รายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน
เรื่อง การแต่งคำประพันธ์
ประเภทร่าย
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
โดย ปส.นฤมล พุทธจักจันทร์
ก า ร แ ต่ ง คำ ป ร ะ พั น ธ์ ป ร ะ เ ภ ท ร่ า ย
ร่าย เป็นชื่อของคำประพันธ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่กำหนดว่าจะต้องมีบทหรือบาท
เท่านั้นเท่านี้ จะแต่งให้ยาวเท่าไรก็ได้ เป็นแต่ต้องเรียงคำให้คล้องจองกันตามข้อบังคับ
เท่านั้น ลักษณะบังคับต่าง ๆ ใช้อย่างเดียวกับ โคลง ๒ และโคลง ๓ คำร่าย "ร่าย"
แปลว่า อ่าน เสก หรือ เดิน
- ร่ายที่นิยมแต่งในวรรณกรรมไทยมี ๔ ชนิดคือ ร่ายดั้น ร่ายโบราณ ร่ายยาว
และร่ายสุภาพ
- ร่ายมีลักษณะบังคับ ๕ อย่าง คือ คณะ พยางค์ สัมผัส คำเอกคำโท และ
คำสร้อย
แผนผังร่ายดั้น
ข้อบังคับ/ฉันทลักษณ์
๑. บทหนึ่งๆ มีตั้งแต่ ๕ ขึ้นไป ๔ วรรคตอนจบนั้นต้องบาท ๓ และบาท ๔ ของโคลงดั้นวิวิธมาลี
เสมอ วรรคหนึ่งใช้คำตั้งแต่ ๓ - ๘ คำ
๒. สัมผัส เหมือนกับร่ายสุภาพ นอกจากตอนจบเท่านั้นที่ต่างกัน
๓. บังคับเอก โท ตามบาทที่ ๓ และ ๔ ของโคลงดั้นวิวิธมาลี
๔. ถ้าคำที่ส่งสัมผัสเป็นคำตายหรือคำตาย คำที่รับสัมผัสจะต้องเป็นคำเป็น หรือเป็นคำตายด้วย
และคำสุดท้ายของบทห้ามใช้คำตาย
๕. เติมคำสร้อยในตอนสุดท้ายของบทได้อีกสองคำ หรือ จะเติมสร้อยระหว่างวรรคก็ได้
ตัวอย่าง
ศ รี สุ น ท ร ป ร ะ ฌ า ม ง า ม ด้ ว ย เ บ ญ จ พิ ธ อ ง ค์ ป ร ะ ดิ ษ ฐ์ อุ ต ด ม อั ญ ข ย ม ป ร ะ จ ง
ถ ว า ย พ ร้ อ ม ด้ ว ย ก า ย ว า จ า จิ ต . . . ม ว ล ม า ร พ่ า ย แ พ้ สู ญ สิ้ น เ ส ร็ จ ท ร ง พ ร ะ คุ ณ ล้ำ ล้ น
เ ลิ ศ ค รู
( ลิ ลิ ต ดั้ น ม า ต า ปิ ตุ คุ ณ ค า ถ า บ ร ร ย า ย )
แ ผ น ผั ง ก า ร แ ต่ ง ร่ า ย โ บ ร า ณ
ข้อบังคับ/ฉันทลักษณ์
ร่ายโบราณ คือ ร่ายที่กำหนดให้วรรคหนึ่งมีคำห้าคำเป็นหลัก บทหนึ่งต้องแต่งให้
มากกว่าห้าวรรคขึ้นไป การสัมผัส คำสุดท้ายของวรรคหน้าสัมผัสกับคำที่หนึ่ง สอง หรือสาม
คำใดคำหนึ่งของวรรคถัดไป และยังกำหนดอีกว่า หากส่งด้วยคำเอก ต้องสัมผัสด้วยคำเอก
คำโทก็ด้วยคำโท คำตายก็ด้วยคำตาย ในการจบบทนั้น ห้ามไม่ให้ใช้คำที่มีรูปวรรณยุกต์
ประสมอยู่เป็นคำจบบท อาจจบด้วยถ้อยคำและอาจแต่งให้มีคำสร้อยสลับวรรคก็ได้
ตัวอย่าง
พระบาท
เสด็จ บ มิช้า พลหัวหน้าพะกัน แกว่งตาวฟันฉฉาด แกว่งดาบฟาดฉ
ฉัด ซ้องหอกซัดยยุ่ง ซ้องหอกพุ่งยย้าย ข้างซ้ายรบ บ มิคลา ข้างขวารบ บ มิแคล้ว
แกล้วแลแกล้วชิงข้า กล้าแลกกล้าชิงขัน รุมกันพุ่งกันแทง เข้าต่อแย้งต่อยุทธ์ โห่อึง
อุดเอาชัย เสียงปืนไฟกึกก้อง สะเทือนท้องพสุธา หน้าไม้ดาปืนดาษ ธนูสาดศรแผลง
แข็งต่อแข็งง่าง้าง ช้างพะช้างชนกัน ม้าผกผันคลุกเคล้า เข้ารุกรวนทวนแทง รุกแรง
เร่งมาหนา ถึงพิมพิสารครราช พระบาทขาดคอช้าง ขุนพลคว้างขวางรบ กันพระศพ
กษัตริย์ หนีเมื้อเมืองท่านไท้ ครั้นพระศพเข้าได้ ลั่นเขื่อนให้หับทวาร ท่านนา
(ลิลิตพระลอ)
แบบมีสร้อยสลับวรรค
เจ้าเผือเหลือแผ่นดิน นะพี่ หลากระบิลในแหล่งหล้า นะพี่ บอกแล้วจะไว้หน้า
แห่งใด นะพี่ ความอายใครช่วยได้ นะพี่ อายแก่คนไสร้ท่านหัว นะพี่ แหนงตัวตายดี
กว่า นะพี่ สองพี่อย่าถามเผือ นะพี่ เจ็บเผื่อเหลือแห่งพร้อง โอเอ็นดูรักน้อง อย่าซ้ำจำ
ตาย หนึ่งรา
(ลิลิตพระลอ)
ร่ายยาว
การแต่งร่ายยาว ต้องรู้จักเลือกใช้ถ้อยคำและสัมผัสในให้มีจังหวะรับกันสละสลวย
เมื่ออ่านแล้ว ให้เกิดความรู้สึก มีคลื่นเสียงเป็นจังหวะ ๆ อย่างที่เรียกว่า "เสียงดิ้น" หรือ
"เสียงมีชีวิต" และจำนวนคำที่ใช้ ในวรรคหนึ่งก็ไม่ควรให้ยาวเกินกว่าช่วงระยะหายใจ ครั้ง
หนึ่ง ๆ คือ ควรให้อ่านได้ตลอดวรรค แล้วหยุดหายใจได้ โดยไม่ขาดจังหวะ ดูตัวอย่างได้ใน
หนังสือมหาเวสสันดรชาดก ร่ายยาวนี้ใช้แต่งเทศน์หรือบทสวดที่ต้องว่าเป็นทำนอง เช่น
เทศน์มหาชาติ และเทศน์ธรรมวัตร เป็นต้น เมื่อจบความตอนหนึ่ง ๆ มักลงท้ายด้วยคำว่า
นั้นแล นั้นเถิด นี้แล ฉะนี้แล ด้วยประการฉะนี้ คำนั้นแล นิยมใช้เมื่อ สุดกระแสความตอนหนึ่ง
ๆ หรือจบเรื่อง เมื่อลง นั้นแล ครั้งหนึ่ง เรียกว่า "แหล่" หนึ่ง ซึ่งเรียกย่อมาจากคำ นั้นแล
นั่นเอง เพราะเวลาทำนองจะได้ยินเสียง นั้นแล เป็น นั้นแหล่
แ ผ น ผั ง ร่ า ย ย า ว
ข้อบังคับ/ฉันทลักษณ์
บทหนึ่งจะมีกี่วรรคก็ได้ มักจะมีตั้งแต่ ๕ วรรคขึ้นไป ก็ไม่กำหนดตายตัวแน่นอน จะมีกี่คำ
ก็ได้แล้วแต่จะเห็นเหมาะมักอยู่ระหว่าง ๘-๑๓ คำ
การสัมผัสของร่ายยาว
คำสุดท้ายของวรรคต้น จะส่งสัมผัสไปยังวรรคต่อไป คำใดก็ได้ยกเว้นคำแรกและคำสุดท้าย
ซึ่งไม่นิยมรับสัมผัส ส่วนการส่งและการรับด้วยเอกโท อย่างร่ายที่กล่าวมาแล้วนั้น ไม่ถือเป็น
ระเบียบเคร่งครัดนักการแต่งร่ายยาวผู้แต่งจะต้องรู้จักเลือกใช้ถ้อยคำ และสัมผัสในให้มีจังหวะรับ
กันอย่างสละสลวยและจำนวนคำที่ใช้ในวรรคหนึ่งๆก็ไม่ควรยาวเกินกว่าช่วงระยะหายใจครั้งหนึ่ง ๆ
ตัวอย่าง
โส โพธิสตฺโต สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ อันสร้างสมดึงส์ปรมัตถบารมี เมื่อจะรับวโรรัตนเรือง
ศรีแปดประการ แด่สำนักนิท้าวมัฆวานเทเวศร์ ก็ทูลแก่ท้าวสหัสเนตร ฉะนี้
(กาพย์มหาชาติ สักรบรรพ)
การแต่งร่ายสุภาพ
ร่ายที่นิยมกันแพร่หลายตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน คือ ร่ายสุภาพ และมักมีการนำร่าย
สุภาพไปแต่งเป็นส่วนหนึ่งของลิลิต เช่น ลิลิตพระลอ ลิลิตตะเลงพ่าย ร่ายสุภาพ ปรากฏครั้ง
แรกในวรรณคดีเรื่อง ลิลิตพระลอ สันนิษฐานว่าเริ่มแต่งในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น
แ ผ น ผั ง ร่ า ย สุ ภ า พ
ตัวอย่าง
จึ่งกองพยุหทวยทัพ สรรพหลังหน้าขวาซ้าย ผ้ายทันธิบดินทร์ ขณะอรินทรพินาศ ขาดคอคช
สองเสร็จ ต่างรีบระเห็จเข้าโรม โหมหักหาญราญรุก บุกบั่นฟันแทงฆ่า พม่ามอญไทยใหญ่ ไล่ล้าง
ลาวดาษดวน ไล่มล้างยวนดาษดื่น ตื่นกันแตกกันตาย หลายเหลือนับเนืองนอง กองก่ายกาย
รายหัว ตัวขาแขนเด็ดดาษ กลาดกลางท่งกลางเถื่อน เกลื่อนกลางดงกลางดอน แล่นซอกซอนซนซุก
บุกทุกภายพ่ายแพ้ เพราะพระเดชท่านแท้ หากให้ขาดเข็ญ แลนา
(ลิลิตตะเลงพ่าย : สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส)
หลักการแต่งร่ายสุภาพ
๑. บทหนึ่ง ๆ มีตั้งแต่ 5 วรรคขึ้นไป จัดเป็นวรรคละ ๕ คำ หรือจะเกิน ๕ คำบ้างก็ได้ แต่ไม่
ควรเกิน 5 จังหวะในการอ่าน จะแต่งยาวกี่วรรคก็ได้ แต่ตอนจบจะต้องเป็นโคลงสองสุภาพเสมอ
๒. การสัมผัส คำสุดท้ายของวรรคหน้าจะสัมผัสกับคำที่ 1 หรือ ๒ หรือ ๓ ของวรรคถัดไป
ทุกวรรค นอกจากตอนจบจะต้องให้สัมผัสแบบโคลงสองสุภาพ
๓. คำสัมผัสวรรคแรกเมื่อมีรูปวรรณยุกต์ วรรคที่สัมผัสด้วยก็ต้องมีรูปวรรณยุกต์ หรือถ้า
คำสัมผัสวรรคแรกเมื่อไม่มีรูปวรรณยุกต์ วรรคที่สัมผัสด้วยก็ต้องไม่มีรูปวรรณยุกต์เช่นกัน
๔. คำเอกคำโท มีบังคับคำเอกคำโทเฉพาะที่โคลงสองสุภาพตอนท้ายบทเท่านั้น
๕. ถ้าคำสัมผัสที่ส่งเป็นคำเป็นหรือคำตาย คำที่รับสัมผัสจะต้องเป็นคำเป็นหรือคำตายด้วย
และคำสุดท้ายของบท ห้ามใช้คำตาย
๖. คำสร้อย ร่ายสุภาพแต่ละบท มีคำสร้อยได้เพียง ๒ คำ คือ สองคำสุดท้ายของโคลงสอง
สุภาพ
การแต่งคำประพันธ์ ประเภทโคลงสองสุภาพ
ลักษณะของโคลงสองสุภาพ
การแต่งโคลงสองสุภาพ การสัมผัสของคำที่ ๕ วรรคหนึ่ง จะต้องสัมผัสกับคำที่ ๕ วรรคสอง
หากเป็นการแต่งเพื่อเข้าลิลิต จะต้องให้คำสุดท้ายของบทสัมผัสกับคำที่ ๑ คำที่ ๒ หรือ คำที่ ๓ ของบท
โคลงสองสุภาพบทหนึ่งจะมี ๓ วรรค วรรคละ ๕ คำ ซึ่งรวมทั้งหมด ๓ วรรคจะมีจำนวนคำรวมทั้ง
สิ้น ๑๕ คำ และในวรรคสุดท้ายสามารถที่จะใส่คำสร้อยได้เพิ่มขึ้นอีก ๒ คำ เพื่อเพิ่มความไพเราะให้กับ
บทกลอนจำนวนพยางค์ต้องมีตามแบบแผนผัง ถ้าหากเป็นพยางค์ลักษณะของลหุอาจจะมีได้มากเกิน
กว่าที่แผนผังได้กำหนดไว้ก็ได้ แต่จะต้องไม่ยาวจนมีความรู้สึกว่าเยิ่นเย้อ ทําให้อ่านไม่ถูกทํานองและ
ลงจังหวะไม่ได้
แ ผ น ผั ง ร่ า ย ย า ว
โคลงสองเป็นอย่างนี้ แสดงแก่กุลบุตรชี้
เช่นให้เห็นเลบง แบบนา
การใช้คำเอกคำโท
คำเอก คำโท คือ พยางค์หรือคำที่ปรากฏรูปวรรณยุกต์เอก และรูปวรรณยุกต์โทตามลำดับ ใช้
ในคำประพันธ์ประเภทโคลง คำประพันธ์ประเภทร่าย (เพราะการแต่งร่ายต้องจบบทด้วยคำ
ประพันธ์ประเภทโคลงสองสุภาพเท่านั้น)
๑. การบังคับคำเอก จะอยู่ที่คำที่ ๔ ของวรรคแรก คำที่ ๒ ของวรรคสอง และคำที่ ๑ ของวรรคสาม
สามารถใช้คำตายแทนรู ปวรรณยุกต์เอกได้
- คำเอก คือ พยางค์หรือคำที่ปรากฏรูปวรรณยุกต์เอก เช่นคำว่า แต่ ข่อย เฟื่ อง ก่อ บ่าย ท่าน พี่
ช่วย บ่ คู่ อยู่ ต่อ ร่าย ส่าย ใหญ่ ห่อ อ่าน ย่าน ฯลฯ
การใช้คำเอก อนุโลมให้ใช้คำตายแทนได้ (คำตาย คือ คำที่ประสมด้วยสระเสียงสั้นและไม่มีตัวสะกด
หรือคำที่มีตัวสะกดในมาตราตัวสะกดแม่กก แม่กด แม่กบ) เช่นคำว่า พระ ตราบ ออก ปะทะ จักร ขาด
บัด
๒. การบังคับคำโท จะอยู่ที่คำที่ ๕ ของวรรคหนึ่งและวรรคสอง และคำที่ ๒ ของวรรคสาม ไม่สามารถ
ใช้คำอื่นแทนวรรณยุต์โทนอกจากคำที่มีรู ปวรรณยุกต์โทเท่านั้ น
- คำโท คือ พยางค์หรือคำที่ปรากฏรูปวรรณยุกต์โท เช่นคำว่า ค้ำ ข้อง ไซร้ ทั้ง รู้ ไท้ เพี้ยง สู้ น้ำ
ม้า เช้า ต้อง ป้อง นี้ สั้น ปั้ น ต้าน ห้าง เสี้ยน ฯลฯ
๓. สามารถใช้วรรณยุกต์เอกหรือโทที่ตำแหน่งอื่น ๆ นอกเหนือจากที่บทกลอนบังคับไว้ ได้ แต่อย่าให้
มากนักเพื่อความไพเราะ
๔. คำสุดท้ายของบท ห้ามใช้คำที่มีรูปวรรณยุกต์ และเสียงที่นิยมใช้สำหรับลงท้ายบทซึ่งมักจะถือกัน
ว่าไพเราะที่สุดสำหรับการลงเสียงคำท้ายบท ก็คือเสียงจัตวาที่ไม่มีรูปวรรณยุกต์
ตัวอย่างร่ายสุภาพ วันปีใหม่