท้อง
ถิ่นให้เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้
5. ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน ผู้เรียน
ด้วยกันเอง และสถานศึกษากับชุมชน
6. ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อสื่ออุปกรณ์การสอน

6. ข้อจำกัด

1. ต้องมีการเตรียมวางแผนติดต่อประสานงาน จัดการ และต้อง
รับผิดชอบงานหลายด้าน
2. หากบริหารจัดการไม่ดี อาจจะมีค่าใช้จ่ายสูง ใช้เวลามาก
3. มีความเสี่ยงต่ออันตรายทั้งการเดินทาง และการเข้าศึกษาหรือ
ชมกิจการ
4. หากผู้เรียนกลุ่มใหญ่มากเกินไป อาจจะไม่ได้ผลดีและยากต่อ
การควบคุม แหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียน

21

7. ความสำคัญของแหล่งเรียนรู้

1. เป็นแหล่งสร้างเสริมความรู้ ความคิด และประสบการณ์
2. เป็นแหล่งเสริมสร้าง จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
3. เป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต
4. เป็นแหล่งปลูกฝังนิสัยรักการอ่านและแหล่งการศึกษา
ค้นคว้า
5. เป็นแหล่งส่งเสริมมิตรภาพ ความสัมพันธ์ระหว่างคนใน
ชุมชนกับภูมิปัญญาท้องถิ่น
6. เป็นแหล่งเสริมสร้างประสบการณ์ตรง
7. เป็นแหล่งส่งเสริมความคิดให้เกิดอาชีพใหม่

8. หลักการพื้นฐานของการเรียนรู้โดยใช้แหล่งเรียนรู้ในชุมชนและธรรมชาติ

1. การเรียนรู้เกิดขึ้นได้กับทุกคนในทุกสถานที่ ทุกเวลา
2. แหล่งเรียนรู้ของชุมชนมีอยู่มากมายทั้งที่เป็นองค์กรจัดตั้ง
สถาบัน ชุมชน วิถีชีวิต การทำมาหากิน ประเพณี พิธีกรรมและสิ่ง
แวดล้อมทางธรรมชาติ
3. การเรียนรู้ที่ดีเกิดขึ้นจากการที่ทุกฝ่ายสร้างเครือข่ายเชื่อมโยง
ประสบการณ์ให้เกิดสังคมการเรียนรู้ และสังคมคุณธรรม
4. การเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ในชุมชนและธรรมชาติเป็นกระบวน
การเรียนรู้ที่มีความสุข สร้างสรรค์ความคิดและประสบการณ์ชีวิต
ที่มีคุณค่า ควรจัดทำแนวทางการดำเนินงานเกี่ยวกับการจัดการ
เรียนรู้ในเรื่องต่อไปนี้
- การสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสถานศึกษากับแหล่งเรียน
- การวางแผนและการติดต่อประสานงาน

22

8. หลักการพื้นฐานของการเรียนรู้โดยใช้แหล่งเรียนรู้ในชุมชนและธรรมชาติ

- การวางแผนวิธีการศึกษาหาความรู้และการจัดกิจกรรมต่าง ๆ
- การกำหนดบทบาทผู้บริหาร ครู บุคลากรอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
- การกำหนดมาตรการป้องกันและการประกันความปลอดภัยโดยอาจ
แสวงหารูปแบบการประกันภัยที่ประหยัด และมีประสิทธิภาพให้กับผู้เรียน
- การสรุปสาระสำคัญการวัดและประเมินผลการเรียนรู้

เอกสารอ้างอิง

Anon. การจัดการเรียนรู้นอกห้องเรียน (Outdoor
Education). [ออนไลน์]. (2560). เข้าถึงได้จาก
http://www.vec.go.th/LinkClick.aspx?
fileticket=Z6owVzSFFQI%3D&tabid=7119&portali
d=93&mid=17326 (สืบค้นเมื่อ: 24 ธันวาคม 2564).


Click to View FlipBook Version