The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การจัดการความรู้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นักประเมิน, 2023-12-04 21:56:15

การจัดการความรู้

การจัดการความรู้

Keywords: การจัดการความ,รู้

40 สรุ ปป ัญหาด ้ วยโมเด ล SCHOOL คุณไอติม ได้สรุปปัญหาที่เกิดขึ้นใน ก า ร ศึ กษ า แ ล ะน า เ ส น อ ผ่ าน ค าศั พท์ ภาษาอังกฤษของค าว่า โรงเรียน หรือ SCHOOL S = Single Answer (ก ำ ร มี ค ำตอบเดียว แนวทำงกำรตอบแบบเดียว) ที่โรงเรียนมักจะพัฒนาผู้เรียนในลักษณะ one size fit all C = Corruption (กำรทุจริต) เรื่องปัญหาการทุจริตในโรงเรียนที่สามารถพบเจอได้บ่อยครั้ง H = Hierarchy (กำรแบ่งล ำดับชั้น) ปัญหาเรื่องการแบ่งล าดับชั้นในโรงเรียนที่น าไปสู่การเลือกปฏิบัติ (ความไม่เท่าเทียมของผู้บริหาร ครูผู้สอน และนักเรียน) O = Obedience (กำรเชื่อฟัง) การสอนทางเดียวให้ผู้เรียนรับฟังเพียงอย่างเดียว ไม่ก่อให้เกิดการ ตั้งค าถาม หรือการปฏิสัมพันธ์ของผู้เรียน รวมถึงใช้อ านาจโดยไม่ชอบในการควบคุมหรือการลงโทษโดยไม่ค านึงถึง เหตุผลของผู้เรียน น าไปสู่ประเด็นปัญหาการล่วงละเมิดของครูผู้สอนในโรงเรียน O = Outdated (ควำมล้ำหลัง) ความล้าหลังของการจัดหลักสูตร/แนวคิด หรือตัวอย่างการ ตอบค าถามส าหรับวัดประเมินผลผู้เรียน L = Limited Lesson (ควำมจริงด้ำนเดียว) การให้ความจริงด้านเดียวกับผู้เรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิชาประวัติศาสตร์ที่มักสอนแบบปลูกฝังความเชื่อแบบไม่ส่งเสริมการตั้งค าถาม การคิดวิเคราะห์ การอภิปราย เพื่อให้เกิดการแยกแยะการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่มากมายในปัจจุบัน


41 การปรับแก้ปัญหา : 6 Key Shift คุณไอติม ได้น าเสนอ 6 Key Shift ที่จ าเป็นส าหรับการปรับการ จั ด ก า รศึกษ า เพื่ อแก้ไขปัญห า ดังกล่าวข้างต้นไว้ ดังนี้ Form Focus on “knowledge & information” Focus on “skills & competencies” ก า ร ปรับเปลี่ยนจากมุ่งเป้าหมายการจัดการศึกษาเพื่อสร้าง ความรู้และข้อมูลข่าวสารเป็นพัฒนาทักษะและ สมรรถนะ Form One-size-fits-all Personalized การปรับเปลี่ยนจากการออกแบบ การศึกษาเพื่อทุกคนเป็นออกแบบการศึกษาที่ส่งเสริม ความถนัดเฉพาะบุคคล Form Education “kills” learning Education “supports” learning ก า ร ป รั บ การศึกษาจากการท าลายการเรียนรู้สู่การศึกษาแบบ ส่งเสริม สนับสนุนการเรียนรู้ Form Academic development Holistic development การปรับการศึกษาจาก การพัฒนาผู้เรียนในด้านวิชาการต่าง ๆ เป็นพัฒนา ผู้เรียนอย่างเป็นองค์รวมในทุกมิติ ทั้งวิชาการและ วิชาชีวิต Form School as a “vacuum” School as a “Microcosm” การปรับเปลี่ยน โรงเรียนจากแบบสุญญากาศ มาสู่การเป็นภาพจ าลอง การฝึกฝนทักษะ และภาพจ าลองของสังคม Form Centralization Localization การปรับการศึกษาจากการรวม อ านาจเป็นกระจายอ านาจอย่างแท้จริงลงสู่เขตพื้นที่ และสถานศึกษา


42 การนำหลัก 6 Key Shift ไปสู่การปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ควรแบ่งการด าเนินงาน ออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 Retain กำรรักษำ หรือกำรประคับประคอง จากผลกระทบอันเกิดจากปัญหาโรคโควิด 19 ที่โรงเรียนไม่สามารถเปิดท าการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนได้ ดังนั้น ภาครัฐจึงควรประคับประคองการศึกษา ทั้งการจัดการศึกษาแบบออนไซต์และออนไลน์ การลดค่าใช้จ่ายทางการศึกษา การสนับสนุนด้านงบประมาณ ด้านการศึกษา และฝึกทักษะการสอนครูด้วยการจัดการเรียนการสอนให้กับเด็กที่หลุดหรือตามไม่ทันในช่วงการปิดเรียน เป็นต้น ระยะที่ 2 Recover กำรฟื้นฟูเด็กในแต่ละกลุ่ม การมีผู้ช่วยครู เครื่องมือ/วิธีการตรวจสอบเพื่อ ติดตามเด็กที่ไม่สามารถเรียนออนไลน์หรือไม่สามารถเข้ามาเรียนในระบบได้ หรือการเยียวยาช่วยเหลือด้วย วิธีการต่าง ๆ ระยะที่ 3 Remake กำรสร้ำงใหม่การวางแนวทางระบบการจัดการศึกษาทั้งด้านการคุ้มครองสิทธิ และสวัสดิการผู้เรียน การปฏิรูปหลักสูตร-การสอน-การประเมินผล การพัฒนาครู การปรับโครงสร้างของ กระทรวงศึกษาธิการ การกระจายอ านาจ – งบประมาณสู่ระดับพื้นที่และโรงเรียน มุ่งสร้างความก้าวหน้าให้ เกิดขึ้นกับโรงเรียนเพิ่มทางเลือกที่หลากหลายของผู้เรียนในการเข้ารับการศึกษา ท้ายที่สุด ได้กล่าวถึงบทบาทของเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และ STARTDEE แอปพลิเคชันด้านการศึกษาที่ เกิดขึ้นเพื่อเป็นช่องทางหนึ่งส าหรับ ผู้เรียน เปรียบเสมือนฟันเฟืองของ ทางเลือกระบบการศึกษา ที่ส่งเสริม ประเด็นการเข้าถึง การปรับน า Technology เข้าสู่กระบวนการจัด การศึกษา ทั้งตัวผู้เรียน ครูผู้สอน และใน ระดับโ รงเ รียน โดยส รุป บทบาทของเทคโนโลยีต่อการศึกษา ไว้ดังนี้ บทบาทของเทคโนโลยีต่อการศึกษา เทคโนโลยีมีบทบาทที่ส าคัญในระบบการศึกษาในการแทนที่ บางอาชีพ แต่ในการศึกษายังเชื่อว่าไม่อาจท าหน้าที่แทนครูผู้สอนได้ทั้งหมด จึงนิยามการมีส่วนร่วมของครูผู้สอน และเทคโนโลยี ซึ่งเปรียบเป็น Dream Team ทางการศึกษา โดยมี เทคโนโลยีเป็นกองหลัง และมีครูผู้สอนเป็น กองหน้า ดังนิยามค าศัพท์ TEACHER โดยก าหนดบทบาทเทคโนโลยีแบ่งเป็นตัวอักษร T E C H และ บทบาท ครูผู้สอนแบ่งเป็นตัวอักษร A E R ไว้ดังนี้


43 เทคโนโลยี T = Teaching resources (ทรัพยำกรกำรสอน) เทคโนโลยีช่วยแก้ปัญหาการขาด แคลนครูผู้สอน การขาดแคลนเวลา การสอน การแบ่งเบาภาระงานของ ครูผู้สอน และการเสริมสร้างการเรียนรู้ ทั้งในและนอกห้องเรียน E = Learning Experience (ประสบกำรณ์กำรเรียนรู้) การน าเสนอประสบการณ์การเรียนรู้ จากการเข้าถึงหลายช่องทาง และน าเสนอรูปแบบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่หลากหลายที่ตรงกับพฤติกรรม การเรียนรู้เฉพาะตัวของผู้เรียน เป็นการผสมผสานการเรียนรู้ทั้งรูปแบบ On Site และ Online ให้การเรียนรู้ สมบูรณ์ขึ้น C = Classroom Experience (กำรออกแบบห้องเรียน) เทคโนโลยีช่วยท าให้การจัด การเรียนการสอนในห้องเรียนสามารถด าเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การจัดการเรียนการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) โดยใช้เทคโนโลยีทางการศึกษากับการจัดกิจกรรมในห้องเรียนจากวีดีโอ การอ่านหนังสือล่วงหน้า การเรียนจากบทเรียนออนไลน์ ล่วงหน้านอกห้องเรียน ส่วนเวลาในห้องเรียนเป็นการปรับ สภาพแวดล้อมให้เหมาะสมด้วยกิจกรรมการเรียนที่ออกแบบไว้ให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติ โดยครูเป็นผู้ให้ค าแนะน า เพิ่มเติมแทนการจัดการเรียนในห้องเรียนแบบปกติ เป็นต้น H = Hand-made / personalized learning (เฉพำะบุคคล) ปรับการเรียนรู้ให้เข้ากับ ความต้องการและความถนัดของผู้เรียนเฉพาะบุคคล โดยผู้เรียนสามารถก าหนดเส้นทางการเรียนรู้ ล าดับการเรียนรู้ ความเร็วในการเรียนรู้ และความยากของเนื้อหาได้ตามความเหมาะสมและความต้องการของตนเอง ครูผู้สอน A = Adviser (ผู้ให้ค ำปรึกษำ) ครูเป็นผู้ให้ค าแนะน า การปรึกษาด้านต่าง ๆ ส่งเสริมการเรียนรู้ ชี้แนะการพัฒนาของตัวผู้เรียน E = Enabler / Facilitator (ผู้ อ ำ น ว ย ก ำ ร เ รี ย น รู้)


44 เปลี่ยนบทบาทจากครูหน้าห้องสู่ครูหลังห้อง เป็นผู้อ านวยการเรียนรู้ให้ผู้เรียนแทนการเป็นบทบาทหลักการน า ผู้เรียนไปในทิศทางนั้น ๆ R = Role Model (แบบอย่ำง) ครูเป็นแบบอย่างปลูกฝังค่านิยม แบบอย่างในสังคม (การไม่ ทุจริต และการเป็นพลเมืองที่ดี)


45 กิจกรรม KM ครั้งที่ 6 วันอังคารที่ 5 เมษายน 2565 หัวข้อ “ระบบนิเวศการเรียนรู้ กับ การเรียนรู้ตลอดชีวิต” โดย ดร.ชัยยศ อิ่มสุวรรณ์ อดีตรองเลขาธิการ ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา เนื้อหาของกิจกรรม แบ่งออกเป็น 2 ประเด็นส าคัญ ได้แก่ การให้ความรู้เรื่อง การถอดองค์ความรู้/ การถอดบทเรียน และ ความรู้เรื่องระบบนิเวศการเรียนรู้กับการศึกษาตลอดชีวิต มีรายละเอียดดังนี้ การถอดองค์ความรู้/ การถอดบทเรียน กำรถอดองค์ควำมรู้เป็นกระบวนทัศน์ในการแสวงหาความรู้ และความจริง ที่ใช้วิธีการในการท าความเข้าใจ รูปแบบของความรู้และความจริง เพื่อน ามาเป็นบทเรียน หรือข้อสรุปอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยใช้เทคนิคในการ เก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัย วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล ตีความ และสรุปเพื่อรวบรวมจัดท าเป็นองค์ความรู้ การถอดองค์ความรู้จึงนับว่าเป็นเครื่องมือและทักษะส าคัญที่จ าเป็นในการ “พัฒนางาน และพัฒนาคน” กำรถอดบทเรียน เป็นการทบทวนการปฏิบัติงาน แนวทางการปฏิบัติ รูปแบบการปฏิบัติงานของ หน่วยงานต่าง ๆ หรือตัวบุคคลที่เชี่ยวชาญต่องานที่ปฏิบัติ ท าความเข้าใจ การจัดการความรู้ต่าง ๆ สกัด สังเคราะห์ แก่นของเรื่องราว เพื่อรวบรวม จัดการข้อมูล ตีความ สร้างข้อสรุปเขียนรายงานเพื่อเผยแพร่ต่อไป ผ่านเทคนิค การถอดบทเรียน ได้แก่ AAR – After Action Review เป็นเทคนิคที่ใช้ในกระบวนการท างานเพื่อทบทวนท า ความเข้าใจงาน / กิจกรรมหลังปฏิบัติที่เพิ่งส าเร็จไป ทั้งด้านความส าเร็จ ปัญหาอุปสรรค ข้อผิดผลาด ในการค้นหา สาเหตุ สะท้อนที่มาของปัญหา ทบทวนกระบวนการต่าง ๆ น าบทเรียนที่ได้จากความส าเร็จและปัญหาที่เกิดขึ้นโดย


46 ไม่อิงอารมณ์ความรู้สึก ใช้การแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา มาจัดท าและพัฒนากระบวนการท างานให้เกิด ข้อสรุปแนวทางปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล OM – Outcome Mapping เป็นเทคนิคที่ใช้ผลการประเมินการท างานมาเป็นตัวก าหนด ประเด็นถอดบทเรียน เป็นการทบทวนแผนงานโครงการและเกณฑชี้วัดความก้าวหน้าโครงการ ใหเห็นความคาดหวัง และความจริงที่เกิดขึ้นตรงกัน วิเคราะห์เงื่อนไข ปัจจัยที่เกี่ยวของ หรือสาเหตุที่ท าให้เกิดปรากฏการณ์นั้น และ ก าหนดแนวทางท าต่อไปให้ดีขึ้น เป็นการเน้นการทบทวนงาน หรือ โครงการ Retrospectiveเป็นเทคนิคเน้นการถอดบทเรียน ระดับโครงการ มุ่งเน้น 5 ค าถาม เพื่อถอดบทเรียน 1) โครงการนี้คืออะไร มีเป้าหมายอย่างไร อะไรคือความคาดหวังของโครงการ 2) เกิดปรากฏการณ์อะไรขึ้น มีความเกี่ยวข้อง กับโครงการนี้อย่างไร 3) อะไรคือสาเหตุ หรือมีแรงจูงใจอะไรที่ท าให้เกิดเหตุนี้ขึ้น 4) ปรากฏการณ์นี้ส่งผลกระทบ อะไรกับงานหรือโครงการที่ก าลังด าเนินอยู่ 5) ได้เรียนรู้อะไร กับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการถอดบทเรียนในภาพรวมของ โครงการ เทคนิคนี้เหมาะกับโครงการที่เสร็จสิ้นแล้ว PM – Performance Measurement เป็นเทคนิคการประเมินโครงการ ซึ่งมีหลายเทคนิค / วิธีการ แล้วแต่จะเลือกใช้วิธีการใด แต่ที่นิยมใช้จะเป็นการประเมินแบบ CIPP Model ประกอบด้วย ✓ Context ประเมินบริบทสภาพแวดล้อมที่น ามาสู่การจัดท าโครงการ ✓ Input ประเมินปัจจัยป้อนต่าง ๆ ที่จะน าเข้าสู่การด าเนินโครงการ ✓ Process ประเมินกระบวนการด าเนินงาน เป็นระยะ ๆ เพื่อปรับปรุงแก้ไข ✓ Product ประเมินผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการด าเนินโครงการ โดยความรู้และความจริง แบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ ควำมรู้แบบชัดแจ้ง หรือ Explicit Knowledge เป็นความรู้ที่จับต้องได้ มีทฤษฎี หลักการ กฎเกณฑ์ รองรับ สามารถอธิบายความเป็นมาในเชิงเหตุผลได้ รวมถึงความรู้ที่อธิบายได้แต่ยังไม่มีการบันทึก หรือยอมรับว่า เป็นความรู้ในปัจจุบัน ควำมรู้แบบฝังลึก หรือ Tacit Knowledge เป็นความรู้ประเภทภูมิปัญญา เคล็ดวิชา ประสบการณ์ ความช านาญเฉพาะตัว ซึ่งต้องอาศัยการจัดการความรู้ มีการน าความรู้มาผสมผสานให้เกิดรูปแบบที่เป็นรูปธรรม หรือเป็นทักษะ ประสบการณ์ ความช านาญส่วนบุคคลของผู้มีความรู้ ปราชญ์ชาวบ้าน ครูภูมิปัญญา ที่ต้องอาศัย กระบวนการจัดการความรู้ การถอดองค์ความรู้ เพื่อสกัดชุดความรู้ออกมาสร้างรูปแบบการน าเสนอความรู้วิธีการ จัดการความรู้ โดยมีการถอดองค์ความรู้/การถอดบทเรียน ซึ่งเป็นรูปหนึ่งของการจัดการความรู้ที่มีอยู่ทั่วไป อย่างเป็นระบบ ประกอบด้วย Socialization เป็นการการถ่ายทอดความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) ระหว่างคนกับคน การแบ่งปัน การแลกเปลี่ยน และ/หรือการสืบทอดความรู้จากรุ่นสู่รุ่น


47 Externalization เป็นการส่งออกความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) ของคนไปเป็นความรู้ ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) แปลงความรู้ผ่านสื่อ หรือการบันทึกในลักษณะต่าง ๆ Combination เป็นการถ่ายโอนแบบความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) ผ่านการ เชื่อมโยงความรู้ระหว่างสื่อกับสื่อ Internalization เป็นการรับเข้าความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) จากสื่อต่าง ๆ มาเป็น ความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) ที่ฝังอยู่ในตัวอีกครั้ง โดยการจะได้มาซึ่งความรู้นั้นต้องอาศัยเทคนิคและวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ กำรสัมภำษณ์เชิงลึก เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลในรูปแบบการสัมภาษณ์ที่มีการวางโครงสร้าง กรอบแนวทางในการสัมภาษณ์ มีจุดมุ่งหมายในการสอบถามความคิดเห็น เหตุผล มุมมอง ปรากฏการณ์ เหตุการณ์ ความเป็นมาที่เกิดขึ้นจริงหรือผู้ถูกสัมภาษณ์เป็นผู้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ดังกล่าว ที่อาศัยการสร้างสภาพแวดล้อมที่ ดีในการสัมภาษณ์ และการหลีกเลี่ยงในประเด็นที่มีความอ่อนไหว หรือเปราะบาง สุ่มเสี่ยงต่อการสัมภาษณ์ อาศัย การเตรียมความพร้อมแนวทางข้อค าถาม เครื่องมือบันทึก และผู้ร่วมช่วยบันทึก เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลที่มี ข้อจ ากัดทางด้านเวลา การเลือกเป้าหมาย ทักษะทฤษฎีหน้ากากในการเข้าหากัน และการตรวจสอบข้อมูลซ้ าเพื่อ ค้นหาความเที่ยง ความน่าเชื่อถือ กำรสังเกต เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลในรูปแบบของการเฝ้าดู สังเกตการณ์ ศึกษาพฤติกรรม ลักษณะ ที่ปรากฏต่าง ๆ ซึ่งแบ่งออกเป็น การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม ที่อาศัยการจดบันทึก สังเกตเหตุการณ์จากมุมมอง ของคนนอก หรือ การสังเกตแบบมีส่วนร่วม ที่ผู้เก็บรวบรวมข้อมูลเข้าไปร่วมสังเกตุในปรากฏการณ์ มีส่วนร่วมใน กิจกรรมนั้น ๆ เพื่อศึกษาทั้งแบบแผนกิจกรรม ความหมายต่าง ๆ ของการแสดงออกของพฤติกรรมและการกระท า ที่ต้องการศึกษารวบรวมข้อมูล กำรสนทนำกลุ่ม เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลที่อาศัยหลักส าคัญของผู้เข้าร่วมสนทนาทุกคนควรมี ภูมิหลังคล้ายกัน มีสิ่งร่วมทั้งทัศนคติ แนวคิดที่ไม่เกิดความขัดแย้งหรือความเห็นต่าง เป็นการเก็บข้อมูลของกลุ่มที่มี ปัญหา หรือประสบการณ์เดียวกันในการแลกเปลี่ยนข้อมูล โดยประเด็นสนทนาในรูปแบบทั่วไปไม่ควรเจาะจงลึก ถึงเรื่องส่วนตัวของผู้ร่วมสนทนา มีการจัดบรรยากาศการสนทนาที่ดี เป็นกันเอง และผู้เก็บข้อมูลต้องมีทักษะ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี กำรศึกษำเอกสำร เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร ทั้งเอกสารส่วนบุคคล เอกสารทางการ ภาพถ่าย ลักษณะสัญลักษณ์ ที่มีความหมายสอดคล้องต่อสิ่งต่าง ๆ ที่ท าการศึกษา โดยผู้เก็บรวบรวมข้อมูลจะต้องมี ทักษะการแยกแยะชุดข้อมูล และมีความเข้าใจในข้อมูลปฐมภูมิและข้อมูลทุติยภูมิ


48 หลังจากรวบรวมข้อมูลผ่านเทคนิควิธีการรวบรวมต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับรูปแบบการน าข้อมูลไปใช้แล้ว ต้องด าเนินการต่อไปนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้และความจริง จากการถอดองค์ความรู้/ถอดบทเรียน คือ (1) รวบรวม ข้อมูลทั้งหมด (2) ด าเนินการจัดหมวดหมู่ กลุ่ม ประเภท (3) ตรวจสอบข้อมูล (4) สกัดแก่นของเรื่องที่ต้องการรู้ (5) วิเคราะห์ สังเคราะห์ และตีความข้อมูล (6) สร้างข้อสรุป และ (7) เขียนรายงาน ระบบนิเวศการเรียนรู้กับการศึกษาตลอดชีวิต การปฏิรูปการศึกษาในยุคสมัยสังคม VUCA World ที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงผันผวนอย่างรวดเร็ว และการ มาถึงของยุคสมัยโลกดิจิทัล หรือ Digital World ที่ทั้งโลกเกิดการ Disruption ด้วย Digital นวัตกรรม หรือ เทคโนโลยีใหม่ ๆ ส่งผลต่อวิถีชีวิต รูปแบบการรับข้อมูลข่าวที่หลากหลายช่องทางผ่านสิ่งต่าง ๆ มากมายที่เชื่อมต่อ กับอินเทอร์เน็ต หรือ Internet Of Things ซึ่งบทบาทของการศึกษาที่เหมาะสมในการจัดการศึกษาต้องทบทวนถึง ปัจจัยและปัญหาต่าง ๆ ให้ครอบคลุมที่ส่งผลต่อการศึกษาในยุคปัจจุบัน อาทิปัญหาด้านโครงสร้างประชากร (Population Structure) ปัญหาการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ปัญหาการเพิ่มจ านวนประชากรกลุ่ม NEETs (Not in Education, Employment or Training) ปัญหาการถูก Lay off และการมาถึงของ AI ในระบบอุตสาหกรรม การแทนที่ก าลังแรงงานในบางอาชีพ ดังนั้น เมื่อ “การศึกษาแบบเดิมก าลังถูกสั่นคลอน และมีข้อกังขา” การค านึงถึงสภาพ ปัญหา และปัจจัย ต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์ว่า การศึกษาในปัจจุบันรองรับการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ แล้วในอนาคตจ าเป็นต้องป รับ มุ่งการพัฒนาสมรรถนะเหล่านี้ให้เกิดขึ้นในตัวบุคคลเพิ่มมากขึ้น ด้ำนกำรปลูกฝัง (สมรรถนะคนในอนำคต) ได้แก่ ทักษะส าคัญทางเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Skill) ความสามารถในการผลิต (Productive) บุคคลที่มีความสามารถที่หลากหลาย (Multi-Purpose) การท างานและ การอยู่ร่วมกัน (Live and Work Together) ทักษะความสามารถปฏิบัติงานที่หลากหลาย (Diverse and Complicate Operate) และ สมรรถนะต่อ “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” (Lifelong Learning)


49 โดย สมรรถนะที่ส าคัญที่สุด ต่อการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลก และ การมาถึงของสังคมผู้สูงอายุ คือ สมรรถนะต่อ “กำรเรียนรู้ตลอดชีวิต” (Lifelong Learning) ในอนาคต การศึกษาจะยังคงมีบทบาทอยู่บ้าง โดยเฉพาะการศึกษาขั้นพื้นฐานที่รัฐรับผิดชอบ ในขณะที่การเรียนรู้จะ ทวีความส าคัญมากขึ้น และเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งขึ้นอยู่กับความต้องการในการเรียนรู้ที่ถูกปลุกขึ้นด้วยความ อยากรู้อยากเห็นที่ไม่ถูกปิดกั้นด้วยระบบเดิม ๆ ซึ่งการพัฒนาทักษะ Lifelong Learning นั้น สามารถพัฒนาด้วย การปรับเปลี่ยน/สร้างแนวความคิดประกอบกับสังคมที่สร้างระบบนิเวศน์การเรียนรู้ที่เข้มแข็งที่จะส่งเสริม การเรียนรู้อย่างกว้างขวาง น าไปสู่ 4 เทคนิคสร้างทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต คือ กำรสร้ำง Growth Mindset กระตุ้นส่งเสริมการเรียนอย่างมีความสุขสนุกต่อการเรียนรู้ สร้างวัฒนาธรรมการเรียนรู้ให้เกิดขึ้น (สงสัย ไต่ถาม ค้นคว้า หาค าตอบ สร้างข้อสรุป) กำรจัดกำรเรียนกำรสอนในรูปแบบ Active Learning สู่การตั้งค าถาม แสวงหาค าตอบ ด้วยวิธีที่หลากหลาย กำรพัฒนำ Self – Determination หรือ ก าหนดแนวทาง เป้าหมาย วางแผนการพัฒนา ทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง ปรับความเร็วการเรียนรู้ให้เหมาะสมต่อตัวบุคคล ประเมินตนเองสม่ าเสมอ และศึกษา หาความรู้เพิ่มเติมจากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น บุคคล ชุมชน แหล่งเรียนรู้ ช่องทางทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน กำรสร้ำงสภำพแวดล้อมที่เอื้อต่อกำรเรียนรู้ หรือ “ระบบนิเวศกำรเรียนรู้” โดยระบบนิเวศ การเรียนรู้ที่สามารถพบเห็นทั่วไป ประยุกต์บูรณาการกับองค์ความรู้เพื่อต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ ทัศนคติ แนวความคิดใหม่ ๆ หรือสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ 4 มิติที่คลอบคลุม ได้แก่ แหล่งเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ พื้นที่ การเรียนรู้ และ บุคคลแห่งการเรียนรู้ (ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ผู้ที่มีความรู้) ด้ำนค่ำนิยม ชื่อเสียง (Brand) หรือวุฒิการศึกษามีแนวโน้มไม่ใช่สิ่งที่จ าเป็นในอนาคต หากแต่เป็น ทักษะ ความสามารถในการปฏิบัติ การสร้างสรรค์ผลงาน หรือจุดเด่นการประยุกต์ใช้ความรู้สู่การสร้างนวัตกรรม ในการเข้ารับการศึกษาในโรงเรียน คณะ หรือมหาวิทยาลัยชื่อดัง ด้ำนหลักสูตร หลักสูตรกำรศึกษำ การก าหนดเนื้อหาสาระ มุ่งเน้นความหลากหลายมากขึ้น การเพิ่ม ชั่วโมงการเรียนในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวไม่สอดคล้อง หรือไม่เพียงพอต่อคุณภาพของผู้เรียนในระดับมาตรฐาน การศึกษา ด้ำนควำมฉลำดกำรรับรู้กำรรับรู้ แยกแยะ หรือกำรตัดสินเลือกรับข้อมูลข่ำวสำร หรือองค์ควำมรู้ เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนให้เกิดภูมิต้านทาน แยกแยะสิ่งที่จ าเป็นหรือถูกต้อง เพื่อปรับใช้ องค์ความรู้นั้น ๆ ในการด าเนินชีวิตในสังคมต่อไป


50 Mega Project ที่ส่งเสริมกำรเรียนรู้ ตลอดชีวิตตอบโจทย์กำรเปลี่ยนแปลง ต้องเป็น Project ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ ตลอดชีวิต ช่วยออกแบบการเรียนรู้ ช่วยรองรับ เตรียมความพร้อมสู่การศึกษาในอนาคต การเปลี่ยน รูปแบบการศึกษาให้เกิดความหลากหลายกว้างขวาง เหมาะสมในบริบทยุคสมัย และตัวบุคคล ตัวอย่าง ดังเช่น Learning Credit: แน ว คิ ด การสะสม Credit จากการเรียนในหลักสูตรหรือ course ต่าง ๆ Learning Credit Bank System: การสะสมหน่วยกิต ถ่ายโอน หรือการ เปลี่ยนสถานศึกษาที่รองรับหลักสูตรที่มีมาตรฐาน เดียวกัน ใช้หน่วยกิตวิชาเดียวกัน Life & Learn Counselling Center / Hot Line: ที่ปรึกษาแนะแนวของผู้เรียน หรือ การมีช่องทางติดต่อให้ค าปรึกษาด้านการศึกษาของผู้เรียน หรือบุคคลที่สนใจ Learning City: การจัดแหล่งการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นในพื้นที่แวดล้อม หรือแหล่งเรียนรู้โดยรอบ Learning Mapping: การน าเสนอแหล่งเรียนรู้ผ่านช่องทางภาพรวมทั้ง แผนที่ แอปพลิเคชัน ให้เกิดการปักหมุดอธิบายลักษณะแหล่งเรียนรู้ เพิ่มช่องทางการเข้าถึงของผู้เรียน หรือบุคคลโดยรอบ เป็นต้น


51 กิจกรรม KM ครั้งที่ 7 วันพุธที่ 20 เมษายน 2565 หัวข้อ “ระบบนิเวศการเรียนรู้ กับ การเรียนรู้ตลอดชีวิต” ศึกษาดูงานศูนย์เรียนรู้ป่าในกรุง โดยสถาบันปลูกป่าและระบบนิเวศ ปตท. การศึกษาดูงานที่ศูนย์การเรียนรู้ป่าในกรุง โดยสถาบันปลูกป่าและระบบนิเวศ ปตท. เพื่อเป็น แนวทางปรับใช้สู่การพัฒนางาน พัฒนาคน รองรับการพัฒนาเปลี่ยนเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้เรียนรู้ที่ยึดหลัก ธรรมาภิบาล ตลอดจนเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ของส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษาในการเป็นองค์กรน าขับเคลื่อน การศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ ซึ่งแบ่งประเด็นการเยี่ยมชมศึกษาดูงานการจัดระบบนิเวศ การเรียนรู้ (Learning Ecosystem) “ศูนย์การเรียนรู้ป่ากลางกรุง” น าเสนอประกอบด้วย 3 ส่วนส าคัญ ดังนี้ 1) จุดมุ่งหมายของการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้2) แนวทางการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้และ 3) ปัจจัยความส าเร็จของ ศูนย์การเรียนรู้ฯ รายละเอียดดังนี้ จุดมุ่งหมายของการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ “ศูนย์กำรเรียนรู้ป่ำในกรุง” พื้นที่การเรียนรู้ระบบนิเวศใจกลางกรุง (แหล่งเรียนรู้ป่านิเวศ และปอดแห่งใหม่ ของคนเมือง) ที่มุ่งการพัฒนาสร้างป่านิเวศ ขยายพื้นที่สีเขียวเกิดขึ้นในเขตเมือง ภายใต้แนวทางการส่งเสริม การปลูกป่าตามวิถีของกลุ่มปตท. หรือ “PTT Green in the City”และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งหวังให้ เป็นแหล่งเรียนรู้ระบบนิเวศและแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติที่มีการบูรณาการพื้นที่การเรียนรู้ให้เป็นสถานที่เล่น ตามแนวคิด “play and learn” จัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ที่ออกแบบให้สามารถเข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย เพื่อให้ “คนอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อม” ได้อย่างมีความสุข


52 แนวทางการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ ศูนย์เรียนรู้ป่าในกรุง เป็นการพัฒนาพื้นที่ สีเขียวให้เกิดขึ้นในเขตเมือง ภายใต้แนวทาง การส่งเสริมเรียนรู้ เรื่องการปลูกป่าตามวิถี ของกลุ่ม ปตท. หรือ “PTT Green in the City” หรือ ศูนย์ การเรียนรู้ป่าในกรุงฯ” พื้นที่กว่า 12 ไร่เศษ บนถนน สุขาภิบาล 2 กรุงเทพมหานครนั้น มีการออกแบบ จากองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการลงมือปลูกป่า ทั่วประเทศไทยแล้วกว่า 1 ล้านไร่ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 โดยพื้นที่ศูนย์การเรียนรู้ มีการแบ่งสัดส่วน การใช้พื้นที่แบบผสมผสาน เป็นพื้นที่ป่า 75% พื้นที่น้ า 10% และพื้นที่เพื่อการใช้งาน 15% เน้นการ ออกแบบอาคารหลักที่กลมกลืนไปกับสิ่งแวดล้อม สร้างขึ้นบนแนวคิด 3 เสาหลัก คือ (1) ทฤษฎีการ พัฒนาฟื้นฟูป่าไม้อันเนื่องมาจากพระราชด าริฯ ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 (2) การด าเนินธุรกิจควบคู่กับการดูแล ชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อมของ ปตท. และ (3) แนวคิดการด ารงไว้ซึ่งสภาพตามธรรมชาติ ตามหลักการปลูกป่าของศาสตราจารย์ ดร. อาคิระ มิยาวากิ ทฤษฎีกำรพัฒนำฟื้นฟูป่ำไม้อันเนื่องมำจำกพระรำชด ำริฯ ของพระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวรัชกำลที่ 9 ว่าด้วย ป่าไม้ของประเทศไทยถูกท าลายลงอย่างรวดเร็วแปรผันตามแรงหนุนเนื่องของประชากรที่เพิ่มขึ้นผนวกกับ พลังผลักดันทางเศรษฐกิจระบบทุนนิยมเสรีที่มุ่งค้าขาย โดยใช้ป่าเป็นตัวส าคัญเชิงพาณิชย์ ก่อให้เกิดภาวะการณ์ต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน เช่น ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ภาวะแห้งแล้ง น้ าท่วมฉับพลัน และการพังทลายของ หน้าดินอย่างรุนแรง เป็นต้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว โดยเฉพาะเรื่องป่าไม้ เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงห่วงใยเป็นอย่างมากตั้งแต่เริ่มเสด็จเถลิงถวัลย์สิริราชสมบัติ จึงทรงให้แนวพระราชด าริด้าน ป่าไม้ อาทิ การศึกษาป่าไม้สาธิต การสร้างความตระหนักให้มีความรักป่าไม้ด้วยจิตส านึกร่วมกัน ทฤษฎีการปลูกป่า โดยไม่ต้องปลูกตามหลักการฟื้นฟูสภาพป่าด้วยวัฏธรรมชาติ การปลูกป่าทดแทนหมุนเวียน เป็นต้น


53 กำรด ำเนินธุรกิจควบคู่กับกำรดูแล ชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อมของ ปตท. ปตท. รับอาสาปลูกป่าเพื่อ เฉลิมพระเกียรติ จ านวน 1 ล้านไร่ จาก 5 ล้านไร่ในโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระบรม ชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวโรกาสทรงครองราชย์ปีที่ 50 ของรัฐบาล เพื่อฟื้นฟู พื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุกท าลาย โดยมีพื้นที่ เป้าหมาย กระจายอยู่ทุกภูมิภาคของประเทศ ตั้งแต่พื้นที่ป่าดิบ เขาบนภูเขาสูงในภาคเหนือ ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ บนที่ราบสูงกว้างใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ป่าดิบลุ่มต่ าในภาคกลาง และภาคตะวันออก จนถึงป่าพรุและป่าชายเลนสองฝั่งทะเลในภาคใต้ แนวคิดกำรด ำรงไว้ซึ่งสภำพตำม ธรรมชำติ ตำมหลักกำรปลูกป่ำของศำสตรำจำรย์ ดร. อำคิระ มิยำวำกิหลักการสร้างป่าธรรมชาติดั้งเดิม ด้วยพันธุ์ไม้ธรรมชาติดั้งเดิม หรือ Building Native forest of Native trees เป็นการปลูกป่าเชิงสัญลักษณ์ให้กับ คนกรุงเทพฯ อันเป็นแนวคิดของศาสตราจารย์ ดร.อาคิระ มิยาวากิ ที่เชื่อว่า “การจัดการที่ดีที่สุด คือ การปล่อยให้ ป่าจัดการตัวเอง” โดยเน้นการปลูกป่าเลียนแบบโครงสร้างป่าในธรรมชาติ ด้วยพรรณไม้พื้นเมืองหรือพรรณไม้ ท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น ไม้ยืนต้น ไม้พุ่ม และไม้คลุมดินคละชนิดกัน เพื่อให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพและท าให้ พื้นที่สีเขียวของป่ากลับมาอีกครั้ง ในระยะเวลาที่รวดเร็วกว่าวิธีอื่น ๆ สูงสุดมากถึง 10 เท่า ปัจจัยความสำเร็จของศูนย์การเรียนรู้ฯ เมื่อวิเคราะห์ตามปัจจัยที่เอื้อต่อการจัดระบบนิเวศการเรียนรู้ พบว่า ศูนย์การเรียนรู้ฯ มีการพัฒนา ที่ครอบคลุมทั้ง 6 ปัจจัย โดย (1) ด้ำนกำรเปลี่ยนกรอบควำมคิด ศูนย์การเรียนรู้ฯ พัฒนาการเรียนรู้ตามหลักการ 3 ประการ คือ Play Learn และการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (2) ด้ำนควำมพร้อมของบุคลำกร/องค์กร ศูนย์การ เรียนรู้ฯ มีการออกแบบโครงสร้างการบริหารที่ครอบคลุมในทุกมิติของศูนย์ฯ (3) ด้ำนสิ่งแวดล้อม/เทคโนโลยี ยุคใหม่ มีการน าเทคโนโลยีดิจิทัลเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์องค์ความรู้ พัฒนาระบบการจัดเก็บข้อมูล ตลอดจนสถิติ ฐานข้อมูลพืชพรรณป่าไม้และสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ (4) วิธี/ เนื้อหำกำรเรียนรู้ของศูนย์ฯ เกี่ยวข้องกับ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีการออกแบบให้หลากหลาย สอดคล้องกับความสนใจของทุกกลุ่มเป้าหมาย (5) ด้ำนวัฒนธรรมกำรเรียนรู้/ยุทธศำสตร์กำรมีส่วนร่วม มีการส่งเสริมอาชีพผ่านวิสาหกิจชุมชน การสร้างกิจกรรม ความร่วมมือ การจัดเลี้ยง การพัฒนาสินค้าชุมชน ควบคู่ไปกับการเปิดพื้นที่เรียนรู้นิเวศในชุมชน (6) ด้ำนควำมยืดหยุ่น และทำงเลือกที่หลำกหลำย ศูนย์ฯ มีแนวคิดว่า การปลูกป่าสามารถท าได้ทุกที่และทุกคนสามารถมีส่วนร่วมปลูกป่า ในพื้นที่ของตนเองได้โดยเริ่มต้นจากพืชพื้นถิ่นและพืชดั้งเดิม และการดูแลป่าที่ดีที่สุดคือ การปล่อยให้ป่าจัดการ ตนเอง


54 การบริหารจัดการศูนย์เรียนรู้ป่าในกรุง ใช้หลัก “TSEED” (Tourism, Social, Education, Environment, Digital) ในการบริหารจัดการศูนย์ ดังนี้ Tourism ด้ำนกำรท่องเที่ยวเชิงนิเวศ บริการเรียนรู้ตามความสนใจเฉพาะกลุ่ม และสร้างความตระหนัก ด้านสิ่งแวดล้อมแก่ผู้เยี่ยมชม Social ด้ำนสังคมชุมชน ส่งเสริมอาชีพผ่านวิสาหกิจชุมชน การจัดเลี้ยงและสินค้าชุมชน เพื่อสร้าง ความเป็นอยู่ที่ดีแก่ชุมชนโดยรอบ เช่น โครงการครัวชุมชน: ส่งเสริมอาชีพ และเป็นส่วนหนึ่งในการกระจายรายได้ สู่ชุมชนที่ก าลังประสบผลกระทบในช่วงที่การระบาดของ Covid-19 ทั้งกลุ่มชุมชนเครือข่าย และร้านอาหารบริเวณ


55 รอบศูนย์เรียนรู้ป่าในกรุง ในการ เผยแพร่วัฒนธรรมผ่านสินค้ า อาหาร และเครื่องดื่ม รวมถึงมี ส่วนช่วยในการพัฒนาทักษะการ จัดท าอาหารและเครื่องดื่มที่มี คุณภาพเพื่อรองรับกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในศูนย์เรียนรู้ฯ Education ด้ ำ น กำรศึกษำ พัฒนา รวบรวม และ ถ่ายทอดองค์ความรู้ และงาน วิชาการต่าง ๆ เช่น กิจกรรม ส่งเสริมการเรียนรู้ เป็นการเรียนรู้ ผ่ า น กิ จ ก ร ร ม ที่ อ อ ก แ บ บ ใ ห้ สามารถเข้าถึงได้ทุกเพศ ทุกวัย โดยน าข้อมูลที่มาถ่ายทอดผ่าน อุปกรณ์เกมที่ถูกจัดไว้ตามซุ้มต่าง ๆ ภายในงาน Environment ด้ ำน สิ่งแวดล้อม อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการสิ่งแวดล้อม และเพิ่มพื้นที่สีเขียว เช่น การวางแผนพัฒนา ปรับปรุงพื้นที่สีเขียวภายในศูนย์เรียนรู้ให้เหมาะสมต่อการใช้งานเป็นแหล่งเรียนรู้ด้าน สิ่งแวดล้อมส าหรับผู้เยี่ยมชม ตลอดจนพื้นที่สีเขียวบริเวณชุมชนโดยรอบและเครือข่ายของศูนย์เรียนรู้ให้เป็นพื้นที่ ต้นแบบส าหรับการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมือง Digital ด้ำนเทคโนโลยีดิจิทัล เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บข้อมูลและเผยแพร่ด้วยระบบเทคโนโลยี สารสนเทศ เช่น การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ของศูนย์การเรียนรู้ป่าในกรุง


56 กิจกรรม KM ครั้งที่ 8 วันศุกร์ที่ 22 เมษายน 2565 หัวข้อ “ระบบนิเวศการเรียนรู้ กับ การเรียนรู้ตลอดชีวิต” ศึกษาดูงานศูนย์การเรียนรู้กฟผ. ส านักงานกลาง (EGAT Learning Center) การลงพื้นที่และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ศูนย์การเรียนรู้กฟผ. “EGAT Learning Center” ภายใต้ สโลแกน “ศูนย์การเรียนรู้ด้านพลังงานไฟฟ้าที่จุดประกายแสงแห่งความคิดสร้างสรรค์ เสริมสร้างการเรียนรู้ อย่างสนุกสนาน ผจญภัยในโลกพลังงานไฟฟ้า” เนื้อหาของการศึกษาดูงานฯ ประกอบด้วย 3 ส่วนส าคัญ ได้แก่ (1) จุดมุ่งหมายของการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ (2) แนวทางการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ และ (3) วิเคราะห์ปัจจัย ความส าเร็จของศูนย์การเรียนรู้ฯ จุดมุ่งหมายของการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ส านักงานกลาง หรือ EGAT Learning Center มีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ด้าน การผลิตไฟฟ้าที่ค านึงถึงชุมชนและสิ่งแวดล้อม การเป็นแหล่งพลังงาน ของประเทศไทยและของโลกตั้งแต่อดีตปัจจุบันและอนาคต ตลอดจน เป็นต้นแบบการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ด้านอาคารอนุรักษ์พลังงาน มาตรฐานระดับนานาชาติเพื่อประโยชน์สูงสุดคืนสู่สังคมและการเป็น ส่วนหนึ่งของ กฟผ. ในการร่วมสร้าง “สังคมแห่งภูมิปัญญาด้าน พลังงาน” ทั้งประวัติการคิดค้นกระแสไฟฟ้า รูปแบบการน าพลังงานมา ใช้ประโยชน์ นวัตกรรมการผลิตพลังงาน โรงไฟฟ้าชนิดต่าง ๆ ความส าคัญของการใช้พลังงาน และการอาศัยอยู่ร่วมกันที่เป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อม ผ่านการจัดแสดงในพื้นที่ จ านวน 7 โซน


57 แนวทางการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ จุดเด่นอยู่ที่การพัฒนาพื้นที่ให้กลายเป็นปอดของ ชุมชนและเหมาะส าหรับการพักผ่อนหย่อนใจ เป็นแหล่ง เรียนรู้ด้านพลังงานใหม่ ๆ ส าหรับประชาชน โดยศูนย์ การเรียนรู้ฯ ออกแบบอาคารด้วยหลักการ Learning in the park หรือ การเรียนรู้ท่ามกลางธรรมชาติ ตัวอาคาร ได้รับแรงบันดาลใจจากเส้นสายพลังธรรมชาติซึ่งน าผลิต เป็นกระแสไฟฟ้า ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ า และพลังงานความร้อน มีการน าเส้นโค้ง 2 เส้น ประสานกันเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนพลังงานไม่มีที่สิ้นสุด ผ่านแนวคิด ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) การใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับใช้ต่อความต้องการด้านพลังงาน ของผู้บริโภค สู่ชีวิตสมดุลที่ตอบสนองการเพิ่มจ านวน ประชากรและการย้ายถิ่นฐานเข้าสู่บริเวณเมือง ซึ่งเรียกว่า “Urbanization” การจัดการเมืองแห่งอนาคตประกอบด้วย การออกแบบเมืองอย่างชาญฉลาด ระบบไฟฟ้าแห่งอนาคต สิ่งปลูกสร้างแห่งอนาคต และระบบขนส่ง “SMART GRID” ร ะบบโค ร งข่ ำยไฟฟ้ ำ อัจฉริยะ เป็นการน าเทคโนโลยีหลายประเภทเข้ามาท างาน ร่วมกัน ซึ่งครอบคลุมการประยุกต์เทคโนโลยีร่วมกับห่วงโซ่ ของระบบไฟฟ้า เริ่มตั้งแต่การผลิตไฟฟ้า การส่งไฟฟ้า การจ าหน่ายไฟฟ้า ไปจนถึงผู้บริโภคได้อย่างชาญฉลาด ผ่านการสื่อสารในการเก็บข้อมูล และท าการสั่งการควบคุม โครงข่ายไฟฟ้าโดยใช้ข้อมูลดังกล่าวในการตัดสินใจ โดยประโยชน์ของ สมาร์ทกริด ที่ส่งผลต่อระบบด้านต่าง ๆ เช่น ด้านระบบไฟฟ้า ด้านบริการ ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม และด้านพลังงานเพื่อวิถีชีวิตคนเมือง


58 ตลอดจนการอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้าและบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าในอนาคต (DSM for Future) ด้วย “กลยุทธ์ 3อ” ได้แก่ (1) อุปนิสัยเพื่ออนำคตต่อกำรใช้ พลังงำนไฟฟ้ำ เป็นการปลูกจิตส านึกและอุปนิสัยให้ คนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนไทย ใช้พลังงาน อย่างมีประสิทธิภาพ โดย กฟผ. ได้มีการน าร่อง จัดท าโครงการต่าง ๆ ทั่วประเทศกว่า 420 โรงเรียน จัดท าฐานการเรียนรู้ ฐานกิจกรรม และการ สอดแทรกแบบฝึกหัดเกี่ยวกับการใช้พลังงานอย่างมี ประสิทธิภาพเข้าไปในบทเรียน เพื่อเสริมสร้าง ทัศนคติให้กับเยาวชน และให้ผลการด าเนิน โครงการประสบผลส าเร็จสามารถขยายผลไปยัง ชุมชน (2) อุปกรณ์ไฟฟ้ำเพื่ออนำคตที่ ประหยัดพลังงำน และจัดกำรไฟฟ้ำอย่ำงมี ประสิทธิภำพ เป็นการส่งเสริมให้ทุกครัวเรือนเปลี่ยน มาใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง ประหยัดไฟ กฟผ. จึงได้ด าเนินโครงการ “ฉลากประหยัดไฟฟ้า เบอร์ 5 หรือ ฉลากเบอร์ 5” มุ่งส่งเสริมให้ผู้ผลิต เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพการประหยัดพลังงาน (3) อำคำรเพื่ออนำคตที่ออกแบบให้เป็นอำคำรประหยัดพลังงำน เป็นการส่งเสริมให้ ผู้ประกอบการภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม เห็นความส าคัญและพร้อมใจกันใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟฟ้าที่มี ประสิทธิภาพสูง เช่นเดียวกับกลุ่มภาคที่อยู่อาศัยพร้อมไปกับการใช้มาตรการต่าง ๆ ที่เป็นการประหยัดไฟฟ้า ได้แก่ การบริหารการใช้ไฟฟ้า การปรับปรุงระบบป้องกันความร้อนเข้าสู่อาคาร การใช้ระบบปรับอากาศประสิทธิภาพสูง การปรับปรุงระบบแสงสว่าง และการจัดการอบรมให้ความรู้ด้านการใช้พลังงานอย่างถูกต้องผ่านการสร้างและ ออกแบบ “EGAT Learning Center” ศูนย์การเรียนรู้ด้านพลังงานสุดล้ าสมัยที่ได้รับรางวัลการออกแบบอาคาร และภูมิทัศน์ตามมาตรฐานของอาคารเขียว (Green Building) มาตรฐาน LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) ในระดับ Platinum ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับสากลจากประเทศสหรัฐอเมริกา ผสานกับ แนวคิด “Learning in Park” ซึ่งให้ความส าคัญต่อภูมิสถาปัตยกรรมการออกแบบอาคาร โดยให้ความส าคัญต่อ


59 สิ่งแวดล้อม ได้แก่ (1) การใช้น้ าอย่างมีประสิทธิภาพ (2) การใช้ประโยชน์จากสถานที่ตั้งอย่างยั่งยืน (3) วัสดุและ ทรัพยากร (4) คุณภาพสภาพแวดล้อมภายในอาคาร (5) พลังงานและบรรยากาศ (6) นวัตกรรมในการออกแบบ และ (7) ล าดับความส าคัญของท้องถิ่น เป็นอาคารศูนย์กลางของชุมชนใจกลางเมืองที่ช่วยดูดซับก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์และสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เมื่อวิเคราะห์ตามปัจจัยที่เอื้อต่อการจัดระบบนิเวศการเรียนรู้พบว่า ศูนย์การเรียนรู้ฯ มีการพัฒนาที่ ครบทั้ง 6 ปัจจัย โดย (1) ด้ำนกำรเปลี่ยนกรอบควำมคิด กฟผ. มุ่งมั่นถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ด้าน พลังงานไฟฟ้าโดยมีเป้าหมายในการสร้างสังคมแห่งภูมิปัญญาด้านพลังงาน (2) ด้ำนควำมพร้อมของบุคลำกร/ องค์กร กฟผ. มีความพร้อมในทุกด้านทั้งบุคลากร งบประมาณ ทรัพยากร ตลอดจนการบริหารจัดการที่มี ประสิทธิภาพ (3) ด้ำนสิ่งแวดล้อม/ เทคโนโลยียุคใหม่ ศูนย์การเรียนรู้ฯ มีความโดดเด่นในด้านสิ่งแวดล้อม/ เทคโนโลยียุคใหม่ จากหลักการ Learning in the park ศูนย์ฯ จึงให้ความส าคัญกับภูมิสถาปัตยกรรมหรือพื้นที่ โดยรอบของอาคารเพื่อเชื่อมต่อภายในและภายนอกอาคารอย่างลงตัว การก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (4) ด้ำนวิธีกำรเรียนรู้ / เนื้อหำกำรเรียนรู้ศูนย์การเรียนรู้ฯ มีการออกแบบวิธีการและเนื้อหาการเรียนรู้ที่หลากหลาย ผู้เข้ารับชมสามารถเรียนรู้จากปัญหาจริง ทดลอง ลงมือปฏิบัติ คิดวิเคราะห์และสังเคราะห์ตามวัย (5) ด้ำน วัฒนธรรมกำรเรียนรู้/ ยุทธศำสตร์กำรมีส่วนร่วม และ (6) ควำมยืดหยุ่นและทำงเลือกที่หลำกหลำย สะท้อน ผ่านการด าเนินโครงการตามหลักการวางแผนเพื่อมวลชน หรือ universal design ที่มีการจัดเตรียมสิ่งอ านวย ความสะดวกส าหรับผู้เข้าชมทุกประเภททั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ รวมไปถึงผู้พิการ


60 กิจกรรม KM ครั้งที่ 9 วันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2565 หัวข้อ “MBTI: 16 Personality Types เข้าใจตัวตน บุคลิกภาพทั้ง 16 แบบ” โดย นำยณัฐพล ศรีพธูรำษฎร์ กระบวนกรจากเพจ “Urbinne” การจัด workshop กิจกรรม “MBTI: 16 Personality Types เข้าใจตัวตนบุคลิกภาพทั้ง 16 แบบ” มีเนื้อหากิจกรรม ซึ่งประกอบด้วย (1) ความหมายของ MBTI (2) ประวัติและที่มาของ MBTI (3) หลักการและ ทฤษฎีเบื้องต้นของบุคลิกภาพทั้ง 16 แบบใน MBTI (4) บุคลิกภาพทั้ง 16 แบบ (16 Personality Types) และ (5) การประยุกต์ใช้ MBTI ในบริบทต่าง ๆ รายละเอียดดังนี้ ความหมายของ MBTI MBTI (Myers-Briggs Type Indicator) คือ เครื่องมือทางบุคลิกภาพที่ช่วยบ่งชี้ลักษณะบุคลิกภาพ จุดแข็ง รวมทั้งกระบวนกา รท างจิตใจ (mental process) ที่แต่ละคนถนัด เช่น การตัดสินใจ การรับรู้ ข้อมูล ซึ่งความถนัดของกระบวนการทางด้านจิตใจมี 4 ด้าน ท าให้เกิดเป็นลักษณะบุคลิกภาพที่แตกต่างกันเป็น 16 แบบ และแสดงออกเป็นตัวอักษร 4 ตัว (ISTJ, ISTP, ISFJ, ISFP, INFJ, INFP, INTJ, INTP, ESTP, ESTJ, ESFP, ESFJ, ENFP, ENFJ, ENTP, ENTJ) โดยตัวอักษร ทั้ง 4 ตัวเหล่านี้จะแสดงถึงวิธีการที่แต่ละคนถนัดในการรับข้อมูล การตัดสินใจ ทิศทางของความสนใจ และวิธีการ


61 รับมือกับโลกภายนอก ซึ่งความถนัดทางด้านจิตใจที่แตกต่างกันส่งผลให้บุคคลให้ความส าคัญกับเรื่องแตกต่างกัน ตอบสนอง แสดงออกแตกต่างกัน ประวัติและที่มาของ MBTI MBTI มีที่มำจำกงำนเขียนของ Psychologische Typen โดยนักจิตวิทยาชื่อ Carl G. Jung ในปี ค.ศ. 1921 และได้รับการพัฒนาต่อโดย Katherine Briggs และ Isabel Byers เพื่อให้ทฤษฎีของ Carl G. Jung สามารถเข้าถึงคนในวงกว้างได้ง่ายขึ้น จนกลายเป็น Myers-Briggs Type Indicator ที่ ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย ตัวอักษร 4 ตัวและบุคลิกภาพทั้ง 16 แบบ MBTI ถูกใช้งานครั้งแรกตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1962 โดย Educational Testing Service (ETS) ซึ่งในเวล านั้น ผู้ใช้งานส่วนใหญ่เป็นนักวิจัย จากนั้น ได้รับการพัฒนา อย่างต่อเนื่องจากนักวิจัยอีกหลายท่าน เช่น Mary H. Mccaulley, Naomi L. Quenk, Allen L. Hammer และ Mark S. Majors ทั้งนี้ MBTI ได้รับการแปลมากกว่า 20 ภาษาในปี 2012 หลักการและทฤษฎีเบื้องต้นของบุคลิกภาพทั้ง 16 แบบใน MBTI หลักกำรเบื้องต้นของทฤษฎีบุคลิกภำพทั้ง 16 แบบ เกิดจากความถนัดในกระบวนการทางจิตใจซึ่งแบ่ง ออกเป็น 4 ลักษณะ คือ 1) Extraversion (E) – Introversion (I) 2) Sensing (S) – Intuition (N) 3) Thinking (T) – Feeling (F) 4) Judging (J) – Perceiving (P) และบุคลิกภาพทั้ง 16 แบบ เกิดจากการรวมกันของตัวอักษร ในด้านที่แต่ละบุคคลมีความถนัดจนกลายเป็นตัวอักษรทั้ง 16 รูปแบบ (ISTJ, ISTP, ISFJ, ISFP, INFJ, INFP, INTJ, INTP, ESTP, ESTJ, ESFP, ESFJ, ENFP, ENFJ, ENTP, ENTJ) รายละเอียดของตัวอักษรแต่ละตัว ดังนี้


62 Extraversion (E) – Introversion (I) รู้สึกมีพลัง การรับพลัง โดยที่ Extroversion จะมี ทิศทางการใช้พลังงานไปกับสิ่งภายนอก และรู้สึก ได้รับพลังเมื่อให้ความสนใจไปที่สิ่งภายนอก เช่น รู้สึก มีพลังเมื่อได้ออกไปท ากิจกรรมนอกบ้าน ส่วน Introversion จะมีทิศทางการใช้พลังงานไปกับสิ่ง ภายใน และรู้สึกได้รับพลังเมื่อได้ใช้เวลาไปกับสิ่งที่ เกิดขึ้นภายใน เช่น รู้สึกมีพลังเมื่อได้อ่านหนังสือ หรือ ท ากิจกรรมยามว่างที่บ้านเพียงล าพัง การเป็น Introvert หรือ Extrovert มาจากความถนัด ในการใช้และรับพลังงาน ไม่ได้หมายความว่าเมื่อมี บุคลิกภาพเป็น Introvert จะไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่กับ สิ่งภายนอกได้อย่างมีคุณภาพ นอกจากนี้ไม่ได้หมายถึง การเป็น Extrovert จะไม่สามารถใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ได้แบบเดียวกับ Introvert Sensing (S) – Intuition (N) คือ วิธีกำรในกำร รับข้อมูลที่เรำถนัด โดยที่ Sensing (S) จะถนัดในการรับ ข้อมูลที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงและสิ่งที่จับต้องได้ โดยมาก เกิดขึ้นโดยตรงจากประสาทสัมผัสทั้ง 5 เช่น การมอง การได้ยิน การสัมผัส เป็นต้น ส่วน Intuition (N) จะถนัดในการ รับรู้ข้อมูลในภาพรวม ซึ่งรวมถึงความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ความหมายที่ซ่อนอยู่ หรือรูปแบบที่เกิดขึ้น Thinking (T) – Feeling (F) กำรเลือกว่ำคุณเป็นคนที่ถนัด Thinking (T) หรือ Feeling (F) มาจากวิธีที่เราตัดสินใจและสร้างข้อสรุปจากข้อมูลที่ บุคคลได้รับมา เมื่อต้องตัดสินใจจะให้น้ าหนักกับสิ่งใด มากกว่ากัน โดยที่ Thinking (T) หมายถึง การตัดสินใจ ที่มาจากกระบวนการให้เหตุและผล (logic) การมอง แบบเป็นกลาง คนที่เป็น Thinking มักจะให้ความส าคัญ กับข้อเท็จจริง และข้อมูลที่ได้รับ ส่วน Feeling (F) หมายถึง กระบวนการตัดสินใจหรือน ามาสู่ข้อสรุปนั้น


63 มาจากคุณค่าที่แต่ละบุคคลให้ความส าคัญ หรือ สังคม วัฒนธรรมให้ความส าคัญ สิ่งที่คนมักเข้าผิดเกี่ยวกับ Thinking (T) หรือ Feeling (F) คือ Thinking (T) ไม่ได้หมายถึงการคิดทั่ว ๆ ไป และ Feeling (F) ไม่ได้หมายถึงการใช้อารมณ์ความรู้สึก นอกจากนี้ หากถนัด Thinking (T) ไม่ได้หมายความว่าจะ ไม่มีความรู้สึก และถนัด Feeling (F) ไม่ได้หมายความว่าไม่ใช้ความคิดในการตัดสินใจ Judging (J) – Perceiving (P) ตัวอักษรสุดท้ำยเกิดขึ้นจำกกระบวนกำรรับมือกับโลกภำยนอกว่ามี กระบวนการในการรับมือกับโลกภายนอกอย่างไร ระหว่าง Judging (J) หมายถึง ถนัดในการรับมือกับโลกภายนอก โดยอาศัยการวางแผน ความแม่นย า อาศัยระเบียบแบบแผนในการรับมือกับโลกภายนอก เช่น การวางแผน การจัด ตารางเวลา ส่วน Perceiving (P) หมายถึง การรับมือกับโลกภายนอกโดยด้วยความยืดหยุ่น ซึ่งจะมีแนวโน้มที่จะ ชอบความเปิดกว้าง การตอบสนองโดยฉับพลัน และการเปิดความเป็นไปได้ใหม่ ๆ บุคลิกภาพทั้ง 16 แบบ (16 Personality Types) เมื่อน าตัวอักษร 4 ตัวที่เป็นความถนัดมาเรียงต่อกันตามล าดับ จะได้ทั้งหมด 16 รูปแบบ ซึ่งกลายเป็น บุคลิกภาพทั้ง 16 แบบ ดังนี้


64


65


66 การประยุกต์ใช้ MBTI ในบริบทต่าง ๆ ทั้งการพัฒนาตนเอง การตัดสินใจ การสร้างความเข้าใจ ลดความขัดแย้งในครอบครัว ตลอดจนการให้ค าปรึกษาและการโค้ช ดังนี้ กำรพัฒนำตัวเอง MBTI เป็นเครื่องมือที่ช่วยท าให้เกิดความตระหนักรู้ภายในตนเอง (self-awareness) รู้จักตัวเองมากขึ้นทั้งจุดอ่อน จุดแข็ง วิธีการมองโลก การใช้ชีวิต ส่งผลให้สามารถเข้าใจ รู้วิธีในการพัฒนาตัวเอง รวมถึงการออกจากวงจรที่ท าร้ายชีวิตของตัวเอง กำรตัดสินใจ การรู้จักลักษณะที่แม่นย าสามารถช่วยให้มองเห็นภาพรวมอย่างรอบด้านที่เกี่ยวกับตนเอง ซึ่งเหมาะสมส าหรับการตัดสินใจที่ส าคัญ เช่น ไลฟ์สไตล์ในอนาคต การใช้ชีวิตในแบบที่ชอบ ลักษณะงานที่ท าแล้ว ไม่หมดไฟหรือมีความทุกข์จากงาน


67 กำรสร้ำงควำมเข้ำใจและลดควำมขัดแย้งระหว่ำงกันในครอบครัว โดยการสร้างความเข้าใจระหว่าง กันในครอบครัวจะเริ่มจากการเข้าใจและยอมรับในความแตกต่าง ซึ่ง MBTI และการเข้าใจบุคลิกภาพทั้ง 16 แบบ จะช่วยท าให้คนในครอบครัวเข้าใจความแตกต่างระหว่างกัน รู้ว่าสมาชิกให้ความส าคัญกับอะไร วิธีการสื่อสารของ แต่ละคนเป็นอย่างไร และรู้วิธีปรับตัวเข้าหากันเพื่อที่จะเกิดความรักและเข้าใจกันในครอบครัวได้ กำรให้ค ำปรึกษำและกำรโค้ช บุคลิกภาพทั้ง 16 แบบเป็นเครื่องมือที่ช่วยท าให้การให้ค าปรึกษาและ การโค้ชเป็นไปได้โดยง่ายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้เครื่องมือ MBTI ยังถูกใช้เป็นแผนที่และ ภาษากลางเพื่อที่จะให้ผู้เข้ารับบริการได้เกิดความเข้าใจตัวเอง หลีกเลี่ยงจุดที่มักจะเข้าไปใช้พลังงานอย่าง ไม่สร้างสรรค์อย่างไม่รู้ตัว และเติบโตในแบบที่ลักษณะบุคลิกภาพของคนๆ นั้นแนะน าได้


68 กิจกรรม KM ครั้งที่ 10 วันอังคารที่ 14 มิถุนายน 2565 หัวข้อ “Future Education For Future Career” โดย นำยจิรำยุส ทรัพย์ศรีโสภำ (คุณท็อป) ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Bitkub Capital Group Holding Co., Ltd. คุณท็อป ได้นำความรู้และประสบการณ์จากการเข้าร่วม World Economic Forum (WEF) Annual Meeting 2022 หรือ การประชุมสภาเศรษฐกิจโลกมาแลกเปลี่ยนในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ซึ่งมี ความส าคัญตอนหนึ่งว่า สิ่งที่ผู้น าทั่วโลกให้ต่างจับตามองในขณะนี้คือ การสร้างความเท่าเทียมทางดิจิทัล (Digital Inclusion) เป็นกลยุทธ์ที่จะช่วยผลักดันให้คนจ านวนมากสามารถเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ การบริการด้าน สุขภาพ รวมถึงการศึกษา โดยทั้งภาครัฐและ ภ าคเอกชนจ ะต้อง ร่ ว มกันส ร้ าง “Open Education Platform” ห รื อ แพ ล ต ฟ อ ร์ ม การศึกษาให้เป็นระบบเปิด ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ 1) Innovation ให้การเรียนรู้สามารถ เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ทุกภาคส่วนสามารถเป็น เจ้าของเนื้อหาการเรียนรู้ตลอดจนมีการให้ คว ามรู้ผ่ าน open education platform 2) Eco asset หรือ การสร้างสภาพแวดล้อมที่เปิด โอกาสให้ทุกคนเข้าถึงความรู้ ตลอดจนการสร้าง


69 เนื้อหาการเรียนรู้ต่าง ๆ และ 3) Up-to-date มีการพัฒนาและปรับปรุงอยู่เสมอให้มีความทันสมัยทั้งเนื้อหาและ อุปกรณ์การเรียนรู้ นอกจากนี้ คุณท็อปได้เสนอว่า การศึกษาปัจจุบันควรอยู่ใน theme “Digital Inclusion” ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ 1) Financial Inclusion คือ ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการเงินสามารถเข้าถึงคนได้จ านวนมาก 2) Education Inclusion คือ การท าให้การศึกษาสามารถเข้าถึงในวงกว้าง และ 3) Healthcare Inclusion คือ การท าให้ระบบสุขภาพ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพสามารถเข้าถึงคนทุกกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการจะพัฒนาให้เป็น open และ digital education ได้นั้น ภาครัฐจะต้องเร่ง พัฒนาเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐาน หรือ อินเทอร์เน็ต ได้ง่าย ไม่เสียค่าใช้จ่าย ได้แก่ 1) Connectivity – สัญญำณอินเทอร์เน็ต คุณภำพ เป็นปัจจัยส าคัญอย่างยิ่งที่ท าให้คน จ านวนมากสามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน น าไปสู่โลกการเรียนรู้ตลอดเวลาและตลอดชีวิต อย่างแท้จริง ซึ่งจะช่วยลดช่องว่างทางทักษะ (Skill Gap) ให้ก าลังคนมีสมรรถนะที่ทันสมัย และตอบโจทย์ตลาดแรงงานได้ 2) Digital ID – ระบบยืนยันตัวตนทำงดิจิทัลที่เชื่อมโยงกับบริกำรทำงสังคม ครอบคลุมทั้งมิติการเงิน สุขภาพ และการศึกษา โดยภาคเอกชนสามารถเข้ามาร่วมหาแนวทางลดต้นทุนการเข้าใช้ งาน เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงบริการคุณภาพอย่างเท่าเทียม สรุปเนื้อหาการน าเสนอของคุณท็อป ดังรูป


70 ที่มา สำนักประเมินผลการจัดการศึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2565)


71 กิจกรรม KM ครั้งที่ 11 วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม 2565 หัวข้อ “การศึกษาพื้นฐานควรเรียนแค่ไหน” ด าเนินการร่วมกับส ำนักประเมินผลกำรจัดกำรศึกษำ ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา การจัดกิจกรรมครั้งนี้ เป็นการเปิดเวทีระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชน ผู้แทน OECD นักวิจัย รวมถึงผู้แทนนิสิต นักศึกษา ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการจัดการเรียนการสอน การออกแบบองค์กรในยุค disruption ตลอดจนสถานการณ์โลกอันผันผวน หรือ VUCA World รายละเอียดดังนี้ การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศไทย โดย ดร.ชยพร กระต่ายทอง ผู้อ านวยการกลุ่ม พัฒนาหลักสูตรและมาตรฐานการเรียนรู้ ส านักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ. เนื่องจากโลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งการเกิดขึ้นของปัญญาประดิษฐ์ (AI) แทนที่การ ท างานของมนุษย์ การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ไปสู่การต้องปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตใหม่ (new normal) การก้าวสู่สังคมสูงอย่างสมบูรณ์ในไม่เกินห้าปีข้างหน้า หรือ เป็นโลกที่นักวิชาการนิยามว่า VUCA World ซึ่งหมายถึงเป็นโลกที่มีความผันผวน (Volatility) ไม่แน่นอน (Uncertainly) ซับซ้อน (Complexity) และคลุมเครือ (Ambiguity) ด้วยเหตุนี้ ทุกภาคส่วนจึงต้องมีการปรับตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งมิติด้านการศึกษา ทั้งการยกระดับ คุณภาพการศึกษาใหม่ทั้งระบบ การมุ่งพัฒนาให้คนมีสมรรถนะที่จ าเป็น พร้อมส าหรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น อย่างรวดเร็ว รวมถึงสามารถสร้างโอกาสให้ตนเองให้สามารถเข้าถึงอาชีพรูปแบบใหม่ได้ ภาพข้างต้นเป็นตัวอย่างทักษะและสมรรถนะจ าเป็นของโลกอนาคต ซึ่งนักวิชาการทั้งไทยและต่างประเทศ ด าเนินการศึกษาวิจัยไว้ ดังนี้


72 ทักษะและสมร รถน ะที่จ ำเป็นใน ศตวรรษที่ 21 ได้แก่ 1) ทักษะ: การอ่านออกเขียนได้ การ ค านวณและตัวเลข วิทยาศาสตร์ ความฉลาด ทางดิจิทัล และพหุวัฒนธรรม 2) สมรรถนะ: การคิดวิเคราะห์และ แก้ปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ การสื่อสาร การท างานเป็นทีม 3) คุณลักษณะที่พึงประสงค์:ความ สงสัยใคร่รู้ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ความ มุ่งมั่น การปรับตัว ภาวะผู้น า ความตระหนัก รู้เกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรม กำรพัฒนำให้มีสมรรถนะที่ส ำคัญใน ศตวรรษที่ 21 (OECD, 2016) จะต้องเป็น ความรู้ ทักษะ ทัศนคติและค่านิยม ซึ่งเป็น ความรู้และทักษะทั้งในเชิงทฤษฎีและปฏิบัติ การรู้ลึกและรู้กว้าง เป็นต้น มำตรฐำนกำรศึกษำของชำติ พ.ศ. 2561 ได้ก าหนดคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ของผู้เรียนไว้ 3 คุณลักษณะส าคัญ คือ ผู้เรียนรู้ ผู้ร่วมสร้างสรรค์นวัตกรรม และ พลเมืองที่เข้มแข็ง ส าหรับกำรศึกษำขั้นพื้นฐำนของประเทศไทย ใช้หลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2561 เป็นแกนหลัก ในการพัฒนาผู้เรียน โดยหลักสูตรฯ ดังกล่าว มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ผ่านการ จัดการเรียนรู้ใน 8 กลุ่มสาระหลัก เสริมด้วยกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และให้ชั้นเรียน การบริหารจัดการหลักสูตร อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการมีส่วนร่วมของหน่วยงานต่าง ๆ คือ หัวใจส าคัญในการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย ของหลักสูตรฯ ดังรูป


73 ในภาพรวมของประเทศมีการ ก าหนดแนวทางการพัฒนาผู้เรียนด้วย ห ลั ก สู ต ร แ ก น ก ล าง ก า ร ศึ ก ษ า ขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 อย่างไรก็ดี สถานศึกษาสามารถปรับหลักสูตรฯ ให้สอดคล้องกับบริบทของท้องถิ่น และสถานศึกษา รวมถึงการปรับให้ เหมาะสมในระดับชั้นเรียน ผ่านการ ออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ที่มี ความสอดคล้องตามหน่วยการเรียนรู้ ของหลักสูตรฯ กำรจะบริหำรจัดกำรหลักสูตรฯ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพนั้น อาศัย การด าเนินการใน 3 ส่วน คือ 1) กำรส่งเสริมและสนับสนุน ด้วย การพัฒนาบุคลากร การจัดสรรงบประมาณ และทรัพยากร กระบวนการมีส่วนร่วมใน การขับเคลื่อน ตลอดจนการส่งเสริมและ สนับสนุนทางวิชาการ 2) กำรจัดท ำและใช้หลักสูตรสถำนศึกษำทั้ง 3 ขั้นตอน ได้แก่ การพิจารณาและให้ความเห็นชอบจาก คณะกรรมการสถานศึกษา การใช้หลักสูตรในระดับชั้นเรียน รวมถึงการวิจัย ติดตาม และประเมินผลการใช้ หลักสูตรอย่างสม่ าเสมอ 3) กำรก ำกับ ดูแลคุณภำพ ด้วยการนิเทศ ติดตาม การจัดระบบคุณภาพภายใน การวิจัย และการ ประเมินผลการใช้หลักสูตร


74 นอกจากนี้ จ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัย ความร่วมจากทุกระดับทั้ง สพท. ในการ ขับเคลื่อนการใช้หลักสูตรแกนกลางฯ ผ่านการ จัดการเรียนรู้เชิงรุก ระดับสถำนศึกษำ ในการ ปรับหลักสูตรให้สอดคล้องกับบริบทและเอื้อต่อ ก า รพัฒน าสมร รถนะของผู้เ รียน ค รูคือ องค์ประกอบส าคัญในการน าหลักสูตรฯ สู่ชั้น เรียนด้วยการบูรณาการหน่วยการเรียนรู้และ จัดการเรียนรู้เชิงรุก หรือ Active Learning และ ผู้เรียนในการพัฒนาตนเองร่วมกับครู เพื่อนในชั้น เรียน เพื่อให้มีสมรรถนะที่จ าเป็นในศตวรรษที่ 21 การศึกษาพื้นฐานควรเรียนแค่ ไหน โดย นายทัฬหวิชญ์ ฐิติรัตน์สกุล นักวิจัย ฝ่าย นโยบายปฏิรูปการศึกษา สถาบันวิจัยเพื่อการ พัฒนาประเทศไทย กล่าวถึง 3 ปัญหำส ำคัญของ ระบบกำรศึกษำไทย คือ 1) ประเทศไทยใช้เวลาใน การเรียนมาก แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับตรงกันข้าม และผู้เรียนไม่สามารถน าความรู้มาประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจ าวันได้2) ความรู้จากเนื้อหาการเรียนการ สอนในปั จจุบันไม่สามารถตอบโจทย์โลกที่ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในอนาคตได้ 3) เด็กไทย จ านวนมากไม่สามารถเข้าถึงการเรียนรู้ได้อย่างเท่า เทียม และเห็นปัญหาได้อย่างชัดเจนมากขึ้นเมื่อเกิด การแพร่ระบาดของโรคโควิด –19 ซึ่งทั้ง 3 ปัญหานี้ ล้วนส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพการศึกษา โดยการ จะแก้ปัญหาดังกล่ าวข้ างต้นนั้น TDRI ได้ให้ ข้อเสนอเชิงนโยบำย 6 ข้อซึ่งเป็นบทเรียนที่ได้รับ จากพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ได้แก่


75 1) กำรปรับหลักสูตรใหม่ที่มุ่งสร้างสมรรถนะมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้เรียนสามารถมีชีวิตอยู่ท่ามกลาง ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ 2) กำรเร่งพัฒนำบุคลำกร ซึ่งเป็นผู้ใช้หลักสูตรโดยตรงให้มีความพร้อมรองรับหลักสูตรใหม่ 3) กำรปรับระบบกำรบริหำรบุคลำกรให้มีความสอดคล้องกันเพื่อให้การพัฒนาบุคลากรเป็นไปอย่าง มีประสิทธิภาพ 4) กำรปรับระบบงบประมำณของสถำนศึกษำให้มีความยืดหยุ่น โดยค านึงถึงเป้าหมายและผลลัพธ์เป็นที่ตั้ง 5) กำรปรับระบบกำรวัดและ ประเมินผลให้สามารถเทียบโอน สะสม หน่วยการเรียนรู้ได้ 6) กำรปรับระบบประกันคุณภำพ ให้มีความสอดคล้อง เพื่อให้มั่นใจว่า ผู้เรียนได้รับการพัฒนาให้เป็นไปตาม เป้าหมายเชิงคุณภาพอย่างแท้จริง


76 กิจกรรม KM ครั้งที่ 12 วันอังคารที่ 30 สิงหาคม 2565 หัวข้อ “การพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมตาม พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ....” โดย นำยสมพงษ์ ผุยสำธรรม ผู้อ านวยการส านักฯ และนำงสำวณัฐิกำร นิตยำพร ผู้อ านวยการกลุ่มนิติการ ส านักพัฒนากฎหมายการศึกษา ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ส ำนักมำตรฐำนกำรศึกษำและพัฒนำกำรเรียนรู้ (สมร.) ส ำนักงำนเลขำธิกำรสภำกำรศึกษำ ร่วมกับส ำนักพัฒนำกฎหมำยกำรศึกษำจัดประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง การจัดท าพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ พ.ศ. .... เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องการจัดท าพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... รายละเอียดดังนี้ แนวคิด หลักการ และความเป็นมา เนื่องด้วยความผันผวน ความไม่แน่นอน และการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดสภาวะของ การ Disruption ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และการการใช้ชีวิต สภาวะดังกล่าวส่งผลให้หน่วยงานต้อง ปรับเปลี่ยนรูปแบบการท างาน ทั้งการบริหารจัดการและการขับเคลื่อนงานต่าง ๆ สู่การปฏิบัติ เดิมปัจจุบันประเทศไทยใช้แนวคิดและหลักการที่อิงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561 – 2580 และกฎหมายที่เกี่ยวข้องเป็นกรอบในการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อให้ทันต่อ การเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย การออกแบบภาพอนาคตเพื่อการแก้ไขปัญหาของประเทศ จึงควรใช้แนวคิดและกลไก 3 ประการเป็นกรอบความคิดในการด าเนินการปรับเปลี่ยนรูปแบบการท างาน ได้แก่ (1) Future lap - การก าหนดและออกแบบภาพอนาคต (2) Policy lap - การก าหนดและออกแบบนโยบาย และ (3) Government


77 lap – การใช้กลไกการบริหารจัดการและการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นกรอบในการออกแบบกรอบแนวคิดและ หลักการ (Conceptual Frame Work) ในการด าเนินการด้านต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการปฏิรูปการศึกษาของประเทศจากแนวคิดและหลักการด้านการศึกษาที่ด าเนินการตาม เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 54 และมาตรา 258 จึงได้มีการแต่งตั้ง คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา (กอปศ.) เป็นผู้ด าเนินการปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ โดยเล็งเห็น จุดอ่อนด้านการศึกษา 4 เรื่อง คือ (1) การยกระดับคุณภาพทางการศึกษา (2) การลดความเหลื่อมล้ าและ สร้างความเสมอภาคทางการศึกษา (3) การสร้างความเป็นเลิศและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และ (4) การปรับปรุงระบบการศึกษา ดังนั้น เพื่ออาศัยกลไกขับเคลื่อนเพื่อลดจุดอ่อนดังกล่าว ซึ่งมีร่างพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... และแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา เป็นกลไกและเข็มทิศในการวางแนวทางการ ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศด้านการศึกษาในปัจจุบัน จึงน าไปสู่กำรออกแบบองค์ประกอบกำรขับเคลื่อนกลไก ส่วนต่ำง ๆ ดังนี้ Policy Advisor/Maker ท าหน้าที่ขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย คือ คณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติ Regulator ท าหน้าที่ก ากับ ดูแล ติดตาม และตรวจสอบ (เช่น สกศ. สมศ. เป็นต้น) Supporter ท าหน้าที่สนับสนุนด้านการมีส่วนร่วม การจัดการสนับสนุน การศึกษา (เช่น ศธ. สป. หน่วยเผยแพร่องค์ความรู้ เป็นต้น) Operator ท าหน้าที่ปฏิบัติงาน (เช่น สถานศึกษา ครู บุคลากรทางการศึกษา) การออกแบบกลไกต่าง ๆ ข้างต้นเพื่อการปฏิรูปและการขับเคลื่อนด้านการศึกษา จึงปรากฏในร่าง พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... ซึ่งได้วางบทบาทหน้าที่ของแต่ละหน่วยไว้ในแต่ละหมวด/มาตราตาม แนวคิดและหลักการจัดการศึกษาเพื่อตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ และกลไกที่ก าหนดไว้ในแผนการปฏิรูปประเทศ ด้านการศึกษา จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยส าคัญ (Big Rock) ใน 5 ด้าน ดังนี้ (1) การ ปฏิรูปความเสมอภาค (2) การปฏิรูปการจัดการเรียนการสอนเชิงรุก (3) การปฏิรูประบบการผลิตครู (4) การปฏิรูป การจัดการศึกษาอาชีวะ และ (5) การวิจัยที่ตอบโจทย์ปัญหาการจัดการศึกษา กระบวนการจัดท ากฎหมายฉบับนี้มีความยุ่งยากซับซ้อนและประสบปัญหาต่าง ๆ มาโดยตลอด เนื่องจาก มิติความเห็นที่หลากหลาย และมุมมองประสบการณ์ที่แตกต่างของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... แต่อย่างไรก็ตาม ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษาและคณะท างานได้ มีความพยายามในการผลักดันอย่างเต็มที่ เพื่อให้เจตนารมณ์ที่ดีของแนวคิดและหลักการการจัดการศึกษาที่จะ


78 ตอบสนองแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ และสอดคล้องกับเจตนารมณ์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 แผนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ ฯลฯ น าไปสู่การแก้ปัญหาซึ่งเป็นจุดอ่อนของการศึกษา 4 เรื่อง ที่กล่าวข้างต้น ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... จึงถือเป็นธรรมนูญด้านการศึกษา ที่มีสาระส าคัญ แบ่งออกเป็น 7 หมวด 110 มาตรา มีจุดเน้นส ำคัญ คือ (1) หน่วยนโยบาย ที่มีหน้าที่ควบคุมในการจัดท านโยบาย และรับผิดชอบต่อผลการจัดท านโยบาย (2) การให้ความส าคัญกับสถานศึกษาและครู และ (3) การส่งเสริมและการ สนับสนุนความต่อเนื่องในการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้เกิดการมุ่งส าเร็จต้องอาศัยหลักควำมร่วมมือ ใน 3 ระดับ ได้แก่ (1) ระดับปฏิบัติการ เช่น ประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ (2) ระดับจังหวัด และ (3) หน่วยงานส่วนกลาง ร่วมท างานภายใต้เป้าหมาย เดียวกันที่มุ่งเน้นเป้าหมายในมิติการจัดการศึกษา รวมทั้งการส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต หลักการและแนวคิดในมิติของการพัฒนาคน ตามแนวคิดและหลักการร่างพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่มุ่งพัฒนาใน 2 มิติ คือ (1) การยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา และ (2) กลไก ส่งเสริม สนับสนุนการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต กำรยกระดับคุณภำพกำรจัดกำรศึกษำ วัตถุประสงค์ของการจัดการศึกษา ตามมาตรา 6 มีประเด็นส าคัญใน 4 เรื่อง ได้แก่ (1) การพัฒนาบุคคล ให้มีความสมบูรณ์ที่มุ่งเน้น หน้าที่ ความรับผิดชอบ (2) ความภูมิใจและตระหนักในความส าคัญของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ (3) ความสอดคล้องเท่าทันการพัฒนาของโลก และ (4) การมีความรับผิดชอบต่อทุกระดับ (ครอบครัว สังคม ประเทศ) กำรพัฒนำบุคคลให้มีควำมสมบูรณ์ที่มุ่งเน้น หน้าที่ ความรับผิดชอบ : ในปัจจุบันประชาชน ไม่รู้จักหน้าที่ ความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ท า ซึ่งสะท้อนให้เห็นในรูปแบบของผลลัพธ์ของการศึกษาของเด็ก ไม่ตอบโจทย์ ต่อการพัฒนาประเทศและการพัฒนานวัตกรรมต่อสังคม ภูมิใจและตระหนักในควำมส ำคัญของชำติ ศำสน์ กษัตริย์การขาดความภูมิใจในเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ความเป็นไทย การรับวัฒนธรรมต่างประเทศ หรือเอกลักษณ์ของประเทศอื่น ส่งผลให้เกิดความภูมิใจใน ชาติไทยลดน้อยลง ควำมสอดคล้องเท่ำทันกำรพัฒนำของโลก ปัจจุบันการอาศัยอยู่ร่วมกันในระดับโลกต้อง เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาการของประเทศอื่น ควำมรับผิดชอบต่อทุกระดับ (ครอบครัว สังคม ประเทศ) มุ่งพัฒนาให้คนในอนาคต มีคุณลักษณะ มีความรับผิดชอบต่อทุกระดับ ความตระหนักส านึกรับผิดชอบจากปัญหาการทุจริต หรือการบังคับใช้


79 กฎหมายไม่เป็นผล ต้องน าไปสู่การปฏิรูปการศึกษาเพื่อเสริมความเข็มแข็งในระบบคุณธรรม จริยธรรม สอดคล้อง กับหลักการจัดท าร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ หลักกำรจัดกำรศึกษำ มำตรำ 7 กำรจัดกำรศึกษำที่มุ่งเน้นกำรพัฒนำ สมรรถนะ (Competency) เพื่อรองรับ เ ต รี ย ม ค ว า ม พ ร้ อ ม รั บ มื อ ต่ อ ก าร เปลี่ยนแปลงในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งมี ส่วนส าคัญในการสร้างความแตกต่าง และความส าเร็จในอนาคตของประชากร เช่น การปรับตัวในสถานการณ์การ ระบาดของโรคโควิด – 19 การประสบความส าเร็จในธุรกิจ หรือการประสบปัญหาการปิดกิจการ ฯลฯ ล้วนเป็นผล มาจาก “สมรรถนะ” (Competency) หรือความสามารถที่แตกต่างกันในระดับบุคคล องค์ประกอบของสมรรถนะ (Competency) ประกอบด้วยการประยุกต์ใช้ 3 สิ่ง ได้แก่ 1) เจตคติ/ คุณลักษณะ (Attitude/Attribute) 2) ทักษะ (Skill) และ 3) ความรู้ (Knowledge) ผ่านการท างานหรือ สถานการณ์ในชีวิต ผสมผสานออกมาเป็น “สมรรถนะ” (Competency) ที่เกิดขึ้นในตัวบุคคล ดังนั้น หลักการ จัดการศึกษาที่ส าคัญ คือ การมุ่งเน้นให้คนมีสมรรถนะ (Competency) หรือความสามารถในการท าสิ่งต่าง ๆ ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถคิดสร้างนวัตกรรมสร้างคุณค่า สร้างรายได้ ลดความเหลื่อมล้ า และยกระดับ ขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ เป้ำหมำยกำรจัดกำรศึกษำ มำตรำ 8 การจัดการศึกษาเพื่อ ก าหนดเป้าหมายการพัฒนาคนใน 7 ช่วงวัยที่มีความต่อเนื่องเชื่อมต่อกัน ในทุกช่วงวัย เนื่องจากสมรรถนะใน แต่ละช่วงวัยเป็นสิ่งที่ต้องปรับให้ เหมาะสมในแต่ละช่วงวัยที่เติบโต พัฒนาการ และสามารถพัฒนาไปสู่ การมีเป้าหมายชีวิต การท างาน การลงมือท า การสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ โดยแบ่งเป็นช่วงวัย และคุณลักษณะเฉพาะของครูจ าเป็นต้องสอดคล้องกับ เด็กในแต่ละช่วงวัย


80 ช่วงวัยที่ 1-3 เด็กต้องมีพัฒนาการตามวัย ช่วยเหลือตัวเอง มีปฏิสัมพันธ์ เข้าใจความรู้สึกการ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การซึมซับวัฒนธรรม ที่มุ่งเน้นการสร้างพัฒนาการ ไม่ใช่การสร้างองค์ความรู้ ภายใต้กฎหมายการ พัฒนาเด็กปฐมวัย (ไม่ควรน าการสอบวัดประเมินผลมาใช้ในเด็กวัยนี้ มุ่งเน้นการสร้างพัฒนาการให้เด็กเป็นหลัก) ช่วงวัยที่ 4 จุดเริ่มต้นการเน้นองค์ความรู้วิชาการ ทักษะเฉพาะทาง ความฉลาดทางภาษา ค านวณ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการเข้าถึงช่องทางการประกอบอาชีพ ช่วงวัยที่ 5 การเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ การคิดเชิงสังเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ ตลอดนการก าหนดทางเดินเส้นทางศึกษาต่อหรือสายอาชีพการท างาน ช่วงวัยที่ 6 การก าหนดมุ่งเน้นทางด้านวิชาการหรือวิชาชีพ ช่วงวัยที่ 7 ช่วงวัยระดับอุดมศึกษา สู่การประกอบอาชีพ ภำพอนำคตกำรจัดกำรศึกษำ จากเป้าหมายและวัตถุประสงค์การจัดการศึกษาที่ปรากฏในร่าง พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... ส่งผลให้เกิดภาพอนาคต 4 ประการ คือ 1) สถานศึกษาในอนาคต 2) ครูในอนาคต 3) การบริหารด้านวิชาการในอนาคต และ 4) เป้าหมายในเชิงก ากับนโยบายด้านการศึกษา สถำนศึกษำในอนำคต (มาตรา 14 หมวด 2) ใน 12 ประเด็นหลักที่สถานศึกษาต้องให้ ความส าคัญ แบ่งเป็นหมวดย่อย 3 หมวด คือ การบริหารจัดการสถานศึกษา การบริหารทรัพยากรทางการศึกษา และระบบสนับสนุนและการก ากับคุณภาพ กำรบริหำรจัดกำ ร สถำนศึกษำ: มุ่งเน้นให้ความส าคัญกับการ พัฒนาด้านวิชาการให้ผู้เรียน (เช่น ระบบ นิเวศการเรียนรู้ ความเหมาะสม ความ ปลอดภัยของสถานศึกษาต่อกระบวนการ จัดการเรียนรู้) การรับฟังความคิดเห็นของ บุคลากรในองค์กร/สถานศึกษา และความ อิสระคล่องตัวในการบริหารจัดการ (บทบาท คณะกรรมการการศึกษา เป็นกลไกสนับสนุนด้านวิชาการและคุณภาพการศึกษาสู่ผู้เรียน) กำรบริหำรทรัพยำกรทำงกำรศึกษำ: โรงเรียนต้องมีทรัพยากรที่มีความพร้อม (อุปกรณ์ การเรียน ครู งบประมาณ เป็นต้น) มีการบริหารจัดการทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพ (รวมถึงการจัดสรรงบประมาณ เงินขั้นต้นและเงินอุดหนุนที่หน่วยงานต้องจัดหา บริหารสถานศึกษาอย่างทั่วถึง) ระบบสนับสนุนและกำรก ำกับคุณภำพ: การสร้างแรงจูงใจ (ค่าตอนแทนพิเศษการเติบโตทาง สายอาชีพ) ต่อทรัพยากรครูทั้งการเพิ่มครูในพื้นที่ขาดแคลน การอ านวยความสะดวก ลดภาระงานและการดึงครู


81 ออกจากห้องเรียน การเลื่อนวิทยฐานะครูต้องไม่ส่งผลกระทบต่อการเพิ่มภาระงาน ตลอดจนมาตรการในการประเมิน ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของสถานศึกษา ครูในอนำคต การจัดการเรียนการสอนมุ่งเน้นการสร้างสมรรถนะให้เกิดแก่ผู้เรียนตามช่วงวัย การผลิตครูจึงต้องค านึงถึงการพัฒนาครู การปรับเปลี่ยนบทบาทครูจากเดิมที่เป็นศูนย์กลางในการถ่ายทอดความรู้ ไปสู่บทบาทอ านวยการเรียนรู้ ควบคู่กับการปรับใช้เทคโนโลยีมุ่งเน้นการผลิตให้เกิดคุณลักษณะเฉพาะ (สมรรถนะ) ในการจัดการเรียนการสอนในช่วงวัยต่าง ๆ ตามความสนใจความถนัดของผู้เรียนให้เหมาะสม ดังนั้น จึงเป็นความท้าทายของภาครัฐในการปฏิรูปคุณค่าของครู ให้อาชีพครูเป็นการคัดเลือก คนเก่งที่มีคุณภาพ ตลอดจนเร่งพัฒนาครู ทั้งครูเดิม ครูใหม่ ควบคู่ไปด้วยกันเพื่อยกระดับคุณภาพครูในการจัด การเรียนการสอน และการปรับใช้เท่าทันเทคโนโลยีหรือการเปลี่ยนแปลงของโลก ผ่านการปรับแก้ปัญหา การอ านวยความสะดวก และการเอื้อประโยชน์ต่อปัจจัยการดึงดูดคนเก่งเข้ามาในระบบการศึกษา หรือการท า บทบาทหน้าที่ครู กำรบริหำรด้ำนวิชำกำรในอนำคต เนื่องจากในปัจจุบันการพัฒนาจัดท าหลักสูตรอยู่ภายใต้ การก ากับดูแลของหน่วยงานระดับส านัก/กอง ภายใต้กรม/ส านักงาน เพียงอย่างเดียวส่งผลต่อการยกระดับพัฒนา วิชาการ หรือสร้างความเชื่อมั่นในระดับประเทศในการพัฒนาผู้เรียนด้วยกระบวนการต่าง ๆ จึงมีมีแนวคิดที่จะ จัดตั้งสถาบันหลักสูตรและการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาคุณภาพทางด้านวิชาการของประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่เมื่อมีการหารือกันในประเด็นของการจัดตั้งสถาบันฯ ดังกล่าว พบว่า ทางรัฐบาลมีแนวคิดที่จะไม่มีการจัดตั้ง หน่วยงานขึ้นมาใหม่ แต่ให้ปรับหน่วยงานเดิมที่มีอยู่ให้สามารถท างาน ปรับกระบวนการท างานต่าง ๆ ให้รองรับกับ สถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนไป ภายใต้ฐานแนวคิดของการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในมิติที่หลากหลาย และการ ปรับใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อตอบโจทย์คุณภาพวิชาการและนโยบายต่าง ๆ ในการด าเนินการให้ประสบ ผลส าเร็จ กำรก ำกับนโยบำยด้ำนกำรศึกษำ มุ่งเน้นครอบคลุมใน 4 เรื่องหลัก คือ (1) นโยบายและ มาตรฐานทางการศึกษา (2) กรอบอัตราก าลังครูในระบบ (3) ทรัพยากรทางการศึกษา และ (4) กฎหมายทางการ ศึกษา จึงมอบบทบาทให้คณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติ (มาตรา 88) ดูแลครอบคลุมถึงผู้ก าหนด นโยบาย นโยบายต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการศึกษา ผู้รับผิดชอบการนโยบายน าไปปฏิบัติ การยกระดับแผนการศึกษา แห่งชาติ ซึ่งมีความส าคัญในการก าหนดทิศของการจัดการศึกษาของประเทศ โดยปรับเปลี่ยนการท างานในรูปแบบ ของแผนปฏิบัติการหรือ Action Plan ทุก ๆ 5 ปี เพื่อก าหนดทิศทางการขับเคลื่อนการศึกษาและมิติด้านต่าง ๆ ให้ ทันสมัยและตอบโจทย์ของการพัฒนาประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กลไกกำรมีส่วนร่วมภำคประชำชน (มาตรา 18) กลไกดังกล่าวมีความส าคัญอย่างมากกับ สภาพ/บริบทของประเทศไทยในยุคปัจจุบัน มาตรา 18 ตาม ร่าง พรบ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... นี้ก าหนดขึ้น


82 ด้วยวัตถุประสงค์หลัก คือ เพื่อส่งเสริมการรวมตัวของประชาชนตามความต้องการของคนในพื้นที่เพื่อพัฒนา คุณภาพการจัดการศึกษาในจังหวัดของตนตามประเด็นของแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะไม่เหมือนกัน แล้วแต่บริบท/ความต้องการ ของแต่ละพื้นที่ โดยการรวมตัวของประชาชนในระดับจังหวัดหรือที่เรียกกันว่าระดับพื้นที่ตามมาตรา 18 เพื่อท า เรื่องของการศึกษาตามความต้องการของพื้นที่ น าไปสู่การเกิดกลไกภาคประชาชนในรูปแบบของคณะบุคคลระดับ จังหวัด ระดับอ าเภอ ระดับต าบลโดยสัดส่วนองค์ประกอบของคณะบุคคลเป็นรูปแบบที่ยึดตามความต้องการของ คนในแต่ละพื้นที่ที่ต้องการเข้ามามีส่วนร่วม บนเป้าหมายเดียวกันคือการพัฒนาการศึกษา ตามหลักการมีส่วนร่วม คณะบุคคลดังกล่าว จะเป็นกลไกส าคัญในการก าหนดประเด็นการศึกษาของพื้นที่ตนเองบนความหลากหลาย ลักษณะเฉพาะ จุดเด่น หรือจุดแข็ง โดยร่วมกันพัฒนา ส่งเสริม ผลักดันให้คนในพื้นที่ด าเนินการและขับเคลื่อน ดังนั้น กลไกภาคประชาชนหรือกลไกการมีส่วนร่วมภาคประชาชนในระดับพื้นที่จึงเป็นกลไกส าคัญที่สอดรับต่อ เจตนารมณ์ของกฎหมาย เป้าหมายของกลไกการมีส่วนร่วมภาคประชาชน คือ การให้ความส าคัญกับการรวมตัวกัน ของคนในพื้นที่เป็นคณะบุคคลภายใต้ชื่อเรียกต่าง ๆ ในระดับพื้นที่ที่หลากหลายไม่ติดกรอบกับระบบราชการ แต่เป็นการเปิดโอกาสให้พื้นที่สามารถรวมตัวกันเป็นคณะบุคคลในรูปแบบใดก็ได้เพื่อร่วมพัฒนาการจัดการศึกษาใน จังหวัดของตน กำรส่งเสริมและสนับสนุนกำรจัดกำรศึกษำและกำรเรียนรู้ตลอดชีวิต ตามความในมาตรา 9 มุ่งเน้นการส่งเสริม สนับสนุน ช่วยเหลือ และกระตุ้นการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งแหล่งเรียนรู้ ตลอดชีวิต (มาตรา 21) หน่วยงานรัฐ สถานประกอบการ ต้องอาศัยความร่วมมือในการจัดการทรัพยากรในพื้นที่ เพื่อให้เกิดแหล่งเ รียน รู้ที่หล ากหล าย เพียงพอ และรองรับต่อลักษณะของการ เรียนรู้ของประชาชน ตลอดจนสถาบันดิจิทัล แพลตฟอร์มจ าเป็นต้องยกระดับพัฒนาให้มี คุณภาพ ร่วมประสานยกระดับกับหน่วยงาน ต่าง ๆ เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มแห่งการ เ รียน รู้ตลอดชีวิต (ตัวอย่ างเช่น Thai MOOC)


83


84 ส่วนที่ 5 : บทสรุปจากการจัดกิจกรรม KM !!! จากการจัดกิจกรรม km ของส านักมาตรฐานการศึกษาและพัฒนาการเรียนรู้ จ านวน 12 ครั้ง ในปีงบประมาณ 2564 – 2565 ด้วยวิธีการที่หลากหลายทั้งการศึกษาเอกสาร การประชุมเชิงปฏิบัติการ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กลุ่มย่อย การศึกษาดูงานเพื่อถอดบทเรียนองค์ความรู้จากศูนย์การเรียนรู้ แหล่งการเรียนรู้ ตลอดจนองค์ความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวบุคคล พบว่า องค์ความรู้ที่เกิดขึ้นแบ่งออกเป็น 3 ระดับ โดยเป็นการจัดแบ่งตามการน าองค์ความรู้ไปใช้ ประโยชน์ได้แก่ 1) องค์ความรู้ เกี่ยวกับภาพรวมของส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา 2) องค์ความรู้ เกี่ยวกับ ส านักมาตรฐานการศึกษาและพัฒนาการเรียนรู้ 3) องค์ความรู้ เกี่ยวกับการพัฒนาบุคลากรของส านักงานฯ ดังนี้ องค์ความรู้ เกี่ยวกับภาพรวมของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ได้แก่ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 การเขียนโครงการ การจัดซื้อจัดจ้างตามพรบ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุ ภาครัฐ พ.ศ. 2560 FUTURE EDUCATION การศึกษาขั้นพื้นฐานควรเรียนแค่ไหน สิ่งที่ได้เรียนรู้และตัวอย่ำง กำรน ำองค์ควำมรู้ไปปรับใช้ อำทิ กำรเขียนโครงกำรของส ำนักงำนฯ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณ ควรพิจารณาให้ ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ทั้งแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฯ ทิศทาง แนวโน้มการจัดการศึกษาของไทย และของโลก จากนั้น ออกแบบกิจกรรมให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ก าหนดการใช้งบประมาณที่เหมาะสมและ ถูกต้องตามพรบ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ องค์ความรู้ เกี่ยวกับสำนักมาตรฐานการศึกษาและพัฒนาการเรียนรู้ได้แก่ ภูมิปัญญาไทย SOFT POWER ที่ทรงพลังของชาติ ระบบนิเวศการเรียนรู้กับการเรียนรู้ตลอดชีวิต การพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... สิ่งที่ได้เรียนรู้และตัวอย่ำงกำรน ำองค์ควำมรู้ไปปรับใช้ อำทิ ในกำรขับเคลื่อนโครงกำร/ งำนของส ำนักฯ ควรมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะและสมรรถนะ การเรียนรู้ตลอดชีวิตให้เกิดขึ้น เนื่องจากแนวโน้ม ทิศทางของโลกในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความรู้ มีวันหมดอายุ ส่งผลให้ความรู้ที่ผู้เรียนได้รับจากระบบการศึกษาเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ดังนั้น ระบบการศึกษา จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนและมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะให้เกิดขึ้น ทั้งทักษะก ากับการเรียนรู้ของตนเอง การแสวงหา ความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งทักษะดังกล่าวฯ เป็นหนึ่งในทักษะย่อยของการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทั้งนี้ ควรมุ่งพัฒนาระบบ นิเวศการเรียนรู้ให้เอื้อต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เช่นเดียวกัน เนื่องจากเป็นหัวใจหลักของการสร้างการเรียนรู้ ตลอดชีวิตให้เกิดขึ้น ส าหรับระบบนิเวศการเรียนรู้ที่ดีมีองค์ประกอบ ได้แก่ 1) การเปลี่ยนกรอบความคิด ที่มุ่งเน้นและ ให้ความส าคัญกับการเรียนรู้2) การเตรียมความพร้อมของบุคลากร/ องค์กรใน 4 บทบาท ทั้งผู้สอน โค้ช ผู้อ านวย


85 ความสะดวก และที่ปรึกษา 3) สิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยียุคใหม่ ซึ่งสร้างความสุขในการเรียนรู้ 4) วิธีการเรียนรู้/ เนื้อหาการเรียนรู้ที่มีความหลากหลาย เหมาะสมกับความต้องการและความถนัด 5) วัฒนธรรมการเรียนรู้ ยุทธศาสตร์การมีส่วนร่วม ในการแสดงความคิดเห็น ร่วมจัดกิจกรรม เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ และ 6) ความยืดหยุ่น และทางเลือกที่หลากหลาย เพื่อให้การแลกเปลี่ยนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา องค์ความรู้ เกี่ยวกับการพัฒนาบุคลากรของสำนักงานฯ ได้แก่ MBTI: 16 Personality Types เข้าใจ ตัวตนบุคลิกภาพทั้ง 16 แบบ สิ่งที่ได้เรียนรู้และตัวอย่ำงกำรน ำองค์ควำมรู้ไปใช้ อำทิ บุคลิกภำพทั้ง 16 แบบตำม MBTI สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างหลากหลายของบุคคล ทั้งจุดแข็ง กระบวนทางจิตใจที่แต่ละคนถนัด การตัดสินใจ การรับรู้ข้อมูล ทิศทางความสนใจ วิธีการรับมือกับ เหตุการณ์ต่าง ๆ ดังนั้น การเข้าใจถึงบุคลิกภาพและความแตกต่างจะช่วยให้สามารถออกแบบแนวทางการพัฒนา บุคลากรของส านักฯ ได้อย่างเหมาะสมมากยิ่งขึ้น บุคลากรสามารถพัฒนาตนเองได้ตรงตามความต้องการและ ความถนัด สามารถใช้ชีวิตได้สอดคล้องกับค่านิยมของตนเอง น าไปสู่การพัฒนาในภาพรวมขององค์กรต่อไป ทั้งนี้กำรจะขับเคลื่อนงำนของ สกศ. และสมร. ให้เป็นไปอย่ำงมีประสิทธิภำพ เกิดผลลัพธ์ในเชิงปฏิบัติ ควรให้ควำมส ำคัญกับกำรน ำองค์ควำมรู้ในทุกระดับมำใช้ ซึ่งเป็นองค์ควำมรู้ที่ได้รับกำรพัฒนำอย่ำงเป็นระบบ มีกำรเชื่อมโยงร้อยรัดไปในทิศทำงเดียวกัน อำทิ ระดับภำพรวมขององค์กร องค์ควำมรู้จะต้องมีควำมชัดเจน สร้ำงแรงบันดำลใจ ง่ำยต่อกำรถ่ำยทอดและน ำไปปฏิบัติ องค์ควำมรู้ในระดับส ำนักฯ จะต้องสำมำรถสะท้อน ภำพกำรขับเคลื่อนแนวคิดสู่กำรปฏิบัติได้และระดับบุคคลที่จะต้องมีกำรบริหำรจัดกำรองค์ควำมรู้อย่ำง เป็นระบบ ซึ่งเป็นระดับที่ควรให้ควำมส ำคัญมำกที่สุด เนื่องจำกเป็นจุดเริ่มต้นขององค์ควำมรู้ทั้งกำรใช้และ กำรปฏิบัตินอกจำกนี้ ระดับบุคคล ควรมีกำรพัฒนำให้มีทัศนคติที่ดีต่อกำรเรียนรู้ เปิดกว้ำงต่อกำรรับ ให้ และ ส่งต่อควำมรู้อย่ำงไรก็ดี กำรจัดกิจกรรม km ของ สมร. ในปีงบประมำณถัดไป ควรพิจำรณำให้ครอบคลุม องค์ควำมรู้ทุกระดับ มีหัวข้อกำรแลกเปลี่ยนรู้ที่เหมำะสมกับกำรน ำองค์ควำมรู้ไปใช้ มีกำรเผยแพร่ ประชำสัมพันธ์ในภำพรวมของส ำนักงำนฯ เพื่อให้ เกิดกำรแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ต่อยอด และน ำไปใช้ตำม กระบวนกำร/ ขั้นตอนของกำรจัดกำรควำมรู้ต่อไป


86 รายการอ้างอิง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2559). Knowledge Management กำรจัดกำรควำมรู้สืบค้น 2 พฤศจิกายน 2565 จาก https://www.econ.cmu.ac.th/km/ มหาวิทยาลัยมหิดล. (ม.ป.ป.). กำรจัดกำรควำมรู้(km) สืบค้น 1 พฤศจิกายน 2565 จาก https://quality.sc.mahidol.ac.th/plan_and_policy/km/ ศูนย์ความรู้กินได้. (ม.ป.ป.). กำรจัดกำรควำมรู้ (KM) คืออะไร? จ ำเป็นแค่ไหนต้องใช้ KM? สืบค้น 1 พฤศจิกายน 2565 จาก https://www.okmd.or.th/upload/pdf/chapter1_kc.pdf สหธร เพชรวิโรจน์ชัย. (2564). 7 ตัวอย่ำง Knowledge Management เครื่องมือจัดกำรควำมรู้ ในองค์กร สืบค้น 2 พฤศจิกายน 2565 จาก https://th.hrnote.asia/orgdevelopment/210819-knowledge-management/


87 คณะผู้จัดทำ ที่ปรึกษา นำยอรรถพล สังขวำสี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ด ารงต าแหน่ง เลขาธิการสภาการศึกษา พ.ศ. 2564 – 2565) นำยสุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการสภาการศึกษา นำยสวัสดิ์ ภู่ทอง รองเลขาธิการสภาการศึกษา นำยธนู ขวัญเดช รองเลขาธิการสภาการศึกษา นำงประวีณำ อัสโย ผู้อ านวยการส านักมาตรฐานการศึกษาและพัฒนาการเรียนรู้ คณะทำงานการจัดการความรู้ (KM) ของสำนักมาตรฐานการศึกษาและพัฒนาการเรียนรู้ นำงประวีณำ อัสโย ผู้อ านวยการส านักฯ และที่ปรึกษา นำงสำวกรกมล จึงส ำรำญ ประธานคณะท างาน นำงสำวทัศน์วลัย เนียมบุบผำ คณะท างาน นำยเอกพล ดวงศรี คณะท างาน นำงสำววรำกร สำยแก้ว คณะท างาน นำงฐิติวรดำ แห้วเพ็ชร คณะท างาน นำงสำวอุบล ตรีรัตน์วิชชำ คณะท างาน นำงสำวนูรียำ วำจิ คณะท างาน นำงสำวสิริกำนต์ แก้วคงทอง คณะท างาน นำงสำวสุชำดำ กลำงสอน คณะท างาน นำงสำวนริศรำ ใจคง คณะท างานและเลขานุการ นำยศัพทสร ทองดี คณะท างานและเลขานุการ บรรณาธิการ นำงสำวกรกมล จึงส ำรำญ ผู้อ านวยการกลุ่มพัฒนานโยบายด้านการมีส่วนร่วมและ การเพิ่มโอกาสทางการศึกษา นำงสำวสิริกำนต์ แก้วคงทอง นักวิชาการศึกษาปฏิบัติการ นำงสำวนริศรำ ใจคง นักวิชาการศึกษาปฏิบัติการ นำยศัพทสร ทองดี นักวิชาการศึกษาปฏิบัติการ


88 หน่วยงานผู้รับผิดชอบ กลุ่มพัฒนำนโยบำยด้ำนกำรมีส่วนร่วมและกำรเพิ่มโอกำสทำงกำรศึกษำ ส านักมาตรฐานการศึกษาและพัฒนาการเรียนรู้ ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ 99/20 ถนนสุโขทัย เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300 โทร. 02 – 668 – 7123 ต่อ 2513, 2512, 2533 โทรสาร 02 – 243 – 1128


Knowledge Management การรวบรวมองค์ความรู้ที่มี ที่ อ มี ยู่ในหน่วยงาน ซึ่ง ซึ่ กระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคล เอกสาร หรือ ประสบการณ์การทำ งานของบุคลากร มาจัดกระทำ ให้เป็นระบบ เพื่อการเข้าถึง ถึ และนำ ไปใช้งานได้ อย่างมีปมี ระสิทธิภาพ การจัดการความรู้ สำ นักมาตรฐานการศึกษาและพัฒนาการเรียนรู้ สำ นักงานเลขาธิการสภาการศึกษา โทรศัพท์ 0 2668 7123 ต่อ 2513 โทรสาร 0 2243 1229 Website : www.onec.go.th


Click to View FlipBook Version