The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nadear9397, 2022-04-03 10:28:25

ประเทศอียิปต์

ประเทศอียิปต์

ประเทศอียิปต์

ข้อมูลเกี่ยวกับประเทศอียิปต์

สาธารณรั ฐอาหรั บอี ยิ ปต์

สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ (Arab Republic of Egypt) หรือที่เรียกโดยทั่วไป
ว่า อียิปต์ (Egypt) เป็นประเทศในแอฟริกาตะวันออกเฉียงเหนือที่มีประชากร
มากที่สุด ประเทศอียิปต์มีพื้นที่ประมาณ 1,020,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งรวมถึง
คาบสมุทรซีนาย (เป็นส่วนหนึ่งของเอเชียตะวันตกเฉียงใต้) ในขณะที่พื้นที่ส่วน
ใหญ่ของประเทศตั้งอยู่ในแอฟริกาเหนือ มีพรมแดนด้านตะวันตกติดกับประเทศ
ลิเบีย ด้านใต้ติดกับประเทศซูดาน ด้านตะวันออกเฉียงเหนือติดกับประเทศ
อิสราเอล ชายฝั่ งทางเหนือติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และทางตะวันออกติดกับ
ทะเลแดง

ที่ตั้ง

อียิปต์ตั้งอยู่บนมุมสุดทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา และบริเวณเหนือข้ามคลองสุเอซไปในคาบสมุทรไซนาย ภาคเหนือมีอาณาเขต
ติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ติดอิสราเอล ภาคตะวันออก ติดทะเลแดง ภาคใต้ ติดซูดาน และติดลิเบียทางภาคตะวันตก
อียิปต์เป็นประเทศที่มีแผ่นดินเชื่อมต่อระหว่างทวีปแอฟริกากับเอเชีย ผ่านตะวันออกกลาง ซึ่งจะเป็นจุดเชื่อมต่อที่มีความสำคัญมาแต่โบราณ
หลังจากได้มีการขุดและเปิดใช้คลองสุเอซ เมื่อปี พ.ศ. 2412 (ค.ศ. 1869) เส้นทางผ่านคลองสุเอซของอียิปต์ได้กลายเป็นเส้นทางเดินเรือที่
สำคัญแห่งหนึ่งของโลก

เมืองหลวง

"ไคโร" (อัลกอฮิเราะห์) ไคโร (Cairo) เป็นเมืองหลวงของประเทศอียิปต์ ตั้งริมฝั่ งแม่น้ำไนล์ ไคโรมีประชากรประมาณ 17 ล้านคน ซึ่งเป็นเมือง
ที่ประชากรมากที่สุดในทวีปแอฟริกา

ภาษา/ประชากร

ภาษาอาหรับเป็นภาษาราชการ และภาษาต่างประเทศที่ใช้ทั่วไปได้แก่ภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศส อียิปต์มีจำนวนประมาณ 70 ล้านคน (ปี
2547) อยู่ในเขตเมืองร้อยละ 45 ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามบริเวณ 2 ฝั่ งและที่ราบลุ่มแม่น้ำไนล์ ประกอบด้วย 3 เชื้อชาติ คือ แฮมิติก-แซมิติก
99.8% เบดูอิน และนูเบียน 0.2%

ศาสนา

ร้อยละ 72 นับถือศาสนาคริสต์, ร้อยละ 14 ไม่นับถือศาสนาอะไรเลย และที่เหลือ นับถือศาสานาอิสลาม พุทธ ฮินดู ซิกซ์ ยูดาย และเชน,
อัตราการรู้หนังสือ ร้อยละ 99

สกุลเงิน

อียิปต์เรียกว่าปอนด์อียิปต์ หรือ EGYPTIAN POUND (LE) รหัสสากล คือ EGP

ภูมิอากาศ

กลางวันและกลางคืนในอียิปต์มีอุณหภูมิแตกต่างกันมาก อียิปต์มีภูมิอากาศแบบ ร้อน แห้ง และอากาศหนาวระดับปานกลาง แบ่งเป็น 4 ฤดู
ดังนี้ คือ

ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-พฤษภาคม) อุณหภูมิ 15-32 อาศาเซลเซียส
ฤดูร้อน (มิถุนายน -สิงหาคม) อุณหภูมิ 21-43 อาศาเซลเซียส

ฤดูใบไม่ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน) อุณหภูมิ 19-34 อาศาเซลเซียส
ฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์) อุณหภูมิ 8-20 อาศาเซลเซียส

ชาวเบดูอิน

เป็ นชน เผ่าอาหรับเร่ร่อนที่มีประวัติศาสตร์อาศั ยอยู่ในพื้นที่ทะเลทรายในลิแวนต์ , theคาบสมุทรอาหรับ ,
อิรักและแอฟริกาเหนื อ [12]อย่างไรก็ตาม คาบสมุทรอาหรับเป็ นบ้านเกิดดั้งเดิมและเก่าแก่ของชาวเบดูอิน
ภาษาอังกฤษคำว่าเบดูอินที่มาจากภาษาอาหรับBadawiซึ่งหมายความว่า "ผู้อยู่อาศั ยในทะเลทราย" และเทียบ

กับประเพณีHadirคำสำหรับคนอยู่ประจำ [13]เบดูอินเหยียดจากดินแดนทะเลทรายอันกว้างใหญ่ของทวีป

แอฟริกาไปยังหาดทรายหินจากตะวันออกกลาง [14]ตามธรรมเนี ยมแล้วแบ่งออกเป็ นเผ่าหรือเผ่า (รู้จักใน
ภาษาอาหรับว่าʿašāʾir ; ‫ ) َع َش اِئر‬และประวัติศาสตร์แบ่งปั นวัฒนธรรมร่วมกันของการต้อนอูฐและแพะ
[14]ส่วนใหญ่ของเบดูอินไปตามมุสลิมสุหนี่ แม้ว่าจะมีบางตัวเลขที่น้ อยลงของคริสเตียนเบดูอินใน

ปั จจุบันFertile Crescent

เบดูอินได้รับการอ้างถึงโดยชื่อต่าง ๆ ตลอดประวัติศาสตร์รวมทั้งArabaaโดยอัสซีเรีย ( AR-BA-AAเป็ นnisbaนามอาหรับชื่อ

ยังคงใช้สำหรับเบดูอินในปั จจุบัน) และShasuโดยชาวอียิปต์โบราณ [ ต้องการอ้างอิง ]พวกเขาจะเรียกว่า'A'rāb ( ‫ ) أعراب‬ใน

ภาษาอาหรับในขณะที่ชาวเบดูอินจำนวนมากละทิ้งประเพณีเร่ร่อนและชนเผ่าของพวกเขาสำหรับวิถีชีวิตในเมืองที่ทันสมัย ​

หลายคนยังคงรักษาวัฒนธรรมเบดูอินแบบดั้งเดิมไว้ เช่นโครงสร้างดั้งเดิมของเผ่าʿašāʾir ดนตรีดั้งเดิมบทกวี การเต้นรำ

(เช่นsaas ) และแนวปฏิบัติและแนวความคิดทางวัฒนธรรมอื่น ๆ อีกมากมาย [ ต้องการการอ้างอิง ] Urbanized Bedouins

มักจะจัดเทศกาลทางวัฒนธรรม ซึ่งมักจะจัดขึ้นปี ละหลายครั้ง ซึ่งพวกเขารวมตัวกันกับชาวเบดูอินอื่น ๆ เพื่อเข้าร่วมและเรียนรู้

เกี่ยวกับประเพณีของชาวเบดูอินต่างๆ ตั้งแต่การท่องบทกวีและการรำดาบแบบดั้งเดิมไปจนถึงการเล่นเครื่องดนตรีแบบ

ดั้งเดิมและแม้แต่การสอนในชั้นเรียน ถักเต็นท์แบบดั้งเดิม ประเพณี เช่น การขี่อูฐและการตั้งแคมป์ ในทะเลทราย ยังคงเป็ น

กิจกรรมยามว่างที่เป็ นที่นิ ยมของชาวเบดูอินในเมืองที่อาศั ยอยู่ใกล้กับทะเลทรายหรือพื้นที่รกร้างว่างเปล่าอื่นๆ

นิ วเบีย

นิ วเบีย หรือ นูเบีย (อังกฤษ: Nubia) เป็ นภูมิภาคตามแม่น้ำไนล์ซึ่งปั จจุบันอยู่ในประเทศซูดานตอนเหนื อ และ
ประเทศอียิปต์ตอนใต้ เป็ นอารยธรรมแรก ๆ ในแอฟริกาตะวันออกเฉียงเหนื อโบราณ โดยสามารถสืบย้อน
ประวัติศาสตร์มาแต่ 2,000 ปี ก่อนคริสต์ศั กราชเป็ นต้นมา (ผ่านสิ่ งก่อสร้างและสิ่ งประดิษฐ์นิ วเบีย ตลอดจน
บันทึกลายลักษณ์จากอียิปต์และโรม) และเป็ นที่ตั้งของจักรวรรดิแห่งหนึ่ งของแอฟริกา มีราชอาณาจักรนิ วเบีย
ขนาดใหญ่จำนวนหนึ่ งตลอดสมัยหลังคลาสสิก ราชอาณาจักรแห่งสุดท้ายล่มสลายใน ค.ศ. 1504 เมื่อนิ วเบียถูก
แบ่งระหว่างอียิปต์กับรัฐสุลต่านเซนนาร์ ส่งผลให้ประชากรนิ วเบียจำนวนมากถูกกลืนเข้ากับวัฒนธรรมอาหรับ นิ
วเบียกลับไปรวมกับอียิปต์ออตโตมันอีกครั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 19 และอยู่ในราชอาณาจักรอียิปต์ตั้งแต่ ค.ศ.
1899 ถึง ค.ศ. 1956

ชื่อนิ วเบียแผลงมาจากชื่อชาวโนบา เป็ นชนร่อนเร่ที่ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ในคริสต์ศตวรรษที่ 4 หลังจาก
ราชอาณาจักร เมโรเอ ล่มสลาย ชาวโนบาพูดภาษาตระกูลไนโล-สะฮาราภาษาหนึ่ งซึ่งเป็ นบรรพบุรุ ษ
ของภาษานิ วเบียเก่า ภาษานิ วเบียเก่าใช้ในเอกสารทางศาสนาเป็ นส่วนใหญ่ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 8 ถึง
15 ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 4 และตลอด สมัยโบราณคลาสสิก นิ วเบียมีชื่อเรียกว่า คุช หรือที่ชาวกรีก
สมัยคลาสสิกเรียกรวมกับพื้นที่ข้างเคียงในชื่อ ไอทีโอปี อา (" เอธิโอเปี ย ")

อนุสาวรีย์แห่งเมมนอน

อนุสาวรีย์แห่งเมมนอน (Colossi of Memnon) รู ปปั้ นแฝดผู้ยืนตระหง่านอยู่กลาง
พื้นที่รกร้างมากว่า 3,400 ปี อนุสาวรีย์ที่ร้องเพลงได้ สถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาดของเมือง
ลักซอร์

อนุสาวรีย์แห่งเมมนอน (Colossi of Memnon) นั้ นตั้งอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ
ไนล์ (River Nile) ไม่ไกลจากเมืองลักซอร์ (Luxor) ประเทศอียิปต์ (Egypt) อนุสาวรีย์แห่งเม
มนอนนั้ นประกอบไปด้วยรู ปปั้ นแฝดขนาดใหญ่สองตัวที่เป็ นตัวแทนของฟาโรห์อาเมนโฮ
เทปที่ 3 (Amenhotep III) โดยรู ปปั้ นแฝดนี้ ยืนหยัดผ่านสภาพอากาศอันโหดร้ายมานานถึง
3,400 ปี เลยทีเดียว ในอดีตทั้งคู่ทำหน้ าที่เป็ นผู้เฝ้ าทางเข้าวิหารของอาเมนโฮเทปที่ 3 แต่
ในปั จจุบันวิหารดังกล่าวได้หายสาบสูญไปกับกาลเวลาแล้ว

อนุสาวรีย์แห่งเมมนอนนั้ นมีคุณสมบัติสุดพิเศษอยู่อย่างหนึ่ งที่ทำให้มันโด่งดังไป
ทั่วโลก ในช่วงเวลาประมาณ 27 ปี ก่อนคริสตกาล เกิดแผ่นดินไหวขึ้นในบริเวณที่รู ปปั้ นทั้ง
สองตั้งอยู่ ทำให้ส่วนบนของรู ปปั้ นพังลงมาและด้านล่างแตกเป็ นช่องกลวงๆ เหตุการณ์นี้
เองที่ทำให้รู ปปั้ นแฝดคู่นี้ ร้องเพลงได้ ทุกๆ เช้า พอแสงแรกของดวงอาทิตย์สาดส่องลงบน
พื้นดิน ทั้งคู่จะเปล่งเสียงร้องทรงพลังที่ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ซึ่งเสียงร้องนี้ เองที่เป็ นที่มา
ของชื่ออนุสาวรีย์แห่งนี้ เมมนอน (Memnon) คือชื่อของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ขึ้นของกรีก
แต่ในปั จจุบันรู ปปั้ นแห่งเมมนอนไม่มีเสียงร้องอีกแล้ว โดยเป็ นผลมาจากการซ่อมแซม
บูรณะโดยเซ็ปติมิอุส เซเวรัส (Septimius Severus) จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมัน

หุบผากษัตริย์

ตั้งอยู่ฝั่ งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ โดยหุบเขานี้ เป็ นสุสานของฟาร์โรห์ตั้งแต่สมัย
Tuhtmose หลบซ่อนอยู่ในเทือกเขา Theban มีทั้งบรรพกษัตริย์เหล่าราชวงศ์ และ
ขุนนางทั้งหลาย ถือเป็ นโบราณสถานที่สำคัญแห่งหนึ่ งของอียิปต์ ที่มีการขุดค้น
ทางโบราณคดีเกือบศตวรรษ ปั จจุบันสุสานนี้ มีอายุกว่า 3,000 ปี การตกแต่ง
ภายในวิหารเต็มไปด้วยภาพจิตรกรรมที่งดงาม และสีของภาพยังคงดูสดใสมีชีวิตชี
วาอยู่ณปั จจุบัน นอกจากนี้ ยังมีสุสานของฟาโรห์ตุตันคาแมน ซึ่งสมบัติทั้งหมดที่
ค้นพบถูกแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ไคโร และสุสานของพระนางฮัตเซบสุดฟาร์โรห์
หญิงองค์เดียวของอียิปต์ หรือราชินี หนวด อนุสรณ์แห่งนี้ สร้างขนานไปกับเทือก
เขาและระหว่างทางก็จะมีรู ปสลักหินลอยตัวขนาดใหญ่ของพระเจ้าอเมนโนฟิ สที่ 3
ซึ่งได้ตำนานเล่าเรื่องประหลาดของรู ปสลักหินนี้ ไปไกลถึงกรีซ

หุบผาราชินี

ยืนริมฝั่ งแม่น้ำไนล์แล้วหันหน้ าไปทางทิศตะวันตกสู่ทิวเขาธีบัน ตรงกับหุบผา
กษัตริย์ หุบผาราชินี ก็อยู่ทางซ้ายมือหรือทางเหนื อห่างราว 1.50 กม. เท่านั้ นเอง
หุบผา พระราชินี (Valley of The Queen) มีชื่อเป็ นภาษาไอยคุปต์ว่า ไบบาน เอล
ฮาริม (Biban El Harim) เป็ นที่ซ่อนของสุสานมากมายราว 80 สุสาน มีอายุราว
1,300 – 1,100 ปี ก่อน ค.ศ. นั่ นคือ อยู่ในสมัยราชวงศ์ ที่ 19 และ 20 ตามประวัติก็
กล่าวว่าในชั้นแรกมีแต่เพียงการสร้างที่บูชาดวงวิญญาณขึ้นใช้เป็ นที่สวดมนต์อุทิศ
ส่วนกุศลไปให้ผู้ตาย การที่ไม่ทำพิธีที่หน้ าสุสานในหุบผากษัตริย์ก็เพราะกลัวจะ
มีผู้ล่วงรู้ว่าสุสานอยู่ ณ ที่ใดนั่ นเองครับ คงนึ กว่าขโมยนั้ นโง่เสียเต็มประดา คงจะ
ไม่รู้ถ้าย้ายมาทำพิธีที่สุสานจำลอง ณ ที่หุบผานี้

วิหารเทพฮอรัส เป็ นอียิปต์โบราณ Tbot ​หรือใน Atty Coptic ซึ่งเป็ นที่มาของชื่อ
ที่ทันสมัย เมื่อชาวกรีกเข้ามาในที่เกิดเหตุพวกเขาตั้งชื่อว่า

Apollinopolis Magna และทำให้มันเป็ นเมืองหลวงของประเทศ
เนปาล (พื้นที่) แห่งที่สอง ตามตำนานเทพแห่งเหยี่ยวนกหัวขวาน
Horus ต่อสู้กับการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ของเขากับเทพแห่งนรก Seth ที่
นี่ ซึ่งน่ าจะเป็ นเหตุผลที่ Horus ได้รับการยกย่องเป็ นพิเศษใน
บริเวณนี้ ในยุค Ptolemaic พระเจ้าเก่าของ Horus ได้จับคู่กับ
เทวรู ป Apollo กรีกที่จะกลายเป็ น Horus-Apollo
สร้างขึ้นบนที่ตั้งของวัดก่อนหน้ านี้ วัด Edfu ถูกอุทิศให้ Horus,

Hathor of Dendera และลูกชายของพวกเขาหนุ่ ม Harsomtus

"Uniter ของสองดินแดน." ประวัติความเป็ นมาของการก่อสร้าง
และคำอธิบายของโครงสร้างทั้งหมดมีไว้ในจารึกอันยาวนานด้าน
นอกกำแพงล้อมรอบโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ด้านเหนื อสุดของฝั่ ง

ตะวันออกและตะวันตก
ส่วนหลังของอาคารวัดที่เหมาะสมเริ่ม 237 BC ในรัชสมัยของพระ

เจ้าปโตเลมี ii Euergetes ฉันเสร็จสมบูรณ์ใน 212 BC ใต้ทายาท

Philopator การตกแต่งผนั งด้วยภาพนูนต่ำนูนสูงและจารึกถูก

ขัดจังหวะในช่วงรัชสมัยของ Epiphanes โดยปราศจากพระพิฆเนศ
ได้เสร็จสิ้นลงในปี ค. ศ. 176 โดยรัชกาล Euergetes II ซึ่งมีอายุ

90 ปี หลังจากการวางศิ ลาฤกษ์

ฟาโรห์ (กษัตริย์ผู้ปกครองอียิปต์ในสมัยโบราณ) Pharaoh

ฟาโรห์ เป็นผู้ที่ชาวอียิปต์โบราณยอมรับว่าเป็นเทพเจ้าและเป็นกษัตริย์ใน
เวลาเดียวกัน หน้าที่ของ ฟาโรห์คือเป็นผู้นำทางการปกครองและศาสนา
กฎ ระเบียบ ข้อบังคับในการปกครองเกิดจากการกำหนดขึ้นของกษัตริย์ผู้เป็น
เจ้าของชีวิตของชาวอียิปต์โบราณ

ฟาโรห์มีฐานะเป็นโอรสของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์คือสุริยเทพ
ทรงทำหน้าที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลและหัวหน้าพระเป็นการรวมศาสนจักรและ
อาณาจักรเข้าด้วยกัน เป็นผู้บัญชาการกองทัพและบัญชาการทางด้านพลเรือน
ผู้ปกครองอ้างดำเนินการปกครองในนามหรืออาศัยอำนาจของเทพเจ้าเพื่อใช้ใน
การปกครองกลุ่มบุคคลที่ดำเนินการปกครอง

วิหารฮิบิส (Temple of Hibis )

พระวิหารของ Hibis ถูกล้อมรอบครั้งโดยเมือง Hibis นี้ ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การโกหกพืช การก่อสร้าง
พระวิหารเริ่มในช่วงวันที่ 26 ราชวงศ์มากที่สุดภายใต้ฟาโรห์ Psamtik I หรืออาจจะเป็นแม้ก่อนหน้านี้ในช่วง
ราชวงศ์ที่ 25

หลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่ามีวิหารเก่าแก่ซึ่งมีอายุย้อนไปถึงอาณาจักรใหม่
อยู่แล้วในสถานที่เดียวกัน หลายทศวรรษที่ผ่านมาหลังจากที่ Psamtik I ในช่วงราชวงศ์ที่
27ที่Achaemenidฟาโรห์Darius ในอาคารของตนให้เครดิตของการตกแต่งของผนัง ต่อมาผู้ปกครองคนอื่น
ๆ ได้เพิ่มหรือประดับตกแต่งที่นี่เช่นHakorแห่งราชวงศ์ที่ 29โดยเฉพาะNectanebo IและNectanebo II
ของราชวงศ์ที่ 30อาจเป็นPtolemy IV ( Ptolemaic Dynasty ) และจักรพรรดิโรมันอย่างน้อยหนึ่งคน.

Temple of Hibis วิหารฮิบิส (Temple of Hibis )

Temple of Hibis เป็น วิหารของอียิปต์โบราณที่ใหญ่ที่สุดและได้รับการอนุรักษ์ไว้ดีที่สุด ใน คาร์กาโอเอซิส
เช่นเดียวกับโครงสร้างเดียวในอียิปต์ที่มีอายุตั้งแต่สมัยไซต์ - เปอร์เซีย (664–40 4 คริสตศักราช) ซึ่งตกมาสู่ยุค
ปัจจุบันอยู่ในสภาพค่อนข้างดี ตั้งอยู่ห่างจากคาร์กาไปทางเหนือประมาณ 2 กม. อุทิศให้กับ syncretism ของ
deityAmun : "Amun of Hibis" และ "Amun- Ra ของ Karnak ที่อาศัยอยู่ใน

โถงทางเดินยาวที่เรียงรายไปด้วย สฟิงซ์ ข้ามชุดของ เสา และมาถึงวัดที่เหมาะสม เดิมที่นี่ถูกล้อมรอบด้วยทะเลสาบปัจจุบันหายไปนานแล้ว
ห้องโถง hypostyle มีผนังที่มีรูปร่างเหมือนต้นปาปิรัสม้วนใหญ่มีการประดับตกแต่งต่างๆและเพลงสวดหลายเพลงที่อุทิศให้กับเทพ อามุนซึ่งหลาย
คนรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยก่อน ในบรรดาของประดับตกแต่งสิ่งที่น่าสังเกตคือภาพของ Seth ที่เอาชนะ Apep ซึ่งเป็นธีมที่นักประวัติศาสตร์ศิลป์บาง
คนเชื่อว่าเป็นการคาดเดาของ Saint George and the Dragon 28>ผนังและหลังคาอุทิศให้กับเทววิทยา Theban และเพื่อ Osiris ตามลำดับใน
ขณะที่ naos แบ่งออกเป็นเก้า ทะเบียน ตกแต่งอย่างสมบูรณ์ด้วย แพนธีออน ของเทพอียิปต์และร่างราชวงศ์รวมเกือบ 700 ร่าง ในตอนต้นของการ
ลงทะเบียนแต่ละครั้งจะมีภาพกษัตริย์ในขณะประกอบพิธีกรรม นอกจากนี้ยังมี โนโมอิ ของอียิปต์ซึ่งแต่ละตัวแสดงในรูปแบบโอซิเรียน ในทางตรง
กันข้ามกับความร่ำรวยของสิ่งเหล่านี้คำจารึกที่มาพร้อมกันนั้นสั้นเมื่อไม่ขาดเลย

พีระมิดแห่งโจเซอร์

พีระมิดโจเซอร์ (Djoser's Pyramid) หรือ พีระมิดแห่งซักการา (The Pyramid of Saqqara) นับ
เป็นพีระมิดแห่งแรกของอียิปต์ ที่ฟาโรห์โจเซอร์ (Djoser หรือ Zoser) แห่งราชวงศ์ที่ 3 เป็นผู้สร้างขึ้น โดย
มี อิมโฮเทป (Imhotep) ที่ปรึกษาประจำองค์ฟาโรห์เป็นสถาปนิกผู้ออกแบบ ลักษณะที่สำคัญคือเป็น
พีระมิดขั้นบันได (Step Pyramid) ซ้อนกันรวม 6 ชั้น เปรียบเสมือนบันไดไปสู่สวรรค์ ส่วนพีระมิดรุ่นหลัง
ที่เป็นแบบมหาพีระมิดที่แต่ละด้านของพีระมิดลาดเอียงลงประมาณ 51 องศามีความชันน้อยกว่าและไม่
เป็นขั้นบันได ก็ถือว่าเป็นการลาดของลำแสงดวงอาทิตย์เช่นกัน ในขณะที่พีระมิดยุคต่อมาจะไม่มีลักษณะ
ของขั้นบันไดให้เห็น ก่อนหน้านี้สุสานของฟาโรห์จะสร้างอยู่ใต้ดินโดยปิดทับด้วยสิ่งก่อสร้างที่ไม่สูงมาก
นักเรียกว่า มัสตาบา (Mastaba)

Egyptian lotus บัวอียิปต์ (Egyptian lotus)

เดิมชาวอียิปต์เชื่อว่า ในจักรวาลไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ จะมืดมนไปด้วยมหาสมุทร ต่อมาก็ได้มีดอกบัวขนาดใหญ่
ผุดขึ้นมาจากน้ำ ซึ่งมีกลีบดอกสีน้ำเงิน เมื่อกลีบดอกแย้มออก ตรงใจกลางดอกที่เป็นสีทองจะมีพระผู้สร้าง หรือที่
เรียกว่า พระสุริยเทพ “รา” ประทับอยู่ ทั่วทั้งพื้นน้ำมีกลิ่นหอมอบอวลของดอกบัวไปทั่ว ความมืดในมหาสมุทรได้ถูก
ขับไล่และอันตรธานหายไปด้วยแสงสว่างจากร่างของพระผู้สร้าง สิ่งมีชีวิตต่างๆ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น เมื่อสิ้นวันดอกบัว
ก็หุบกลีบลงมีความมืดมิดเหมือนเดิม เมื่อพระผู้สร้างปรากฏตัวขึ้นอีกก็จะสว่างขึ้น ต่อมาพระผู้สร้างก็ได้ทำให้เกิด
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดและเหล่าเทพเจ้าขึ้นมาอยู่ร่วมกันในโลกใหม่

ชาวอียิปต์จะถือว่าดอกบัวชนิดสีน้ำเงินคือดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ซึ่งในสมัยโบราณมักสลักรูป
ดอกบัวชนิดนี้ไว้ที่เสาหิน หรือตามผนังของสุสาน จนกลายมาเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของประเทศไปในที่สุด

ทะเลสาบนัสเซอร์

มีพื้นที่ผิวทั้งหมด 2,030 ตารางไมล์, ทะเลสาบนัสเป็นหนึ่งในทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดที่มนุษย์สร้างขึ้นใน
โลก สร้างขึ้นเป็นผลมาจากโครงการเขื่อนอัสวานสูงก็มีช่วงพรมแดนระหว่างอียิปต์และซูดานซึ่งเป็นที่รู้จักกันใน
ท้องถิ่นกับทะเลสาบนูเบีย มันผลิตมาก hydroelectricity อียิปต์และเป็นแหล่งที่มีคุณค่าของน้ำจืด สำหรับนัก
ท่องเที่ยวทิวทัศน์ทะเลทรายละครสถานที่ท่องเที่ยวโบราณมากมายและโอกาสทางการประมงตำนานทั้งหมด
เพิ่มการอุทธรณ์ของการล่องเรือทะเลสาบนัสเซอร์

สำหรับผู้เข้าชมจำนวนมากไปยังทะเลสาบนัสเซอร์ที่โบราณสถานตั้งอยู่บนชายฝั่งของมันเป็นสถานที่ใหญ่ที่สุดของมัน ของ
เหล่านี้มีชื่อเสียงมากที่สุดคือไม่ต้องสงสัยอาบูซิมเบลที่มีขนาดใหญ่หินตัดวัดถูกสร้างขึ้นโดยฟาโรห์รามเสสที่สองและมีรูปปั้นขนาด
มหึมาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่จะอยู่รอดจากยุค Pharaonic ไฮไลท์อื่น ๆ ได้แก่วัด Kalabsha , ย้ายไปอยู่ที่เกาะทางตอนใต้ของเขื่อนอัส
วานสูง; และQasr Ibrimนิคมมีต้นกำเนิดวันที่กลับไปเป็นช่วงต้นของศตวรรษที่ 8 อดีตเป็นที่น่าสนใจสำหรับการรวมกันของการยึดถือ
อียิปต์และโรมันในขณะที่หลังเป็นเพียงโบราณสถานที่ทะเลสาบนัสยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม

steppe eagle อินทรีทุ่งหญ้าสเตปป์ (steppe eagle)

มีขนาดลำตัวประมาณ 76-80 เซนติเมตร ความยาวปีก 1.7-2.1 เมตร จัดเป็นนกอินทรีทีมีขนาดใหญ่ มี
ท้ายทอยมีแถบสีน้ำตาลแดง คอบางส่วนสีอ่อน มุมปากลึกเกินกึ่งกลางดวงตา ปีกและหางยาว ขนคลุมใต้ปีกสี
น้ำตาลเข้มตัดกับขนคลุมปลายปีกสีดำ ขนปีกบนมีลายขวาง ปลายปีกและขอบปีกด้านหลังสีเข้ม ในนกวัยอ่อน หัว
และขนลำตัวสีน้ำตาลแกมเทากว่านกเต็มวัย มีแถบขาวจากปลายขนต่างจากนกอินทรีชนิดอื่น ๆ ที่มีแถบสีขาวใหญ่
กลางปีกตามแนวขนคลุมใต้ปีก อายุเมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ 6 ปี จึงค่อยมีสีเหมือนนกตัวเต็มวัย

คลีโอพัตรา

คลีโอพัตราที่ 7 ฟิโลพาเธอร์ หรือรู้จักทั่วไปในนาม คลีโอพัตรา; มกราคม ปีที่
69 ก่อนคริสตกาล – 10 สิงหาคม ปีที่ 30 ก่อนคริสตกาล) เป็นพระราชินี
แห่งอียิปต์โบราณและเชื้อพระวงศ์พระองค์สุดท้ายของราชวงศ์ทอเลมีแห่งมา
ซิโดเนีย ดังนั้นจึงเป็นผู้ปกครองอียิปต์ที่มีเชื้อสายกรีกคนสุดท้าย พระราชบิดา
ของพระองค์คือทอเลมีที่ 12 ออเลติส และคาดว่าพระราชมารดาเป็นพระ
เชษฐภคินีของโอเลเตส ทรงพระนามว่า คลีโอพัตราที่ 5 ทรีฟาเอนา ชื่อ "คลีโอ
พัตรา" เป็นภาษากรีก แปลว่า "ความเจริญรุ่งเรืองของบิดา" พระนามเต็มของ
พระนางคือ "คลีโอพัตรา เธอา ฟิโลปาตอร์" ซึ่งหมายถึง "เทพีคลีโอพัตรา ผู้
เป็นที่รักของบิดา" พระนางทรงพระปรีชาสามารถมาก ทรงแตกฉานถึง 14
ภาษา เช่น ฮิบรู, ละติน, มาเซดอนโบราณ, เอธิโอเปียน, ซีเรีย, เปอร์เซีย, และ
อียิปต์ ซึ่งแม้แต่ในราชวงศ์ น้อยคนนักที่จะแตกฉานภาษานี้
ปัจจุบัน คลีโอพัตราที่ 7 ฟิโลปาตอร์ นับว่าเป็นผู้ปกครองอียิปต์โบราณที่มีชื่อ
เสียงมากที่สุด นิยมเรียกพระนามสั้น ๆ ว่า คลีโอพัตรา ซึ่งทำให้ราชินีองค์ก่อน
ๆ ที่ทรงพระนามคล้ายคลึงกัน ลบเลือนไปสิ้น ในความเป็นจริง พระนางไม่เคย
ปกครองอียิปต์เพียงลำพัง แต่ครองราชย์ร่วมกับพระราชบิดา, พระราชอนุชา,
พระราชสวามีผู้เป็นพระอนุชาของพระองค์ หรือไม่ก็พระราชโอรส การครอง
ราชย์ร่วมกันดังกล่าวมีผู้ร่วมบัลลังก์เป็นเพียงกษัตริย์ตามพระยศเท่านั้น
อำนาจแท้จริงอยู่ในมือของคลีโอพัตราเองทั้งสิ้น

มัมมี่

มัมมี่ (อังกฤษ: Mummy) คือศพที่ดองหรือแช่ในน้ำยาพิเศษใน
ประเทศอียิปต์ พันทั่วทั้งร่างกายด้วยผ้าลินินสีขาว เพื่อเป็นการ
รักษาสภาพของศพเพื่อรอการกลับคืนร่างของวิญญาณผู้ตาย
ตามความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณ คำว่า "มัมมี่" มาจากคำว่า
"มัมมียะ" (Mummiya) ซึ่งเป็นคำในภาษาเปอร์เซีย มีความ
หมายถึงร่างของซากศพที่ถูกดองจนกลายเป็นสีดำ โดยชาวอียิปต์
โบราณจะทำมัมมี่ของฟาโรห์และเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ และนำ
ไปฝังในลักษณะแนวนอนภายใต้พื้นแผ่นทรายของอียิปต์ อาศัย
แรงลมที่พัดผ่านในแถบทะเลทรายอาระเบียและทะเลทรายใน
พื้นที่รอบบริเวณของอียิปต์ เพื่อป้องกันการเน่าเปื่ อยของซากศพที่
อาบด้วยน้ำยา
ในอียิปต์โบราณมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของชีวิตหลังความตาย
เกี่ยวกับการหวนกลับคืนร่างของวิญญาณ โดยมีความเชื่อว่าเมื่อ
วิญญาณออกจากร่างไปชั่วระยะเวลาหนึ่ งจะหวนกลับคืนสู่ร่างเดิม
ของผู้เป็นเจ้าของ จึงต้องมีการถนอมและรักษาสภาพของร่างเดิม
โดยการแช่และดองด้วยน้ำยาบีทูมิน ซึ่งจะช่วยรักษาและป้องกัน
ไม่ให้ซากศพเน่าเปื่ อยผุผังไปตามกาลเวลา

พีระมิดคูฟู

พีระมิดคูฟู หรือ พีระมิดคีออปส์ นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า มหาพีระมิดแห่งกีซา ( THE GREAT PYRAMID OF
GIZA) เป็น พีระมิดในประเทศอียิปต์ที่มีความใหญ่โตและเก่าแก่ที่สุด ในหมู่พีระมิดทั้งสามแห่งกีซา เชื่อกันว่าสร้างขึ้น
ในสมัย ฟาโรห์คูฟู (KHUFU) แห่ง ราชวงศ์ที่ 4 ซึ่งปกครองอียิปต์โบราณ เมื่อประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล หรือ
กว่า 4,600 ปีมาแล้ว เพื่อใช้เป็นที่เก็บรักษาพระศพ ไว้รอการกลับคืนชีพ ตามความเชื่อของชาวอียิปต์ในยุคนั้น มหา
พีระมิดนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก และเป็นหนึ่งเดียว ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ ที่
ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน

พีระมิดคาเฟร

พีระมิดคาเฟร หรือ คีเฟรน เป็นพีระมิดในประเทศอียิปต์ ตั้งอยู่บริเวณที่ราบ
สูงกีซา ชานกรุงไคโร สร้างโดย ฟาโรห์คาเฟร ผู้เป็นราชโอรสของ ฟาโรห์คูฟู
โดยสร้างขึ้นเคียงข้าง พีระมิดของพระราชบิดา และสำเร็จด้วยขนาดใกล้
เคียงกัน ที่ความสูง 144 เมตร (ปัจจุบันคงเหลือความสูง 136 เมตร) ฐาน
แต่ละด้านกว้างประมาณ 215 เมตร และเอียงทำมุมประมาณ 53 องศา

เนื่องจากพีระมิดนี้ ก่อสร้างอยู่บนพื้นหินที่สูงกว่า และตั้งอยู่เป็นองค์
กลางของ พีระมิดทั้ง 3 แห่งกีซา ทำให้เมื่อมองด้วยตา พีระมิดคาเฟร
จะมีขนาดใหญ่กว่า พีระมิดคูฟู ทั้งที่ในความเป็นจริงมีความสูงน้อย
กว่า และมีขนาดฐานแคบกว่า ลักษณะสำคัญอีกอย่างหนึ่งของพีระมิด
คาเฟรคือ ส่วนยอดของพีระมิดยังคงมีชั้นหินปูนขัดมัน ที่ชาวอียิปต์
โบราณก่อสร้าง ปิดเป็นผิวชั้นนอกของพีระมิดหลงเหลืออยู่ หินปูนขัด
มันที่เป็นผิวชั้นนอกนี้ บางก้อนมีน้ำหนัก ถึง 7 เมตริกตัน

บริเวณใกล้เคียงกับพีระมิดคาเฟรจะมีมหาสฟิงซ์ ที่มักปรากฏอยู่ในภาพถ่าย
พร้อมกับ พีระมิดคาเฟร มหาสฟิงซ์นี้เป็นรูปแกะสลักจากหินก้อนเดียว ที่
ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก และยังนับเป็นอนุสาวรีย์แบบแกะสลักลอยตัวที่เก่า
แก่ที่สุดในโลกอีกด้วย

พีระมิดเมนคูเร

ระมิดเมนคูเร หรือ เมนคาวเร (Menkaure) หนึ่งในพีระมิดในประเทศอียิปต์ที่ตั้งอยู่บริเวณที่ราบสูงกีซาทางทิศตะวัน
ตกนอกกรุงไคโร สร้างโดยฟาโรห์เมนคูเร หรือชื่อในภาษากรีกคือ ฟาโรห์ไมซีรีนัส (Micerinus) ทรงเป็นราชโอรสของ
ฟาโรห์คาเฟร ผู้สร้างพีระมิดคาเฟร และเป็นพระนัดดาของฟาโรห์คูฟูผู้สร้างมหาพีระมิดแห่งกิซ่า
ฟาโรห์เมนคูเรได้สร้างพีระมิด ขึ้นเป็นหลังที่สามที่ความสูง 65.5 เมตร (ปัจจุบันคงเหลือ ความสูง 62 เมตร) ฐานแต่ละ
ด้านกว้างประมาณ 105 เมตร และเอียงทำมุมประมาณ 51 องศา ซึ่งแม้จะมีขนาดเล็กที่สุดในหมู่พีระมิดทั้ง 3 แห่งกิซ่า
แต่ก็ยังสูงประมาณอาคาร 18 ชั้น (เมื่อคิดความสูงที่ชั้นละ 3.5 เมตร) ทางทิศใต้ของพีระมิดเมนคูเร มีการสร้างหมู่
พีระมิดราชินีทั้ง 3 (The Three Queen’s Pyramids) เป็นที่ไว้พระศพของราชินี 3 องค์ในสมัยของฟาโรห์เมนคูเร
หมู่พีระมิดราชินีทั้ง 3 นี้มักปรากฏในภาพถ่ายร่วมกับพีระมิดเมนคูเร

งูเห่าอียิปต์

งูเห่าอียิปต์ เป็นงูในวงศ์งูพิษเขี้ยวหน้า จึงมีเขี้ยวพิษสองซี่ขนาด
ใหญ่ฝังตัวอยู่บริเวณด้นหน้าของปาก พร้อมกับในปากประกอบด้วย
ฟันแหลมคมและขากรรไกรที่แข็งแรง มีพิษร้ายแรงถึงแก่ชีวิต มี
ฤทธิ์ทำลายระบบประสาท โดยพิษจะโจมตีระบบประสาทส่วนกลาง
โดยแผลที่โดนกัดจะมีสองรู การกัดของจะสร้างความเจ็บปวดเป็น
อย่างมากแต่รอยกัดจะไม่แสดงถึงอาการบวมน้ำหรือเลือดออก
อย่างรุนแรง

ในวัฒนธรรมของอียิปต์โบราณ งูเห่าอียิปต์เป็นสัญลักษณ์ของการเป็นเจ้า
แผ่นดิน ดังจะเห็นรูปหัวงูเห่าแผ่แม่เบี้ยปรากฏบนมงกุฎของฟาโรห์ และ
เป็นสัตว์สัญลักษณ์ของเมเรตเซเกอร์ เทพีผู้ปกป้องหุบเขากษัตริย์ ที่มีพระ
เศียรเป็นรูปงูเห่าอียิปต์ และเชื่อกันว่า เป็นงูเห่าชนิดที่คลีโอพัตราใช้ฆ่าตัว
ตายอีกด้วย

Egyptian
papyrus

ต้นปาปิ รุส : Egyptian papyrus เนื้อต้นไม้ มีลักษณะชุ่มน้ำ และเหนียวมีความสามารถในการตีเป็ นเส้ นและเชื่อมต่อด้วย
ยางของมันแอง สมัยโบราณ ชาวอียิปต์ในสมัยโบราณนำมาทำเป็ นกระดาษ จะนำมาตากทำเป็ นกระดาษและสานเป็ น
หลังคาบ้านและประดิษฐ์ เป็ นเครื่องใช้อื่นๆ

เป็ นพืชน้ำชนิดหนึ่ งที่เติบโตในพื้นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำไนล์ จัดอยู่ในกลุ่มไม้ล้มลุกหลายฤดู ส่ วนของลำต้นอยู่ใต้ดิน ลักษณะ
ภายนอกดูคล้ายกกลังกา แต่จะสู งและใหญ่กว่า ลำต้นตรงและขึ้นเป็ นกอ ลำต้นส่ วนที่โผล่ขึ้นพ้นผิวดินยาวประมาณ
1.2 – 2.40 เมตร ส่ วนปลายของลำต้นมีริ้วรูปร่างกลมยาวออกจากส่ วนปลายของลำต้นประมาณ 12 – 24
เซนติเมตร ในหนึ่ งต้นมีประมาณ 50 – 100 เส้ น ออกดอกเป็ นช่อ มีสี น้ำตาลแดง

จารึก กระดาษปาปิรัส

White Desert

ทะเลทรายขาว (White Desert) อีกหนึ่ งสถานที่งดงามทางธรรมชาติที่ซ่อนอยู่ในประเทศอียิปต์
มีชื่อดั้งเดิมว่า Sahara el Beyda ตั้งอยู่ในบริเวณโอเอซิส Farafra ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุง

ไคโร เมืองหลวงของประเทศอียิปต์



ทะเลทรายแห่งนี้ มีลักษณะเป็ นสี ขาวและครีม ประกอบด้วยกลุ่มหินชอล์ครูปทรงประหลาดขนาด
ใหญ่ ซึ่งเปรียบเสมือนกับประติมากรรมทางธรรมชาติที่สวยงาม และในยามค่ำคืนสี อันงดงามนวล

ตาของ ทะเลทรายขาวจะส่ องสว่างราวกับความสวยงามในแดนหิมะ



สถานที่แห่งนี้เกิดจากธรรมชาติที่เต็มไปด้วยแท่งหินชอล์กสี ขาวนวลจำนวนมาก ตั้งอยู่ท่ามกลาง
ทะเลทรายขนาดใหญ่ แท่งหินรูปร่างแปลกประหลาดเหล่านี้เกิดจากกัดกร่อนจากลมและสภาพ

อากาศที่รุนแรง จนทำให้เหมือนมีงานศิ ลปะขนาดใหญ่วางเรียงรายอยู่เต็มพื้นที่

Mount Sinai

เป็ นภูเขาที่คาบสมุทรไซนายของอียิปต์ มันอาจจะเหมือนกับภูเขาซีนายในพระคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเป็ น
สถานที่ที่ตามพระคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่าโมเสสรับบัญญัติสิ บประการ

เป็ นภูเขาสู งปานกลาง 2,285 เมตร (7,497 ฟุ ต) ใกล้กับเมืองเซนต์แคทเธอรีนในภูมิภาคที่รู้จักกันในชื่อ
คาบสมุทรไซนายในปั จจุบัน ล้อมรอบทุกด้านด้วยยอดเขาที่สู งกว่าในเทือกเขาซึ่งเป็ นส่ วนหนึ่ ง ตัวอย่าง
เช่นตั้งอยู่ถัดจากภูเขาแคทเธอรีนซึ่งอยู่ที่ 2,629 เมตรหรือ 8,625 ฟุ ตเป็ นยอดเขาที่สู งที่สุ ดในอียิปต์

ธรณี วิ ทยา
หินภูเขาซีนายของกำลังก่อตัวขึ้นในระหว่างขั้นตอนปลายของวิวัฒนาการของอาหรับนูเบียโล่ Mount Sinai:
แสดงที่ ซั บซ้ อนแหวน[2]ที่ ประกอบด้ วยอั ลคาไลน์ แกรนิ ตบุ กรุ กเข้ ามาในชนิ ดของหิ นที่ มี ความหลากหลายรวม
ทั้งvolcanics หินแกรนิตมีองค์ประกอบตั้งแต่ไซโนกราไนต์ไปจนถึงหินแกรนิตเฟลด์สปาร์อัลคาไล หินภูเขาไฟที่มี

อัลคาไลน์เพื่อ peralkaline และพวกเขาจะแสดงโดยกระแส subaerial และเฉียบพลันและsubvolcanic
Porphyry โดยทั่วไปลักษณะของหินที่ถูกเปิ ดเผยในภูเขาซีนายบ่งชี้ว่าก่อตัวขึ้นในระดับความลึกที่แตกต่างกัน

Egyptian bread

อาหารหลั กของชาวอี ยิ ปต์ โบราณ
อาหารหลักของคนอียิปต์ ทุกชนชั้นนั้น คือ ขนมปั ง เบียร์ หัวหอม พวกผักต่างๆ แล้วก็ปลาแห้ง
การประกอบอาหารก็คือการ อบ ย่าง เผา ต้ม และทอด แบบสมัยเราๆ นอกจากนี้ อียิปต์มีน้ำเชื่อมด้วย ทำจากผลไม้
อาทิเช่นพวก องุ่น เพื่อให้ได้รสหวานและนอกจากนั้น ยังมีการใช้ในน้ำผึ้ง เกลือ กระเทียม หัวหอม ในการปรุงรสให้
อร่อยด้วยอาหารของชาวอียิปต์นั้น มีการแบ่งชนชั้นด้วยคือ พวกคนชั้นแบบชาวนา ก็กินแค่หัวหอม ขนมปั ง แล้วก็พืช

พรรณที่ เก็ บได้
ส่ วนชนชั้นสู งก็จะมีเนื้อสั ตว์เสริมด้วย และ ชนชั้นสู งเท่านั้น ที่จะสามารถ รับประทานเนื้อสั ตว์ได้ สั ตว์ที่นิยมรับประทาน

ก็คือพวก เนื้อหมู เนื้อแกะ เนื้อวัว
การรับประทานไข่ในอียิปต์นั้น ก็มีบ้าง แต่ ไม่นิยมมากนัก ส่ วนมากชาวอียิปต์จะนิยมเลี้ยสั ตว์ ที่เป็ นไข่ ให้ฝั กออก

มา แล้วกินเป็ นตัวมากกว่า ส่ วนไข่ที่นิยมรับประทานนั้น ก็คือไข่ของเป็ ด

Date palm

ชื่อของอินทผลัมพันธุ์นี้ได้มาจาก ชื่อของคนๆหนึ่ งในประเทศอียิปต์ อินทผลัมพันธุ์นี้นั้นเป็ นอินทผาลัมที่นิยม
ปลุกมากในประเทศอียิปต์ ซึ่งมีอินทผาลัมพันธุ์นี้เกือบ 3,000,000 ต้น อินทผลัมพันธุ์นี้เป็ น อินทผลัมพันธุ์ที่
จะเก็บช่วง Khallal เพราะเป็ นอินทผลัมพันธุ์หนึ่ งที่สามารถอยุ่ในฟรีสเซอร์ได้นานแต่ส่ วนใหญ่จะกินนิยมกินที่
Rutub รสชาติของอินทผลัมพันธุ์นี้จะหวานน้อย ผลสี ของอินทผลัมพันธุ์นี้นั้นเป็ นสี แดงสด รูปทรงค่อนข้าง

ยาววงรี น้ำหนักหนักโดยเฉลี่ยของอินทผลัมพันธุ์นี้คือ 21 g. ขนาดของโดยเฉลี่ยของอินทผลัมพันธุ์นี้คือ
5.6x2.6 ซม. อินทผลัมฮายานี่นั้นเป็ นพันธุ์ที่โตไวพันธุ์หนึ่ ง อินทผลัมสายพันธุ์ฮายานีนั้นเป็ นอินทผลัมที่มีทาง

ใบยาวกว่า 5 เมตร ฉะนั้นระยะการปลูกควรจะเป็ น 8.5x8.5 เป็ นอย่างน้อย

Falafel

เป็ นทอดลูกหรือขนมรูปชุบแป้ งทอดทำจากพื้นดินถั่วชิกพี ,ถั่วกว้างหรือทั้งสอง
อย่าง ฟาลาเฟลเป็ นอาหารตะวันออกกลางแบบดั้งเดิมมักเสิ ร์ฟในไฟลนก้นซึ่งทำ

หน้าที่เป็ นกระเป๋ าหรือห่อด้วยขนมปั งแบนที่เรียกว่า taboon ; "ฟาลาเฟล" มัก
หมายถึงแซนวิชที่ห่อในลักษณะนี้ ลูก Falafel จะราดด้วยสลัดผักดอง ,ซอสร้อน
และ drizzled กับซอส tahini ตาม. ลูก Falafel ยังอาจจะกินคนเดียวเป็ นอาหาร

ว่างหรือทำหน้าที่เป็ นส่ วนหนึ่ งของMezeถาด (แบ่งประเภทของทานเล่น)

Falafel กินทั่วตะวันออกกลางและเป็ นสามัญถนนอาหาร Falafel มักจะทำด้วยถั่วฟาใน
อียิปต์และเรียกTa'amiyaและมีถั่วชิกพีในลิแวน เป็ นที่นิยมในหมู่ผู้ทานมังสวิรัติทั่วโลก

เทพเจ้าอียิปต์โบราณ

โทท ไอซิส โฮรัส เซท

เร เทพแห่งความรอบรู้และ โอซิริส เป็นหนึ่งในเทพของ เป็นเทพแห่งความแห้งแล้ง
เวทย์มนตร์ของอียิปต์ (และ
เทพแห่งดวงอาทิตย์ใน เป็นเทพแห่งดวงจันท์ด้วย) ตำนานเทพเจ้าแห่ง คือหนึ่งในเทพของ ตำนานเทพเจ้าแห่ง พายุ ทะเลทราย ความ
ตำนานเทพเจ้าแห่งไอย
เป็นเทพแห่งชีวิตหลังค ไอยคุปต์ ไอยคุปต์ ของความเชื่อชาวอียิปต์ วุ่นวาย ชั่วร้าย โหดเหี้ยม
คุปต์ของอียิปต์
วามตาย เทพแห่งนรก ฮอรัสเป็นพระโอรสของเทพโอซีริส และ

และเทพแห่งวิญญาณ และสิ่งที่ไม่ดี

เทพีไอซิสและเป็นพระสวามีของแฮธอร์

ปราสาทอัลฟาราฟรา

สถานที่ท่องเที่ยวทางภูมิศาสตร์หลักของฟาราฟราคือทะเลทรายสีขาว (รู้จักกันในชื่อSahara el Beyda )
ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติของอียิปต์และอยู่ห่างจากเมืองฟาราฟราไปทางเหนือ 45 กม. (28 ไมล์) แหล่งท่อง
เที่ยวหลักคือประเภทหินที่แต่งแต้มด้วยหิมะ ขาวถึงครีม มีหินชอล์คขนาดมหึมาที่เป็นตัวอย่างหนังสือเรียน
เกี่ยวกับการระบายอากาศและเกิดขึ้นจากพายุทรายเป็นครั้งคราวในพื้นที่ ทะเลทรายขาวเป็นสถานที่ทั่วไปที่

โรงเรียนบางแห่งในอียิปต์มาเยี่ยมเยียน เป็นสถานที่สำหรับการตั้งแคมป์

อเล็กซานเดรีย

เมืองอเล็กซานเดรีย เป็นเมืองท่าขนาดใหญ่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตั้ง
อยู่ทางเหนือสุดของอียิปต์ เป็นเมืองสำคัญอันดับที่ 2 รองจากกรุงไคโร
แต่แล้วก็ตกเป็นของกรีก โรมัน รวมถึงการเข้ามาของศาสนาอิสลามจาก
อาณาจักรออโตมัน ทำให้เมืองนี้เลยมีศิลปะของทางกรีก โรมัน ตุรกี

เซนต์แคทเธอรีน

เป็นเมืองในที่นายใต้อเรท มันตั้งอยู่ที่เขตชานเมืองของเทือกเขาเอลทอร์ที่ระดับความสูง 1,586 เมตร (5,203 ฟุต)
120 กิโลเมตร (75 ไมล์) จากNuweiba , ที่เท้าของภูเขาซีนายและอารามเซนต์แคทเธอรี ในปี 1994 มีประชากร 4,603

คน นักบุญแคทเธอรีนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกประกาศอย่างเป็นทางการในปี 2545
เมืองเซนต์แคทเธอรีนตั้งอยู่ที่เชิงเขาสูงไซนาย "หลังคาแห่งอียิปต์" ซึ่งพบภูเขาที่สูงที่สุดของอียิปต์

ที่ราบสูงกิลฟิคาบีร์



เป็นที่ราบในหุบเขาเรทของมุมที่ห่างไกลทางตะวันตกเฉียงใต้ของอียิปต์และทิศตะวันออกเฉียงใต้ของลิเบีย ชื่อของ
มันแปลว่า " Great Barrier" นี้ 7,770 กม. 2 (3,000 ตารางไมล์) หินทรายที่ราบสูงประมาณขนาดของเปอร์โตริโก

, เพิ่มขึ้น 300 เมตร (980 ฟุต) จากทะเลทรายลิเบียชั้น มันคือหัวใจที่แท้จริงของกิลฟิคาบีร์
ภูมิอากาศ ที่ราบสูง Gilf Kebir อยู่ในใจกลางทางตะวันออกของทะเลทรายซาฮาราอันกว้างใหญ่และได้รับสภาพ
อากาศที่รุนแรงที่สุดในโลก นี่เป็นสถานที่ที่แห้งแล้งที่สุดในโลก ไม่เพียงเพราะพื้นที่นั้นไม่มีฝนทั้งหมด (ปริมาณน้ำ

ฝนเฉลี่ยต่อปีแทบจะไม่ถึง 0.1 มม.) แต่ยังเป็นเพราะดัชนีความแห้งแล้งทางธรณีวิทยา

ซาฮาร่า

เป็นทะเลทรายขนาดใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นบริเวณแห้งแล้งใหญ่สุดเป็นอันดับสามรองจากทวีป
แอนตาร์กติกาและอาร์กติกมีเนื้อที่มากกว่า 9,000,000 ตารางกิโลเมตร หรือ 3,500,000 ตารางไมล์ทะเลทราย
สะฮารา แม้จะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ ที่ร้อนและแห้งแล้งที่สุดในโลกทะเลทรายสะฮาราครอบคลุมส่วนใหญ่
ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนแอลจีเรีย, ชาด, อียิปต์, ลิเบีย, มาลี, มอริเตเนีย, โมร็อกโก, ไนเจอร์, เวส

เทิร์นสะฮารา, ซูดานและตูนิเซีย

สฟิงซ์

เป็นสัตว์ประหลาดในตำนานไอยคุปต์วิทยาและยังมีในตำนานของชนชาติอื่นด้วย แต่มีลักษณะ

ต่างกันออกไป แต่มีตัวเป็นสิงโตเหมือนกัน สฟิงซ์ในตำนานกรีกมีใบหน้าและช่วงอกเป็นหญิง

สาวมีปีกเหมือนนกอินทรีย์และสามารถพูดภาษามนุษย์ได้ สฟิงซ์จะคอยถามคำถามกับมนุษย์ที่

หลงมาพบเข้า หากตอบคำถามไม่ได้มนุษย์จะถูกสังหาร ส่วนสฟิงซ์ของอียิปต์โบราณไม่มีปีก
มีหน้าเป็นมนุษย์ผู้ชายและยังมีแบบที่มีหัวเป็นแกะ (Criosphinx)และหัวเป็นเหยี่ยว

(Hierocosphinx)อีกด้วย ชาวอียิปต์โบราณแกะสลักหินเป็นรูปสฟิงซ์ไว้เป็นจำนวนมากแต่ที่

มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ มหาสฟิงซ์แห่งกิซ่า โดยมีนักโบราณคดีเชื่อกันว่า หมาสฟิงซ์แห่งกีซานั้น
เป็นเสมือนอนุสาวรีย์ของฟาโรห์เคเฟร (Khafre)หรือ คีเฟรน(Chephren) ฟาโรห์ในราชวงศ์ที่
4คือผู้ที่สร้างพีระมิดคาเฟร เมื่อประมาณ 2600 ปีก่อนคริสตกาล จึงถือว่ามหาสฟิงซ์แห่งนี้เป็น

อนุสาวรีย์แกะสลักที่เก่าแก่ที่สุดอย่างที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้รู้จัก อียิปต์โบราณถือว่ากัน
สฟิงซ์เป็นร่างที่จำแลงภาคหนึ่งของเทพเจ้า การที่ฟาโรห์คาเฟรให้แกะสลักใบหน้าสฟิงซ์เป็น

ใบหน้าของพระองค์จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าพระองค์เปรียบดังเทพเจ้านั่นเอง สฟิงซ์ถือเป็นสิ่ง
ที่งดงามเป็นอย่างมากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต่างเดินทางมาทัวร์อียิปต์เพื่อได้ชมสฟิงซ์ที่มีความ

ใหญ่โต อลังการและมีความงดงามเป็นอย่างมาก

มหาวิหารองค์รามเสสที่ 2

อะบูซิมเบล หรือ อนุสรณ์สถานแห่งนิวเบีย เป็นมหาวิหารอียิปต์โบราณ ตั้งอยู่บนริม
ฝั่ งตะวันตกของทะเลสาบนัสซอร์ ทางใต้ของอียิปต์ เป็นวิหารที่สวยงามที่สุดแห่ง
หนึ่งซึ่งสกัดเจาะภูเขาทั้งลูก ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1,270 โดยฟาโรห์รามเสสที่ 2 (

Ramses II ) เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งสุดท้ายของพระองค์กับพระนางเนเฟอร์ทารี

พระมเหสีที่พระองค์ทรงโปรดที่สุด และยังมีจุดประสงค์เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองกับ

ชัยชนะของอียิปต์ที่มีต่อนิวเบียที่สมรภูมิแห่งคาเดส
ประกอบด้วย 2 วิหารคือ วิหารใหญ่สร้างขึ้นสำหรับพระองค์เอง มีรูปหินแกะสลักของ
ฟาโรห์รามเสสที่ 2 นั่งบนบัลลังก์ 4 องค์ เรียงกันข้างละ 2 องค์หันหน้าไปทางแม่น้ำ
เพื่อแสดงถึงพลังและอำนาจของฟาโรห์ที่คอยดูแลปกป้องเหล่าเรือใบที่แล่นในแม่น้ำ

ไนล์

จระเข้แม่น้ำไนล์

เป็นจระเข้ขนาดใหญ่เป็นอันดับสองรองจากจระเข้น้ำเค็ม ตัวผู้มีขนาดใหญ่ตั้งแต่ 3-
5 เมตร หนักได้ถึง 750 กิโลกรัม ซึ่งเมื่อมีอายุมากขึ้น พวกมันจะมีขนาดที่ยาวมาก
ขึ้นและหนักมากขึ้น ส่วนตัวเมียจะมีความยาวแค่ 2.4-4เมตร หนักราว 225-500

กิโลกรัมในธรรมชาติพวกมันจะอาศัยอยู่ในถิ่นเดียวกับฮิปโปโปเตมัส ซึ่งบางครั้งจะ
เกิดการปะทะไปบ้าง แต่พวกมันก็แบ่งปันพื้นที่อยู่กันได้อย่างดี นอกจากนี้พวกมันยัง

เป็นสัตว์ที่ขึ้นชื่อว่า ดุร้ายและเป็นอันตรายต่อมนุษย์มากที่สุด โดยทุกปีจะมีผู้เสียชีวิต

และถูกทำร้ายเป็นจำนวนหลักร้อยถึงพัน

และแม้ในอดีตชาวอียิปต์โบราณจะนับถือจระเข้แม่น้ำไนล์เป็นทูตของเทพเจ้าโซเบก

หรือเซเบก เทพเจ้าผู้ให้กำเนิดแม่น้ำไนล์ โดยพวกเขาเชื่อกันว่า แม่น้ำไนล์กำเนิดมา

จากเขาทั้งสองข้างของโซเบก ทำให้บางครั้งจะมีการทำมัมมี่ให้แก่เหล่าจระเข้ที่ตายไป
ด้วย แต่ในปัจจุบันพวกมันได้ถูกล่าอย่างต่อเนื่องเพื่อนำหนังมาทำอุตสาหกรรมต่างๆ

จนมีการคาดว่า ในธรรมชาติเหลือพวกมันเพียง 250,000-500,000 ตัว

น้ำหอมและน้ำมันหอมระเหย

น้ำหอมมีการใช้มาตั้งแต่ยุคโบราณแล้วนั้นมาจากหนังสือ The Histories อันเป็น
บันทึกของเฮโรโดตัส นักประวัติศาสตร์ชาวกรีก ซึ่งมีชีวิตระหว่าง 490-480 ก่อ
นคริสตศักราช ผู้ที่ได้ท่องเที่ยวไปยังดินแดนต่าง ๆ ในช่วงเวลาที่เขามีชีวิตอยู่ทั้งใน
อียิปต์ เมโสโปเตเมีย ปาเลสไตน์ และตอนใต้ของรัสเซียการใช้น้ำหอมในอารยธรรม

อียิปต์โบราณ อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้อารยธรรมโบราณอื่นในคาบสมุทรทะเล
เมดิเตอร์เรเนียนมีการใช้น้ำหอมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากอารยธรรมอียิปต์โบราณ
ตั้งอยู่ในแถบคาบสมุทรทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ได้เกิด
อารยธรรมโบราณต่าง ๆ นี้มากมาย การใช้น้ำหอมอย่างแพร่หลายของชาวอียิปต์
โบราณ จึงอาจส่งผลให้อารยธรรมโบราณเหล่านี้ ได้รับอิทธิพลในการใช้น้ำหอม โดย
อารยธรรมร่วมสมัยที่มีหลักฐานทางโบราณคดีแสดงถึงการใช้น้ำหอม เช่น อารยธร
รมเมโสโปเตเมีย ปรากฏหลักฐานคือ แผ่นจารึกอักษรคูนิฟอร์มซึ่งกล่าวถึงชื่อนักทำ

น้ำหอม นามว่า Tapputi ในราว 2,000 ปีก่อนคศ.

กระดาษปาริรุส

กระดาษปาปิรุส กระดาษชนิดแรกของโลกเป็นกระดาษที่ทำมาจากต้นกก ที่มีความยืดหยุ่นและ

คงต่อสภาพอากาศอันแห้งแล้งของอียิปต์ได้ดี อียิปต์ใช้บันทึกข้อความสรรเสริญเทพเจ้าและ

เหตุการณ์ต่างๆในสมัยอียิปต์ โบราณ ว่ากันว่าได้มีการประดิษฐ์อักษรลงบรกระดาษปาปิรุสที่

เรียกกันว่า ตัวอักษรฮีโรกราฟฟิก หรือที่เพื่อนๆ พี่ๆรู้จักกัน คือ อักษรภาพของชาวอียิปต์

นั่นเองเสียดายที่นักโบราณคดีไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ว่ากระดาษปาปิรุสนี้มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่
เท่าที่มีอยู่ทราบเพียงว่า ปาปิรุสได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง เช่น นำมาเป็นเชื้อเพลิง

สร้างบ้าน ต่อเรือ สานตะกร้า ตลอดจนตัดเย็บเสื้อผ้าโดยเฉพาะศิลปหัตถกรรมที่ทำกระดาษจาก

ต้นปาปิรุสนี้ถือเป็นความลับสุดยอดก็ว่าได้ เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแล

อย่างใกล้ชิดของเจ้าหน้าที่ซึ่งองค์ฟาโรห์ทรงแต่งตั้ง ทำเป็นอุตสาหกรรมกันเลยทีเดียว ชาว
บ้านจึงเรียกว่า ปะ – ปี๋ – ร่า ( Pa – Pe – Raa) หมายถึงกิจการที่เป็นขององค์ฟาโรห์ แต่ชาว

กรีกโบราณออกเสียงเพี้ยนเป็นปาปิรัส แล้วคำคำนี้แหละ ก็แผลงมาเป็น “เปเปอร์ (
Paper”หรือกระดาษในปัจจุบันนี่เอง

แมว

ในอารยธรรมอียิปต์มีการบูชาแมวเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากชาวอียิป์นับถือ เทพี
บาเตส (Bastet) เทพีแห่งความรัก ความอุดมสมบูรณ์ และช่วยต่อต้านสิ่งชั่วร้าย
และความเจ็บป่วย เทพีองค์นี้มีส่วนหัวเป็นแมว ลำคัวเป็นคน เมื่อมีแมวเป็นสัตว์

เทพเจ้า ชาวอียิปต์จึงมีกฎห้ามทำร้ายแมว หรือนำแมวออกจากอาณาจักร ผู้ใด

ละเมิดกฎอาจมีโทษถึงชีวิต มีตำนานเล่าว่าทหารโรมันผู้หนึ่งฆ่าแมวโดยไม่ตั้งใจ แต่
นั่นทำให้ชาวอียิปต์โกรธแค้นมากจนรวมตัวกันสังหารทหารโรมัน

นอกจากจะบูชาแมวแล้ว แมวยังมีประโยชน์ต่อชาวอียิปต์คือพวกมันช่วยกำจัดหนู

และล่างูด้วย ซึ่งสัตว์ทั้งสองชนิดนี้นับเป็นภัยคุกคามชาวอียิป์ในยุคโบราณอย่างมาก
จึงไม่แปลกที่จะยกย่องบูชาแมวเป็นสัญลักษณ์แห่งเทพเจ้า แมวยังปรากฏในอักษร
เฮียโรกลิฟฟิคของชาวอียิป์ โดยคำว่าแมวนั้นคือ “miu” หรือ “mau” ซึ่งสอดคล้อง

กับเสียงร้องของแมวนั่นเอง

รายชื่อกลุ่ม

นางสาว เพชรดา เทียมพิทักษ์ 6340410750
6340410751
นางสาว ภัทรกมล อินชนะ 6340410752
6340410753
นางสาว ภูสนิษา จันทร์เรือง 6340410755
6340410757
นางสาว มณฑิตา คำนิล 6340410758

นางสาว วชิรา ทองใบ

นางสาว ศรุตา ศรีอักษร

นางสาว ศิรินทร์ทิพย์ ไหมเหล็ก


Click to View FlipBook Version