The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สัตว์มหัศจรรย์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2022-03-08 09:23:21

สัตว์มหัศจรรย์

สัตว์มหัศจรรย์

คำนำ ก

สัตว์มหัศจรรย์ในตำนานกรีก-โรมัน เป็นเล่มอีบุ๊คที่ช่วยพัฒนาให้ผู้อ่านมีความ
รู้ความเข้าใจ มีทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต รู้เท่าทันการ
เปลี่ยนแปลง สามารถนำความรู้เกี่ยวกับสัตว์มหัศจรรย์มาใช้ในการคิด
สร้างสรรค์และความสนุกสนานได้นำมาเสริมสร้างความรู้ให้ยิ่งขึ้นไป

สารบัญ ข

คำนำ ก
สารบัญ ข
ฮาร์พี Harpy 1-2
กริฟฟิน Griffin 3-4
บาซิลิกส์ Basilisk 5-8
เซนเทอร์Centaur 9-10
เซอร์เบอรัส Cerberus 11-12
ไซเรน Siren 13-14
มิโนทอร์ Minotaur 15-18
ไซคลอปส์ Cyclops 19-20
ไทฟอน Typhon 21-22
เพกาซัส Pegasus 23-25
รายชื่อผู้จัดทำ 26

1

ฮาร์พี Harpy

ฮาร์พี เป็นสิ่งมีชีวิตตามตำนานกรีกซึ่งมีรูปกายเป็นมนุษย์ผู้หญิงมีท่อนล่าง
เป็นนกและมีปีก กล่าวกันว่าแต่เดิมฮาร์พีมีเพียงสองตนเท่านั้น คือเอลโลและโอ
ไซพีเทส ธิดาแห่งเธามาสและโอเชียนิดนามอิเล็กตร้า (โอเชียนิด คือนิมฟ์แห่ง
ทะเล) เธามาสผู้นี้เป็นโอรสของพอนทัสและไกอา ทั้งพอนทัสและไกอาต่างก็เป็น
เทพเจ้าโบราณของกรีก โดยพอนทัสเป็นเทพแห่งทะเล ส่วนไกอาเป็นเทพแห่ง
พิภพ ฮาร์พีทั้งสองเป็นพี่น้องกับเทวีไอริส ซึ่งเป็นเทวีผู้ทำหน้าที่นำสารให้กับ
เหล่าเทพเจ้าต่างๆ เช่นเดียวกับเฮอร์เมส หากแต่เฮอร์เมสนั้นขึ้นตรงต่อเทพบดี
ซูส ในขณะที่ไอริสเป็นเทวีใต้บัญชาของเฮร่า เทวีไอริสยังมีปีกเป็นนกเช่นเดียว
กับอีรอส และมักถูกกล่าวถึงในลักษณะของสาวน้อยมีปีก ถือคทานำสาร
นอกจากนี้ไอริสยังเป็นเทวีพรหมจรรย์ และถือเป็นเทวีแห่งสะพานสายรุ้งอีก
ด้วย

เรื่องที่เป็นที่รู้จักกันดีเกี่ยวกับฮาร์พีคือ เรื่องเมื่อครั้งเรืออาร์โกมาขึ้นฝั่ งที่เธรส
ในตอนนั้นมีนักพยากรณ์ตาบอดผู้หนึ่งนามว่า ฟีนูสนำความลับของสวรรค์มา
บอกแก่คนนอกมากเกินไป เทพเจ้าซูสจึงทรงสั่งให้พวกฮาร์พีมาขโมยอาหาร
ของฟีนูสเป็นการทรมาน เซเทสและคาลาอีสบุตรของเทพเจ้าแห่งสายลมเหนือ
โบรีอัสจึงทำหน้าที่ขับไล่เหล่าฮาร์พีนี้ไป ยังมีบางตำนานกล่าวว่าฮาร์พีถูกเซเท
สและคาลาอีสฆ่าตาย นอกนั้นเล่าว่าเทวีไอริสได้ลงมาห้ามไว้ทัน หากแต่เหล่า
ฮาร์พีก็ต้องตายเพราะอดอยากอาหารอยู่ดี

2

ในเรื่องเจสันกับขนแกะทองคำนั้น ฮาร์พีได้ถูกกล่าวถึงว่าเป็นสุนัขล่าเนื้อของ
ซูส การปรากฏตัวของฮาร์พีจะสร้างความน่าขยะแขยงไว้ในทุกๆที่ที่มันไป ฮาร์
พีจะกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าและทิ้งมูลที่มีกลิ่นเหลือรับจนไม่ว่าสิ่งมีชีวิต
ใดก็ทนไม่ได้

ในเทพปกรณัมกรีกยังมีการกล่าวถึงฮาร์พีตนอื่นๆ อีก ซึ่งคาดว่าเป็นการเสริม
แต่งเข้ามาภายหลัง เช่นฮาร์พีที่มีชื่อว่าโพดาร์กซึ่งเป็นมารดาของม้าศักดิ์สิทธิ์
สองตัว ชื่อซานธุสและบาเลียส (ม้าของอะคิลลีส) โดยมีเทพเจ้าแห่งสายลม
ตะวันตกเซฟเฟอรุสเป็นบิดา

บางตำนานกล่าวว่าเป็นสมุนรับใช้ของเทพเจ้าฮาเดส โดยทำหน้าที่หาวิญญาญ
ที่เป็นอาหารมาสังเวยให้ที่นรกทาทาร์ลัส อาศัยอยู่ที่ชั้นบรรยากาศ (หรือว่ากัน
ว่าตามหมู่เมฆนั้นเอง) มีความสามารถเกี่ยวกับลม และมักจะเป็นตัวร้ายที่มักจะ
โผล่มาในการโกรธแค้นของเหล่าเทพ โดยยกตัวอย่างจากตำนานที่ทำให้นก
ฮาร์พีโด่งดังอันหนึ่ง คือตำนานเจสันและขนแกะทองคำ โดยตำนานกล่าวว่า
คิงเพเนอุสถูกพระเจ้าสาปไม่ให้กินอาหารได้ เพราะทุกครั้งที่จะกินอาหาร จะมี
เหล่านกฮาร์พีมาบินวนโฉบแย่งอาหารไป ทำให้ไม่สามารถกินอาหารได้เลย จน
กระทั่งได้รับการช่วยเหลือจากพวกเจสัน หลังจากนำเรืออาร์โก้เทียบท่า โดย
การฆ่านกฮาร์พีทิ้งเสีย ว่ากันว่าฮาร์พีมี3พี่น้อง นามว่า Aello Celaeno และ
Ocypete

3

กริฟฟิน Griffin

กริฟฟอน หรือ กริฟฟิน (อังกฤษ: griffin, gryphin, griffon หรือ gryphon)
คือสัตว์ในเทพนิยายร่างกายเป็นครึ่งนกอินทรี ครึ่งสิงโต โดยส่วนหัว ขาคู่หน้า
และปีกเป็นนกอินทรี ส่วนลำตัวและขาคู่หลังเป็นสิงโต มีหางเป็นงู บางจำพวกก็
มีหางของสิงโต ขนบนหลังเป็นสีดำ ขนที่อยู่ข้างหน้าเป็นสีแดง ส่วนขนปีกเป็น
สีขาว อาศัยอยู่ในถ้ำตามภูเขา

ตามตำนานกรีก กริฟฟินเป็นสัตว์เทพผู้พิทักษ์เหมืองทองคำของดินแดนไฮ
เปอร์โบเรีย (ดินแดนในตำนานซึ่งอยู่ทางขั้วโลกเหนือ มีแสงอาทิตย์ และความ
อุดมสมบูรณ์ตลอดกาล) เป็นรูปจำแลงของเทพีเนเมซิส เทพแห่งความ
พยาบาท ซึ่งทำหน้าที่หมุนวงล้อแห่งโชคชะตา, นอกจากนี้ยังเป็นผู้ลากรถม้า
ของพระอาทิตย์ (เทพอพอลโล)

กริฟฟินนั้นเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจ และบางครั้งยังถือว่ากริฟฟินเป็น
สัญลักษณ์ของความหยิ่งยโสอีกด้วย

4

ในยุคแรก กริฟฟินถูกเปรียบเทียบให้เป็นเหมือนกับซาตาน ที่คอยล่อลวงวิ
ญญานของมนุษย์ให้ติดกับ แต่ต่อมากริฟฟินก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของทั้งทวย
เทพ และมนุษย์ สำหรับพระเยซู เพราะมันเป็นเจ้าแห่งพิภพและเวหา อีกทั้งมี
รังสีแห่งแสงอาทิตย์ ศัตรูของกริฟฟินคือ บาซิลิสก์ ซึ่งเปรียบได้กับรูปจำลอง
ของซาตาน

ปัจจุบันสามารถพบเห็นกริฟฟินได้ทั่วไปจากงานศิลปะในหลาย ๆ วัฒนธรรม
และพบได้ในตราประจำตระกูล รูปสัตว์ต่าง ๆ, ประติมากรรมเก่าแก่, โมเสกนูน
ต่ำ, นิทาน และในตำนานต่าง ๆ ทั่วโลก

5

บาซิลิกส์ Basilisk

ในตำนานและประมวลสัตว์ร้ายของยุโรป บาซิลิสก์ (อังกฤษ: basilisk) เป็น
สัตว์เลื้อยคลานซึ่งถือกันว่า เป็นราชาแห่งงู (king of serpents) และเชื่อกันว่า
มีลมหายใจเป็นพิษร้าย และมีแววตาสังหารที่ใครได้จ้องก็ต้องถึงตาย หนึ่งใน
เอกสารเก่าแก่ที่สุดที่เอ่ยถึงสัตว์นี้ คือ เนเชอรัลฮิสตอรี (Natural History)
ของพลินีคนพี่ (Pliny the Elder) ที่ระบุว่า บาซิลิสก์มาจากไซรีนี (Cyrene)
เป็นงูตัวเล็กที่ยาวไม่เกิน 12 องคุลี มีพิษสงร้ายแรง เลื้อยไปที่ใดก็ทำลายทุกสิ่ง
ที่ขวางหน้า ทั้งใครมองมันก็จะถึงตาย แต่สัตว์นี้แพ้กลิ่นสาบของวีเซิล เป็นไป
ได้ว่า ตำนานเรื่องบาซิลิสก์และความสัมพันธ์กับวีเซิลนี้มีที่มาจากงูเอเชียบาง
ชนิด เช่น จงอาง และสัตว์ผู้ล่าอย่างพังพอน

บาซิลิสก์ได้ชื่อว่า เป็น "ราชา" เพราะเชื่อว่า บนศีรษะมีหงอนรูปคล้ายมงกุฏ
หรือหมวกพระ เรื่องราวในยุคแรกเกี่ยวกับบาซิลิสก์แสดงให้เห็นว่า บาซิลิสก์ไม่
ได้รูปลักษณ์แตกต่างจากไก่ค็อกคาทริซ (cockatrice) โดยสิ้นเชิงบางตำนาน
ยังว่า บาซิลิสก์เกิดจากไข่งูหรือคางคกที่ค็อกคาทริซฟักออกมา และค็อกคา
ทริซเองเกิดจากไข่ไก่ที่งูหรือคางคกฟัก นอกจากนี้ ช่วงแรก ๆ ที่มีการเอ่ยถึงบา
ซิลิสก์ในยุโรปสมัยกลางก็ยังว่า บาซิลิสก์มีลักษณะเด่นบางอย่างเหมือนค็อกคา
ทริซ

6

หนึ่งในเอกสารเก่าแก่ที่สุดที่เอ่ยถึงบาซิลิสก์ คือ เนเชอรัลฮิสตอรี ของพลินีคน
พี่ เขียนขึ้นราว ค.ศ. 79 พรรณนาว่า ใครก็ตามที่จ้องมองแคโทบลีพัส
(catoblepas) สัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายวัว จะถึงแก่ความตายทันที แล้วจึง
ระบุต่อว่า สัตว์ที่มีอำนาจคล้ายกันเป็นงูที่เรียก บาซิลิสก์ ซึ่งถือกำเนิดขึ้นใน
มณฑลไซรีนี ตัวยาวไม่เกิน 12 องคุลี บนศีรษะมีแต้มสีขาวเด่นชัดดูคล้ายกับ
ศิราภรณ์ หายใจออกมาเป็นงู แต่เวลาเลื้อยไม่เลื้อยเหมือนงูอื่น กลับเคลื่อนไหว
โดยชูตัวตรง และเคลื่อนไปที่ใด พุ่มไม้ใบหญ้าก็ตายสิ้น แม้แต่ก้อนหินก็ยัง
ทลาย ทั้งเพราะโดนมันสัมผัสด้วยลำตัว และโดนมันหายใจรดใส่ เพราะฉะนั้น
จึงเป็นสัตว์ที่ล่ำลือกันถึงความร้ายกาจ เดิมยังเชื่อกันทั่วไปว่า ถ้าคนบนหลังม้า
เอาหอกแทงสัตว์ชนิดนี้ พิษจากตัวมันจะแล่นผ่านหอกขึ้นไปจนฆ่าทั้งตัวม้าและ
ตัวผู้ขี่ แต่สิ่งที่เอาไว้กันสัตว์ร้ายนี้ คือ กลิ่นสาบของตัววีเซิล ซึ่งทำให้บาซิลิสก์
ถึงตายได้

นักบวชอีซีโดโรแห่งเซบิยา (Isidore of Seville) กล่าวว่า บาซิลิสก์นับเป็น
ราชาแห่งงู เพราะมีลมหายใจพิษ และมีแววตาพิฆาต อเล็กซานเดอร์ เนกแคม
(Alexander Neckam) ระบุทำนองเดียวกันว่า ใช่แต่แววตาที่สามารถบันดาล
ความตาย บาซิลิสก์ยังมีอาวุธร้ายประจำตัวอีก คือ ลมหายใจที่ก่อพิษ เรื่องราว
เหล่านี้ ปีเอโตร ดาบาโน (Pietro d'Abano) นำไปปรุงแต่งจนโด่งดังในอีกร้อย
ปีถัดมา

นักบุญบีด (Bede) เป็นบุคคลแรกที่บันทึกเป็นลายลักษณ์ว่า บาซิลิสก์เกิดจาก
ไข่ที่ไก่ฟัก แล้วเพรซบีเทอร์ทีอ็อฟฟะลัส (Theophilus Presbyter) จึงเขียน
สูตรการใช้บาซิลิสก์เปลี่ยนทองแดงเป็นทองคำว่า เอาโลหิตของบาซิลิสก์ที่แห้ง
เป็นผงมาผสมเข้ากับผงโลหิตมนุษย์ ทองแดง และน้ำส้มสายชู ทองแดงก็จะ
กลายเป็นทองคำ

7

เรื่องสายตาพิฆาตของบาซิลิสก์นั้น นักบุญอัลแบร์ตุส มาญุส (Albertus
Magnus) ก็บันทึกไว้ในหนังสือเรื่อง ดีอะนิมาลิบัส (De animalibus) แต่ไม่
ยอมรับตำนานอื่น ๆ เช่น เรื่องที่ว่า บาซิลิสก์เกิดจากไข่ที่ไก่ตัวผู้ฟัก เขาว่า เรื่อง
สายตาพิฆาตนี้เขาได้มาจากเฮอร์เมส ทริสเมจิสทัส (Hermes Trismegistus)
ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่เขียนว่า ซากบาซิลิสก์เผาใช้แปรเงินเป็นทองได้ แต่ที่จริง
เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ผลงานของทริสเมจิสทัส กระนั้น ก็เป็นเครื่องยืนยันว่า ใน
คริสต์ศตวรรษที่ 13 มีการเชื่อมโยงบาซิลิสก์เข้ากับการเล่นแร่แปรธาตุแล้ว

เจฟฟรีย์ ชอเซอร์ (Geoffrey Chaucer) เขียนถึง "บาซิลิก็อก" (basilicok) ไว้
ในหนังสือ เดอะแคนเทอร์บรีเทลส์ (The Canterbury Tales) ว่า บาซิลิสก์จะ
ตายเมื่อได้ยินเสียงไก่ตัวผู้ขัน หรือมองตัวเองในกระจก

ในยุคหลัง ๆ มีการเพิ่มเรื่องราวให้แก่บาซิลิสก์ เช่นว่า มีขนาดตัวใหญ่ พ่นไฟได้
เสียงขู่ใครได้ยินเป็นอันล้มตาย นักเขียนบางคนยังว่า พิษของบาซิลิสก์ แม้ไม่
สัมผัสโดยตรง เช่น ผ่านดาบที่ใช้แทงบาซิลิสก์ก็ทำให้ตายได้เหมือนโดนเข้า
โดยตรง เช่น เลโอนาร์โด ดา วินชี(Leonardo da Vinci) ที่เอ่ยถึงบาซิลิสก์ใน
หนังสือประมวลสัตว์ร้ายของตน มีข้อความคล้ายกับหนังสือของพลินีว่า บาซิลิ
สก์พบในมณฑลไซรีนี ตัวยาวไม่เกินกว่า 12 องคุลี บนศีรษะมีแต้มสีขาวดูคล้า
ยมงกุฏ แม้มันจะดูคล้ายงู แต่เสียงขู่ของมันทำให้งูทั้งปวงหวาดหวั่น ทั้งยังไม่
เลื้อยเหมือนงูทั่วไป โดยเคลื่อนไหวลำตัวจากตรงกลางไปทางขวา ถ้าคนขี่ม้า
เอาหอกทิ่มแทงมัน พิษมันจะไหลขึ้นสู่หอกไปฆ่าตายทั้งม้าทั้งคน มันเลื้อยไปที่
ใด ลำตัวและลมหายใจของมันทำให้ต้นไม้ใบหญ้าล้มตายและศิลาพังทลาย แต่
สัตว์นี้เป็นคู่ปรับกับวีเซิล ส่วนเฮนริช คอร์นีเลียว อะกริปปา (Heinrich
Cornelius Agrippa) ระบุว่า บาซิลิสก์เป็นตัวผู้เสมอ

8

ตำนานท้องถิ่นในเทพปกรณัมกันตาเบรียมีว่า บาซิลิสก์หายไปจากโลกเกือบสิ้น
แล้ว ยังเหลือแต่ที่กันตาเบรีย (Cantabria) แต่ก็พบเจอได้ยากแล้ว สัตว์ชนิดนี้
เกิดจากไข่ที่ไก่วางก่อนตายในเวลาเที่ยงคืนของคืนฟ้าโปร่งพระจันทร์เต็มดวง
ไม่กี่วันให้หลัง มันจะกระเทาะไข่ออกมาเอง มันมีขา มีจะงอย และมีหงอน
เหมือนไก่ แต่มีลำตัวเหมือนสัตว์เลื้อยคลาน ในแววตามีเปลวเพลิงรุนแรง ใคร
จ้องไปก็จะตายทันที สิ่งมีชีวิตเดียวที่เผชิญหน้าและต่อสู้กับมันได้ คือ วีเซิล แต่
บาซิลิสก์จะตายก็เพราะเสียงไก่ตัวผู้ขันเท่านั้น ดังนั้น นักเดินทางจึงมักพกไก่
ตัวผู้ติดตัวเมื่อเข้าไปในถิ่นที่เชื่อว่า เป็นที่อยู่ของบาซิลิสก์

9

เซนเทอร์ Centaur

เซนทอร์ (อังกฤษ: centaur; มาจากภาษากรีกโบราณ κένταυροι) เป็นสัตว์
ชนิดหนึ่งในเทพปกรณัมกรีก มีร่างส่วนบนเป็นมนุษย์ผู้ชาย แต่ส่วนลำตัวลงไป
เป็นม้าหนุ่มที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ สง่างาม อาศัยอยู่แถบภูเขาของอาคาเดีย
และเทสสาลีในประเทศกรีซ

เซนทอร์มีสองตระกูล โดยตระกูลหนึ่งเกิดจาก อิคซอน อันธพาลแห่งสวรรค์ที่
ขึ้นชื่อ กับอีกตระกูลที่เกิดจากโครนัส ฝ่ายหลังมีอุปนิสัยดีแตกต่างจากฝ่ายแรก
มาก
เซนทอร์ตระกูลอิคซอน เกิดจากอิคซอนกับเนฟีลี มีพละกำลังมาก ชอบดื่มไวน์
กับชอบไล่คว้าผู้หญิง ซ้ำชอบทะเลาะเวลาเมา เซนทอร์จึงถูกมองว่าเป็นพวกขี้
เมาไม่กลัวใครทั้งสิ้น
เซนทอร์ตระกูลโครนัสต่างกับตระกูลอิคซอน เป็นเซนทอร์แสนดี โครนัส
แต่งงานกับฟีลีร่า นางอัปสรน้ำผู้เลอโฉม มีลูกชื่อไครอน ซึ่งเป็นผู้คงแก่เรียน มี
ความสุขุมรอบคอบจนได้รับเลือกให้เป็นอาจารย์ของเหล่าวีรบุรุษหลายคนใน
ตำนานกรีก เช่น อคิลลีส, เฮอร์คิวลีส, เจสัน, พีลูส, อีเนียส และบรรดาลูกศิษย์
ของเขาก็ประพฤติตัวตามแบบครูบาอาจารย์ได้เป็นอย่างดี

10

มักเชื่อกันว่า เซนเทอร์เป็นลูกของอิกซิออนกับเนฟีลี (เมฆที่ถูกสร้างขึ้นตาม
แบบรูปโฉมของเฮรา) แต่บ้างก็เชื่อว่า เป็นลูกของเซนทอรัสกับม้าจากเมือง
แมกนีเซีย เซนทอรัสดังกล่าวนี้เอง อาจเป็นลูกของอิกซีออนกับเนฟิลี หรือของ
อพอลโลกับสติลบี ซึ่งเป็นลูกสาวของเทพเจ้าแม่น้ำชื่อ พีเนียส

กลุ่มดาวคนครึ่งม้า เป็นกลุ่มดาวในซีกฟ้าใต้ หนึ่งในกลุ่มดาว 48 กลุ่มที่อยู่ใน
รายการของทอเลมี และยังเป็นกลุ่มดาวในรายการกลุ่มดาว 88 กลุ่มที่รับรอง
โดยสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล กลุ่มดาวนี้เป็นกลุ่มดาวที่ขนาดใหญ่ที่สุดกลุ่ม
หนึ่งในท้องฟ้า มีดาวสว่างติด 1 ใน 20 อันดับถึง 2 ดวง คือ แอลฟาคนครึ่งม้า
(ริเจล เค้นท์) และบีตาคนครึ่งม้า (ฮาดดาร์)

11

เซอร์เบอรัส Cerberus

เซอร์เบอรัส หรือ เคร์เบรอส (อังกฤษ: Cerberus; กรีก: Κέρβερος เคร์เบ
รอส) ในเทพปกรณัมกรีกและโรมัน เป็นหมาหลายหัว (ปกติมีสาม) มีหาง
อสรพิษ พังพานงู และกรงเล็บสิงโต มันเฝ้าทางเข้าโลกบาดาลเพื่อป้องกันคน
ตายมิให้หลบหนีและคนเป็นมิให้เข้า เซอร์เบอรัสปรากฏในวรรณกรรมกรีกและ
โรมันโบราณหลายงาน และในงานศิลปะและสถาปัตยกรรมทั้งโบราณและสมัย
ใหม่ แม้การพรรณนาเซอร์เบอรัสแตกต่างกันแล้วแต่ตีความ ความแตกต่างที่
สำคัญที่สุด คือ จำนวนหัว แหล่งข้อมูลส่วนมากอธิบายหรือบรรยายไว้สามหัว
แต่แหล่งอื่นแสดงเซอร์เบอรัสมีสองหัวหรือหัวเดียว มีแหล่งน้อยกว่านั้นที่แสดง
จำนวนต่าง ๆ บ้างว่าห้าสิบหรือกระทั่งหนึ่งร้อย

เซอร์เบอรัสเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของฮาเดส (Hades) มันจะยอมให้วิญญาณ
ของคนทุกคนเข้าประตู แต่จะไม่ยอมให้กลับออกมาเป็นอันขาด เมื่อไปถึงประตู
นี้ วิญญาณแต่ละดวงจะถูกพาไปรับคำพิพากษาของ สามเทพสุภาคือราดาแมน
ทีส ,ไมนอส และ ไออาคอส. วิญญาณที่ชั่วร้ายจะถูกพิพากษาให้ต้องทนทุกข์
ทรมานอยู่ในตรุทาร์ทะรัสไปชั่ว กัลป์ ส่วนวิญญาณที่ดีจะได้รับคำพิพากษาให้
พาไปอยู่ยัง ทุ่งอีลิเซียน แดนสุขาวดีของกรีก

นอกจากนี้ เซอร์เบอรัสยังเป็นภาระกิจที่ 12 ของเฮอร์คิวลิสอีกด้วย เรื่องราวก็
เนื่องจาก เทพีเฮร่ากลั่นแกล้งให้เฮอร์คิวสิสวิกลจริต และทำความผิดหลาย
อย่าง เช่น ฆ่าทายาทของตัวเอง, เฮอร์คิวลิสจึงต้องรับโทษ โดยให้อยู่ใต้อำนาจ
ของกษัตริย์ที่อ่อนแอ เป็นเวลาถึง 12 ปี และต้องทำภาระกิจ 12 ประการให้
เสร็จสมบูรณ์ จึงจะพ้นโทษ ภารกิจ 12 ประการนั้น

12

ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการพิชิตปีศาจ หรือไม่ก็สยบสัตว์อิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ การ
จับเซอร์เบอรัสมาให้กษัตริย์ของเขาก็เป็นหนึ่งในภาระกิจด้วย และเฮอร์คิวลิสก็
สามารถจับเซอร์เบอรัสได้ด้วยพลังอันมหาศาลของเขา นอกจากเฮอร์คิวลิส
แล้ว ออร์เฟียสเคยใช้เสียงเพลงสะกดเซอร์เบอรัสให้เชื่องขณะเข้าไปในยมโลก
เพื่อคืน ชีพให้คนรัก ในตำนานของโรมัน ไซคีได้ทำให้เซอร์เบอรัสหลับด้วยเค้ก
น้ำผึ้งใส่ยานอนหลับ

แม่ของเซอร์เบอรัสเป็นอสุรกายชื่อ อีคิดน่า (กรีก: Echidna) เป็นพี่น้องของ
พวกกอร์กอนส์ทั้งสาม อีคิดน่ารูปร่างหน้าตาสวยงามเฉพาะท่อนบน แต่ท่อน
ล่างลงมาเป็นงูยักษ์มหึมา และได้มามีสัมพันธ์กับอสูรกายอีกตนหนึ่งคือ ไท
ฟอน (Typhon) ซึ่งลูกๆ ของไทฟอนและอีคิดน่าล้วนแต่เป็นสัตว์ประหลาด
ดุร้าย นอกจากเซอร์เบอรัสแล้วก็คือ ไฮดรา, ออทรัส, สิงโตเนเมีย, ไคเมร่า และ
สฟิงซ์ แต่นอกจากเซอร์เบอรัสซึ่งได้เป็นสัตว์เลี้ยงของฮาเดสแล้ว พี่น้อง
ทั้งหมดของเซอร์เบอรัสก็ถูกวีรบุรุษในตำนานกรีกสังหารเสียสิ้น

ไม่มีบันทึกว่าเซอร์เบอรัสเป็นหมาพันธุ์ใด ดังนั้นในทางศิลปะจึงพบเห็นเซอร์เบ
อรัสได้หลากหลายสายพันธุ์มาก

13

ไซเรน Siren

ไซเรน (อังกฤษ: Siren; กรีก: Σειρήν, Σειρῆνες) เป็นปีศาจในเทพปกรณัม
กรีก โดยปรากฏบทบาทอย่างยิ่งจากตำนานเรื่องเจสันและเรืออาร์โกและโอดิส
ซีย์ ไซเรน มีลักษณะของสัตว์ผสม 3 อย่าง คือ คล้ายนางเงือก มีขาเป็นครีบ
ปลา มีปีกและเสียงเหมือนนก แต่บ้างก็ว่า ไซเรน เป็นมนุษย์ครึ่งนกเหมือนกินร
กินรี ในวรรณคดีไทย

ในตำนานเทพปกรณัมกรีกได้เล่าถึงเรื่องของไซเรน ซึ่งตามตำนานนั้น ไซเรน
เป็นอมนุษย์ที่มีลักษณะเป็นสาวงามทว่ามีขาเป็นครีบปลาคล้ายนางเงือก
ปูมกำเนิดของนาง ก่อนไซเรนมีบิดาเป็นเทพประจำแม่น้ำอะเคอะโลอัสมารดา
คือ แองไซเรน ซึ่งเป็นเทพธิดามิวส์องค์ใดองค์หนึ่ง ไม่แน่ชัดว่า คือ เทพีเมลพอ
มินีหรือเทพีเทอร์ปซิคะเร ดังนั้นแต่แรกไซเรนจึงมีศักดิ์มีสถานะเป็นนางอัปสร
ประจำแม่น้ำ ไซเรนมิได้มีเพียงหนึ่งเดียว แต่มีจำนวนไม่แน่นอน บางตำราว่ามี
2 นาง บางตำราว่าไซเรนมีถึง 8 นาง เลยทีเดียว
แต่แรกนั้นไซเรนก็เป็นเทพธิดาแสนสวยที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ผู้หญิงทั่วไปนี่
แหละ แต่ที่ต้องมากลายร่างไปเสียครึ่งหนึ่งก็เพราะนางถูกสาป ตามตำนานเล่า
ไว้ว่า เหล่านางไซเรนเป็นผู้รับใช้ติดตามเทวีองค์หนึ่งนามว่า เพอร์เซโฟนีวัน
หนึ่ง เทพฮาเดสลักพาตัวเทวีไป พวกไซเรนจึงอ้อนวอนต่อเทพบดให้ประทาน
ปีกให้ เพื่อที่จะได้ไล่ตามไป แต่บางตำนานก็ว่าพวกนางถูกเทวีดิมีเทอร์สาปให้มี
รูปลักษณ์เช่นนั้นเป็นการลงโทษที่ไม่ดูแลเทวีเพอร์เซโฟนีให้ดี ปล่อยให้เทพฮา
เดสมาฉุดเอาตัวไปได้

14

บางตำนานก็เล่าไปอีกอย่างหนึ่งว่า แต่เดิมเหล่านางไซเรนนี้มีเสียงขับร้องที่
ไพเราะเพราะพริ้งอย่างยิ่ง และได้รับการยุยงจากเทวีฮีราที่ทำให้ยิ่งหลงเสียง
ตน จนถึงกับบังอาจไปท้าทายเหล่าเทพธิดามิวส์ให้มาประชันขันแข่งกับตน แต่
เหล่าไซเรนก็ยังพ่ายแพ้ เทพธิดามิวส์ลงโทษถอนขนปีกมาทำมงกุฎ เหตุนี้ด้วย
ความอับอายนางไซเรนจึงหลบเนไปอยู่ตามหินโสโครกแถบชายฝุ่งอิตาลีตอน
ใต้ เมื่อชาวเรือเดินเรือผ่าน นางก็จะขับร้องบทเพลงด้วยน้ำเสียงที่หวานไพเราะ
จับใจ จนผู้ที่ได้ฟังจะเคลิบเคลิ้ม ลืมสิ้นทุกสิ่ง ลืมตัว ลืมบ้านเกิดเมืองนอนลืม
ภาระกิจการงานต่าง ๆ รู้อย่างเดียวว่าจะต้องไปตามหาผู้ที่ขับขานเพลงนั้นให้
ได้ เมื่อตกอยู่ในภวังค์ก็จะโดดลงจากเรือ ว่ายน้ำไปตามหานางไซเรน แล้วก็ถูก
จับกิน หรือไม่ก็ว่ายน้ำไปพลางหลงไหลได้ปลื้มกับเสียงนั้นไปพลางจนขาดใจ
ตายกลางทะเลนั่นเอง

แม้จะดูน่ากลัว แต่ก็น่าสงสารในชะตากรรมที่ถูกสาป เหล่านางไซเรนนั้น จะ
ต้องตายไป หากมีผู้ใดรอดชีวิตได้หลังฟังบทเพลงของนาง ดังนั้นเมื่อครั้งที่
โอดิสซีอุสสามารถรอดไปได้จากการมัดตัวเองไว้ที่เสา เหล่านางไซเรนจึงกลาย
เป็นหินไป ภายหลัง มีการนำชื่อของนางไซเรนมาตั้งเป็นชื่อต่าง ๆ มากมาย
เช่น ไซเรนหรือหวอของรถพยาบาล รถตำรวจ รถดับเพลิง และไซเรนยังเป็น
ศัพท์สแลงที่หมายถึง หญิงที่มีเสน่ห์ตรึงใจชายเป็นพิเศษ หรือนักร้องหญิงที่มี
เสียงไพเราะมาก ในพจนานุกรมคำคุณศัพท์ ยังระบุว่าไซเรนหมายถึง มีเสน่ห์
ดึงดูดใจ ทำให้หลงใหล แม้แต่ในคำศัพท์หมวดคำกริยา ไซเรนก็ยังแปลว่าล่อให้
หลง หรือยั่วยวนอีกด้วย

15

มิโนทอร์ Minotaur

ในเทพปกรณัมกรีก มิโนทอร์ (อังกฤษ: Minotaur) เป็นสิ่งมีชีวิตซึ่งมีศีรษะ
เป็นโค มีกายเป็นคน หรือที่โอวิด (Ovid) กวีโรมัน พรรณนาว่า "กึ่งคนกึ่งโค"
มิโนทอร์พำนักอยู่ในวงกตซึ่งเป็นหมู่อาคารมีทางเดินคดเคี้ยว ณ กลางเกาะ
ครีต และเป็นผลงานที่สถาปนิกเดดาลัส(Daedalus) กับอีคารัส (Icarus) บุตร
ร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้นตามพระราชโองการพระเจ้าไมนอส (Minos) แห่งเกาะ
ครีต ภายหลัง มินะทอร์ถูกธีเซียส (Theseus) วีรบุรุษชาวเอเธนส์ ประหารใน
วงกตนั้นเอง

คำ "มิโนทอร์" ในภาษาอังกฤษมาจากคำ "Μῑνώταυρος" (Mīnṓtauros,)
ในภาษากรีกโบราณ แปลว่า โคแห่งพระเจ้าไมนอส โดยในภาษาอังกฤษนั้น คำ
"มิโนทอร์" เป็นทั้งวิสามานยนามใช้เรียกสิ่งมีชีวิตตามตำนานข้างต้น และเป็น
สามานยนามใช้เรียกสิ่งมีชีวิตกึ่งโคกึ่งคนตัวอื่น ๆ โดยทั่วไป ส่วนชาวครีตเอง
เรียกสัตว์นี้ด้วยวิสามานยนามว่า "แอสเตเรียน (Asterion) ซึ่งเป็นนามของปู่
มิโนทอร์ (พระบิดาบุญธรรมของพระเจ้าไมนอส) เช่นกัน

เมื่อเสวยราชย์ในเกาะครีตแล้ว พระเจ้าไมนอสต้องทรงแย่งชิงอำนาจการ
ปกครองกับพระเชษฐาและพระอนุชาเนือง ๆ จึงทรงวอนขอให้โพไซดอน
(Poseidon) ประทานโคเผือกเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเทพยดาสนับสนุนพระองค์
แล้วพระเจ้าไมนอสจะได้ทรงสังหารโคนั้นเซ่นสรวงโพไซดอนต่อไป แต่เมื่อได้
ทรงรับโคนั้นมาแล้ว ทรงเห็นแก่ความงดงามผ่าเผยของโค จึงหักพระทัยฆ่าโค
ไม่ลง และเก็บรักษาโคนั้นไว้ แล้วประหารโคเผือกตัวอื่นสังเวยแทน โพไซดอน
เมื่อทราบก็โกรธ สั่งแอโฟรไดที (Aphrodite) กามเทวี บันดาลให้พาซีฟาอี
(Pasiphaë) ชายาพระเจ้าไมนอส หลงรักโคเผือกดังกล่าวอย่างรุนแรง

16

นางพาซีฟาอีมีเสาวนีย์ให้เดดาลัสแกะสลักโคไม้ขึ้นตัวหนึ่ง ภายในเป็นช่องโปร่ง
ภายนอกเอาหนังโคคลุมไว้ ตกแต่งดังโคจริง แล้วนางไต่เข้าไปในช่องเพื่อสวม
โคไม้นั้น แล้วให้โคเผือกมาสมจรด้วยเรื่อยมาจนตั้งครรภ์ และให้กำเนิด
อสุรกายมิโนทอร์ นางเลี้ยงดูบุตรเป็นอย่างดี แต่ครั้นมิโนทอร์เติบใหญ่ ก็เริ่ม
สำแดงวิสัยเดรัจฉาน จับข้าราชบริพารกินเป็นเครื่องยังชีพ ขณะที่พระเจ้าไม
นอสทรงปริวิตกอยู่นั้น ปุโรหิตเมืองเดลไฟ (Delphi) ทูลแนะนำว่าให้ขังโคมิโน
ทอร์ไว้ในวงกต จึงมีพระบัญชาให้เดดาลัสสร้างขึ้นไว้ริมพระตำหนักในตำบลน
อสซอส (Knossos)

งานเขียนทั่วไปในทางวรรณกรรมและกามวิสัยมุ่งพรรณนาการร่วมประเพณี
ระหว่างนางพาซีฟาอีและโคเผือกโดยอาศัยโคไม้ มีกวีนิพนธ์เรื่อง เอพิสตูลีเฮโร
อิดัม (Epistulae Heroidum) ของโอวิด เพียงเรื่องเดียวที่ระบุไว้เป็นอื่น โดย
พรรณนาเหตุการณ์นี้ไว้อย่างสั้น ๆ ในตอนที่ธิดาองค์หนึ่งของนางพาซีฟาอี
พร่ำบ่นถึงมารดาที่หลงรักโคเผือกอยู่ฝ่ายเดียวว่า "โคนั้นจำแลงเป็นเทวา พาซี
ฟาอีมารดาข้าตกอยู่ในบ่วงกามแห่งโคนั้น จึงนำมามาซึ่งเสียงก่นด่าและความ
หนักใจ"

ศิลปะสมัยคลาสสิกมักแสดงรูปมิโนทอร์เป็นมนุษย์เพศผู้มีศีรษะเป็นโคและมี
หางโค ตามที่ซอฟาคลีส(Sophocles) นักละครชาวกรีก ประพันธ์ไว้ในงานเรื่อง
ทราคีนีอี (Trachiniae) ว่า ผีเสื้อน้ำแอคีโลอัส(Achelous) เคยกล่าวไว้ในคราว
เกี้ยวนางดีอาไนรา (Deianira) ว่า มินะทอร์หัวเป็นโคกายเป็นคน
ตั้งแต่สมัยคลาสสิกจนถึงสมัยฟื้ นฟูศิลปวิทยา การพรรณนาเกี่ยวกับวงกตมัก
เอามิโนทอร์เป็นที่ตั้ง งานเขียนของโอวิดเกี่ยวกับมิโนทอร์ แม้มิได้ให้ราย
ละเอียดมากมายว่า กายมิโนทอร์ส่วนใดเป็นคนส่วนใดเป็นโค แต่ก็แพร่หลาย
ที่สุดในช่วงมัชฌิมยุค ส่วนงานเขียนในสมัยถัด ๆ มากลับนิยมกันใหม่ว่า มิโน
ทอร์มีหัวและกายดั่งคนอยู่บนตัวโค ทำนองเดียวกับเซนทอร์ (centaur)[9]
ความนิยมอย่างหลังนี้ปรากฏมาจนถึงสมัยฟื้ นฟูศิลปวิทยา และปัจจุบันยังพบ
อยู่บ้าง เช่น ในผลงานที่สตีล แซวิจ (Steele Savage) วาดประกอบหนังสือเรื่อง
มิโธโลจี (Mythology) ของอีดิธ แฮมิลตัน (Edith Hamilton) เมื่อ ค.ศ. 1942

17

หลังจากมิโนทอร์ถูกขังไว้ในวงกตแล้ว พระเจ้าไมนอสทรงเกิดหมางพระทัยกับ
กรุงเอเธนส์ เนื่องจากแอนโดรเจียส (Androgeus) พระโอรส ถูกชาวเอเธนส์ฆ่า
ตายกลางงานแข่งขันกีฬาแพแนเธเนีย(Panathenaic Games) เพราะชาว
เอเธนส์ไม่ชอบใจที่แอนโดรเจียสชนะ อีกเรื่องว่า พระเจ้าอีเจียส(Aegeus) แห่ง
กรุงเอเธนส์ทรงบัญชาให้โคเผือกตัวข้างต้นไปสังหารแอนโดรเจียสกลางนคร
แมราธอน (Marathon) แต่ไม่ว่าด้วยเหตุใด พระเจ้าไมนอสได้เสด็จยก
พยุหโยธาไปเอากรุงเอเธนส์เพื่อทรงแก้แค้นในการสูญเสียพระโอรสเป็นผล
สำเร็จ และคาทัลลัส (Catullus) บรรยายไว้ในงานเขียนเรื่องกำเนิดมิโนทอร์ ว่า
กรุงเอเธนส์ "ถูกพิบัติภัยร้ายแรงบังคับให้ใช้ค่าปฏิกรรมในการคร่าชีวิตแอนโด
รเจียส" โดยพระเจ้าอีเจียสต้องทรงชำระค่าปฏิกรรมนั้นด้วยการส่ง "ชายหนุ่ม
และหญิงโสดพร้อมกันไปเป็นภักษาหาร" ของมิโนทอร์ ในการนี้ พระเจ้าไมนอส
ทรงกำหนดให้จับสลากเลือกชายเจ็ดคนหญิงเจ็ดคนส่งมาทุก ๆ เจ็ดปีหรือเก้าปี
(บางแห่งว่าทุกปี) เพื่อมาให้มิโนทอร์บริโภคถึงในวงกต

ในคราวที่จะต้องส่งคนไปเป็นครั้งที่สามนั้น ธีเซียส พระโอรสพระเจ้าอีเจียส
อาสาไปฆ่ามินะทอร์ถวาย โดยให้คำมั่นว่า ถ้ากิจสำเร็จจะล่องเรือกลับมาโดยชัก
ใบสีขาว หาไม่แล้วจะใช้ใบเรือสีดำอย่างเดิม ครั้นไปถึงเกาะครีต แอรีแอดนี
(Ariadne) กับฟีดรา (Phaedra) ธิดาพระเจ้าไมนอส เกิดปฏิพัทธ์ธีเซียสด้ว
ยกันทั้งคู่ นางแอรีแอดนีซึ่งเป็นคนพี่จึงเสด็จมาแนะวิธีรอดพ้นจากกลไกล
วงกตให้แก่ธีเซียส

18

โดยในบางเรื่องว่า นางมอบด้ายให้เขาผูกบานประตูไว้เมื่อเข้าไปในวงกต แล้ว
สาวด้ายทิ้งไว้ตามทางที่เดินไป เมื่อประหารมิโนทอร์โดยใช้กระบี่ของพระเจ้าอี
เจียสตัดศีรษะแล้ว เขาจึงหาทางกลับออกมาได้ โดยนำพาชายหญิงคนอื่น ๆ ที่
เข้าไปพร้อมกันในคราวนั้นออกมาด้วย เมื่อกลับกรุงเอเธนส์ ธีเซียสทิ้งนางแอรี
แอดนีไว้บนเกาะแน็กซอส (Naxos) แล้วเอานางฟีดราเป็นภริยาเพียงหนึ่งเดียว
แต่ลืมเปลี่ยนใบเรือจากสีดำเป็นสีขาว ขณะนั้น พระเจ้าอีเจียสประทับอยู่บน
แหลมซูเนียน (Sounion) ทอดพระเนตรเห็นใบเรือดำ เข้าพระทัยว่า พระโอรส
ถูกฆ่าด้วยเงื้อมมืออสุรกายมิโนทอร์เสียแล้ว ก็โทมนัสคร่ำครวญ กระโจนจาก
แหลมนั้นลงสู่ท้องน้ำเบื้องล่างปลิดพระชนม์พระองค์เอง ทะเลนั้นจึงขนานนาม
ว่า อีเจียน เป็นเหตุให้ธีเซียสได้ราชสมบัติต่อมา

19

ไซคลอปส์ Cyclops

อสูรยักษ์ตาเดียวในตำนานเทพปกรณัมของกรีก แม้ว่าจะมีรูปร่างหน้าตาดุร้าย
น่ากลัว ทว่าเหล่าไซคลอปส์นี้ก็นับได้ว่ามีเชื้อสายเดียวกันกับเหล่าเทพเจ้า ทั้ง
ยังเป็นผู้ที่ประดิษฐ์อาวุธคู่พระหัตถ์ให้กับจอมเทพทั้งสาม คือ ซุส ผู้เป็น
มหาเทพ โพไซดอน เจ้าแห่งมหาสมุทร และ ฮาเดส เจ้าแห่งยมโลก

ไซคลอปส์มีอยู่สองตระกูลด้วยกัน โยไซคลอปส์ตระกูล
แรก ถือกำเนิดขึ้นจาก อูรานอส เทพแห่งท้องฟ้า และ
ไกอา พระแม่ธรณี โดยหลังจากอูรานอสและไกอาได้ให้
กำเนิดเทพไททันทั้งสิบสององค์แล้ว อูรานอสเกรงว่า
ลูก ๆ ของตน จะแย่งชิงอำนาจไป จึงจับเหล่าเทพไททัน
โยนลงขุมนรกทาร์ทารัสอันมืดมิด ครั้นต่อมา ไกอาได้
ให้กำเนิดเทพบุตรไซคลอปส์สามตน นามว่า บรอนทีส
ซึ่งหมายถึงฟ้าร้อง สเทอโรพีส ที่หมายถึงฟ้าแลบ และ
อาจีสซึ่งหมายถึงแสงสว่างวาบ

20

เนื่องจากไซคลอปส์ทั้งสามมีหน้าตาดุร้ายน่ากลัว อูรานอสจึงจับพวกเขาโยนลง
ในทาร์ทารัส ทว่าอาจีสได้ทำให้ขุมนรกที่ดำมืดเกิดแสงสว่างวาบ ทำให้เหล่า
เทพไททันเกิดกำลังใจที่จะต่อสู้กับอูรานอส โดยมีโครนอสทำหน้าที่เป็นผู้นำและ
โค่นล้มอูรานอสลงได้ ต่อมา เมื่อ ซุส โอรสของโครนอส ได้เตรียมชิงบัลลังก์
จากบิดาและทำสงครามกับเหล่าไททัน ซุสได้ปลดปล่อยไซคลอปส์ทั้งสามออก
จากทาร์ทารัส โดยมีข้อแม้ว่าพวกเขาต้องสร้างอาวุธวิเศษให้ไซคลอปส์
ทั้งสามได้สร้างสายฟ้าให้แก่ซุส สร้างตรีศูลให้โพไซดอนและ
สร้างหมวกแห่งความมืดให้ฮาเดสและเมื่อซุสได้ชัยชนะเหนือ
เหล่าไททันแล้ว ก็ได้มอบหมายหน้าที่ให้ไซคลอปส์ทั้งสามเป็น
ผู้ช่วยเทพเฮฟาตัส เทพแห่งช่างเหล็กและงานฝีมือ ต่อมา
พวกไซคลอปส์ได้ถูกเทพอะพอลโลสังหาร เนื่องจากอะพอลโล
พิโรธที่ซุสใช้สายฟ้าสังหารหมอเทวดาแอสคลีปิอุสโอรสของ
พระองค์ แต่เนื่องจากพระองค์ไม่อาจทำอะไรมหาเทพได้จึงสังหารไซคลอปส์ทั้ง
สาม ผู้สร้างสายฟ้าให้ซุสแทน

โพลีฟีมุส
ส่วนไซคลอปส์อีกพวกหนึ่งเป็นโอรสของโพไซดอนกับนางพรายน้ำโทซา ไซ
คลอปส์พวกนี้มีนิสัยดุร้ายและกินมนุษย์กับสัตว์ต่าง ๆเป็นอาหาร หนึ่งในไซ
คลอปส์เหล่านี้ที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ โพลีฟีมุส ซึ่งปรากฏอยู่ในมหากาพย์โอดิสซี
เรื่องการเดินทางกลับบ้านของวีรบุรุษโอดิสซีอุสที่ได้เข้าร่วมรบในสงครามกรุง
ทรอย โดยหลังจากเสร็จสงครามและโอดิสซีอุสได้ออกเดินทางเพื่อกลับบ้าน
เรือของเขาหลงมาที่เกาะของไซคลอปส์ โดยเขาและลูกเรือส่วนหนึ่งถูกยักษ์ตา
เดียวโพลีฟีมุสจับเอาไว้เพื่อกินเป็นอาหาร แต่โอดิสซีอุสได้ใช้อุบายลอบทำลาย
ดวงตาของโพลีฟีมุส จากนั้นจึงพาพรรคพวกหลบหนีออกมาได้

21

ไทฟอน Typhons

ไทฟอน (อังกฤษ: Typhon) เป็นอสูรกายยักษ์ซึ่งได้เกิดมาจากพระแม่ธรณีไก
อา (บ้างคัมภีร์บอกว่าเป็นเจอา ไกอา หรือไมอา) กับปีศาจทาร์ทารัสซึ่งถือ
กำเนิดเป็นไทฟอน (ในหนังสือ Mythology ของเฮดิธ แฮมิลต้น อธิบายไว้ว่าไท
ฟอนเป็นอสุรกายร้อยหัว ตาลุกไฟ และสามารถพ่นไฟได้) บ้างก็ว่าร่างกายเป็น
คน น้ำตาเป็นพิษ มีหัวร้อยหัว ซึ่งเจอาได้สั่งให้ไทฟอนไปโค่นเขาโอลิมปัส พลัง
ของไทฟอนร้ายกาจถึงขั้นสามารถกางปีกปิดโลกได้ เมื่อเคลื่อนไหวร่างกายจะ
กลายเป็นพายุขนาดใหญ่ นอกจากนี้ไทฟอนยังเป็นบิดาของปิศาจทั้งปวง ส่วน
มารดาของปิศาจทั้งปวงนั้นคืออีคิดน่า และต่อมาผู้คนที่เคยเรียกพายุนี้ว่า ไท
ฟอน ก็เพี้ยนมาเป็น ไต้ฝุ่น จนถึงทุกวันนี้

หลังจบสงครามไททัน เหล่าเทพเจ้ายังไม่อาจอยู่อย่างสงบสุขได้ เพราะยังมีผู้ที่
ไม่พอใจที่เกิดการแย่งชิงบัลลังก์ขึ้น นั่นคือ พระแม่ธรณี ไกอา (Gaia) ไกอาไม่
พอใจที่ลูกๆของนางหรือเหล่าเทพไททันต้องถูกจองจำในหลุมทาทารัสที่มืดมิด
จึงได้ให้กำเนิดอสุรกายคู่หนึ่งขึ้นมา คือ ไทฟอน (Typhon) และ อีคิดน่า
(Echidna)โดยไทฟอนเป็นอสุรกายที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยมีมาไทฟอนมี
ลักษณะเป็นงูหรือมังกรหลายร้อยหัว หากยืดคอให้สุดจะสูงเท่าดวงดาว มีพิษ
ร้ายแรง สามารถพ่นไฟและลาวาออกมาได้ เวลาเคลื่อนตัวไปที่ไหนจะมีพายุ
เกิดขึ้นตามมาแต่บางทีก็ว่าไทฟอนมีลักษณะเป็นคนที่มีท่อนล่างเป็นงูยาว
หลายร้อยไมล์ มีปีกเหมือนอินทรี นิ้วเป็นงูและหัวเป็นลาที่มีไฟพวยพุ่งออกมา
จากทั้งตา จมูก ปาก ส่วนอีคิดน่านั้นเป็นภรรยาของไทฟอน

22

เมื่อไทฟอนออกอาละวาด ทุกอย่างล้วนพังพินาศลงด้วยฤทธิ์ของมัน แม้แต่
เทพเจ้าก็ยังต้องพากันหลบหนีโดยแปลงร่างเป็นสัตว์ไม่เว้นแต่จอมเทพซุสที่
แปลงร่างเป็นแกะ ว่ากันว่ามีเพียงเทพีอาเธน่าเท่านั้นที่พยายามจะสู้กับไทฟอน
แต่ก็ไม่สำเร็จ ไทฟอนได้ปีนขึ้นไปถึงบนสวรรค์ ประกาศให้โลกรู้ว่าแม้แต่
เทพเจ้าอันยิ่งใหญ่ก็ต้องยอมศิโรราบแก่ตน ซุสเห็นดังนั้นก็ละอายใจที่ตนเป็น
ถึงเทพสูงสุดแต่ไม่กล้าสู้กับอสุรกายที่จะทำลายโลก เมื่อคิดได้ซุสจึงรวบรวม
ความกล้าไปท้าไทฟอนสู้ตัดสินกัน

ซุสได้รวบรวมเทพเจ้าทุกๆ องค์ซึ่งพร้อมใจจะสู้มารบกับไทฟอน ทว่าถึงจะมี
จำนวนมากกว่าและมีอาวุธรุนแรงอย่างสายฟ้าก็ไม่อาจทำอะไรไทฟอนได้ ไท
ฟอนได้โต้กลับด้วยการยกภูเขาทั้งลูกโยนใส่เหล่าเทพจนต้องแตกกระเจิงกันไป
แต่เหล่าเทพก็รวมตัวกันมาสู้ต่ออีกครั้ง เป็นเช่นนี้เรื่อยๆ จนกระทั่งในยุคนั้น
แทบไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเหลืออยู่เลย

ในที่สุดก็มาถึงจุดสำคัญที่สุดของสงคราม เมื่อไทฟอนยกภูเขาไฟเอทนาอัน
มหึมาขึ้นหวังจะปิดบัญชีเหล่าเทพเจ้าที่ต่อต้านให้หมดด้วยการโยนภูเขาลูกนี้
เข้าใส่ แต่ซุสได้เห็นถึงโอกาสหนึ่งเดียวนี้ที่จะพิชิตไทฟอนลงได้ จึงซัดสายฟ้า
หลายร้อยลูกเข้าใส่ภูเขาเอทนาที่ไทฟอนยกขึ้นไว้เหนือหัว จากพลังของสายฟ้า
ที่ซุสระดมเข้าใส่ ทำให้ภูเขาเอทนาแตกเป็นเสี่ยงๆ ทับร่างของไทฟอนที่เสียหลัก
ล้มลงจนมิดและไม่อาจขยับได้อีกต่อไป แม้ไทฟอนจะยังไม่ตายและยังคงพ่น
ลาวาออกมาทางภูเขาไฟเอทนาอยู่เนืองๆ แต่มันก็ไม่อาจจะหนีไปจากที่คุมขังนี้
ได้อีกต่อไป ชัยชนะจึงตกเป็นของเทพเจ้าอย่างเต็มภาคภูมิและพระแม่ธรณีไก
อาก็ไม่คิดจะล้างแค้นอีกต่อไปโลกจึงได้สงบสุขเรื่อยมา

ทว่าเหล่าทายาทของไทฟอนยังคงอยู่กับอีคิดน่า รอวันที่จะได้สำแดงฤทธิ์ต่อไป
เกร็ดในสงครามกับไทฟอน

23

เพกาซัส Pegasus

เพกาซัส (Pegasus หมายถึง แข็งแรง) เป็นหนึ่งในสัตว์ที่ปรากฎในเทพนิยาย
กรีก เพกาซัสมีรูปร่างเป็นม้ากำยำพ่วงพีสีขาวบริสุทธิ์ และมีปีกใหญ่โตราวกับ
นกพิราบ แต่ไม่มีเขาเหมือนยูนิคอร์นเมื่อกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของเพกา
ซัส จะค่อนข้างน่าขนลุกสักเล็กน้อย เริ่มต้นโดยการกล่าวถึงนางกอร์กอน เมดู
ซ่า ซึ่งเป็นหญิงที่มีนิสัยร้ายกาจ และเสียชีวิตเนื่องจากถูกวีรบุรุษที่ชื่อว่า เปอร์ซี
อุล ฟันคอจนขาด ขณะที่นางกำลังจะสิ้นใจตายนั้นเอง ก็บังเกิดร่างของเพกา
ซัส ซึ่งเป็นม้ากำยำพ่วงพีที่มีปีกอันกว้างใหญ่สง่างาม กระโจนออกมาจากลำคอ
ของนาง เพกาซัสออกมาต่อสู้แผลงฤทธิ์อย่างดุร้ายจนไม่มีใครสามารถต่อกร
กับมันได้เลยสักคน

ด้วยความเก่งกล้าในฝีตีนและฝีปีก จึงทำให้เพกาซัสกลายเป็นความหวังของคน
ทั้งเมือง นอกจากจะเก่งเรื่องการต่อสู้แล้ว เพกาซัสยังมีความสามารถอีก
ประการ ก็คือ ในช่วงที่เพกาซัสเพิ่งจะลืมตาดูโลก มันออกวิ่งอย่างคึกคนองจน
ทำให้น้ำกระเซ็นออกจากรอยเท้าที่วิ่ง และก่อให้เกิดเป็นน้ำพุ ที่ศิลปินมากมาย
ชื่นชมกันนักหนาว่าแสนสวยงาม น้ำพุแห่งนี้ชื่อว่า ฮิปโปครีนี (Hippocrene)
ซึ่งมีเรื่องเล่าตามวรรณคดีกรีกโบราณว่า หากใครได้ดื่มน้ำจากน้ำพุศักดิ์สิทธิ์นี้
จะทำให้มีโอกาสเป็นกวีเอกได้อย่างง่ายดาย

แต่เพกาซัสก็คึกได้อยู่ไม่นาน เพราะในที่สุดก็มีคนดีมาปราบจนอยู่หมัด บุคคล
ผู้นี้เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา และเป็นชาวเมืองโครินทร์
เขามีชื่อว่า “เบลเลอโรฟอน (Bellerophon)”

24

เบลเลอโรฟอน เป็นโอรสของพระเจ้ากลอคุส (Glaucus) ผู้เป็นเจ้าเมืองโคริ
นทร์ พระเจ้ากลอคุสเป็นขุนศึกที่รักม้าเป็นอย่างมาก และพระองค์ก็ทรงมีโอรส
หลายองค์ที่เกิดกับพระนางยูรีโนมี วันหนึ่ง เกิดมีข่าวลือขึ้นมาว่า เบลเลอโร
ฟอนไม่ใช่โอรสที่แท้จริงของพระเจ้ากลอคุส แต่เป็นโอรสของโปเซดอนผู้เป็น
มหาเทพแห่งท้องทะเลต่างหาก ซึ่งถ้าลองพิจารณาจากลักษณะและความ
สามารถกล้าหาญของเบลเลอโรฟอนแล้ว ก็อาจจะเป็นจริงตามที่ใครกล่าวไว้
แต่พระเจ้ากลอคุสก็ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงแต่อย่างใด

ตามที่ได้บอกไปว่าพระเจ้ากลอคุสนั้นทรงรักม้า
เป็นอย่างมาก พระองค์ทรงโปรดให้ป้อนเนื้อ
มนุษย์เพื่อเป็นอาหารให้แก่ม้าสุดที่รัก เพื่อหวัง
จะให้มันดุร้ายในการทำสงคราม แต่ด้วยการ
กระทำอันน่ารังเกียจนี้ จึงทำให้เทพเจ้าไม่โปรด
ปรานเป็นอย่างมาก และทำให้พระเจ้ากลอคุส
ต้องชะตาขาดในที่สุด พระเจ้ากลอคุสทรงถูก
จอมเทพซีอุสลงทัณฑ์ โดยบันดาลให้พระองค์
ตกจากรถศึกและม้าเทียมรถของพระองค์เอง
ทำให้สัตว์เหล่านั้นที่ทรงเคยเลี้ยงเอาไว้รุมทึ้ง
เนื้อกัดกินจนพระเจ้ากลอคุสสิ้นพระชนม์ในที่สุด

แม้ว่าพระเจ้ากลอคุสจะถูกเทวดารังเกียจเท่าไร
แต่ความรังเกียจนั้นก็ไม่ได้ถูกถ่ายทอดมาสู่เบลเลอโรฟอน ผู้เป็นโอรสของ
พระองค์เลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน เบลเลอโรฟอนยังคงได้รับความเมตตา
จากทวยเทพอยู่เสมอ เพราะทุกครั้งที่เขาออกไปผจญภัยอย่างร้ายแรงเพียงใด
เขาก็จะหอบเอาชัยชนะกลับมาอย่างสง่างามด้วยทุกครั้ง

25

เบลเลอโรฟอนมีความปรารถนาอยากจะได้เพกาซัสมาเป็นม้าคู่ใจ แต่เขาก็รู้ดี
ว่าเพกาซัสไม่ใช่ม้าธรรมดา เขาจึงไปปรึกษาขอคำแนะนำจากนักปราชญ์คน
หนึ่ง เบลเลอโรฟอนได้คำตอบกลับมาว่า ให้เขาลองขอความช่วยเหลือจาก
เทพเจ้าดู แต่ด้วยความที่เบลเลอฟอนเป็นเด็กหนุ่มรูปงาม จึงควรใช้ความงาม
ที่ตนมีอ้อนวอนขอจากเทวีจะทำให้มีโอกาสสำเร็จมากกว่าเทวา เบลเลอโรฟอน
เห็นด้วยกับคำแนะนำดังกล่าว จึงไปนอนเฝ้าที่วิหารของเทวีอธีน่า ซึ่งมักจะมา
ปรากฎกายในความฝันของเบลเลอโรฟอนอยู่เสมอ

แล้วก็เป็นไปตามที่คาดไว้ เพราะในคืนนั้น เทวีอธีน่าก็เสด็จมาหาเขาจริงๆ โดย
เทวีได้เสด็จมาพร้อมกับอานม้าซึ่งเป็นทองคำที่เปร่งประกายสุกปลั่ง และพร้อม
จะนำมามอบให้แก่เขาด้วย เบลเลอโรฟอนดีใจเป็นอย่างยิ่งกับคำปรารถนาที่
เขาร้องขอ พอรุ่งเช้า เขาก็เที่ยวถืออานม้าทองคำที่ได้รับมานั้นออกเที่ยวตาม
หาเพกาซัส และด้วยอำนาจของอานม้าวิเศษ ทำให้เบลเลอโรฟอนได้เพกาซัสมา
ครอบครองไว้ในอำนาจอย่างไม่ยากเย็น จากนั้น เขาก็ขึ้นขี่ม้าวิเศษเพื่อท่อง
เที่ยวผจญภัยไปทั่วทุกถิ่นตามแบบฉบับเด็กหนุ่มชาวกรีกโบราณที่รักการผจญ
ภัย

ตลอดเวลาที่เบลเลอโรฟอนผจญภัยไปเรื่อยๆ เขาได้พบทั้งศึกรบและศึกรักจน
แทบจะไม่รอดชีวิต แต่เพราะด้วยการช่วยเหลือของเพกาซัส ทำให้เขาสามารถ
เอาตัวรอดมาได้ทุกครั้งไป ซึ่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิตการผจญภัย
ของเขา ก็คือ การเอาชนะตัว “ไคมีร่า (Chimaera)” นั่นเอง

26

จัดทำโดย

นางสาวสลิษา ปัญญา เลขที่ 13 ชั้นม.6/1


Click to View FlipBook Version