The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิชาการออกแบบเครื่องประดับอัญมณี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by napaschana, 2022-12-09 11:52:44

วิชาการออกแบบเครื่องประดับอัญมณี

วิชาการออกแบบเครื่องประดับอัญมณี

วิชา การออกแบบ

เครื่องประดับอัญมณี

รหัสวิชา (000-1305-1205)

จุด (Dot) หมายถึง รอยหรือแต้มที่มีลักษณะกลมๆ ปรากฎที่พื้นผิว ซึ่ง

เกิดจากการจิ้ม กด กระแทก ด้วยวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ดินสอ

ปากกา พู่กัน และวัสดุปลายแหลมทุกชนิด
จุด เป็นต้นกำเนิดของเส้น รูปร่าง รูปทรง แสงเงา พื้นผิว ฯลฯ เช่น
นำจุดมาวางเรียงต่อกันจะเกิดเป็นเส้นและการนำจุดมาวางให้เหมาะ

สม ก็จะเกิดเป็นรูปร่าง รูปทรง และลักษณะผิวได้

เส้น (LINE) เป็นสิ่งที่มีผลต่อการรับรู้ เพราะทำให้เกิดความรู้สึก

ต่ออารมณ์และจิตใจของมนุษย์ เส้นเป็นพื้นฐานสำคัญของ

ศิลปะทุกแขนง ใช้ร่างภาพเพื่อถ่ายทอดสิ่งที่เห็นและสิ่งที่คิด

จินตนาการให้ปรากฎเป็นรูปภาพ
เส้น (LINE) หมายถึง การนำจุดหลาย ๆ จุดมาเรียงต่อกันไปใน

ทิศทางใดทิศทางหนึ่งเป็นทางยาว หรือสิ่งที่เกิดจากการขูด ขีด

เขียน ลาก ให้เกิดเป็นริ้วรอย

เส้นนอน ให้ความรู้สึกกว้างขวาง เงียบสงบ นิ่ง ราบเรียบ
ผ่อนคลายสายตา

เส้นตั้ง ให้ความรู้สึกสูงสง่า มั่นคง แข็งแรง รุ่งเรือง

เส้นเฉียง ให้ความรู้สึกไม่มั่นคง เคลื่อนไหว รวดเร็ว

แปรปรวน

เส้นโค้ง ให้ความรู้สึกอ่อนไหว สุภาพอ่อนโยน สบาย

นุ่มนวล เย้ายวน

เส้นโค้งก้นหอย ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหว การคลี่คลาย

ขยายตัว มึนงง

เส้นซิกแซกหรือเส้นฟันปลา ให้ความรู้สึกรุนแรง

กระแทกเป็นห้วงๆ ตื่นเต้น สับสนวุ่นวาย และการขัดแย้ง

เส้นประ ให้ความรู้สึกไม่ต่อเนื่อง ไม่มั่นคง ไม่แน่นอน

เส้นกับความรู้สึกที่กล่าวมานี้เป็นเพียงแนวทางหนึ่ง ไม่ใช่ความรู้สึกตายตัว
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้ร่วมกับส่วนประกอบอื่นๆ เช่น เส้นโค้งคว่ำลง
ถ้านำไปเขียนเป็นภาพปากในใบหน้าการ์ตูนรูปคน ก็จะให้ความรู้สึกเศร้า
ผิดหวัง เสียใจ แต่ถ้าเป็นเส้นโค้งหงายขึ้น ก็จะให้ความรู้สึก อามณ์ดี เป็นต้น

รูปร่าง (SHAPE) หมายถึง เส้นรอบนอกทางกายภาพของวัตถุ สิ่งของเครื่องใช้คน

สัตว์ และ พืช มีลักษณะเป็น 2 มิติ มีความกว้างและความยาว
รูปร่าง แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1.รูปร่างธรรมชาติ (NATURAL SHAPE) หมายถึง รูปร่างที่เกิดขึ้นเองตาม

ธรรมชาติ เช่น คน สัตว์ และพืช เป็นต้น
2.รูปร่างเรขาคณิต (GEOMETRICAL SHAPE) หมายถึง รูปร่างที่มนุษย์สร้างขึ้น

มีโครงสร้างแน่นอน เช่น รูปสามเหลี่ยม รูปสี่เหลี่ยม และรูปวงกลม เป็นต้น
3.รูปร่างอิสระ (FREE SHAPE) หมายถึง รูปร่างที่เกิดขึ้นตามความต้องการของผู้

สร้างสรรค์ ให้ความรู้สึกที่เป็นเสรี ไม่มีโครงสร้างที่แน่นอนของตัวเอง เป็นไปตาม

อิทธิพลของสิ่งแวดล้อม เช่น รูปร่างของหยดน้ำ เมฆ และควัน เป็นต้น

รูปทรง (FORM) หมายถึง โครงสร้างทั้งหมดของวัตถุที่ปรากฎ
แก่สายตาในลักษณะ 3 มิติ คือมีทั้งส่วนกว้าง ส่วนยาว ส่วนหนา
หรือลึก คือ จะให้ความรู้สึกเป็นแท่ง มีเนื้อที่ภายใน มีปริมาตร
และมีน้ำหนัก

น้ำหนักอ่อน-แก่ (VALUE) หมายถึง จำนวนความเข้ม ความอ่อนข

องสีต่างๆ และแสงเงาตามที่ประสาทตารับรู้ เมื่อเทียบกับน้ำหนัก

ของสีขาว-ดำ ความอ่อนแก่ของแสงเงาทำให้เกิดมิติ เกิดระยะใกล้

ไกลและสัมพันธ์กับเรื่องสีโดยตรง

สี (COLOUR) หมายถึง สิ่งที่ปรากฎอยู่ทั่วไปรอบๆ ตัวเรา ไม่ว่าจะ

เป็นสีที่เกิดขึ้นเองในธรรมชาติ หรือ สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น สีทำให้

เกิดความรู้สึกแตกต่างมากมาย เช่น ทำให้รู้สึกสดใส ร่าเริง ตื่นเต้น

หม่นหมอง หรือเศร้าซึมได้ เป็นต้น

สีและการนำไปใช้
1.วรรณะของสี (TONE) จากวงจรสีธรรมชาติ ในทางศิลปะได้


มีการแบ่งวรรณะของสีออกเป็น 2 วรรณะ คือ สีวรรณะร้อน ได้แก่สี

ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นหรือร้อน เช่น สีเหลือง ส้มเหลือง ส้ม ส้มแดง

แดง ม่วงแดง เป็นต้น ส่วนสีวรรณะเย็น ได้แก่ สีที่ให้ความรู้สึกเย็น

สงบ สบาย เช่น สีเขียว เขียวเหลือง เขียวน้ำเงิน น้ำเงิน ม่วงน้ำเงิน

ม่วง เป็นต้น

2.ค่าของสี (VALUE OF COLOUR) หมายถึง สีใดสีหนึ่งทำให้ค่อยๆ จางลงจนขาวหรือสว่าง

และทำให้ค่อยๆ เข้มขึ้นจนมืด
3.สีเอกรงค์ (MONOCHROME) หมายถึง สีที่แสดงอิทธิพลเด่นชัดออกมาเพียงสีเดียว หรือ

ใช้เพียงสีเดียวในการเขียนภาพโดยให้ค่าของสีอ่อน กลาง แก่ คล้ายกับภาพถ่าย ขาว ดำ
4.สีส่วนรวม (TONALITY) หมายถึง สีใดสีหนึ่งที่ให้อิทธิพลเหนือสีอื่นทั้งหมด เช่น การเขียน

ภาพทิวทัศน์ ปรากฎสีส่วนรวมเป็นสีเขียว สีน้ำเงิน เป็นต้น
5.สีที่ปรากฎเด่น (INTENSITY) หมายถึง วิธีการเขียนภาพที่ใช้สีสดใสให้ปรากฎเด่นขึ้นมา

บนโครงสีส่วนรวมที่เป็นสีกลางหรือสีหม่น
6.สีตรงข้ามกันหรือสีตัดกัน (CONTRAST) หมายถึง สีที่อยู่ตรงกันข้ามในวงจรสีธรรมชาติ

เช่นสีแดงกับสีเขียว สีน้ำเงินกับสีส้ม สีม่วงกับสีเหลือง

บริเวณว่าง (SPACE) หมายถึง บริเวณที่เป็นความว่างไม่ใช่ส่วนที่

เป็นรูปทรงหรือเนื้อหาในการจัดองค์ประกอบใดก็ตามถ้าปล่อยให้
มีพื้นที่ว่างมากและให้มีรูปทรงน้อย การจัดนั้นจะให้ความรู้สึกอ้างว้าง

โดดเดี่ยว

พื้นผิว (TEXTURE) หมายถึง พื้นผิวของวัตถุต่างๆ ที่เกิดจาก

ธรรมชาติและมนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น พื้นผิวของวัตถุที่แตกต่างกัน

ย่อมให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันด้วย

ความเป็นมาของลายไทย

จากความเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนา เป็นเหตุสำคัญให้ช่าง หรือ

ศิลปินประดิษฐ์ลายไทยโดยได้แนวคิดมาจาก ดอกบัว พวงมาลัย ควัน

ธูป และเปลวเทียน เป็นต้น นำมาสร้างสรรค์ให้เกิดเป็นลวดลายต่าง ๆ

เช่น ลายกนก ลายเปลวเพลิง ลายใบเทศ ลายพฤษชาติ ฯลฯ. จึงได้มี

การศึกษาถึงที่มาของลายต่าง ๆ ดังนี้ คือ

การพัฒนาลายมาจากดอกบัว เป็นการนำรูปดอกบัวชนิดต่าง ๆ เช่น บัว

หลวง บัวสัตตบงกช บัวสัตตบุษย์ ฯลฯ. มาพัฒนาโดยใช้จินตนาการ

เชิงสร้างสรรค์ด้วยการแบ่งครึ่งดอกบัว การรวมดอกบัวเข้าด้วยกันทำให้

เกิดลายกนกสามตัวและคลี่คลายเป็นลายอื่น ๆ ต่อไป

การพัฒนามาจากลักษณะของเปลวไฟ เป็นการนำลักษณะการเคลื่อนไหวของเปลวไฟ

เช่น เปลวไฟของกองไฟ เปลวไฟของเทียนไข เปลวไฟของคบเพลิง ที่มีความพริ้วไหว

มา สร้างสรรค์ให้เกิดลายที่สวยงาม

การพัฒนามาจากลักษณะของใบไม้ ส่วนมากจะเป็นใบ “ฝ้ายเทศ”
เพราะเป็นใบไม้ที่มีรูปร่างรูปทรงที่สวยงาม มาสร้างสรรค์เป็น
ลายใบเทศ

การพัฒนามาจากลักษณะของดอกไม้ ได้แก่ ดอกพุดตาล ดอกจอก ดอกแก้ว
ดอกมะลิ ดอกผกากรอง ดอกบานเย็น ดอกพังพวย เป็นต้น
ซึ่งลายดอกไม้เหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งของลายไทย

การพัฒนามาจากลักษณะของใบผัก ที่นิยมใช้เขียนได้แก่ “ใบผักกูด”
ซึ่งมีลักษณะกลมมล ไม่แหลมคม ช่างหรือศิลปินจึงนำมาสร้างสรรค์
เป็นลวดลาย เช่น กนกผักกูด

การพัฒนามาจากลักษะของเถาวัลย์และไม้เลื้อย ทีมีการเกี่ยวพัน ลัดเลาะ
การเลื่อนไหล ช่างหรือศิลปินจึงนำมาสร้างสรรค์ เป็นลายที่ต่อเนื่องกัน

การพัฒนามาจากลักษณะของสัตว์ ในลายไทยจะพบการผูกลาย
ที่นำรูปแบบของสัตว์มาใช้ อาจเป็นรูปเหมือนจริงหรือดัดแปลง
ตามความคิดสร้างสรรค์ เช่น สัตว์ในป่าหิมพานต์

การพัฒนามาจากลักษณะของคน เนื่องจากในอดีตศิลปะไทยไม่นิยม
เขียนภาพแบบเหมือนจริงแต่อาจใช้ลักษณะของคนแทนรูปเคารพ
ของเทพเจ้าต่าง ๆ ในศาสนา เช่น พระพรหม พระนารายณ์ พระอิศวร ฯลฯ
ทำให้ภาพคนในลายไทยไม่มีการแสดงกล้ามเนื้อเหมือนกับศิลปะแบบตะวันตก
แต่จะเป็นภาพหรือลายที่มีลักษณะอ่อนช้อย สวยงาม ตามจินตนาการ

การพัฒนามาจากอิทธิพลของศิลปกรรมต่างชาติ ที่เด่นชัด ได้แก่ จีน ขอม

เขมร เห็นได้จาก ลายฮ่อลายประแจจีน ลายใบแกนตัส ฯลฯ

ลายไทยเกิดจากความเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนา จึงเป็นเหตุสำคัญ
ให้ช่างหรือศิลปินประดิษฐ์ลายไทยโดยได้แนวคิดมาจาก ดอกบัว
พวงมาลัย ควันธูป และเปลวเทียน แล้วนำมาสร้างสรรค์ให้เกิดเป็น
ลวดลายต่างๆ เช่น ลายกนก ลายเปลวเพลิง ลายใบเทศ ลายพฤษชาติ
ซึ่งเมื่อศึกษาถึงที่มาของลวดลายเหล่านั้น พบว่าบางส่วนมีการพัฒนาจาก
รูปดอกบัวหลากหลายชนิด อาทิ บัวหลวง บัวสัตตบงกช บัวสัตตบุษย์
ละมีการพัฒนาจากลักษณะการเคลื่อนไหวของเปลวไฟที่มีความพลิ้วไหว
จึงนำมาสร้างสรรค์ให้เกิดลายไทยที่สวยงาม

แม้ว่าศิลปะไทยจะได้รับอิทธิพลจากหลายประเทศ เช่น อินเดีย จีน ขอม เขมร แต่ช่างไทยก็

สามารถนำไปพัฒนาลวดลายจนมีเอกลักษณ์เป็นของตนเองที่มีความแตกต่างไปจากชาติตะวัน

ตก คือ ศิลปะไทยแตกต่าง
ไปจากศิลปะตะวันตกตรงที่ศิลปะตะวันตกนั้นเป็นแบบธรรมชาตินิยม
แต่ศิลปะไทยจะดัดแปลงธรรมชาติไปตามคตินิยมที่คิดสร้างสรรค์
จากปรัชญา (ความเชื่อในเรื่องสวรรค์นรก) ดังภาพพระแม่ธรณีบิดมวยผม

การศึกษาการวาดเส้นลายไทยจะแยกเป็นสองรูปแบบใหญ่ๆ คือ ลายไทย
และจิตรกรรมไทย ซึ่งลายไทยที่เป็นลวดลายหลักสำคัญ ดังนี้
ลายกระหนก เป็นลายพื้นฐานหนึ่งที่สำคัญของลายไทย มีพื้นฐานจากสามเหลี่ยมชายธง
อาจมีตัวเดียว หรือหลายตัวก็ได้ มักมีฐานมุมแหลมหันไปทางเดียวกัน โดยมีขนาด
และสัดส่วนที่แตกต่างกันไป ลายกระหนกที่สำคัญ ได้แก่ กระหนกสามตัว
กระหนกสามตัวเปลว

ลายกระจัง เป็นลายพื้นฐานประเภทหนึ่งที่สำคัญของลายไทย รูปทรงคล้าย
สามเหลี่ยมหน้าจั่ว ต้นแบบลายนี้มาจากธรรมชาติ เช่น กระจังตาอ้อย ต้นอ้อย
กระจังฟันปลา

ลายทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ลวดลาย “ลายช่อ” ที่มีรูปทรงพุ่ม ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก
ข้าวปั้ นตีแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวตูมที่ใช้บวงสรวงบูชา นิยมนำไปใช้งานทางด้าน
ที่เกี่ยวกับศาสนา

ลายประจำยาม ลวดลายที่มีรูปร่างสี่เหลี่ยมจัตุรัสตะแคง
มีลักษณะคล้ายดอกไม้ โดยดัดแปลงมาจากดอกไม้ชนิดหนึ่ง
ที่เรียกว่า “ดอกสี่ทิศ”

ลายกาบ เป็นลายที่กำเนิดลาย “ช่อลาย” โครงสร้างของลายนี้มาจากพืชพันธุ์
ในส่วนที่เป็นกาบหุ้มตรงโคนหรือข้อ เช่น กาบของต้นไผ่ กาบต้นกล้วย

ลายนกคาบและนาคขบ มีลักษณะเป็นหน้าของ
นกหน้านาคที่เอาปากคาบลายตัวอื่นเอาไว้หรือ
มีลายช่ออื่นๆ ออกทางปาก ตำแหน่งของลาย
นกคาบจะอยู่ตรงข้อต่อที่จะเชื่อมก้านกันและกัน

การออกแบบ หมายถึง การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ หรือปรับปรุงดัดแปลงสิ่งที่มีอยู่ให้ดีขึ้น และ

มีรูปแบบที่เปลี่ยนไปจากเดิม การถ่ายทอดรูปแบบจากความคิดออกมาเป็นผลงาน
ที่ผู้อื่นสามารถมองเห็น รับรู้ หรือสัมผัสได้ ซึ่งการออกแบบครอบคลุมถึงการออกแบบ
วัตถุ ระบบ หรือ ปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ และยังรวมไปถึง การคิดเชิงออกแบบ
( design thinking ) แบบที่ออกมาอาจเป็นสิ่งที่เป็นไปได้จริง หรือแบบที่เป็นเพียง

นามธรรมก็ได้ ผู้ที่ออกแบบจะเรียกว่า นักออกแบบ ซึ่งหมายถึงคนที่ทำงานวิชาชีพ
ในสาขาการออกแบบที่แตกต่างกันไป เช่น นักออกแบบแฟชั่น, นักออกแบบแนวความคิด

หรือนักออกแบบเว็บไซต์

การออกแบบนั้นมีความจำเป็นที่ต้องพิจารณาด้าน สุนทรียศาสตร์ ประโยชน์ใช้สอย
หลักเศรษฐศาสตร์ และมุมมองสังคมการเมือง ทั้งในสิ่งที่ออกแบบและขั้นตอนการ

ออกแบบ การออกแบบอาจเกี่ยวข้องกับการค้นหาข้อมูล ความคิด การทำแบบจำลอง
การปรับแก้แบบแบบมีปฏิสัมพันธ์ และ การรื้อแบบใหม่ (re-design) ขณะที่ความหลาย

หลายของการออกแบบอาจรวมไปถึง เสื้อผ้า ส่วนต่อประสานกราฟิกกับผู้ใช้ ตึกระฟ้า

เอกลักษณ์องค์กร การจัดการกระบวนการทางธุรกิจ หรือแม้กระทั่งกระบวนการออกแบบ

การแบ่งประเภทของงานออกแบบ งานออกแบบเป็นสื่อกลางความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์

กับมนุษย์ และมนุษย์ กับวัตถุ ดังนั้นงานออกแบบจึงไม่อาจทำได้เพียงเพื่อความต้องการ

ส่วนตนแต่จะต้อง คำนึงถึงความต้องการของผู้อื่นและสภาพแวดล้อมด้วย สภาพแวดล้อม

ในที่นี้ คือ สภาพวัตถุ วัฒนธรรมและพฤติกรรมของคนในสังคม ซึ่งอาจแบ่งประเภทของ

งาน ออกแบบกว้างๆ ได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. งานออกแบบเพื่อประโยชน์ใช้สอย
2. งานออกแบบเพื่อการติดต่อสื่อสาร
3. งานออกแบบเพื่อคุณฑค่าทางความงาม

10 เทคนิค ออกแบบภาพให้เหมือนมืออาชีพ

1. เลือกสี FONT ให้โดดเด่นแต่กลมกลืน
ฟังดูขัดๆ แต่การเลือกอักษรให้เหมาะสมเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดที่ต้องรู้
สำหรับผู้เริ่มต้นทำงานกราฟฟิคดีไซน์ หลักการที่ง่ายที่สุดในการใช้ตัวอักษรก็คือ
ตั้งค่าตัวอักษรให้มีความคมชัดสูง เพราะมันจะช่วยให้เราสามารถปรับขนาด
ให้เข้ากับภาพที่เรากำลังออกแบบได้ง่าย เพราะการตั้งค่าอักษรที่คมชัด
จะทำให้ภาพอักษรเราไม่แตกเมื่อต้องขยายหรือย่อภาพ

2. เลือกสีอักษรให้เข้ากับโทนสีของภาพ
อีกเทคนิคหนึ่งที่จะช่วยให้ภาพของเรามีความกลมกลืนและดูสวยงาม คือ
เลือกสีของส่วนประกอบต่างๆในภาพให้เป็นโทนเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นสีตัวอักษร
พื้นหลัง และส่วนประกอบศิลป์อื่นๆ โดยเราสามารถเลือกสีที่แม่นยำได้ง่ายๆ
โดยการใช้ COLOR PICKER TOOL (เป็น EXTENSION ของ
CHROME BROWSER) ซึ่งเป็นเครื่องมือช่วยสำหรับการออกแบบสี
ด้วยโค้ดสีที่หลากหลาย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากที่กราฟฟิคดีไซน์เนอร์มือใหม่ควรรู้จัก

เพราะมันจะทำให้เรารู้ว่าควรเลือกใช้สีแบบไหนถึงจะเหมาะกับรูปแบบในแต่ละงาน

ออกแบบของเรา

3. ออกแบบภาพให้อยู่ในโทนเดียวกัน
การจัด LAYOUT หรือภาพต่างๆ ให้ดูเหมือนมืออาชีพนั้น เราต้องเลือกใส่ EFFECT

ต่างๆในภาพให้เป็นรูปแบบเดียวกัน ลองดูตัวอย่างนี้

4. เพิ่ม ICON แบบโปร่งใสในการออกแบบงานกราฟฟิค เราสามารถออกแบบให้โลโก้

หรือ ICON โปร่งใสก็ได้ เพื่อเน้นให้อักษรของเรามีความโดดเด่นมาขึ้น ดังภาพตัวอย่าง

ข้างบน

5. แสดงข้อมูลด้วย SHAPES & ICONS
ผู้คนจะสามารถเข้าใจรูปภาพได้ง่ายกว่าตัวหนังสือ ดังนั้นการทำรูปภาพแบบ

INFORGRAPHICS จึงมีความสำคัญในเรื่องของการช่วยให้เราถ่ายทอดสิ่งที่เรา

ต้องการไปยังผู้รับได้ง่ายขึ้น เรียกได้ว่าเป็นเทคนิคสำคัญทีจะทำให้เราก้าวจากผู้เริ่มต้น

กลายเป็นกราฟฟิคดีไซเนอร์มืออาชีพได้เลยทีเดียว ลองดูตัวอย่างภาพนี้

6. อย่าลืมปรับสีภาพให้คมชัด
ภาพที่มีสีที่คมชัดนั้นดูแพง และสวยงามมากกว่าภาพที่สีสันจืดชืดเป็นไหนๆ วิธีหนึ่งที่

จะช่วยให้ภาพคมชัดและดูสวยงามขึ้นคือการเพิ่มหรือลดความเข้มของสีในภาพ

7. หาภาพให้มีความกว้างพอกับข้อความที่เราจะใส่
เมื่อเราหารูปมาทำพื้นหลัง ให้พยายามหาภาพที่มีพื้นที่ว่างเพียงพอที่เราจะใส่ข้อความลง

ไปได้โดยไม่ดูแออัดยัดเยียดจนเกินไป การที่ภาพมีพื้นที่ว่าง จะช่วยให้ดูสบายตา

มากกว่า

8. เลือกองค์ประกอบที่สอดคล้อง เพื่อยกระดับแบรนด์ของเรา
การเลือกองค์ประกอบที่สอดคล้องเป็นหลักการสำคัญในการออกแบบภาพให้มี

ประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น การใช้สี ตัวอักษร โลโก้ และรูปภาพ ต้องมีความสอดคล้องกัน

9. สร้างจุดเด่น สิ่งที่ดึงดูดความสนใจ สำหรับการเผยแพร่บน SOCIAL MEDIA
หลักการออกแบบโดยสร้างจุดเด่น และทำให้น่าสนใจจะช่วยให้ผู้คนตอบสนองต่อภาพ

ของเราบน SOCIAL MEDIA การออกแบบภาพในลักษณะนี้จึงมีความจำเป็นและถูกนำ

มาใช้ค่อนข้างมากในการออกแบบภาพสำหรับ PROFILE PICTURE & COVER

IMAGE ในเฟสบุ๊คและแฟนเพจ ลองมาดูตัวอย่างภาพเหล่านี้

10. ออกแบบ PRESENTATIONS
เราจะเป็นต้องใช้ PRESENTATIONS ทั้งในเรื่องงานและการเรียน ดังนั้นการออกแบบ

PRESENTATIONS ที่ดีย่อมส่งผลดีต่อการนำเสนอ รวมทั้งส่งผลต่อความสนใจและ

ปฏิกิริยาของผู้ฟังด้วย ช่วยให้การสื่อสารและนำเสนองานของเรานั้นมีประสิทธิภาพ

เหมือนมืออาชีพ

แนวทางการตรวจสอบคุณภาพอย่างง่าย

การตรวจสอบคุณภาพสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม สามารถจำแนกออกเป็น 2

ประเภท ได้แก่

1. การตรวจสอบด้วยประสาทสัมผัส (ORGANOLEPTIC OR SENSORY TEST)

ได้แก่ การตรวจสอบคุณภาพภายนอก โดยอาศัยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์
เพื่อตรวจสอบคุณลักษณะทางกายภาพของอาหาร ได้แก่ สีสัน (COLORS) โดยการดู

หรือเปรียบเทียบสี , เนื้อสัมผัส (TEXTURE) โดยการบดเคี้ยว และสัมผัสด้วยมือ, กลิ่น

(ODOR) โดยการดม และรสชาติ (TASTE) โดยการชิม สำหรับเครื่องดื่มอาจดูการ
ตกตะกอน หรือการเกิดคราบด้านบนขวด รวมถึงความเรียบร้อยของบรรจุภัณฑ์
ซึ่งการตรวจสอบนี้จำเป็นต้องอาศัยการฝึกฝนของผู้ทดสอบในสร้างความชำนาญ และ

มีความแม่นยำในระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ซึ่งการตรวจสอบประเภทนี้เหมาะอย่าง

ยิ่งสำหรับกิจการขนาดเล็กหรือกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ที่ยังไม่มีเครื่องมือและห้องปฏิบัติ

การ แต่จะต้องฝึกฝนตัวผู้ทำการทดสอบให้มีประสบการณ์และความชำนาญในการ

ทดสอบได้อย่างแม่นยำ และจะต้องหมั่นพัฒนาตนเองให้มีความสามารถในการ

แยกแยะความแตกต่างแม้ระดับเล็กน้อยที่คนทั่วไปไม่สามารถแยกออกได้

2. การตรวจสอบด้วยเครื่องมือ และวิธีการทางห้องปฏิบัติการ (INSTRUMENTAL

AND LABORATORY TESTING) แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

2.1 การตรวจสอบทางกายภาพ เป็นการตรวจสอบคุณภาพทางด้านสี เช่น การวัดสี

การวัดค่าการดูดกลืนแสง รวมไปถึงการตรวจสอบลักษณะเนื้อสัมผัส ด้วยอุปกรณ์

เครื่องมือที่เลียนแบบกลไกการบดเคี้ยวของมนุษย์
2.2 การตรวจสอบทางเคมี เป็นการตรวจสอบทางเคมีถึงองค์ประกอบต่างๆของ

อาหาร ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน แร่ธาตุ และน้ำ รวมไปถึงการหา

สมบัติทางเคมีบางอย่างเช่น ความเป็นกรด-ด่าง ค่าความหวาน หรือ % เกลือ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังสามารถหาสารบางชนิดที่ต้องการ เช่น ปริมาณอะฟลาทอกซินในถั่ว

กระเทียม หรือพริกป่น ปริมาณฮีสตามีนในปลาทะเล ปริมาณสารกำจัดศัตรูพืชในพืช

ผลทางการเกษตร และสารประกอบไซยาไนด์ในมันสำปะหลังเป็นต้น
2.3 การตรวจสอบทางจุลชีววิทยา การตรวจสอบคุณภาพในด้านนี้จะสะท้อนถึงความ

สะอาด และปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ จากจุลินทรีย์กลุ่มที่เป็นอันตราย ตามมาตรฐานที่

กระทรวงสาธารณสุขกำหนด

การควบคุมคุณภาพหรือการตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์ มีวิธีการดังนี้
1. วิธีตรวจสอบทุกชิ้น (SCREENING INSPECTION)

2. วิธีการสุ่มตัวอย่างจากแต่ละรุ่น (SAMPLING)
3. วิธีตรวจสอบตามขบวนการผลิต (PROCESS INSPECTION)

ประเภทของ PRESENTATION
การเสนองานรวมไปถึงการทำพรีเซ็นเทชั่น (PRESENTATION)
โดยหลักๆแล้วจะแบ่งออกเป็น 6 ประเภทด้วยกัน ได้แก่

1. การนำเสนอข้อมูล (INFORMATIVE PRESENTATION)
ถือเป็นหนึ่งในประเภท PRESENTATION ที่เห็นมากที่สุดในการทำธุรกิจและนิยม

ใช้กันมากที่สุด กับการนำเสนอหรืออธิบายข้อมูลแบบตรงๆ โดยหลักของการนำ

เสนอประเภทนี้ก็คือการให้ข้อเท็จจริงและอธิบายรายละเอียด ในโครงการหรือ

การนำเสนอแผนงานรูปแบบต่างๆ และเราจะเห็นข้อมูลจำพวกตัวเลข สถิติ การ

เปรียบเทียบ ตาราง เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนองานและรายละเอียด

เนื้อหาที่ค่อนข้างมาก การนำเสนอประเภทนี้มีความเป็นทางการค่อนข้างสูง ไม่ได้

เน้นไปทางการสร้างความสนุกสนาน โดยเราจะเห็นการนำเสนอประเภท

INFORMATIVE PRESENTATION ได้จากรูปแบบรายงานเอกสาร ป้ายประกาศ

ภายในองค์กร รายงานการวิจัย รายงานสรุปผล สรุปความก้าวหน้าของธุรกิจ การ

แถลงผลประกอบการ และการทำพรีเซ็นเทชั่นก็มีเนื้อหาและจำนวนหน้าค่อนข้าง

มากกว่ารูปแบบอื่นๆ

2. การสอนและแนะนำ (INSTRUCTIVE PRESENTATION)
เรามักจะเห็นคำสอนและคำแนะนำบ่อยๆกับการเรียนการสอนในโรงเรียนหรือใน

มหาวิทยาลัยใช่ไหมครับ ซึ่งมันก็เป็นลักษณะที่คล้ายกันแค่เปลี่ยนรูปแบบและ

สถานที่มาเป็นบรรยากาศของการฝึกอบรม ในหัวข้อต่างๆที่ทางบริษัทกำหนดหรือ

หัวข้อที่พนักงานต้องการจะเรียนรู้เพิ่มเติม โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ความรู้ที่เป็น

ประโยชน์ ที่มาพร้อมกับการพัฒนาทักษะในแต่ละแขนงให้มีมากขึ้น การนำเสนอ

ประเภทนี้ต้องอาศัยทักษะของผู้นำเสนอค่อนข้างมาก เพราะต้องมีทั้งความรู้และ

ทักษะด้านการถ่ายทอดค่อนข้างดีนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจ

และรู้สึกอยากที่จะฟังไปจนจบ ตัวอย่างการนำเสนอที่เรามักเห็นกันในการทำงาน
เช่น การฝึกอบรมพนักงานในองค์กร (IN-HOUSE TRAINING) การทำเวิร์คช็อป

(WORKSHOP) การเข้าร่วมงานสัมมนา (SEMINAR) การเข้าอบรมคอร์สเรียน

ต่างๆ (TRAINING COURSE) ซึ่งส่วนใหญ่ในการนำเสนอประเภทนี้มักจะมีการ

สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้นำเสนอหรือผู้สอนกับผู้ฟังมากที่สุดวิธีหนึ่ง

3. การนำเสนอแบบโน้มน้าวใจ (PERSUASIVE PRESENTATION)
เป้าหมายของการนำเสนองานประเภทนี้คือการทำให้ผู้ฟังคล้อยตาม ซึ่งเป็นการ

คล้อยตามในเชิงของการสร้างอารมณ์การมีส่วนร่วม โดยหลักของการนำเสนอเรา

จะเห็นการเริ่มต้นด้วยปัญหาและตบท้ายด้วยวิธีแก้ไขหรือทางออกของปัญหา เจาะ

เข้าไปที่แก่นกลางจิตใจของผู้ฟัง และการโน้มน้าวใจนั้นสามารถนำมาใช้ได้กับ
การนำเสนอในหลายๆสถานการณ์ และนำมาใช้ร่วมกับการนำเสนอในหลายๆ

ประเภทได้เช่นกัน เช่น การนำเสนอแผนธุรกิจเพื่อขอเงินสนับสนุนจากผู้ร่วมทุน

อาจนำเสนอด้วยเหตุผลที่เน้นหนักกับข้อมูลแต่สามารถผสมผสานกับการโน้มน้าว

ใจ ให้ผู้ร่วมทุนนั้นคล้อยตามและเห็นความเป็นไปได้ในโอกาสการเติบโตของ

ธุรกิจ และเคล็ดลับหรือเทคนิคที่สามารถนำมาใช้อธิบายให้การนำเสนอนั้นดูน่า

สนใจ ก็สามารถทำเป็นภาพ (VISUAL) ในรูปแบบต่างๆ เช่น อินโฟกราฟิก การ

แสดงด้วยกราฟให้เห็นความเติบโต ที่ไม่ได้อัดแน่นไปที่เนื้อหาเพียงอย่างเดียว

4. การนำเสนอแบบจูงใจ (MOTIVATION PRESENTATION)
การนำเสนอลักษณะนี้เป็นการสร้างแรงบันดาลใจ (INSPIRATION) ให้เกิดขึ้นกับ

ผู้ฟัง โดยส่วนใหญ่นั้นจะเป็นการสื่อสารเพื่อให้ผู้ฟังเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง
และเรามักจะเห็นได้กับการนำเสนออะไรก็ตามที่เป็นเรื่องเล่า (STORY) ที่สามารถ

ทำออกมาได้หลากหลายรูปแบบครับ เช่น เรื่องเล่าของธุรกิจที่เป็นส่วนหนึ่งใน

COMPANY PROFILE หรือ COMPANY PRESENTATION การพูดต่อหน้าคน

หลายร้อยคนแบบ TED TALK และหลายๆครั้งเราก็จะเห็นลักษณะการนำเสนอ

แบบสร้างแรงบันดาลใจ กับการพูดในลักษณะ LIFE COACH ในสื่อต่างๆ โดย

การนำเสนอในประเภทการจูงใจนั้นก็ต้องสร้างความเชื่อมโยงด้านอารมณ์รวมถึง

สร้างขวัญและกำลังใจให้กับทีมงานหรือผู้ฟังได้ด้วยเช่นกัน

5. การนำเสนอเพื่อการตัดสินใจ (DECISION-MAKING PRESENTATION)
ในทุกวันของการทำงานและการทำธุรกิจเราต้องเจอกับการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็น

เรื่องเล็กน้อยซึ่งเป็นงานในหน้าที่ๆต้องทำประจำวัน แต่หากเป็นเรื่องของการต้อง

นำเสนอแผนงานเพื่อขออนุมัติงบประมาณ โดยอาจเป็นการขออนุมัติแผนงาน

ประจำปี การขออนุมัติเพื่อแก้ปัญหาบางอย่าง การขออนุมัติในการจัดซื้ออุปกรณ์

การทำงานบางอย่าง ซึ่งการนำเสนอนั้นก็ต้องบอกถึงที่มาที่ไปและผลที่จะได้รับเพื่อ

จะได้รับการอนุมัติจากผู้มีอำนาจหรือผู้ที่ได้ฟัง โดยส่วนใหญ่การนำเสนอประเภทนี้

จะพูดกันด้วยเหตุและผลเป็นส่วนใหญ่ ที่อาจต้องเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงเป็นหลัก

6. การนำเสนอความก้าวหน้าโครงการ (PROGRESS PRESENTATION)
การนำเสนอประเภทนี้จะเป็นการสรุปผลจากการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นแผนการ

ตลาดที่ทำไป ผลของการใช้จ่ายงบประมาณในการสร้างโครงการ หรือกิจกรรมต่าง

ทั้งหมดที่ได้ทำไป โดยจะเป็นลักษณะของนำเสนอถึงสถานะในแต่ละช่วง อาจเป็น

รายวัน รายเดือน ราย 3 เดือน หรือรายปี ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของงานแต่ละประเภท

ทั้งนี้การนำเสนอความก้าวหน้าของโครงการจะช่วยให้เห็นถึงปัญหาหรืออุปสรรค ที่

จำเป็นต้องหาวิธีการแก้ไขให้โครงการผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

จบการนำเสนอ


Click to View FlipBook Version