โครงการการพัฒนาเครื่องมือออกแบบหลักสู ตรการเรียนรู้
ที่เชื่อมต่อโรงเรียนกับชุมชน School Concept
โดยความร่วมมือจาก
คณะวิทยาการเรียนรู้และศึ กษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ร่วมกับ
กองทุนเสมอภาคทางการศึ กษา (กสศ.)
ผู้จัดทำ
The Legend
โรงเรียนอนุบาลหนองหานวิทยายน
ตำนานพื้นบ้านแต่ละตำนานของภาคอีสาน ซึ่งบรรพบุรุ ษได้ผูกเรื่อง
แต่งขึ้นไว้เป็ นหลักฐาน เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ฟั งจากการเล่าของผู้เฒ่าคนแก่
ที่เป็ น “ปราชญ์หมู่บ้าน” อ่านจากหนั งสือผูกที่เก็บไว้ในวัดบ้าง หรือชม
“หมอลำเรื่อง” ที่แสดงกันอยู่บนเวทีกลางแจ้งบ้าง นอกจากจะทำให้เกิด
ความสนุกสนาน ยังเป็ นวรรณกรรมที่แฝงไว้ด้วยคุณธรรมและจริยธรรม
สอนให้ผู้คนทั้งหลายประกอบแต่กรรมดี ละเว้นกรรมชั่วทั้งสิ้น
เล่ากันว่า ณ เมืองหนองหานน้ อยในอดีต ยุคขอมเรืองอำนาจ
ปกครองบ้านเมืองแถบนั้ น คือบ้านดงแพง เพราะบริเวณ“บ้านดงแพง”
มีชัยภูมิที่เหมาะสม ชาว “ไทยพวน” จากฝั่ งซ้ายเมืองลาวได้อพยพ
ครอบครัวมาตั้งถิ่นฐานประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีลูกเต้า หลาน เหลน
สืบต่อกันมานานหลายชั่วอายุคน โดยต่อมาตั้งชื่อชุมชนแห่งนั้ นว่า
“บ้านเชียง”
ในครอบครัวหนึ่ งได้บุตรชายมีรู ปร่างหน้ าตางดงามน่ ารักน่ าชังมา
ตั้งแต่เด็ก ๆ พ่อแม่ได้ตั้งชื่อหนูน้ อยว่า “งาม” เมื่อเขาเติบโตอายุได้ราว
๑๐ ขวบ พ่อแม่ได้นำไปฝากกับหลวงตา บรรพชาเป็ นสามเณรน้ อยบวช
เรียนที่วัดแถวชานเมืองหนองหาน บวชได้ ๕-๖ ปี สามเณรน้ อยก็
แตกฉานในธรรมวินั ย ทั้งอรรถกถาและฎีกา
ในช่วงนั้ นเองสามเณรรู ปงามกำลังแตกเนื้ อหนุ่ ม รู ปร่างหน้ าตายิ่ง
คมคายมีเสน่ ห์ต้องใจสาวแก่แม่หม้ายเป็ นยิ่งนั ก ทั้งการแสดงธรรม
เทศนาก็ยังมีเสียงไพเราะจับจิตจับใจน่ าฟั ง เล่นเอาสาว ๆ หลงใหลใน
ตัวสามเณรหนุ่ ม พากันไปเฝ้ าปรนนิ บัติไม่เว้นแต่ละวัน
ความงดงาม หล่อเหลา ของสามเณรหนุ่ ม ล่วงรู้ไปถึงในรั้วในวัง
พระยาขอม ทำให้นางสนมกำนั ลพากันแตกตื่นไปชื่นชมความหล่อของ
สามเณรหนุ่ มถึงในวัด นางใดได้สบตาก็จะหลงรักใคร่ อยู่เฝ้ าปรนนิ บัติ
ไม่ยอมห่าง เล่นเอาพ่อบ้านพ่อเรือนพากันเดือดร้อน เนื่ องจากไม่มีแม่
บ้านหาข้าวหาปลาให้รับประทาน เป็ นอยู่อย่างนี้ มานาน
พระยาขอมทราบเรื่อง จึงได้ไตร่ตรองว่า ถ้าขืนปล่อยไว้มันอาจจะ
ลุกลามมาถึงนางสนมของเรา ไม่วันใดก็วันหนึ่ ง จึงได้ขอร้องแกมบังคับให้
สามเณรน้ อยสึกออกมาเป็ น “เซียง” (ตามภาษาพื้นบ้านอีสาน เมื่อสามเณร
น้ อยยอมสึกออกมา หมู่บ้านแห่งนั้ นจึงมีชื่อเรียกว่า “บ้านชียงงาม” มาจนถึง
ปั จจุบัน พอสึกออกมา เหตุการณ์ยิ่งไปกันใหญ่ สาวแก่แม่หม้าย รวมถึงนาง
สนม ได้ถือโอกาสเข้า ปรนนิ บัติหนุ่ ม “เชียงงาม” มากกว่าเดิม
พระยาขอมจึงใช้มาตรการครั้งที่สอง ขับไล่เชียงงามออกจากหมู่บ้านไปอยู่ที่
อื่น หนุ่ มน้ อยจึงกลับไปอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านเชียง เพื่อหลบหนี “อิตถีเพศ”
แต่ก็หนี ไม่พ้นเพราะสาว ๆ ยังตามไปเฝ้ าปรนนิ บัติ “เชียงงาม” หนุ่ มชนิ ด
คิวไม่ว่าง ทั้งวันทั้งคืน ทำให้เหล่าเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย พากันเดือดร้อน
เพราะลูกเมียไม่อยู่บ้าน จึงไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพระยาขอมผู้เป็ นเจ้า
เมืองอีกครั้ง
คราวนี้ พระยาขอมใช้มาตรการเด็ดขาด สั่ งจับเชียงงามไปประหารชีวิต และ
ก่อนที่ดาบประหารจะต้องร่าง หนุ่ มเชียงงามได้ตั้งจิตอธิษฐานสาปแช่งต่อ
เทวดาฟ้ าดินและสิ่ งศั กดิ์สิทธิ์ว่า “ตัวข้าไม่มีความผิดอันใดเลย แต่ถูกนำตัวมา
ประหาร เพราะความงดงามในเรือนร่างแห่งบารมีของตน จึงไม่เป็ นการ
ยุติธรรมขอให้เมืองหนองหานแห่งนี้ ประสบแต่ความวิบัติฉิบหาย ล่มจม
อย่าได้มีความเจริญรุ่งเรืองในอนาคตสื บไป”
สิ้นเสียงสาปแช่ง ดาบประหารก็ตัดหัวเชียงงามขาดกระเด็น พระยาขอมสั่ ง
ให้เอาหัวไปฝั งไว้ที่ป่ าช้าปั จจุบันเรียกว่า “วัดหัวเชียง” ส่วนร่างกายนำไปฝั่ ง
ไว้ในวัด ปั จจุบันซากวัดยังปรากฏอยู่ที่บริเวณโรงพยาบาล
หนองหาน
เมื่อเชียงงามตายไปแล้ว บ้านเมืองที่เคยเจริญรุ่งเรืองก็เกิดความซบเซามา
แทนที่ สาวแก่แม่หม้ายนางสนมกำนั ลในรั้วในวัง ต่างพากันอาลัยอาวรณ์เชียง
งาม ไม่มีวันสร่างซา เมืองหนองหานคงต้องคำสาป “เชียงงาม” มาตั้งแต่
บัดนั้ น
นายบุญช่วย ศรีสารคาม อดีตนายอำเภอหนองหาน ได้ร่วมกับหลักบ้าน
หลักเมือง พ่อค้า ประชาชน กระทำพิธีถอนคำสาป
เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๐๖ โดยอัญเชิญดวงพระวิญญาณของอดีต
กษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ที่เคยเถลิงราชย์สมบัติในแผ่นดินสยามเสด็จมา
เป็ นสักขีพยานจากวันนั้ นถึงวันนี้ เป็ นเวลานานพอสมควร
อำเภอหนองหาน ได้เปลี่ยนแปลง บ้านเมืองเจริญขึ้นอย่าง
ผิดหูผิดตา ผู้คนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศพากันหลั่งไหลเข้าไปเยือน
“บ้านเชียง” ดินแดนมรดกโลกกันอย่างมากมาย อาจจะเป็ นผลมาจากการกระ
ทำพิธีถอนคำสาป “เชียงงาม” ในครั้งนั้ นก็เป็ นได้
อ้างอิง
วัฒนา ช้างรักษา. (๒๕๔๑). ตำนานพื้นบ้าน : ถอนคำสาปเชียงงาม. อุดรธานี
: ไอโอนิ คเพรส
สุนทร พรรณรัตน์ . (๒๕๔๕). เชียงงาม ตำนานบ้านเชียงอำเภอหนองหาน
จังหวัดอุดรธานี . ข่าวท้องถิ่น