การพฒั นาความสามารถการเขยี นสะกดคำศพั ท์ภาษาองั กฤษโดยใช้เกม
สำหรับนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 2
โรงเรยี นธิดาแม่พระ จงั หวดั สุราษฎร์ธานี
โดย
นางสาวสโรชา วงคว์ ชิ ติ
กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ
ปีการศึกษา 2564
โรงเรียนธดิ าแม่พระ อำเภอเมือง จงั หวดั สุราษฎร์ธานี
การพฒั นาความสามารถการเขียนสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกม
สำหรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 2
โรงเรียนธดิ าแมพ่ ระ จังหวดั สุราษฎร์ธานี
โดย
นางสาวสโรชา วงศ์วชิ ิต
กลุม่ สาระการเรียนรู้ ภาษาตา่ งประเทศ
ปีการศกึ ษา 2564
โรงเรียนธดิ าแมพ่ ระ อำเภอเมือง จังหวดั สุราษฎรธ์ านี
ก
กิตติกรรมประกาศ
รายงานการวจิ ยั ในชน้ั เรียนเรือ่ งการพัฒนาความสามารถการเขียนสะกดคาศพั ท์ภาษาองั กฤษโดยใช้
เกมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนธดิ าแม่พระ จัดทาขึน้ เพ่อื พฒั นาความสามารถนกั เรยี นที่
ขาดทักษะการเขียนสะกดคาภาษาองั กฤษใหม้ ีทักษะ ความรู้ และความเขา้ ใจในดา้ นการสะกดคาศัพท์
ภาษาองั กฤษทดี่ ียงิ่ ขน้ึ และเปน็ ประโยชน์ต่อการเรียนวชิ าภาษาอังกฤษให้ดียง่ิ ขนึ้ ของนกั เรยี น ทงั้ น้ผี ูว้ จิ ยั
ขอขอบพระคณุ ทา่ น ผ้อู านวยการ รองผู้อานวยการ หวั หน้ากลุ่มบรหิ ารวชิ าการ หวั หนา้ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้
ภาษาตา่ งประเทศ และคณะครทู ี่ไดใ้ ห้คาแนะนาในการทางานวิจยั ฉบับนีใ้ ห้ออกมาไดโ้ ดยกรณุ าให้คาปรกึ ษา
แนะนาแนวความคิดและช่วยให้กาลงั ใจตลอดระยะเวลาทท่ี างานวิจยั ฉบับนี้จนการทาวิจยั ครง้ั นี้ ให้สาเรจ็
ลลุ ่วงไปดว้ ยดี
ผ้วู ิจยั หวังเปน็ อย่างย่ิงวา่ การวจิ ยั เรื่องน้ีจะเป็นประโยชน์ตอ่ ผอู้ า่ นเพ่ือเป็นแนวทางใน การพัฒนาการ
เรยี นการสอนดา้ นภาษาองั กฤษ โดยเฉพาะดา้ นการพฒั นาการเขียนสะกดคาศัพทใ์ หม้ ปี ระสทิ ธภิ าพมากยิง่ ขึ้น
หากงานวจิ ยั ฉบับนม้ี ีข้อบกพร่องประการใดผวู้ จิ ยั ขออภัยมา ณ ทนี่ ้ี
นางสาวสโรชา วงศ์วชิ ิต
ผู้วิจยั
ข
ชอื่ งานวจิ ยั : การพัฒนาความสามารถการเขยี นสะกดคาศพั ทภ์ าษาองั กฤษโดยใช้เกมของนักเรียนชน้ั
มธั ยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรยี นธิดาแม่พระ อาเภอเมือง จ.สุราษฎรธ์ านี
ช่ือ-สกุล ผ้วู จิ ัย: นางสาวสโรชา วงศว์ ชิ ิต ตาแหน่งครู
ปีที่วิจยั : 2564
บทคดั ย่อ
การวิจัยคร้งั นเี้ ป็นการวิจยั เชิงทดลองขั้นตน้ มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื 1) เพ่ือเปรียบเทยี บความสามารถการ
เขยี นคาศัพท์ภาษาอังกฤษระหวา่ งกอ่ นและหลังการใชเ้ กมโดยใชแ้ บบทดสอบวดั ผลสัมฤทธก์ิ ่อนเรยี นและหลงั
เรยี นกลุ่มตวั อย่างเปน็ นกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 หอ้ งเรยี น 2/3 โรงเรยี นธิดาแมพ่ ระ ภาคเรียนท่ี 2 ปี
การศกึ ษา 2564 จานวน 58 คนได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย รปู แบบการวิจัยเปน็ แบบการวิจัยเป็นการวิจยั เชงิ
ทดลองขน้ั ตน้ เครอื่ งมอื ทใ่ี ช้ในการวจิ ัยประกอบดว้ ยแผนการสอนโดยใชเ้ กมคาศพั ท์ประกอบในการสอน แบบ
ฝึกทกั ษะการเขียนสะกดคาศัพทแ์ บบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนรคู้ าศพั ท์สถติ ิท่ีใช้ ไดแ้ ก่ คา่ รอ้ ยละ
คา่ เฉลยี่ เลขคณิต ค่าความเบ่ียงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถการเขยี นคาศัพท์
ภาษาอังกฤษหลังการใชเ้ กมสงู กวา่ ก่อนการใช้เกม อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01
สารบญั ค
เรอ่ื ง หน้า
กติ ติกรรมประกาศ ก
บทคดั ยอ่ ข
สารบัญ ค
บทท่ี 1 บทนา 1
1
1.1 ความเป็นมาของปญั หาและความสาคญั ของการวิจัย 2
1.2 จดุ มุ่งหมายของการวิจัย 3
1.3 ขอบเขตการวจิ ัย 3
1.4 นิยามคาศพั ท์ 3
1.5 ตัวแปรการศกึ ษา 3
1.6 ประโยชน์ทีค่ าดว่าจะได้รบั 4
1.7 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย 5
บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยท่เี กย่ี วขอ้ ง 5
2.1 เอกสารและงานวิจัยทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การเขยี นสะกดคาศัพท์ 5
6
- ความหมายของการเขยี นสะกดคาศพั ท์ 6
- ความสาคญั ของการเขียนสะกดคาศพั ท์ 7
- จดุ มุ่งหมายของการเขยี นสะกดคา 8
- หลกั การเขียนสะกดคาศพั ท์ภาษาองั กฤษ 8
2.2 เอกสารและงานวิจัยทีเ่ กีย่ วข้องกับการใช้เกมเพื่อพฒั นาทกั ษะการเขียน 9
- ความหมายของเกมส์ 10
- ความสาคญั ของการใช้เกมส์ 11
- ประเภทของเกมเพ่ือพัฒนาทกั ษะการเขยี นคาศัพทภ์ าษาอังกฤษ 11
- หลักการใชเ้ กมในการสอน 14
2.3 ทฤษฎแี นวการสอนภาษาเพื่อการสอื่ สาร 15
2.4 เอกสารและงานวจิ ยั ท่เี กยี่ วขอ้ งกับแบบฝกึ 16
- การพฒั นาแบบฝกึ 17
- ลกั ษณะของแบบฝกึ ทกั ษะท่ีดี 18
- ประโยชนข์ องแบบฝกึ ทักษะ 18
2.5 งานวจิ ยั ทีเ่ กย่ี วข้อง 18
- งานวจิ ยั ในประเทศทเ่ี กี่ยวข้อง 20
- งานวจิ ยั ต่างประเทศทีเ่ กยี่ วข้อง
บทท่ี 3 วิธีการดาเนินการวจิ ัย
สารบญั (ตอ่ ) ง
เรอื่ ง หน้า
3.1 วัตถุประสงค์ 20
3.2 ประชากร 20
3.3 ตวั แปรทศ่ี กึ ษา 20
3.4 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 20
3.5 ระยะเวลาท่ีใชใ้ นการวจิ ัย 20
3.6 การสรา้ งและพัฒนาเครอื่ งมือ 20
3.7 วธิ ีดาเนนิ การทดลอง 22
3.8 ข้ันตอนการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมลู 25
26
บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู 26
4.1 สัญลกั ษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะหข์ อ้ มูล 26
4.2 ข้ันตอนการวิเคราะห์ขอ้ มูล 26
4.3 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู 29
29
บทท่ี 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 29
5.1 สรุปผลการวจิ ัย 30
5.2 อภปิ รายผล 30
5.3 ข้อเสนอแนะเพอ่ื การสอน 31
5.4 ขอ้ เสนอแนะเพ่อื การวจิ ัย
บรรณนกุ รม
1
บทที่ 1
บทนา
ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา
ภาษาอังกฤษถือว่ามีความสาคัญอย่างมากซึ่งประเทศไทยได้จัดให้มีการเรียนการสอนวิชา
ภาษาอังกฤษตั้งแต่ระดับอนบุ าลจนถึงระดับอุดมศึกษา คิดเป็นระยะเวลายาวนานในการเรียนรวมอย่างน้อย
14 ปี หลักสตู รแกนกลางข้นั พน้ื ฐานพทุ ธศักราช 2551 กลุม่ สาระการเรยี นร้ภู าษาต่างประเทศมงุ่ หวังให้ผู้เรียน
มเี จตคติท่ดี ีตอ่ ภาษาตา่ งประเทศและสามารถใช้ภาษาต่างประเทศสื่อสารในสถานการณ์ตา่ งๆ แสวงหาความรู้
ประกอบอาชีพและศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นรวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องราวและวัฒนธรรมอัน
หลากหลาย ของประชาคมโลกและสามารถถ่ายทอดความคิดและวัฒนธรรมไทยไปยังสังคมโลกได้อย่าง
สร้างสรรค์ซึ่ง ประกอบด้วยสาระสาคัญดังนี้ ภาษาเพื่อการสื่อสาร, ภาษาและวัฒนธรรม, ภาษากับ
ความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระ การเรียนรู้อื่นและ ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก ผู้วิจัยได้หยิบยก
สาระสาคัญว่าด้วยเรื่องภาษาเพื่อการสื่อสารเนื่องจากสาระสาคัญนี้ได้สอดคล้องกับงานวิจัยที่ผู้วิจัยได้
ทาการศึกษาค้นคว้าซง่ึ ในสาระสาคัญน้ี ทางหลักสตู รแกนกลางข้ันพืน้ ฐานพุทธศกั ราช 2551 ได้กล่าวเก่ียวกับ
ภาษาเพื่อการสื่อสารไว้ว่า “การใช้ ภาษาต่างประเทศในการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร
แสดงความรู้สึกและความคดิ เหน็ ตีความ นาเสนอข้อมลู ความคิดรวบยอดและความคิดเหน็ ในเร่ืองต่างๆ และ
สร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลอย่างเหมาะสม” โดยในปัจจุบันพบว่าปัญหาพื้นฐานของการเรียน
ภาษาอังกฤษทัง้ ส่ีทักษะคือ ปญั หาคาศัพท์ เนือ่ งจากความร้ดู ้านคาศพั ท์ไม่เพียงพอ เปน็ สาเหตุสาคัญประการ
หนงึ่ ทีท่ าใหน้ ักเรยี นไมป่ ระสบความสาเรจ็ ใน การเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรยี นไม่ว่าจะเป็นทกั ษะ การฟัง พูด
อ่าน และเขียน ซึ่งเป็นทักษะที่สาคัญและ จาเป็นที่นักเรียนจะต้องมีพื้นฐานเกี่ยวกับคาศัพท์ จึงจะสามารถ
เรยี นภาษาได้ดี จึงเปน็ ท่ียอมรบั วา่ “คาศพั ท์” เปน็ หัวใจสาคัญในการศกึ ษาภาษาอยา่ งหนึ่ง อยา่ งไรกต็ าม การ
สอนคาศพั ท์ในประเทศไทยนน้ั ยังได้รบั ความสนใจน้อย และการละเลยใน ดา้ นการสอน จึงได้ก่อใหเ้ กิดปัญหา
แกน่ กั เรยี นไทยในการสอนหลายดา้ น ดังนน้ั ภาษาองั กฤษจึงเปน็ สว่ นหนึ่ง ของหลายๆกจิ กรรมในชีวติ ประจาวัน
และในการทีจ่ ะใชภ้ าษาอังกฤษได้ดนี น้ั ผเู้ รียนต้องฝกึ ฝนทงั้ ทักษะการ พดู การฟงั การอ่าน และการเขียนโดย
เชื่อมโยงกับการนาไปใช้ไดจ้ รงิ และในทกั ษะการส่อื สารภาษาองั กฤษท้ังหมด ทักษะการเขียนเปน็ ทกั ษะที่สาคญั
อย่างหนึ่งต่อการเรียนภาษาเพราะ การเขียนเป็นกระบวนการที่ต้อง ฝึกฝนอย่างมีระบบ ต้องหมั่นอดทน
ฝึกซ้อม ซึ่งการเขียนที่ดีนัน้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสาหรับผู้ที่เรียนวิชา ภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ เพราะ
แม้แต่ตวั ของเจ้าของภาษาเองนน้ั กพ็ บว่าการเขยี นยาก เนื่องมาจาก สะกดคาศัพท์นน้ั ๆ ไมถ่ ูกต้อง รู้ตัวอักษร
แต่ประสมเป็นคาไมไ่ ด้ แตอ่ ย่างไรก็ตามการฝึกความสามารถด้านการ เขยี นกช็ ว่ ยให้ตัวผู้เรียนพฒั นาทักษะการ
เรยี นรู้ภาษาองั กฤษในด้านการอ่าน ดา้ นการฟัง และดา้ นการพดู ได้ ด้วยจากปัญหาข้างตน้ ได้มีผู้ให้ความสนใจ
ศึกษาปัญหาและหาวิธีแก้ไข เช่น นิตยา ดวงเงิน (2547) ซึ่งได้ทาการ วิจัยพบว่าเกมช่วยให้นักเรียนเขียน
ตัวอักษรถูกต้องตามหลัก เขียนสะกดคาศัพท์ได้อย่างถูกต้องมากข้ึน ซึ่ง สอดคล้องกับปารมี นกสวน (2547)
2
ซึ่งได้ทาการวิจัยเกี่ยวกับการใช้เกมแฮงแมนเป็นกิจกรรมเตรียมความ พร้อมเพื่อเพิ่มความตระหนักในเรื่อง
แบบแผนการสะกดบอกวา่ เกมช่วยให้นักเรียนเขา้ ใจแบบแผนการสะกด คาภาษาอังกฤษ สามารถจาคาศพั ท์
ได้แม่นยาและถูกต้อง ทั้งยังสามารถเดาคาศัพท์ทีส่ ะกดคล้ายคลึงกันได้อกี ด้วย นอกจากนี้ณัฐชา เรืองเกษม
(2547) พบว่า สามารถพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคาศัพท์ภาษาอังกฤษของ นักเรียนให้เพิ่มขึ้นได้ โดยมี
คะแนนการเขียนสะกดคาศัพท์ภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้นจากคะแนนก่อนเรียนร้อยละ 39.00 และมีผลสัมฤทธิ์
ทางการเขยี นสะกดคาศพั ท์ภาษาอังกฤษหลังเรยี นเพมิ่ ขึ้นจากก่อนเรียนอย่างมี นัยสาคญั ทางสถิติท่รี ะดับ 0.01
หลักสตู รสถานศกึ ษาโรงเรียนธิดาแม่พระได้กล่าวเกี่ยวกบั สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียนวา่ ดว้ ย เรอื่ งการ
สื่อสารไว้ว่า “นักเรียนควรมีความสามารถในการรบั ส่งสารมีวัฒนธรรมถา่ ยทอดความคิด ความรู้ และ ทัศนะ
ของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันเป็นประโยชน์ต่อการพฒั นาตนเองและ สังคม
รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่างๆการเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสาร ด้วย
หลักเหตุผลและความถูกตอ้ งตลอดจนการเลอื กใช้วิธีการส่ือสารทมี่ ีประสทิ ธิภาพโดยคานงึ ถงึ ผลกระทบท่ีมี ต่อ
ตนเองและสงั คม” (หลักสตู รสถานศึกษาโรงเรียนโคกโพธ์ิไชยศึกษาหลักสูตรปรับปรงุ พุทธศักราช 2554) เม่ือ
ศกึ ษาถึงสาเหตขุ องปญั หาดงั กล่าวพบว่า นักเรียนมีปญั หาอยู่หลายด้านด้วยกัน แต่ท่ชี ดั เจนท่สี ุด คอื การเขียน
สะกดคาศัพท์ภาษาอังกฤษไม่ได้ของนักเรยี น ซึ่งมีสาเหตุมาจากการการนาตัวอักษรมาประสม เป็นคาไม่เปน็
และไม่มีสื่อที่สามารถดึงดูดความสนใจให้นักเรียนเขียนได้ ทาให้นักเรียนส่วนหนึ่งขาดทักษะการ เขียน
ภาษาอังกฤษ ซ่งึ ทาใหก้ ารพัฒนาทกั ษะดา้ นอนื่ ๆทางภาษาอังกฤษเป็นไปด้วยความยากลาบาก เพราะ นักเรยี น
ไม่สามารถสะกดคาศัพท์ซึ่งจะนาไปสู่ทักษะการเขียนที่ดไี ดใ้ นลาดับต่อไป และปัญหานี้ยงั ไม่ไดร้ บั การ แก้ไข
เท่าที่ควร เพราะเวลาการเรียนการสอนนั้นมีจากัด ประกอบกับการให้ความใส่ใจในการเรียนรู้ของ นักเรียน
ด้วย และนักเรียนก็มีจานวนมากจึงทาให้มีเวลาไม่เพียงพอต่อการให้นักเรียนฝึกฝนได้ครบทุกคน ผู้วิจัยได้
ปฏิบัติการสอนในรายวิชา อ22102 ภาษาอังกฤษพื้นฐานของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/3 โรงเรียนธิดาแม่พระ
ปรากฏว่ามนี กั เรียนจานวนหน่งึ ประสบปญั หาการเขียนสะกดคาศัพทไ์ ม่ได้ ทาให้ ทราบวา่ นักเรียนขาดทักษะ
ทางดา้ นการเขยี นเป็นอย่างมาก เนอ่ื งจากเมอ่ื ผู้วจิ ยั ใหน้ ักเรียนเขียนคาศัพท์ ภาษาองั กฤษ นกั เรียนไม่สามารถ
นาตัวอักษรต่างๆมาประสมเป็นคานั้นๆได้ ดังนั้นจากการศึกษาข้างต้นทาให้ ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะนาเกม
ต่างๆมาเพื่อพัฒนาทักษะการเขียนคาศัพท์สาหรบั นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/3 โดยคุณครูจะนากิจกรรม
เกมต่างๆมาใช้ในขั้นสรุป คือหลังจากสอนคาศัพท์ให้นักเรียนไปแล้ว ผู้วิจัยจะนา คาศัพท์นั้นๆมาทบทวนให้
นักเรยี นโดยใช้เกม ซึ่งเกมทผ่ี ู้วจิ ยั ได้ใชน้ น้ั มีทั้งหมด 4 เกม คอื เกม Bingo, เกม สร้างคาศพั ท์, เกมลูกโซ่และ
เกม Hangman ซึ่งจะวดั ผลโดยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธกิ์ ารเขยี นสะกดคาศพั ท์
วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย
เพื่อเปรียบเทียบความสามารถการเขยี นคาศัพท์ภาษาอังกฤษระหว่างก่อนและหลังการใช้เกมโดยใช้
แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิกอ่ นเรียนและหลงั เรียน
3
ขอบเขตการวิจัย
1. ขอบเขตดา้ นประชากร คือ นักเรยี นกลมุ่ เปา้ หมายช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 2/3 จานวน 58 คน
2. ขอบเขตดา้ นเน้อื หา สาระการเรียนรู้ ภาษาตา่ งประเทศ
- แผนการจัดการเรยี นร้ทู ี่ 1 เรื่อง How to use machines
- แผนการจดั การเรยี นรูท้ ี่ 2 เรื่อง Talking about Weather
- แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง Expressing Like and Dislike
- ขอบเขตด้านเวลา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ระหว่างเดอื น มกราคม – กุมภาพันธ์
ระยะเวลา 2 ชั่วโมงตอ่ สปั ดาหร์ วมท้งั ส้ิน 4 สัปดาห์
นยิ ามศัพท์เฉพาะ
1. ความสามารถในการเขียนคาศัพท์ภาษาอังกฤษ หมายถึง การเขียนสะกดคาศัพท์ภาษาอังกฤษได้
อย่างถูกต้อง สามารถกาหนดตัวอักษรหรือสัญลักษณ์แทนเสียง สามารถถ่ายทอดความคิดออกมาเป็น
ตัวหนงั สอื และผอู้ ่านสามารถเข้าใจได้ สามารถเขยี นเรยี งพยญั ชนะ สระ วรรณยุกต์ ตวั สะกดเรียบเรียงเป็นคา
ได้ถกู ต้อง
2. เกม หมายถงึ กิจกรรมท่ีจดั อยใู่ นรูปของการเล่นหรอื แข่งขันอย่างมีกฎเกณฑ์ในแตล่ ะเกมกาหนดจุ
มงุ่ หมาย จานวนผู้เล่น อปุ กรณ์ วิธกี ารเลน่ กตกิ า เวลา เพ่อื พฒั นาทักษะการเขียนสะกดคาศัพท์ของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีด้วยกันทั้งหมด 4 เกม ดังนี้ เกมบิงโกคาศัพท์, เกมสร้างคาศัพท์, เกมลูกโซ่, เกม
Hangman ซึ่งเป็นเกมเกี่ยวกบั การสะกดคาศัพท์ทั้งสิ้น โดยผู้วิจัยจะนามาใช้ในขั้นสรุปบทเรียนเพื่อทบทวน
คาศัพท์หลงั จากเรยี นจบแต่ละบท
3. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์การเขียนสะกดคาศพั ท์ หมายถึง ข้อสอบท่ีใช้วดั ทักษะในการเขียนสะกด
คาศพั ทภ์ าษาอังกฤษ เพื่อใช้ทดสอบกอ่ นเรยี นและหลงั เรียน เป็นปรนยั 20 ข้อและอัตนยั 10 ข้อ
4. นักเรยี น หมายถึง กลุ่มตวั อยา่ งที่ไดจ้ ากการสมุ่ อย่างง่ายจากนักเรยี นท้ังหมด 6 ห้อง สุ่มมา 1 ห้อง
ซง่ึ ก็คือนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 2/3
ตัวแปรการศกึ ษา
ตัวแปรอสิ ระ คือเกมที่ใช้ในการพัฒนาการเขยี นคาศพั ท์ภาษาองั กฤษของนกั เรยี น
ตัวแปรตาม คือ ความสามารถในการเขียนสะกดคาศพั ทภ์ าษาองั กฤษของนกั เรียน
ประโยชน์ที่คาดวา่ จะไดร้ ับ
1. นกั เรยี นสามารถเขยี นสะกดคาศัพทภ์ าษาอังกฤษได้และนาไปใช้เพ่ือสอื่ สารไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง
2. เกดิ แนวการสอนท่พี ัฒนาทงั้ ความรู้ด้านการเขียนสะกดคาศัพท์และสรา้ งบรรยากาศในชั้นเรียนให้
ไมน่ ่าเบ่อื
4
กรอบแนวคดิ ในการวิจัย
การวิจัยเรอื่ งการพัฒนาการเขยี นสะกดคาศพั ท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมของนักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปีที่
2 โรงเรียนธดิ าแม่พระ ผู้วจิ ยั ไดก้ าหนดตวั แปรอสิ ระและตวั แปรตามดงั กรอบแนวคิดในการวิจัย ดังตอ่ ไปน้ี
ตัวแปรอสิ ระ ตวั แปรตาม
เกมท่ีใช้ในการพัฒนาการ เขียน ความสามารถในการเขียน สะกด
คาศพั ทภ์ าษาอังกฤษ ของนักเรียนชนั้ คาศัพทภ์ าษาองั กฤษของ นกั เรยี นช้นั
ม.2/3 ม.2/3
ภาพท่ี 1 ตัวแปรอิสระ ภาพท่ี 2 ตัวแปรตาม
5
บทที่ 2
แนวคดิ ทฤษฎี เอกสารและงานวิจยั ที่เกยี่ วข้อง
เพ่ือใหไ้ ดก้ รอบความคิดในการวจิ ัย ผูว้ ิจยั ได้ศึกษาคน้ คว้าเอกสาร และงานวิจัยทเี่ กยี่ วขอ้ งโดยนาเสนอ
ผลการศึกษาตามลาดบั ดงั นี้
1. เอกสารและงานวิจยั ที่เก่ยี วข้องกบั การเขียนสะกดคาศัพท์
1.1 ความหมายของการเขียนสะกดคาศพั ท์
1.2 ความสาคัญของการเขียนสะกดคาศัพท์
1.3 จุดมงุ่ หมายของการเขยี นสะกดคาศัพท์
1.4 หลักการเขียนสะกดคาศพั ทภ์ าษาอังกฤษ
2. เอกสารและงานวิจยั ทเี่ กีย่ วข้องกบั การใช้เกมเพ่ือพฒั นาทักษะการเขียนภาษาองั กฤษ
2.1 ความหมายของเกม
2.2 ความสาคญั ของการใช้เกม
2.3 ประเภทของเกมเพอ่ื พฒั นาทักษะการเขยี นคาศัพท์ภาษาองั กฤษ
2.4 หลกั การใช้เกมในการสอนภาษาอังกฤษ
3. ทฤษฎแี นวการสอนภาษาเพือ่ การสื่อสาร
4. เอกสารและงานวจิ ยั ที่เก่ยี วข้องกบั แบบฝึก
4.1 ความหมายของแบบฝกึ
4.2 การพฒั นาแบบฝกึ
4.3 ลักษณะของแบบฝึกทีด่ ี
4.4 ประโยชน์ของแบบฝึก
5. งานวิจัยทีเ่ กยี่ วข้อง
5.1 งานวจิ ยั ในประเทศท่เี กย่ี วข้อง
5.2 งานวิจัยต่างประเทศท่เี ก่ียวข้อง
1. เอกสารและงานวิจยั ท่ีเกย่ี วข้องกบั การเขียนสะกดคาศัพท์
ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลและทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับการเขียนสะกดคาประกอบไปด้วย
ประเด็นดังต่อไปนี้ ความหมายของการเขียนสะกดคาความสาคัญของการเขียนสะกดคาศพั ท์จดุ มุ่งหมายของ
การเขียนสะกดคาหลกั การเขียนสะกดคาศัพทภ์ าษาอังกฤษ โดยมีนกั การศกึ ษาไดใ้ หข้ ้อมลู ไว้ดงั นี้
ความหมายของการเขียนสะกดคาศพั ท์
สกุ ัญญา ศรณี ะพรหม (2541: 19) ไดก้ ล่าวว่า การเขียนสะกดคาเป็นการจาตัวอกั ษรตามความหมาย
ของรูปคานั้นๆ เมื่อออกเสียงเป็นคา ๆ หนึ่งที่เข้าใจความหมายของคาศัพท์นั้นร่วมกัน ณัฐชา เรืองเกษม
(2547: 25) ได้กล่าววา่ การเขียนสะกดคาเป็นเรือ่ งเกีย่ วกับการกาหนดตวั อักษร หรือสัญลกั ษณ์แทนเสยี ง ซ่ึง
6
จะชว่ ยให้ผู้เขียนสามารถถ่ายทอดความคดิ ของตนเองออกมาเปน็ ตวั หนงั สอื และให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ตรง
ตามจุดมุ่งหมายท่ผี ู้เขียนตอ้ งการ 5 สมพงษ์ ศรีพยาต (2553: 35) ได้กลา่ ววา่ การเขียนสะกดคา คอื การเขียน
เรียงลาดับอักษรได้แก่ พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ ตัวสะกดและตัวการันต์เรียบเรียงเป็นคาได้ถูกต้อง เขียน
ถ่ายทอดความรู้สึกนกึ คิดของตนเอง เขียนตอบคาถาม เขียนเล่าเรื่องและใช้เครือ่ งหมายวรรคตอนได้ถูกตอ้ ง
กล่าวโดยสรุป การเขียนสะกดคานั้นผู้เรียนต้องสามารถจาตัวอักษรตามความหมายของรูปนั้นๆได้ และ
สามารถถ่ายทอดความคิดของตนเองออกมาเป็นตัวหนังสือ อีกทั้งสามารถเรียงพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ ได้
อยา่ งถกู ตอ้ ง
ความสาคัญของการเขยี นสะกดคาศัพท์
ประเทิน มหาขันธ์ (2519: 61) ให้ความเห็นเกี่ยวกับการเขียนสะกดคาไว้ว่า การสะกดคามี
ความสาคญั ท่ีสุดในการสื่อสารโดยวิธกี ารเขียน ทงั้ นเ้ี พราะทาให้ผู้อา่ นสามารถเข้าใจความหมายที่ถูกต้องจาก
เรื่องราวต่างๆ ยุพดี พูลเวชประชาสุข (2525: 5) ให้ความเห็นเกี่ยวกับความสาคัญของการเขียนสะกดคา
สอดคล้อง กับ ประเทิน มหาขันธ์ ว่า การสอนเขียนสะกดคาเป็นแนวทางที่จะนาไปสู่การเขียนหนังสือได้
ถกู ตอ้ ง ณัฐชา เรืองเกษม (2547: 26) ให้ความเห็นเก่ียวกับความสาคัญของการเขียนสะกดคาไว้ว่า การเขียน
สะกดคามีความสาคัญที่สุดในการสื่อความหมายด้วยวิธีการเขียน การเขียนผิดก็เหมือนกับการพูดผิด
ความหมายของคาก็จะเปลย่ี นไปและประสทิ ธภิ าพของการเขยี นก็จะลดลง แต่ถา้ หากเขยี นสะกดคาได้ถกู ต้องก็
จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจข้อความได้อย่างถูกต้อง วรรณี โสมประยูร (2544: 503) ให้ความเห็นเกี่ยวกับ
ความสาคัญของการเขียนสะกดคาไว้ว่า การเขยี นสะกดคาเป็นพื้นฐานของการเรียนอย่างหน่ึง เพราะเด็กต้อง
รจู้ ักสะกดคาไดถ้ ูกต้องกอ่ น จึงสามารถเขียนประโยคและเรื่องราวได้ กล่าวโดยสรุปได้ว่า การเขียนสะกดคามี
ความสาคัญเป็นอย่างมาก หากเขียนสะกดคาถูกต้อง ผู้อ่านก็จะเข้าใจความหมายได้อย่างถูกต้อง ในทาง
กลับกัน หากเขียนสะกดคาผิดก็จะทาให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายผิดไปด้วย การสะกดคาจึงเป็นสิ่งสาคัญและ
จาเป็นตอ่ การเรียนภาษา
จดุ มงุ่ หมายของการเขยี นสะกดคา
บุญปก อ่อนเผ่า (2526: 11-12) ได้สรุปจุดมุ่งหมายของการเขียนสะกดคาไว้ดังนี้ มุ่งให้นักเรียนรู้จกั
การเขยี นสะกดคาครูจะตอ้ งให้นกั เรียนมีทกั ษะการใช้คาและจาเปน็ ตอ้ งมีสิง่ เรา้ ให้ นักเรยี นเกิดความสนใจใน
การเขียนสะกดคาศัพท์ ช่วยให้นักเรียนคุ้นเคยกับรูปคาเพื่อให้นักเรียนรู้จักคาในวง กว้างขึ้น อีกทั้งมี
ความสามารถทจ่ี ะเขียนสะกดคาได้ถูกตอ้ งนักเรียนจะต้องเรียนรู้คาสามารถจัดรูปของคา จา ลาดับอักษรได้จึง
จะสามารถเขยี นสะกดคาได้ถกู ตอ้ ง
รองรัตน์ อิศรภักดี และเทือกกุสุมา ณ อยุธยา (2536: 121) ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการเขียนสะกด
คาศัพท์ไว้ว่า การสอนสะกดคาเป็นสิ่งสาคัญและจาเป็นในการวางรากฐานของการเรียนการสอนสะกดคา มี
จุดมงุ่ หมายดงั น้ี คอื
7
1. ช่วยให้นกั เรียนรู้จกั คาต่างๆ ท่ีจาเปน็ ในชีวิตประจาวัน เพื่อช่วยใหเ้ ดก็ เขียนเปน็ เร่อื งราวต่างๆได้
2. ช่วยใหเ้ ดก็ ร้จู ักสะกดคาตา่ งๆไดถ้ กู ตอ้ ง
3. ช่วยส่งเสริมให้เด็กรู้จกั ใช้คาต่างๆได้กวา้ งขวางข้ึน
4. ชว่ ยใหเ้ ด็กค้นควา้ และคดิ หาคาใหมๆ่ ตามท่ีเดก็ ตอ้ งการ
ณัฐชา เรืองเกษม (2547: 27) ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการเขียนสะกดคาศัพท์ไว้ว่า การสะกดคามี
ความสาคัญต่อการสื่อความหมายด้วยภาษาเขียน ถ้าเขียนผิดไปอาจทาให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายเปลี่ยนไป
หรอื ไม่เข้าใจความหมายกไ็ ด้ การสะกดคาไดถ้ ูกตอ้ งจึงเป็นส่งิ ท่มี ีความสาคญั ย่ิง ดงั นน้ั การสอนเขียนสะกดคา
จึงต้องมีการกาหนดจุดมุ่งหมายให้ชดั เจน กล่าวโดยสรุป จุดมุ่งหมายของการเขยี นสะกดคา คือ นักเรียนตอ้ ง
รู้จักรูปคาและรจู้ ักการเขยี นสะกด คาและสามารถเรียงพยญั ชนะและสระได้อยา่ งถกู ต้อง
หลักการเขียนสะกดคาศัพทภ์ าษาอังกฤษ
พิตรวัลย์ โกวิทวที (2524: 78-81) ไดเ้ สนอแนวคิดว่าการสอนสะกดคา ครูควรจะสอนใหน้ ักเรียนรู้จัก
วธิ กี ารสะกดคาอยา่ งมีหลักเกณฑ์ มีเหตผุ ล ร้จู ักใช้การสงั เกตมาเป็นเคร่อื งช่วยในกรสะกดคา โดยเสนอแนะไว้
ดงั น้ี
1. ให้นักเรียนออกเสียงเป็นจงั หวะแทนการออกเสียงที่สะกดติดกันไป ใช้น้าเสียงเนน้ หนักมีชวี ติ ชีวา
เหมอื นกนั เวลาร้องเพลงเชยี ร์กีฬา ในคาหนงึ่ ๆ ครอู าจชว่ ยนักเรียนแบ่งชว่ งของการสะกดคาออก เชน่ doctor
นกั เรยี นจะออกเสียงดงั น้ี doc-t-or doctor แทนการสะกดคา
2. ฝึกให้รู้จักสังเกต รู้จักเปรียบเทียบ โดยนาเอาความรู้เรื่องการสะกดคาจากคาที่เรียนไปแล้วมา
เปรียบเทียบคาใหม่ดูว่ามีตัวสะกดที่คล้ายกันหรือเหมือนกันอย่างไร จะช่วยให้นักเรียนจาคาใหม่ ได้รวดเร็ว
และแม่นยา เช่น
คาที่เรยี นมาแล้ว คาใหม่
fear year, clear, tear
bake fake, sake, cake
drink think
ในการสอนทุกครั้งถ้าครูสามารถแนะให้นักเรียนใช้ความสังเกตเรื่องการสะกดคาได้เมื่อไรจะต้อง
แนะนาทนั ทีไมค่ วรจะสอนเพียงแตบ่ อกว่าคา ๆน้ันสะกดอยา่ งไร
3. บวกลบตวั อักษร เช่น บวกดว้ ย e ลบดว้ ย h บวกด้วย a = tea เปน็ ตน้
4. เรยี งตัวอกั ษรใหเ้ ปน็ คา เช่น pegra= grape, rfahet= father เปน็ ตน้
5. นาเอาสว่ นของคาไมส่ มบูรณ์มารวมกนั ให้เป็นคาที่ถกู ตอ้ ง
8
win tist = window
mon day = Monday
to dow = today
den day = dentist
6. นาส่วนของคาและภาพรวมกนั โดยที่นกั เรียนเคยเรียนส่วนของคานั้นๆแล้วหรือรู้ความหมายจาก
ภาพน้ันๆ แลว้ เช่น
wo + รูปผชู้ าย
กล่าวโดยสรุปได้ว่า หลักการเขียนสะกดคานั้นจะต้องรู้จักสังเกต รู้จักเปรียบเทียบคาใหม่กับคาเก่าท่ี
มีลักษณะการเขยี นที่คลา้ ยคลงึ กัน จะทาใหจ้ ดจาไดอ้ ย่างรวดเรว็ และแม่นยายิ่งขึ้นไปอีก
2. เอกสารและงานวจิ ยั ที่เกีย่ วขอ้ งกบั การใช้เกมเพอ่ื พฒั นาทักษะการเขยี น
ผู้วจิ ยั ได้ศกึ ษาคน้ ควา้ ขอ้ มูลและทบทวนวรรณกรรมเก่ยี วกับการการใช้เกมเพื่อพฒั นาทักษะการเขียน
ประกอบไปด้วยประเด็นดังต่อไปนี้ ความหมายของเกมส์ ความสาคัญของการใช้เกมส์ประเภทของเกมเพื่อ
พฒั นาทักษะการเขยี นคาศพั ทภ์ าษาองั กฤษหลกั การใช้เกมในการสอนซ่งึ มนี ักการศึกษาให้ข้อมูลไวด้ งั นี้
ความหมายของเกมส์
ชลิยา ลิมปิยากร (2536: 191) ให้ความหมายของเกมไว้ว่า เป็นกิจกรรมการเล่นท่ีผู้เลน่ พยายามเล่น
ให้บรรลุเป้าหมาย ภายใต้กติกาของกฎเกณฑ์ที่กาหนดให้ โดยมีจุดประสงค์เฉพาะเพื่อพัฒนานักเรียนไปสู่
จดุ ประสงค์น้ันๆ เชน่ พฒั นาทักษะทางกาย เพอ่ื พฒั นาการคดิ และเพอ่ื พัฒนาทางอารมณ์ เปน็ ต้น
วิมลรัตน์ คงภิรมย์ชื่น (2530 : 21) ให้ความหมายของเกมไว้ว่า เกม หมายถึง กิจกรรมการเล่นที่ให้
ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ช่วยฝึกทักษะให้นักเรียนเกิดความคิดรวบยอดในสิ่งที่เรียน อาจมีการแข่งขัน
หรือไมก่ ็ได้ แต่จะตอ้ งมีกติกาการเลน่ กาหนดไว้ และจะตอ้ งมกี ารประเมนิ ผลความสาเรจ็ ของผ้เู ล่นด้วย
ดอบสนั (Dobson. 1998: 9 – 17) ให้ความหมายของเกมไวว้ า่ เกม หมายถึง กิจกรรมที่สนุกสนานมี
กฎเกณฑ์กติกา กิจกรรมที่เล่น มีทั้ง เกมเงียบ (Passive Games) หรือเกมที่เล่นไม่ต้องเคล่ือนที่ และเกมที่ใช้
ความว่องไว (Active Games) หรือเกมท่ีต้องเคลื่อนไหว เกมเหล่านี้ข้ึนอยู่กับความว่องไว ความแข็งแรง การ
เล่นเกมมที งั้ เลน่ คนเดยี ว สองคน หรอื เลน่ เป็นกลุ่ม บางเกมก็กระตุ้นการทางานของร่างกายและสมอง บางเกม
กฝ็ ึกทกั ษะบางสว่ นของรา่ งกายและจิตใจ
เรืองศักดิ์ อัมไพพันธ์ (2545: 2-3) ให้ความหมายของเกมไว้ว่า เป็นกิจกรรมทางภาษาที่จัดขึ้นเพ่ือ
ทดสอบ (Test) และเสริมสมรรถภาพ (Enlarge) ในการเรียนภาษาของผ้เู รยี นโดยเนน้ หนกั ไปในทางผ่อนคลาย
(Relax) เพื่อให้เกิดความสนุกสนาน (Fun) และเกิดการเรียนรู้ทัง้ ในรายบุคคลและสมาชิกกลุม่ ภายใต้เงือ่ นไข
(Condition) ทกี่ าหนด
9
กรมวิชาการ (2546: 34) ให้ความหมายของเกมไว้ว่า เป็นกิจกรรมที่มีคุณค่าในการสร้างความ
สนุกสนาน เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ให้แก่นักเรียนได้เป็นอย่างดี เกมเป็นกิจกรรมพเิ ศษที่สาคัญ ซึ่งคุณครูสอน
ภาษาจะนามาสอนในชั่วโมงเรียนหรือนอกชั่วโมงได้ดี เช่นเดียวกับเพลง คุณครูควรเลือกหรือดัดแปลงให้
เหมาะสมกบั วัยและระดบั ชั้นของผเู้ รยี น โดยคานึงถึงความยากงา่ ยของคาศัพท์ ไวยากรณ์ที่ใช้และวธิ กี ารเลน่
จันทิมา จันตาบุตร (2557: 6) ได้ให้ความหมายของคาว่าเกมไว้ว่า เป็นการนาเอาจุดประสงค์ใด ๆ
ของการเรียนรู้ตามหลักสูตรมาประกอบขึน้ เปน็ การเล่น ผู้เล่นจะเล่นเกมไปตามกตกิ าที่กาหนด ซึ่งจะต้องใช้
ความร้ใู นเนื้อหามามสี ่วนร่วมในการเล่นดว้ ย
กล่าวโดยสรปุ ได้ว่า เกม หมายถึง กจิ กรรมท่สี ร้างความสนกุ สนาน ผ่อนคลาย และสร้างความรใู้ ห้แก่ผู้
เล่นได้ในเวลาเดียวกนั ซ่ึงเกมส์มีหลายประเภทยกตัวอย่างเช่น เกมเงียบ (Passive Games) หรือเกมที่เลน่ ไม่
ตอ้ งเคลือ่ นที่ และเกมทีใ่ ชค้ วามว่องไว (Active Games) หรือเกมทตี่ อ้ งเคล่ือนไหว แต่จะตอ้ งมกี ตกิ ากาหนดไว้
โดยมีจุดประสงค์เพื่อพัฒนานักเรียนในด้านใดด้านหนึ่งซึ่งเกมส์นั้นสามารถดึงสมรรถภาพของผู้เรียนให้เด่น
ออกมาได้รวมทงั้ สามารถทดสอบเดก็ ไดอ้ ีกดว้ ย
ความสาคัญของการใช้เกมส์
ครูแชงค์ (Cruickshank. 1999: 28 – 32) กล่าวถึงความสาคัญของการใช้เกมประกอบการสอนดังนี้
1. ช่วยพฒั นาทกั ษะทางการเรียนของเดก็ ๆ
2. เปน็ การทบทวนวิชาทเี่ รียนไปแลว้
3. เปน็ การเพมิ่ พูนทักษะทีด่ แี ก่ผู้เลน่ ทีละน้อยด้วยตวั ของเขาเอง
4. ชว่ ยเสรมิ การสอนของครใู หน้ ่าสนใจยิง่ ขนึ้ และช่วยแกไ้ ขปญั หาการเรยี นการสอนที่นา่ เบือ่
นิตยา ฤทธิโ์ ยธี (2540: 6) กล่าววา่ ความสาคญั ของการใช้เกมชว่ ยให้บรรยากาศในการเรียน การสอน
เปน็ ไปอย่างมีชวี ิตชวี า สร้างความเปน็ กันเอง ระหวา่ งครแู ละนักเรยี นไดม้ ากขน้ึ
สาเนา ศรีประมงค์ (2547: 14) ในการใช้เกมประกอบการสอนให้มีประสิทธิภาพ ครูผู้สอนต้องรู้จกั
เลอื กเกมให้เหมาะสมกับจดุ มุ่งหมายในการเรียนรู้ โดยอาศัยประสบการณ์ความรูค้ วามสามารถ และทักษะใน
การเลือกเกม ในการนาเกมมาใช้ จะต้องรู้ว่าเกมนั้นๆจะใช้ในขั้น ไหน ขั้นนาเข้าสู่บทเรียน ขั้นสอน และขั้น
ปฏิบัติ ที่สาคัญต้องรู้จักใช้เกมให้เหมาะสมกับเวลา โอกาส ความต้องการ ความสนใจ และความสามารถของ
นักเรียน
กลา่ วสรปุ ไดว้ ่า การใชเ้ กมในการพฒั นาทักษะ ชว่ ยให้บรรยากาศในการเรยี นผ่อนคลาย ไม่เครยี ด อีก
ทงั้ ไดค้ วามรทู้ ่ีหลากหลายไปในตวั ซ่งึ ที่ความสาคัญต้องรู้จักใช้ในเหมาะสมกบั เวลา โอกาสและสถานที่ รวมถึง
ความสามารถของนกั เรียนเกมส์ยงั สามารถใชใ้ นการประกอบการสอนไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ
10
ประเภทของเกมเพื่อพฒั นาทักษะการเขียนคาศัพทภ์ าษาองั กฤษ
บารุง โตรัตน์ (2524: 148) ได้แบ่งประเภทเกมในการสอนภาษาออกเป็น 2 ประเภทใหญๆ่ ดงั นี้
1. เกมเฉื่อย (Passive Game) หมายถึง เกมที่ผู้เล่นหรือนักเรียนไม่ต้องเคลื่อนท่ีหรือ
เคล่อื นไหวส่วนของร่างกายมากนักและเปน็ กจิ กรรมท่เี ลน่ แลว้ ไม่ต้องส่งเสยี งดังมาก
2. เกมเคล่ือนไหว (Active Game) หมายถงึ เกมทผี่ ูเ้ ล่นหรอื นกั เรยี นต้องใชค้ วาม เคล่ือนไหว
ของร่างกายมากกว่า นักเรียนอาจจะต้องเคลื่อนที่ไปรอบๆห้องเรียนหรือ บางคร้ัง
นักเรยี นอาจต้องออกเสยี งหรอื ส่งเสยี งดงั
วรรณพร ศลิ าขาว (2540: 160) เกมทีใ่ ช้ประกอบการสอนมลี ักษณะดังนี้
1. ไมต่ อ้ งเสยี เวลาเตรยี มตวั ลว่ งหน้า
2. เล่นได้ง่ายแต่เป็นการส่งเสริมความเฉลยี วฉลาด
3. ส้นั และสามารถนาไปแทรกในบทเรยี นได้
4. ทาให้นักเรยี นไดร้ บั ความสนกุ สนาน แตค่ รกู ย็ ังควบคุมชัน้ ได้
5. ถ้ามกี ารเขียนตอบในตอนหลงั กไ็ มต่ อ้ งเสียเวลาตรวจแก้
จันทิมา จนั ตาบุตร (2557: 6) ไดใ้ หค้ วามหมายของคาว่าเกมไว้ว่า เปน็ การนาเอาจุดประสงค์ใดๆของ
การเรยี นรู้ตามหลักสูตรมาประกอบข้ึนเปน็ การเลน่ ผเู้ ลน่ จะเล่นเกมไปตามกติกาที่กาหนด ซง่ึ จะตอ้ งใช้ความรู้
ในเนื้อหามามสี ว่ นร่วมในการเล่นด้วย
วิไลพร ธนสุวรรณ (2531 หน้า 1-5) ไดส้ รปุ ไวว้ า่ เนอื่ งจากการเรยี นการสอนภาษาอังกฤษในปัจจุบัน
ได้มีการเรียนเปลี่ยนการสอนและวิธีการสอน ที่เห็นได้ชัดเจนคือ จากที่เน้นการเรียนการสอนที่เป็นแบบการ
เรียนรู้กฎเกณฑ์ของภาษาเปลี่ยนมาเป็นการเรียนรู้เพื่อการสื่อสาร ดังนั้นเกมภาษาจึงแยกออกได้เป็น 2
ประเภท ดังน้ี
1. Communicative Games เกมประเภทนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนได้สื่อสาร สนทนา
แลกเปลย่ี น หรือปรงุ แตง่ ข้อมูล โดยใชโ้ ครงสรา้ ง ภาษา หรือคาศัพท์ที่กาหนดให้
2. Non – communicative Games เป็นเกมที่สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนได้รับความสนุกสนานคลาย
เครยี ดจากบทเรียนประจาวนั ส่วนใหญจ่ ะเน้นในรูปของการแขง่ ขนั มผี ู้แพ้ ผู้ชนะ
สงั เวยี น สฤษดิกลุ (2541 : 315) ได้แบ่งเกมที่ใชใ้ นการสอนเปน็ 7 ชนดิ ดังน้ี
1. เกมตัวเลข (Number Games) เปน็ เกมทเ่ี กย่ี วกับการฝึกนบั ตวั เลขและจานวน
2. เกมสะกดคา (Spelling Games) เป็นเกมเกี่ยวกับการสะกดคา สอนคาศัพท์หรือเรียงอักษร
ภาษาอังกฤษ
3. เกมคาศพั ท์ (Vocabulary Games) เปน็ เกมคาศพั ท์องั กฤษ
4. เกมฝึกสร้างประโยค (Structure Practice Games) เป็นเกมฝึกสรา้ งประโยคและการพดู ที่ถกู ตอ้ ง
5. เกมออกเสียงคา Pronunciation Games เปน็ เกมฝึกการออกเสียงของคาตา่ งๆ
6. เกมจังหวะ (Rhyming Games) เปน็ เกมฝึกการออกเสียงของคาต่างๆ ลักษณะสัมผัสเสียง
11
7. เกมมผสมผสาน (Miscellaneous Games) เป็นเกมการฝึกผสมผสานกันหลายแบบ ครูเลือกฝึก
ตามท่ีเห็นวา่ เหมาะสมกบั วยั และระดบั นักเรียน
คณะนักวชิ าการบริษทั นานมบี ุ๊คส์ (2543: 15) ไดแ้ บง่ ชนดิ ของเกมฝกึ ภาษาที่ใช้ในระดับประถมศึกษา
เป็น 7 ชนิด ดงั นี้
1. Alphabet Game เป็นเกมฝึกตัวอักษร
2. Pronunciation Game เปน็ เกมการฝึกการออกเสยี ง
3. Listening and Speaking Games เปน็ เกมการฝึกการฟงั และการพูด
4. Vocabulary Game เป็นเกมฝกึ คาศพั ท์
5. Spelling Game เปน็ เกมฝกึ การสะกดคา
6. Structure Practice Game เปน็ เกมฝกึ ไวยากรณ์
7. Reading Game เป็นเกมฝกึ การอ่าน
กล่าวโดยสรุปได้ว่า ประเภทของเกมในการสอนภาษานั้นแบ่งได้หลายประเภท ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมาย
และเนื้อหาของเกมที่จะนาไปใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้จัดทาใช้เกมส์ Spelling Game ในการสอนเนื่องจาก
สามารถจัดกิจกรรมไดโ้ ดยไมต่ ้องใช้สือ่ และอุปกรณ์มากมาย และนักเรียนทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการจัด
กิจกรรมนี้ได้อย่างทั่วถึง และการทากิจกรรมนี้สามารถนาไปเชื่อมโยงการสอนในรายวิชาภาษาอังกฤษได้
บอ่ ยครั้งและสามารถทาไดท้ กุ ๆครั้ง ดงั นัน้ ผู้วิจยั จึงเลอื กเกมสน์ ีเ้ นอ่ื งจากนักเรียนมีความคนุ้ ชินและเข้าใจกติกา
เป็นอยา่ งดงี า่ ยต่อการเรยี นรู้
หลกั การใชเ้ กมในการสอน
สุกจิ ศรีณะพรหม (2544 : 75) กลา่ วถึงหลกั การใชเ้ กมประกอบการสอน ดังน้ี
1. ใหร้ ะลกึ อยู่เสมอว่า เกมเปน็ เพยี งสือ่ ช่วยใหก้ ารเรยี นการสอนบรรลวุ ัตถุประสงค์ในการสอนเท่านั้น
เกมเปน็ ส่วนชว่ ยให้เกดิ การฝกึ ฝนในสิ่งท่เี ลอื กสรรแล้ว และใชใ้ นการทบทวนส่งิ ทีน่ า่ สนใจและขาดหายไป
2. ในการสอนเกมใหม่ครูต้องแน่ใจว่านักเรียนเข้าใจวัตถุประสงค์ของการเล่น และเข้าใจวิธีการเล่น
อย่างแจม่ แจง้
3. ฝึกนกั เรียนให้เลน่ ตามกฎ ระเบียบ กติกาและมรรยาทของเกมนน้ั ๆ
4. ควรหลกี เล่ียงการเลน่ เกมที่ใช้เวลานาน เกมที่มกี ารเล่นท่ซี บั ซ้อนและเกมท่ีมกี ตกิ าไมแ่ นน่ อน
5. เลอื กเกมที่เหมาะสมกับวัยและความสามารถของนกั เรียน
6. การเลน่ เกมตอ้ งมีการกาหนดสญั ญาณเรม่ิ และหยุดเล่น ตอ้ งหยดุ เลน่ เม่อื หมดเวลา
7. ใหเ้ นน้ ความมนี ้าใจเป็นนกั กีฬา รู้แพ้ รชู้ นะ ร้อู ภยั
8. ผู้สอนควรสง่ เสริมให้นักเรียนสร้างเกมข้ึนเลน่ เอง โดยให้สร้างเกมที่ช่วยส่งเสรมิ ทางด้านการเรยี น
9. ผู้สอนควรมีการประเมนิ พฤตกิ รรมของนักเรียนขณะทม่ี ีการเลน่ เกม
อัจฉรา ชีวพนั ธ์ (2533: 4-5) ไดก้ ลา่ วถงึ หลักการใช้เกมประกอบการสอน ดงั นี้
12
1. การใช้เกมแตล่ ะครัง้ ครตู ้องมีจดุ ม่งุ หมายท่ีชัดเจนวา่ ตอ้ งการให้นักเรยี นเกิดความร้ใู นดา้ นใด
2. การใชเ้ กมน้ันต้องมสี ว่ นชว่ ยใหค้ วามมุง่ หมายของการสอนสมั ฤทธผ์ิ ลช่วยฝกึ ฝนทบทวนบทเรียน
3. ครูต้องวางแผนการสอนเป็นอย่างดี ว่าควรใช้เกมประกอบการสอนตอนใดเน้นให้นักเรียนปฏิบัติ
ตามกฎเกณฑห์ รือระเบียบทีว่ างไว้ และควรอธิบายให้เขา้ ใจจดุ มงุ่ หมายของการเลน่ รวมทงั้ วิธีการเล่น
4. เกมการเล่นนั้นๆ จะช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ เห็นคุณค่าของการเรียนมิใช่เล่นเพื่อความ
สนกุ สนานอย่างเดยี ว
5. ในการเล่นเกมแต่ละคร้ัง ครูควรช้ีแจงให้นกั เรยี นเข้าใจถงึ ความมนี า้ ใจเปน็ นกั กีฬา การทากิจกรรม
รว่ มกนั ความเอ้ือเฟ้ือ ความมีนา้ ใจ ควรรว่ มมือระหว่างกันและกัน
6. กาหนดเวลาเลน่ ไว้แนน่ อน ไม่ควรใชเ้ วลานานเกินไป
7. ในการเล่นที่มีการแข่งขันเป็นกลุ่ม ควรจัดกิจกรรมให้คละกันทั้งนักเรียนเก่งและนักเรียนอ่อน
เพอื่ ให้นกั เรียนอ่อนได้มีโอกาสชนะบา้ ง ซงึ่ จะชว่ ยให้นกั เรียนรู้จกั ชว่ ยเหลือกนั และเกิดกาลังใจในการเล่น
กล่าวโดยสรุปคือ หลักการใช้เกมในการสอนนั้น คุณครูจะต้องเลือกเกมที่เหมาะสมกับเนื้อหาและ
ระดบั ช้นั ของนักเรียน จะต้องกาหนดกตกิ าท่ชี ัดเจนและกาหนดเวลาให้แนน่ อน เพือ่ ทีจ่ ะได้ไม่ต้องใช้เวลามาก
เกนิ ไป และเกมท่ีใชจ้ ะต้องมสี ่วนช่วยทาให้ความมุ่งหมายของการสอนสัมฤทธผิ์ ล
3. ทฤษฎีแนวการสอนภาษาเพ่ือการสือ่ สาร
การสอนภาษาตา่ งประเทศในระยะเวลาท่ีผา่ นมา เราจะเห็นได้ว่ามีวิธีการสอนทีแ่ ตกต่างหลากหลาย
ตามหลักแนวคิดพืน้ ฐานและวิธีการสอนภาษาท่ีแตกต่างกันออกไปตามแต่ที่นักภาษาศาสตร์และครูผู้สอนจะ
คิดค้นขึ้นเพ่ือใช้ในการสอน หรือเพื่อปรับปรุงการสอนใหม้ ปี ระสิทธิภาพมากขึน้ ซึ่งในประมาณปี ค.ศ. 1970
การสอนภาษาอังกฤษตามแนวทางการสอนภาษาเพือ่ การสื่อสารได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศองั กฤษ
เนือ่ งจากเปน็ แนวทางการสอนที่เน้นในเรื่องการสื่อสารตามสถานการณใ์ นการใชภ้ าษาจริงๆมากกว่าการที่จะ
เน้นการสอนที่รูปแบบหรือโครงสร้างของภาษาเท่านั้น Widdowson (1978) อ้างใน Larsen-Freeman
(2000: 121) ได้กล่าวไว้วา่ ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงโดยการนาแนวทางการสอนภาษาเพือ่ การสื่อสาร
มาใช้น้นั มีเหตผุ ลมาจากการท่ีผู้เรียนสามารถผลิตประโยคทีถ่ กู ตอ้ งตามหลักไวยากรณ์ในช้ันเรยี นได้เป็นอย่างดี
แต่กย็ งั ไม่สามารถทจี่ ะนาความรูท้ างตวั ภาษาท่ไี ดเ้ รยี นนัน้ ไปใช้ในสถานการณ์จรงิ ได้อย่างเหมาะสมถูกต้องตาม
ปริบทที่เป็นเช่นนี้เนื่องมากจากการรู้ถึงกฎในตัวภาษาของผู้เรียนนั้นยังไม่เพียงพอแต่การใช้ภาษาใน
สถานการณจ์ รงิ ๆน่ันเอง
ก าร สอ น ภ าษ าเ พ ื ่ อก าร สื่ อสาร จะ มุ ่ งเ น้ นให ้ ผู ้ เ รี ย นสาม ารถ น าคว าม รู ้ ทางภ าษ าที่ ม ี ไป ใช้ใน
ชีวิตประจาวันไดซ้ ่ึงนอกจากท่ีผู้เรยี นต้องมีความรู้ในเร่อื งไวยากรณภ์ าษาแล้วผู้เรียนยังต้องมีความรู้ในสิ่งท่ีอยู่
นอกเหนือตวั ภาษา เชน่ บทบาทของแต่ละคนทางสงั คม เจตนาในการส่อื สารของผู้พูดและผู้ฟัง เป็นตน้ (กนก
มนต์ คงสะอาด 2533 : 6)
13
Larsen-Freeman (2000:128-132) ได้กลา่ วไวว้ า่ เป้าหมายของการสอนภาษาเพื่อการส่ือสารน้ันคือ
การทาใหผ้ ู้เรียนสามารถสอ่ื สารในภาษาที่เรยี นได้โดยการจะทาเชน่ นไ้ี ด้จะตอ้ งมีความรู้ในเร่ืองของโครงสร้าง
ทางภาษา ความรู้ในเรื่องความหมาย และความเข้าใจในเรื่องของหน้าที่ของภาษาที่ใช้ซึ่งผู้เรียนจะต้องเลือก
รูปแบบของภาษาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ท่ีใช้ในการสือ่ สาร ปริบททางสังคม ตลอดจนบทบาททางสังคม
ของผู้ร่วมสนทนาด้วย นอกจากนี้ในการสอนที่เน้นในเรื่องหนา้ ที่ของภาษามากกว่ารูปแบบทางภาษาแล้วนน้ั
ผเู้ รยี นยงั ตอ้ งเรยี นทักษะท้ังสี่ คอื พูด ฟงั อา่ น เขียน ไปพร้อมๆกนั ตง้ั แตเ่ ริม่ ตน้ อีกดว้ ย โดยสง่ิ ท่มี ีความโดดเด่น
ในการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารนี้คือเนื้อหาของการเรียนการสอนจะอยู่ภายใต้กระบวนการทางการจัด
กิจกรรมที่ให้ผู้เรียนไดม้ ีโอกาสในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารทั้งสิ้น โดยการที่ผู้เรียนจะสามารถสื่อสารได้นน้ั
ต้องมีองค์ประกอบหลักๆอยู่ 3 ประการด้วยกันคือ 1) ช่วงว่างระหว่างข้อมูล (Information gap) คือความ
ต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันโดยเมื่อคู่สนทนาไม่มีข้อมูลหรือมีข้อมูลไม่พอเพียง ทาให้ต่างฝ่าย
ต้องการที่จะทราบหรือให้ข้อมูลซึ่งกันและกัน 2) การเลือก ( Choice) คือผู้เรียนมีโอกาสในการเลือกท่จี ะพดู
หรือเขียน ตลอดจนรูปแบบในการสื่อสารความหมาย 3) ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) คือ ผู้เรียนมีโอกาสที่
จะได้ทราบถงึ ผลของการส่อื สารที่วา่ ประสบความสาเร็จหรือล้มเหลวจากปฎกิ ริยาของผรู้ ว่ มสนทนา นอกจากนี้
แล้วการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารยังเน้นการเรียนรู้ที่เกิดจากการปฎิบัติกล่าวคือ ผู้สอนต้องเปิดโอกาสให้
ผเู้ รยี นได้ใช้ภาษาให้มากท่ีสดุ การใหผ้ ู้เรยี นสนทนาแลกเปล่ยี นขอ้ มูลกันโดยให้เลือกใช้ภาษาตามต้องการและ
ให้ประเมนิ การสอื่ สารด้วยตนเองเป็นการส่งเสรมิ ให้ผู้เรยี นได้ใชภ้ าษาในการสอ่ื สารจรงิ ๆ ส่วนเรอื่ งข้อผิดพลาด
ที่ผูเ้ รียนมีขณะทม่ี ีการเรียนการสอนนน้ั ไมใ่ ช้สิ่งที่ตอ้ งการการแกไ้ ขเสมอ ทั้งน้ีขอ้ ผิดพลาดจะถกู แก้ไขเฉพาะใน
ส่วนทส่ี าคญั ๆท่ีจะไปขดั ขวางหรือสรา้ งความสบั สนของความเขา้ ใจในการสอื่ สารเท่าน้ัน มิฉะนนั้ ผเู้ รยี นอาจเกดิ
ความไม่มัน่ ใจไม่กลา้ ที่จะใช้ภาษาในการทากจิ กรรมตา่ งๆได้
Littlewood (1981:17) กล่าวว่าการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารนั้นควรเน้นเรื่องหน้าที่ของภาษา
มากกวา่ เรื่องรปู แบบของภาษา คือการเรยี นภาษาไมไ่ ด้หมายถึงการเรียนในส่วนของไวยากรณเ์ ท่านั้น หากแต่
ผ้เู รยี นต้องมีความสามารถในการทีจ่ ะตอ้ งสื่อสารให้ผอู้ นื่ เข้าใจไดอ้ ีกดว้ ย
Hymes (1981:19) กลา่ วว่าความสามารถในการใชภ้ าษานั้นต้องอาศัยการตีความท่ีถกู ต้องเหมาะสม
เมื่อมีปฎิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นๆในสังคม และสามารถรู้ไดว้ ่าเม่ือไรควรพูด และควรพูดอะไร กับใคร เมื่อไร ที่
ไหน และควรมลี กั ษณะอยา่ งไร ซงึ่ สอดคลอ้ งกับกระบวนการในการเรียนการสอนภาษาเพือ่ การสอื่ สาร นั่นเอง
Wilkins (1976) ได้เสนอแนวคิดการสอนภาษาเพ่ือการสื่อสารไว้ว่าเปน็ การใหค้ วามสาคัญกบั การใช้
ภาษาเพื่อการสื่อสารตั้งแต่เริ่มต้น แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ละเลยในเรื่องความสาคัญทางไวยากรณ์และ
สถานการณ์ในการใช้ภาษา การสอนภาษาตามแนวทางการสอนเพ่อื การสอ่ื สารจะมีข้อดกี ว่าแนวคิดการสอนที่
เน้นไวยากรณ์คือ มีการฝึกฝนภาษาเพื่อใช้ในการสื่อสาร และเมื่อผู้เรียนได้มีการฝึกฝนการใช้ภาษาได้ใน
สถานการณ์จริงแล้ว ยังช่วยให้เกิดแรงจูงใจแก่ผู้เรียนอีกด้วย การสร้างความสามารถในการสื่อสาร
(Communicative Competence) ซึ่งเป็นเป้าหมายของการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารนี้ แบ่งได้เป็น 4
ประเภทตามแนวคิดของ Savignon (1983: 36-38) ดังต่อไปนี้
14
1) ความสามารถด้านกฎเกณฑแ์ ละโครงสร้างของภาษา (Linguistic or grammatical competence)
คือ ความสามารถที่ผู้เรียนต้องมีเกี่ยวกับเรื่องการออกเสียง ศัพท์ โครงสร้างหรือรูปแบบของ ประโยคเพื่อ
นาไปใชใ้ นการสอ่ื สาร
2) ความสามารถด้านภาษาศาสตร์เชิงสังคม (Sociolinguistic Competence) คือ ความสามารถ ท่ี
ผู้เรียนต้องมีเกี่ยวกับการใช้ภาษาได้ถูกต้องเหมาะสมตามกฎเกณฑ์ทางสังคมและวฒั นธรรม เช่น คนรู้ว่าควร
พูดอยา่ งไรในสถานการณ์ใด จุดประสงคข์ องการสนทนา ตลอดจนคานึงถงึ บทบาททางสงั คมของตนเองและผู้
ร่วมสนทนา เปน็ ตน้
3) ความสามารถด้านความเข้าใจในระดับขอ้ ความ (Discourse competence) คือความสามารถ ท่ี
ผู้เรียนตอ้ งมเี ก่ียวกบั การตคี วามวเิ คราะหค์ วามสัมพนั ธ์กันของประโยคต่างๆ โดยสามารถเช่อื มโยง ความหมาย
และโครงสร้างทางไวยากรณเ์ พ่อื พดู หรอื เขียนส่ิงต่างๆได้ต่อเนือ่ งมีความหมายสมั พนั ธก์ นั เชน่ การมลี าดับของ
การเล่าเรือ่ ง การเขยี นจดหมายทมี่ ีข้อความเป็นเหตุเป็นผลสอดคลอ้ งกัน
4) ความสามารถในการใช้กลวิธีในการสื่อความหมาย (Pragmatic or Strategic competence) คือ
ความสามารถท่ีผ้เู รียนต้องมีเก่ียวกับ การถอดความ การพดู ซา้ การพดู ออ้ ม การใชภ้ าษาสุภาพ ตลอดจน การ
ใช้น้าเสียงแบบต่างๆเพื่อให้การสื่อสารมีความราบรื่นขึ้นหากเมื่อเกิดความเขา้ ใจผิด หรือการไม่เข้าใจใน การ
ส่ือสาร
จากแนวคดิ ข้างต้นสรปุ ได้วา่ การสอนภาษาตามแนวทางการสอนภาษาเพ่อื การสอ่ื สารน่ันเนน้ ถงึ การใช้
ภาษาของผู้เรียนมากกว่าเนน้ ถงึ หลกั เกณฑ์การใช้ภาษา อกี ทั้งยงั ใหค้ วามสาคญั กับความคล่องแคล่วในการใช้
ภาษาและความถูกต้องอีกด้วย ดังนน้ั การเรียนการสอนแนวนี้จะตอ้ งเนน้ การทากิจกรรมเพ่ือการฝึกฝนการใช้
ภาษาให้ใกล้เคียงสถานการณ์จริงมากที่สุด เช่น มีการสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนได้สนทนาโต้ตอบกันเป็นคู่
กลุ่มย่อย กลุ่มใหญ่ มีการสวมบทบาท การเล่นเกมส์ เป็นต้น และการที่ผู้เรียนจะสามารถใช้ภาษาเพื่อการ
สื่อสารนั้น ผู้เรียนต้องมีทักษะความสามารถทั้ง 4 ด้าน นั่นคือความสามารถในด้านกฎเกณฑ์ไวยากรณ์
ความสามารถด้านภาษาศาสตร์เชิงสงั คม ความสามารถด้านความสมั พันธ์ของข้อความและความสามารถด้าน
การใชก้ ลวธิ ใี นการสือ่ ความหมาย
4.เอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวขอ้ งกับแบบฝกึ
ผวู้ ิจยั ไดท้ าการศึกษาและทบทวนวรรณกรรมเกยี่ วกับแบบฝึกทักษะประกอบไปดว้ ย ความหมายของ
แบบฝึก การพัฒนาแบบฝึก ลักษณะของแบบฝึกที่ดี แนวทางการหาประสทิ ธิภาพของแบบฝกึ ประโยชน์ของ
แบบฝึก การหาประสิทธิภาพของแบบฝกึ ซงึ่ มีนักการศกึ ษาใหข้ ้อมลู ไว้ดังนี้
แบบฝึกในภาษาไทยมีชื่อเรยี กแตกตา่ งกันออกไป เชน่ แบบฝกึ แบบฝกึ ทักษะ แบบฝกึ หดั แบบฝึกหัด
ทักษะ เป็นตน้ มผี ู้ใหค้ วามหมายของแบบฝึก แบบฝึกหดั หรือชดุ การฝึกไว้ ดงั นี้
สมศักดิ์ สินธุระเวชญ์ (2540:106) กล่าวว่า แบบฝึก หมายถึง การจัดประสบการณ์ฝึกหัดเพื่อให้
ผู้เรยี นศกึ ษาและเรยี นรู้ไดด้ ว้ ยตนเองและสามารถแกป้ ญั หาได้ถกู ตอ้ งอยา่ งหลากหลายและแปลกใหม่
15
สุกิจ ศรีพรหม (2541:68) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แบบฝึก หมายถึง การนาส่ือประสมที่สอดคลอ้ งกับ
เนื้อหาและจุดประสงค์ของวิชามาใช้ในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างมี
ประสทิ ธิภาพ
ถวลั ย์ มาศจรัล (2546:18) ได้ให้ความหมายไวว้ ่า แบบฝึก หมายถึง กิจกรรมพฒั นาทกั ษะเรียนรู้ท่ีให้
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม มีความหลากหลาย และปริมาณเพียงพอที่สามารถตรวจสอบและ
พัฒนาทักษะกระบวนการคิด กระบวนการเรียนรู้ สามารถนาผู้เรียนสู่การสรุปความคิดรวบยอดและหลกั การ
สาคัญของสาระการเรียนรู้ รวมทั้งทาใหผ้ เู้ รียนสามารถตรวจสอบความเข้าใจในบทเรียนดว้ ยตนเองได้
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน 2525 ได้ให้ความหมายของแบบฝึกไวว้ ่า “แบบฝึก หมายถึง แบบ
ตัวอยา่ ง ปญั หา หรอื คาส่งั ที่ตงั้ ขึ้นเพื่อใหน้ ักเรียนฝกึ ตอบ” แบบฝกึ มชี ื่อเรยี กแตกตา่ งกันออกไป เช่น แบบฝึก
แบบฝึก แบบฝึกทกั ษะ เปน็ ต้น แต่เปา้ หมายของการจดั ทาก็เปน็ ไปในทิศทางเดียวกันเพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นได้ฝึกทักษะ
การเรยี นรู้ในรูปแบบทีห่ ลากหลาย
ปรชั วี สวามวิ ัศดุ์ (2555) ไดใ้ หค้ วามหมายของแบบฝึกไวว้ ่าเปน็ สื่อหรือนวตั กรรมที่จัดทาขึ้นเพื่อใช้ฝึก
ทักษะให้กับผเู้ รยี นหลงั จากเรียนจบเนื้อหาในช่วงๆหนง่ึ ๆ เพือ่ ฝกึ ฝนให้เกดิ ความรู้ความเข้าใจรวมทั้งเกิดความ
ชานาญในเรอ่ื งนัน้ ๆอย่างกว้างขวางแบบฝึกจึงมีความสาคัญตอ่ ผู้เรยี นในการที่จะช่วยเสริมทักษะให้กับผู้เรียน
ทาใหก้ ารสอนของ ครู อาจารย์ และการเรียนของนักศกึ ษาประสบผลสาเร็จอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ
อภิภู สิทธิภูมิมงคล (2545) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกไวว้ ่า เป็นสื่อการศึกษาประเภทหนึ่งที่สรา้ ง
ขึ้นมาเพื่อให้เป็นชุดประสบการณ์สาหรับการฝึกอบรมแบบฝึกอาจจะประกอบด้วยสื่อเดีย่ วหรือสื่อประสมท่ี
ได้รบั การพัฒนาขึน้ มาเพ่ือช่วยผ้ใู หก้ ารฝกึ อบรมใช้ประกอบกิจกรรมในการฝกึ อบรมหรือช่วยผ้รู ับการฝึกอบรม
สามารถที่จะศกึ ษาหาความรูไ้ ด้ดว้ ยตนเอง
จากแนวคิดของนักการศกึ ษาข้างต้น สรุปได้วา่ แบบฝกึ คอื งานและนวตั กรรมท่ีครูผู้สอนมอบหมาย
ใหผ้ ้เู รยี นกระทาเพ่ือฝกึ ทักษะและทบทวนความรู้ทไี่ ด้เรยี นไปแล้วให้เกิดความชานาญ ถกู ต้อง คลอ่ งแคล่ว จน
สามารถนาความรไู้ ปแกป้ ญั หาได้โดยอัตโนมตั ิ ในการศกึ ษาครั้งน้ผี วู้ ิจยั เลือกใชค้ าว่าแบบฝึก
การพัฒนาแบบฝกึ
การพัฒนาแบบฝกึ จะตอ้ งพจิ ารณาองค์ประกอบต่างๆของแบบฝกึ ทัง้ หมดอย่างเป็นระบบ โดยกาหนด
วตั ถุประสงค์เพือ่ การผลติ แบบฝึกอบรม การจดั ลาดบั สาระการนาเสนอ การผลติ แบบฝกึ การเลอื กส่อื ประกอบ
แบบฝึก และการประเมนิ แบบฝกึ ในการผลติ แบบฝึกนั้นมีขั้นตอนที่สาคญั ทจี่ ะตอ้ งดาเนนิ การ 4 ขน้ั ตอนใหญๆ่
คือ ขั้นการวิเคราะห์เนื้อหา ขั้นวางแผนการกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นผลิตสื่อประกอบกิจกรรม และขั้นการ
ทดสอบประสิทธิภาพของแบบฝึก(ชัยยงค์ พรหมสงศ์,2551: ออนไลน์) มีรายละเอียดดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 การวิเคราะห์เนื้อหา หมายถึง การจาแนกเนื้อหาวิชาออกเป็นหน่วยแยกย่อยลงไปถึง
หนว่ ยระดบั บทเรียน ดังน้ี
16
การกาหนดหน่วย คอื การนาหนว่ ยเน้ือหาบทเรียนมากาหนดใหเ้ ปน็ หนว่ ยระดับบทเรียน และกาหนด
ระยะเวลาของการจัดกจิ กรรมแต่ละหน่วย
การกาหนดหัวเรื่อง คือ การนาแต่ละหน่วยมากาหนดให้เป็นหัวเรื่องย่อย ซึ่งเป็นส่วนสาคัญที่จะ
นาไปสู่การจดั กิจกรรมต่างๆได้
การกาหนดความคิดรวบยอด คือ การเขยี นขอ้ ความท่เี ป็นสาระสาคัญของแตล่ ะหวั เรอ่ื ง
ขั้นตอนที่ 2 ขั้นวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การวางแผนจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นการ
คาดการณล์ ว่ งหนา้ ว่า กิจกรรมที่ใช้ในแบบฝกึ จะต้องทาอะไรบ้างตามลาดับก่อน หลัง
ขั้นตอนท่ี3 การผลิตสื่อประกอบกิจกรรมเป็นการผลิตสื่อประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในการ
ฝกึ อบรม ตามท่ีกาหนดในการวางแผนการจัดกจิ กรรม
ขั้นตอนท่ี 4 การทดสอบประสิทธิภาพของแบบฝึก เป็นการประเมินคุณภาพแบบฝึกด้วยการนาแบบ
ฝกึ ไปทดลองใชแ้ ล้วปรบั ปรงุ ใหม้ คี ณุ ภาพตามเกณฑ์ที่กาหนดไว้
จากแนวคิดของนกั การศกึ ษาขา้ งต้น สรุปได้วา่ หลกั ในการพัฒนาแบบฝึกการเนน้ พยางคน์ ัน้ ควรสร้าง
ให้ตรงกับจุดประสงค์ที่ต้องการฝึก มีความเหมาะสมต่อพัฒนาการของผู้เรียน สนองความสนใจและคานึงถึง
ความแตกต่างระหวา่ งบุคคล ดาเนินการตามขัน้ ตอนและประเมนิ ผลแจ้งผลความก้าวหน้าในการฝกึ ให้ผ้เู รยี น
ทราบทันทีทุกครั้ง ผู้วิจัยได้เลือกแนวคิดของ ชัยยงค์ พรหมสงศ์ เนื่องจากมีนกั การศึกษาหลายท่านได้ศึกษา
และใชแ้ นวคดิ ดงั กล่าวนีใ้ นการพฒั นาแบบฝึก อาทิเช่น สเุ ทพ พมุ่ สวสั ด์ิ, สายยนต์ จอ้ ยนุแสง
ลกั ษณะของแบบฝึกทักษะที่ดี
ในการจัดทาแบบฝกึ หดั ให้บรรลตุ ามวัตถปุ ระสงคน์ ั้นจาเปน็ จะตอ้ งอาศัยลักษณะและรปู แบบของแบบ
ฝึกท่หี ลากหลายแตกต่างกนั ซ่งึ ข้นึ อยูก่ ับทกั ษะทเ่ี ราจะฝกึ ดงั ท่ีมีนักการศกึ ษาได้เสนอแนวคิดเก่ยี วกับลักษณะ
ของแบบฝึกที่ดีไว้ดังน้ี ไพรัตน์ สุวรรณแสน (อ้างถึงใน จิรพร จันทะเวียง, 2542 : 43) กล่าวถึงลักษณะของ
แบบฝึกทด่ี ี ไว้ ดงั น้ี
1. เก่ียวกับบทเรียนทไี่ ดเ้ รียนมาแลว้
2. เหมาะสมกับระดบั วัยและความสามารถของเดก็
3. มคี าช้ีแจงสัน้ ๆ ทีจ่ ะทาใหเ้ ด็กเขา้ ใจ คาช้แี จงหรือคาสัง่ ต้องกะทัดรัด
4. ใช้เวลาเหมาะสม คือ ไมใ่ หเ้ วลานานหรอื เร็วเกินไป
5. เป็นที่น่าสนใจและท้าทายความสามารถ
บิลโลว์ (Billow อ้างถึงใน เตือนใจ ตรีเนตร. 2544:7) กล่าวถึง ลักษณะของแบบฝึกที่ดีนั้นจะต้อง
ดึงดูดความสนใจและสมาธขิ องผ้เู รียนเรยี งลาดับจากงา่ ยไปหายากเปิดโอกาสให้ผ้เู รียนฝึกเฉพาะอย่างใช้ภาษา
เหมาะสมกับวยั วัฒนธรรมประเพณี ภมู หิ ลังทางภาษาของผู้เรียน แบบฝึกทีด่ คี วรจะเปน็ แบบฝกึ สาหรับผู้เรียน
ท่เี รียนเก่ง และซ่อมเสรมิ สาหรับผู้เรยี นทีเ่ รียนอ่อนในขณะเดียวกนั นอกจากนแี้ ลว้ ควรใช้หลายลักษณะและมี
ความหมายตอ่ ผ้เู รยี นอกี ด้วย
17
รีเวอร์ส (Rivers อ้างถึงใน เตือนใจ ตรีเนตร. 2544 :7) กล่าวถึงลักษณะของแบบฝึกไว้ดังนี้ บทเรียน
ทกุ เรือ่ งควรให้ผเู้ รียนไดม้ ีโอกาสฝึกมากพอ ก่อนจะเรยี นเรือ่ งตอ่ ไป
1. แตล่ ะบทควรฝกึ โดยใชเ้ พยี งแบบฝึกเดียว
2. ฝกึ โครงสรา้ งใหม่กบั สิ่งทเี่ รยี นรแู้ ลว้
3. ส่งิ ที่ฝกึ แตล่ ะครง้ั ควรเปน็ บทฝึกส้นั ๆ
4. ประโยคและคาศัพท์ควรเป็นแบบท่ีใชพ้ ดู กนั ในชวี ิตประจาวนั
5. แบบฝึกควรใหผ้ ้เู รียนไดใ้ ชค้ วามคิดไปด้วย
6. แบบฝกึ ควรมหี ลายๆ แบบเพือ่ ไมใ่ ห้ผู้เรียนเกิดความเบอ่ื หนา่ ย
7. การฝึกควรฝกึ ให้ผ้เู รยี นนาส่ิงทีเ่ รยี นแล้วสามารถใช้ในชีวิตประจาวนั
นิตยา ฤทธิ์โยธี (2520) ได้กล่าวถึงลักษณะที่ดขี องแบบฝึกไว้ว่า แบบฝึกเสริมทักษะต้องเกี่ยวขอ้ งกบั
สิง่ ทเี่ รียนมาแล้วเหมาะสมกับระดับวัยหรือความสามารถของเดก็ คาชีแ้ จงสัน้ ๆที่ทาให้เดก็ เข้าใจได้ง่ายใช้เวลา
เหมาะสมและเป็นสิง่ ทีน่ ่าสนใจและทา้ ทายให้แสดงความสามารถ
สามารถ มีศรี (2530) กลา่ ววา่ แบบฝึกเสริมทกั ษะท่ีดีต้องเกีย่ วกับบทเรียนทีเ่ รยี นมาแลว้ เหมาะสมกับ
วัยของผู้เรียน มีคาสั่ง คาอธิบาย และมีคาแนะนาการใช้แบบฝึกมีรูปแบบที่น่าสนใจและมีกิจกรรมที่
หลากหลายรูปแบบ
โรจนา แสงรงุ่ ระวี (2531) กล่าวว่า แบบฝกึ เสรมิ ทักษะที่ดีควรเปน็ แบบฝึกส้นั ๆมีความอธิบายชัดเจน
ใช้เวลาในการฝกึ ไมน่ านเกนิ ไปและมหี ลายรปู แบบ
จากท่กี ลา่ วมาพอสรุปได้วา่ ลกั ษณะของแบบฝึกทีด่ คี วรเปน็ แบบฝกึ ส้นั โดยมีการฝึกหลายๆ คร้งั และมี
หลายรูปแบบ การฝกึ ควรฝกึ เฉพาะเรื่องเดียว และควรเป็นสิ่งที่นักเรียนพบเหน็ อย่แู ลว้ มีคาช้ีแจงส้ันๆ ใช้เวลา
เหมาะสม เป็นเรื่องที่ท้าทายให้แสดงความสามารถ เมื่อผู้เรียนได้ฝึกแล้วก็สามารถพัฒนาตนเองได้ดี จึงจะ
นบั ว่าเปน็ แบบฝกึ ที่ดีและมีประโยชน์
ประโยชนข์ องแบบฝกึ ทกั ษะ
ถวลั ย์ มาศจรสั (2546 : 21) กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึก ดงั น้ี
1. เป็นสอื่ การเรียนรู้ เพ่ือพฒั นาการเรียนรูใ้ หแ้ กผ่ เู้ รยี น
2. ผ้เู รียนมีสอ่ื สาหรบั ฝึกทักษะด้านการอ่าน การคิด การวเิ คราะห์ และการเขยี น
3. เปน็ ส่ือการเรยี นร้สู าหรบั การแก้ไขปัญหาในการเรยี นรขู้ องผู้เรยี น
4. พฒั นาความรู้ ทกั ษะ และเจตคตดิ า้ นตา่ งๆ ของผูเ้ รยี น
จากประโยชน์ของแบบฝึกทกี่ ลา่ วมา สรปุ ไดว้ ่า แบบฝึกมีประโยชน์เป็นเครอ่ื งมอื ท่ีช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึก
ทักษะ สามารถที่จะทบทวนด้วยตนเองและเห็นความก้าวหน้าของตนเอง นอกจากนี้ยงั สามารถช่วยลดภาระ
ของครูผู้สอนอีกดว้ ย
18
5. งานวิจยั ที่เก่ียวข้อง
5.1 งานวจิ ัยในประเทศที่เกี่ยวขอ้ ง
นิตยา ดวงเงิน (2547: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนาทักษะการเขียนคาศัพท์ภาษาอังกฤษชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้เกม ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ การวางแผนปฏิบัติการ การปฏิบัติงาน การ
สังเกตการณ์ปฏิบัติงาน และการสะท้อนผลการปฏิบัติการ กลุ่มทดลองคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
จานวน 19 คน เครื่องมอื ท่ีใช้ในการศกึ ษาค้นควา้ คือ แผนการสอน แบบประเมินพฤติกรรมการเรยี น เทคนิคท่ี
ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ การสังเกตแบบไม่มีโครงสร้าง การเขียนเจอนัล การสนทนา และแบบ
สัมภาษณ์แบบไมม่ ีโครงสรา้ ง
ณัฐชา เรืองเกษม (2547: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคาศัพท์ภาษาอังกฤษ
โดยใช้เกม สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน โดยกลุ่มตัวอย่างคือ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2546 โรงเรียน
ศึกษาพิเศษสุรินทร์ อาเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ จานวน 8 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า
ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จานวน 25 ข้อ ซึ่งมีค่า
อานาจจาแนกอย่รู ะหว่าง 0.25 ถึง 0.67 คา่ ความเช่ือมั่นเท่ากับ 0.97
ปารมี นกสวน (2547: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาผลการใช้เกมแฮงแมน เป็นกิจกรรมเตรียมพร้อมเพือ่ เพ่ิม
ความตระหนักในเร่ืองแบบแผนในการสะกดคาภาษาองั กฤษ กลุ่มทดลองคอื นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/3
โรงเรียนเขมะสิริอนุสรณ์ จานวน 50 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลคือ แบบทดสอบก่อนและหลัง
กจิ กรรม และบนั ทกึ ของนกั เรียน ผลการทดลองปรากฏว่าค่าคะแนนเฉลยี่ ของแบบทดสอบหลังเรียน (15.70)
มีค่าสงู กวา่ ค่าคะแนนเฉลี่ยของแบบทดสอบกอ่ นเรยี น (12.72) และคา่ T-test แสดงใหเ้ ห็นวา่ ค่าเฉลี่ยท้ังสองมี
ความแตกต่างอยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถิติ โดยมีค่า T เท่ากับ 9.75 จากการศึกษางานวิจัยดงั กล่าว จะเห็นได้ว่า
การใช้เกมชว่ ยให้ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสงู ข้นึ กว่าการ สอนปกติ นอกจากน้ี การใชเ้ กมยงั ให้ความสนุกสนาน
เพลดิ เพลนิ และทาให้นักเรยี นจดจาคาศพั ทไ์ ด้ดีอีกดว้ ย
5.2 งานวิจัยต่างประเทศทีเ่ กย่ี วข้อง
อังริชต์ (Ungricht. 1998: 300-A) มคี วามมงุ่ หมายเพือ่ ระบุความสัมพันธร์ ะหวา่ งกลยุทธ์การเรียนกับ
ตัวแปรในการปฏิบัตทิ างประชากรและทางการศกึ ษาและเพื่อสารวจแบบแผนการเรยี นรู้ของกลุ่มโรงเรียนที่มี
อยู่ในกลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จานวน 279 คนในขั้นนี้ พบว่า มีความแตกต่างกันใน
การใช้กลยุทธ์การรบั รู้เพื่อจัดผูร้ ่วมวิจัยเข้ากลุ่มตามเพศและอายุระดับค่าคะแนนเฉลี่ย ระดับคะแนนอานาจ
การอ่านคะแนนการประเมินแทนคอมพิวเตอร์ที่ปรับได้และคะแนนระบบสนับสนุน รวมทั้งคะแนน
แบบทดสอบความถนดั ทางคอมพิวเตอรท์ าการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติแล้วผลการศกึ ษาพบวา่ นักเรียนโดย ใช้
วิธีการตอบสนองด้วยท่าทางมีความสนใจในการเรียนรู้ที่มีความในเชิงลึก นักเรียนแบบแมตริกซ์เรียนรู้ได้ดี
ท่ีสดุ ในสภาพแวดลอ้ ม ที่เป็นกลมุ่ นกั เรยี นทมี่ กี ลยุทธ์ชอบรบั คาสงั่ แล้วปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด นักเรียนท่ีเรียน
ตามลาดับสามารถจัดการเรียนรู้ของตนเองงได้และมุ่งเน้นในรายละเอียดได้ นักเรียนที่มีความสร้างสรรค์ใช้
19
ทักษะการคดิ การออกคาส่ังมากขน้ึ กับวิธกี ารเรยี นรขู้ องตน ข้อสรปุ สาคญั จากการศึกษาครัง้ น้ี คือ กลยุทธ์การ
เรียนรูเ้ ชื่อมโยงเข้ากับการวัดการปฏิบัตทิ างการศกึ ษาเฉพาะสาขา
เลฟวี (Levy. 2001: 66) ไดศ้ กึ ษาเกมพฤติกรรมที่ดี มีความมุ่งหมายเพอ่ื การปฏิบัตติ ามระเบียบโดย
นาไปใช้ในร้านอาหารของโรงเรยี นประถมศึกษาแหง่ หนงึ่ พฤติกรรมตามเกณฑ์ 4 พฤติกรรมไดต้ ้ังเป็นเปา้ หมาย
ได้แก่ (1) การพูดเสียงเบา “ให้ได้ยินในระยะ 6 นิ้ว” (2) การทาความสะอาดให้หมด (3) การอยู่ในที่นั่ง และ
(4) การทาให้เสร็จตรงเวลา ข้อมูลไดจ้ ากคะแนนชั้นเรยี นในเกมและการสารวจของครูและคณะครูประจา 16
หอ้ งอาหาร แบบสารวจใช้ศึกษาการรับรขู้ องครูและคณะครูประจาห้องอาหารเกี่ยวกับพฤติกรรมของนักเรียน
ในร้านอาหาร และการรับรู้เกี่ยวกับสิ่งสาธารณูปโภคและการประยุกต์ใช้เกมพฤติกรรมที่ดีปัญหาเกี่ยวกับ
“การทาเสรจ็ ตรงเวลา” นาไปสู่การออกจากเกม ผลทางบวกไดม้ าสาหรับพฤตกิ รรมอน่ื อีก 3 พฤติกรรมสาหรบั
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2-6 จากการสังเกตพบว่ามีการเปลีย่ นแปลงนอ้ ยสาหรับนักเรียนชัน้ อนุบาลและ
ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 1 ข้อมลู การสารวจบ่งชีว้ า่ มกี ารปรับปรุงทีร่ ับรู้ในพฤติกรรมของนักเรยี น และแสดงให้เห็น
การสนับสนนุ ทางบวกสาหรบั เกมพฤตกิ รรมท่ีดี
คอนแสตนยุค (Konstantyuk. 2003: 51) ได้ศึกษาการสอนภาษายูเครนเป็นภาษาที่สองหรือ
ภาษาต่างประเทศตามแนวการสอนเพื่อการสื่อสาร ในการจัดกิจกรรมท่ีนามาใช้สอนใหน้ กั เรียนลงมือปฏิบัติ
กิจกรรม ไดแ้ ก่ กิจกรรมการละคร วรรณกรรม เกมแสดงบทบาท การสนทนา การอภิปราย สถานการณ์จาลอง
เกมภาษา กจิ กรรมการแก้ปญั หา ซ่งึ พบวา่ สามารถพัฒนาทักษะทางภาษาทง้ั สี่ทักษะ คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน
ไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ
20
บทที่ 3
วิธกี ารดาเนนิ การวจิ ยั
การวิจยั ครัง้ นี้ มีวัตถปุ ระสงค์เพ่ือเปรียบเทียบการเขียนคาศัพท์ภาษาอังกฤษระหว่างก่อนและหลังการใช้เกม
โดยใช้แบบทดสอบ Pre-test Post-test โดยมขี น้ั ตอนในการดาเนินการวิจยั ดงั นี้
1. กลมุ่ เปา้ หมายการวิจยั
2. เครือ่ งมอื ทใ่ี ช้ในการวจิ ัย
3. วิธีดาเนินการทดลอง
4. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
5. ขั้นการวิเคราะห์ข้อมูล
ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง
ประชากรท่ใี ช้ในการวิจยั ครั้งนี้ คอื นักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 2 จานวน 6 หอ้ ง รวมทั้งสิ้น 280 คน
ที่ กาลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนธิดาแม่พระ กลุ่มตวั อย่างที่ใช้ในการวจิ ัยคร้งั นี้
คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/3 กาลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนธิดาแม่พระ
โดยเลอื กกลมุ่ ตวั อย่างจากการส่มุ อย่างง่ายโดยใชห้ ้องเป็นหน่วย ทดลองกบั นกั เรยี นจานวน 4 คร้ัง รวมท้ังสิ้น
4 สปั ดาห์ สปั ดาหล์ ะ 2 ชั่วโมง
ตวั แปรทศ่ี กึ ษา
ตัวแปรต้น ไดแ้ ก่ เกมทีใ่ ชใ้ นการพฒั นาการเขยี นคาศพั ท์ภาษาอังกฤษของนกั เรยี น
ตัวแปรตาม ไดแ้ ก่ ความสามารถในการเขียนสะกดคาศพั ทภ์ าษาองั กฤษของนกั เรียน
เครือ่ งมือทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั
เครอ่ื งมือท่ใี ช้ในการศกึ ษาคน้ ควา้ ครงั้ นี้ คือ
1. แผนการสอนโดยใชเ้ กมคาศัพทป์ ระกอบในการสอน
2. แบบฝกึ ทกั ษะการเขียนสะกดคาศพั ท์
3. แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิการเรียนรคู้ าศพั ท์
ระยะเวลาที่ใชใ้ นการวิจยั
ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564 ระหวา่ งเดือน มกราคม – กมุ ภาพันธร์ ะยะเวลา 2 ชวั่ โมงต่อสัปดาห์
รวมทัง้ ส้นิ 4 สปั ดาห์
การสรา้ งและพัฒนาเครือ่ งมือ
ผวู้ ิจัยได้สร้างและพฒั นาเครอ่ื งมือในการวิจัย ดังนี้
การสรา้ งแผนการจดั การเรยี นรู้วิชาภาษาองั กฤษ
1. การสรา้ งแผนการจดั การเรยี นรูว้ ชิ าภาษาองั กฤษ ได้ดาเนินการตามขน้ั ตอนดังต่อไปน้ี
21
1.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาต่างประเทศ โดยศึกษาสารการเรียนรู้ สาระสาคัญ หลักสูตรสถานศึกษาของกลุ่มสาระการ
เรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 2 โดยศึกษาสาระการเรียนรู้มาตรฐานการเรยี นรู้
ช่วงชน้ั หนว่ ยการเรยี นรูเ้ นอื้ หา สาระ และ ตัวชว้ี ดั ของวิชาภาษาอังกฤษ (อ22102)
1.2 ศึกษาเนื้อหา หน้าที่ของภาษา และ บริบทของภาษาอังกฤษที่ปรากฏในหลักสูตรและ
ตาราเรยี น รายวิชาภาษาองั กฤษ (อ22102) ระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 2
1.3 กาหนดเนอื้ หาและจุดประสงค์ตามผลการเรยี นรู้ที่คาดหวังจากหลักสูตรสถานศึกษาของ
กลุ่ม สาระการเรียนรู้ภาษาตา่ งประเทศ ระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2
1.4 สร้างแผนการจัดการเรยี นรตู้ ามแนวทางการสอนเพ่ือการส่อื สารจานวน 4 แผนเพ่ือใช้ใน
การทดลอง โดยใช้คาศัพท์ในหนงั สือเรียน Access 2 ที่ผา่ นการพจิ ารณาจากผู้เชีย่ วชาญ
1.5 นาแผนการจัดการเรียนรู้ทีผ่ ่านการตรวจสอบความถูกต้องจากผู้เช่ยี วชาญจานวน 2 ท่าน
ประกอบไปด้วยอาจารย์ประจาวิชาภาษาอังกฤษ 1 ท่าน อาจารย์ชาวต่างชาติ 1 ท่าน ไปใช้กับ
นักเรียนทไ่ี มใ่ ช่กลมุ่ ตัวอย่างจานวน 5 คน แลว้ นาแผนการจดั การเรียนรู้ท้ัง แผนมาปรบั ปรุงแก้ไข
1.6 นาแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผ่านการตรวจสอบความถูกต้องไปใช้ทดลองจริงกับกลุ่ม
ตัวอย่าง ซงึ่ เป็นนกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาระดับชั้น ม.2/3 จานวน 58 คนโดยกลมุ่ ตัวอย่างได้มาจากการ
สุม่ อยา่ งง่าย
2. การสร้างแบบฝึกการเขยี นสะกดคาศัพท์
2.1 ศึกษาเอกสาร ตารา และแนวทางการสรา้ งแบบฝกึ การเขียนสะกดคาศัพท์
2.2 วิเคราะหค์ าศัพท์จากหนังสอื Access 2 ที่จะนามาสรา้ งแบบฝึกการเขียนสะกดคาศพั ท์
ภาษาอังกฤษ แล้วนาไปให้อาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการสอนภาษาอังกฤษจานวน 3 ท่าน
ประกอบไป ดว้ ยอาจารยป์ ระจาวิชาภาษาองั กฤษจานวน 1 ทา่ น อาจารย์ชาวต่างชาติจานวน 1 ท่าน
ได้ตรวจดูความเหมาะสมของเนื้อหาต่างๆพร้อมทั้งจานวนเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องกับ
ระยะเวลาในการทดลอง 2 ช่วั โมงต่อสัปดาห์
2.3 สร้างแบบฝกึ ประกอบการสอน นามาปรบั ปรุงแก้ไขตามขอ้ เสนอแนะของผูเ้ ช่ยี วชาญด้าน
การ สอนภาษาอังกฤษท้ัง 3 ท่าน เพ่อื ให้แบบฝกึ ประกอบการสอนมีความสมบูรณแ์ ละมีประสิทธิภาพ
มากทีส่ ดุ
2.4 นาแบบฝึกที่ผ่านการตรวจสอบความถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญจานวน 3 ท่านประกอบไป
ดว้ ย อาจารย์ประจาวิชาภาษาอังกฤษ 1 ท่าน อาจารย์ชาวต่างชาติ 1 ทา่ น แล้วนาแบบฝึกมาปรับปรุง
แก้ไข
2.5 นาแบบฝึกที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญทั้ง 2 ท่านและผ่านการทดลองกับกลุ่ม
ย่อยไป ใช้กับนักเรียนกลุ่มตัวอยา่ งซ่ึงเป็นนกั เรยี นระดับชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 2/3 จานวน 58 คน โดย
กล่มุ ตัวอยา่ งได้มาโดยการสุ่มอย่างงา่ ย
22
3. การสรา้ งแบบทดสอบการเขยี นสะกดคา
3.1 ศึกษาแนวทางการสรา้ งแบบวัดประสิทธภิ าพของแบบฝกึ
3.2 ศึกษาผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวัง หน่วยการเรียนรู้ และสาระการเรียนรู้ของหลักสูตร
สถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนธิดาแม่พระและจากหนังสือเรียน
Access 2
3.3 สรา้ งแบบทดสอบการเขียนสะกดคาจานวน 30 ข้อ เป็นปรนยั 20 ข้อและอัตนยั 10 ข้อ
3.4 นาแบบทดสอบใหอ้ าจารย์ที่มีความเช่ยี วชาญด้านการสอนภาษาองั กฤษจานวน 3 ทา่ น ประกอบ
ไปดว้ ยอาจารย์ประจาวชิ าภาษาอังกฤษจานวน 1 ท่าน อาจารยช์ าวตา่ งชาตจิ านวน 1 ทา่ น ไดต้ รวจดู
ความเหมาะสมของเนือ้ หา
3.5 นาแบบทดสอบท่ีผา่ นการตรวจสอบความถูกตอ้ งจากผู้เช่ียวชาญจานวน 2 ทา่ นประกอบ
ไป ด้วยอาจารย์ประจาวิชาภาษาอังกฤษ 1 ท่าน อาจารย์ชาวตา่ งชาติ 1 ท่าน ไปใชก้ ับนกั เรียนท่ีไม่ใช่
กลมุ่ ตัวอยา่ ง จานวน 5 คน แล้วนาแบบทดสอบท่ีผ่านการตรวจสอบมาปรบั ปรุงแก้ไข
3.6 นาแบบทดสอบที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญทั้ง 2 ท่านและผ่านการทดลองกับ
กลุ่มย่อยไปใช้กับนักเรียนกลุม่ ตัวอย่างซึ่งเป็นนกั เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/3 จานวน 58 คน
โดยกลุม่ ตวั อย่างไดม้ าโดยการสุ่มอย่างงา่ ย
วธิ ดี าเนินการทดลอง
1. ระยะเตรียมการทดลอง
1.1 สรา้ งเคร่ืองมอื ที่ใช้ในการทดลอง ไดแ้ ก่ แผนการจัดการเรียนรู้ 3 แผน ที่สอดคล้องกับผล
การเรียนรู้ที่คาดหวัง หน่วยการเรียนรู้ และมาตรฐานการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ ระดับช้ัน
มธั ยมศึกษาปที ี่ 2
1.2 สรา้ งแบบฝกึ ทกั ษะการเขยี นสะกดคา
1.3. สร้างแบบทดสอบการเขียนสะกดคาศพั ท์ภาษาอังกฤษกอ่ นเรียนละหลงั เรียน
1.4 สมุ่ กลมุ่ ตัวอย่างจานวน 1 หอ้ งเรียนเปน็ กลุ่มทดลอง
2. ระยะดาเนินการทดลอง
2.1 จัดปฐมนิเทศทาความเข้าใจกับนักเรียนถึงวิธีการเรียน จุดประสงค์ในการเรียนและ
วธิ ีการ ประเมินผลการเรียน
2.2 ผูว้ ิจยั ไดท้ าการทดสอบก่อนเรยี นกับนักเรยี นกลุ่มตวั อย่างโดยใชแ้ บบทดสอบผลสัมฤทธิ์
การเรียนรคู้ าศัพทก์ อ่ นเรียนทัง้ หมด 30 ข้อ เป็นปรนยั 20 ขอ้ และอัตนยั 10 ข้อ
2.3 เมื่อทดสอบก่อนเรียนแล้ว จากนั้นผู้วิจัยได้ทาการสอนตามแผนการสอนโดยใช้เกม
คาศพั ท์ ประกอบการสอน ซง่ึ ใชเ้ กมท้ังหมด 4 เกม คือ เกมบงิ โกคาศัพท์ เกมสร้างคาศัพท์ เกมลูกโซ่
23
และเกมแฮงแมน ใช้เวลาสอนรวม 4 สปั ดาห์ สัปดาหล์ ะ 2 ชวั่ โมง โดยผวู้ จิ ยั เป็นผูด้ าเนนิ การสอนเอง
ซึ่งแต่ละเกมมีกติกา ดงั ต่อไปน้ี
2.3.1 เกมบงิ โกคาศพั ท์
จดุ ประสงค์
1. เพือ่ ใหน้ ักเรียนเขยี นสะกดคาได้ถกู ตอ้ ง
2. เพอ่ื ให้นกั เรยี นไดฝ้ กึ ทกั ษะการฟัง
อปุ กรณ์
1. ตารางสาหรบั การเล่นบงิ โก
2. สลากคาศัพท์
วิธีการเล่น
1. ครแู จกตารางสาหรับการเลน่ บิงโกให้กับนักเรยี นคนละแผน่
2. นักเรียนเขียนคาศัพท์ลงในแต่ละช่องให้ครบ 16 ช่อง โดยคุณครู
กาหนดใหเ้ วลา 10 นาที
3. คุณครสู ุม่ สลากคาศพั ทแ์ ลว้ พูดออกมา ใหน้ ักเรียนกากบาททับคาศัพท์ท่ี
ตรงกับที่คุณครูพูดในตารางของตน หากคาศัพท์เรียงกันตลอดแถว ไม่ว่าจะเป็น
แนวตงั้ แนวนอน หรือแนวเฉยี ง ใหน้ กั เรยี นพดู คาว่า “บิงโก”
4. คณุ ครูตรวจสอบว่าเปน็ คาทคี่ ุณครูพูดหรอื ไม่ และนักเรียนสะกดคาศัพท์
ถูกต้อง หรือไม่ ถา้ ถูกต้องนักเรียนคนนั้นจะเปน็ ผูช้ นะ
2.3.2 เกมสร้างคาศัพท์
จุดประสงค์
1. เพอื่ ให้นกั เรียนบอกความหมายของคาศพั ท์ไดถ้ กู ต้อง
2. เพื่อให้นักเรยี นเขียนสะกดคาศัพท์ไดถ้ ูกต้อง
อุปกรณ์
1. บัตรคาตัวอักษร
วธิ กี ารเลน่
1. ใหน้ ักเรียนจบั คู่ แลว้ คุณครแู จกกระดาษคู่ละ 1 แผ่น พร้อมกาหนดเวลา
2. คณุ ครอู ธบิ ายวธิ กี ารเลน่
3. คณุ ครกู าหนดตวั อกั ษร แลว้ ใหน้ ักเรยี นเขียนสร้างคาศัพทจ์ ากตัวอักษรที่
กาหนด อย่างน้อย 15 คาพร้อมบอกความหมาย เช่น คุณครูกาหนดตัว R
ก็ให้นักเรียนเขียนคาศัพท์ที่ ขึ้นต้นด้วยตัว R มา 15 คาพร้อมความหมาย
24
4. คู่ใดที่สร้างคาศัพท์ได้ครบหรือมากกว่า 15 คาและถูกต้องในเวลาท่ี
กาหนดไว้กจ็ ะเปน็ ผ้ชู นะ
2.3.3 เกมลูกโซค่ าศัพท์
จุดประสงค์
1. เพ่ือใหน้ ักเรยี นเขยี นสะกดคาศัพท์ไดถ้ ูกต้อง
อปุ กรณ์
ไม่มี
วิธกี ารเลน่
1. คุณครูแบ่งนักเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม ส่งตัวแทนมาจับสลากว่าใครจะได้
เปน็ คนเขียนคาศพั ทก์ ่อน
2. ใหน้ กั เรยี นพูดคาศพั ท์มา 1 คา พยายามให้นกั เรยี นนาคาศพั ทท์ ่ีเคยเรียน
ไปแลว้ มาใช้ให้ไดม้ ากท่ีสุด เมือ่ นักเรียนคนแรกเขียนแล้ว ใหน้ ักเรียนคนต่อไปเขียน
คาศัพท์ที่เร่ิมต้นด้วยตวั สะกดของคาแรกโดยจะต้องเขยี นให้ถูกต้อง ทาเช่นนี้สลับไป
เร่อื ย ๆ
3. หากนักเรียนคนใดเขียนสะกดคาศัพท์ผิด จะต้องออกจากการแข่งขัน
กลุ่มไหนที่ มีจานวนคนมากกว่า กลุม่ น้ันจะเปน็ ผู้ชนะ
2.3.4. เกมแฮงแมน
จดุ ประสงค์
1. เพือ่ ให้นักเรยี นเขียนสะกดคาศัพทไ์ ด้ถูกตอ้ ง
2. เพอื่ ใหน้ กั เรยี นบอกความหมายของคาศพั ท์ได้ถูกตอ้ ง
อปุ กรณ์
ไมม่ ี
วิธีการเลน่
1. คณุ ครแู บ่งนกั เรยี นเป็น 3 กลมุ่ แลว้ อธิบายวิธกี ารเลน่
2. คุณครูสุ่มคาศัพท์จากบทเรียน แล้วขีดเส้นตามจานวนตัวอักษรใน
คาศัพท์ จากนั้นคุณครูใบ้คาศัพท์ด้วยความหมาย ให้นักเรียนเดาคาศัพท์จาก
ความหมายว่าเป็นคาว่าอะไรใน คาศัพท์นี้มีตัวอักษรอะไรบ้าง โดยให้นักเรียน
ออกมาเขยี นทีละตัวอกั ษร
3. หากนักเรียนกลุ่มไหนเขียนตัวอักษรที่ไม่มีในคาศัพท์ คุณครูจะเริ่มวาด
รปู เป็น แทน่ แขวนคอ หากเขียนตัวอกั ษรผิดเรื่อยๆ รูปน้นั จะกลายเป็นรปู ตัวการ์ตูน
ถกู แขวนคอ
25
4. นักเรียนกลุ่มใดท่ีออกมาเขียนตวั อกั ษรแล้วถูกต้องมากท่ีสุด กลุ่มน้นั จะ
เป็นผ้ชู นะ
2.4 ผู้วจิ ัยทาการทดสอบหลงั เรยี นกบั นกั เรียนกลุ่มตวั อยา่ งโดยใช้แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์การ
เรียนรู้ คาศพั ทห์ ลงั เรียนท้งั หมด 30 ขอ้
ข้ันเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
ผู้วจิ ัยได้ทาการเก็บรวบรวมคะแนนจากการทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน โดยใช้รปู แบบ One-Group
Pretest - Posttest Design มีรูปแบบดังนี้
O1 X O2
เม่ือกาหนด
O1 หมายถึง การทดสอบกอ่ นเรยี น
X หมายถึง แบบเรียน
O2 หมายถงึ การทดสอบหลังเรยี น
ขนั้ การวิเคราะห์ข้อมูล
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมลู
1. สถติ ิพ้ืนฐาน
1.1 ค่าเฉลยี่ (Mean)
1.2 คา่ ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
26
บทที่ 4
ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล
การวจิ ัยคร้ังนี้เป็นการใช้เกมเพื่อพฒั นาการเขียนสะกดคาศัพทภ์ าษาอังกฤษสาหรับนกั เรยี นชั้น
มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 โดยมวี ตั ถุประสงคเ์ พื่อเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิทกั ษะการเขยี นของนกั เรียนกอ่ นและหลัง
ไดร้ บั การใชเ้ กมโดยใช้แบบฝึกที่ผวู้ ิจัยสรา้ งข้ึนและได้วิเคราะหข์ อ้ มลู ตามลาดับขัน้ ตอนดงั น้ี
สัญลกั ษณ์ทใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมลู
การวจิ ัยเร่อื งการพัฒนาทกั ษะการเขยี นคาศัพท์ของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 2 โดยใชเ้ กม ผวู้ จิ ยั ได้
ใช้สญั ลักษณต์ า่ งๆในการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ดังต่อไปน้ี
N แทน จานวนกล่มุ ตวั อย่าง
แทน คา่ เฉลี่ย
S.D แทน สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน
ขน้ั ตอนการวเิ คราะห์ข้อมลู
ผวู้ จิ ยั ได้ดาเนินการวิจัยตามขน้ั ตอนดงั ตอ่ ไปนี้
ตอนท่ี 1 วิเคราะห์ขอ้ มูลกลมุ่ ตวั อยา่ ง
ตอนท่ี 2 วิเคราะห์เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธิ์กอ่ นเรยี นและหลงั เรยี น ทกั ษะการเขียนคาศัพท์
ภาษาองั กฤษท่ีไดร้ บั การสอนโดยใช้เกม
ตอนท่ี 3 วเิ คราะหแ์ บบสอบถามความคดิ เหน็ เก่ยี วกับเกม
ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู
ผ้วู ิจยั ได้นาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู ตามลาดบั ดงั ต่อไปน้ี
ตอนที่ 1 วิเคราะหข์ ้อมลู กล่มุ ตวั อยา่ ง
การวิจยั ในครง้ั น้กี ลุ่มตัวอยา่ งเป็นนกั เรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 2/3 จานวน 58 คน ซึง่ เป็นนักเรยี นหญงิ
ทั้งหมด
ตอนท่ี 2 วิเคราะหผ์ ลสมั ฤทธกิ์ ่อนเรยี นและหลงั เรียน ทกั ษะการเขียนคาศัพทภ์ าษาองั กฤษทไ่ี ดร้ ับการสอน
โดยใชเ้ กม
ผลรวมคะแนนผลสมั ฤทธ์ิการเขียนคาศัพทภ์ าษาอังกฤษกอ่ นและหลงั เรยี นของนักเรยี นท่ีไดร้ บั การ
สอนโดยใชเ้ กม ปรากฏผลตามตารางดังนี้
27
ตารางแสดงคะแนนผลสัมฤทธ์ิก่อนเรยี นและหลงั เรียน ทกั ษะการเขียนคาศพั ทภ์ าษาองั กฤษทีไ่ ด้รับการ
สอนโดยใชเ้ กม
นกั เรยี น คะแนนทกั ษะการเขยี นคาศพั ทภ์ าษาอังกฤษ (30 คะแนน)
(58 คน)
ก่อนเรยี น หลงั เรยี น ค่าความแตกต่าง คา่ รอ้ ยละ
1
2 11 20 9 30.00
3
4 15 22 7 23.33
5
6 16 25 9 30.00
7
8 17 24 7 23.33
9
10 21 28 7 23.33
11
12 19 27 8 26.67
13
14 18 26 5 16.67
15
16 14 24 12 40.00
17
18 15 25 9 30.00
19
20 17 26 8 26.67
21
22 15 28 11 36.67
23
24 16 25 12 40.00
25
26 14 27 11 36.67
27
28 15 24 12 40.00
29
30 16 23 8 26.67
31
32 14 23 9 36.66
33
18 26 8 30.00
15 28 13 43.33
18 26 8 26.67
19 27 8 26.67
17 23 6 20.00
18 26 8 26.67
18 26 8 26.67
19 25 6 20.00
20 27 7 23.33
21 25 4 13.33
19 26 7 23.33
19 27 8 26.67
16 27 8 26.67
17 23 6 20.00
15 21 6 20.00
15 19 4 13.33
19 28 9 36.66
28
ตารางแสดงคะแนนผลสมั ฤทธกิ์ อ่ นเรยี นและหลงั เรยี น ทักษะการเขยี นคาศพั ทภ์ าษาอังกฤษทไ่ี ด้รับการ
สอนโดยใช้เกม (ตอ่ )
นกั เรยี น คะแนนทกั ษะการเขียนคาศัพท์ภาษาองั กฤษ (30 คะแนน)
(58 คน)
ก่อนเรียน หลังเรยี น ค่าความแตกต่าง ค่าร้อยละ
34
35 15 20 5 16.67
36
37 20 29 9 36.66
38
39 18 24 6 20.00
40
41 19 26 7 23.33
42
43 18 27 9 36.66
44
45 12 18 6 20.00
46
47 15 29 14 46.67
48
49 17 29 12 40.00
50
51 14 23 9 36.66
52
53 18 28 10 33.33
54
55 16 28 12 40.00
56
57 13 19 6 20.00
58
คา่ เฉลยี่ 16 27 11 36.67
S.D
13 22 9 36.66
18 27 9 36.66
18 23 5 16.67
14 28 14 46.67
18 28 10 33.33
16 29 13 43.33
19 26 7 23.33
17 29 12 40.00
12 24 12 40.00
15 26 11 36.67
20 29 9 36.66
18 23 5 16.67
16.64 25.31 8.62 29.71
2.12 1.84 - -
จากตารางพบวา่ นักเรยี นทกุ คนมีคะแนนผ่านเกณฑ์และคะแนนเฉลยี่ หลังเรียนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ย
ก่อนเรยี นจานวน 8.62 คะแนนหรอื รอ้ ยละ 29.71 สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.12
29
บทท่ี 5
สรปุ อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ
วิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้นาเกมมาเป็นสื่อการสอนเพื่อพัฒนาการเขียนสะกดคาศัพท์ภาษาอังกฤษของ
นกั เรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2/3 ซ่ึงสามารถสรปุ ผล อภปิ รายผล และมขี ้อเสนอแนะ ดังน้ี
สรุปผลการวิจยั
จากการวจิ ัยการใช้เกมเพือ่ พฒั นาทักษะการเขียนคาศพั ทภ์ าษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี
2/3 ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564 โรงเรียนธิดาแม่พระ สามารถสรปุ ผลไดด้ ังนี้
1. การใชเ้ กมประกอบการสอนช่วยให้นักเรียนเขียนสะกดคาศัพท์ภาษาองั กฤษได้ถูกต้องและแม่นยา
มากขนึ้ จากการทดลองใช้แผนการสอนโดยใช้เกมเพ่ือพฒั นาทกั ษะการเขยี นคาศพั ทภ์ าษาอังกฤษของนักเรียน
พบวา่ นักเรยี นมีคะแนนหลงั เรียนสงู กวา่ คะแนนกอ่ นเรียน นกั เรียนมคี ะแนนผลสัมฤทธกิ์ ่อนเรียนเฉล่ียเท่ากับ
16.64 จากคะแนนเตม็ 30 คะแนนส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานเท่ากบั 2.12 รอ้ ยละของคะแนนเฉล่ยี เทา่ กับ 29.71
และคะแนนผลสัมฤทธิ์หลังเรียนเท่ากับ 25.31 จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ
1.84 ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 8.62 แสดงให้เห็นว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้นเมื่อได้รับ
การสอนโดยการใช้เกม และการใช้เกมสามารถพัฒนาทกั ษะการเขียนคาศัพท์ของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี
2/3 ได้
การอภิปรายผล
การใช้เกมเพื่อพัฒนาทักษะการเขียนคาศัพท์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/3 ช่วยให้นักเรียนมี
การพัฒนาทักษะการเขียนคาศัพท์ภาษาอังกฤษที่ดีและแม่นยามากขึ้น สามารถการ เขียนสะกดคาศัพท์
ภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง สามารถกาหนดตัวอักษรหรือสัญลักษณ์แทนเสียง สามารถถ่ายทอดความคิด
ออกมาเป็นตัวหนงั สือและผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ สามารถเขียนเรียงพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ตวั สะกดเรียบ
เรยี งเป็นคาได้ถกู ตอ้ ง โดยสามารถอภิปรายผลไดด้ ังน้ี
จากการวิเคราะห์คะแนนเฉลยี่ ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน นักเรยี นมคี ะแนนเฉลี่ยหลังเรียน
สงู กว่ากอ่ นเรยี น แสดงวา่ นักเรียนมกี ารพัฒนาทักษะการเขียนคาศพั ท์ที่ดขี นึ้ เพราะวา่ การสอนโดยใช้เกมเป็น
กิจกรรมที่มุ่งเน้นให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติและเรียนรู้ด้วยตนเอง พร้อมทั้งสามารถสร้างบรรยากาศภายใน
หอ้ งเรยี นได้เป็นอย่างดซี ง่ึ ทาใหน้ กั เรยี นไม่เบ่อื หน่ายต่อการเรียนและไดพ้ ฒั นาทกั ษะด้านการเขียน ดัง ทฤษฎี
Communicative Approachท่ีว่านักเรยี นจะเรียนรู้ได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ ก็ต่อเม่ือนักเรียนได้ทา กิจกรรมใน
รูปแบบตา่ งๆใหม้ ากท่สี ุด เชน่ เกมทางภาษา (Language games), บทบาทสมมติ (Role Play) และละครหรือ
เพลง (Drama and Song) เป็นต้น นอกจากนีก้ ารใช้เกมเพื่อจัดกิจกรรมที่เน้นการแข่งขัน สามารถกระต้นุ ให้
นักเรยี น นักเรยี นจงึ มแี รงจูงใจมากข้นึ มคี วามกระตือรอื ร้นในการเรียนมากขึ้น ให้ความรว่ มมือเป็นอย่างดี ซึ่ง
สอดคล้องกบั ทฤษฎีการเรียนรู้ 8 ขน้ั ของกาเยท่ ี่วา่ นักเรียนจะเกิดความสนใจและกระตอื รือรน้ ในการเรียนมาก
ข้นึ หากมสี ่อื กจิ กรรม หรือสถานการณต์ ่างๆ โดยมกี ารแนะนาแนวทางในการ เรียนเพอ่ื ใหเ้ กดิ การเรยี นรู้
30
ข้อเสนอแนะเพอ่ื การสอน
1. ในการใช้เกมประกอบการสอน ครคู วรชแ้ี จงกับนกั เรยี นถงึ จุดมุง่ หมายของการเลน่ เกมว่า เป็นการ
ฝกึ การเขยี นคาศัพทโ์ ดยใชก้ จิ กรรมเกมเขา้ มาประกอบการสอนเพือ่ ทาใหน้ ักเรยี นจาคาศพั ทไ์ ด้
2. ในการแบ่งกลุ่มเล่นเกม ควรใช้วิธีการแบ่งกลุ่มที่หลากหลายเพื่อให้นักเรียนได้เปลี่ยนกลุ่ม ละได้
ช่วยเหลอื ซึ่งกนั และกนั มากขึ้น
3. ครูควรให้นกั เรยี นได้มีสว่ นรว่ มในการเลือกเกมบ้าง จะทาให้นักเรียนรู้สึกว่ามีส่วนร่วมในการเรียน
การสอนมากข้นึ
ข้อเสนอแนะเพอ่ื การวิจยั
1. ควรทาการศึกษา ทดลองกับกลุ่มตัวอย่างอื่นๆ ที่มีความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษที่แตกต่าง
กนั เพ่ือศกึ ษาการพฒั นาทกั ษะการเขยี นคาศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้เกมเป็นสื่อประกอบการสอน
2. ควรทาการศึกษาการสอนโดยการใชเ้ กมกับทกั ษะอน่ื ๆ เชน่ ทกั ษะการพูด การฟัง และการอา่ นเพื่อ
ศึกษาผลเฉพาะทาง
31
บรรณานุกรม
กนษิ ฐา ระเวช. (2543). ความสมั พนั ธร์ ะหว่างความรู้ความเขา้ ใจไวยากรณและคาศัพทกับความสามารถ ใน
การอ่านภาษาองั กฤษของนักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 3. วิทยานพิ นธ ค.ม. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลัย. ถ่ายเอกสาร
กมลรตั น์ หลาสุวรรณ. (2541). จติ วทิ ยาการศึกษา. พมิ พครงั้ ที่ 2. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พศ์ รีราชา.
กระทรวงศึกษาธิการ
กรมวิชาการ. (2545). คมู อื การจัดการเรียนรู้กลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาต่างประเทศ. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พครุ ุ
สภาลาดพร้าว
กรมวิชาการ. (2546). คูม่ ือหลกั สูตรตร.กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ครุ ุสภาลาดพร้าว. (2544). สาระและมาตรฐาน
การเรียนรู้กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาตา่ งประเทศในหลกั สูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐานพทุ ธศักราช 2544.
กรงุ เทพฯ: วิชาการ กรม.
คณะนกั วิชาการบริษทั นามมีบคุ ส์. เกมสนกุ ฝกึ ภาษาองั กฤษ. (2543). พิมพคร้ังท่ี 11. กรงเทพฯ: นามมบี ุคส์.
ณจั ฐมิ า จุรเุ ทยี บ. (2547). การใช้กจิ กรรมค่ายภาษาองั กฤษเพ่อื สร้างแรงจูงใจในการเรยี นภาษาองั กฤษของ
นกั เรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 6. สารนิพนธ์ กรงุ เทพฯ: บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ประสานมิตร. ถ่ายเอกสาร. (เทคโนโลยีทางการศกึ ษา). กรุงเทพฯ: บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยศรี
นครินทรวโิ รฒ.
นภดล นพไธสง. (2536). ผลการใช้เทคนคิ ช่วยจาแบบเชือ่ มโยงลูกโซ่ในการช่วยจาคาศัพทภาษาอังกฤษของ
นกั เรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพทุ ไธสง จังหวดั บรุ รี มั ย์. ปริญญานพิ นธ์ กศ.ม. มหาสารคาม:
บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั ศรนี ครทิ รวโิ รฒ มหาสารคาม. ถ่ายเอกสาร.
นติ ยา ฤทธโิ์ ยธ.ี (2540). เกมประกอบการสอนอ่านชั้นประถมศกึ ษา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพครุ ุสภา.
นติ ยา สุวรรณศรี. (2540). เพลงและเกมประกอบการเรยี นการสอนภาษาองั กฤษ. พมิ พครง้ั ที่ 2 กรุงเทพฯ: ต้น
ออ้ แกรมมี.่
บญุ ปก อ่อนเผา่ . (2526). การศกึ ษาความสามารถทางการเขยี นสะกดคาภาษาไทยของนกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษา
ปีท่ี 2 โรงเรียนสังกัดกรมสามญั ศึกษาในกรุงเทพมหานคร. วทิ ยานพนธ์ ศศ.ม. (มธั ยมศกึ ษา).
กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.์ อัดสาเนา.
ประเทิน มหาขันธ.์ (2519). หลักการสอนภาษาไทยช้นั ประถมศกึ ษา. (พิมพครัง้ ที่2). กรุงเทพฯ : คุรุสภา
ประนอมสรุ ัสวด.ี (2539). กิจกรรมและสอื่ การเรยี นการสอนวิชาภาษาอังกฤษระดับประถมศึกษา.กรุงเทพฯ:
จฬุ าลงกรณมหาวิทยาลยั .
ยพุ ดี พูลเวชประชาสุข. (2525). การเปรยี บเทียบผลการเขยี นสะกดคาและทศั นคติต่อการเขยี น สะกดคาของ
นกั เรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 4 โดยการใช้แบบฝึกหดั การเขียนสะกดคากบั การเขียนตามคาบอก.
32
ปรญิ ญานพิ นธ์ กศ.ม. (การประถมศกึ ษา). กรงุ เทพฯ : บัณฑติ วิทยาลยั บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัย
ศรนี ครนิ ทรวิโรฒประสานมติ ร. ถายเอกสาร.
รองรตั น์ อศิ รภักดีและเทอื ก กุสมุ า ณ อยุธยา. (2536). ตาราวชิ าครูประกาศนยี บตั รวิชาภาษาไทย ตอน 1
วธิ ีการสอนภาษาไทย. พมิ พ์ครั้งที 4. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ครุ ุสภา.
วรรณี โสมประยรู . (2544). การสอนภาษาไทยระดบั ประถมศกึ ษา. พมิ พครง้ั ที่ 4. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนา
พานชิ , 2544
สมพงษ์ ศรีพยาต. (2553) การพฒั นาชดุ แบบฝึกการเขยี นสะกดคา สาหรบั นักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6.
มหาวทิ ยาลัยศิลปากร/กรุงเทพฯ.
สุกญั ญา ศรณี ะพรหม. (2541). การเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิ์การเขียนสะกดคาภาษาองั กฤษของนกั เรยี นชั้น
ประถมศึกษาปที ่ี 6 ระหว่างการสอน โดยใชเ้ กมปกตกิ บั เกมคอมพิวเตอร.์ วทิ ยานพิ นธ์ กศ. ม.
มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
Cruickshank, Donal. R. (1997). A first Book of Game and Simulation. Belmont, California:
Wedsworth.
Konstantyuk,L.(2004) “ Comnunicative Lanuage Teachin Methodology and the Teaching of
Ukrainian” Dissertation Abstracts International. 42(1):51-A.
Larsen-Freeman, D.(2000). Techniques and Principles in Language Teaching. 2nd Ed. Oxford:
OUP.
Savignon, S.J. (1983). Communicative Competence : Theory and Classroom Practice Reading.
Reading, MA : Addison-Wesley.
Dobson, J. (1998, May - June). Try One of My Games, Forum. 8 (3) : 9-17