ใบความรู้ท่ี 1 หนว่ ยที่ 1
ชื่อวิชา การส่องสว่าง รหสั วชิ า 2104–2113 สอนครัง้ ท่ี 1
ช่อื หน่วย แหล่งกาเนดิ แสงและการมองเหน็ จานวน 2 ช่วั โมง
ชื่อเร่ือง แหล่งกาเนดิ แสงและการมองเห็น จานวน 2 ชั่วโมง
สาระสาคัญ
แสงเป็นพลังงานรูปหนึ่ง เช่นเดียวกับพลังงานชนิดอื่นๆ เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 3 x 10
เมตรต่อวินาทีและมีช่วงความยาวคล่ืนระหว่าง 380-780 นาโนเมตรช่วงความยาวคล่ืนของพลังงาน
แสง ดงั กลา่ ว ชว่ ยใหเ้ กิดการมองเหน็ การเคล่ือนทีข่ องพลังงานแสง จะอยใู่ นรูปของคลื่น เช่นเดียวกับ
การเคลอ่ื นที่ของคลืน่ วทิ ยุ คลื่นโทรทัศน์ และคล่ืนรังสีต่าง ๆ พลังงานที่สามารถเคลื่อนท่ีได้ในรูปของ
คลื่นเหลา่ นจี้ ะมคี วามถ่ีและความยาวคล่ืนเฉพาะตัวต่าง ๆ กันออกไป กล่าวคือ ความถี่หรือความยาว
คล่ืนจะเปน็ ตวั กาหนดชนิดของพลังงานเหล่าน้นั นัน่ เอง ดงั นน้ั แสงจงึ เป็นองค์ประกอบในการมองเห็น
ทาใหเ้ ราสามารถทจ่ี ะบอก รูปร่าง ขนาด ตลอดจน สีสันของสิ่งต่าง ๆได้ ถ้าปราศจากแสงแล้วเราจะ
ตกอยู่ในความมืด ไม่สามารถบอกคุณลักษณะของสิ่งของต่าง ๆ ได้เลย ในการออกแบบระบบแสง
สว่างนั้น จาเป็นอย่างย่ิงท่ีผู้ออกแบบจะต้องศึกษาคุณสมบัติของแสง เพื่อให้ได้ปริมาณแสงและ
คุณภาพของแสงตามที่ต้องการ ในสมัยโบราณมนุษย์จะอาศัยแสงสว่างในการทากิจกรรมช่วงเวลา
กลางวันเท่านั้น โดยอาศัยแหล่งพลังงานแสงจากธรรมชาติ ต่อมาวิวัฒนาการของมนุษย์มีความ
เจริญก้าวหน้ามากข้ึน มนุษย์จึงได้คิดค้นเสาะแสวงหาแสงสว่างมาใช้ในเวลากลางคืน เพ่ือตอบสนอง
ความต้องการของมนุษย์มากยิ่งขนึ้
สาระการเรียนรู้
1.1 แหล่งกาเนดิ แสง
1.2 ทฤษฎีแสง
1.3 คุณสมบตั ขิ องแสง
1.4 ตากับการมองเห็น
1.5 องคป์ ระกอบของการมองเหน็
1.6 ลกั ษณะความผิดปกตขิ องสายตา
4
ใบความรู้ วชิ าการสอ่ งสวา่ ง รหสั วิชา 2104-2113
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
จุดประสงคท์ ่ัวไป
1. เพ่ือใหม้ คี วามรคู้ วามเข้าใจเกี่ยวกบั แหลง่ กาเนดิ แสงและการมองเห็น
2. เพ่ือให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ในการตรงต่อเวลา,ความสนใจใฝ่รู้, ความขยันหม่ันเพียร,
การมสี ่วนรว่ ม และมคี วามรับผดิ ชอบในการทางาน
จุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม
1. บอกแหล่งกาเนดิ แสงได้ถูกต้อง
2. อธิบายทฤษฎีแสงได้ถูกต้อง
3. อธิบายคุณสมบัตขิ องแสงได้ถูกต้อง
4 บอกส่วนประกอบของตาได้ถูกตอ้ ง
5. อธิบายองคป์ ระกอบของการมองเห็นไดถ้ ูกตอ้ ง
6. อธบิ ายลกั ษณะความผิดปกติของสายตาได้ถกู ต้อง
เนือ้ หาสาระ
แสงเป็นพลังงานท่ีสามารถเคล่ือนท่ีได้และเป็นพลังงานท่ีทาให้เกิดการมองเห็น เม่ือแสง
เคล่ือนที่ผ่านตัวกลางจะมีคุณสมบัติหลายประการ เช่น การสะท้อนได้ ถูกดูดกลืนได้ และหักเหได้
เป็นต้น ในการออกแบบแสงสว่างนั้น จาเป็นที่ผู้ออกแบบจะต้องศึกษาคุณสมบัติของแสง เพ่ือให้ได้
ปรมิ าณแสงและคณุ ภาพของแสงตามต้องการ
1.1 แหลง่ กาเนิดแสง
แสงเป็นพลังงานที่มีแหล่งกาเนิดมาจากหลายๆ แหล่ง รูปแบบความสัมพันธ์ของแสง
ที่เปล่งออกมาจากแหล่งกาเนิดนั้น ทิศทางของแหล่งกาเนิด ปริมาณและความเข้มของแสง มีผลต่อ
ปริมาณและคุณภาพของแสงท่ีจะนามาใช้ การแบ่งประเภทของแหล่งกาเนิดแสงนั้นสามารถแบ่ง
ลักษณะตามประเภทของแหล่งกาเนดิ แสงได้ 2 ประเภทหลกั ดังนี้
1.1.1 แหล่งกำเนิดแสงจำกธรรมชำติ
แสงจากธรรมชาติอันได้แก่แสงจากดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานท่ีประสิทธิผล
มากที่สุดเม่ือเทียบกับแหล่งกาเนิดแสงอ่ืน ๆ และยังให้ค่าสเปกตรัมท่ีครบถ้วนไม่ผิดเพ้ียนมากที่สุด มี
ความสว่างสูง นอกจากนี้การนาแสงจากธรรมชาติมาใช้งานในอาคารในปริมาณที่เหมาะสม ยัง
สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าให้กับอาคารได้อีกด้วย แสงจากดวงอาทิตย์จะมีผลต่อ
ความร้สู ึกของมนษุ ย์ ทาใหม้ นุษย์รับรู้ถึงกาลเวลาท่ีแปรเปลี่ยน ไปเนื่องจากแสงจากดวงอาทิตย์
5
ใบความรู้ วชิ าการส่องสวา่ ง รหัสวชิ า 2104-2113
มีความแปรปรวนสูง ปริมาณแสงที่มากอาจก่อให้เกิดความร้อนท่ีมากเกินความจาเป็น ในการ
ออกแบบสถาปัตยกรรมจงึ ควรเลอื กใช้และควบคุมให้อยู่ในปริมาณและคุณภาพที่เหมาะสม
1.1.2 แหลง่ กาเนดิ แสงทมี่ นษุ ย์สร้างขึน้
1.1.2.1 แหล่งกาเนิดแสงจาก แสงเทยี นไข
เทียนไขน้ันมีแหล่งกาเนิดมาจากประเทศจีน ต้ังแต่ 200 ป่ีก่อนคริสตกาล
โดยในยุคแรก ๆ เทียนไขทามาจากไขวาฬ ในอตีดน้ันได้ถูกนามาใช้ในการดาเนินชีวิตของมนุษย์ซ่ึง
แสงเทยี นน้ันมีความเคลอ่ื นไหวอยู่ตลอดเวลา ทาให้เกดิ แสงสลัวในลักษณะเงาทึบและเงาจาง กระจาย
ไปมาอย่างไม่เป็นระเบียบ เกิดเป็นความงามท่ีแปรเปล่ียนไปตามความเคลื่อนไหว ของเปลวไฟ
แสงสลวั แบบน้ี จึงเป็นบรรยากาศทพี่ บไดม้ ากในสถาปตั ยกรรมแบบดงั้ เดิม
1.1.2.2 แหล่งกาเนิดแสงจากพลงั งานไฟฟ้า
แหลง่ กาเนิดแสงจากพลังงานไฟฟ้า เกิดจากการท่ีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านลวด
ตัวนาและไหลผ่านโหลดหรือภาระทางไฟฟ้า นั่นก็คือ หลอดไฟฟ้านั่นเอง ซึ่งไส้หลอดไฟฟ้าน้ันเมื่อ
ได้รับพลังงานไฟฟา้ เขา้ ไปแล้วนน้ั กจ็ ะทาหน้าทเ่ี ปลย่ี นรปู ไปเปน็ พลังงานความรอ้ นและให้พลังงานแสง
ออกมา น่ันเอง
รูปท่ี 1.1 แหลง่ กาเนิดแสงจากพลังงานไฟฟ้า
ที่มา : http://oknation.nationtv.tv/blog/onnight2/2007/12/25/entry-3
1.2 ทฤษฎีแสง
1.2.1 ทฤษฎีของแสง
1.2.1.1 ทฤษฎีอนุภาค ของเซอร์ไอแซคนิวตัน ชาวอังกฤษ ได้กล่าวว่า ลาของ
แสงสว่างน้ันเป็นแสงทป่ี ระกอบไปดว้ ยอนุภาคเล็ก ๆ ที่เรยี กวา่ อนภุ าคโฟตอน
6
ใบความรู้ วชิ าการส่องสวา่ ง รหสั วชิ า 2104-2113
1.2.1.2 ทฤษฎคี ล่นื ของคริสเตยี น ไฮเกนส์ ชาวฮอลแลนด์ ได้กล่าวว่า แสงเป็นคล่ืน
ชนิดหนง่ึ เคลอื่ นทีผ่ ่านไดใ้ นตัวกลางท่ไี มม่ ีตัวตนหรือแมแ้ ต่ในสูญญากาศ
1.2.1.3 ทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าของแมกซ์เวลล์ ชาวสก๊อดแลนด์ ซ่ึงเป็นทฤษฎีท่ีง่าย
และใชก้ นั มากท่ีสุดไดก้ ลา่ ววา่ แสงเปน็ คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟา้
1.2.1.4 ทฤษฎีเควนตมั ของพลังค์ ได้กล่าวไว้ คล้าย ๆ กัน จึงพอจะสรุปทฤษฎีแสง
ไว้ว่า แสงเคลอื่ นท่ีออกมาตามขวาง รอบต้นกาเนิด มีลักษณะเป็นคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า เคล่ือนที่ไปตาม
ขวาง มีความเร็วเทา่ กบั คลน่ื ความร้อน คลน่ื วทิ ยุ แตค่ วามยาวของคลน่ื แตกตา่ งกัน
1.2.2 รงั สี
รังสี คือ แสงที่มองไม่เห็นเป็นพลังงานที่ปล่อยออกมาจากแหล่งกาเนิด เช่น ความ
ร้อนหรือแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ คล่ืนไมโครเวฟจากเตาไมโครเวฟ รังสีเอกซ์จากหลอดเอกซเรย์
และรังสีแกมมาจากสารกัมมันตรังสี เป็นต้น รังสีหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแต่ละชนิดมีความแตกต่างท่ี
ความถแี่ ละความยาวคล่ืนได้แก่
1.2.2.1 รงั สแี กรมมา
ค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ ชาวฝร่ังเศษช่ือ อังตวน อองรี เบคเคอร์เรล
โดยทราบกันมาแล้วว่า แสงเป็นอนุภาคเล็ก ๆ เรียกว่า โฟตอน (Photon) รังสีของสาร
กัมมันตภาพรังสกี เ็ ช่นกัน เป็นธารละอองของอะตอม ซึง่ ละอองเหล่านี้เรียกวา่ อนุภาคอัลฟาและเบตา
ท้งั อนภุ าคอลั ฟาและเบตาน้ีเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าท่ีมีความยาวคลื่นส้ันมาก สั้นยิ่งกว่าความยาวของ
รังสีเอ็กซ์ และคลื่นของอนุภาคท้ังสองเรียกว่า รังสีแกมมา มีประโยชน์เช่นเดียวกับรังสีเอ็กซ์ แต่มี
พลงั งานเข้าไปในเน้อื สารมากกวา่ ใช้ประโยชนใ์ นการรกั ษาโรคมะเร็ง เป็นต้น
1.2.2.2 รังสีเอก็ ซ์
ค้นพบโดย ดร.วิลเฮล์ม เรินเกนต์ ศาสตราจาย์ผู้สอนวิชาฟิสิกส์ ของ
มหาวิทยาลยั สวเู บอร์ค ประเทศเยอรมันนี เมื่อปี พ.ศ. 2438 รังสีนี้ สามารถทะลุผ่านวัตถุทึบแสงต่าง
ชนิดกันได้มากน้อยไม่เท่ากัน แต่ไม่สามารถทะลุผ่านตะกั่วได้ มีประโยชน์ในทางการแพทย์และทาง
อตุ สาหกรรมในการตรวจรอยร่วั หรือรูรัว่ ภายในวัตถุตา่ ง ๆ
1.2.2.3 รังสีอัลตราไวโอเลต
คน้ พบโดยนาย โยฮัน วิลเฮล์ม ริตเตอร์ นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ถูกค้นพบใน
ปี พ.ศ. 2344 หลังจากค้นพบรังสีอินฟาเรด 1 ปี เป็นแสงท่ีอยู่แถบสีม่วง ในสเปกตรัมของแสงแดด
ออกไป คาว่า อัลตรา เป็นคาในภาษาลาติน แปลว่า ข้างเคียง รังสีอัลตราไวโอเลต ใช้มากในการฆ่า
เชอ้ื โรค ประเภทเช้อื แบคทเี รียต่าง ๆ และยังใช้ในหลอดไฟฟา้ แบบเรอื งแสง เป็นตน้
7
ใบความรู้ วชิ าการสอ่ งสวา่ ง รหสั วชิ า 2104-2113
1.2.2.4 รังสอี ินฟารด
ค้นพบโดย เซอร์ วิลเลี่ยม เฮอร์เซล นักดาราชาวอังกฤษ เม่ือปี พ.ศ. 2343
พบว่า รังสีอินฟาเรด เป็นรังสีที่ให้ความร้อน ถูกนามาใข้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น ในทาง
อุสาหกรรม ทางการแพทย์ ทางการทหาร เป็นต้น
1.2.2.5 เลเซอร์
ค้นพบโดย นกั วิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน เป็ นปรากฎการณ์ใหม่ในเรื่อง
ของแสง เป็นลาแสงที่เกิดมาจากหลาย ๆ คล่ืนแสงรวมกันมีความกว้างของลาแสงแคบมาก และ
สามารถจะรวมลาแสงสีขาว มายงั จุดเดยี วได้ ถกู นามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ทางการทหาร
รูปท่ี 1.2 แสดงสเปกตรัมของแสง
ทมี่ า : https://sites.google.com/.jpg
1.3 คณุ สมบัตขิ องแสง
คุณสมบัติของแสงเมือ่ วง่ิ ผา่ นตัวกลางชนดิ ต่าง ๆ จะมีปรากฎการณ์แตกต่างกันออกไป ทั้งน้ี
ขนึ้ อยูก่ บั ตวั กลางทีแ่ สงว่ิงผ่าน ซึ่งปรากฎการณท์ ่เี กิดขนี้ อนั ไดแ้ ก่
1.3.1 เกดิ การกระจาย
เปน็ คุณสมบัตขิ องแสงที่เมอ่ื ตกกระทบผิวตวั กลางแลว้ เกิดการกระจายลาแสงออกไป
ในทิศทางต่าง ๆ เช่น แสงตกกระทบผิวตัวกลางหยาบขัดมันจะเกิดการกระจาย หรือปรากฎการณ์
รุ้งกินน้า ซ่ึงเป็นการกระจายของแสงขาวผ่านผิวของละอองน้าแล้วเกิดการสะท้อนกลับหมดท่ีผิว
ละอองน้าแล้วหักเหออกสู่อากาศ เราใช้ประโยชน์จากการกระจายตัวของลาแสงน้ีเมื่อตกกระทบ
ตัวกลาง เชน่ การใช้แผ่นพลาสติกปดิ ดวงโคมเพื่อลดความจ้าของหลอดไฟฟา้ เป็นตน้
8
ใบความรู้ วิชาการสอ่ งสวา่ ง รหัสวิชา 2104-2113
แหลง่ กาเนิดแสง
รูปท่ี 1.3 การกระจายของแสง
ที่มา : วิทย์ อ้นจร (2556 : 5)
1.3.2 เกดิ การหักเห
เป็นคุณสมบัติของแสงกระทบผิวตัวกลาง แล้วทาให้แสงเปลี่ยนทิศทางจากแนวทาง
เดนิ ของแสง เชน่ แสงตกกระทบผิวตวั กลางทีเ่ ปน็ วตั ถโุ ปรง่ แสง การหักเหของแสงเกิดข้นึ ได้ 2 แบบ คอื
1.3.2.1 การหักเหเข้าหาเสน้ แนวฉาก เกิดขน้ึ เม่อื
1) แสงเดินทางจากตัวกลางที่มีความหนาแน่นน้อยไปสู่ตัวกลางที่มีความ
หนาแนน่ มาก
2) แสงเดนิ ทางจากตัวกลางที่มีดัชนีหกั เหนอ้ ยไปส่ตู ัวกลางที่มีดัชนีหักเหมาก
3) แสงเดินทางจากตวั กลางทม่ี ีความเรว็ มากไปสู่ตวั กลางทม่ี ีความเร็วน้อย
1.3.2.2 การหักเหออกจากเสน้ แนวฉาก เกดิ ขน้ึ เมอ่ื
1) แสงเดินทางจากตัวกลางท่ีมีความหนาแน่นมากไปสู่ตัวกลางท่ีมีความ
หนาแน่นนอ้ ย
2) แสงเดนิ ทางจากตวั กลางที่มีดัชนีหกั เหมากไปส่ตู ัวกลางทมี่ ดี ัชนีหกั เหน้อย
3) แสงเดินทางจากตวั กลางทม่ี คี วามเรว็ น้อยไปสตู่ วั กลางทมี่ ีความเร็วมาก
แหล่งกาเนิดแสง
รปู ท่ี 1.4 การหกั เหของแสง
ทม่ี า : วทิ ย์ อน้ จร (2556 : 5)
9
ใบความรู้ วชิ าการสอ่ งสวา่ ง รหสั วิชา 2104-2113
1.3.3 เกดิ การสะทอ้ น
เป็นคุณสมบัติของแสงกระทบผิวตัวกลาง แล้วทาให้แสงสะท้อนกลับไปในทิศทางท่ี
เรียกว่า มุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน เช่น แสงตกกระทบผิวตัวกลางท่ีเรียบขัดมัน จะเกิดการ
สะท้อน ผวิ ของวัตถุที่แตกตา่ งกนั จะมีเปอรเ์ ซ็นต์การสะทอ้ นที่แตกต่างกัน กฎของการสะท้อนกล่าวว่า
“เม่ือเกดิ การสะทอ้ นแสงทกุ ครัง้ มมุ ตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อนเสมอ”
แหล่งกาเนดิ แสง
รูปที่ 1.5 การสะท้อนของแสง
ทมี่ า : วทิ ย์ อ้นจร (2556 : 6)
ตารางท่ี 1.1 การสะท้อนของผวิ วสั ดทุ ที่ าเป็นผนงั ห้อง เปอรเ์ ซ็นตก์ ารสะท้อน
ผวิ ของวัสดทุ ่ีทาเป็นผนงั หอ้ ง 92
90
เงนิ ขัดมนั
ปนู สีขาว 70 -75
ทองเหลืองขัดมนั 60 -70
ทองแดงขัดมนั
กระดาษสแี ดงเข้ม 12
กระดาษสีดาเคลือบเงา 5
ผา้ สดี า 1.2
แผ่นเหลก็ ขัดมัน 60
หนิ ปูน 35 -65
ทองขัดมัน 50 -55
กระดาษสขี าว 80
กระเบื้องเคลือบ 70 -80
อะลมู เิ นยี มขดั มัน 67
ท่ีมา : วิทย์ อน้ จร (2556 : 6)
10
ใบความรู้ วิชาการส่องสวา่ ง รหสั วิชา 2104-2113
ตารางที่ 1.1 การสะท้อนของผิววัสดุทีท่ าเปน็ ผนงั ห้อง (ตอ่ ) เปอร์เซ็นตก์ ารสะท้อน
ผวิ ของวสั ดุที่ทาเปน็ ผนงั ห้อง 62
40
กระดาษสีเหลอื งโครเมียม 36
กระดาษสเี หลือง 25
กระดาษสีชมพูอ่อน 13
กระดาษสีนา้ เงิน
กระดาษสนี ้าตาลเข้ม
ที่มา : วิทย์ อ้นจร (2556 : 6)
1.3.4 เกิดการทะลผุ า่ น
เป็นคุณสมบัติของแสงกระทบผิวตัวกลาง แล้วทะลุผ่านตัวกลางไปยังอีกด้านหนึ่ง
โดยที่ความถี่ไม่เปล่ียนแปลงวัตถุที่มีคุณสมบัติการทะลุผ่านได้เช่น กระจก ผลึกคลิสตัล พลาสติกใส
นา้ และของเหลวต่าง ๆ เป็นตน้
แหล่งกาเนิดแสง
รูปที่ 1.6 การทะลุผ่านของแสง
ทีม่ า : วทิ ย์ อ้นจร (2556 : 7)
ตารางท่ี 1.2 ค่าการทะลุผ่านของวตั ถุ ค่าการทะลผุ ่าน (%)
80-100
ชนิดของวตั ถุ 70-92
กระจกใส 30-70
พลาสติกใส 0-90
พลาสติกขาว 5-30
พลาสตกิ สี
หินออ่ น
ท่มี า : วทิ ย์ อ้นจร (2556 : 7)
11
ใบความรู้ วชิ าการสอ่ งสวา่ ง รหัสวชิ า 2104-2113
1.3.5 เกิดการดดู กลืน
เป็นคุณสมบัติของแสงกระทบผิวตัวกลาง แล้วหายเข้าไปในตัวกลางไม่เกิดการ
กระจาย ไม่หกั เห ไมส่ ะทอ้ น ไม่ทะลุผ่าน จากหลักการการดูดกลืนดังกล่าวนี้จึงนามาใช้ประโยชน์ต่าง ๆ
เช่น เตาอบพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องต้มน้าพลังงานแสง และยังนาหลักการนี้มาประยุกต์ใช้ใน
ชีวติ ประจาวัน เชน่ การเลือกสวมใส่เสอื้ ผ้าสีขาว จะดดู แสงไดน้ อ้ ยกว่าเส้ือผ้าสีดา จะเห็นได้ว่าเวลาใส่
เสอ้ื ผา้ สีดายืนอยกู่ ลางแดด จะทาให้ร้อนกว่าใสเ่ สือ้ ผ้าสีขาว เปน็ ตน้
แหลง่ กาเนดิ แสง
รปู ที่ 1.7 การดูดกลืนของแสง
ท่มี า : วิทย์ อน้ จร (2556 : 7)
1.4 ตากบั การมองเหน็
ในการมองเห็นของคนเราจะต้องอาศัยดวงตา ซึ่งประกอบด้วยส่วนสาคัญต่าง ๆ ทาหน้าท่ี
แตกต่างกันไปและการมองเห็นจะต้องอาศัยส่วนประกอบต่าง ๆ ของวัตถุอีกด้วย ส่วนประกอบของ
ดวงตาท่ีทาให้สามารถมองเห็นส่ิงต่าง ๆ และสามารถบอกสีของวัตถุน้ัน ๆ ได้สามารถแบ่ง
ส่วนประกอบได้ ดังนี้
มา่ นตา กระบอกตา
เลนส์ เส้นประสาทรบั แสง
รูมเปา่ ลนือตกาตา
จอตา
กระจกตา
แก้วตา
รูปท่ี 1.8 สว่ นประกอบของดวงตา
ทีม่ า: http://www.scimath.org
12
ใบความรู้ วชิ าการส่องสวา่ ง รหสั วชิ า 2104-2113
1.4.1 กระจกตา
มลี ักษณะกลม โค้งนูน ใส อยู่ด้านหน้าตรงกลางตา รูปร่างและขนาดของกระจกตาดา
เปรียบได้กับหน้าปัดนาฬิกาข้อมือขนาดเล็ก กระจกตาดาเป็นส่วนท่ีใส ไม่มีสี แต่ที่เห็นเป็นสีต่าง ๆ
เช่นสีดาในคนไทย สีฟ้า สีเขียวในคนต่างชาตินั้นเป็นสีของม่านตาซึ่งอยู่ด้านในถัดเข้าไป ม่านตาน้ี
เปรียบไดก้ บั ตัวนาฬิกา กระจกตาดาทาหน้าที่ใหแ้ สงผา่ นเขา้ ไปภายในลูกตา โดยชว่ ยปรับแสงให้หักเห
คลา้ ยเลนสน์ ูนเพือ่ ใหแ้ สงไปตกลงพอดีท่จี อประสาทตาและทาหน้าท่ีเป็นส่วนหนึ่งของลูกตาที่ทาให้ลูก
ตาคงรูปร่างอยู่ได้ ถ้ากระจกตาดาทะลุ จะทาให้ลูกตาฝ่อเล็กลง ถ้ากระจกตาดาเป็นฝ้า เช่น เป็น
แผลเป็น แสงผ่านเข้าตาได้ไม่ดี ทาให้เกิดอาการตามัว ต้องรักษาโดยการผ่าตัดเปล่ียนกระจกตาดา
ซ่ึงนามาจากผู้บริจาคดวงตา ที่ได้แจ้งความจานงไว้กับศูนย์ดวงตาของสภากาชาดไทย เมื่อเสียชีวิต
จักษุแพทยจ์ ะเก็บดวงตามาท้งั ดวง แต่นาไปใช้เฉพาะส่วนกระจกดา ในปัจจุบันน้ียังไม่สามารถเปล่ียน
ดวงตาทั้งดวงได้เปน็ เนื้อเยือ่ โปร่งใส่อย่ดู ้านหน้าสุดของนยั นต์ า กระจกตาทาหน้าที่ รับและให้แสงผ่าน
เข้าไปสู่ภายใน ปัจจุบันถ้ากระจกตาเสีย สามารถเปลี่ยนกระจกตาได้ โดยการนาเอากระจกตาของผู้
บริจาคที่เสยี ชีวิตแลว้ มาเปลีย่ นทดแทน
1.4.2 ม่านตา
ม่านตา เป็นเน้ือเยื่ออยู่หน้าสุดของผนังลูกตาชั้นกลาง ประกอบด้วยหลอดเลือด
เนอ้ื เย่ือเกยี่ วพัน รวมทัง้ เซลล์ท่ีมเี มด็ สี หน้าที่ของม่านตา จึงเป็นการปรับแสงให้เข้าสู่ภายในตาท่ีพอดี
เพื่อการมองเหน็ และตวั ม่านตาเป็นตัวก้ันระหวา่ งช่อง Anterior และ Posterior Chamber เป็นส่วน
ที่เป็นสขี องนยั นต์ า ซ่งึ อาจมีสีดา สีน้าตาล หรือสีฟ้า ตามเชื้อชาติ ม่านตาทาหน้าที่ ควบคุมการขยาย
ของรมู า่ นตา เพ่ือให้ปริมาณแสงท่ผี า่ นเขา้ ไปสเู่ ลนสต์ าอยู่ในระดับพอเหมาะ เมื่อแสงสว่างมากม่านตา
จะควบคุมใหร้ ูมา่ นตาเปดิ น้อย และเมอื่ แสงสว่างนอ้ ยกจ็ ะควบคมุ ให้รูมา่ นตาเปดิ กว้าง
1.4.3 รูมา่ นตา
มลี กั ษณะเป็น ช่องกลมเล็ก ๆ อยู่ตรงกลางม่านตา ทาหน้าที่เป็นช่องให้แสงผ่านเข้า
ไปยงั เลนส์นัยนต์ า และะเราจะมองเหน็ เปน็ ดวงกลมดาใส อยู่ตรงกลางตาดาน่นั เอง
1.4.4 เลนส์แกว้ ตา
เลนสแ์ กว้ ตาอยู่ด้านหลังมา่ นตาและรูม่านตา ลักษณะเหมือนเลนส์นูนกลม ใส มีเย่ือ
บาง ๆ เป็นเปลือกหุ้มโดยรอบ และถูกยึดให้อยู่กับท่ีได้ โดยเส้นใยเล็ก ๆ รอบเลนส์ เลนส์แก้วตาทา
หนา้ ท่ีเหมือนกับกระจกตาดา คือให้แสงผ่านเข้าไปภายในลูกตา และหักเหแสงแบบเลนส์นูนให้ไปตก
ลงพอดีที่จอประสาทตา ถ้าเลนส์แก้วตาขุ่นเป็นฝ้า เรียกว่าต้อกระจก ทาให้มีอาการตามัว ต้องรักษา
โดยการผ่าตัดเอาเลนส์แก้วตาออก และใส่เลนส์แก้วตาเทียมแทนท่ี ถ้าตาได้รับการกระทบกระเทือน
โดยแรง อาจทาให้เส้นใยที่ยึดเลนส์ขาด ทาให้เลนส์เคลื่อนท่ีหรือหลุดจากที่ได้ และตกเข้าไปอยู่ในน้า
วุ้นลกู ตาด้านหลังเลนส์ คนทไ่ี ดร้ บั การรักษาตอ้ กระจกโดยหมอเถอ่ื น โดยการแทงต้อด้วยเข็มให้เส้นใย
13
ใบความรู้ วิชาการส่องสวา่ ง รหัสวชิ า 2104-2113
ทย่ี ดึ เลนส์น้ขี าดออกต้อกระจกจะหลุดเข้าไปในส่วนหลังของลูกตา ตาก็จะเห็นได้เพราะไม่มีต้อบัง แต่
ต่อมาจะเกดิ โรคแทรกซอ้ นจากปฏกิ ิริยาของต้อกระจกซึ่งยงั อยู่ในลกู ตา ทาใหต้ าบอดได้
1.4.5 จอตา
จอตาจะอยู่ดา้ นหลังของลกู ตาเป็นเย่ือบางคอ่ นข้างใส อย่ดู า้ นในผนังลูกตา ทาหน้าที่
เปน็ เหมือนจอรบั ภาพ แสงทีผ่ า่ นจากด้านหน้าของลูกตาเพ่อื รบั ภาพแลว้ ส่งภาพไปตามเส้นประสาทตา
เข้าสู่สมองเพ่ือให้สมองรับรู้และแปลภาพว่าเป็นภาพอะไร จอประสาทตานับว่าเป็นส่วนที่สาคัญมาก
ของลูกตา ถ้ามีโรคเกิดขึ้นท่ีจอประสาทตา ก็เป็นการยากท่ีจะรักษาให้กลับมาดีเหมือนเดิมได้ โรคท่ี
เกิดกับจอประสาทตา เช่น จอประสาทที่ฉีกขาดจอประสาทตาหลุดออกตรงกลางของจอประสาทตา
เป็นบริเวณที่สาคัญที่สุด เรียกว่า แมคคูล่า (Macula) หรือศูนย์กลางจอประสาทตา เป็นส่วนท่ีเห็น
ภาพได้ชดั เจนที่สุด ถ้าเสียไปจะทาให้ตามวั โดยเฉพาะจะมวั มากตรงส่วนกลางของภาพ โรคของแมคคู
ลา่ ท่ีพบไดบ้ อ่ ย เช่น การเสอื่ มของแมคคูลา่ ในผู้สงู อายุ แมคคลู า่ บวม
1.4.6 โฟเวยี
มีลักษณะเป็นส่วนนูนเล็ก ๆ และยอดนูนบุ๋มลงเล็กน้อย ส่วนนูนน้ีเป็นส่วนท่ีไวต่อ
แสงมากที่สดุ เวลาเราตอ้ งการดอู ะไรให้เห็นราลละเอียด ของวัตถุอย่างชัดเจนตองเพ่งมองให้แสงจาก
ส่วนน้ันของวัตถุตกลงบนส่วนนี้ซ่ึงเป็นบริเวณที่มีเซลล์รูปกรวยอยู่หนาท่ีสุด จึงเป็นบริเวณท่ีเห็นภาพ
ชัดเจนทส่ี ดุ
1.4.7 จุดบอดแสง
เป็นบรเิ วณทีเ่ สน้ ประสาทและเส้นเลือดผ่านเข้าสู่นัยน์ตา ไม่มีเซลล์รูปแท่งและเซลล์
รูปกรวยเลย ดังน้นั ถา้ แสงตกลงบริเวณนเี้ ราจะมองไมเ่ ห็นวัตถุนน้ั เลย
1.4.8 เปลือกตา
เปลอื กตาทาหนา้ ท่เี ปดิ ปิดตาเพอื่ ป้องกันอนั ตรายท่ีอาจเกดิ กบั ลกู ตา การกระพริบตา
ช่วยทาให้น้าตากระจายไปท่ัว ๆ ช่วยปกป้องเยื่อบุตาและกระจกตาดาไม่ให้แห้ง และช่วยลดอาการ
ระคายเคืองท่ีเปลือกตา ขนตานอกจากทาให้เกิดความสวยงามแล้วยังทาหน้าท่ีป้องกัน ไม่ให้ส่ิง
แปลกปลอมเขา้ ตา ขนตาไวต่อการกระตนุ้ มาก เม่อื มีสิ่งกระตนุ้ ท่ีบริเวณขนตา ตาจะกระพริบทันที ใน
คนที่หลับตาไม่ได้สนิท เช่น เส้นประสาทที่หน้าเป็นอัมพาต คนไข้โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษท่ีมีอาการ
ตาโปน จะทาให้ตาแห้งเกิดการอักเสบของเย่ือบุตาและกระจกตาดาได้ ในเด็กที่มีเปลือกตาตกมา
ตั้งแตก่ าเนดิ ถ้าเปน็ มากเปลอื กตาจะบังการมองเห็น ทาให้ตาข้างนั้นไม่ได้ใช้งาน เกิดเป็นสายตาเส่ือม
หรือตาข้ีเกียจได้ การอักเสบของเปลือกตาที่พบได้บ่อย คือตากุ้งยิง ซึ่งเป็นการอักเสบของต่อมท่ี
เปลือกตาคนท่ีเป็นกุ้งยิงมักจะเป็นบ่อยต้องหาสาเหตุและแก้ไข เช่น การดูแลรักษาความสะอาดดีพอ
หรอื ไม่ตามวั จากสายตาสัน้ ทาใหต้ ้องเพ่งมาก กท็ าใหเ้ ป็นได้บ่อย ควรแกไ้ ขโดยการใสแ่ ว่นสายตา
14
ใบความรู้ วิชาการสอ่ งสวา่ ง รหสั วิชา 2104-2113
1.4.9 กระบอกตา
เป็นเย่ือช้ันนอกสุด หนาและเหนียว ทาให้ลูกตาคงรูป มีส่วนประกอบสาคัญได้แก่
สว่ นตาขาวและกระจกตา
1.5 องคป์ ระกอบของวัตถใุ นการมองเหน็
เม่ือแสงสีสะท้อนจากวัตถุหรือแสงจากแหล่งกาเนิดแสงผ่านเข้าสู่นัยน์ตา ม่านตาจะทา
หน้าท่ีปรับแสงให้เข้าสู่นัยน์ตาอย่างอัตโนมัติ เมื่อแสงเข้าไปเลนส์ตาจะทาหน้าทีปรับโฟกัสของแสง
เพ่อื ใหไ้ ปตกท่ีจอตาอยา่ งพอเหมาะ และแสงจะไปกระตุ้นเซลล์รับแสงท่ีอยู่บริเวณจอตา แล้วเซลล์รับ
แสงจะสง่ สญั ญาณกระตุ้นไปยังสมอง เพ่ือแปลความหมายของแสงสีที่เข้าสู่นัยน์ตา ความผิดปกติของ
สายตาอาจจะเกดิ ขนึ้ ไดด้ ้วยสาเหตตุ ่าง ๆ เช่น สายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียง ความผิดปกติ
เหล่านี้ สามารถแก้ไขได้โดยใช้เลนส์เว้าหรือเลนส์นูนเข้าช่วยในการมองเห็น การที่เรามองเห็นวัตถุได้
ชัดเจนหรือมองไมเ่ ห็น จะข้ึนอยู่กบั องค์ประกอบต่อไปน้ี
1.5.1 ขนาดของวตั ถุ
ขนาดของวัตถุมีความสาคัญมากในความเป็นจริงวัตถุท่ีมีขนาดใหญ่จะต้องมองเห็น
ได้ชัดเจนกว่าวัตถุขนาดเล็ก โดยเฉพาะในระยะทางที่ย่ิงไกลวัตถุขนาดเล็กย่ิงมองเห็นได้ยากกว่าวัตถุ
ขนาดใหญ่
1.5.2 ความเขม้ ของแสงท่ีสอ่ งวตั ถุ
ในการมองเห็นวตั ถจุ ะตอ้ งอาศัยแสงสว่างที่ส่องไปยังวัตถุ วัตถุท่ีมีการสะท้อนแสงได้
ดีก็จะเห็นวัตถุชัดเจนกว่าวัตถุท่ีไม่สะท้อนแสง เช่น ก้อนหินสีดากับก้อนหินสีขาว เมื่อเราใช้แสงส่อง
เข้าไปโดยมีปริมาณแสงเท่ากันหรือนาไปวางไว้ที่มืด ๆ ก้อนหินสีขาวจะต้องเห็นชัดเจนกว่าก้อนหินสี
ดาอีกลักษณะหน่ึงคือในวัตถุชนิดเดียวกันแต่ใช้แสงส่องต่างกัน วัตถุท่ีแสงส่องมากจะเห็นชัดเจน
มากกว่า
1.5.3 ความเข้มของฉากอา้ งอิง
ลักษณะของฉากอา้ งอิง ทาให้มีผลตอ่ การมองเห็นด้วยเหมือนกัน วัตถุท่ีสีเดียวกันกับ
ฉากจะทาให้การมองเหน็ ยากกว่าวตั ถุท่สี ตี ดั กนั เช่น ฉากสขี าว วัตถุสีขาว กจ็ ะทาใหเ้ หน็ วัตถุไม่ชัดเจน
แต่ถ้าเปน็ ฉากสขี าว วัตถุสีดา ก็จะทาใหเ้ หน็ วัตถุงา่ ยข้ึน
1.5.4 เวลาในการมองเห็น
ในการมองเห็นจะต้องเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องและต้องใช้เวลาเพื่อให้เกิดลักษณะ
การมองเห็น เพราะฉะนัน้ เม่ือวัตถุทเ่ี คล่ือนไหวรวดเร็วก็ทาให้ยากต่อการมองเห็นกว่าวัตถุท่ีนิ่งอยู่กับ
ที่ เวลาจงึ มีความสาคัญตอ่ การมองเหน็ มาก
15
ใบความรู้ วชิ าการส่องสวา่ ง รหสั วชิ า 2104-2113
1.6 ลกั ษณะความผิดปกติของสายตา
1.6.1 ลักษณะความผดิ ปกติของสายตา
การมองเห็นภาพที่อยู่ใกล้หรืออยู่ไกล ไม่ชัดเจนน้ัน เนื่องมาจากความผิดปกติ
เกี่ยวกับสายตาจึงทาให้มีสายตาท่ีผิดปกติไป เช่น สายตาส้ัน สายตายาว สายตาเอียง เป็นต้น ซ่ึง
ปัจจุบันสามารถแก้ไขความผิดปกตินี้ได้โดยการใช้เลนส์ชนิดต่าง ๆ เพื่อช่วยให้มองเห็นภาพได้ชัดเจน
ข้ึนคนสายตาปกติมองดูวัตถุโดยไม่ต้องเพ่ง จะมองเห็นวัตถุได้ชัดเจนในระยะที่ใกล้สุดประมาณ 25
เซนติเมตร และระยะไกลสุดที่สามารถเห็นได้ชัด คือระยะอนันต์ (∞) การมองท้องฟ้าไกล ๆ เรารู้สึก
สบายตา เน่ืองจากกล้ามเนื้อตาได้พักไม่ต้องทางานเพ่ือปรับเลนส์ตาเหมือนขณะมองที่วัตถุใน
ระยะใกล้ คนสายตาสน้ั คอื คนทีม่ องวัตถุไดช้ ดั เจนในระยะใกลก้ วา่ 25 เซนติเมตร สาเหตุของสายตา
สน้ั เกิดขึ้นเนอ่ื งจาก
1.6.1.1 กระบอกตายาวเกนิ ไป ทาใหภ้ าพทีไ่ ปตกจะตกกอ่ นถงึ จอตา
1.6.1.2 เลนส์ตานูนเกินไปหรือกระจกตาโค้งมากเกินไป ทาให้ภาพของวัตถุท่ีไปตก
จะตกก่อนถึงจอตา วิธแี ก้ไขคนสายตาสั้น ให้ใชแ้ ว่นท่ที าด้วยเลนส์เวา้
1.6.2 คนสายตายาว
คนสายตายาว คือ คนที่มองวัตถุได้ชัดเจนในระยะไกลกว่า 25 เซนติเมตร สาเหตุ
ของสายตายาว เกดิ ขนึ้ เนอื่ งจาก
1.6.2.1 กระบอกตาสนั้ เกินไป ทาให้ภาพทไ่ี ปตกจะตกเลยจอตา
1.6.2.2 เลนส์ตาแฟบเกินไปหรือกระจกตาโค้งน้อยเกินไป ทาให้ภาพของวัตถุท่ีไป
ตกจะตกเลยจอตาออกไป วิธีแก้ไขคนสายตายาว ให้ใช้แว่นท่ีทาด้วยเลนส์นูน สายตาของคนสูงอายุ
มองระยะใกลช้ ดั ทรี่ ะยะมากกวา่ 25 เซนตเิ มตรมองไกลไม่ถงึ ระยะอนันต์ แว่นสาหรับคนสูงอายุ จะใช้
แวน่ ทใี่ ช้ดูทง้ั ระยะใกลแ้ ละระยะไกลซึ่งประกอบด้วยเลนส์สองชนิดที่มีความยาวโฟกัสต่างกัน คือแว่น
ท่ีทาด้วยเลนส์ชนดิ ไบโฟคัสเลนส์ ไบโฟคสั เลนส์ หมายถึง เลนสท์ ่ีมคี วามยาวโฟกสั 2 ชนิดประกอบกัน
ใชส้ าหรับดูวัตถใุ นระยะใกล้และระยะไกล
1.6.3 สายตาเอียง
สายตาเอียงเกิดจากความโค้งของกระจกตาหรือเลนส์ ไม่เป็นผิวของทรงกลม ทาให้
มองเห็นวัตถุชัดเจนเพียงแนวเดียว ซ่ึงอาจจะเห็นชัดในแนวดิ่งแต่เห็นไม่ชัดในแนวระดับ หรือเห็นชัด
ในแนวระดับแตเ่ ห็นไมช่ ัดในแนวดิง่ วธิ ีทดสอบสายตาเอยี ง ให้ใช้มือปิดตาข้างหน่ึงแล้วมองรูป โดยทา
ทีละข้าง ถ้าเห็นเส้นที่อยู่ระหว่างแนวระดับกับแนวด่ิงเป็นสีดาชัดเท่ากันแสดงว่าสายตาปกติ ถ้าเห็น
เป็นสีเทาความเข้มไม่เท่ากันแสดงว่าสายตาเอียง วิธีแก้สายตาเอียง คือ ใช้แว่นท่ีทาด้วยเลนส์กาบ
กลว้ ยชนิดเวา้ และชนิดนนู
16
ใบความรู้ วิชาการสอ่ งสวา่ ง รหสั วชิ า 2104-2113
สรุป
แสงเป็นพลังงานท่ีมีแหล่งกาเนิดมาจากหลาย ๆ แหล่ง รูปแบบความสัมพันธ์ของแสงท่ี
เปล่งออกมาจากแหล่งกาเนิดนั้น ทิศทางของแหล่งกาเนิด ปริมาณและความเข้มของแสง มีผลต่อ
ปริมาณและคุณภาพของแสงที่จะนามาใช้ ซึ่งเราสามารถแบ่งแสงออกได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ แสง
ที่มาจากธรรมชาติ และแสงท่ีมาจากมนุษย์สร้างข้ึน สาหรับทฤษฎีของแสงน้ัน ได้มีผู้กล่าวไว้หลาย
ท่านจึงพอจะสรุปทฤษฎีของแสงไว้ว่า แสงเคลื่อนท่ีออกมาตามขวาง รอบต้นกาเนิด มีลักษณะเป็น
คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ เคล่ือนทีไ่ ปตามขวาง มีความเรว็ เท่ากบั คล่นื ความรอ้ น คลื่นวิทยุ แต่ความยาวของ
คล่ืนแตกต่างกัน ส่วนรังสี ก็คือ แสงที่มองไม่เห็นเป็นพลังงานท่ีปล่อยออกมาจากแหล่งกาเนิดเช่น
ความร้อนหรือแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ คลื่นไมโครเวฟจากเตาไมโครเวฟ รังสีเอกซ์จากหลอด
เอกซเรย์ และรังสีแกมมาจากสารกัมมันตรังสี เป็นต้นรังสีหรือคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าแต่ละชนิดมีความ
แตกต่างท่คี วามถี่และความยาวคลนื่
คุณสมบัติของแสงเมื่อวิ่งผ่านตัวกลางชนิดต่าง ๆ จะมีปรากฎการณ์แตกต่างกันออกไป
ขึ้นอยู่กับตัวกลางท่ีแสงวิ่งผ่าน ซ่ึงปรากฎการณ์ที่เกิดข้ีน อันได้แก่ เกิดการกระจาย การหักเห การ
สะท้อน และการดดู กลืน
ในการมองเห็นของคนเราจะต้องอาศัยดวงตา ซึ่งประกอบด้วยส่วนสาคัญต่าง ๆ ทาหน้าท่ี
แตกต่างกันไปและการมองเห็นจะต้องอาศัยส่วนประกอบต่าง ๆ ของดวงตา เช่น กระจกตา ม่านตา รู
มา่ นตา เลนสน์ ยั นต์ า จอตา โฟเวีย เปลอื กตา และกระบอกตา เปน็ ตน้
คุณสมบัติต่าง ๆ ของแสงแต่ละคุณสมบัติน้ัน เราสามารถนาหลักการมาใช้ประโยชน์ได้
หลายอย่าง เช่น คุณสมบัติของการสะท้อนแสงของวัตถุ เรานามาใช้ในการออกแบบแผ่นสะท้อนแสง
ของโคมไฟ การหักเหของแสงนามาออกแบบแผ่นปิดหน้าโคมไฟ ซ่ึงเป็นกระจกหรือพลาสติกเพื่อ
บังคับทิศทางของแสงไฟ ท่ีออกจากโคมไปในทิศที่ต้องการ การกระจายตัวของลาแสงเมื่อกระทบ
ตวั กลางเรานามาใช้ประโยชน์ เชน่ ใช้แผน่ พลาสติกใสปิดดวงโคมเพ่ือลดความจ้าจากหลอดไฟ ต่าง ๆ
การดูดกลืนแสง เรานามาทาเตาอบพลังงานแสงอาทิตย์เคร่ืองต้มพลังงานแสง และการแทรกสอดของ
แสง นามาใช้ประโยชน์ในกล้องถ่ายรูป เคร่ืองฉายภาพต่าง ๆ จะเห็นว่าคุณสมบัติแสงดังกล่าวก็ได้
นามาใชใ้ นชวี ติ ประจาวันของมนุษย์เราทง้ั น้นั
17
ใบความรู้ วชิ าการสอ่ งสวา่ ง รหสั วชิ า 2104-2113
แบบฝึกหัดท้ายหนว่ ยเรียนท่ี 1 หน่วยท่ี 1
ชื่อวิชา การสอ่ งสว่าง รหัสวชิ า 2104–2113 สอนครัง้ ที่ 1
ช่ือหน่วย แหล่งกาเนดิ แสงและการมองเห็น จานวน 2 ชว่ั โมง
ช่ือเร่อื ง แหลง่ กาเนิดแสงและการมองเห็น จานวน 20 นาที
คาสงั่ จงตอบคาถามตอ่ ไปน้ใี หถ้ ูกตอ้ ง
1. จงบอกแหลง่ กาเนิดแสง มาให้ถกู ตอ้ ง
2. จงอธิบายทฤษฎีของแสง มาพอสังเขป
3. จงบอกคณุ สมบตั ขิ องแสง
4. จงบอกส่วนประกอบของดวงตา
5. จงอธิบายองค์ประกอบของการมองเห็น มาพอสังเขป
6. จงอธบิ ายลักษณะความผดิ ปกติของสายตา มาพอสังเขป
18
ใบความรู้ วชิ าการส่องสวา่ ง รหสั วิชา 2104-2113
เอกสารอา้ งอิง
วรวิทย์ ชมุ่ เชย. การส่องสว่าง. กรงุ เทพฯ : สานักพมิ พ์เอมพนั ธ์, 2550.
วิทย์ อ้นจร. การสอ่ งสว่าง. กรุงเทพฯ : ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ, 2556.
ไวพจน์ ศรีธัญ . การส่องสว่าง. กรงุ เทพฯ : ศูนย์สง่ เสริมอาชีวะ, 2556.