เมื่อตอนอายุหกขวบ “น้อย” มีความฝันที่อยากทำให้พ่อแม่มีความสุข ที่สุด จึงตั้งใจเรียน ขยันอ่านหนังสือ และเป็นเด็กดีเชื่อฟังคำสั่งสอนของพวกเขา แม้เพื่อนที่โรงเรียนจะชอบเรียกน้อยว่า ‘ไอ้สกปรก’ เพราะแม่เป็นแม่บ้าน ที่โรงเรียน ส่วนพ่อเป็นภารโรง ถึงอย่างนั้นเด็กชายน้อยก็ไม่เก็บเอามาใส่ใจ เพียงแต่บางครั้งก็รู้สึกเหงาที่ต้องเล่นคนเดียวอยู่บ่อย ๆ เมื่อขึ้นชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 4 เขาต้องย้ายมาโรงเรียนอีกแห่งในอำเภอ ที่นั่นทำให้น้อยอยากมีเพื่อน เขาหมายมั่นว่าจะกลายเป็นที่ยอมรับให้ได้ “สวัสดี เราชื่อน้อย…เป็นนักเรียนใหม่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ” น้อยโค้ง ทักทายเพื่อน ๆ ทุกคนจึงได้เสียงปรบมือต้อนรับเกรียวกราว ทุกคนดูตื่นเต้น ที่มีนักเรียนใหม่เข้ามา นั่นทำให้เด็กชายทำใจดีสู้เสือ เอ่ยทักเพื่อนที่นั่งข้างกัน
“สวัสดีนายชื่ออะไร” “เราชื่ออ้น ที่นั่งข้าง ๆ นายชื่อไท” เป็นเพื่อนที่นั่งถัดไปจากไท เอ่ยแนะนำตัวขึ้น ไทเพียงผงกหัวทักทายแล้วหันไปทำสิ่งที่ค้างไว้ต่อ อ้นอธิบายว่า ไทเป็นคนพูดน้อย ไม่ค่อยสุงสิงกับใครแต่ไม่มีพิษภัยน้อยจึงใจชื้นบ้าง เขาเห็นไทกำลังจดอะไรก็ไม่รู้ในสมุด แต่ไม่ได้เอ่ยทักอะไรจนเมื่อเวลา ดำเนินไปตลอดทั้งวัน น้อยจึงสังเกตได้ว่า แม้ไทจะพูดน้อยแต่กลับมีคนมาทัก ไม่ขาดสาย เรื่องที่ทักก็เช่น… “โทรศัพท์รุ่นนี้ออกใหม่นี่ ใช่ไหม” “ไทใช้ไอแพดจดบันทึกด้วยเหรอ ดีจังเลย” “หนังสือการ์ตูนที่ออกใหม่ล่าสุดไทอ่านจบหรือยัง เราว่าจะขอยืม” ไทได้รับคำทักทายในเรื่องทำนองนี้ตลอดทั้งวัน น้อยที่สังเกตมาตลอด ได้แต่มองตาเป็นประกาย เพราะเขาเจอหนทางที่จะผูกมิตรกับเพื่อน ๆ ทุกคนแล้ว
เช้าวันต่อมา น้อยมาโรงเรียนพร้อมสีหน้าเบิกบาน ในมือถือกระเป๋า นักเรียนใบใหม่ที่ขอให้พ่อซื้อให้ กระเป๋ายี่ห้อนี้ยอดนิยมในหมู่นักเรียนในเมือง เพราะเป็นหนังแท้ ทนทาน แต่ข้อเสียคือราคาค่อนหมื่น และหนักกว่ากระเป๋า ใบเก่าของเขามาก ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะว่า “กระเป๋าสวยจังน้อย ใบนี้กำลังอยากได้ ใช้ดีไหม” “ก็ดีนะ ใส่ของได้เยอะ” “โอ๊ะ นั่นเครื่องเล่นเกมที่เขาฮิต ๆ กันอยู่เหรอ ขอยืมเล่นบ้าง ได้ไหม นะๆ ” “ได้เลย ตามสบาย” เพื่อนคนนั้นกระโดดโลดเต้นดีใจยกใหญ่ ส่วนน้อย ใจเต้นแรงด้วยความดีใจเช่นเดียวกัน …เขาคิดว่าเขามาถูกทางแล้ว
“งานกลุ่มครูศิริวรรณ รวมตัวที่ไหนดี” เจมส์ เพื่อนใหม่ของเขาพูดขึ้น หลังจากที่ครูวิชาภาษาไทยสั่งรายงานกลุ่มละ 5 คน น้อย อ้น ไท จึงมารวมกับ เจมส์และดล เพื่อทำรายงาน “ร้านเกมซอย 7 ไหม ทำเสร็จจะได้เล่นเกมด้วย” “ก็ดีนะ เพื่อนคนอื่นว่าไง” อ้นเห็นด้วย เพื่อนคนอื่น ๆ ก็พยักหน้า คงมีแต่น้อยที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะเงินรายอาทิตย์ของน้อยหมดแล้ว จากการนำไปรวมกับเงินเก็บ และขอพ่อแม่เพิ่มเป็นส่วนใหญ่ เพื่อซื้อกระเป๋า นักเรียน และเครื่องเล่นเกม การที่จะต้องไปนั่งในร้านเกมทั้งวันอาจเสียค่าชั่วโมง เกือบสองร้อย มิหนำซ้ำยังเสียค่าอาหารและขนมที่เพื่อน ๆ ต้องสั่งมาแน่ๆ “เงียบเลย น้อยโอเคเปล่า หรืออยากไปที่ไหน” อ้นถาม “โอเค ๆ ขอโทษทีเราเหม่อไปหน่อย” แต่สุดท้ายน้อยก็เลือกเออออไปกับกลุ่มเพื่อน เขาอาจจะต้องไปทำงาน พาร์ทไทม์หลังเลิกเรียน แต่ก็ไม่เป็นไรหากเพื่อนโอเค เขาย่อมไม่ขัด “เสาร์-อาทิตย์ว่างไหมน้อย ไปคาราโอเกะกัน”ดล เพื่อนคนเดิมในกลุ่ม ทักขึ้นมาในกล่องข้อความ น้อยลังเลที่จะตอบปฏิเสธเพราะเขาอยากอ่านหนังสือ มากกว่า แต่เมื่อเห็นข้อความถัดมาที่บอกว่าคนอื่น ๆ ในกลุ่มรายงานจะไป ด้วยกันหมด เด็กชายจึงตอบตกลงไปทันที ‘ไว้กลับมาอ่านก็ได้มั้ง อีกตั้งนานกว่าจะสอบปลายภาค’
“เพื่อน ๆ วันนี้แวะร้านเกมกัน” จู่ ๆ เจมส์ก็พูดขึ้นมาไม ่มีปี่มีขลุ่ย หลังจากที่ออดเลิกเรียนดังขึ้น “อ้นกับไทไม่ไปนะ นายไปเลยจะกลับไปทำการบ้าน” “การบ้านส่งวันมะรืนเลยไม่ใช่เหรอครับคุณชายอ้น ไปเถอะนะ” ดล ลูกคู่ของเจมส์พูดโน้มน้าว “ไม่ล่ะ ไปก่อนนะรถที่บ้านมารับแล้ว” “สองคนนั้นไม่ได้เรื่องเลย แล้วนายล่ะน้อย ไปด้วยกันไหม” เด็กชายน้อยมองเจมส์กับดลที่เหมือนจะไม่พอใจสองเพื่อนซี้ที่พึ่งขึ้นรถ กลับบ้านไป ทำให้น้อยเลือกที่จะตอบตกลง แม้เงินทั้งอาทิตย์จะเหลือแค่หนึ่งร้อย กว่าบาท แต่เขาไม่อยากให้พวกนั้นไม่พอใจ แล้วไม่คุยกับเขา “มีแพกเกจ 5 ชั่วโมงลด 30% ด้วยล่ะ เอาไหมเพื่อน ๆ” ดลเอ่ยขึ้น “รออะไรล่ะครับ” เจมส์เสริม “แต่เรามีการบ้านที่ต้องส่งพรุ่งนี้นะ จะทำทันกันเหรอ” “ปั่นตอนเช้าสิ” เจมส์และดลพูดพร้อมกัน “แต่การบ้านคณิตมันยากนะ พวกเราจะทำทันเหรอ” “อย่าคิดมาก มาเล่นกันก่อนอย่างอื่นค่อยคิด” เจมส์ดันหลังน้อยเข้าไป ในตู้คาราโอเกะ แล้วกว่าพวกเขาจะกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มเลย
“เจมส์ นายทำการบ้านคาบแรกทันไหม ขอลอกหน่อย” ดลทักทันที ที่เห็นเจมส์เดินเข้ามาในห้องเรียน “เอาอะไรมาทัน เกือบมาโรงเรียนสายด้วยซ้ำ” “หัวหน้าห้องจะเอางานไปส่งที่ห้องพักครูแล้วด้วย จะทันไหมเนี่ย” ดลเริ่มลนลาน เขาพูดเสียงดังลั่นห้องจนน้อยที่หลับคอพับอยู่ที่โต๊ะ สะดุ้งตื่น “เจมส์กับดลเอางานเราไปลอกก็ได้ทำเสร็จแล้ว” “ทำเสร็จแล้วจริงเหรอ ทำทันได้ยังไงน้อย” เจมส์พูด “เราตื่นมาทำตอนเช้ามืดน่ะ” สองเพื่อนได้ยินอย่างนั้นเหมือนยกภูเขาออกจากอก พวกนั้นพูด ยกยอปอปั้นน้อยเสียยกใหญ่ ก่อนจะลงมือลอกการบ้านและรีบวิ่งแจ้นไปส่งครู ให้ทันก่อนเรียนคาบแรก ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นอกจากการทำงานพาร์ทไทม์ ในวันหยุด ทุกหลังเลิกเรียนน้อยจะไปเที่ยวเล่นกับเจมส์และดลเสมอ โดยที่ ในวันถัดไปน้อยจะตื่นตั้งแต่ตีสามเพื่อทำการบ้านให้แล้วเสร็จ เมื่อมาถึงโรงเรียน ในตอนเช้า เจมส์และดลก็จะนำมันไปลอก เป็นอย่างนี้ตั้งแต่นั้นมา “น้อย ทำไมใต้ตานายดูดำคล้ำจังล่ะ ได้นอนบ้างไหมเนี่ย” อ้นถามขึ้น เพราะเห็นเพื่อนมาโรงเรียนในสภาพเหมือนวิญญาณ น้อยอ่อนเพลียจากการ อดนอนสะสม โดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ตัวว่าสภาพของตนเองเป็นยังไง
“น้อยซื้อไอแพดเหรอ” เป็นอ้นเช่นเดิมที่ถาม “ใช่ เราอยากได้มาจดบันทึกน่ะ” “แต่มันไม่จำเป็นขนาดนั้นไม่ใช่เหรอ แถมลำบากตัวนายอีก” “ลำบากอะไร ไม่นี่ เราสบายดี” “ก็เงินที่เอาไปซื้อไม่ใช่เงินที่นายทำพาร์ทไทม์วันหยุดเหรอ” “อ้น…รู้ได้ยังไง” “เราเห็นน้อยตอนไปเยี่ยมคุณย่าที่บ้าน เห็นนายกำลังทำความสะอาด ชั้นวางของในร้านสะดวกซื้ออยู่ ตอนแรกว่าจะเข้าไปทักแล้ว แต่คุณย่าเรียกกลับ เสียก่อน อีกอย่างเราก็รู้มาว่าบ้านน้อยไม่ได้มีตังขนาดนั้น จะว่าเรายุ่งไม่เข้าเรื่อง ก็ได้นะ แต่น้อยต้องเพลาเรื่องไปเที่ยวเล่นกับพวกเจมส์มันบ้าง พวกนั้น บ้านมันรวยมันไม่เดือดร้อนอะไรหรอก” “อ้นจะบอกว่าเราไม่คู่ควรจะมีเพื่อนเป็นลูกคนมีเงินเหรอ” “ไม่ใช่อย่างนั้น เราแค่เป็นห่วงกลัวนายเหนื่อย แล้วเรื่องการเรียนอีก นายไปเที่ยวเสียดึกดื่นแต่กลับตื่นแต่เช้ามาทำการบ้าน ให้พวกนั้นลอก มันไม่ดี เลยนะน้อย”
“อ้นไม่ต้องสอนเราหรอก เราคิดมาดีแล้ว” “น้อย…” อ้นทำเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่ไทที่อยู่ข้าง ๆ สะกิดเตือน ไม่ให้พูดแล้ว น้อยมองเห็นว่าเพื่อนมีเรื่องที่จะพูดอีก แต่เขาไม่อยากรับฟัง อะไรทั้งนั้น อ้นไม่เข้าใจหรอก กว่าน้อยจะมีเพื่อนเที่ยวเล่นแบบทุกวันนี้มันไม่ง่ายเลย จะให้เขาเลิกคบกับกลุ่มเจมส์ แล้วใครจะเป็นเพื่อนกับเขาล่ะ ถึงบางอย่างจะเกิน กำลังตัวเองไปบ้าง แต่เขาก็มีความสุขดี…อย่างน้อยเขาก็เชื่ออย่างนั้นนะ “น้อยเรียนเป็นอย่างไรบ้างลูก” แม่ของน้อยถามขึ้น เมื่อเห็นว่า ลูกกลับมาจากโรงเรียนแล้ว “ดีครับแม่ แต่ใกล้สอบแล้ว” “ช่วงนี้หยุดทำพาร์ทไทม์ก่อนดีไหมลูก จะได้มีเวลาอ่านหนังสือ ไว้ถ้าอยากได้อะไรแม่จะซื้อให้” …เขาก็อยากหยุดทำพาร์ทไทม์นะ แต่เจมส์กับดลเพิ่งนัดกันไปเที่ยวนี่สิ คงจะต้องทำต่อไปอีกซักอาทิตย์สองอาทิตย์แล้วล่ะ กลายเป็นว่าตลอดเดือนถัดมา น้อยไปเที่ยวเล่นกับเจมส์และดล จนไม่มีเวลาอ่านหนังสือ ไหนจะงานพาร์ทไทม์ที่เลิกทำไม่ได้เพราะต้องเอาเงิน มาใช้จ่าย ลำพังเงินค่าขนมที่พ่อแม่ให้ก็พอแค่ไปโรงเรียนเท่านั้น ไม่สามารถ ฟุ่มเฟือยแบบที่น้อยกำลังทำอยู่นี้ได้
เขาตัดสินใจงดออกไปเที่ยวเล่นเพื่อเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบ ซึ่งจะ เกิดขึ้นในอีก 1 เดือนข้างหน้า และเพราะเขาไม่มีเงินไปเที่ยวอีกแล้วจึงเป็นเหตุผล ที่ดีที่จะตอบปฏิเสธไป จนกระทั่งระหว่างเปลี่ยนคาบเรียนของวันหนึ่ง น้อยกำลัง เดินเข้าห้องน้ำ แต่ได้ยินเสียงคนข้างในคุยกันลั่น “วันนี้น้อยก็ไม่ไปอีกแล้วเหรอ” “ใช่ น้อยบอกอ่านหนังสือสอบ” “อ่านหนังสือก็แย่แล้ว ไม่มีเงินมากกว่ามั้ง” “ก็จริง เห็นพยายามเข้ากลุ่มพวกเราก็นึกสงสาร แต่ก็ดีนะ ตั้งแต่น้อย เข้ามาพวกเราไม่ต้องทำการบ้านเองเลย” “สบายไป ว่าแต่วันนี้ไปไหนดี” เสียงที่น้อยได้ยินคงเป็นเจมส์และดลคุยกันไม่ผิดแน่ แต่ทำไมบทสนทนา ที่เด็กชายได้ยินมันดูเหมือนไม่ได้พูดถึงเพื่อนที่สนิทกันเลยล่ะ น้อยยืนนิ่งอยู่นาน ก่อนหันหลังเพื่อเดินจากไปแต่ดันสบตาเข้ากับอ้น เสียก่อน “บอกแล้วใช่ไหม ว่าอย่าไปให้ใจพวกนั้น” “อ้น…” “ไปกินข้าวสิ เดี๋ยวต้องอ่านหนังสือไปใช่เหรอ”
ความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะห่างเหินกันไปแล้วระหว่างน้อยกับอ้น ต่อกันติดอย่างไม่น่าเชื่อเพียงแค่ได้คุยกันช่วงพักกลางวันเท่านั้น พวกเขาทั้งสาม คนรวมทั้งไทด้วยนัดกันไปติวหนังสือที่บ้านอ้นวันนี้ แต่เมื่อไปถึงบ้านอ้น กลับทำให้น้อยรู้สึกประหลาดใจ “เข้ามาสิน้อย” อ้นกล่าวเชิญ “บ้านอ้น…เหรอ” “ใช่น่ะสิ เล็กใช่ไหมล่ะ แต่ไม่รกนะเข้ามา ๆ ” สิ่งที่น้อยเห็นคือบ้านหลังเล็กที่ถูกล้อมด้วยสังกะสี มันไม่ได้ดูซอมซ่อ เพียงแต่มันผิดจากที่น้อยจินตนาการ เพราะอ้นเป็นเพื่อนสนิทของไท และไท เป็นเด็กฐานะทางบ้านดีคนหนึ่ง “น้อยคิดว่าไทกับอ้นสนิทกันไหม” อ้นพูดขึ้น “สนิทกันสิ”
“ใช่ เราสนิทกัน โดยที่อ้นไม่ต้องพยายามอะไรเลย อ้นแค่เป็นอ้น เลี้ยงขนมเพื่อนได้นาน ๆ ที ไปเที่ยวกันบ้างนิดหน่อย ใช้โทรศัพท์ตกรุ่น กับกระเป๋าใบเก่าที่ได้จากพี่ชาย ส่วนไทก็เป็นไทที่มีเงิน แต่เราก็สนิทกันได้ น้อยว่าแปลกไหม” …แปลกสิ “เราไม่รู้นะว่าที่ผ่านมาน้อยคิดยังไง แต่เรารู้มาตลอดว่าน้อยพยายาม อย่างมากที่จะเข้ากับกลุ่มเพื่อน เรานับถือน้อยในส่วนนี้มากนะ แต่เราอยากให้ น้อย เป็นนกน้อยทำรังแต่พอตัว ไม่ต้องฝืนทำรังใหญ่ๆ เพื่อให้ใครเข้ามาพักพิง ทำแค่รังเล็ก ๆ ที่น้อยจะอยู่ได้อย่างมีความสุข และไม่เดือดร้อนในวันที่ฝนตก ก็พอ” “เรากลัวว่าจะไม่มีใครคบ หากเราไม่มีเหมือนคนอื่นเขา” “ก็มีมาตลอดไม่ใช่เหรอ ไทกับอ้นก็เพื่อนน้อยทั้งนั้นนะ” “อ้น…” “แม่เราเคยท่องโคลงบทหนึ่งให้เราฟัง เป็นโคลงที่เราจำมาถึงทุกวันนี้ แล้วเราอยากให้น้อยเป็นตัวเองที่ไม่ทำอะไรเกินตัวจริง ๆ นะ” “…นกน้อยขนน้อยแต่ พอตัว รังแต่งจุเมียผัว อยู่ได้ มักใหญ่ย่อมคนหวัว ไพเพศ ทำแต่พอตัวไซร้ อย่าให้คนหยัน”
น้อยได้ฟังคำแนะนำที่จริงใจของเพื่อนก็เงียบไป เขาตกอยู่ในภวังค์ ที่เฝ้าคิดถึงตัวเขาในช่วงที่ผ่านมา ความพยายามที่อยากได้รับการยอมรับ การอยากมีตัวตนในกลุ่มเพื่อน นอกจากจะทำให้เขาหลงลืมเพื่อนที่จริงใจแล้ว การทำอะไรเกินตัวของเขายังทำให้ลืมตัวตน ลืมว่ายังมีพ่อแม่อยู่เบื้องหลัง น้อยมองไปที่อ้นและไท เห็นทั้งสองมองมาที่เขาด้วยสายตาหวังดี เขาละอายใจมากเหลือเกิน ต่อไปนี้น้อยจะไม่ทำเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไปแล้ว