The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ใบความรู้ เรื่อง งานประดิษฐ์เอกลักษณ์ไทย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by somporn.c, 2020-08-18 23:16:16

ใบความรู้ เรื่อง งานประดิษฐ์เอกลักษณ์ไทย

ใบความรู้ เรื่อง งานประดิษฐ์เอกลักษณ์ไทย

ใบความรู้ เรื่อง งานประดษิ ฐ์เอกลกั ษณ์ไทย
รายวชิ าการงานอาชีพ ง๓๒๑๐๑ ชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๕

**************************

งานประดิษฐ์ หมายถงึ การนาเอาวสั ดุตา่ งๆ มาทาเป็นผลิตภณั ฑใ์ หมเ่ พ่ือประโยชน์ใช้สอยด้านต่างๆ
เชน่ เปน็ ของเลน่ ของใช้ หรือเพอ่ื ความสวยงาม

1. ความสาคญั และประโยชนข์ องงานประดษิ ฐ์
ฝกึ ใหเ้ กิดความคดิ รเิ ร่ิมสรา้ งสรรค์ สร้างผลงานใหม้ ีรูปร่างแปลกใหม่และพฒั นางานประดิษฐ์เดมิ ให้
สามารถใช้ประโยชน์ข้ึนงานประดิษฐ์ที่ใช้วัสดตุ า่ ง ๆ ท่ีนามาประกอบกนั เป็นชนิ้ งาน สามารถใช้วสั ดอุ ่นื ทดแทน
กนั ได้ และสามารถนาวัสดุท่ีมีในท้องถิ่น มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ฝึกใหร้ ู้จกั การวางแผนทางานอยา่ งเปน็ ระบบ
เปน็ ข้นั ตอนการปฏิบัติเปน็ การสรา้ งระเบยี บวินยั ใหต้ นเองและมีนสิ ยั รักในงานประดิษฐ์ให้นักเรียนร้จู ักใชแ้ ละ
ดแู ลรกั ษาเคร่ืองมือในงานประดษิ ฐ์อย่างถูกตอ้ งและเหมาะสมกบั ประเภทของงานประดิษฐ์ฝกึ การใช้เวลาว่าง
ใหเ้ กิดประโยชน์ สามารถทางานได้อย่างมีสมาธแิ ละมีความสขุ ในการสร้างสรรคช์ ิน้ งานประดิษฐ์ของตนเอง
ฝึกให้นกั เรยี นรู้จกั ประหยัด สามารถนาสิง่ ของทเ่ี หลอื ใชม้ าทาใหเ้ กดิ ประโยชน์มากทสี่ ุด โดยไม่ต้องเสีย
ค่าใชจ้ า่ ยในการลงทนุ มากนกั เป็นการอนุรักษ์ศลิ ปวฒั นธรรมท้องถน่ิ ให้มีการสบื ทอดและพัฒนาต่อไปจากภมู ิ
ปญั ญาเดิมสู่การเรียนรู้ท่ีมากข้ึนและเป็นผลงานของคนไทยสามารถเพ่ิมพนู รายไดใ้ ห้กับผปู้ ระดิษฐ์ โดยการ
นาออกไปจาหน่ายในโอกาสต่าง ๆและสร้างเป็นอาชีพไดใ้ นอนาคตเกดิ ความภาคภมู ิใจในช้นิ งานของตนเอง ทา
ให้ผูอ้ นื่ ยอมในความสามารถของตนเองในระดบั หนึง่

2. ลักษณะของงานประดิษฐ์ สามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภท คอื
- งานประดษิ ฐท์ ว่ั ไป
เปน็ งานประดิษฐ์ที่ไม่มคี วามเป็นมาจากบรรพบรุ ษุ หรือท้องถนิ่ กล่าวคอื เป็นงานประดษิ ฐ์ทบ่ี คุ คล
ทวั่ ไป สามารถเรยี นรู้และนาไปประดษิ ฐไ์ ด้โดยอาศัยการศึกษาจากตารา เช่นดอกไม้จากเศษวัสดุเหลอื ใช้
หมวก ตุ๊กตา เคร่ืองใชต้ า่ ง ๆ
- งานประดิษฐ์ที่เป็นเอกลักษณ์ไทย

เปน็ งานประดิษฐท์ ่ีสืบทอดมาจากบรรพบรุ ุษหรืองานประดิษฐ์ท่มี เี ฉพาะในท้องถน่ิ นั้นๆ โดยสว่ นมากจะเปน็
การสบื ทอดจากผใู้ หญ่ในครอบครวั มาสู่ลกู หลานงานประดิษฐ์หลายอยา่ งทาขนึ้ เพื่องานประเพณีทางเช่น พาน
พมุ่ มาลยั เครื่องแขวนบายศรี และบางอย่างก็ทาขน้ึ เพ่อื ความสวยงาม สนกุ สนาน ภายในครอบครัว เช่นว่าว
ไทย รถลาก ตุ๊กตา

3. ประเภทของงานประดิษฐ์ตามโอกาสใช้สอย
งานประดิษฐ์ตา่ ง ๆ เราสามารถเลอื กชนิ้ งานประดษิ ฐ์ไดต้ ามประโยชน์ หรือความต้องการใชส้ อยใน
โอกาสต่าง ๆ ซ่งึ สามารถแบ่งประเภทของงานประดษิ ฐต์ ามโอกาสใชส้ อยดังน้ี

1. ประเภทงานประดิษฐ์เคร่ืองเลน่ งานประดิษฐเ์ คร่อื งเล่นสว่ นใหญจ่ ะเปน็ การเรียนรู้และฝึกฝนจาก
ผใู้ หญ่มาสลู่ ูกหลานในบา้ น และมีการแพร่กระจายจากเพื่อนมาสู่เพื่อน เชน่ การประดิษฐ์ตุก๊ ตา ว่าว และรถ
ลาก

2. ประเภทเครอื่ งใช้ งานประดษิ ฐเ์ ครอ่ื งใช้เป็นชน้ิ งานทท่ี าขนึ้ เพื่อความสะดวกสบายและเป็นเคร่ือง
ทนุ่ แรงในการดาเนนิ ชวี ติ หรอื ประกอบอาชีพในชวี ติ ประจาวัน เช่นเสื้อผ้า แจกนั หมวก ตะกร้า กระจาดและ
เข่ง

3. ประเภทเคร่ืองตกแตง่ งานประดิษฐต์ กแตง่ ทาขึ้นเพื่อความสวยงามและเปน็ ส่ิงประดิษฐ์ใช้กับ
บา้ นเรอื น นอกจากนบี้ างชิ้นงานสามารถนามาใช้ในด้านการใชส้ อยได้ เชน่ กรอบรูป โคมไฟ ภาพวาด งาน
แกะสลกั

4. ประเภทเคร่ืองใช้ในพธิ ี ทาขน้ึ เพื่อใช้ในพธิ ีทางศาสนา ในช่วงโอกาสตา่ ง ๆ และงานประเพณีสาคัญ
เชน่ งานลอยกระทง งานวนั เข้าพรรษา ออกพรรษา งานศพ งานประดิษฐ์เคร่ืองใช้ เช่น พานพุ่ม มาลัย บายศรี
การจัดดอกไมใ้ นงานศพ

วัสดุอุปกรณ์ที่ใชใ้ นงานประดิษฐ์
การเลอื กใชว้ สั ดุอุปกรณใ์ นการประดิษฐช์ น้ิ งานต้องเลอื กให้เหมาะสมจึงจะไดง้ านออกมามคี ุณภาพ
สวยงาม รวมท้งั ต้องดูแลรกั ษาอปุ กรณ์เคร่ืองใชเ้ หล่านใ้ี ห้อยู่ในสภาพใช้งานได้ตลอดเวลา และสามารถแบง่
ออกเป็นประเภทตา่ งๆ ได้ดงั นี้
1. ประเภทของเลน่

- วัสดทุ ใี่ ช้ เช่น กระดาษ ใบลาน ผ้า เชอื ก พลาสตกิ กระป๋อง
- อุปกรณท์ ี่ใช้ เชน่ กรรไกร เข็ม ด้าย กาว มีด ตะปู ค้อน แปรงทาสี
2. ประเภทของใช้
- วสั ดทุ ใี่ ช้ เชน่ กระดาษ ไม้ โลหะ ดิน ผา้
- อุปกรณ์ท่ีใช้ เชน่ เลือ่ ย สี จกั รเย็บผา้ กรรไกร เครอื่ งขดั เจาะ
3. ประเภทของตกแต่ง

- วสั ดทุ ใี่ ช้ เชน่ เปลือกหอย ผ้า กระจก กระดาษ ดินเผา
- อุปกรณ์ เช่น เลื่อย ค้อน มีด กรรไกร สี แปรงทาสี เครือ่ งตอก
4. ประเภทเครอื่ งใชใ้ นงานพิธี
- วสั ดทุ ่ใี ช้ เชน่ ใบตอง ดอกไม้สด ใบเตย ผา้ ริบบ้นิ
- อุปกรณ์ท่ีใช้ เชน่ เข็มเย็บผ้า เขม็ รอ้ ยมาลยั คีม คน้ เข็มหมดุ
การเลอื กใช้และบารุงรักษาอุปกรณ์ มหี ลักการดงั น้ี
1. ควรเลอื กใชใ้ หถ้ ูกประเภทของวัสดแุ ละอุปกรณ์
2. ควรศึกษาวิธีการใชก้ ่อนลงมอื ใช้
3. เม่อื ใชแ้ ล้วเกบ็ ไว้ใหเ้ ปน็ ระเบียบเรยี บรอ้ ย
4. ซอ่ มแซมเคร่ืองมือทช่ี ารุดใหพ้ ร้อมใช้เสมอ
4. หลักการทางานประดษิ ฐ์
ในการทางานประดิษฐเ์ พ่ือให้ไดผ้ ลงานตามจดุ หมายที่กาหนดไว้ ควรยึดหลกั ในการทางานประดิษฐ์
ดังต่อไปน้ี
1. ศึกษารายละเอียดของงานท่ีจะนามาประดิษฐใ์ ห้เข้าใจ ค้นคว้าหาความรู้เพ่ิมเติมเก่ียวกับรูปแบบ
ต่าง ๆ ของงานและเลอื กทาสิ่งประดษิ ฐใ์ ห้เหมาะสมความรู้ ความสามารถของตนเอง และเป็นสิง่ ทีส่ ามารถ
นาไปใช้ประโยชน์ในชวี ติ ประจาวนั ได้
2. วางแผนการทางาน กาหนดข้นั ตอนการทางานให้สะดวก รวดเรว็ ประหยดั เวลา แรงงาน คา่ ใชจ้ า่ ย
และออกแบบรายละเอยี ดวิธีการประดษิ ฐไ์ ว้ให้ครบถว้ น เพ่ือความสะดวกในการปฏบิ ัตงิ าน
3. การจัดเตรยี มวัสดอุ ุปกรณ์ทีจ่ ะใชใ้ นการทางานประดิษฐไ์ ว้ใหค้ รบถว้ นและใชใ้ ห้เหมาะสมกบั การท่ี
ออกแบบไว้ โดยทัว่ ไปการเลือกวัสดมุ าใชใ้ นงานประดิษฐ์ นิยมเลอื กใชว้ สั ดุท่ีมีอยู่ในทอ้ งถ่ิน หรอื วัสดทุ ่ีมอี ยู่
ภายในบา้ นซ่ึงหางา่ ย มีราคาถูก
4. ลงมือปฏิบตั ิงานตามขนั้ ตอนท่วี างแผนไว้ ขณะท่ีทาการประดิษฐ์ เม่ือเกดิ ปัญหาไมค่ วรทอ้ ถอย ควร
ปรึกษาครูหรือผทู้ ม่ี ีความสามารถ และควรพยายามตั้งใจปฏิบตั งิ านตอ่ ไปจนกว่างานจะสาเร็จ

ประโยชน์ของ งานประดิษฐ์
1. เปน็ การใช้เวลาว่างใหเ้ กิดประโยชน์
2. มคี วามภมู ิใจในผลงานของตน
3. มีรายไดจ้ ากผลงาน
4. มคี วามคดิ ริเรมิ่ สรา้ งสรรค์ผลงานใหม่ๆ
5. เป็นการฝกึ ให้รูจ้ ักสงั เกตส่งิ รอบๆ ตวั และนามาใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์

งานประดิษฐ์เอกลักษณ์ไทยประเภทตา่ ง ๆ
1. งานใบตอง

ประวตั ทิ ่ีมาของงานใบตองในอดีต ทผ่ี ่านมา มนุษย์เราพยายามทีจ่ ะเรียนรู้ท่ีจะดารงชวี ิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ
โดยเนน้ ความกลมกลนื ในรปู แบบของการพ่ึงพาอาศยั ซึ่งกันและกัน รจู้ กั การหาวสั ดธุ รรมชาติมาปรุงแตง่ ชีวิต
ความเปน็ อย่ภู ายใต้กรอบของการรับและ การให้อย่างเหมาะสม สง่ิ ของเครื่องใชต้ า่ งๆ ซ่งึ มนุษย์ได้ดดั แปลงมา
จากธรรมชาติล้วน แล้วแต่จะมกี ารนาไปใชใ้ หเ้ หมาะสม และมีความสมดุลกบั ธรรมชาติ เมอ่ื มนุษย์เราได้คดิ นา
ใบตอง ใบไมต้ ่างๆมาใช้ห่อขนมและอาหารต่างๆเพื่อใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ตลอดจนการคดิ ประดิษฐ์ชิ้นงานใหม้ ี
รปู รา่ ง รปู ทรงสวยงามและประณตี ยิ่งขึ้น ศิลปะงานใบตองเรม่ิ มีมาตั้งแตส่ มัยใดไมป่ รากฏหลกั ฐานท่แี นช่ ดั มี
ใชเ้ ฉพาะ เปน็ ส่วนประกอบของงานดอกไม้ และใชเ้ ปน็ ภาชนะ ใสข่ นม และใส่อาหารเทา่ นน้ั ในสว่ นของ
วัฒนธรรม งานฝมี ือตา่ งๆ ทบ่ี ่งบอกถึงความเปน็ เอกลักษณ์ไทย ตอ้ งยอมรับว่าบรรพบรุ ุษของเราช่างคดิ ช่าง
ประดิษฐ์ ผลงานอนั สวยงามและ ทรงคณุ ค่าเอาไวใ้ ห้เยาวชนรนุ่ หลังได้เหน็ และเรยี นรู้กัน ผลงานเหลา่ น้นั เพ่ือ
ชว่ ยกันพัฒนาฝีมอื ใหค้ งอย่สู ืบไปการนาวสั ดใุ นธรรมชาตมิ าใช้ เช่น งานการแกะสลกั จากไม้ ผกั และผลไม้ งาน
จกั สานหรอื งานประดิษฐด์ อกไม้ ใบตองท่ีมีอยู่อยา่ งเพยี งพอมาแปรเปลย่ี นเป็นงานศิลป์ อนั สนุ ทรยี ์ คงช่วยให้
วสั ดเุ หล่านัน้ ไม่สญู สลายหายไป ความหมายของ“บายศรี”นนั้ สนั นิษฐานว่าไดร้ ับอิทธิพลมาจาก ลัทธิ
พราหมณ์ ซ่ึงเขา้ มา ทางเขมร ท้ังนเ้ี พราะ คาวา่ “ บาย ” ภาษาเขมร แปลว่า ข้าวสุก ภาษาถน่ิ อสี าน แปลวา่
จับตอ้ ง สัมผสั สว่ นคาวา่ “ศรี” มาจากภาษาสันสกฤต ตรงกับ ภาษาบาลีว่า “ สิริ ” แปลว่า ม่งิ ขวญั ดังนัน้ คา
วา่ “บายศรี” หนา้ จะ แปลได้ว่า ข้าวขวญั หรือ สง่ิ ทีน่ ่าสัมผัส กับความดีงาม “ บายศรี ” ในพจนานุกรม
ฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน แปลวา่ ขา้ วอันเปน็ สิริ, ขวญั ขา้ ว หรอื ภาชนะทจี่ ดั ตกแต่งใหส้ วยงามเป็นพิเศษ ด้วย
ใบตอง และดอกไม้สด เพ่ือเป็นสารบั ใสอ่ าหารคาวหวานในพธิ สี ังเวยบูชา และพิธีทาขวญั ตา่ งๆ สมัยโบราณ มี
การเรียกพธิ ี ส่ขู วัญว่า “ บาศรี ” ท้ังนส้ี ืบเนื่อง มาจากเปน็ พธิ ี สาหรบั บุคคล ชัน้ เจ้านาย เพราะคาว่า “บา”
เป็นภาษาโบราณ อสี านใช้เป็น คานาหน้า เรียกเจ้านาย เช่น บาทา้ ว บาบา่ ว บาคราญ เปน็ ต้น สว่ นคาว่า “
ศรี ” หมายถงึ ผู้หญงิ และ สง่ิ ท่เี ปน็ สริ ิมงคล “ บาศรี ” จึงหมายถงึ การทาพิธีท่ี เปน็ สิริมงคล แตป่ จั จบุ นั น้ี คา
วา่ บาศรี ไม่ค่อยนยิ มเรยี ก กนั แลว้ มักนิยมเรียกวา่ “ บายศรี ” บายศรจี ะเรียก เป็นองค์ มหี ลาย
ประเภท เชน่ บายศรเี ทพ บายศรีพรหม เป็นต้น ส่วนต่างๆ ที่ประกอบกนั เป็นบายศรมี ีความหมายในทางดี
เชน่ กรวยขา้ ว หมายถึงความอุดมสมบรู ณใ์ บชยั พฤกษ์หรือใบคูน อายุยนื ยาวดอกดาวเรือง ความเจรญิ รุ่งเรือง
ดอกรัก ความรักท่ีมั่นคง

คณุ คา่ ของงานใบตอง
คณุ ค่าของงานใบตองน้นั มมี ากมายทั้งในชีวิตประจาวนั โอกาสพิเศษและการธรรมรงศิลปะวฒั นธรรม

และประเพณีไทย ตลอดจนช่วยใหเ้ กดิ ความสุขทางใจและยงั เปน็ อาชีพได้
1. ประโยชน์ในชีวติ ประจาวัน

1.1 ใช้ใส่อาหาร หอ่ อาหาร ห่อขนม ห่อของ ห่อผัก หอ่ ดอกไม้ ช่วยให้สดทนนาน
1.2 ชว่ ยใหข้ นมและอาหารสีสวยและมกี ลิ่นหอมชวนรบั ประทาน
2. ประโยชน์ในโอกาสพเิ ศษ
2.1 งานวนั สาคัญ ประดิษฐภ์ าชนะใสด่ อกไม้ ขนม ผลไม้ และใสอ่ าหารนาไปให้บุคคล
ซึ่งเคารพนบั ถือ ในวนั คล้ายวันเกดิ วันปใี หม่ วันขน้ึ บา้ นใหม่ วันประสบความสาเรจ็ วนั ฉลองโชคชัย วนั เย่ียม
ไข้ หรือแม้แต่วนั จากไป
2.2 งานประเพณนี ยิ ม ชาวไทยยมประดิษฐผ์ ลงานดอกไม้ใบตองแบบประณีตศิลปใ์ ชใ้ นงานพิธเี ช่น
พานขันหมาก ขนั หม้ัน ขนั สนิ สอด พานรับนา้ สงั ข์ บายศรี กระทงลอย ใชใ้ นงานต่าง ๆ
ซ่ึงล้วนแต่เป็นประเพณีที่งดงามของชาวไทยที่ควรจะฟืน้ ฟูและรกั ษาไว้
2.3 งานพิธีทางศาสนา เชน่ พานดอกไม้ธูปเทยี น กระทงดอกไม้ แต่งเทยี นพรรษา กระถางธูป เชิง
เทยี น เป็นต้น
3. สร้างสรรค์ศลิ ปะมรดกของชาติ ผลงานประณตี ศิลปเ์ ปน็ ศลิ ปะมรดกแขนงหน่ึงที่บ่งบอกถึงความเปน็ ไทยเพ
ระมเี อกลกั ษณ์เฉพาะตวั มีความละเอียด ประณตี อ่อนโยน มีระเบียบ มคี วามสง่างาม มีความงามแบวจิ ติ ร
พสิ ดาร ที่ไม่มีชาตใิ ดในโลกมีเหมือน
4. ช่วยให้จติ ใจสงบรม่ เย็น การนาใบตองมาประดษิ ฐเ์ ปน็ สิ่งสวยงามยอ่ มนามาซ่งึ ความเพลิดเพลนิ ความสงบ
ร่มเยน็ แหง่ จิตใจ เพราะจิตใจมสี มาธิ ความคดิ กเ็ กดิ จิตนาการ ผู้ทีท่ างานใบตองจะเปน็ ผู้ทีม่ อี ารมณด์ ี คิดแต่สิง่
ท่ีดีงาม อันนามาซึ่งความประพฤติชอบ
5. เป็นอาชพี หลกั และอาชีพรองถา้ มใี จรกั งานด้านนแี้ ละมีงานอนื่ เป็นหลกั อยูก่ ็ใชเ้ ปน็ อาชีพเสริมหรืออาชพี รอง
ชว่ ยเพิ่มรายไดใ้ ห้แกค่ รอบครัว หรือถ้ามีใจรักมาก ๆ กใ็ ช้เป็นอาชพี หลกั ได้

2. งานแกะสลักไม้

งานแกะสลกั ไม้ ถอื วา่ เป็นงานศิลปกรรมท่เี กา่ แก่ประเภทหน่ึง สาหรบั การแกะสลักไมใ้ นประเทศไทย
นนั้ แต่เดมิ ส่วนมากจะเป็นเร่ืองเกี่ยวกบั ศาสนาทง้ั ส้นิ ได้แกง่ านแกะสลักไมป้ ระกอบโบสถ์วิหาร ศาลาวัด หอ
พระไตรปฎิ ก ตูพ้ ระไตรปฎิ ก พระเจดีย์ ฯลฯ ซง่ึ มกี ารสรรค์สร้างอย่างสวยงามและปราณีตบรรจง ปรากฏอยู่
ทุกยคุ ทกุ สมัย ในภมู ิภาคต่างๆของประเทศไทยมีชา่ งแกะสลักทม่ี ฝี มี ือไดส้ รา้ ง สรรคผ์ ลงานข้ึน มาเป็นจานวน
มาก ชา่ งแกะสลกั ไม้ สามารถสบื ทอด ศิลป วัฒนธรรม ทส่ี บื ทอดมาจากบรรพบุรุษ และภูมปิ ญั ญาท้องถิน่ ของ
แต่ละชมุ ชนลงบนแผ่นไม้ อาทิ เชน่ ศลิ ปะไม้แกะสลักของลา้ นนา เปน็ งานศิลปทเ่ี กา่ แก่ มีเอกลักษณ์และมี
คณุ ค่า ควรแกก่ ารภาคภมู ิใจสาหรับชาวล้านนาเอง งานแกะสลกั ไม้ จึงกลายเปน็ สว่ นหนง่ึ ของ วัฒนธรรม
ล้านนาทส่ี ะท้อนให้เหน็ ถึงความเชอื่ คา่ นยิ ม ประเพณี การทามาหากนิ ตลอดจนวิถีชวี ิตของชาวล้านนา ท่ี
ผกู พนั อยู่กบั ธรรมชาติ ทงุ่ นา ป่าไม้ ซง่ึ จะพบเหน็ กนั ไดท้ ั่วไปในปจั จบุ ันในสถานทสี่ าคัญทางศาสนา บ้านเรือน
ทอี่ ยู่อาศัยหรือเครื่องใช้สอยในชีวติ ประจาวัน ตลอดจน การอนุรักษ์ สืบสาน ถา่ ยทอด ช่างไทยสบิ หมู่ เป็น
วัฒนธรรมทางดา้ น ศลิ ปะแขนงหนงึ่ ในกระบวนช่างไทยได้จาแนกแยกแยะงานชา่ งได้มากมาย ประเภทการ
แกะสลกั ไม้

1.การแกะสลกั ภาพลายเส้น เปน็ การเซาะร่องตามลวดลายของเส้นให้มีความหนักเบาเท่ากนั ตลอดทง้ั
แผน่

2.การแกะสลักภาพนนู ต่า เปน็ การแกะสลักภาพใหน้ นู ข้ึนสูงจากพ้นื แผน่ ของไมเ้ พยี งเล็กน้อยไม่แบน
ราบเหมอื นภาพลายเสน้

3.การแกะสลกั ภาพนนู สงู เป็นการแกะสลักภาพให้ลอยสงู ขนึ้ มาเกือบสมบูรณเ์ ตม็ ตวั ความละเอียด
ของภาพมมี ากกวา่ ภาพนูนต่า

ข้นั ตอนและวธิ ีการแกะสลกั ไม้
1. กาหนดรูปแบบและลวดลาย ออกแบบหรอื กาหนดรปู แบบและลวดลายนบั เปน็ ขัน้ ตอนแรกท่สี าคัญ

ในการออกแบบ สาหรบั งานแกะสลกั ต้องร้จู ักหลักในการออกแบบ และต้องรู้จกั ลักษณะของไมท้ ่ีจะนามาใช้
แกะสลกั เช่น ทางไม้หรือเสีย้ นไม้ที่สวนกลับไปกลบั มา สิ่งเหล่าน้ชี า่ งแกะสลักจะต้องศึกษาหาความรู้และแบบ
งานแกะสลกั ต้องเป็นแบบ ท่ีเท่าจริง

2. การถา่ ยแบบลวดลายลงบนพ้ืนไม้ นาแบบที่ออกแบบไวม้ าผนึกลงบนไม้ หรอื นามาตอกสลกั
กระดาษแข็งต้นแบบใหโ้ ปร่ง เอาลวดลายไว้และนามาวางทาบบนพืน้ หน้าไม้ท่ีทาด้วยน้ากาว หรอื นา้ แป้งเปยี ก
ไวแ้ ลว้ ทาการตบดว้ ยลกู ประคบดินสอพองหรือฝุ่นขาวใหท้ ั่ว แลว้ นากระดาษต้นแบบออก จะปรากฏลวดลายท่ี
พ้นื ผวิ หน้าไม้

3. การโกลนหุ่นขน้ึ รปู คอื การตดั ทอนเน้ือไมด้ ้วยเครื่องมือชา่ งไม้บ้างเคร่ืองมือช่างแกะสลักบ้าง แล้ว
แกะเนื้อไม้เอาสว่ นที่ไม่ต้องการออกให้ไมน้ ้นั มีลักษณะรปู รา่ งทใ่ี กล้ เคยี งกับแบบเพ่ือให้เกิดรปู ทรงตามต้องการ
มีความชัดเจนตามลาดับเพ่ือจะนาไปแกะสลกั ลวดลายในข้นั ต่อไป การโกลนภาพ เชน่ การแกะภาพลอยตัว
เชน่ หวั นาคมงกฎุ หรอื แกะครุฑและภาพสตั ว์ต่าง ๆ ชา่ งจะตอ้ งโกลนห่นุ ให้ใกลเ้ คียงกบั ตัวภาพ

4. การแกะสลกั ลวดลาย คอื การใชส้ ิ่วทม่ี คี วามคม มขี นาดและหนา้ ของสิ่วตา่ ง ๆ เชน่ สิ่วหน้าตรง
หนา้ โคง้ และฆ้อนไม้ เป็นเคร่ืองมือในการแกะสลัก เพื่อทาให้เกดิ ลวดลายซ่ึงตอ้ งใช้ฆอ้ นไม้ในการตอกและใช้
สิว่ ทาการขุด การปาดและการแกะลวดลายทาให้เกิดความงามตามรูปแบบทีต่ ้องการ

การขดุ พน้ื คือการตอกส่ิวเดินเส้น โดยใช้สว่ิ ทพ่ี อดีกับเสน้ รอบนอกของตวั ลาย เพื่อเป็นการคดั โคม
ของลวดลายสว่ นใหญ่ท้ังหมดก่อนโดยใชฆ้ ้อนตอก เวลาตอกกค็ วบคุมน้าหนกั ให้เหมาะสม สมา่ เสมอเพือ่ คมสิ่ว
จะได้จมลึกในระยะท่เี ท่ากนั แล้วจงึ ทาการใช้ส่ิวหน้าตรง ขดุ พน้ื ทไ่ี ม่ใช่ตัวลายออกใหห้ มดเสียก่อน ขุดช้นั แรก
ขดุ ตนื้ ๆ ก่อน ถา้ พื้นยงั ไม่ลึกพอกต็ อกซ้าอีกแล้วจงึ ขุดต่อไปเพ่ือให้ได้ชอ่ งไฟที่โปร่งถ้า ต้องการนาลวดลาย
แกะสลักนนั้ ไปประดบั ในท่สี งู ก็ต้องขดุ พืน้ ให้ลึกพอประมาณ เพราะมองไกล ๆ จะได้เห็น การแกะยกขน้ึ
หลงั จากท่ที าการขุดพนื้ แลว้ ก็แกะยกชนั้ จดั ตวั ลายทีซ่ อ้ นช้ันกนั เพื่อใหเ้ ห็นโคมลายชดั เจน ซง่ึ กา้ วกา่ ยกันในเชิง
ของการผกู ลายเพื่อปรบั ระดับความสูงตา่ ของแตล่ ะชน้ั มี ระยะ 1 – 2 – 3 การแกะแรลาย เริม่ จากการตอกสวิ่
เดนิ เสน้ ภายในส่วนละเอยี ดของลวดลายแลว้ กจ็ ะใช้สว่ิ เลบ็ มือทาการปาดแกะแรลายเก็บแต่งส่วนละเอียด

ขอ้ สงั เกตในการปาดแรตัวลาย เวลาปาด หรือแกะแรตวั ลาย ช่างจาเปน็ ต้องดูทางของเนื้อไมห้ รือ
เสีย้ นเม่ือเวลาใชส้ ิ่วก็ต้องปาดไปตาม ทางของเน้ือไม้ คอื ไม่ย้อนเสยี้ นไมห้ รือสวนทางเดินของเน้ือไม้ เพราะจะ
ทาให้ไม้น้ันหลดุ และบิน่ ได้ง่าย การปาดแต่งแรลาย คอื การตั้งสว่ิ เพลเ่ อียงขา้ งหน่ึง ฉากข้างหน่งึ แลว้ ปาดเนื้อ
ไมอ้ อกจะเกดิ ความสงู ต่าไม่เสมอกัน เพือ่ ทาใหเ้ กดิ แสงเงาในตวั ลายและมองเหน็ ให้ชดั เจนตามรปู แบบที่
ต้องการ

การปาดลายสามารถทาได้ 3 วธิ ี คือ
– ปาดแบบช้อนลาย
– ปาดแบบพนมเส้น คือพนมเสน้ ตรงกลาง
– ปาดแบบลบหลงั ลาย (ลบเม็ดแตง)

เคร่ืองมอื ทีใ่ ชใ้ นการแกะสลัก
– ไม้ ไม้ทนี่ ยิ มนามาใช้ในงานแกะสลัก ได้แก่ ไมส้ ัก เป็นไม้ท่ีไม่แขง็ เกินไป มลี ายไมส้ วยงาม สามารถ

แกะลายต่างๆได้ง่าย หดตัวน้อย ทนนานต่อสภาพดินฟ้าอากาศและปลอดภยั จากปลวก มอดและแมลง ไม้ที่
นิยมรองลงมาคือ ไม้โมก ไม้สน ทีส่ าคัญคือ ไม้ท่นี ามาทาการแกะสลักจะ ตอ้ งไมม่ ตี าหนิ เพราะจะทาใหง้ านชิ้น
น้ันขาดความสวยงาม คอ้ นไม้ เป็นคอ้ นท่ีมลี กั ษณะคล้ายตะลมุ พกุ เล็กๆ ทาจากไม้เนอ้ื แข็งเชน่ ไมแ้ ดง ไมช้ งิ ชนั

– ค้อนไม้จะเบา และไมก่ ินแรงเวลาใช้งานและช่วยรักษาดา้ มสิว่ ใหใ้ ชง้ านได้นานอกี ด้วย

– ส่วิ เป็นเคร่ืองมือทสี่ าคญั ท่ีสดุ ในการแกะสลกั มีหลายชนิดไดแ้ ก่ สวิ่ ขุด สวิ่ ฉาก ส่วิ ขมวด ส่วิ เลบ็ มอื ส่วิ ทา
จากเหลก็ กลา้ ที่แข็งและเหนยี ว ที่สาคัญคอื จะต้องลบั ใหค้ มอย่เู สมอ

– มีด เปน็ มีดเลก็ ๆ ปลายแหลม ใชแ้ กะลายเล็กๆ หรือแกะรอ่ ง

– เลื่อย ใช้ในการเล่อื ยไมส้ ว่ นท่ไี มต่ ้องการออกไป เพื่อขึน้ รูปหรอื ขนึ้ โครงของงาน
– บุ้งหรือตะไบ ใช้ถตู กแต่งช้ินงานในข้ันตอนหลังจากแกะสลักแลว้

-กระดาษทราย ใชข้ ัดตกแต่งชิ้นงานหลังจากแกะสลักแลว้
– กบไสไม้ ใช้ไสไม้ให้เรียบก่อนลงมอื แกะหรือตกแตง่ อ่ืนๆภายหลงั
– สวา่ น ใช้เจาะรูไมเ้ พื่อแกะหรอื ฉลุไม้

– แท่นยึดหรอื ปากากาจบั ไม้ ใช้ยดึ จบั ไม้

– เครื่องมือประกอบอื่นๆ ได้แก่ ไม้บรรทัด ดินสอ กระดาษลอกลาย กระดาษแข็งทาแบบ
– วัสดุตกแตง่ ได้แก่ ดินสอพอง แลกเกอร์ แชลแลก น้ามันลินสีด ทินเนอร์ หรือสีทาไม้

3. งานแกะสลกั ผักและผลไม้

ประวัตคิ วามเป็นมา
งานศิลปะดั้งเดมิ ของไทยน้นั มีอยู่มากมายหลายอย่างหลายแขนง การแกะสลักก็เปน็ งานศลิ ปะอย่าง

หนึง่ ทถ่ี ือเป็นมรดกมคี า่ ท่สี บื ทอดกันมาช้านาน เป็นงานฝีมือท่ตี อ้ งใช้ความถนัด สมาธิ ความสามารถเฉพาะตัว
และความละเอียดอ่อนมาก การแกะสลักผักและผลไม้ เปน็ การแสดงออกทางวฒั นธรรมท่เี ปน็ เอกลกั ษณ์
ประจาของชาตไิ ทยเลยทเี ดยี ว ซงึ่ ไมม่ ีชาตใิ ดสามารถเทยี บเทยี มได้ แต่สิ่งทน่ี ่าเปน็ หว่ งท่ีสดุ ในปัจจุบันนค้ี งจะ
เป็นเรือ่ งของการอนรุ ักษ์ ศิลปะแขนงน้ที ี่มีแนวโนม้ จะสูญหายไปและลดน้อยลงไปเรอ่ื ยๆ

การแกะสลกั ผกั และผลไม้เดิมเป็นวิชาทีเ่ รยี นขนั้ สูงของ กลุ สตรใี นรว้ั ในวงั ท่ตี อ้ งมีการฝึกฝนและ
เรยี นรู้จนเกดิ ความชานาญ บรรพบุรุษของไทยเราได้มีการแกะสลักกัน มานานแลว้ แต่จะเร่ิมกนั มาต้ังแตส่ มยั
ใดนนั้ ไมม่ ีใครรู้แน่ชดั เนื่องจากไม่มหี ลักฐานแน่ชดั จนถงึ ในสมยั สโุ ขทัยเป็นราชธานี ในสมยั ของสมเดจ็ พระ
รว่ งเจา้ ไดม้ นี างสนมคนหนง่ึ ชื่อ นางนพมาศ หรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ไดแ้ ต่งหนังสือเล่มหน่ึงชือ่ วา่ ตารบั ทา้ วศรี

จุฬาลกั ษณ์ข้นึ และในหนงั สือเลม่ นี้ ไดพ้ ูดถงึ พิธตี า่ ง ๆ ไว้ และพิธีหนึง่ เรยี กวา่ พระราชพิธจี องเปรียงในวัน
เพญ็ เดือนสิบสอง เป็นพธิ ีโคมลอย นางนพมาศได้คิดตกแต่งโคมลอยทง่ี ดงามประหลาดกว่าโคมของพระสนม
คนอืน่ ทั้งปวง และไดเ้ ลอื กดอกไม้สีต่าง ๆ ประดบั ให้เปน็ ลวดลายแล้วจึงนาเอาผลไม้ มาแกะสลกั เป็นนกและ
หงส์ให้เกาะเกสรดอกไมอ้ ยู่ตามกลีบดอก เป็นระเบียบสวยงามไปด้วยสสี นั สดสวย ชวนนา่ มองยง่ิ นัก รวมทั้ง
เสียบธูปเทียน จึงได้มหี ลกั ฐานการแกะสลักมาตั้งแต่สมยั นั้น

ในสมยั กรงุ รัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หลา้ นภาลัย ทรงโปรดการประพันธย์ ิ่งนกั
พระองค์ทรงพระราชนิพนธก์ าพย์แห่ชมเครื่องคาวหวาน และแหช่ มผลไม้ได้พรรณนา ชมฝีมอื การทาอาหาร
การปอกควา้ นผลไม้ และประดิดประดอยขนมสวยงาม และอรอ่ ยท้ังหลาย วา่ เปน็ ฝีมอื งามเลศิ ของสตรชี าววัง
สมัยน้นั และทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่อง สังข์ทอง พระองคท์ รงบรรยายตอนนางจนั ทรเ์ ทวี แกะสลักชนิ้
ฟักเปน็ เร่ืองราวของนางกบั พระสังข์ นอกจากนน้ั ยังมีปรากฏในวรรณกรรมไทยแทบ ทุกเรอื่ ง เมื่อเอ่ยถงึ ตัวนาง
ซ่ึงเป็นตวั เอกของเรือ่ งวา่ มคี ุณสมบัติของกลุ สตรี เพรียกพร้อมด้วยฝมี ือการปรงุ แตง่ ประกอบอาหาร
ประดดิ ประดอยให้สวยงามทัง้ มี ฝีมอื ในการประดิษฐง์ านช่างทัง้ ปวง ทาใหท้ ราบวา่ กลุ สตรสี มยั นน้ั ไดร้ บั การ
ฝกึ ฝนใหพ้ ิถีพถิ ันกับการจัดตกแตง่ ผกั ผลไม้ และการปรุงแต่งอาหารเป็นพิเศษ จากข้อความนน้ี ่าจะเป็นท่ี
ยนื ยันได้ว่า การแกะสลักผัก ผลไม้ เปน็ ศิลปะของไทยทกี่ ลุ สตรีในสมัยก่อนมีการฝึกหดั เรียนรผู้ ูใ้ ดฝกึ หดั จน
เกิดความชานาญ กจ็ ะไดร้ ับการยกย่อง

งานแกะสลักใช้กับของอ่อน สลกั ออกมาเป็นลวดลายต่างๆอยา่ งงดงาม มีสลักผัก สลกั ผลไม้ สลัก
หยวกกล้วยถอื เป็นงานชา่ งฝีมือของคนไทยท่ีมีมาแต่โบราณ งานสลกั จึงอยใู่ นงานชา่ ง 10 หมู่ เรยี กวา่ ชา่ งสลัก
ในช่างสลักแบง่ ออกย่อย คือ ช่างฉลุ ช่างกระดาษ ชา่ งหยวก ชา่ งเคร่อื งสด ส่วนชา่ งอีก 9 หม่ทู เี่ หลือได้แก่ ชา่ ง
แกะ ที่มที ง้ั ช่างแกะตรา ชา่ งแกะลาย ช่างแกะพระหรือภาพชา่ งหุ่น มชี า่ งไม้ ช่างไม้สูง ช่างปากไม้ ชา่ งปั้น มี
ช่างขี้ผง้ึ ชา่ งปนู เปน็ ช่างขนึ้ รูปปูน มีชา่ งปนั้ ชา่ งปูนก่อ ชา่ งปนู ลอย ช่างป้นั ปนู ชา่ งรกั มชี า่ งลงรกั มีปดิ ทอง
ช่างประดับกระจก ช่างมุก ชา่ งบุ บุบาตรพระเพยี งอย่างเดยี ว ชา่ งกลึง มชี ่างไม้ ชา่ งหล่อ มชี ่างห่นุ ดนิ ช่างขีผ้ ้ึง
ชา่ งผสมโลหะ ช่างเขียน มีช่างเขยี น ชา่ งปิดทอง

การสลกั หรอื จาหลัก จัดเปน็ ศิลปกรรมแขนงหนึ่งในจาพวกประติมากรรม เปน็ การประดิษฐว์ ัตถุ
เนอื้ อ่อนอย่างผัก ผลไม้ ที่ยังไม่เปน็ รปู ร่าง หรือมีรปู ร่างอยู่แลว้ สรา้ งสรรคใ์ ห้สวยงามและพิสดารขึน้ โดยใช้
เครือ่ งมือที่มีความแหลมคม โดยใช้วิธตี ดั เกลา ปาด แกะ ควา้ น ทาให้เกดิ ลวดลายตามต้องการ ซึ่งงานสลักน้ี
เป็นการฝึกทักษะสมั พนั ธข์ องมือและสมอง เป็นการฝึกจติ ใหน้ ิง่ แน่วแน่ตอ่ งานข้างหนา้ อันเป็นการฝึกสมาธไิ ด้
อย่างดีเลิศ

การสลกั ผกั ผลไม้นอกจากจะเป็นการฝึกสมาธิแล้วยังเป็นการฝึกฝีมอื ใหเ้ กิดความชานาญเป็นพิเศษ
และต้องมีความมานะ อดทน ใจเยน็ และมีสมาธิเปน็ ท่ีตงั้ รู้จกั การตกแต่ง มีความคดิ สร้างสรรค์ การทางาน
จอ้ งใหจ้ ิตใจทาไปพร้อมกับงานทีก่ าลงั สลกั อยู่ จึงไดง้ านสลกั ท่สี วยงามเพรศิ แพรว้ อย่างเป็นธรรมชาติ ดัดแปลง
เป็นลวดลายประดิษฐต์ า่ งๆ ตามใจปรารถนา

ปัจจบุ นั วิชาการชา่ งฝีมือเหล่านี้ ถูกบรรจุอยู่ในหลักสตู ร ต้งั แตช่ ั้นประถมศกึ ษา มธั ยมศึกษามาจนถึง
อดุ มศึกษาเป็นลาดบั ประกอบกบั รัฐบาลและภาคเอกชนได้ให้การสนับสนนุ จึงมีการอนุรกั ษศ์ ิลปะต่าง ๆ

อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะการแกะสลักผลงานประเภทเคร่ืองจ้มิ จนกระทั่งงานแกะสลกั ได้กลายเปน็ สิ่งท่ตี ้อง
ประดิษฐ์ ตกแต่งบนโตะ๊ อาหารในการจดั เล้ียงแขกต่างประเทศ ตามโรงแรมใหญ่ ๆ ภตั ตาคาร ตลอดจน
ร้านอาหาร ก็จะใชง้ านศิลปะการแกะสลกั เข้าไปผสมผสานเพ่ือให้เกิดความสวยงาม หรหู รา และประทับใจแก่
แขกในงาน หรอื สถานทีน่ นั้ ๆ งานแกะสลักผลไม้ จึงมีส่วนชว่ ยตกแตง่ อาหารได้มาก คงเปน็ เชน่ นีต้ ลอดไป
หลักการแกะสลกั ผักและผลไม้

การแกะสลักผกั และผลไมถ้ ือเป็นงานแกะสลกั วัสดุเน้ืออ่อน จาแนกลกั ษณะของงานตามวิธกี ารแกะสลัก
ไดด้ ังนี้ คือ

1. รปู รอ่ งลกึ เป็นการเซาะเนื้อวสั ดุให้เปน็ ร่องลึกตามลวดลายหรอื ลักษณะงานที่ออกแบบไว้

2. รปู นนู เปน็ การแกะสลกั เนื้อวัสดนุ ูนขึน้ จากพ้ืน คือ การแกะสลักพ้นื ใหต้ ่าลง ใหต้ ัวลายนูนสูงข้ึนมา

3. รปู ลอยตัว เปน็ การแกะสลักที่มองเหน็ ไดโ้ ดยรอบทุกดา้ น

เครื่องมือท่ใี ช้ในการแกะสลัก

1. มีดบาง ใช้สาหรับปอก หั่น ตดั ปาด เกลาใหไ้ ด้รปู ทรงทต่ี ้องการ

2. มีดปลายแหลม , มีดปลายโค้ง ใชส้ าหรับคว้านแกะสลัก เซาะใหเ้ ปน็ ร่องและใช้ในการตดั เสน้
ลวดลายตา่ ง ๆ เปน็ เครอื่ งมือที่มีความสาคญั มาก จะตอ้ งมีความคมเสมอ ในการแกะสลักมวี ิธีจับอยู่ 2 แบบ
คอื

แบบท่ี 1 จับมีดแบบห่ันผัก มือขวาจบั ดา้ มมีดอยา่ ให้แนน่ เกินไป น้วิ ชี้กดสันมีด มือซา้ ยจบั ผักหรือผลไม้
แบบท่ี 2 จบั มีดแบบจบั ดินสอ มอื ขวาจบั ดา้ มมีด นิ้วช้ีกดสันมดี เหลอื ปลายมีดประมาณ 2-3 เซนติเมตร
มอื ซา้ ยจบั ผักหรอื ผลไม้
3. มดี ฟนั เลอ่ื ย มีคมมีดหยกั เหมือนฟนั เลื่อย ใชป้ าดเนอื้ ผลไม้ที่เป็นทรงกลม เช่น แตงโม
4. มีดปอก เป็นมีดท่ีมคี มทั้งสองดา้ นหนั เข้าหากัน ใช้สาหรบั ปอกเปลือกผักและผลไม้
5. ที่ตกั ทรงกลม มีด้ามจับตรงกลาง ปลายสองข้างเปน็ ครึ่งวงกลมเป็นท่ตี กั ผักผลไม้

อุปกรณท์ ่ีใชใ้ นการแกะสลัก
1. เขียงไม/้ เขียงพลาสติก สาหรับรองรบั เม่ือต้องการหนั่ ผักและผลไม้
2. ภาชนะใสน่ ้าสาหรับแชผ่ กั ทแี่ กะสลกั เสรจ็ แลว้
3. ถาดรองรับเศษผักและผลไมข้ ณะแกะสลัก
4. ผ้าขาวบาง สาหรับคลมุ ผกั และผลไมท้ ี่แกะสลกั เสร็จแล้ว
5. ผา้ เช็ดมือ
6. ทีฉ่ ีดน้า
7. จาน ถาด สาหรับจดั ผกั และผลไม้ที่แกะสลักเสร็จแลว้
8. กลอ่ งพลาสติกหรอื ถุงพลาสติกสาหรบั ใสผ่ ักและผลไม้ท่ีแกะเสร็จแลว้ นาไปแชใ่ นตู้เย็น

การเก็บรักษาเครอื่ งมือ/อุปกรณท์ ใ่ี ช้ในการแกะสลกั
-หลงั ใชง้ านแล้วต้องทาความสะอาดทุกครั้ง วัสดทุ ีน่ ามาแกะสลกั บางชนิดมยี าง ตอ้ งล้างยางที่คมมีด

ดว้ ยมะนาวหรือน้ามันก่อน แล้วจึงลา้ งนา้ ให้สะอาด เช็ดให้แห้ง เก็บปลายมีดในฝกั หรือปลอก
-หมนั่ ดูแลมีดแกะสลกั ให้มคี วามคมสมา่ เสมอ เวลาใช้งานผักและผลไม้จะได้ไมช่ า้ โดยหลงั การใช้ตอ้ ง

ลับคมทกุ ครัง้ เชด็ ใหแ้ ห้งเก็บใสก่ ลอ่ งโดยเฉพาะ และเกบ็ ไว้ให้พ้นมือเดก็

ผักและผลไม้ที่สามารถนามาแกะสลกั ได้

- แตงกวา เลอื กผิวสดสีเขยี วปนขาวไม่เหลือง สามารถนามาแกะสลักได้หลายรูปแบบ เชน่ กระเชา้
ใส่ดอกไม้ ดอกไม้ ใบไม้ เมื่อแกะเสร็จใหล้ ้างดว้ ยนา้ เย็นใส่กล่องแชเ่ ยน็ ไว้ หรือใชผ้ า้ ขาวบางชบุ น้าคลมุ ไวจ้ ะ
ไดส้ ดและกรอบ

- มะเขือเทศ เลือกผลที่มผี ิวสด ข้วั สีเขียว นามาแกะสลกั เปน็ ดอกไม้ หรือฝานผิวนามามวนเปน็ ดอก
กหุ ลาบ เม่ือแกะเสร็จควรลา้ งดว้ ยน้าเยน็ ใสก่ ลอ่ งแช่เยน็

- มะเขือ เลือกผลท่ีมผี วิ เรยี บ ไมม่ รี อยหนอนเจาะ ขัว้ สีเขียวสด นามาแกะเป็นใบไม้ ดอกไม้ เม่ือแกะ
เสรจ็ ควรแช่ในนา้ มะนาวหรือนา้ มะขาม จะทาให้ไมด่ า

- แครอท เลอื กสีส้มสด หวั ตรง นามาแกะเปน็ ดอกไม้ ใบไม้ สตั ว์ต่าง ๆ เม่อื แกะเสร็จให้แช่ไวใ้ นน้า
เยน็

- ขงิ เลือกเหง้าทีม่ ีลักษณะตามรปู รา่ งทต่ี ้องการ แกะเป็นช่อดอกไม้ ใบไม้ สตั ว์ เมอ่ื นาขิงอ่อนไปแช่
ในน้ามะนาวจะเปล่ยี นเปน็ สีชมพูสวย

- มนั เทศ เลือกหวั ท่ีมผี ิวสด ไมม่ แี มลงเจาะ แกะเป็นรปู สตั วต์ ่าง ๆ แกะเสร็จแลว้ นาไปแชใ่ นน้า
มะนาวหรอื นา้ มะขาม ผวิ จะไดไ้ มด่ า

- เผือก เลอื กหัวใหญ่กาบสเี ขียวสด นามาแกะเปน็ ภาชนะใสข่ อง หรืออาหาร ดอกไม้ ใบไม้ หรอื สตั ว์
เมอ่ื แกะเสร็จใหน้ าไปแชใ่ นนา้ มะนาวหรือน้ามะขามจะทาให้มีสขี าวข้ึน

- ฟักทอง เลือกผลแกเ่ น้ือสเี หลืองนวล นามาแกะเปน็ ภาชนะใส่ของหรืออาหาร ดอกไม้ ใบไม้ หรอื
สตั ว์ตา่ ง ๆ แกะเสร็จแลว้ ให้ล้างนา้ แลว้ ใชผ้ ้าขาวบางชบุ นา้ คลมุ ไว้
มันฝรงั่ เลอื กผิวสด นามาแกะเปน็ ใบไม้ ดอกไม้ สัตว์ต่าง ๆ เมือ่ ปอกเปลือกแลว้ ใหแ้ ช่ไวใ้ นน้ามะนาวจะได้ไม่
ดา

- แตงโม เลือกผลใหเ้ หมาะกับงานทอ่ี อกแบบไว้ นามาแกะเป็นภาชนะแบบตา่ ง ๆ เมื่อแกะเสร็จใหใ้ ช้
ผา้ ขาวบางชุบนา้ คลมุ ไว้

- เงาะ นามาควา้ นเอาเมลด็ ออก ใชว้ ุ้นสตี ่าง หรอื สับปะรด หรือเนื้อแตงโม ยัดใส่แทน เม่ือแกะเสร็จ
ใหน้ าไปแชเ่ ย็น

- ละมุด เลอื กผลขนาดพอดี ไม่เลก็ หรือใหญ่เกนิ ไป ไมส่ ุกงอม แกะเสร็จให้นาไปแชใ่ นตู้เยน็
สบั ปะรด เลือกผลใหญ่ ไมช่ ้า แกะเป็นพวงรางสาดได้สวยงาม แกะเสรจ็ ใหล้ ้างด้วยน้าเยน็ และนาไปแชเ่ ยน็

- ส้ม เลือกผลใหญ่ สสี ้มสด แกะเปน็ หน้าสตั ว์เชน่ แมวเหมียว
น้อยหน่า เลอื กผลใหญ่ไม่งอม นามาควา้ นเอาเมลด็ ออก แกะเสรจ็ นาไปแช่เยน็

ลาดบั ขั้นการแกะสลกั ผกั และผลไม้
- ออกแบบ โดยการร่างแบบในกระดาษ
- วิเคราะหเ์ พ่ือเลือกผักหรอื ผลไม้ในการนามาแกะสลักให้มีความเหมาะสมตามทอี่ อกแบบไว้
- เกลาให้ไดร้ ูปทรงตามที่ออกแบบไว้
- แกะสลกั วธิ ีเซาะร่องให้ไดร้ ูปทรงทอี่ อกแบบไว้

- การฝกึ ทักษะ การเกลา การแกะสลกั (การแกะสลักฟักทองเป็นดอกรกั เร่)

ข้นั ตอนการทา
1. ตดั ฟักทองให้เป็นช้ินส่เี หล่ียมจัตรุ สั ตัดเหลยี่ มท้งั 4 ดา้ นออก
2. เกลาชนิ้ ฟักทอง ใหม้ ีลักษณะเป็นรปู คร่งึ วงกลม
3. แกะสลกั เกสรโดยใชม้ ีดปัก 90 องศา และปาดเนื้อออก
4. แกะสลักเกสรหันปลายกลีบเขา้ หาจดุ ศูนย์กลาง ปาดเนื้อกลางกลบี ใหเ้ ป็นร่อง
5. แบง่ ระยะกลบี ปาดเน้ือกลางกลีบใหเ้ ป็นร่อง และแกะสลกั กลีบใหป้ ลายแหลม
6. ดอกรกั เร่กลีบดา้ นขา้ ง จากโค้งเลก็ น้อย มปี ลายแหลม ปาดเน้ือใต้กลบี ออกทกุ ครง้ั กลีบจึงจะเดน่
7. แกะสลักกลบี ช้ันต่อไป ให้สับหวา่ ง เช่นนจ้ี นจบ
8. ดอกรักเรท่ ่ีสาเรจ็ จะเป็นด่ังรูป

4. งานป้ันจากดิน
งานปัน้ ดนิ เผา
งานป้ันดิน ซงึ่ ได้ทาขน้ึ เป็นงานปน้ั แบบไทยประเพณี ด้วยโบราณวธิ ี ตามความรขู้ องชา่ งปนั้ แตก่ ่อนน้ัน

อาจ จาแนกงานป้ัน และ วธิ กี ารปน้ั ดินออกเป็นแตล่ ะประเภท คือ
งานปั้นดินดบิ งานป้ันประเภทน้ใี ชด้ ินเหนยี ว ทน่ี ามาจากแหล่งดนิ ในธรรมชาตทิ ว่ั ไป หากตอ้ งการให้มี

ความแข็งแรง และคงทนอยูไ่ ดน้ านๆ จึงนาเอาวสั ดุบางอย่างผสมรว่ มเขา้ กบั เนื้อดนิ เพอื่ เสรมิ ใหด้ ินมโี ครงสร้าง
แขง็ แรงขึ้นเป็นพิเศษ ได้แก่ กระดาษฟาง กระดาษข่อย และตวั ไพ่จีน เปน็ ต้น
งานปน้ั ดินเผา เปน็ งานป้ันประเภทใช้ดนิ เหนยี ว ซึง่ นามาจากแหล่งดนิ ในธรรมชาตทิ วั่ ไป เช่นเดยี วกบั ดนิ ที่ ใช้
ในงานปั้นดินดิบ แตเ่ นื้อดินที่จะใชใ้ นงานป้นั ดินเผา ต้องใช้ทรายแมน่ า้ ทีผ่ า่ นการร่อนเอาแต่ทรายละเอยี ดผสม
รว่ มกบั เนอ้ื ดนิ แลว้ นวดดินกับทรายใหเ้ ขา้ เปน็ เน้อื เดียวกนั และทาใหเ้ นื้อดินแนน่ อนง่ึ การท่ีใช้ทรายผสม
รว่ มกับดินเหนียวเช่นนี้ กเ็ พ่ือชว่ ยมใิ หเ้ นอ้ื ดนิ แตกร้าว เม่อื แหง้ สนิท และ นาเข้าเผาไฟใหส้ ุก
งานปัน้ ดินดบิ และ งานป้ันดินเผา ในลักษณะงานป้นั แบบไทยประเพณี ช่างป้นั อาศยั เคร่อื งมือร่วมด้วยกบั การ
ป้นั ด้วยมอื ของชา่ งป้ันเองด้วย เครื่องมือ สาหรับงานปน้ั ดนิ อย่างโบราณวธิ ี มีดงั น้ี

- ไม้ขดู ใช้สาหรบั ขูด ควักดนิ
- ไม้เนียน ใช้สาหรบั ปน้ั แตง่ ส่วนย่อยๆ
- ไม้กวด ใช้สาหรับกวดดนิ ให้เรยี บ
- ไม้กราด ใช้สาหรบั ขดู ผิวดนิ สว่ นทไี่ มต่ ้องการออกจากงานปัน้
เคร่อื งมอื สาหรับงานปน้ั อาจจะมีจานวนมาก หรอื นอ้ ยชน้ิ หรือมตี า่ งๆ ไปตามแตค่ วามต้องการ และ
จาเป็น สาหรบั ช่างป้นั แตล่ ะคน

วธิ กี ารและขั้นตอนการป้ัน

งานปั้นดินดิบ และ งานป้ันดินเผา ดาเนินงานดว้ ยวธิ กี าร และ มีขนั้ ตอนโดยลาดบั ดงั น้ี
งานขึ้นรปู คือ การก่อตวั ดว้ ยดนิ ขึน้ เปน็ รปู ทรงเลาๆ อยา่ งที่เรยี กว่า “รปู โกลน” ลักษณะเปน็ รูป
หยาบๆ ทาพอ เปน็ เคา้ รูปทรง โดยรวมของสิง่ ทีจ่ ะเพิ่มเตมิ ส่วนละเอยี ดให้ชัดเจนตอ่ ไป
งานป้นั รปู คือ การนาดนิ เพ่ิมเติม หรือ ตอ่ เติมขนึ้ บนรปู โกลน หรือ รูปทรงโดยรวมท่ไี ด้ขึ้นรปู ไว้แตต่ ้นปรากฏ
รปู ลกั ษณะที่ชัดเจน ตามประสงค์ ทต่ี อ้ งการจะป้ันใหเ้ ปน็ รูปนั้นๆ จนเปน็ รูปปนั้ ทม่ี คี วามชัดเจนสมบูรณ์ ดงั
ความมงุ่ หมายของชา่ งปน้ั ผูท้ ารปู ปั้นนั้น
งานปั้นเก็บสว่ นละเอียด เป็นกระบวนการปน้ั ข้นั หลงั สดุ โดยทาการปัน้ แต่งส่วนที่ละเอียดให้ชดั เจน
เน้น หรือ เพ่มิ เติมส่วนท่ีตอ้ งการให้เหน็ สาคญั หรือ แสดงออกความรู้สกึ เน่ืองด้วยอารมณ์ต่างๆ ของช่างปน้ั
งานปั้นดนิ ดิบนนั้ เม่ือช้นิ งานสาเรจ็ กม็ ักผึง่ ให้แห้งสนทิ แล้วจึงนาไปใช้งานตามความประสงค์ตา่ งๆ บางอยา่ ง
ท่ตี ้องการตกแตง่ ดว้ ยการระบาย หรอื เขยี นสเี พ่ิมเตมิ ใหส้ วยงามตามความนยิ ม และ ความตอ้ งการใช้งาน จะ
เขยี นระบายดว้ ยสฝี นุ่ ผสมน้ากาวทบั ลงบนรปู ปน้ั ดนิ ดบิ ท้ังในสว่ นพ้นื ของรปู และ ส่วนท่ีแสดงรายละเอียด มี
ตัวอยา่ ง เช่น รปู ปนั้ หวั วัว รปู ป้ันหวั กวาง สาหรบั แขวนประดบั ฝาผนัง รูปปน้ั ฤาษตี ่างๆ รูปปัน้ นางกวัก รปู ปนั้
ละครยก ตุ๊กตาชาววัง เปน็ ตน้
อนงึ่ งานปัน้ ดนิ เผา ก็ดาเนนิ ข้ันตอนการปั้น เชน่ เดยี วกับการปั้นดนิ ดิบก่อน แล้วจงึ จัดการเผาใหร้ ปู
ปั้นดินนั้นให้สุก ด้วยความร้อนทใี่ ช้ถ่านไม้ หรือ แกลบเป็นเชื้อเพลิงตามความเหมาะสมแก่ชน้ิ งาน
งานปน้ั ดินเผาบางประเภทเมื่อเผาสกุ ได้ทแ่ี ลว้ นาไปใชง้ านในสภาพทช่ี ิ้นงานนน้ั มสี ตี ามธรรมชาติของ
เน้ือดนิ มตี วั อย่างเชน่ พระพุทธพมิ พ์ พระพุทธปฎิมากรรม ลวดลายตา่ งๆ สาหรับประดบั งานสถาปัตยกรรม
หางกระเบื้อง กาบกลว้ ย เปน็ ต้น
งานปน้ั ดินเผาบางประเภท ต้องการตกแต่งเพิ่มเตมิ ด้วยการระบายสี และ เขียนสว่ นละเอยี ดให้
สวยงามตามความนิยม และ ความตอ้ งการใช้เช่น ตกุ๊ ตาเจ้าพราหมณ์ ตุ๊กตาชายหญงิ ทาเป็นขา้ รับใชต้ ามศาล
พระภูมิ ตุ๊กตารูปช้างม้าสาหรับถวายแก้บนเจ้าและพระภมู ิ ตุ๊กตารูปเด็กทาเปน็ ของเล่นสาหรับเดก็ ตุ๊กตารปู
สตั วต์ า่ งๆ ทาเป็นของเลน่ เป็นต้น
งานปน้ั ดนิ ดบิ และ งานปน้ั ดินเผา ดาเนินงานดว้ ยวิธีการ และ มขี นั้ ตอนโดยลาดบั ดังน้ี
งานขนึ้ รปู คือ การก่อตวั ดว้ ยดนิ ข้ึนเปน็ รปู ทรงเลาๆ อยา่ งที่เรียกวา่ “รูปโกลน” ลักษณะเปน็ รปู
หยาบๆ ทาพอ เปน็ เค้ารปู ทรง โดยรวมของสง่ิ ท่จี ะเพิ่มเติมส่วนละเอียดใหช้ ัดเจนตอ่ ไป
งานป้ันรูป คือ การนาดนิ เพ่ิมเติม หรอื ต่อเติมข้นึ บนรปู โกลน หรือ รูปทรงโดยรวมท่ีได้ข้ึนรปู ไว้แตต่ น้ ปรากฏ
รปู ลกั ษณะทีช่ ัดเจน ตามประสงค์ ทีต่ ้องการจะปัน้ ใหเ้ ปน็ รูปนั้นๆ จนเป็นรูปปน้ั ที่มีความชัดเจนสมบรู ณ์ ดัง
ความมุ่งหมายของช่างปัน้ ผ้ทู ารูปป้นั น้นั
งานป้นั เก็บสว่ นละเอยี ด เป็นกระบวนการปั้นขัน้ หลงั สดุ โดยทาการปน้ั แต่งสว่ นทีล่ ะเอียดให้ชัดเจน
เน้น หรือ เพิ่มเติมส่วนที่ต้องการให้เห็นสาคัญ หรือ แสดงออกความรู้สึกเน่ืองด้วยอารมณต์ ่างๆ ของชา่ งป้ัน
งานป้ันดนิ ดิบนน้ั เม่ือช้นิ งานสาเรจ็ ก็มักผ่ึงให้แห้งสนทิ แล้วจึงนาไปใช้งานตามความประสงค์ต่างๆ บางอย่าง
ทตี่ อ้ งการตกแต่งด้วยการระบาย หรือ เขยี นสีเพิ่มเติมใหส้ วยงามตามความนยิ ม และ ความต้องการใช้งาน จะ
เขยี นระบายดว้ ยสีฝนุ่ ผสมน้ากาวทบั ลงบนรูปปั้นดินดิบ ท้ังในสว่ นพื้นของรูป และ สว่ นที่แสดงรายละเอยี ด มี

ตัวอย่าง เชน่ รปู ปั้นหวั ววั รูปป้ันหัวกวาง สาหรบั แขวนประดบั ฝาผนงั รปู ปั้นฤาษีต่างๆ รูปปั้นนางกวัก รูปปั้น
ละครยก ตุ๊กตาชาววัง เป็นตน้

อนึ่ง งานปน้ั ดินเผา ก็ดาเนินข้ันตอนการป้นั เช่นเดยี วกับการปัน้ ดินดบิ กอ่ น แลว้ จงึ จดั การเผาใหร้ ูปป้ันดนิ นั้น
ใหส้ ุก ดว้ ยความรอ้ นที่ใช้ถ่านไม้ หรือ แกลบเปน็ เชอื้ เพลงิ ตามความเหมาะสมแกช่ น้ิ งาน

งานป้ันดนิ เผาบางประเภทเม่ือเผาสกุ ได้ทีแ่ ลว้ นาไปใช้งานในสภาพทช่ี ้นิ งานนัน้ มสี ีตามธรรมชาตขิ อง
เนอื้ ดนิ มีตัวอย่างเช่น พระพุทธพิมพ์ พระพุทธปฎมิ ากรรม ลวดลายต่างๆ สาหรับประดบั งานสถาปัตยกรรม
หางกระเบ้ือง กาบกลว้ ย เปน็ ตน้

งานป้ันดนิ เผาบางประเภท ต้องการตกแต่งเพิ่มเติม ด้วยการระบายสี และ เขยี นส่วนละเอยี ดให้
สวยงามตามความนิยม และ ความต้องการใช้เช่น ตุ๊กตาเจ้าพราหมณ์ ตุ๊กตาชายหญงิ ทาเป็นข้ารับใช้ตามศาล
พระภูมิ ตุ๊กตารปู ช้างมา้ สาหรับถวายแกบ้ นเจา้ และพระภมู ิ ตุ๊กตารปู เด็กทาเปน็ ของเล่นสาหรับเด็ก ต๊กุ ตารปู
สัตวต์ ่างๆ ทาเป็นของเล่น เป็นต้น

กรอบรูปงานปนั้ จากดนิ
การปนั้ หมอ้ ดนิ เผา
งานป้นั หม้อในยคุ ก่อน ๆ เปน็ ไปตามกลไกธรรมชาติ คุณ ยายประนอม อทุ ิศศรี และ คณุ ยายศรนี ารถ

สุขสวัสดิ์ สองผ้เู ฒา่ แหง่ บา้ นคลองสระบัว ราลกึ ถงึ อดตี ด้วยใบหน้าในยมิ้ วา่ สมัยก่อนทุกอยา่ งต้องทาดว้ ย
ตัวเอง เคร่อื งมือทุ่นแรงไม่มใี หใ้ ช้ อยา่ งแปน้ หมนุ หรือ “ แระ ” ต้องใช้กาลงั ขาเข้าช่วยแต่สมัยนี้มสี ายพาน
มอเตอร์ ทุ่นแรงไปมากทเี ดียว

“ หมอ้ ท่ีเผาจนเสรจ็ แล้วก็เหมอื นกัน เม่ือกอ่ นต้องขนใส่เรือพายไปแลกเปล่ียนสินคา้ ตามหวั เมือง
หรอื ไม่กช็ มุ ทางเรือ เรียกวา่ แลกบ้างขายบ้าง กวา่ จะหมดก็ปาเขา้ ไปหลายวนั ขากลับกม็ ีขา้ วของเคร่ืองใชต้ ุน
กบั มาเยอแยะไปหมด ” คุณประนอมเลา่ ปนขาอย่างสนกุ

สว่ นคณุ ยายศรีนารถ ซ่ึงปัน้ หม้อมาต้งั แตเ่ ด็ก ก่อนไปใชช้ ีวติ ชว่ งหนงึ่ ทางานทว่ี ทิ ยาลยั
พระนครศรีอยุธยาจนถงึ วยั เกษียณ จึงกลบั มาสบื สานงานป้ันหมอ้ ดิน โดยเฉพาะสถาบนั ศกึ ษาในจงั หวัด
พระนครศรอี ยธุ ยา คณะครูจะเปิดโอกาสใหน้ ักเรียนนักศึกษามาดูการสาธิตและให้ทดลองทาด้วยตนเอง

การป้ันหมอ้ ดิน
• ดนิ ท่ีนามาใชใ้ นปั้นหม้อ คือ ดินเหนียวท่หี าได้ตามท้องไร่ทอ้ งนา
• ทราย ทใ่ี ช้เป็นทรายละเอยี ดตามแมน่ ้าใชเ้ ป็นสว่ นผสมในระหวา่ งการย่าดินกบั ทรายให้เขา้ กันเป็น
เนือ้ เดยี ว
3. กระบะหรืออ่าง เป็นอปุ กรณ์ที่ใชใ้ นการหมกั ย่าดิน บางบ้านใชว้ ิธขี ดุ ดิน ลงไปเปน็ แอ่งสีเ่ หล่ยี มหรอื
กลมรีลกึ พอประมาณ

4. นา้ ทีใ่ ช้เปน็ นา้ จากลาคลองสระบวั นนั่ เอง ใช้เปน็ ตัวประสานระหว่างดนิ กับทรายใหเ้ ข้ากนั เป็นเนอ้ื
เดียว

5. แปน้ หมนุ เครอ่ื งมอื ชนดิ นี้เดิมใชแ้ รงงานคน เรียกว่า “ แระ ” มาระยะหลงั ใชม้ อเตอร์สายพาน
แทน

6. ไมต้ ี เปน็ อปุ กรณท์ ่ีมหี ลายขนาด และใช้ในโอกาสต่างกนั เช่น ไม่ตแี รก จะมขี นาดเหมาะมือ ไม้ตีไม้
สองเรียก ไมต้ น ใช้ตอ่ จากขัน้ ตอนแรกและไมต้ ีไมส้ ามเรยี ก ไมล้ ายแบน

7. ลูกหนิ ทามาจากดนิ เหนียวผสมปนู ซีเมนต์เป็นตวั ยนั เน้อื หม้อดินขณะท่ีอีกมือหน่ึงจะทาหนา้ ท่ีดีอยู่
ด้านนอก

8. หนิ ขดั หาไดท้ ่ัวไป เปน็ หนิ ผิวเรียบท่วั ไป เช่น หินอ่อนหรือหนิ แม่น้าใชส้ าหรับขัดผิวหมอ้ ดินให้
เรียบเสมอกัน ก่อนการชุบสี

9. สีดนิ เหลือง ทามาจากดนิ เหนยี วสีเหลืองผสมนา้ คนจนเนอ้ื ดนิ และโคลนจะได้น้าดินสเี หลืองจะ
นามาใช้เป็นสที าผวิ หม้อดนิ ที่ผ่านการขัดมาแลว้

ข้ันตอนการทา
1. ยา่ ดนิ โดยขน้ั แรกจะนาดินทเี่ ป็นก้อนมาแชน่ า้ หมักไวร้ าว 1-2 วัน แล้วนาดนิ ที่ไดม้ าใส่กระบะท่ี

เตรยี มไว้ พร้อมกับผสม ดนิ 2 ส่วน ทราย 1 สว่ น และนา้ พอประมาณ
2. เร่ิมทาการยา่ ดิน ย่าจนม่ันใจว่าเข้ากันเปน็ เนื้อเดยี วอย่างพอดี จงึ ตักดนิ ขนึ้ มาห่อไว้ดว้ ยผ้าชุบน้า
3. ป้ันหมอ้ คนป้ันหม้อจะตักดินมาวางบนแปน้ หมุนโดยกะประมาณเอาเองว่าจะปั้นหม้อครง้ั ละ

จานวนเท่าใด ดินท่ีถูกตักข้นึ มาโปะบนแปน้ จะไดร้ บั การจัดแต่งลักษณะพอกเปน็ เนิน เปิดสวิตช์ ใช้ผา้ ชุบนา้
คอยหล่อลืน่ ใช้มือกดลงตรงกลางจนได้ขนาดความหนาและความสูงตามต้องการ จากน้นั นาผ้าชบุ น้า “ รีหม้อ
” ใหไ้ ดส้ ว่ นโค้งเวา้ เมื่อพอใจแลว้ จงึ ใช้ด้ายตดั ดนิ ตรงฐานหม้อ ถือเป็นการป้นั หม้อเสรจ็ หน่ึงใบ

4. เรยี งตาก หมอ้ ทไ่ี ดจ้ ากการป้ันจะถูกลาเลยี งมาวางบนแผ่นกระดานไม้อย่างเป็นระเบียบกอ่ นนาไป
ตาก สามารถตากไดท้ งั้ แดดและลม และใชเ้ วลา 4-5 ชวั่ โมงกใ็ ช้ได้ หากไม่มแี ดดกใ็ ชต้ ากลมประมาณ 1 คนื ก็
ใชไ้ ด้

5. ทาสหี ม้อ นาหม้อทผี่ ่านการตบแตง่ เรยี บรอ้ ยแลว้ มาทาสี โดยใช้ผา้ ชบุ โคลนสเี หลือง หรือทเ่ี รียกว่า
“ ดนิ เหลอื ง ” ตากไว้ 1 คืน

6. เผาหม้อดิน ชาวบา้ นคลองสระบัว ยงั คงใชว้ ธิ ีการเผาหม้อดนิ แบบโบราณอยเู่ รียกว่า “ เผาเตาสุม ”
โดยเตาเผาจะได้รบั การก่อขึน้ เป็นทรงสูงเหนอื พืน้ ดนิ ส่วนด้านล่างของเตาจะขดุ ดินลงไปใหล้ กึ พอประมาณ เพ่ือ
ใสฟนื กระถินซง่ึ เป็นเชอื้ เพลงิ พนื้ บ้าน การเผาจะใช้เวลาช่ัวข้ามคืนแลว้ จงึ เปิดเตาในช่วงเช้า ถงึ ขั้นตอนนี้
ระหวา่ งทห่ี ม้อถูก

ลาเลียงออกจากเตาเผา หากใบไหนรา้ วหรอื มีตาหนิมากเกินไปกจ็ ะทุบทิ้ง จะไม่ยอมจาหน่ายออกไป
เพราะจะทาใหเ้ สียชอ่ื “ หมอ้ ดินเผาบา้ นคลองสระบัว ”

การปน้ั หม้อแต่ละคร้ังทากนั 3 ขนาด คือ ขนาดใหญ่เรยี กว่า “ หมอ้ ต้น ” ขนาดกลางเรียกว่า “ หมอ้
กลาง ” และขนาดเล็กเรียกวา่ “ หมอ้ กระจอก ” ซึง่ การทาหม้อขนาดใดจะมากหรอื น้อยน้ันขนึ้ อยกู่ ับการสัง่
ของพ่อค้า

5. งานดอกไม้สด

งานดอกไมส้ ด พธี ีตา่ งๆ
การจดั ดอกไม้ ถอื เป็นศาสตร์อย่างหน่งึ ที่จาเป็นตอ้ งอาศัยทักษะ ประสบการณ์ เพราะจะต้องใช้
ดอกไม้ท่ีแตกต่างกนั ในหลากหลายสี การไล่โทน การนาเอาดอกไมห้ รือใบไม้ ตลอดจนวัสดุตา่ ง ๆ มาจดั ให้อยู่
ในองค์ประกอบทางศลิ ปะ ซ่ึงตอ้ งมีความสมั พันธก์ นั และทาให้เกิดมุมมองท่สี วยงาม นับไดว้ า่ เปน็ ศลิ ปะและ
วิวฒั นาการท่สี บื ทอดกันมาช้านาน การจัดดอกไม้โดยส่วนใหญ่นิยมจดั เลียนแบบดอกไม้สดธรรมชาติ

หลกั การจัดดอกไม้
ส่ิงท่ตี ้องเตรียม

1. ภาชนะสาหรับจัด หมายถงึ ภาชนะสาหรบั รองรบั ดอกไมม้ ีหลายชนดิ เช่น แจกนั รูปทรงต่าง ๆ เช่น
กระบุง ตะกรา้ ชะลอม

2. ท่ีสาหรับรองภาชนะ เม่ือจัดดอกไมเ้ สรจ็ ควรมีสิ่งรองรับเพอ่ื ความสวยงาม ความโดดเด่นของแจกนั
เชน่ ไมไ้ ผ่ขดั หรือสานเปน็ แพ กระจก แป้นไม้

3. กรรไกรสาหรบั ตัดแตง่
4. เครอ่ื งใชต้ า่ ง ๆ เชน่ ลวด ทราย ดนิ น้ามัน กระดาษสี ฟลอร่าเทปสเี ขียว กา้ นมะพรา้ ว ลวดเบอร์
24 และ เบอร์ 30
5. ดอกไม้ประดิษฐ์พร้อมใบไม้สาเรจ็
6. เครื่องประกอบตกแตง่ เช่น ก่ิงไม้ ขอนไม้ ตกุ๊ ตา ขดลวด เป็นตน้

ดอกไมท้ ี่นิยมใช้
1. เลือกดอกไม้ตามวตั ถปุ ระสงคส์ าหรับงานนัน้ ๆ
2. ความทนทานของดอกไมป้ ระดษิ ฐ์
3. ขนาด เลือกให้เหมาะกับภาชนะ สถานทีต่ ้งั และแบบของการจัด

4. การเลอื กสี ตอ้ งดูฉากด้านหลังและจุดประสงคว์ ่าตอ้ งการ กลมกลืน หรือตดั กนั
5. ความนิยม เชน่ ดอกกุหลาบนยิ มใช้ในงานมงคล ดอกบวั ใช้บูชาพระ

สิ่งควรคานึงในการจัด ดอกไม้

1. สดั สว่ น ควรใหค้ วามสงู ของดอกไม้พอดกี ับแจกันเช่น แจกันทรงสูง ดอกไมด้ อกแรกควรสูง เทา่ กับ
1.5 – 2 เทา่ ของความสูงของแจกนั สาหรบั แจกันทรง เตี้ยดอกไม้ดอกแรกควรสงู เทา่ กบั 1.5 – 2 เท่าของ
ความกว้างของแจกนั

2. ความสมดยุ ลควรจดั ให้มคี วามสมดุลไมห่ นักหรือเอยี งขา้ งใดข้างหนงึ่
3. ความกลมกลืน เปน็ หัวใจของการจัดตอ้ งมีความสมั พนั ธ์ทุกด้านตงั้ แต่ขนาดของแจกนั ความเล็ก
และใหญ่ของดอกไม้ ความมากน้อยของใบทีน่ ามาประกอบ
4. ความแตกตา่ ง เปน็ การจดั ทีท่ าใหส้ วยงามสะดดุ ตา เช่นจัดดอกไมเ้ ล็ก ๆ และมดี อกใหญเ่ ดน่ ข้ึนมา
5. ชว่ งจงั หวะ ชว่ ยให้ดอกไม้มชี วี ิตมากข้นึ ควรไลข่ นาด ดอกตูม ดอกแย้ม จนถึงดอกบาน
6. การเทยี บส่วน เป็นความสัมพนั ธก์ ับส่วนต่าง ๆ เช่น ดอกไมด้ อกเล็กควรใส่แจกันใบเล็ก ตลอดจนที่

รปู แบบการจัดดอกไม้
การจดั ดอกไม้โดยทวั่ ๆ ไปแบ่งออกเป็น 3 แบบ ดังน้ี
1. การจดั ดอกไมเ้ ลียนแบบธรรมชาติ ( เพอ่ื ใช้เอง) เปน็ การจดั ดอกไมแ้ บบงา่ ย ๆ เพื่อประดบั ตกแต่ง

บา้ น โดยอาศยั ความเจรญิ เติบโตของต้นไม้ ดอกไม้ ก่งิ ไม้ นามาจัดลงภาชนะ โดยใช้กง่ิ ไม้ขนาดต่าง ๆ 3 ก่งิ
การจดั ดอกไมแ้ บบนี้ นยิ มนาหลักการจดั ดอกไม้จากประเทศญป่ี ุ่นมาประยุกต์

2. การจัดดอกไม้แบบสากล นิยมจดั 7 รปู แบบ คือ รูปทรงแนวด่ิง ทรงกลม ทรงสามเหล่ียมมุมฉาก
ทรงสามเหล่ียมด้านเท่า ทรงพระจันทร์ควา่ ทรงพระจันทร์เสยี้ ว ทรงตวั เอส

3. การจดั ดอกไม้แบบสมันใหม่ เปน็ การจดั ดอกไม้ที่มีรปู แบบอิสระ เน้นความหมายของรูปแบบ
บางคร้ังไมจ่ าเป็นต้องใช้ดอกไม้แต่อาจใช้วัสดหุ รือภาชนะเป็นจุดเด่นเป็นการสร้างความรู้สึกใหผ้ ูพ้ บเหน็ การ
จดั ดอกไม้แบบน้ียงั อาศัยหลักเกณฑ์ สดั สว่ นและความสมดุลด้วย

การเตรยี มดอกไม้ก่อนจัด

1. ดอกไม้ ใบไม้ ท่ีซื้อมาจากตลาดต้องนามาพักไวใ้ นน้าอย่างน้อย 45 นาที – 2 ชั่วโมง
2. นาดอกไม้มาลิดใบท่ีไมส่ วย เหี่ยว หรือไม่จาเป็นออกไป
3. ตดั ก้านดอกไม้ใตน้ า้ หากก้านไมแ่ ข็งใหต้ ดั ตรง หากก้านแขง็ ให้ตดั เฉียงประมาณ 1 น้วิ
4. แช่ดอกไมพ้ ักไวใ้ นนา้ มาก ๆ
5. ดอกไมท้ ี่ซ้ือมาค้างคนื ให้ห่อดว้ ยใบตองหรอื กระดาษ นาไปแชไ่ วใ้ นถังนา้ เพ่ือไม่ใหด้ อกบานเรว็

หลักทั่วไปในการจัดแจกนั ดอกไม้
1. หนา้ ทแ่ี ละประโยชน์ใช้สอย ก่อนจัดควรจะทราบวัตถุประสงคใ์ นการจดั ตกแตง่ กอ่ นวา่ จะใช้ในงาน

อะไร และจะจัดวางที่ไหน เชน่ วางกลางโต๊ะ วางมุมโต๊ะ ชิดผลัก หรอื แจกันติดผนงั เปน็ ตน้ และควรดดู ้วยวา่
ลักษณะของหอ้ งที่จะจัดวางเปน็ หอ้ งลกั ษณะแบบใด ทรงใด และขนาดเล็ก ปานกลางหรือใหญ่ เพ่ือเราจะได้
เลอื กแจกนั และดอกไม้ทีเ่ หมาะสมกับห้องนัน้ ๆ ดว้ ย
2. สดั สว่ น สดั สว่ นเป็นเรือ่ งสาคญั มาก ทจ่ี ะกาหนดวา่ แจกันที่จัดเสร็จจะสวยหรือไมส่ วย ถา้ สัดสว่ นไมส่ มดุลย์
แจกนั ที่จัดออกมาก็ไมส่ วย สิง่ ทตี่ ้องคานึง

2.1 ภาชนะทรงเต้ยี ความสูงที่จัดควรเป็น 1.5-2 เทา่ ของความกว้างของภาชนะ
2.2 ภาชนะทรงสูง ความสงู ท่ีจัดควรเป็น 1.5-2 เทา่ ของความสงู ของภาชนะ
3. การเทยี บส่วน ระหว่างดอกไม้กับแจกนั , แจกันกบั ขนาดของห้อง
4. ความสมดุลย์ เป็นความถ่วงดุล เชน่ ซ้ายขวาเท่ากนั หรือ สองข้างไม่เท่ากนั แต่หนักไปทางใดทางหน่งึ ก็ได้
ทงั้ นขี้ ึ้นอยกู่ บั วัตถปุ ระสงค์ของผู้จัด
5. การเลือกสี เสน้ และขนาดใหแ้ ตกต่าง กนั เชน่ สีกลาง อ่อน เสน้ ทโี่ ค้งเรยี ว ขนาดดอกมใี หญเ่ ลก็ เป็นต้น

6. ความกลมกลืน คือ การเข้ากันอยา่ งสอดคล้องระหว่างองคป์ ระกอบตา่ ง ๆ
7. ความแตกต่าง เช่น สีของดอก ใบ และภาชนะที่มสี ีแตกต่างกัน แต่ความแตกตา่ งไม่ควรเกนิ 20%
8. การสรา้ งจุดเดน่ คอื จดั ให้มตี ัวเด่น ตัวรอง และให้มกี ารส่งเสรมิ กนั และกัน

6. งานจักสาน

ความเป็นมาของงานจกั สาน
การทาเคร่ืองจักสานในประเทศไทย มีการทาสบื ต่อกนั มาตัง้ แตส่ มยั ก่อนประวตั ศิ าสตรน์ ักโบราณคดี

ได้พบหลักฐานสาคัญเก่ยี วกบั การทาเครื่องจักสานในยคุ หินใหมท่ บี่ ริเวณถ้าแห่งหนึง่ ในเขตอาเภอศรสี วสั ด์ิ จ.
กาญจนบรุ ี ซ่ึงทาดว้ ยไมไ้ ผ่เป็นลายขดั สองเสน้ ประมาณว่ามีอายุราว 4,000 ปมี าแลว้

การทาเครื่องจักสานยคุ แรก ๆ มนุษยจ์ ะนาวตั ถุดิบจากธรรมชาติเทา่ ทจี่ ะหาได้ใกลต้ ัวมาทาใหเ้ กดิ
ประโยชน์ เช่น การนาใบไม้ กิ่งไม้ ต้นไมป้ ระเภทเถานามาสานมาขดั เปน็ รปู ทรงง่ายๆ เพ่ือใช้เป็นภาชนะหรอื
มาสานขดั กนั เป็นแผ่นเพื่อใช้สาหรับปรู องนัง่ รองนอน ก่อนทจ่ี ะพัฒนามาเป็นเครอ่ื งจักสานทม่ี ีความประณตี
ในยุคตอ่ ๆ มา เครื่องจักสานเป็นงานศลิ ปหตั ถกรรมที่มนุษย์คิดวธิ กี ารต่างๆ ขึ้นเพ่ือใชส้ ร้างเคร่ืองมอื เครอ่ื งใช้
ในชวี ิตประจาวันดว้ ยวธิ ีการสอดขัดและสานกนั ของวสั ดุ ทีเ่ ปน็ เส้นเป็นรวิ้ โดยสรา้ งรปู ทรงของสิง่ ท่ีประดิษฐ์
ขน้ึ นัน้ ตามความประสงค์ในการใช้สอยตามสภาพภมู ิศาสตร์ ประสานกบั ขนบธรรมเนยี มประเพณคี วามเช่ือ
ศาสนาและวสั ดุในท้องถน่ิ นน้ั ๆ

การเรียกเคร่ืองจักสานว่า “จกั สาน” นนั้ เป็นคาท่เี รยี กขึ้นตามวธิ ีการที่ทาใหเ้ กดิ เคร่ืองจักสาน เพราะ
เครอ่ื งจักสานตา่ งๆ จะสาเรจ็ เป็นรูปรา่ งท่สี มบรู ณ์ได้น้ันต้องผ่านกระบวนการ ดงั นี้
1. การจกั คือการนาวัสดุมาทาให้เป็นเส้น เปน็ แฉก หรือเป็นริ้วเพอื่ ความสะดวกในการสาน ลกั ษณะของการ
จักโดยทวั่ ไปน้ันขนึ้ อย่กู บั ลักษณะของวสั ดุแตล่ ะชนดิ ซ่ึงจะมีวธิ กี ารเฉพาะที่แตกตา่ งกันไป หรอื บางครัง้ การจัก
ไม้ไผห่ รือหวายมักจะเรียกวา่ “ตอก” ซึ่งการจักถือได้ว่าเป็นขน้ั ตอนของการเตรียมวสั ดุในการทาเคร่ืองจักสาน
ข้นั แรก

2. การสาน เป็นกระบวนการทางความคดิ สรา้ งสรรคข์ องมนุษยท์ นี่ าวัสดธุ รรมชาตมิ าทาประโยชน์โดยใช้
ความคดิ และฝีมือมนษุ ยเ์ ปน็ หลัก การสานลวดลายจะสานลายใดนนั้ ข้นึ อยกู่ บั ความเหมาะสมในการใช้สอย ซ่งึ
มีดว้ ยกัน 3 วิธี คือ – การสานด้วยวธิ สี อดขัด – การสานดว้ ยวธิ กี ารสอดขดั ดว้ ยเสน้ ทแยง – การสานดว้ ยวธิ ีขด
เปน็ วง

3. การถกั เป็นกระบวนการประกอบทีช่ ว่ ยใหก้ ารทาคร่ืองจักสานสมบรู ณ์ การถกั เครื่องจักสาน เช่น การถกั
ขอบของภาชนะจักสานไมไ้ ผ่ การถกั หูภาชนะ เปน็ ตน้ การถกั สว่ นมากจะเปน็ การเสริมความแขง็ แรงของ
โครงสร้างภายนอก เช่น ขอบ ขา ปาก กน้ ของเคร่อื งจักสาน และเป็นการเพ่มิ ความสวยงามไปด้วย

มูลเหตทุ ่ีทาใหเ้ กิดเคร่อื งจักสานทีส่ าคญั 3 ประการดังน้ี
1. มูลเหตุจากความจาเปน็ ในการดารงชวี ิต การดารงชวี ิตในชนบทจาเปน็ อยา่ งยิ่งทีจ่ ะต้องอาศัยเคร่ืองมือ
เครอ่ื งใช้พ้ืนบา้ น ทส่ี ามารถผลิตไดเ้ องมาชว่ ยให้เกิดความสะดวกสบาย โดยเฉพาะผมู้ ีอาชพี เกษตรกรรม ซงึ่
สามารถจาแนกออกเป็นประเภทต่างๆ ตามหน้าท่ีใช้สอยดังนี้

1.1 เครื่องจักสานทใี่ ช้ในการบรโิ ภค ไดแ้ ก่ ซา้ หวด กระติ๊บ แอบข้าว หวดนง่ึ ขา้ วเหนียว กอ่ งขา้ ว
กระชอน กระด้ง ฯลฯ

1.2 เครอ่ื งจักสานท่ใี ชเ้ ปน็ ภาชนะ ได้แก่ กระบุง กระจาด ซา้ กระทาย กระบาย กะโล่ กระด้ง ชะลอม
ฯลฯ

1.3 เครื่องจักสานท่ใี ช้เปน็ เคร่ืองตวง ได้แก่ กระออม กระชุ กระบุง สดั ฯลฯ
1.4 เครอื่ งจักสานท่ใี ชเ้ ป็นเคร่อื งเรอื นและเครื่องปูลาด ได้แก่ เสื่อต่าง ๆ
1.5 เครอ่ื งจักสานทใ่ี ช้ป้องกนั แดดฝน ไดแ้ ก่ หมวก กบุ๊ งอบ ฯลฯ
1.6 เครื่องจักสานที่ใช้ในการดักจบั สัตว์ ได้แก่ ลอบ ไซ อีจู้ ชะนาง จั่น ฯลฯ
1.7 เคร่อื งจักสานทใ่ี ช้เกยี่ วกับความเชอ่ื ประเพณีและศาสนา ได้แก่ ก่องขา้ วขวัญ ซา้ สาหรับใส่พาน
สลาก ฯลฯ
2. มลู เหตทุ ่เี กดิ จากสิง่ แวดล้อมทางธรรมชาตติ ามสภาพภูมิศาสตร์ เพราะชาวไทยส่วนใหญ่มอี าชีพทาง
เกษตรกรรม จงึ จาเปน็ ตอ้ งทามาหากินกันตามสภาพส่งิ แวดลอ้ มและสภาพภูมิศาสตร์ของท้องถน่ิ นน้ั ๆ ดงั น้นั
การทาเครือง่ จักสานท่เี หน็ ได้ชดั คือ เครื่องมือเครื่องใช้ในการจบั ปลาและสัตวน์ า้ จืด ไดแ้ ก่ ลอบ ไซ ชะนาง
โดยทาด้วยไม้ไผ่และหวาย ซ่ึงรูปแบบและโครงสร้างจะสรา้ งขน้ึ ใหเ้ หมาะสมกบั การใช้สอย และครุ ใช้สาหรบั ตี
ข้าวของทางภาคเหนือ เป็นต้น
3. มลู เหตุที่เกิดจากความเชอื่ ขบธรรมเนยี มประเพณี และศาสนา เครอื่ งจักสานจานวนไม่นอ้ ยเกิดขึ้นจากผล
ของความเช่ือของท้องถ่นิ ซ่งึ จะเหน็ ไดจ้ ากการสานเส่ือปาหนันเพอื่ ใชใ้ นการแต่งงานของภาคใต้ เปน็ ตน้

วสั ดุทใ่ี ช้ทาเครอ่ื งจกั สาน

1. ไม้ไผ่ เป็นไม้ทีใ่ ช้ทาเครื่องจักสานมากมายหลายชนดิ มีลกั ษณะเปน็ ไมป้ ลอ้ ง เป็นขอ้ มีหนาม และแขนงมาก
เม่ือแกจ่ ะมสี เี หลอื ง โดยจะนาสว่ นลาต้นมาใชจ้ ักเปน็ ตอกสาหรับสานเปน็ ภาชนะตา่ งๆ

2. กก เปน็ พันธ์ุไมช้ นดิ หน่งึ ท่ีชอบขึน้ ในที่ช้ืนและมีข้ึนทว่ั ไป เช่น ในนา ริมหนอง บึง และทน่ี า้ ทว่ มแฉะ ลาตน้
กลมหรือสามเหลี่ยม มที ั้งชนิดลาต้นใหญ่ยาว และลาต้นเล็กและส้นั ส่วนมากนามาทอเสื่อมากกว่านามาสาน
โดยตรง

3. แหยง่ มีลกั ษณะคลา้ ยไม้ไผ่แตอ่ ่อนน่มุ กวา่ ไม่มีข้อ แขง็ กวา่ หวายใชไ้ ดท้ นกวา่ กก ชอบข้นึ ตามท่ีแฉะ มีผวิ
เหลอื งสวย ใช้สานเสื่อ ทาฝาบา้ น เป็นต้น

4. หวาย จะขึ้นในป่าเป็นกอๆ ส่วนมากจะใช้ประกอบเครือ่ งจกั สานอื่นๆ แตก่ ม็ ีการนาหวายมาทาเคร่อื งจัก
สานโดยตรงหลายอย่าง เชน่ ตะกร้าหิว้ ถาดผลไม้ เป็นต้น

5. ใบตาลและใบลาน ลาตน้ สูงคล้ายมะพร้าว ใบเป็นแผงใหญ่คล้ายพัด จะนามาทาเครื่องจักสานโดยจักใน
ออกเปน็ เส้นคลา้ ยเสน้ ตอก แต่ตอ้ งใช้ใบอ่อน สว่ นใหญ่จะใชส้ านหมวกและงอบ
6. กา้ นมะพร้าว ใชก้ ้านกลางใบของมะพรา้ ว เหลาใบออกใหเ้ หลือแต่กา้ น แล้วนามาสานเช่นเดยี วกับตอก
ส่วนมากสานเป็นตะกรา้ กระจาดผลไมเ้ ล็กๆ

7. ย่านลิเภา มีลักษณะเป็นเถาวัลยช์ นดิ หน่งึ มีขนาดเท่าหลอดกาแฟ ขึ้นตามภูเขา เทือกเขา และป่าละเมาะ
ในการใช้ตอ้ งนาลาต้นมาลอกเอาแตเ่ ปลือกแล้วจกั เป็นเสน้ ๆ ยา่ นลิเภาส่วนใหญจ่ ะนามาสานเป็นลาย
เชี่ยนหมาก พาน เป็นตน้

8. กระจดู เป็นพนั ธ์ุไมต้ ระกลู เดยี วกับกก ชอบขนึ้ ในท่ีชนื้ แฉะ ลกั ษณะลาตน้ เป็นต้นกลมๆ ขนาดนิว้ กอ้ ย กอ่ น
นามาสานจะต้องนาลาตน้ มาผ่ึงแดดแล้วทุบใหแ้ บนคลา้ ยเสน้ ตอกก่อน แลว้ จงึ สาน

-

9. เตยทะเล เป็นต้นไม้จาพวกหน่ึงใบยาวคลา้ ยใบสับปะรดหรอื ใบลาเจยี ก ข้ึนตามชายทะเล ใบมหี นาม กอ่ น
นามาสานต้องจักเอาหนามริมใบออกแลว้ ยา่ งไฟ แช่นา้ แล้วจึงจกั เป็นเส้นตอก
10. ลาเจยี ก หรอื ปาหนนั เป็นต้นไมจ้ าพวกเดยี วกับเตย
11. คลา้ เป็นตน้ ไม้ชนิดหนึง่ คลา้ ยต้นข่า หรอื กก มีผิวเหนียว ใช้สานภาชนะเช่นเดยี วกบั หวายและไม้ไผ่


Click to View FlipBook Version