The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nareerat.peach, 2023-09-04 13:11:45

ช่างสิบหมู่

ช่างสิบหมู่

ช่ช่ช่ า ช่ างสิสิสิ บ สิ บหมู่มู่มู่มู่ จัดทำ โดย นางสาว นรีรัตน์ จีระไกรโสธร


คำ นำ “ช่างสิบหมู่” หรือ “ช่างหลวง” เป็นคำ ไทย ภาษาอังกฤษคือ Ten Essential Traditional Craftsmenship ทำ หน้าที่ราชการจำ เพาะด้านการช่างที่เกี่ยวข้องกับงาน ศิลปกรรม ต่าง ๆ ทั้งในด้าน วิจิตรศิลป์และประณีตศิลป์ภายในพระบรมราชูปถัมภ์มาแต่โบราณ แต่เดิมกรมช่างสิบหมู่และข้าราชการซึ่ง เป็นช่างต่าง ๆ ในกรมมีหน้าที่รับสนองพระราชประสงค์ในองค์พระมหากษัตริย์รวมถึงทำ หน้าที่รวบรวม ช่างมีฝีมือเพื่อเป็นกำ ลังในกิจการงาน ศิลปกรรม รุ่นต่อ ๆ ไปด้วย อิสริยา เลาหตีรานนท์ โดยสำ นักงานราชบัณฑิตยสภา ได้อธิบายถึง “กรมช่างสิบหมู่” ไว้ว่า “ช่างสิบหมู่ คือหน่วยงานที่รวมช่างประณีตศิลป์ไว้เพื่อปฏิบัติงานถวายพระมหากษัตริย์หรืองานราชการ เดิมงานเหล่านี้กระจัดกระจายสังกัดในหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ปัจจุบันเป็นหน่วยงาน ระดับสำ นักในกรมศิลปการกระทรวงวัฒนธรรม” ช่างสิบหมู่ในสมัยโบราณนั้นอยู่ในกำ กับดูแลของราชสำ นัก ทำ งานก่อสร้างและตกแต่งเหล่า ปราสาทราชมณเฑียร ตำ หนัก เรือนหลวง วัดวาอาราม และสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ เพื่อสร้างความงดงาม ทางศิลปกรรมตามพระราชประสงค์ ทั้งนี้ การทำ งานของช่างสิบหมู่จะประสานงานกับช่างมหาดเล็กและ ช่างทหารในพระบรมราชูปถัมภ์ด้วย


สารบับั บั ญ บั ญ ความเป้นมาของช่าช่งสอบหมู่ ช่าช่งเขียขีน ช่าช่งแกะ ช่าช่งสลักลั ช่าช่งกลึงลึ ช่าช่งหล่อล่ ช่าช่งปั้น ช่าช่งหุ่นหุ่ ช่าช่งรัก ช่าช่งบุ ช่าช่งปูนปู ช่าช่งมุกมุ การช่าช่งเบ็ดบ็เตล็ดล็ บรรณานุกนุรม หน้าน้ 4-5 7-11 12-15 16-18 19-21 22-24 25-27 28-31 32-33 34-36 37 38 39-43 44


ความเป็ป็ป็ น ป็ นมาของช่ช่ช่ า ช่ างสิสิสิ บ สิ บหมู่มู่มู่มู่ การมีอยู่ของช่างสิบหมู่ปรากฏเป็นหลักฐานมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว โดยมีอยู่ใน ทำ เนียบศักดินาพลเรือนและทหารในกฎหมายเก่า (กฎหมายตราสามดวง) ในสมัย สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031) สันนิษฐานว่าตระกูลช่างใน สมัยอยุธยาน่าจะมีมากกว่า 10 หมู่ อย่างไรก็ตาม งานประณีตศิลป์สาขาต่าง ๆ ที่เจริญก้าวหน้าในสมัยอยุธยาตอน ปลายต้องสลายตัวไปหลังการเสียกรุงฯ ครั้งที่ 2 เพราะช่างฝีมือบางส่วนถูก กวาดต้อนไป ส่วนที่เหลือมีการรวบรวมขึ้นใหม่ในสมัยกรุงธนบุรี และจัดตั้งเป็น สำ นักช่างอย่างเป็นทางการในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ช่างเหล่านี้สร้างสรรค์ปราสาทและพุทธสถานใน กรุงเทพฯ ให้วิจิตรงดงามเหมือนครั้งกรุงศรีอยุธยา สำ นักช่างสิบหมู่ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ยังแบ่งออกเป็นสำ นักช่างประจำ “วัง หลวง” และ “วังหน้า” คือเป็นคนละสังกัดกัน ต่อมาหมู่ช่างในสังกัดวังหน้าได้ถูก ยกเลิกในสมัยรัชกาลที่ 5 พร้อมการประกาศยกเลิกตำ แหน่งกรมพระราชวังบวร หรือตำ แหน่งพระมหาอุปราช (วังหน้า) เมื่อ พ.ศ. 2428 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ยังเป็นช่วงเวลาที่มี การแบ่งสำ นักช่างสิบหมู่เป็นกรมอย่างเช่นเจนว่ามีประเภทใดบ้าง ซึ่ง สมเด็จกรม พระยานริศรานุวัดิวงศ์ ทรงตรัสประทานแก่ พระยาอนุมานราชธน ไว้ว่า “ช่างสิบหมู่เป็นแต่ชื่อกรมที่รวบรวมช่างไว้ มีสิบหมู่ด้วยกัน ไม่ใช่ช่างในบ้านเมืองมี แต่สิบอย่างเท่านั้น พระวรวงศ์เธอพระเจ้าประดิษฐ์วรการ ผู้ซึ่งได้ควบคุมช่างสิบ หมู่เมื่อรัชกาลที่ 5 ได้แต่งโคลงบอกชื่อช่างที่ท่านได้ควบคุมไว้ มีดังนี้ ‘เขียนกระดาษแกะหุ่นปั้น ปูนรัก บุฮากลึงหล่อไม้สูงสลัก ช่างไม้’ จำ นวนหมู่ช่างในโคลงนี้ นับได้ 13 หมู่ เกินกว่าชื่อไปสามหมู่ คิดว่าจะเติมขึ้น ทีหลัง” -4-


ความเป็ป็ป็ น ป็ นมาของช่ช่ช่ า ช่ างสิสิสิ บ สิ บหมู่มู่มู่มู่ จากโคลงดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า “ช่างสิบหมู่” ในสมัยรัชกาลที่ 5 แท้จริงมีถึง 13 หมู่ ซึ่งยังไม่รวมหมู่ช่างที่เป็นช่างมหาดเล็กและช่างทหารในฯ จากโคลงจะพบ หมู่ช่าง ได้แก่ 1. ช่างเขียน 2. ช่างกระดาษ 3. ช่างแกะ 4. ช่างหุ่น 5. ช่างปั้น 6. ช่างปูน 7. ช่างรัก 8. ช่างบุ 9. ช่างกลึง 10. ช่างหล่อ 11. ช่างไม้สูง 12. ช่างสลัก และ 13. ช่างไม้ สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เมื่อศิลปวัฒนธรรม ยุโรปหลั่งไหลเข้ามาในสยามอย่างและมีอิทธิพลต่อรูปแบบงานก่อสร้างและ สถาปัตยกรรมราชสำ นักอย่างสูง งานศิลปกรรมแบบไทยในวัดวาอารามจึงประสบ ภาวะซบเซา จนทำ ให้ความสำ คัญของช่างสิบหมู่ค่อย ๆ ถูกลดทอนลง จนถูกโยก ไปรวมกับ “กรมช่างมหรสพ” ภายหลังมีการก่อตั้ง “กรมศิลปากร” ช่างสิบหมู่จึงถูกโยกมาอยู่ในสังกัดกรม ศิลปากร กระทั่ง พ.ศ. 2481 มีการจัดตั้ง “กองสถาปัตยกรรม” ขึ้นในสังกัด กรมศิลปากร ซึ่งกองนี้ทำ หน้าที่ของงานช่างสิบหมู่ ระหว่าง พ.ศ. 2495-2518 ช่างสิบหมู่ในสังกัดกรมศิลปากรถูกโยกย้ายไป-มา ระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมกับกระทรวงศึกษาธิการ ตามนโยบายของรัฐบาลที่ ต้องการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมของชาติ กระทั่งมีการตราพระราชบัญญัติ ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 กรมศิลปากร (พร้อมด้วยสำ นัก ช่างสิบหมู่) จึงมาอยู่กับกระทรวงวัฒนธรรมอย่างถาวรจวบจนปัจจุบัน -5-


หน้าที่หลักของสำ นักช่างสิบหมู่คือการรักษาและสืบทอดศิลปวิทยาการ และเป็น ศูนย์ข้อมูลด้าน “ศิลปกรรม” แห่งชาติ ค้นคว้า พัฒนา ดำ เนินการบูรณะ ซ่อมแซม เพื่อการอนุรักษ์งานศิลปกรรม โดยแบ่งฝ่ายงานรับผิดชอบเป็น 6 ฝ่าย ด้วยกัน ได้แก่ 1. ฝ่ายบริหารทั่วไป 2. กลุ่มประณีตศิลป์ 3. กลุ่มประติมากรรม 4. กลุ่มจิตรกรรม 5. กลุ่มศิลปประยุกต์และเครื่องเคลือบดินเผา และ 6. ศูนย์ ศิลปะและการช่างไทย อธิบดีกรมศิลปากร ตรวจติดตามการจัดเตรียมเครื่องประกอบเพื่อใช้ในพระราช พิธีบรมราชาภิเษก ณ สำ นักช่างสิบหมู่ งานช่างสิบหมู่นับเป็นงานช่างที่สะท้อนความเป็นไทยแบบจารีตได้เป็นอย่างดี มีทั้ง ความละเอียด ปราณีต และเอกลักษณ์โดดเด่นสะท้อนวัฒนธรรมไทยที่สั่งสมมา นานหลายศตวรรษ อย่างไรก็ตาม เราจะเห็นว่าลักษณะงานของช่างสิบหมู่นั้นไม่ อาจแยกขาดจากกันได้อย่างชัดเจน ผู้เป็นช่างต้องมีความรอบรู้ในแขนงอื่น ๆ ด้วย ภาระหน้น้ น้ า น้ าที่ที่ ที่ที่ -6-


ช่ช่ช่ า ช่ างเขีขี ขี ย ขี ยน (Drawing and Painting) เขียนลายและภาพทั้ง 4 หมวด ได้แก่ “กนก นารี กระบี่ และคชะ” เรียงตาม ลำ ดับคือ “ตัวกนก” แบบต่าง ๆ ภาพมนุษย์ชาย-หญิง เทวดา-นางฟ้า ภาพ วานร อมนุษย์ อสูร และภาพสัตว์ต่าง ๆ ทั้งสัตว์หิมพานต์และสัตว์ตาม ธรรมชาติ โดยยึดหลัก “คดให้ได้วง ตรงให้ได้เส้น” -7-


ช่ช่ช่ า ช่ างเขีขี ขี ย ขี ยน (Drawing and Painting) งานของช่างเขียน ซึ่งเป็นงานที่มีความสาคัญในงานช่างสิบหมู่นั้น มีงานด้าน การเขียนวาด เขียนระบายสี และเขียนน้ายาชนิดต่างๆ ดงั นี้ 1. งานเขียนระบายสีน้ากาว คือ งานเขียนระบายรูปภาพต่างๆ ด้วยสีฝุ่นสีผสมกับน้ากาวหรือยางไม้ บางชนิดเพื่อให้สีจับติดพื้นที่ใช้รองรับสี นั้นอยู่ทนได้นาน ช่างเขียนรูปภาพแบบไทยประเพณี ในสมัยก่อนจึงเรียกว่า งานเขียนระบายสีน้ากาว และเรียกรูปภาพหรือลวดลาย ซึ่งเขียนด้วยวิธีการ เช่นนี้ว่า ภาพหรือลายสีน้ากาว 2. งานเขียนน้ายาปิดทองรดน้าหรือบางแห่งเรียกอย่างสั้นๆ ว่า “ปิดทองรดน้า” เป็นรูปภาพชนิดเอกรงค์ คือมีลักษณะโดยรวมของรูปลักษณะ ที่ปรากฏเป็น“ลวดลาย” สีทองบนพื้นสีดาเป็นส่วนมากที่เขียนเป็นภาพ มนุษย์ หรือภาพสัตว์ ในลักษณะงานมีเป็นส่วนน้อย แต่ก็แสดงรูปลักษณะนั้นเป็นสี ทองเช่นกัน เช่น ลวดลายหรือ รูปภาพที่ทาให้สาเร็จในขั้นสุดท้ายด้วยการ “รด น้า” ชาระล้าง “น้ายา” ซึ่งได้ดาเนินการเขียนตามกรรมวิธีเขียน น้ายามาแต่ต้น ให้น้ายาหลุดออก และคงเหลือแต่สีทองที่ต้องการให้เป็นลวดลายหรือรูปภาพ บนพื้นนั้นๆ โดยอาศัย การทางานกระบวนการขั้นสุดท้ายของงานเขียน จึง มีชื่อเรียก อีกอย่างหนึ่งว่า “ลายรดน้า” -8-


ช่ช่ช่ า ช่ างเขีขี ขี ย ขี ยน (Drawing and Painting) งานเขียนระบายสีน้ำ กาว ที่มาของภาพ : http://www.thaigoodview.com/node/89414 งานเขียนน้ำ ยาปิดทองรดน้ำ ที่มาของภาพ : http://www.thaigoodview.com/node/89414 งานเขียนระบายสีกำ มะลอ ที่มาของภาพ : http://www.thaigoodview.com/node/89414 -9-


นารี คือ การเรียนรู้ และฝึกฝนเกี่ยวกับการเขียนหน้ามนุษย์ เทวดา นางฟ้า พระ และนาง ซึ่งถือว่า เป็นภาพหลักของภาพไทย เมื่อเขียน ได้คล่องแคล่วดีแล้ว จึงฝึกเขียนทั้งตัวในอิริยาบถต่างๆ ภาพเหล่านี้ จะแสดงอารมณ์ด้วย กิริยา ใบหน้าของตัวภาพจะไม่แสดงอารมณ์ ดังนั้นจึงฝึกฝนเขียนตัวภาพไทยให้งดงามถูกต้องตามแบบแผนของ ศิลปะไทย นอกจากการฝึกเขียนตัวภาพหลักดังกล่าวแล้ว ยังต้องฝึก การเขียนภาพกาก หรือตัวภาพที่เป็นคนธรรมดา และการเขียนภาพ จับ สำ หรับเขียนเรื่องรามเกียรติ์ให้เกิดความชำ นาญด้วย ช่ช่ช่ า ช่ างเขีขี ขี ย ขี ยน (Drawing and Painting) กนก คือ การฝึกร่างลวดลาย ให้รู้จักความ ประสานสัมพันธ์กันของเส้น ที่ผูกรวมกันเป็นลาย ไทย โดยเฉพาะกนกแบบต่างๆ เช่น กนกสามตัว กนกใบเทศ กนกเปลว ถือเป็นปฐมบทที่ต้องฝึกฝน ให้ชำ นาญ ก่อนที่จะทำ การช่างอย่างอื่นต่อไป -10-


คชะ คือ การฝึกเขียนภาพสัตว์สามัญ และภาพสัตว์ประดิษฐ์ ต่างๆ โดยเริ่มจากคชะหรือช้าง ซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่ก่อน แล้วจึง ฝึกเขียนภาพสัตว์เล็กๆ ต่อไป ช่ช่ช่ า ช่ างเขีขี ขี ย ขี ยน (Drawing and Painting) กระบี่ คือ การฝึกเขียนภาพอมนุษย์ต่างๆ ได้แก่ พวกยักษ์ วานร เป็นต้น ในการฝึกจะ ต้องฝึกจากภาพลิงหรือกระบี่เป็นอันดับแรก เมื่อเขียนได้แม่นยำ แล้ว จึงฝึกเขียนภาพอื่นต่อ ไป การฝึกเขียนภาพหมวดนี้จะเป็นประโยชน์ ในการเขียนภาพเรื่องรามเกียรติ์ -11-


ช่ช่ช่ า ช่ างแกะ (Carving) ทั้งงานแกะตรา แกะลาย และแกะภาพ หรือเรียกรวมกันว่า “แกะสลัก” เริ่ม ต้นจากการแกะขุดหรือการแรเส้นโดยใช้สิ่วขนาดเล็ก ขุดเส้นเดินบนแผ่นไม้ เรียบ หรืองานแกะแรวัสดุที่เป็นโลหะ เงิน-ทอง ช่างผู้เชี่ยวชาญงานโลหะ แต่ละประเภทจะทำ งานร่วมกับช่างแกะด้วย -12-


ช่ช่ช่ า ช่ างแกะ (Carving) งานแกะเครื่องสด งานแกะเครื่องวัตถุถาวร งานของช่างแกะ อาจแสดงออกรูปลักษณ์ในลักษณะงานแกะลอยตัว งานแกะกึ่งพื้นราบ และ งานแกะพื้นราบ และ งานแกะเส้นเป็นร่องในพื้น ประเภทของงานแกะ อาจแบ่งออกตามวัสดุที่นำ มาใช้ทำ เป็นสื่อทางการแกะ เป็น สองประเภท คือ 1. 2. งานแกะเครื่องสด คำ ว่า “เครื่องสด” หมายถึง วัสดุธรรมชาติที่เป็นของสด เช่น ผลไม้ หัวพืชบางชนิด หยวกกล้วย เป็นต้น งานแกะเครื่องสด หมายถึง งานที่ช่างแกะ ได้ใช้วัสดุชนิดที่เป็นเครื่องสด แกะทำ ขึ้นเป็น ดอกไม้ ใบไม้ ลวดลาย หรือรูปภาพต่างๆ แล้วระบายสีให้ดูสมจริง เพื่อการ ประดับตกแต่งสิ่งต่างๆ ให้สวยงาม เป็นการตกแต่งสิ่ง ต่างๆ ให้สวยงามเป็นการตกแต่ง อย่างงานกำ มะลอ ใช้งานในช่วงเวลาไม่นานเกินกว่า ๓ วัน หรือ ชั่วเวลาที่เครื่องสดนั้นๆ จะเหี่ยวแห้งไป จึงทำ เครื่องสดชุดใหม่มาเปลี่ยนแทนที่ งานแกะเครื่องสด จึงจัดว่าเป็นการ แสดงความสามารถ อย่างสำ คัญยิ่งของช่างแกะ เพราะต้องทำ การแข่งกับเวลา เนื่องด้วย เป็นของสด ต้องทำ การให้เสร็จเร็วๆ และงามดี ด้วยก่อนที่เครื่องสดนั้นจะเหี่ยวเฉา ระหว่างทำ การแกะสลัก และ ต้องคำ นึงถึงอายุของเครื่องสดที่ได้แกะทำ สำ เร็จ และ นำ ไปใช้ การประดับตกแต่งสำ หรับงานใดงานหนึ่ง จะต้องสดอยู่ได้พอแก่เวลาของงานนั้นจะสิ้นสุด ฉะนี้ช่างแกะเครื่องสด จึงเป็นช่างที่ต้องมีความชำ นิชำ นาญ ความสามารถ และฝีมือดียิ่ง -13-


ช่ช่ช่ า ช่ างแกะ (Carving) ผลไม้ ได้แก่ ฟักทอง มะละกอ มะเขือ ฯลฯ หัวพืช ได้แก่ เผือก มัน กระชาย ฯลฯ ผัก ได้แก่ ต้นหอม พริก ผักคะน้า ฯลฯ หยวกกล้วย สี มักนิยมใช้สีย้อมผ้าต่างๆ สีอังกฤษ หรือ กระดาษอังกฤษ ไม้กลัด ดอก ไม้ไผ่เกรียกและเหลาเป็นเส้นแบนยาวประมาณ ๑ ศอก ลวดดอกไม้ไหว เครื่องมือสำ หรับงานแกะเครื่องสด งานแกะเครื่องสด ในทางปฏิบัติโดยขนบนิยมอย่างโบราณ มีหลักการ และวิธีการ เป็นขั้น เป็นตอนต่อไปนี้ วัสดุสำ หรับงานแกะเครื่องสด คือ วัสดุดิบในธรรมชาติต่อไปนี้ 1. 2. 3. 4. อุปกรณ์สำ หรับงานแกะเครื่องสด ต้องการใช้อุปกรณ์ต่างๆ สำ หรับงานประเภทนี้ ดังนี้ 1. 2. 3. 4. 5. งานแกะเครื่องสด มีเครื่องมือ สำ หรับใช้ปฏิบัติงานตามรายการต่อไปนี้ มีดแกะ มีดแทงหยวก มีดบาง เหล็กหมาด พู่กัน กรรไกร เขียงไม้ -14-


ช่ช่ช่ า ช่ างแกะ (Carving) คร่ำ คือ การตกแต่งโลหะเป็นลวดลายด้วยการฝังเงินและทอง ฝังเงินเรียกว่า คร่ำ เงิน ฝังทอง เรียกว่า คร่ำ ทอง การแกะคร่ำ จะใช้เครื่องมือปลายแหลมแกะโลหะที่จะนำ มาคร่ำ ให้ เนื้อโลหะฟู แล้วฝังเส้นเงินหรือทองลงไป แล้วย้ำ ให้แน่น แต่งผิวให้เรียบ จะได้ลวดลาย คร่ำ ตามชนิดของโลหะที่คร่ำ คือ เงินหรือทอง ตราพระราชลัญลัจกร รัชกาลที่ ๗ ซึ่ง ซึ่ ช่าช่งแกะ จะต้อต้งแกะลวดลายที่ล ที่ ะเอียด ประณีต พระราชลัญลัจกร รัชกาลที่ ๙ -15-


ช่ช่ช่ า ช่ างสลัลั ลั ก ลั ก (Engraving) “ช่างฉลัก” มีหน้าที่ประดับสถานที่สลักเสาให้สวยงาม แบ่งเป็น ช่างสลัก กระดาษสำ หรับใช้ประดับสิ่งก่อสร้างชั่วคราว เช่น พลับเพลา พระเมรุ ฯลฯ และช่างสลักของอ่อนที่เรียกว่า “เครื่องสด” เช่น การสลักเผือก มัน ฟักทอง ฯลฯ -16-


งานสักไม้ งานสลักไม้ คือ งานที่ใช้ไม้เนื้อดี มีคุณภาพคงทนถาวรเหมาะสมที่จะนำ มาสลัก ทำ ขึ้นเป็นรูปทรงสิ่งต่างๆ ลวดลาย หรือ รูปภาพให้คงรูปอยู่เช่นนั้นได้ นานๆ งานสลักไม้ในทางปฏิบัติโดยขนบนิยมอย่างโบราณวิธีสลักไม้ มีขั้นตอนที่ เป็นความรู้พึงเข้าใจ ในลำ ดับต่อไปนี้ ไม้ เป็นวัตถุดิบพึงหามาได้จากธรรมชาติ ไม้แต่ละชนิดที่จะนำ มาใช้ทำ การ สลักขึ้นเป็นลวดลายก็ดี รูปภาพก็ดี ต้องได้รับการคัดเลือกเอาแต่เนื้อไม้ที่ คุณภาพดี ไม่ให้มีตาไม้ ไม่ย้อนเสี้ยน หรือ มียางตกค้างอยู่มากในเนื้อไม้นั้น จาก นี้จึงนำ ไม้มาผึ่งในที่ร่มให้เนื้อไม้แห้งสนิท ถ้าได้เนื้อไม้ผึ่งค้างปี ก็จะเป็นเนื้อไม้ที่ คุณภาพดี จึงนำ ไม้นั้น มาตัดแบ่งเป็นท่อน หรือ เป็นแผ่นตามขนาด ที่ประสงค์จะ นำ มาใช้งานสลักไม้ต่อไป ช่ช่ช่ า ช่ างสลัลั ลั ก ลั ก (Engraving) -17-


ขวานหมู ผึ่ง เครื่องมือถากไม้ รูปคล้ายจอบหน้าแคบ สิ่ว หน้าต่างๆ คือ สิ่วฉากหรือสิ่วหน้าตัดตรง สิ่วหน้าเพล่ หรือสิ่วหน้าตัด เฉียง สิ่วเล็บมือ หรือสิ่วหน้าโค้งรูป ¼ วงกลม สิ่วร่อง หรือ สิ่วหน้ารูป ตัววี สว่านโยน เครื่องมือสำ หรับเจาะไม้ ค้อนไม้ ไม้ตอกสิ่ว เครื่องมือสำ หรับใช้แทนค้อนไม้ในบางที เครื่องมืองานสลักไม้ การปฏิบัติงานสลักไม้ มีเครื่องมือสำ หรับ ถาก ฟัน เจาะ ควักคว้าน และ แต่งเกลาไม้สลักจนสำ เร็จเป็นรูปไม้ สลักจนสำ เร็จเป็นรูปไม้สลักดังประสงค์ ตาม รายการต่อไปนี้ 1. 2. 3. 4. 5. 6. ช่ช่ช่ า ช่ างสลัลั ลั ก ลั ก (Engraving) ช่าช่งสลักลัจะสลักลัหยวกหรือแทง หยวก สำ หรับประดับดัเมรุหรือ ประดับดัพลับลัพลาชั่วชั่คราว -18-


ช่ช่ช่ า ช่ างกลึลึ ลึ ง ลึ ง (Turning) งานกลึงเป็นงานสลักเสลาเกลาแต่งที่ต้องใช้ความประณีต โดยมากใช้กับ งานไม้และงาช้าง เครื่องมือกลึงจะต้องคมกลิบตลอดเวลา หากกลึง สิ่งของใหญ่ ๆ จะใช้ “กงหมุน” หากเป็นสิ่งของขนาดย่อมและไม่ประณีต จะใช้เครื่องกลึง “คานดีด” -19-


การกลึงมีกี่ประเภท อะไรบ้าง? การกลึงแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ การกลึงปาดหน้า และการกลึงปอก 1. การกลึงปาดหน้า การกลึงปาดหน้าเป็นการกลึงปาดผิวหน้าตัดของชิ้นงานออก ชิ้นงานจะ หมุน ส่วนมีดกลึงจะเคลื่อนที่เข้าออกในแนว Y (ด้านตั้งฉากกับ spindle) เพื่อปาดผิวหน้า และเลื่อนซ้าย-ขวาในแนวแกน Z (แนวเดียว กับ spindle) เพื่อควบคุมความยาว ส่วนความตื้นลึกหนาบางขึ้นอยู่กับ ใบมีด สำ หรับมีดกลึงที่ใช้ในการกลึงปาดหน้ามีหลายรูปทรงแต่ที่นิยมใช้กันมาก คือ รูปทรงสามเหลี่ยม หรือมีดกลึงชนิด T (Triangle) มีมุม 60 องศา สามารถกลึงงานได้ 3 มุม การเลือกขนาดรัศมีปลายมีดกลึง(R) ขึ้นอยู่ กับความละเอียดของผิวปาดหน้าที่ต้องการ หากต้องการผิวละเอียดมากก็ ใช้ R ที่มีขนาดเล็ก เช่น 0.2 – 0.4 mm. ช่ช่ช่ า ช่ างกลึลึ ลึ ง ลึ ง (Turning) -20-


2. การกลึงปอก การกลึงปอกเป็นลักษณะของการกลึงชิ้นงานตามแนวขนานเพลาจับยึด ของเครื่องกลึง หากเป็นการกลึงปอกภายนอก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ของชิ้นงานจะเล็กลง แต่หากเป็นการกลึงปอกภายในหรือการกลึงคว้านรู จะทำ ให้เส้นผ่าศูนย์กลางของรูมีขนาดโตขึ้น มีดที่ใช้สำ หรับการกลึงปอกภายนอกนั้นจะใช้มีดกลึงที่มีรูปร่างเหมือนตัว W ข้อดีของมันคือ สามารถรับแรงในการกลึงได้มาก ปกติจะใช้ปลายมีด รัศมี R04, R08 สำ หรับงานที่ไม่ต้องการความละเอียดมากนัก หาก ต้องการผิวงานที่มีความละเอียดมากขึ้น อาจต้องใช้มีด T ขนาด R02 เก็บผิวอีกครั้ง ลักษณะของด้ามมีดกลึงก็จะเป็นสี่เหลี่ยมมีทั้งมีดซ้ายและ มีดขวา ส่วนมีดที่ใช้สำ หรับการกลึงปอกภายในหรือการกลึงคว้านรู ด้ามจับยึดมีด กลึงจะถูกออกแบบให้เป็นทรงกระบอก เนื่องจากเป็นการตัดเฉือนภายในรู ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของด้ามจะต้องเล็กกว่าขนาดของรู เพื่อป้องกันมีด กลึงชนกับชิ้นงาน สำ หรับมีดกลึงในการคว้านรูจะมีขนาดเล็กกว่ามีดกลึง สำ หรับการกลึงปอกภายนอก เนื่องจากมีพื้นที่จำ กัด ช่ช่ช่ า ช่ างกลึลึ ลึ ง ลึ ง (Turning) -21-


ช่ช่ช่ า ช่ างหล่ล่ ล่ อ ล่ อ (Casting) เกี่ยวข้องกับการหล่อโลหะ เช่น การหล่อกลองมโหระทึก หล่อพระพุทธรูป ขนาดใหญ่ การหล่อพระพุทธรูปโลหะทำ ได้โดยการใช้ขี้ผึ้งทำ เป็นหุ่นแล้ว ละลายขี้ผึ้งจนเกิดที่ว่างในแม่พิมพ์ แล้วจึงเทโลหะหรือทองที่กำ ลัง หลอมละลายเข้าแทนที่ จะได้เป็นรูปหล่อโลหะสำ ริด เรียกวิธีนี้ว่า “ไล่ขี้ผึ้ง” -22-


ช่ช่ช่ า ช่ างหล่ล่ ล่ อ ล่ อ (Casting) งานช่างหล่อ หรือ งานหล่อโลหะ ด้วยวิธี และกระบวนการที่เป็นขนบนิยม อย่างโบราณวิธี มีชื่อเรียกโดยเฉพาะว่า วิธีหล่อโลหะอย่างสูญขี้ผึ้ง (Lost Wax Process) เป็นวิธีหล่อโลหะวิธีหนึ่ง งานของช่างหล่อโลหะ มักแบ่งงานเป็น ๒ ตอนด้วยกัน คือ การขึ้นหุ่น ตอนหนึ่ง กับการหล่อโลหะอีกตอนหนึ่ง ช่างหล่อ เป็นช่างสร้างศิลปกรรมประเภทวิจิตรศิลป งานของช่างหล่อ เป็นงานที่เกี่ยวเนื่องกัน กับงานปั้น ช่างหล่อจำ นวนไม่น้อย มักเป็นผู้ที่มี ความสามารถในการปั้นอยู่ด้วย หรือไม่ก็เป็นทั้งช่างปั้น และช่างหล่ออยู่ใน คน เดียวกัน ทั้งนี้เนื่องด้วยงานปั้น ที่เป็นประติมากรรมแบบไทยประเพณี เป็นต้นว่า พระพุทธปฏิมากร เทวปฏิมากร รูปฉลองพระองค์ พระมหา กษัตริย์ ฯลฯ เมื่อจะทำ เป็นรูปอย่างโลหะหล่อ ก็จะต้องจัดการปั้นหุ่นรู ปนั้นๆ ขึ้นเสียก่อน ด้วยขี้ผึ้ง แล้วจึงทำ การเปลี่ยนสภาพรูปหุ่นนั้น แปรไป เป็นรูปโลหะหล่อ ซึ่งกระบวนการแต่ละขึ้นตอน ของงานประเภทนี้ ย่อมมี ความสัมพันธ์แก่กันและกันทุกขั้นตอน ดังนี้ ช่างหล่อจึงมักเป็นช่างปั้นอยู่ ในตัวเป็นขนบนิยม เช่นนี้มาแต่โบราณ -23-


ช่ช่ช่ า ช่ างหล่ล่ ล่ อ ล่ อ (Casting) งานหล่อ ที่เป็นงานของช่างในจำ พวกช่างสิบหมู่นี้ หมายถึงการสร้างงาน ประติมากรรม หรือ รูปปฎิมากรรม ให้มีขึ้นด้วยการหลอมโลหะ ให้ละลาย เป็นของเหลว แล้วเทกรอกเข้าไปในแม่พิมพ์ที่ได้จัดทำ ขึ้น บังคับให้โลหะ เหลวขังอยู่ในนั้น เมื่อโลหะคลายความร้อน และ คืนตัวแข็งดังเดิม ก็จะ เป็นรูปทรงตามแม่พิมพ์นั้น บังคับให้เป็นไป พอแกะ หรือ ทำ ลายแม่พิมพ์ ออกหมด ก็จะได้รูปโลหะหล่อ ตามรูปต้นแบบ หรือ รูปหุ่นที่ได้ทำ ขึ้นเป็น แบบก่อนที่จะถ่ายถอนทำ แม่พิมพ์ หรือ ทำ แม่พิมพ์ขึ้นหุ้มหุ่นนั้น การปั้นหุ่นหุ่สำ หรับปิดกระดาษเป็นหัวหั โขน เป็นงานช่าช่งประเภทหนึ่ง นึ่ ของช่าช่งไทยที่ รวมอยู่กัยู่บกัการปั้น -24-


ช่ช่ช่ า ช่ างปั้ปั้ปั้ น ปั้ น (Molding and Sculpting) ทำ งานด้าด้นการปั้นพระพุทธรูปเสียเป็นส่วนใหญ่ อาจใช้ดิช้นดิ เหนียนีวอย่าย่งเดียดีว ปั้นด้วด้ยดินดิแล้วล้ติดติกระดาษทับทัเพื่อรักษาเนื้อ นื้ ดินดิหรือแม้แม้ต่ปั้ต่ ปั้นด้วด้ยกระดาษโดยมีลมีวดตาข่าข่ยเป็นโครงภายใน งานปั้นแบบไทยประเพณี ที่บ ที่ รรดาช่าช่งปั้นแต่อต่ดีตดี ได้ สร้างสรรค์ขึ้ค์น ขึ้ ไว้นั้นนั้มีอมียู่ด้ยู่วด้ยกันกัหลายประเภท งานปั้น แต่ลต่ะ ประเภทยังยัประกอบการขึ้น ขึ้ เป็นงานปั้น ด้วด้ยวิธีการ และ กระบวนการต่าต่งๆ กัน -25-


ช่าช่งปั้น คือคืบุคบุคลประเภทหนึ่ง นึ่ ที่มี ที่ ทั้มีงทั้ฝีมือมืและ ความสามารถ เป็นช่าช่ง อาจกระทำ การประมวลวัสดุต่ดุาต่งๆ อาทิ ดินดิ ปูนปูขี้ผึ้ ขี้ ง ผึ้ อย่าย่งใดอย่าย่งหนึ่ง นึ่ มาประกอบเข้าข้ด้วด้ยกันกัสร้างเป็นรูปทรงที่มี ที่ มี ศิลปะลักลัษณะ พร้อมอยู่ในรูปวัตถุที่ถุไที่ ด้สด้ร้าง ขึ้น ขึ้ นั้นนั้ ได้เป็นอย่าย่ง ดี และ มีคุมีณคุค่าค่ ในทางศิลปกรรม งานปั้น และ ช่าช่งผู้ทำผู้ทำงานปั้นนี้ เมื่อ มื่ สมัยมั โบราณที่ล่ ที่ วล่งๆ ไปนั้นนั้ เรียกว่า “งานปั้น” และ “ช่าช่งปั้น” แต่ในปัจจุบันบั “งานปั้น” เปลี่ย ลี่ นไปเป็น “ประติมติากรรม” ซึ่ง ซึ่ มีนัมียนัว่า มาแต่คำต่คำภาษาบาลีว่ลีว่า ปฏิมฏิากมฺมมฺหรือในภาษาสันสกฤตว่า ปรฺติมติากรฺม ส่วนคำ ว่า “ช่าช่งปั้น” ก็ได้รัด้ รับความนิยนิม เรียกว่า “ประติมติากร” ช่าช่งปั้น อาจกล่าล่วได้ว่ด้ว่า เป็นช่าช่งที่มี ที่ คมีวามสำ คัญคัจัดอยู่ในลำ ดับดั รองถัดลงมาแต่ช่ต่าช่งเขียขีน ความสำ คัญคัของงานปั้น และ ช่าช่งปั้น จึงเป็นรองงานเขียขีน และ ช่าช่งเขียขีน กระนั้นนั้ก็ดี ก็ ดีช่าช่งปั้น และ งานปั้นก็ยังยัมีคมีวามสำ คัญคัหรือ มีอิมีอิทธิพล เหนือนืงานช่าช่งประเภท อื่นอยู่หยู่ลายประเภทด้วด้ยกัน ทั้งทั้นี้เ นี้ นื่อ นื่ งด้วด้ยงานช่าช่งบางประเภท ต้อต้งอาศัยวิธีการบางอย่าย่ง ของช่าช่งปั้นนำ ไปเป็นแบบ ดำ เนินนิ การทำ งานช่าช่งประเภทนั้นนั้ๆ ให้สำห้ สำเร็จลุล่ลุวล่งไปได้ ช่ช่ช่ า ช่ างปั้ปั้ปั้ น ปั้ น (Molding and Sculpting) -26-


ช่ช่ช่ า ช่ างปั้ปั้ปั้ น ปั้ น (Molding and Sculpting) งานปั้นอย่าย่งไทย หรือ งานปั้นแบบไทยประเพณี มักมัเป็นงานปั้น ที่มี ที่ รูมีรูปลักลัษณ์ โน้มน้ ไปในรูปแบบที่เ ที่ ป็นลักลัษณะ รูปประดิษดิฐ์ หรือ ที่ เรียกว่า ”อดุมดุคตินิติยนิม“ ตามคติคติวามเชื่อ ชื่ ในหมู่คมู่นส่วนมากแต่ อดีตดีเนื่อ นื่ งด้วด้ยเป็นงานศิลปกรรม ที่ไที่ ด้รัด้ รับการจัดให้มีห้ขึ้มีน ขึ้ สำ หรับ หน้าน้ที่ปที่ ระโยชน์ใน์ช้สช้อย และ สร้างเสริมความสำ คัญคัแก่ ถาวรวัตถุและถาวรสถานทั้งทั้ ใน ฝ่ายศาสนจักร และ ฝ่าย อาณาจักรซึ่ง ซึ่ มีคมีตินิติยนิมรูปแบบที่เ ที่ ป็นลักลัษณะ “บุคบุลาธิษฐาน” เป็นสำ คัญคั การปั้นตุ๊กตุ๊ตาต่าต่งๆ ช่าช่งปั้นควรจะมี ความรู้เกี่ย กี่ วกับกัการหล่อล่ด้วด้ย -27-


ช่ช่ช่ า ช่ างหุ่หุ่หุ่นหุ่ (Model Building) “หุ่นหุ่ ” ในที่นี้ ที่ คื นี้ อคื “ตัวตั ” หรือ “รูปร่าง” คือคืการประกอบสร้างรูปของคน สัตว์ หรือสิ่งของที่ต้ ที่ อต้งทำ เป็นรูปร่าง ดังดันั้นนั้ช่าช่งหล่อล่ช่าช่งปั้น และ ช่าช่งหุ่นหุ่จึงมีงมีานสัมพันธ์กันกัและอาจสร้างงานด้วด้ยคน ๆ เดียดีวกันกั -28-


ช่ช่ช่ า ช่ างหุ่หุ่หุ่นหุ่ (Model Building) หุ่นหุ่ ในงานศิลปะหมายถึงถึรูปร่าง ดังดันั้นนั้ช่าช่งในแขนงงานนี้คื นี้ อคืช่าช่งที่ สร้างสิ่งของเป็นตัวตัหรือรูปร่างขึ้น ขึ้ มา หมู่ขมู่องช่าช่งแขนงนี้ปนี้ ระกอบ ด้วด้ยงานไม้ งานไม้สูม้ สูง งานเลื่อ ลื่ ย งานบากไม้ การประกอบหุ่นหุ่ เป็นรูป คน สัตว์ หัวหั โขน และการเขียขีนลวดลายเพื่อให้หุ่ห้ หุ่นหุ่มีคมีวามสวยงาม งานของช่าช่งหุ่นหุ่ที่เ ที่ ป็นมาโดยขนบนิยนิม ในการศิลปกรรมแบบไทย ประเพณี อาจจำ แนกออกตามลักลัษณะของ งานช่าช่งหุ่นหุ่ ได้เป็น ๓ ลักลัษณะงานด้วด้ยกันกัคือคื 1.ช่าช่งหุ่นหุ่ต่อต่อย่าย่ง 2.ช่าช่งหุ่นหุ่รูป 3.ช่าช่งผูกผูหุ่นหุ่ 1. ช่าช่งหุ่นหุ่ต่อต่อย่าย่ง ช่าช่งหุ่นหุ่จำ พวกนี้ ทำ การช่าช่งในลักลัษณะการสร้างรูปลักลัษณ์ ด้วด้ย การนำ เอาวัตถุ เช่นช่ ไม้มม้าต่อต่กันกั ปรุงให้เป็น รูปขึ้น ขึ้ มีรูมีรูปลักลัษณะ และ อัตราส่วนที่ย่ ที่ อย่ลงมาอย่าย่งแน่นน่อน จากส่วนจริง ที่จ ที่ ะสร้างทำ เป็นของใหญ่ๆญ่ต่อต่ ไป หรือ ทำ เป็นหุ่นหุ่ที่มี ที่ ส่มีส่วนสัดกะขึ้น ขึ้ ไว้ โดย ประมาณที่จ ที่ ะนำ ไปไขส่วน หรือ ขยายส่วนเพื่อสร้างทำ เป็นของจริง ได้โดยไม่เกิดกิการผิดผิพลาด มีตัมีวตัอย่าย่ง เช่นช่ต่อต่อย่าย่งพระมหาธาตุ เจดีย์ดีย์พระสถูปถูเจดีย์ดีย์ต่อต่อย่าย่งพระอุโบสถ พระวิหาร พระมณฑป ต่อต่อย่าย่งบุษบุบก เป็นต้นต้หุ่นหุ่ที่ต่ ที่ อต่ เป็นอย่าย่งสิ่งต่าต่งๆ นี้อ นี้ าจทำ ด้วด้ย ดินดิเหนียนีวปั้น ทำ ขึ้น ขึ้ เป็นหุ่นหุ่แล้วล้ เผาไฟให้สุห้ สุกทำ เป็นแบบสำ หรับทำ จริง ก็มีก็หุ่มีหุ่นหุ่ดินดิปั้นเผาไฟเหล่าล่นี้ บางชิ้นชิ้ยังยัมีใมีห้เห็นห็ ได้ใน พิพิธภัณภัฑสถานหลายแห่งห่ -29-


ช่ช่ช่ า ช่ างหุ่หุ่หุ่นหุ่ (Model Building) 2. ช่าช่งหุ่นหุ่รูป “หุ่นหุ่รูป” เป็นภาษาเฉพาะของช่าช่งหุ่นหุ่ซึ่ง ซึ่ นอกจากคำ ว่า “หุ่นหุ่ ” จะ หมายถึงถึรูปแบบที่จำ ที่ จำลองจากของจริงต่าต่งๆ หรือรูปปั้น หรือ แกะ สลักลัที่ทำ ที่ ทำโกลนไว้เพื่อเป็นแบบชั่วชั่คราวแล้วล้คำ ว่าหุ่นหุ่ยังยัมีคมีวามหมาย โดยปริยายว่าการทำ ให้มีห้ ใมีห้เป็นขึ้น ขึ้ ช่าช่งหุ่นหุ่รูป หรือ หุ่นหุ่รูป จึงหมาย ถึงถึการทำ รูปให้มีห้ ใมีห้เป็นขึ้น ขึ้ การงานของช่าช่งหุ่นหุ่รูป คือคืการต่อต่หุ่นหุ่ เครื่องอุปโภคชนิดนิต่าต่งๆ สำ หรับนำ ไปตกแต่งต่หรือ ประดับดัด้วด้ยวัสดุ ต่าต่งๆ ให้สห้วยงามมี คุณคุค่าค่ต่อต่ ไป ในลักลัษณะงานประณีตณีศิลป ปรกติใติช้วัช้ วัสดุปดุระเภทหวาย ไม้รม้ ะกำ ไม้อุม้ อุโลก ไม้สม้มพง ไม้ไผ่ เป็นต้นต้นำ มาผูกผูขด หรือ ต่อต่กันกัขึ้น ขึ้ เป็นรูปโกลน โดยอาศัยกาวบ้าบ้ง ไม้กม้ลัดลับ้าบ้ง ผนึกนึหรือ เสียบตรึงให้ วัสดุที่ดุจ ที่ ะคุมคุกันกัขึ้น ขึ้ เป็นรูปทรงมั่นมั่คงอยู่ได้ งานหุ่นหุ่รูปโกลน ที่ทำ ที่ ทำขึ้น ขึ้ โดยวิธีหุ่นหุ่รูปนี้ มีตัมีวตัอย่าย่งเช่นช่หุ่นหุ่พานแว่น ฟ้า หุ่นหุ่ตะลุ่มลุ่หุ่นหุ่ เตียตีน หุ่นหุ่กะบะ เป็นต้นต้ หุ่นหุ่รูปโกลน ที่ไที่ ด้ทำด้ทำขึ้น ขึ้ นี้ยั นี้ งไม่เป็นชิ้นชิ้งานที่สำ ที่ สำเร็จสมบูรบูณ์ จะต้อต้งนำ ไปตกแต่งต่ด้วด้ยการถมสมุกมุทารักแล้วล้ เขียขีนลายปิดทองรดน้ำ บ้าบ้ง ประดับดักระจกบ้าบ้ง ประดับดัมุกมุบ้าบ้ง หรือ ปั้นลายด้วด้ยรักสมุกมุให้สำห้ สำเร็จ สมบูรบูณ์ และสวยงามต่อต่ ไปอีกทอดหนึ่ง นึ่ -30-


งานผูกผูหุ่นหุ่รูปภาพ งานผูกผูหุ่นหุ่ เขาจำ ลอง 3. ช่าช่งผูกผูหุ่นหุ่ ช่าช่งผูกผูหุ่นหุ่คือคืช่าช่งหุ่นหุ่ ประเภทที่ทำ ที่ ทำหน้าน้ที่ส ที่ ร้างสรรค์หุ่ค์หุ่นหุ่ต่าต่งๆ ที่มี ที่ มี ขนาดย่อย่ม และขนาดใหญ่ ด้วด้ยการใช้ไม้ไผ่ หวาย เป็นต้นต้นำ มาผ่าผ่ จักเกรียกออกเป็นชิ้นชิ้ๆ แล้วล้คุมคุกันกัขึ้น ขึ้ เป็นโครงร่าง ด้วด้ยวิธีผูกผูมัดมั ขัดขักันกัทำ ให้เป็นโครงรูปดังดัที่ต้ ที่ อต้งการแล้วล้จึงใช้ลำช้ลำแพนบ้าบ้ง กระดาษ บ้าบ้ง ผ้าผ้บ้าบ้ง ทุทัทุบทั โครงรูปที่ ได้ผูด้กผูขึ้น ขึ้ เป็นหุ่นหุ่นั้นนั้ ให้เป็นรูปทรงสมบูรบูณ์ ตามต้อต้งการ การงานของช่าช่งผูกผูหุ่นหุ่นี้ ที่เ ที่ ป็นงานโดยขนบนิยนิมแต่กต่าลก่อก่นมี ๒ ประเภท คือคื 1. 2. ช่ช่ช่ า ช่ างหุ่หุ่หุ่นหุ่ (Model Building) -31-


ช่ช่ช่ า ช่ างรัรั รั ก รั ก (Lacquering) ประกอบด้วด้ย ช่า ช่ งผสมรัก ลงรักพื้น ช่า ช่ งปิดทอง ช่า ช่ งประดับดั กระจก และช่า ช่ งมุกมุเพื่อการทำ ลวดลายประดับดัมุกมุ“รัก” คือคื ยางไม้ที่ม้ ไที่ ด้จด้ากต้นต้รักนั่นนั่เอง ซึ่ง ซึ่ สามารถนำ มาใช้งช้านทาง ศิลปกรรมได้ โดยเฉพาะงานปิดทองในการทำ “ลายรดน้ำ ” รัก แต่ล ต่ ะชนิดนิดังดัที่ไที่ ด้แด้นะทำ ให้ทห้ราบนี้ ล้วล้นมีที่มีม ที่ าจาก “รัก ดิบดิ ” อยู่ด้ ยู่ วด้ยกันกัทั้งทั้สิ้น รัก แต่ล ต่ ะชนิดนิจะมีคุมีณคุภาพ มากหรือ น้อน้ยก็ดี ก็ ดีนำ มาประกอบงานเครื่องรักแล้วล้จะได้งด้านที่ดี ที่ ดีมี ความคงทนถาวรเพียงใดนั้นนั้ขึ้น ขึ้ อยู่กั ยู่ บกัคุณคุสมบัติบั ติพื้นฐาน ของรักดิบดิที่ช่ ที่ า ช่ งรักรู้จักเลือลืกรักดิบดิที่มี ที่ คุมีณคุภาพดีมดีาใช้ -32-


ช่ช่ช่ า ช่ างรัรั รั ก รั ก (Lacquering) รักดิบดิคือคืยางรักสด ที่ไที่ ด้จด้ากการกรีด หรือ สับจากต้นต้รัก ลักลัษณะเป็นของเหลวสีขาว เมื่อ มื่ ทิ้งทิ้ไว้สักระยะหนึ่ง นึ่ จะ เปลี่ย ลี่ น เป็นสีน้ำ ตาล และ จะกลายเป็นสีน้ำ ตาลไหม้ รักดิบดินี้จ นี้ ะต้อต้ง ผ่า ผ่ นการกรองให้ปห้ราศจากสิ่งสกปรกปะปน และ จะต้อต้งได้ รับการขับขัน้ำ ที่เ ที่ จืออยู่ต ยู่ ามธรรมชาติใตินยาง ให้รห้ ะเหยออก ตามสมควรก่อ ก่ น จึงนำ ไปใช้ปช้ระกอบงานเครื่องรัก รักน้ำ เกลี้ย ลี้ ง คือคืรักดิบดิที่ผ่ ที่ า ผ่ นการกรอง และ ได้รัด้ รับการขับขัน้ำ เรียบร้อยแล้วล้ เป็นน้ำ ยางรักบริสุทธิ์ จึงเรียกว่า "รักน้ำ เกลี้ย ลี้ ง" เป็นวัสดุพื้ดุพื้ นฐาน ในการประกอบงานเครื่องรักชนิดนิ ต่า ต่ งๆ เช่น ช่ ผสมสมุกมุถมพื้นทาผิวผิ รักสมุกมุคือคืรักน้ำ เกลี้ย ลี้ งผสมกับกั “สมุกมุ” มีลัมีกลัษณะเป็น ของเหลวค่อ ค่ นข้าข้งข้นข้ ใช้สำช้ สำหรับอุดแนวทางลงพื้น และ ถม พื้น รักเกลี่ย ลี่ คือคืรักน้ำ เกลี้ย ลี้ งผสมกับกัสมุกมุถ่า ถ่ นใบตองแห้งห้ ป่น บางทีเทีรียกว่า “สมุกมุดิบดิ ” ใช้เฉพาะงาน อุดรูยาร่อง ยาแนว บนพื้นก่อ ก่ นทารัก สำ หรับปิดทองคำ เปลว รักเช็ด ช็ คือคืรักน้ำ เกลี้ย ลี้ ง นำ มาเคี่ย คี่ วบนไฟอ่อนๆ เพื่อไล่น้ำ ล่ น้ำ ให้รห้ ะเหยออกมากที่สุ ที่สุด จนได้เนื้อ นื้ รักข้นข้และเหนียนีว จัด สำ หรับใช้แช้ตะ ทา หรือ เช็ด ช็ ลงบนพื้นแต่บ ต่ างๆ เพื่อปิด ทองคำ เปลว หรือ ทำ ชักชัเงาผิวผิหน้าน้งานเครื่องรัก รักใส คือคืรักน้ำ เกลี้ย ลี้ งที่ผ่ ที่ า ผ่ นกรรมวิธีสกัดกั ให้สีห้ สีอ่อนจาง และ เนื้อ นื้ โปร่งใสกว่ารักน้ำ เกลี้ย ลี้ ง สำ หรับใช้ผช้สม สีต่า ต่ งๆ ให้เป็น รักสี 1. 2. 3. 4. 5. 6. -33-


ช่ช่ช่ า ช่ างบุบุ บุบุ (Metel Beating) “บุ”บุคือคืการตีแตีผ่ให้แห้บน ทั้งทั้เป็นแผ่นผ่ เรียบ ๆ และเป็นรูปร่างต่าต่ง ๆ ช่าช่งบุต้บุอต้งชำ นาญด้าด้นงานโลหะทุกทุชนิดนิเช่นช่ทองแดง เงินงินาก และ ทองคำ อุปกรณ์คืณ์อคืทั่งทั่และค้นค้ เหล็กล็ซึ่ง ซึ่ มีหมีลายขนาดและรูปร่างต่าต่ง กันกั ไป -34-


ช่ช่ช่ า ช่ างบุบุ บุบุ (Metel Beating) ช่าช่งบุ ที่เ ที่ ป็นช่าช่งหลวง อยู่ในจำ พวกช่าช่งสิบหมู่ มาแต่โบราณกาล คือคื ช่าช่งประเภทที่ทำ ที่ ทำการบุโบุลหะ ให้แห้ผ่อผ่อกเป็นแผ่นผ่บางๆ แล้วล้นำ ไปหุ้มหุ้ คลุมลุปิดเข้าข้กับกั “หุ่นหุ่ ”ชนิดนิต่าต่งๆ เพื่อปิดประดับดัทำ เป็นผิวผิภายนอก ของ “หุ่นหุ่ ” ที่ทำ ที่ ทำขึ้น ขึ้ ด้วด้ยวัตถุต่ถุาต่งๆ เช่นช่ ไม้ ปูนปูโลหะ หินหิเป็นต้นต้ ให้ เกิดกิความงาม มีคุมีณคุค่าค่และ ความคงทนถาวรอยู่ได้นด้านปี งานบุโบุลหะ ทำ ขึ้น ขึ้ สำ หรับหุ้มหุ้ห่อห่ ปิดคลุมลุหุ่นหุ่ชนิดนิต่าต่งๆ อาจทำ แก่สิ่ก่ สิ่งที่ เรียกว่าหุ่นหุ่ขนาดย่อย่มๆ ไปจนกระทั่งทั่ทำ แก่หุ่ก่ หุ่นหุ่ขนาดใหญ่มญ่าก ดังดั ตัวตัอย่าย่งงานบุใบุนแต่ลต่ะสมัยมัต่อต่ ไปนี้ เมื่อ มื่ สมัยมัสุโขทัยทัมีคมีวามในจารึกบนหลักลัศิลาบางหลักลัระบุเบุรื่อง การตี โลหะแผ่เป็นแผ่นผ่แล้วล้บุหุ้บุ หุ้มหุ้พระพุทธปฏิมฏิากรอยู่หยู่ลายความ หลาย แห่งห่ด้วด้ยกันกัเป็นต้นต้ว่า จารึกศิลาวัดช้าช้งล้อล้ม ระบุคบุวามว่า “…จึงมาเอาสร้อยทองแถวหนึ่ง นึ่ ตีโตีสมพอกพระเจ้า…” สมัยมัล้าล้นนา มีคมีวามว่า ต้อต้งการช่าช่งบุนี้บุบั นี้ นบัทึกทึเข้าข้ ไว้ในตำ นาน การ สถาปนาศาสนสถานสำ คัญคัมีคมีวามตอน หนึ่ง นึ่ ใน ชินชิกาลมาลีปลีกรณ์ ว่าด้วด้ยการบุโบุลหะหุ้มหุ้พระมหาเจดีย์ดีย์ณ วัดเจดีย์ดีหย์ลวง กลางเมือมืง เชียชีงใหม่ เมื่อ มื่ รัชกาล พระเจ้าติโติลกราช -35-


ช่ช่ช่ า ช่ างบุบุ บุบุ (Metel Beating) ต่อต่มาถึงถึสมัยมัอยุธยา พระพุทธปฏิมฏิากรจำ นวนไม่น้ม่อน้ย ที่ไที่ ด้รัด้ รับการ สถาปนาขึ้น ขึ้ ในช่วช่งสมัยมัอันยาวนาน ถึงถึ๔๐๐ ปี ก็ไก็ด้รัด้ รับความนิยนิม ใช้ โลหะมีค่มีาค่หุ้มหุ้ห่อห่หุ้มหุ้องค์พค์ระให้สห้วยงาม และมีคุมีณคุค่าค่ เพิ่มขึ้น ขึ้ พระพุทธปฏิมฏิากรสำ คัญคัองค์หค์นึ่ง นึ่ ได้รัด้ รับการบุด้บุวด้ยทองคำ คือคื พระพุทธปฏิมฏิาพระศรีสรรเพชญ์ ครั้นมาถึงถึสมัยมัรัตนโกสินทร์ การช่าช่งบุ ยังยั ได้รัด้ รับการผดุงดุรักษาให้มีห้ มี อยู่ต่ยู่อต่มาในหมู่ช่มู่าช่งหลวง จำ พวกช่าช่งสิบหมู่ ได้ทำด้ทำการบุโบุลหะ เป็น เครื่องประดับดัตกแต่งต่ต่าต่งๆ เช่นช่บุโบุลหะประดับดัฐานเบญจา บุทำบุทำพระ ลองประกอบพระโกศ บุธบุารพระกร บุฝับุฝักพระแสง ฝักดาบ และมีงมีาน บุโบุลหะชิ้นชิ้สำ คัญคั ยิ่งยิ่ชิ้นชิ้หนึ่ง นึ่ คือคืบุษบุบกที่ปที่ ระดิษดิฐานพระพุทธมหามณี รัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เป็นบุษบุบกที่ทำ ที่ ทำโครงสร้าง ด้วด้ยไม้ แล้วล้บุหุ้บุ หุ้มหุ้ด้วด้ยทองคำ ทั้งทั้องค์ ในจดหมายเหตุกตุารปฏิสัฏิสังขรณ์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อ มื่ รัชกาลพระบาทสมเด็จด็พระนั่งนั่เกล้าล้ เจ้าอยู่หัยู่วหัมีคมีวามบอกลักลัษณะบุษบุบก ไว้ว่า “…และพระมหาบุษบุบกนั้นนั้ย่อย่ เหลี่ย ลี่ มไม้สิม้ สิบสอง สูงแปดศอกคืบคืแผ่ สุวรรณธรรมชาติ หุ้มหุ้คงแต่เชิงชิฐานปัทมขึ้น ขึ้ ไปถึงถึสุดยอด” -36-


ช่ช่ช่ า ช่ างปูปู ปู น ปู น (Plastering) งานปูนปูจะมีทั้งทั้งานซ่อซ่มและสร้าง แบ่งบ่ เป็น หมู่ปูมู่นปูก่อก่ เป็น เพียงการเรียงอิฐ ไม่ต้ม่อต้งประณีตณีหมู่ปูมู่นปูฉาบ คือคืการตกแต่งต่ อิฐที่ก่อก่ ให้เรียบงาม และหมู่ปูมู่นปูปั้น หมู่นี้มู่จ นี้ ะสร้างงานให้มีห้คมีวาม งดงามทางศิลปะ ลายปูนปูปั้นต้อต้งทำ ตอนปูนปูยังยั ไม่แม่ข็ง ข็ ตัวตั ลักลัษณะงานของช่าช่งปูนปูจะมีทั้มีงทั้งานซ่อซ่มและงานสร้างช่าช่งปูนปู จะแบ่งบ่ออกเป็น พวกปูนปูก่อก่พวกปูนปูฉาบ และพวกปูนปูปั้นซึ่ง ซึ่ พวกหลังลัสุดคือคืพวกปูนปูปั้นนี้จ นี้ ะต้อต้งมีคมีวามประณีตณีเป็นพิเศษ กับกัจะต้อต้งมีความคิดคิสร้างสรรค์จึค์ จึงจะสามารถผลิตลิผลงาน ออกมางดงามและคงทน ช่าช่งที่ร ที่ วมอยู่ในหมู่ช่มู่าช่งปูนปูนี้จ นี้ ะ ประกอบไปด้วด้ย ช่าช่งปั้น ช่าช่งปูนปูก่อก่ช่าช่งปูนปูฉาบ และช่าช่งปูนปู -37-


ช่ช่ช่ า ช่ างมุมุ มุ ก มุ ก การช่าช่งเก่าก่แก่ขก่องไทยประเภทหนึ่ง นึ่ ที่มี ที่ มมีาตั้งตั้แต่สต่มัยมัอยุธยุยา การประดับดัมุกจะต้อต้งใช้เปลือลืกมุกมุฉลุเลุป็นลวดลาย แล้วล้ ประดับดัลงบนสิ่งต่าต่งๆ โดยมีรัมีรักเป็นพื้น เช่นช่การประดับดัมุกมุ บนบานประตูปตูราสาท บานประตูแตูละบานหน้าน้ต่าต่งโบสถ์ วิหาร จนถึงถึการประดับดัมุกลงบนสิ่งของเครื่องใช้ต่ช้าต่งๆ เช่นช่ ประดับดั มุกบนเตียตีบสำ หรับใส่อาหารของพระภิกภิษุ การประดับดัมุกมุลง บนพาน เครื่องดนตรี โต๊ะ ต๊ เก้าก้อี้ ฐานตู้พตู้ระธรรมประดับดัมุกมุในพระมณฑปวัดพระศรีรัตนศาสดาราม -38-


การช่ช่ช่ า ช่ างเบ็บ็ บ็ ด บ็ ดเตล็ล็ ล็ ด ล็ ด ได้แด้ก่ การช่าช่งประเภทต่าต่งๆ ที่เ ที่ คยปรากฏเป็นกรมช่าช่งในสมัยมั โบราณ เป็นการช่าช่งสำ หรับสร้างสิ่งของเครื่องใช้ ที่เ ที่ กี่ย กี่ ว เนื่องกับกัพระมหากษัตริย์ และพระพุทธศาสนาในอดีตดีมากมาย หลายประเภท ที่สูญหายไปก็ม ก็ าก เพราะหมดความจำ เป็นใน การใช้สช้อย เช่นช่ ช่าช่งกระเบื้อ บื้ ง การช่าช่งเกี่ย กี่ วกับกัการทำ เครื่องเคลือลืบดินดิเผา โดยเฉพาะการทำ กระเบื้อ บื้ งของหลวง สำ หรับมุงมุหลังลัคา ปราสาทราชวัง วัดวาอาราม กระเบื้อ บื้ งมุงมุหลังลัคาปราสาทพระราชวังหรือวัด เป็นงานช่าช่งที่ ต้อต้งอาศัยฝีมือมืของช่าช่งกระเบื้อ บื้ ง โดยเคลือลืบให้เป็นสีต่าต่งๆ -39-


การช่ช่ช่ า ช่ างเบ็บ็ บ็ ด บ็ ดเตล็ล็ ล็ ด ล็ ด ช่าช่งกระดาษ การช่าช่งเกี่ย กี่ วกับกัการฉลักลัหรือฉลุกลุระดาษ เพื่อใช้ ประดับดัพลับลัพลา หรือพระเมรุของพระมหากษัตริย์ และพระ ราชวงศ์ ช่าช่งดอกไม้เพลิงลิการช่าช่งเกี่ย กี่ วกับกัการประดิษดิฐ์พลุ ดอกไม้ เพลิงลิต่าต่งๆ สำ หรับใช้ในงานพระราชพิธี นอกจากนี้ยังยัมีการช่าช่งอื่นๆ อีก เช่นช่ช่าช่งดีบุดีกบุช่าช่งทอง ช่าช่ง สนะ (ช่าช่งทำ เสื้อผ้าผ้ เครื่องนุ่งนุ่ห่มห่ ) การช่าช่งเหล่าล่นี้ ได้สูด้ สูญหาย ไปแล้วล้ เป็นส่วนใหญ่ การช่าช่งของไทยที่เกิดกิขึ้น ขึ้ ในอดีตดีแล้วล้พัฒนาเปลี่ย ลี่ นแปลง เรื่อยมาตามสภาพสังคม ขนบประเพณี และวัฒนธรรม แต่ลต่ะ ยุคยุแต่ลต่ะสมัย การช่าช่งเหล่าล่นี้เ นี้ป็นมรดกทางภูมิภูปัมิปัญญาของ ช่าช่งไทย ที่เกิดกิขึ้น ขึ้ บนผืนผืแผ่นผ่ดินดิ ไทยเป็นพื้นฐานของการช่าช่ง ไทย การช่าช่งบางประเภท ยังยัคงสืบทอดกันกัมาจนปัจจุบันบั แสดงให้เห็น ห็ มรดกทางภูมิภูปัมิปัญญาของช่าช่งไทยได้เป็นอย่าย่งดี นอกจากการช่าช่งของไทยแล้วล้ถิ่นถิ่ที่อ ที่ ยู่ขยู่องช่าช่ง คือคื "หมู่บ้มู่าบ้น ช่าช่ง" ก็เ ก็ป็นสิ่งที่น่าน่สนใจ หมู่บ้มู่าบ้นช่าช่ง มีทั้งทั้ในชนบท และในเมือมืงหลวง โดยเฉพาะใน กรุงเทพมหานครสมัยโบราณนั้นนั้เป็นศูนย์กย์ลางในการผลิตลิ หัตหัถกรรมหลายสิ่งหลายอย่าย่ง และมักมัทำ รวมๆ กันกัอยู่เป็น ย่าย่นๆ ดังดัที่ปรากฏชื่อ ชื่ ย่าย่นหรือหมู่บ้มู่าบ้น ที่ทำ ที่ ทำงานช่าช่งหัตหัถกรรม อยู่ จนทุกวันนี้หลายแห่งห่ -40-


การช่ช่ช่ า ช่ างเบ็บ็ บ็ ด บ็ ดเตล็ล็ ล็ ด ล็ ด บ้าบ้นหม้อม้ อยู่ในเขตพระนคร แขวงพระบรมมหาราชวัง แต่เดิมดิคงเป็น หมู่บ้มู่าบ้นผลิตลิหรือขายเครื่องปั้นดินดิเผา ประเภทหม้อม้ข้าข้วหม้อม้ แกง ดินดิเผา โอ่ง อ่าง กระถาง และภาชนะดินดิเผาต่าต่งๆ ทุกทุวัน นี้ไม่มี ม่จำ หน่าน่ยเครื่องปั้นดินดิเผาแล้วล้แต่ชื่ต่อ ชื่ บ้าบ้นหม้อม้ยังยัคง เรียกขานกันกัอยู่ บ้าบ้นหม้อม้ เขตพระนคร เดิมดิเป็นหมู่บ้มู่าบ้นผลิตลิหรือขาย เครื่องปั้นดินดิเผา ปัจจุบันบัยังยัคงเรียกชื่อ ชื่ นี้อ นี้ ยู่ แม้จม้ ะไม่มีม่กมีารขายหม้อม้ข้าข้วหม้อม้แกงแล้วล้ก็ตก็าม บ้าบ้นบาตร อยู่ในเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แขวงสำ ราญราษฎร์ ใกล้กัล้บกัวัดสระเกศ เป็นย่าย่นที่ทำ ที่ ทำ บาตรพระมาแต่โบราณ ทุกทุวันนี้ก็ นี้ ยัก็งยัมีทำมีทำอยู่บ้ยู่าบ้ง เป็นหมู่บ้มู่าบ้นการช่าช่งที่เ ที่ ก่าก่แก่โบราณ มากแห่งห่หนึ่ง นึ่ ขั้นขั้ตอนการทำ บาตร : วิธีการเป่าเล่นล่ เพื่อเชื่อ ชื่ มตะเข็บข็ -41-


บ้าบ้นตีทตีอง อยู่แยู่ถวถนนตีทตีอง เขตพระนคร แขวงเสาชิงชิช้าช้ เป็นย่าย่นที่ตี ที่ ทตีองคำ ให้เป็น ทองคำ เปลว เพื่อใช้ปิช้ปิดพระพุทธรูป ปิดหน้าน้บันบั โบสถ์ วิหาร ใช้ทำช้ทำลายรดน้ำ ลายทอง และงานช่าช่งศิลป์อื่นๆ ปัจจุบันบัยังยัมีกมีารตีทตีองอยู่บ้ยู่าบ้งในบริเวณหน้าน้ วัด และหลังลัวัดบวรนิเนิวศวิหาร แผ่นผ่ทองคำ เปลว นำ มาใช้ปิช้ปิดพระพุทธรูป ปิดหน้าน้บันบั โบสถ์ วิหาร ฯลฯ การช่ช่ช่ า ช่ างเบ็บ็ บ็ ด บ็ ดเตล็ล็ ล็ ด ล็ ด บ้าบ้นครัว เป็นหมู่บ้มู่าบ้นแขกจามที่อ ที่ พยพ เข้าข้มาในสมัยมัต้นต้กรุงรัตนโกสินทร์ และตั้งตั้ถิ่นถิ่ฐานอยู่ ริมคลองมหานาค และคลองแสนแสบ ปัจจุบันบัอยู่กัยู่นกัเป็นชุมชุชนใหญ่ปญ่ระมาณ ๖๐๐ ครอบครัว แต่เดิมดิชาวบ้าบ้นครัวมีคมีวามสามารถในการทอผ้าผ้ ไหมได้งด้ดงาม เป็นที่รู้ ที่รู้จักกันกัดี เช่นช่ผ้าผ้ขาวม้าม้ผ้าผ้ โสร่ง ปัจจุบันบัการทอผ้าผ้ ไหมที่บ้ ที่ าบ้นครัวยังยัมีทมีออยู่ บ้าบ้ง แต่ไม่มม่ากเหมือมืนสมัยมัก่อก่น ชาวบ้าบ้นใน "บ้าบ้นครัว" ริมคลองมหานาค และคลองแสนแสบ มีคมีวามสามารถในการ ทอผ้าผ้ ไหมได้งด้ดงามปัจจุบันบัยังยัมีทมีออยู่บ้ยู่าบ้ง แต่ไม่มม่ากเหมือมืนสมัยมัก่อก่น -42-


บ้าบ้นพานถม อยู่ในเขตพระนคร แขวง บ้าบ้นพานถม ในสมัยมั โบราณเป็น แหล่งล่ ทำ เครื่องโลหะ และเครื่องถมที่สำ ที่ สำคัญคัแห่งห่หนึ่ง นึ่ บ้าบ้นลานทอง อยู่ในเขตพระนคร แขวงบางขุนขุพรหม เป็นย่าย่นที่เ ที่ คยทำ ใบ ลานสำ หรับใช้จช้าร หรือเขียขีนคัมคัภีร์ภีร์ที่พ ที่ ระใช้เทศน์ ทุกทุวันนี้ยั นี้ งยัมี ทำ อยู่บ้ยู่าบ้ง บ้าบ้นช่าช่งหล่อล่ ปัจจุบันบัเป็นแขวงบ้าบ้นช่าช่งหล่อล่ เขตบางกอกน้อน้ย เป็นแหล่งล่ ปั้นและหล่อล่พระพุทธรูปมาแต่โบราณ ทุกทุวันนี้ ยังยัมีกมีารปั้น และหล่อล่พระพุทธรูป และรูปประติมติากรรมต่าต่งๆ ด้วด้ยทอง เหลือลืง และสำ ริดกันกัอยู่หยู่ลายบ้าบ้น บ้าบ้นขันขับุแบุละบ้าบ้นพาน เดิมดิอยู่ปยู่ากคลอง บางกอกน้อน้ย เป็นแหล่งล่ทำ ขันขัและพานโลหะ เช่นช่ขันขัทองเหลือลืง ด้วด้ยวิธีการบุ จึงเรียกว่า บ้าบ้นบุ หรือบ้าบ้น ขันขับุ ปัจจุบันบั ไม่มี ม่ ทำ แล้วล้ การช่ช่ช่ า ช่ างเบ็บ็ บ็ ด บ็ ดเตล็ล็ ล็ ด ล็ ด -43-


บรรณานุนุ นุ ก นุ กรม https://www.silpa-mag.com/art/article_96093 http://www.changsipmu.com/carving_p01.html http://www.thaigoodview.com/node/89414 http://www.changsipmu.com/engraving_p01.html https://apnhardware.co.th http://www.kanchanapisake-nfe.ac.th/th/traditional-thai-crafts/casting http://www.kanchanapisake-nfe.ac.th/th/traditional-thai-crafts/sculptingand-stucco-works http://www.kanchanapisake-nfe.ac.th/th/traditional-thai-crafts/modelling http://kanchanapisake-nfe.ac.th/th/traditional-thai-crafts/lacquering http://www.kanchanapisake-nfe.ac.th/th/traditional-thai-crafts/sheetmetal-and-repousse-decorated-work https://saranukromthai.or.th/sub/book/book.php? book=16&chap=8&page=t16-8-l3.htm -44-


Click to View FlipBook Version