หน่น่ น่ ว น่ วยการเรีรี รี ยรี ยนรู้รู้รู้ที่รู้ที่ ที่ ที่ ๒ เอกลัลั ลั ก ลั กษณ์ณ์ ณ์ ห ณ์ หลัลั ลั ก ลั กภาษา ระดัดั ดั บ ดั บภาษา E-Book เพื่พื่ พื่ อพื่ อพัพัพัฒพันาทัทัทักทัษะการเรีรี รี ยรี ยนรู้รู้รู้ภรู้ าษาไทย รายวิวิวิชวิาภาษาไทยพื้พื้ พื้ นพื้ นฐาน ๕ (ท๓๑๑๐๑) ชั้ชั้ ชั้ นชั้ นมัมัมัธมัยมศึศึศึกศึ ษาปีปีปีที่ปีที่ที่ ที่ ๖ ผู้สอน นายณัฐกร พูนศรี กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนสตรีราชินูทิศ อำ เภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
>เรื่อง...หน้า สารบับั บั ญบั ญ ระดับภาษา >ระดับภาษา.............๑ >การแบ่งระดับภาษา....๒ >ภาษาระดับพิธีการ.............๕ >ภาษาระดับทางการ............๖ >ภาษาระดับกึ่งทางการ.........๗ >ภาษาระดับไม่เป็นทางการ.....๗ >ภาษาระดับกันเอง..............๘ >ข้อควรสังเกตระดับภาษา........๙ >ลักษณะของภาษาระดับต่าง ๆ...๑๒ >ปัจจัยกำ หนดระดับภาษา.........๑๐
พิธีการ ทางการ กึ่งทางการ ไม่เป็นทางการ กันเอง ระดัดั ดั บดั บภาษา ระดับภาษา ภาษานอกจากจะใช้เป็นเครื่องมือสื่อความรู้ ความคิด ความรู้สึก จินตนาการตลอดจนทัศนคติแล้ว ยังใช้สร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุดคลทั้งในวงแคบและวงกว้าง เราอาจสังเกตเห็นลักษณะความสัมพันธ์ ระหว่างบุดคลได้จากภาษาที่ใช้ เช่น บุคคล ๒ คนคุ้นเคยกันย่อมใช้ภาษาที่แสดงความคุ้นเคย บุคคล ๒ คนที่เพิ่ง มีโอกาสพบกัน ย่อมใช้ภาษาที่ต่างออกไปแม้จะพูดเรื่องเดียวกันกับบุคคล ๒ คนแรก นอกจากนี้บุคคลยังใช้ภาษา โดยคำ นึงถึงโอกาส กาลเทศะ และประชุมชนอีกด้วย เช่น ในโอกาสที่เป็นทางการ ย่อมใช้ภาษาอย่างหนึ่ง ใน โอกาสที่ไม่เป็นทางการ ย่อมใช้ภาษาอีกอย่างหนึ่ง แม้ผู้ใช้ภาษาจะเป็นบุคคลคนเดียวกันก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ภาษาจึงผิดแผกกันเป็นหลายระดับ ระดับภาษาเป็นเรื่องของความเหมาะสมในการใช้ภาษา ตามสัมพันธภาพของบุคคล ตามโอกาส กาลเทศะ และประชุมชน เพื่อให้สัมฤทธิ์ผลสมความมุ่งหมาย การแบ่งภาษาเป็นระดับต่าง ๆ
ตัวอย่างที่ ๑ การแบ่งระดับภาษา การแบ่บ่ บ่บ่ ง ระดัดั ดัดับภาษา การแบ่งภาษาออกเป็นระดับต่าง ๆ อาจแบ่ง ละเอียดมากหรือน้อยต่างกัน อาจแบ่งออกเป็นเพียง ๒ ระดับ คือ ระดับที่เป็นแบบแผน และระดับที่ไม่เป็นแบบแผน หรืออาจแบ่งออกเป็น ๓ ระดับ คือ ระดับพิธีการ ระดับกึ่งพิธีการ และระดับไม่เป็นพิธีการ ในที่นี้จะแบ่งให้ละเอียดยิ่งขึ้นเป็น ๕ ระดับ คือ ระดับพิธีการ ระดับทางการ ระดับกึ่งทางการ ระดับไม่เป็นทางการ และระดับกันเอง เราจะพิจารณาภาษาที่แบ่งออกเป็น ๕ ระดับ โดยละเอียดต่อไป ให้นักเรียนสังเกตตัวอย่างของภาษาทั้ง ๕ ระดับ ที่มีเนื้อความทำ นองเดียวกันต่อไปนี้ การที่ท่านทั้งปวงได้แสดงมุทิตาจิต และให้พรแก่ข้าพเจ้าด้วยความพร้อม เพรียงเป็นสมานฉันท์เช่นนี้ ยังความปีติยินดีแก่ข้าพเจ้ายิ่งนัก จึงขอขอบใจท่านทั้งปวง ด้วยเป็นที่สุด ขออำ นวยพรให้ท่านทั้งปวงจงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ ทุกประการ
การแบ่บ่ บ่บ่ ง ระดัดั ดัดับภาษา ตัวอย่างที่ ๒ กระผมขอขอบคุณอย่างยิ่ง และรู้สึกซาบซึ้งในน้ำ ใจไมตรีที่ท่านทั้งหลายได้พร้อมใจกันมา ส่งและอวยพรให้กระผมเดินทางโดยสวัสดิภาพ ทั้งยังอวยพรให้ได้เลื่อนตำ แหน่งสูงขึ้นในหน้าที่ ราชการ กระผมไม่อาจกล่าวขอบคุณให้ไพเราะสมกับความรู้สึกได้ แต่ก็ขอปวารณาว่า กระผมจะ อุตส่าห์ปฏิบัติงานในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้เต็มความสามารถโดยคำ นึงถึงประโยชน์สุขของ ประชาชนทั่วไปเป็นอันดับแรกที่สุด กระผมเชื่อว่าผลดังกล่าวก็จะตกอยู่แก่ประเทศชาติอันเป็นที่รัก ของเรา หรืออีกนัยหนึ่งตกอยู่แก่พวกเราทุกคน ตัวอย่างที่ ๓ ผมขอขอบคุณที่อาจารย์มีน้ำ ใจและได้แสดงออกซึ่งน้ำ ใจนั้น ณ ที่ประชุมนี้ ผมจะพยายามรักษาตัวให้ดีสมกับความปรารถนาของอาจารย์ ถ้ามีสิ่งใดที่ผมพอจะ รับใช้ได้ ที่จะอำ นวยประโยชน์แก่พวกเราโดยส่วนรวม ผมก็จะไม่รีรอที่จะกระทำ เลย ผมขอขอบคุณอย่างยิ่งอีกครั้งหนึ่งครับ
การแบ่บ่ บ่บ่ ง ระดัดั ดัดับภาษา ตัวอย่างที่ ๔ ขอบคุณมากครับที่อวยพรให้ผม ขอให้พวกคุณได้รับสิ่งดีงามเหล่านั้น ด้วยเช่นกันนะครับ เพราะถ้าเรามีอะไรได้อะไรเหมือน ๆ กัน เราก็คงได้มีโอกาส สังสรรค์กันเช่นนี้อีก วันนี้ขอให้ฉลองศรัทธากันให้เต็มอิ่มเลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ ตัวอย่างที่ ๕ ขอบใจนะพรรคพวก พวกนายทำ ให้เรามีความสุขมากที่สุดในวันนี้ ขอให้สนุกกันให้เต็มที่โดยการใช้ปากให้เป็นประโยชน์ จะทั้งกิน ทั้งพูด ก็เอาเลย แต่อย่าทั้งพูดและกินพร้อมกันก็แล้วกัน เอ้า! อาให้เต็มที่เลย
ภาษาระดับนี้ใช้สื่อสารกันในที่ประชุมที่จัดขึ้นอย่างเป็นพิธีการ อาทิ การเปิดประชุม รัฐสภา การกล่าวอวยพร การกล่าวต้อนรับ การกล่าวคำ ปราศรัย การกล่าวรายงานในพิธี มอบปริญญาบัตรหรือประกาศนียบัตร การกล่าวสดุดีหรือการกล่าวเพื่อจรรโลงใจให้ ประจักษ์ในคุณงามความดี การกล่าวปิดพิธี ฯลฯ ผู้ส่งสารระดับนี้มักเป็นบุคคลสำ คัญหรือมีตำ แหน่งสูงในวงการนั้น ผู้รับสารส่วนใหญ่ ก็เป็นบุคคลในวงการเดียวกันกับผู้ส่งสาร หรือเป็นกลุ่มชนส่วนใหญ่ซึ่งอาจเป็นประชาชน ทั้งประเทศ สัมพันธภาพระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสารมีต่อกันอย่างเป็นทางการ แม้ว่าโดยส่วนตัว จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันก็ตาม ส่วนใหญ่ผู้ส่งสารเป็นผู้กล่าวฝ่ายเดียวไม่มีการโต้ตอบ หรือถามคำ ถามจากกลุ่มผู้รับสาร หากจะมีบ้างก็เป็นการกล่าวตอบที่กระทำ อย่างเป็น พิธีการในฐานะผู้แทนของกลุ่มเท่านั้น สารทุกตอน ไม่ว่าจะเป็นตอนเริ่มต้น ตอนดำ เนินความ หรือตอนลงท้าย จะมีลักษณะ เป็นพิธีรีตอง เป็นทางการ มีความจริงจังโดยตลอด กล่าวคือ มักใช้ถ้อยคำ ที่เลือกเฟ้นแล้ว ว่าไพเราะสละสลวยและก่อให้เกิดความรู้สึกจรรโลงใจเป็นส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้ ผู้กล่าวหรือ ผู้ส่งสารจึงต้องเตรียมบทหรือวาทนิพนธ์มาล่วงหน้าและมักจะนำ เสนอด้วยวิธีอ่านต่อหน้าที่ ประชุม ภาษาระดับพิธีการ จากตัวอย่างข้างต้น เราอาจชี้ลักษณะสำ คัญของภาษาแต่ละระดับ ได้ดังนี้
ภาษาระดับนี้ใช้บรรยายหรืออภิปรายอย่างเป็นทางการในที่ประชุมหรือใช้ เขียนข้อความที่จะให้ปรากฏต่อสาธารณชนอย่างเป็นการเป็นงาน โดยปกติในการ ประชุมที่ต่อจากช่วงที่ต้องทำ ตามพิธีการแล้ว ก็มักใช้ภาษาระดับนี้หนังสือที่ใช้ ติดต่อกับทางราชการหรือในวงการธุรกิจก็ใช้ภาษาระดับนี้เช่นกัน ผู้ส่งสารและผู้รับสารมักเป็นบุคคลในวงการหรือวงอาชีพเดียวกัน และต่าง ก็มีหน้าที่และภารกิจโดยตรงเกี่ยวกับธุรกิจหรือวิชาการในด้านนั้น ๆ ด้วยเหตุนี้ สัมพันธภาพระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงเป็นไปในด้านธุรกิจและการงาน เช่น บอก หรือรายงานให้ทราบ ให้ความรู้เพิ่มเติม เสนอความคิดเห็น อาจโต้ตอบหรือถาม คำ ถามได้ในระยะเวลาที่จัดไว้ให้ ซึ่งมักเป็นภายหลังที่ผู้ส่งสารได้นำ เสนอสารที่ เตรียมมาแล้ว เนื้อหาของสารมีลักษณะเจาะจงเกี่ยวกับธุรกิจหรือความรู้ความคิดที่สำ คัญ ที่น่าสนใจหรือที่จำ เป็นต้องทำ ความเข้าใจให้ตรงกันระหว่างผู้รับสารกับผู้ส่งสาร การใช้ถ้อยคำ จึงมักตรงไปตรงมา มุ่งเข้าสู่จุดประสงค์ที่ต้องการโดยเร็ว อาจมี ศัพท์เทคนิคหรือศัพท์วิชาการมากหรือน้อยแล้วแต่ลักษณะของการประชุมและ ลักษณะของผู้รับสาร หลักของการใช้ภาษาระดับนี้เน้นการสื่อสารให้ได้ผลตามจุดประสงค์ โดยประหยัด ถ้อยคำ ทประหยัดเวลาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำ ได้ แต่ถ้าผู้รับสาร เป็นบุคคลกลุ่มใหญ่ที่มี ความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จะพิจารณามากน้อยไม่เท่ากัน ผู้ส่งสารก็จำ เป็นต้องใช้คำ อธิบายมากขึ้น อย่างไรก็ดี หลักการประหยัดก็ทำ ให้ ผู้ส่งสารชนิดนี้ไม่อาจใช้ถ้อยคำ ฟุ่มเฟือยหรือเล่นคำ ได้ ภาษาระดับทางการ
ภาษาระดับกึ่งทางการ ภาษาระดับนี้โดยทั่วไปคล้ายกับระดับที่ ๒ แต่ใช้ในการประชุมกลุ่มเล็กกว่า การประชุมที่กล่าวในข้อ ๒ จึงลดความเป็นงานเป็นการลงบ้าง เพื่อให้เกิด สัมพันธภาพอันใกล้ชิดยิ่งขึ้นระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร อาจมีการโต้ตอบหรือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันบ้างเป็นระยะ ๆ ภาษาระดับกึ่งทางการมักใช้ในการประชุมกลุ่มหรือการอภิปรายกลุ่ม การบรรยายในห้องเรียน ข่าวและบทความในหนังสือพิมพ์ ซึ่งโดยทั่วไปจะมี ถ้อยคำ สำ นวนภาษาที่ทำ ให้รู้สึกคุ้นเคยกันมากกว่าภาษาระดับที่ ๒ เนื้อหาของสาร มักเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความรู้ทั่วไป การแสดงความคิดเห็นเชิงวิชาการหรือที่ เกี่ยวกับการดำ เนินชีวิต เรื่องเกี่ยวกับธุรกิจ และมักใช้ศัพท์วิชาการเท่าที่จำ เป็น ทั้งนี้เพื่อให้บุคคลที่ไม่ได้เรียนรู้ด้านนั้น ๆ โดยตรงรับสารหรือฟังและอ่านได้เข้าใจ ตรงกับจุดประสงค์ของผู้ส่งสาร ภาษาระดับไม่เป็นทางการ ภาษาระดับนี้มักใช้ในการสนทนาโต้ตอบระหว่างบุคคลหรือกลุ่ม บุคคล ไม่เกิน ๔-๕ คน ในสถานที่และเวลาที่ไม่ใช่ส่วนตัวแม้บุคคลที่ใช้ภาษา จะรู้จักมักคุ้นกันอยู่ก็ตาม การเขียนจดหมายระหว่างเพื่อน การรายงานข่าว และการเสนอบทความในหนังสือพิมพ์ ก็ใช้ภาษาระดับนี้ เนื้อหาของสารมักเป็นเรื่องทั่ว ๆ ไปในการดำ เนินชีวิตประจำ วัน กิจธุระต่าง ๆ รวมไปถึงการปรึกษาหารือกัน ไม่จำ กัดอยู่เพียงเรื่องวิชาการ เท่านั้น อาจมีถ้อยคำ สำ นวนที่เคยใช้กันเฉพาะกลุ่มหรือเข้าใจความหมาย ตรงกันได้เฉพาะในกลุ่มเท่านั้น
ภาษาระดับกันเอง ภาษาระดับนี้ใช้ในวงจำ กัด เช่น ภาษาที่ใช้ในครอบครัว ใช้ระหว่าง สามีภรรยา บิดามารดา บุตร หรือใช้ระหว่างเพื่อนสนิท สถานที่ที่ใช้มักเป็น ที่ส่วนตัว เช่น ที่บ้าน ในห้องที่เป็นสัดส่วนของตนโดยเฉพาะ เนื้อหาของสาร ก็เช่นเดียวกับระดับที่ ๔ คือ ไม่มีขอบเขตจำ กัด ภาษาระดับนี้มักใช้พูดจากัน ไม่นิยมบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรยกเว้นแต่ในนวนิยายหรือเรื่องสั้นบางตอน เพื่อทำ ให้เรื่องสมจริง ถ้อยคำ ที่ใช้อาจมีคำ คะนอง หรือคำ ภาษาถิ่น
การแบ่งภาษาเป็น ๕ ระดับ มีข้อควรสังเกตบางประการต่อไปนี้ ๑. การแบ่งภาษาเป็น ๕ ระดับ พิจารณาจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น จริงในการสื่อสาร แล้วนำ มาจัดระดับเพื่อให้เข้าใจง่าย มิได้หมายความว่าแบ่ง กันอย่างเด็ดขาด ภาษาระดับหนึ่งอาจเหลื่อมล้ำ กับอีกระดับหนึ่ง เช่น ภาษาระดับที่ ๒ กับระดับที่ ๓ อาจใช้ปะปนกัน ระดับที่ ๓ และ ระดับที่ ๔ อาจใช้ร่วมกันบ้าง หรือระดับที่ ๔ กับระดับที่ ๕ ก็เช่นเดียวกัน ๒. บุคคลแต่ละคนอาจไม่มีโอกาสใช้ภาษาครบทั้ง ๕ ระดับ แต่ทุกคน ย่อมต้องใช้ภาษาระดับที่ ๓ หรือภาษาระดับที่ ๔ อยู่เป็นประจำ ระดับที่ ๑ นั้น บางคนแทบไม่มีโอกาสได้ใช้เลย และระดับที่ ๕ บางคนก็ไม่นิยมใช้ ๓. บุคคลบางคนอาจใช้ภาษาระดับที่ ๓ ในสถานการณ์ที่ต้องใช้ภาษา ระดับที่ ๔ และที่ ๕ ได้ดังกล่าวแล้ว แต่หากนำ ภาษาระดับที่ ๑ หรือระดับ ที่ ๒ ไปใช้ในโอกาสที่ควรใช้ภาษาระดับที่ ๔ และที่ ๕ หรือนำ ภาษาระดับที่ ๔ และที่ ๕ ไปใช้ในโอกาสที่ควรใช้ภาษาระดับ ที่ ๒ และที่ ๓ ย่อมไม่เหมาะสม หากใช้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็จะเป็นอุปสรรคแก่การสื่อสาร เป็นต้นว่า ผู้รับสารอาจเห็นไปว่า ผู้ส่งสารเสแสร้ง ขาดความจริงใจ หรือไม่รู้จัก กาลเทศะ การให้นักเรียนเรียนเรื่องระดับภาษามุ่งหมายให้นักเรียนเข้าใจว่า ภาษาของมนุษย์มีหลายระดับ การจะตัดสินว่าภาษาที่ใช้ดีหรือไม่ ถูกต้องหรือไม่ เหมาะสมหรือไม่ต้องคำ นึงถึงโอกาส กาลเทศะ และสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ที่ใช้ภาษา การใช้ภาษาไม่ให้ผิดระดับจนเป็นผลเสียแก่การสื่อสารมีความสำ คัญ ที่เราต้องเรียนรู้และฝึกฝนไว้
๑. โอกาสและสถานที่ โอกาสและสถานที่ที่ใช้ภาษาเป็นปัจจัยที่ทำ ให้ใช้ภาษา ต่างระดับกัน ถ้าสื่อสารกับบุคคลกลุ่มใหญ่หรือในที่ประชุมก็จะใช้ภาษาระดับหนึ่ง ถ้าสื่อสารกันในที่สาธารณะ เช่น ตลาด ร้านค้า ภาษาที่ใช้ก็จะต่างระดับกับเมื่อ สื่อสารกันที่บ้าน ปัจจัยที่กำ หนดระดับของภาษา การแบ่งภาษาเป็น ๕ ระดับ ดังที่กล่าวมา ถ้าสังเกตต่อไป จะเห็นว่ามีปัจจัยที่กำ หนดระดับของภาษาดังนี้ ๒. ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล บุคคลอาจมีความสัมพันธ์ต่อกันหลายลักษณะ เช่น เป็นเพื่อนที่สนิทกัน เป็นผู้ที่เพิ่งรู้จักกัน เป็นผู้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ฯลฯ ความสัมพันธ์ต่าง ๆ เหล่านี้เป็นปัจจัยกำ หนดระดับของภาษาที่บุคคลสื่อสารกัน และเกี่ยวโยงกับปัจจัยข้อที่ ๑ ดังกล่าวมาด้วย เช่น บุคคลที่เป็นเพื่อนสนิทกัน เมื่อพูดกันในที่ประชุมที่จัดขึ้นอย่างเป็นทางการ ย่อมไม่อาจใช้ภาษาในระดับที่ เคยใช้เมื่อสนทนากันตามลำ พัง
ปัจจัยที่กำ หนดระดับของภาษา ๓. ลักษณะของเนื้อหา เนื้อหาของสารเกี่ยวพันกับโอกาสในการสื่อสารอยู่ไม่น้อย เช่น เนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวไม่อาจนำ ไปใช้ในโอกาสที่ต้องใช้ภาษาระดับ ทางการ แม้เนื้อหาทำ นองเดียวกันอาจใช้ภาษาให้ต่าง ๆ กันไปได้ทั้ง ๕ ระดับ ดังตัวอย่างที่แสดงแล้ว แต่เนื้อหาบางเรื่องไม่อาจใช้ภาษาต่างกันเป็นหลายระดับ ถ้าใช้ภาษาไม่เหมาะสมกับระดับก็จะทำ ให้การสื่อสารไม่สัมฤทธิ์ผลดังที่ต้องการ ๔. สื่อที่ใช้ ปัจจัยสำ คัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำ ให้ภาษาเปลี่ยนระดับคือ สื่อ หากบุคคล บอกต่อ ๆ กันด้วยปาก ระดับของภาษาที่ใช้ย่อมแตกต่างกับเมื่อประกาศผ่าน เครื่องขยายเสียง และย่อมจะแตกต่างกับภาษาที่พูดทางวิทยุกระจายเสียงหรือ ทางวิทยุโทรทัศน์
ลักษณะของภาษาระดับต่าง ๆ ลักษณะของภาษาระดับต่าง ๆ อาจสรุปได้ดังนี้ ๑. การเรียบเรียง ในภาษาระดับพิธีการ และระดับทางการ ผู้ส่งสาร ซึ่งรวมทั้งผู้พูดและผู้เขียนจะเรียบเรียงเนื้อหาให้มีความต่อเนื่องกลมกลืนกัน อย่างมีระเบียบ และพิถีพิถันขัดเกลาภาษาให้สละสลวย เช่น ในการกล่าวคำ ปราศรัย การกล่าวต้อนรับผู้แทนระหว่างประเทศ หรือระหว่างองค์การ มักเตรียมวาทนิพนธ์ไว้ล่วงหน้า ถ้าเป็นหนังสือราชการ ก็จะเขียนอย่างมีระเบียบ โดยกล่าวถึง จุดประสงค์ของเรื่องซึ่งอาจประกอบด้วยเหตุผล ความต้องการ ความจำ เป็น แล้วจึงสรุปในตอนท้ายว่าประสงค์จะให้ผู้รับสารทราบหรือกระทำ การอย่างใด อย่างหนึ่ง การเขียนบทความเพื่อให้ความรู้ทางวิชาการซึ่งใช้ภาษาระดับทางการ ก็เช่นกัน เนื้อความจะเรียงลำ ดับ เช่น เริ่มต้นด้วยความจำ เป็นที่จะต้องให้ ความรู้เรื่องนั้น ๆ แล้วกล่าวถึงความรู้ไปทีละเรื่อง ๆ ซึ่งอาจมีคำ อธิบายและ ตัวอย่างประกอบ แล้วอาจจบด้วยประโยชน์ของความรู้นั้น ๆ หรือหนทาง ที่จะนำ ความรู้ดังกล่าวไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ส่วนภาษาระดับกึ่งทางการซึ่งมีการโต้ตอบซักถามและอภิปราย อาจมีการพูดที่ไม่เรียงลำ ดับหรือไม่เป็นระเบียบบ้าง เพราะผู้พูดอาจเข้าใจ ประเด็นสับสน พูดออกนอกเรื่อง หรือพูดสิ่งที่ตนอยากจะพูดทั้ง ๆ ที่ไม่ เกี่ยวข้องกับประเด็น หน้าที่ของผู้นำ การพูดหรือการอภิปราย คือพยายาม นำ ให้เข้าสู่ประเด็นเพื่อให้การประชุมหรือการอภิปรายได้ผลตรงตาม จุดประสงค์ อย่างไรก็ดี ถ้าเป็นการเขียนผู้เขียนก็ยังคงต้องระมัดระวัง การลำ ดับข้อความ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ ทั้งนี้เพราะผู้อ่านไม่อาจถามได้และ มิได้มีประธานนำ ให้เข้าสู่ประเด็นเหมือนในการพูดหรือในการบรรยายที่มีช่วง ให้ถาม ภาษาระดับไม่เป็นทางการและระดับกันเองนั้น ความเป็นระเบียบ ดังกล่าวนี้ จะลดหย่อนลงเป็นลำ ดับ
๒. กลวิธีนำ เสนอ ภาษาระดับพิธีการและระดับทางการมักใช้กลวิธี นำ เสนอตามรูปแบบที่กำ หนดไว้แล้ว เช่น ในคำ กราบบังคมทูลหรือคำ กล่าว รายงานจะต้องใช้คำ ขึ้นต้นวรรคนำ และคำ ลงท้ายตามแบบแผนที่เคยใช้ กันมา ถ้าเป็นการนำ เสนอด้วยวาจา ผู้นำ เสนอก็ต้องนำ เสนอด้วยกิริยา อาการที่สำ รวม ใช้ถ้อยคำ อย่างระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดได้ การแต่งกาย และการใช้อวัจนภาษาอย่างอื่นก็ต้องถูกต้องตามแบบแผนพิธีการด้วย หาก เป็นการนำ เสนอทางสื่อมวลชน เช่น ประกาศหรือแถลงการณ์การนำ เสนอ มักเป็นไปอย่างกลาง ๆ ไม่เจาะจงส่งตารไปที่ผู้ใดผู้หนึ่งมุ่งไปสู่ตาธารณชน เป็นสำ คัญ ผู้นำ เสนอจะไม่สื่อความหมายว่าสารที่นำ เสนอนั้นเป็นของตน อาจกล่าวเพียงในฐานะผู้แทนของกลุ่มหรือในนามของตำ แหน่งนั้น ๆ ในการเขียนหนังสือราชการหรือธุรกิจติดต่อกันระหว่างหน่วยงาน ก็เช่นกัน มักสื่อสารกันระหว่างตำ แหน่งในนามของหน่วยงานนั้น ๆ เพราะ มิได้เป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคลใดบุคคลหนึ่งดังภาษาระดับไม่เป็นทางการ และระดับกันเอง การนำ เสนอที่ใช้ภาษาระดับกึ่งทางการหรือระดับไม่เป็นทางการ วิธีนำ เสนอก็ลดความเป็นพิธีรีตองไปตามลำ ดับ ไม่ยึดรูปแบบตายตัวนัก ผู้นำ เสนออาจคิดหาวิธีแปลกใหม่เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ฟังได้ ถ้าผู้ส่งสารประสงค์จะแสดงตัวเองว่าเป็นผู้คิดผู้กล่าวข้อความนี้ ผู้ส่งสาร มักใช้ภาษาระดับกึ่งทางการ และมักใช้น้ำ เสียงปกติ แต่บางช่วงก็อาจใช้น้ำ เสียงที่แสดงความคุ้นเคย หรือแสดงความรู้สึกและอารมณ์ได้บ้าง
๓. ถ้อยคำ ที่ใช้ ในภาษาไทยมีถ้อยคำ ที่แสดงความลดหลั่นตาม ระดับของภาษาอยู่จำ นวนมาก โดยเฉพาะถ้อยคำ สำ นวนที่เป็นคำ ซ้อน ๔ พยางค์ มีอยู่ไม่น้อยที่ใช้ได้ในภาษาตั้งแต่ระดับไม่เป็นทางการลงมา เท่านั้น เช่น เอะอะมะเทิ่ง โง่เง่าเต่าตุ่น เกี่ยวดองหนองยุ่ง ทางหนีทีไส่ ไปวัดไปวา อาบน้ำ อาบท่า สตุ้งสตางค์ หนังสือหนังหา ได้ดิบได้ดี กะถงกะถางแทบเป็นแทบตาย นอกจากนี้ มีข้อควรสังเกตเกี่ยวกับการใช้ คำ บางชนิด ดังนี้ ๑) คำ สรรพนาม ภาษาที่ใช้ในระดับพิธีการ ระดับทางการ และระดับกึ่งทางการ สรรพนามที่ผู้ส่งสารใช้แทนตนเอง (บุรุษที่ ๑) มักจะ เป็น กระผม ผม ดิฉัน และ ข้าพเจ้า คำ ว่า ข้าพเจ้าใช้ได้ทั้งชายและหญิง ส่วนสรรพนามแทนฝ่ายผู้รับสาร (บุรุษที่ ๒) มักใช้ ท่าน ท่านทั้งหลาย ส่วนภาษาระดับไม่เป็นทางการ และระดับกันเอง มีคำ สรรพนามใช้อีกมาก เช่น ผู้ส่งสารอาจใช้คำ สรรพนามแทนตนเองว่า ฉัน ผม ดิฉัน อิฉัน เรา หนู ฯลฯ และยังมีคำ นามอื่น ๆ ที่นำ มาใช้ในที่ของสรรพนาม เช่น นิด น้อย ครู แดง หมอ ป่า แม่ ลูก หลาน ฯลฯ และใช้คำ สรรพนามแทนผู้รับสารว่า เธอ คุณ ท่าน แก ตัว ฯลฯ และก็อาจใช้คำ นามอื่น ๆ ในที่ของสรรพนาม ได้เหมือนกัน ๒) คำ นาม มีคำ สามานยนามหลายคำ ที่เราใช้เฉพาะในภาษา ระดับกึ่งทางการ ระดับไม่เป็นทางการและระดับกันเองเท่านั้น ตัวอย่างเช่น โรงหนัง ใบขับขี่ ใบรับรอง บัสเลน รถเมล์ แสตมป์ งานแต่งงาน หมา หมู ควาย คำ เหล่านี้ถ้าใช้ในภาษาตั้งแต่ระดับทางการ ขึ้นไปจะใช้ว่า โรงภาพยนตร์ ใบอนุญาตขับรถยนต์ หนังสือรับรอง ช่องเดินรถประจำ - ทาง รถประจำ ทาง ดวงตราไปรษณียากร งานมงคลสมรส สุนัข สุกร กระบือ ตามลำ ดับ
ส่วนคำ วิสามานยนาม เช่น ชื่อโรงเรียน ชื่อคน ชื่อหน่วยงาน ในภาษาระดับทางการขึ้นไปควรใช้ชื่อเต็มแต่ในภาษาระดับกึ่งทางการลงมา อาจไม่ใช้ชื่อเต็มก็ได้ คำ ลักษณนามบางคำ มีผู้ใช้ในภาษาระดับไม่เป็นทางการและ ระดับกันเองเช่น พระ ๙ องค์ แต่ถ้าใช้ในภาษาระดับทางการขึ้นไป ต้องระมัดระวังใช้ให้ถูกต้องตามแบบแผน คือ ต้องใช้ว่า ภิกษุ ๙ รูป อนึ่ง ต้องไม่สำ คัญผิดว่า ในภาษาระดับไม่เป็นทางการและระดับ กันเองนักเรียนจะใช้ลักษณนามอย่างไรก็ได้ตามความพอใจของตน เพราะ ลักษณนามเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของภาษาไทย ควรใช้ให้ถูกแบบแผน และถูกต้องตามความนิยมในภาษา ๓) คำ กริยา ในภาษาไทย มีคำ กริยาที่แสดงระดับต่าง ๆ ของภาษาอย่างเห็นได้ชัด เช่น ตาย ซึ่งอาจใช้ ถึงแก่กรรม เป็นต้น ๔) คำ วิเศษณ์ คำ วิเศษณ์บางคำ ที่ใช้ขยายคำ กริยาหรือ ขยายคำ วิเศษณ์ด้วยกันมีใช้มากในภาษาระดับไม่เป็นทางการและระดับ กันเอง และบางคำ ก็อาจนำ ไปใช้ในภาษาระดับกึ่งทางการได้บ้าง แต่เกือบจะ ไม่ใช้เลยในภาษาระดับทางการขึ้นไป คำ วิเศษณ์เหล่านี้มักเป็นคำ บอก ลักษณะ บอกปริมาณ หรือแสดงความรู้สึกที่มากขึ้นหรือเพิ่มขึ้นกว่าปกติ เช่น นั่งแปะ อ้วนฉุ ยิ้มแฉ่ง ได้เยอะแยะ เปรี้ยวจี๊ด เขียวอื่อ ขมปี๋ ยุ่งจัง ในภาษาระดับทางการขึ้นไป หากจะบอกความหมายเดียวกันนี้ก็มักจะ ใช้คำ ว่า เช่น เป็นอันมาก มาก หรือ จัด
คำ ที่ใช้เชื่อม เช่น คำ บุพบท คำ สันธาน มักจะไม่ทำ ให้ภาษาเปลี่ยน ระดับ คำ ว่า คะ ครับ ซิ นะ เถอะ มักใช้ในภาษาระดับไม่เป็นทางการและ ระดับกันเองเท่านั้น การออกเสียงว่า ยังงั้น ยังงี้ ยังไง ใช้ได้ในการพูดเฉพาะภาษา ระดับกึ่งทางการลงมา ในการพูดที่ใช้ภาษาระดับทางการขึ้นไป ควรใช้ให้ เต็มและออกเสียงให้ชัดว่า อย่างนั้น อย่างนี้ อย่างไร เป็นตัน เท่าที่รวบรวมมากล่าวนี้เป็นเพียงข้อสังเกตบางประการเพื่อแนะ และกระตุ้นให้นักเรียนหัดสังเกตภาษาไทยที่เราใช้กันอยู่เป็นปกติในชีวิต ประจำ วัน ถ้านักเรียนสนใจพิจารณาภาษาต่อไป อาจสังเกตเห็นลักษณะ อื่น ๆ ที่ยังไม่ได้นำ มากล่าวไว้อีกก็ได้
E-Book เพื่พื่ พื่ อพื่ อพัพัพัฒพันาทัทัทักทัษะการเรีรี รี ยรี ยนรู้รู้รู้ภรู้ าษาไทย รายวิวิวิชวิาภาษาไทยพื้พื้ พื้ นพื้ นฐาน ๕ (ท๓๑๑๐๑) ชั้ชั้ ชั้ นชั้ นมัมัมัธมัยมศึศึศึกศึ ษาปีปีปีที่ปีที่ที่ ที่ ๖ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนสตรีราชินูทิศ อำ เภอเมือง จังหวัดอุดรธานี