เอกสารประกอบการอบรม
การอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารหลกั สตู ร “เทคนิคการพฒั นาสมรรถนะการอานขั้นสูง”
สำหรับครูผูส อนภาษาไทย ระดบั มัธยมศกึ ษา
ศูนยพัฒนากลมุ สาระการเรยี นรภู าษาไทยจังหวดั พะเยา
สำนักงานเขตพนื้ ที่การศกึ ษามธั ยมศกึ ษาพะเยา
สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
คำนำ
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไดใหความสำคัญกับการพัฒนาการเรียน
การสอนภาษาไทยมาอยางตอเนื่อง ดวยภาษาไทยเปนเอกลักษณของชาติ เปนสมบัติทางวัฒนธรรม
เปนเครื่องมือในการติดตอสื่อสาร เพื่อสรางความเขาใจและความสัมพันธที่ดีตอกัน รวมทั้งเปน
เครื่องมือในการแสวงหาความรู ประสบการณ รวมทั้งเปนสื่อ แสดงภูมิปญญาของบรรพบุรุษไทย
ซึ่งควรคาแกการเรียนรู อนุรักษ และสืบสานใหคงอยูตอไป ตลอดระยะเวลาหลายปที่ผานมา
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในฐานะที่เปนหนวยงานหลักในการจัดการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน ไดดำเนินการขับเคลื่อน การพัฒนาการเรียนการสอนภาษาไทยอยางจริงจังและตอเนื่อง
เพื่อมุงเนนใหผูเรียนมีความรูความสามารถในเรื่องของการอาน เพื่อการสื่อสารทั้งในระดับของ
การอานออกไปจนถึงการอานเชิงวิเคราะหวิจารณอยางมีเหตุผลและสรางสรรค โดยเฉพาะการอาน
และการวิเคราะหงานเขียนประเภทตาง ๆ จากท้ังสื่อสิ่งพิมพ และส่ืออิเล็กทรอนิกส ซึ่งนับเปนปจจัย
ที่มีความสำคัญยิ่ง ตอความสำเร็จในการเรียน การศึกษาตอ และการประกอบอาชีพ และยังเปน
ปจจัยสำคัญท่ีจะชวยใหทุกคนสามารถดำรงชีวิต อยูในโลกปจจุบันและอนาคตไดอยางรูเทาทัน และ
สามารถพัฒนาตนเองไดเต็มศักยภาพ สามารถมีสวนรวมและเปนสมาชิก ในสังคมแหงการเรียนรูได
อยางสมบูรณและนําไปสูการขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจของตนเอง ของชุมชน ของประเทศ
และของโลกโดยรวมไดอยางมีประสิทธิภาพ
เอกสารประกอบการอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตร “เทคนิคการพัฒนาสมรรถนะการอาน
ขั้นสูง” สำหรับครูผูสอนภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษา ประกอบดวย เทคนิคบันได ๖ ขั้น สูการอาน
จับใจความสำคัญ เทคนิควิเคราะหขอสอบการอานของ ONET เทคนิควิเคราะหขอสอบการอาน
ของ PISA การนำเทคนิคบันได ๖ ขั้นสูหองเรียน และการประยุกตใชแอปพลิเคชันในการ
จัดกิจกรรมการอานจับใจความสำคัญ
ในโอกาสนี้ ขอขอบคุณสถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (สสวท.)
สถาบันทดสอบทางการศึกษาแหงชาติ (องคการมหาชน) ที่กรุณามอบขอสอบสำหรับนำมาใช
ประกอบการพัฒนาสมรรถนะการอานขั้นสูง และคณะผูจัดทํา ทุกทานที่มีสวนชวยใหเอกสารชุดนี้
สำเร็จไดตามวัตถุประสงคตอไป
ศูนยพัฒนากลมุ สาระการเรียนรภู าษาไทยจงั หวดั พะเยา
สำนักงานเขตพืน้ ที่การศกึ ษามธั ยมศึกษาพะเยา
สารบญั หนา
เรื่อง ก
ข
คำนำ ๑
สารบัญ ๒๕
เทคนิคบนั ได ๖ ข้นั สูการอานจบั ใจความสำคญั ๒๙
เทคนิควิเคราะหขอสอบการอานของ PISA ๔๒
การนำเทคนิคบนั ได ๖ ขนั้ สหู องเรยี น
การประยุกตใชแอปพลิเคชนั ในการจดั กจิ กรรมการอา นจับใจความสำคญั
๑
การจบั ใจความสำคญั ตามเทคนคิ บนั ได ๖ ขนั้
บรรยายใหแ้ กค่ รผู สู้ อนวิชาภาษาไทย สงั กัดสำนกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษามัธยมศึกษาพะเยา จงั หวัดพะเยา
ณ โรงเรียนดงเจนวิทยาคม อำเภอภูกามยาว จังหวัดพะเยา
วันพธุ ที่ ๑๙ - วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๕
เสกสนั ต์ ผลวัฒนะ
สาขาวชิ าภาษาไทย คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์
การจับใจความสำคัญเป็นทักษะพื้นฐานที่ผู้เรียนจำเป็นต้องมีเพื่อที่จะสามารถรับสารผ่านการอ่านหรือ
การฟังได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องตรงประเด็น นอกจากนี้การจับใจความสำคัญได้อย่างแม่นยำยังช่วยให้ผู้รับสาร
สามารถใช้ทักษะทางภาษาขั้นสูงยิ่งขึ้น กล่าวคือ สามารถนำใจความสำคัญจากสิ่งที่ได้อ่านหรือสิ่งที่ได้ฟังมา
วิเคราะห์ ตีความ ประเมินค่า และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ การจับใจความสำคัญจึงเป็นสิ่งสำคัญท่ี ผู้เรียน
ควรศกึ ษาและหมัน่ ฝึกฝนให้เกิดความชำนาญเพอ่ื ประโยชนใ์ นการศึกษาและการทำงานอื่น ๆ ตอ่ ไป
๑. ความรูเ้ บือ้ งต้นเกย่ี วกบั การอา่ น
๑.๑ การอ่าน คอื การถอดรหสั จากตัวหนังสอื และรูปมาเปน็ ความหมาย
๑.๒ การรจู้ กั ความหมายของคำ
การอ่านจะเริ่มจากผู้อ่านต้องรู้ความหมายของคำในภาษาที่อ่าน และในกรณีที่เป็นการอ่าน
ออกเสียง ผอู้ ่านก็ต้องสามารถแปลสัญลกั ษณ์ตวั อักษรกลับเป็นเสียงได้
การอ่านข้อความที่มีขนาดยาว ยิ่งผู้อ่านรู้ความหมายของคำก็จะทำให้เข้าใจเรื่องได้มากยิ่งขึ้น
อยา่ งไรก็ตาม แมจ้ ะมีบางคำทผี่ ู้อ่านอาจไมร่ ู้ความหมายมาก่อน แต่ก็สามารถพิจารณาความหมายของคำแวดล้อม
ในบรบิ ท (คำ ข้อความ หรอื สถานการณแ์ วดล้อมเพื่อช่วยให้เขา้ ใจความหมายของภาษาหรือของถ้อยคำ) ประกอบ
เพ่ือชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจความหมายของขอ้ ความได้
๑.๓ ความหมายของคำ
๑.๓.๑ คำที่มีความหมายโดยตรง หรือความหมายประจำคำ หมายถึง คำที่มีความหมายตรง
ตามเน้ือความ เป็นคำทม่ี คี วามหมายประจำคำตามพจนานกุ รม ซงึ่ เป็นความหมายทีค่ นสว่ นใหญเ่ ขา้ ใจตรงกัน เช่น
เต่า (ความหมายโดยตรง) พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๔ ให้ความหมายว่า
“ช่อื สัตวเ์ ล้ือยคลานหลายวงศ์ ในอนั ดับ Testudines คอยาว ลำตวั ส้ัน มีกระดองหมุ้ กระดองมที ั้งทเี่ ป็นแผ่นเกล็ด
แข็งและที่เป็นแผ่นหนัง ขาและหางสั้นส่วนใหญ่หดเข้าไปในกระดองได้ มีถิ่นอาศัยต่าง ๆ กัน ที่อยู่บนบก เช่น
เต่าเหลือง ที่อยู่ในนํ้าจืด เช่น เต่านา ที่อยู่ในทะเล เช่น เต่าตนุ พวกที่มีหนังหุ้มกระดองเรียก ตะพาบ เช่น
ตะพาบสวน”
๑.๓.๒ คำที่มีความหมายโดยนัย หมายถึง คำที่มีความหมายซ่อนเรน้ อยู่ในความหมายโดยตรง
เป็นความหมายของคำที่ทำให้นึกถึงสิ่งอื่น ๆ ต้องอาศัยประสบการณ์ของผู้ใช้ภาษาหรือบริบทของคำจึงจะเข้าใจ
๒
เช่น เต่า (ความหมายโดยนัย) พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๔ ให้ความหมายว่า
“โดยปรยิ ายหมายความว่า โง่ หรือ เช่อื งช้า”
เต่าที่เลีย้ งไว้ในสระชอบกนิ ผักบุง้
เธอนเี่ ตา่ จริง ๆ ปา่ นนย้ี งั ทำงานไม่เสร็จอกี หรือ
แบบฝึกหดั
๑. คำทขี่ ีดเส้นใต้ในข้อใดมคี วามหมายโดยนัย (O-NET ม.๓)
๑) เสอื้ เกา่ ตวั นี้เอาไปทำผ้าขี้รว้ิ ได้แล้ว
๒) เขาเคยเป็นเศรษฐแี ตต่ อนนีก้ ลายเปน็ หมาขเ้ี รอื้ น
๓) สมัยโบราณใช้ขเ้ี ลือ่ ยกลบนำ้ แขง็ ช่วยใหล้ ะลายช้า
๔) วนั น้ีเวรเธอทำความสะอาด ดเู ร่ืองขีผ้ งตรงซอกต้ดู ว้ ยนะ
๒. โคลงสีส่ ภุ าพต่อไปนบ้ี าทใดมีคำทม่ี คี วามหมายโดยนัย (O-NET ม.๓)
เพ่ือนกินส้นิ ทรัพยแ์ ล้ว แหนงหนี
หาง่ายหลายหม่นื มี มากได้
เพ่ือนตายถา่ ยแทนชี- วาอาตม์
หายากฝากผไี ข้ ยากแทจ้ ักหาฯ
๑) บาทที่ ๑ - ๒ - ๓ ๒) บาทท่ี ๒ - ๓ - ๔
๓) บาทท่ี ๑ - ๓ - ๔ ๔) บาทที่ ๒ - ๔ – ๑
๓. จากขอ้ ความตอ่ ไปนี้ “การสรา้ งสรรค”์ มคี วามหมายตรงกับขอ้ ใด (วชิ าสามญั ม.๖)
“การสร้างสรรค์”เป็นการสร้างให้มีเพิ่มข้ึน มักจะตรงข้ามกับการทำลาย การผลิตในทางเศรษฐกิจโดย
ปกติจะเกิดการทำลายพร้อมไปดว้ ย เชน่ ทำลายทรพั ยากรธรรมชาติ กระบวนการผลิตบางครั้งปล่อยของเสียไปใน
อากาศ หรือลงไปในดินในน้ำ เป็นต้น การผลิตต้องทำด้วยความรอบคอบเพื่อก่อให้เกิดสิ่งที่ดีงาม ทำให้เกิด
ประโยชนส์ ขุ และทำให้ชีวิตมนุษย์ดีขึ้น สังคมดีขึ้น จงึ จะนบั เปน็ การสร้างสรรค์
๑) การทำสงิ่ ใหมใ่ หเ้ กิดผลดี
๒) การทำให้สง่ิ ใดสง่ิ หน่ึงปรากฏขึ้น
๓) การผลติ ทไ่ี ม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
๔) การใช้ทรัพยากรโดยไม่ให้เกดิ ผลเสีย
๕) การใช้ความร้ใู นการผลติ ทางเศรษฐกิจ
๓
๒. ลักษณะของขอ้ ความในแต่ละยอ่ หนา้
ธรรมชาติของการเขียนนั้น การนำเสนอความคิดหรือความรู้ในงานเขียนมักปรากฏในรูปแบบย่อหน้า
หลายยอ่ หนา้ ที่มีเน้ือความต่อเนื่องกัน ผูเ้ รยี นจงึ ควรทราบก่อนว่า ในหนง่ึ ยอ่ หน้าน้นั มีองค์ประกอบลักษณะใดบ้าง
เพอื่ จะช่วยใหห้ าใจความสำคัญของแต่ละยอ่ หนา้ ไดง้ า่ ยขึ้น
ในย่อหน้าหนึ่งนั้นจะมีลักษณะข้อความที่แตกต่างกัน อาจแบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะใหญ่ ๆ คือ ใจความ
สำคัญและสว่ นขยายใจความสำคญั
๒.๑ ใจความสำคัญหรือความคิดหลัก (main idea) คือ ข้อความที่เป็นแก่นของเนื้อหาที่มีสาระ
ครอบคลุมเนื้อความอื่น ๆ ในย่อหน้าหรือในเรื่องนั้น ๆ ใจความสำคัญนี้อาจปรากฏเป็นประโยคเรียกว่า ประโยค
ใจความสำคัญ สามารถเห็นได้ชัดเจนที่ต้นย่อหน้า หรือท้ายย่อหน้า หรือกลางย่อหน้า หรือปรากฏที่ต้นและท้าย
ยอ่ หน้า หรืออาจไมป่ รากฏประโยคใจความสำคัญใหเ้ ห็นชัดเจนแตแ่ ฝงอย่ใู นเน้ือความ
๒.๒ ส่วนขยายใจความสำคัญหรือพลความ อาจแบ่งได้เปน็ ๒ ประเภท คือ
๒.๒.๑ ใจความรองหรอื ความคิดรอง (major supporting details) คือ ข้อความที่เปน็ ส่วน
ขยายหรือสนับสนุนใจความสำคัญเพื่อให้เกิดความกระจ่าง ทำให้เกิดความสมเหตุสมผล ทำให้ใจความสำคัญ
ชัดเจนข้ึน
๒.๒.๒ รายละเอียด (minor supporting details) คือ ข้อความที่เป็นส่วนขยายใจความรอง
หรือใจความสำคัญใหช้ ดั เจนย่งิ ขน้ึ รายละเอียดนัน้ อาจเปน็ การยกตัวอยา่ ง การเปรียบเทยี บ สถติ ติ วั เลข การอา้ งอิง
คำกล่าวของบุคคล และรายละเอยี ดอ่นื ๆ ท่ีเสริมความเขา้ มา
ตัวอยา่ ง
(๑) พธิ ีกรรมส่วนชมุ ชนหรือสงั คม หมายถงึ พธิ กี รรมท่ชี มุ ชนหรอื สังคมร่วมกันจัดขึ้นหรอื จัดขน้ึ เพื่อชุมชน
หรอื สว่ นรวมระดับตา่ ง ๆ (๒) ถ้าเป็นระดบั หม่บู ้านหรือระดับท้องถ่ินหรือภายในชุมชนหรือในวัดก็มักเป็นพิธีกรรม
ที่ชาวบ้านร่วมกันจัดขึ้นหรือเรียกว่าพิธีราษฎร์ มีอยู่ทั่วไป (๓) เช่น พิธีขอฝน พิธีเซิ้งบ้องไฟ พิธีเลี้ยงผีปู่ย่า
พิธีเลี้ยงผีขุนน้ำ พิธีกองข้าว พิธีลาซัง เป็นต้น (๔) ถ้าจัดขึ้นในระดับประเทศหรือเป็นหน้าที่ราชการที่ต้องจัดขึ้น
เรียกวา่ พธิ ีหลวงหรือพระราชพิธี (๕) เชน่ พระราชพิธพี ชื มงคลจรดพระนังคลั แรกนาขวัญ พระราชพิธีพิรุณศาสตร์
พระราชพิธไี ลเ่ รือ เปน็ ตน้
(คัดจาก “พธิ ีกรรมเกี่ยวกับขา้ วและการทำนา มรดกมนษุ ยชาติทีค่ วรเสนอไวใ้ นพิพธิ ภณั ฑ”์
ของ เอีย่ ม ทองดี วารสารภาษาและวัฒนธรรม กรกฎาคม - ธนั วาคม ๒๕๓๕)
จากตัวอยา่ งขา้ งตน้ ใจความสำคญั ของยอ่ หนา้ นี้คือ ประโยคหมายเลข (๑) “พิธกี รรมส่วนชมุ ชนหรือสังคม
หมายถึง พิธีกรรมที่ชุมชนหรือสังคมร่วมกันจัดขึ้นหรือจัดขึ้นเพื่อชุมชนหรือส่วนรวมระดับต่าง ๆ” เนื่องจาก
ครอบคลุมสาระทั้งหมดของย่อหน้าที่ผู้เขียนกล่าวถึงความหมายของพิธีกรรมส่วนชุมชนหรือสังคม จึงเป็น
แก่นของเรื่อง
๔
ประโยคหมายเลข (๒) และ (๔) คือ ใจความรอง ซึ่งเป็นข้อความที่ขยายแสดงรายละเอียดของ
พิธีกรรมส่วนชุมชนหรือสังคมว่ามี ๒ ระดับ คือ พิธีราษฎร์ และพิธีหลวงหรือพระราชพิธี เสริมความให้ประโยค
หมายเลข (๑) ชดั เจนและสมบูรณ์ขนึ้
ส่วนประโยคหมายเลข (๓) คือ รายละเอียดที่เป็นการยกตัวอย่างพิธีราษฎร์ ขยายใจความรองประโยค
หมายเลข (๒) สังเกตจากการใช้ คำว่า “เช่น” และประโยคหมายเลข (๕) คือ รายละเอียดท่ีเป็นการยกตัวอย่าง
พธิ หี ลวงหรือพระราชพธิ ี ขยายใจความรองประโยคหมายเลข (๔) สงั เกตจากการใช้ คำว่า “เชน่ ” เชน่ กนั
แบบฝึกหดั
(๑) มีเหตุผลหลายประการที่ทำให้ฉันชอบล่างูหางกระด่ิง (๒) ประการแรกคือเป็นสิ่งที่ท้าทายน่าตื่นเต้น
และมีความเสี่ยงสงู (๓) ประการที่สองเป็นการลา่ สัตว์ที่ไม่มีฤดูกาล (๔) เราสามารถล่างูชนิดนี้ได้ตัง้ แตฤ่ ดูใบไม้ผลิ
จนฤดูใบไม้ร่วง (๕) นอกจากนั้นยังเป็นสิ่งท้าทายให้เราได้เรียนรู้ลักษณะนิสัยของมัน และรู้วิธีที่จะเอา ชนะมัน
(๖) มันจะซ่อนตัวลึกลับมีความระมัดระวังและเล่ห์กลมากจนทำให้จับมันได้ยาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ว่า
ทำอย่างไร เราจึงจะจับมันได้ (๗) เหตุผลประการสุดท้ายเราสามารถที่จะช่วยลดจำนวนงูซึ่งเป็นสัตว์ที่อันตราย
ลงไปได้
(ฐิติรัตน์ ลดาวัลย,์ ๒๕๕๖, น.๔๘)
ใจความสำคญั คอื ประโยคหมายเลข_________________________________
ใจความรอง คอื ประโยคหมายเลข_________________________________
รายละเอยี ด คือ ประโยคหมายเลข_________________________________
๕
๓. วิธกี ารอา่ นจบั ใจความสำคัญ
การอ่านจับใจความสำคัญเป็นทักษะเบื้องต้นของการอ่านหนังสือและเป็นหัวใจของการอ่าน (ถนอมวงศ์
ล้ำยอดมรรคผล, ๒๕๖๑, น.๗๖) เพราะถ้าจับใจความสำคัญไม่ได้ก็ย่อมไม่เข้าใจเรื่องที่อ่าน หากต้องใช้ประโยชน์
จากการอ่านน้ันก็ต้องกลับมาอ่านกันใหม่ ทำใหเ้ สียเวลา การอา่ นจบั ใจความสำคัญมีแนวทางปฏบิ ัติ ดงั นี้
๓.๑ “อ่านเรื่องให้จบ”
อา่ นเรื่องเพอ่ื ทำความเขา้ ใจภาพรวมของเน้อื หาทง้ั หมด
ผู้อ่านต้องอ่านเรื่องท่ีจะจับใจความสำคญั ตั้งแต่ตน้ จนจบ เพื่อทำความเข้าใจและได้ภาพรวมของ
เนื้อหาของเรื่องที่อ่านอย่างคร่าว ๆ โดยในขณะที่อ่านควรตั้งคำถามและพิจารณาว่าผู้เขียนกำลังสื่อเรื่องอะไร
ใคร ทำอะไร เมื่อไร ที่ไหน ด้วยเหตุผลใด และอย่างไร หากเรื่องนั้นมีชื่อเรื่องก็ให้พิจารณาตั้งแต่ชื่อเรื่อง
เพราะโดยทั่วไปชื่อเรื่องมักจะสอดคล้องกับใจความสำคัญหรือความคิดหลัก หรือช่วยแสดงให้เห็นถึงจุดสนใจ
ของเรือ่ ง
แบบฝึกหดั
๔. ข้อใดกลา่ วไม่ถูกตอ้ งตามข้อความตอ่ ไปน้ี (O-NET ม.๓)
การใช้กลิน่ บำบัดเป็นวิธคี ลายเครียดอย่างหนึ่ง คนที่มีความเครยี ดเปน็ ประจำควรหาน้ำมันหอมระเหยตดิ
ตัวไว้ เมื่อรู้สึกเหนื่อยหรือเครียดก็ให้หยิบขึ้นมาสูดดมโดยหายใจลึก ๆ เพื่อช่วยเพิ่มออกซิเจน และกลิ่นหอมของ
นำ้ มันหอมระเหยจะชว่ ยกระตนุ้ ให้เกิดความผ่อนคลาย
๑) น้ำมนั หอมระเหยช่วยเพิ่มออกซเิ จน ๒) การใช้กลิน่ บำบัดเปน็ วธิ คี ลายเครียด
๓) น้ำมันหอมระเหยชว่ ยบำบัดความเครยี ด ๔) คนท่ีเครียดควรพกน้ำมนั หอมระเหยติดตัว
๕. อ่านรายงานข่าวตอ่ ไปน้แี ลว้ ตอบคำถาม (O-NET ม.๓)
รายงานข่าวสารเทคโนโลยี รายงานว่าในอดีต “อัลฟาโกะ” ปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถเล่นเกมหมากล้อมกับ
มนษุ ยไ์ ด้ ตอ้ งใชร้ ะยะเวลาฝกึ ฝนเลียนแบบการเล่นเกมของมนุษย์มากกว่า ๑,๐๐๐ เกม กวา่ จะเรียนรกู้ ลยทุ ธเ์ ดนิ หมากบน
กระดานรูปแบบต่าง ๆ ได้ แต่ปัจจุบัน “อัลฟาโกะซีโร” ซึ่งพัฒนามาจากอัลฟาโกะสามารถเรียนรู้และคิดได้ด้วยตัวเอง
โดยไม่ต้องเลียนแบบการเล่นของมนุษย์อีกต่อไปและเอาชนะแชมป์โลกได้ ความชาญฉลาดของอัลฟาโกะซีโรนี้สามารถ
นำไปประยกุ ตใ์ ชเ้ พอื่ แกป้ ญั หาและสร้างประโยชน์ทางวทิ ยาศาสตร์แก่มนุษย์ในดา้ นอื่น ๆ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งกรณีท่ีต้องใช้
ระบบประมวลผลและการคิดคำนวณอันซับซ้อนได้ด้วยตัวเอง เช่น การออกแบบสูตรเคมีเพื่อทำยาหรือการพยากรณ์
สภาพภมู อิ ากาศ เปน็ ตน้
ข้อใดกลา่ วถกู ตอ้ งจากการฟังรายงานขา่ วขา้ งตน้
๑) ทั้งอัลฟาโกะและอัลฟาโกะซโี รสามารถพฒั นาความรไู้ ดด้ ว้ ยตวั เอง
๒) ปัญญาประดษิ ฐฉ์ ลาดกวา่ มนุษย์มากจนทำใหย้ ารักษาโรคมีราคาถูกลง
๓) การพฒั นาอลั ฟาโกะและอลั ฟาโกะซโี รชว่ ยขยายตลาดเกมออนไลน์เพอื่ ตอบสนองตลาดเกมวยั รุ่น
๔) อลั ฟาโกะซโี รจะเปน็ เทคโนโลยที ชี่ ว่ ยให้มนุษยส์ ามารถแกป้ ญั หาทางวทิ ยาศาสตร์ทซี่ บั ซอ้ นได้ในอนาคต
๖
๖. ข้อความต่อไปนี้กลา่ วถึงเรอ่ื งใดเปน็ สำคญั (วิชาสามญั ม.๖)
การสร้างปะการังเทียมโดยนำแท่งปูนไปทิ้งลงในทะเลนั้นต้องได้รับความเห็นชอบจากกรมทรัพยากร
ทางทะเลและกองทัพเรือ การสร้างปะการังเทียมช่วยคืนความสมบูรณ์ให้ท้องทะเล ทำให้ปลามีที่หลบภัยจาก
ชาวประมง แนวปะการังเทียมเป็นเสมือนรั้วคอยป้องกันไม่ให้เรือใหญ่แล่นเข้ามาจับปลาใกล้ชายฝั่ง อวนจาก
เรือใหญ่ทแี่ ล่นเขา้ มาจับปลาจะถกู แทง่ ปนู บาดเสียหายได้
๑) วิธสี ร้างแนวปะการงั เทียม ๒) ประโยชนข์ องปะการังเทียม
๓) การสร้างท่หี ลบภยั ให้สัตวน์ ้ำ ๔) การอนุรกั ษ์ทรพั ยากรในทะเล
๕) ความเสยี หายของเรอื จบั ปลาขนาดใหญ่
๓.๒ “ค้นพบคำสำคัญ”
พจิ ารณาหาคำสำคัญ๑ (key words) ของเนื้อหาในแตล่ ะยอ่ หนา้
คำสำคัญ (key words) เป็นคำที่กำหนดเป้าหมายเพื่อนำไปสู่ใจความสำคัญหรือความคิดหลัก
ของเรื่องที่อ่าน ในแต่ละย่อหน้านั้นอาจมีคำสำคัญมากกว่าหนึ่งคำ แต่เมื่อนำคำเหล่านั้นมาเชื่อมโยงสร้าง
ความสัมพนั ธใ์ หเ้ กิดขึ้นกส็ ามารถทราบถงึ ใจความสำคัญหรอื ความคดิ หลกั ของเรือ่ งทอี่ า่ นได้
ลักษณะของคำสำคญั
ธรรมชาติของการเขียนนั้น ผู้เขียนมิได้มีการกำหนดตำแหน่งที่ตั้งของคำสำคัญ ผู้อ่านสามารถ
จะสังเกตคำสำคัญได้โดยอาศัยหลกั ดงั น้ี
ต้นจนจบ (๑) เป็นคำ กล่มุ คำ หรือประโยคทเ่ี ขยี นเหมือนกัน สือ่ ความหมายเหมือนกนั ปรากฏซ้ำ ๆ ต้งั แต่
ต้นจนจบ (๒) เปน็ คำ กลุ่มคำ หรือประโยคทีเ่ ขียนตา่ งกนั แต่สื่อความหมายเหมือนกัน ปรากฏซำ้ ๆ ตั้งแต่
ตวั อย่าง
สิ่งที่ชาวเรือถือกันมากก็คือ “หัวเรือ” นับถือกันว่าเป็นที่แม่ย่านางอยู่ พวกแม่ค้าที่ใช้เรือเป็น
พาหนะบรรทุกของและอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นเรือเล็กหรือใหญ่ มักไม่ยอมให้ใครเหยียบหัวเรือ แม้จะข้ามก็ยัง
ไม่ยอมให้ข้าม เจ้าของเรือบางคนเคร่งมากจะจุดธูปบูชาทั้งเช้าและเย็น ที่หัวเรือบางลำมีแผ่นทองเหลืองหุ้มอย่าง
สวยงาม และมซี องทองเหลืองเล็ก ๆ ติดไวท้ ท่ี วนหัวเรอื สำหรับปักธปู บางทกี ม็ พี วงมาลัยคล้องหวั เรอื ทเ่ี คร่งมาก ๆ
ถึงกับจัดอาหารเซน่ ทุกเช้าก็มี
(ส.พลายน้อย, ๒๕๖๐, น.๗๘)
๑ตำราบางเล่มใชว้ ่า “คำกญุ แจ” “คำหลัก” หรือ “คำไข”
๗
จากย่อหน้าข้างต้น คำสำคัญลักษณะที่ ๑ ที่เขียนเหมือนกัน สื่อความหมายเหมือนกัน
ปรากฏซ้ำ ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบในยอ่ หนา้ คือ คำว่า “หวั เรอื ”
สว่ นคำสำคัญลกั ษณะท่ี ๒ ที่เขียนต่างกัน แต่สอื่ ความหมายเหมือนกัน ปรากฏซ้ำ ๆ ตั้งแต่ต้นจน
จบในย่อหน้านั้น อาจพิจารณาร่วมกับการอ่านแล้วตั้งคำถามว่าผู้เขียนกำลังสื่อเรื่องอะไร ใคร ทำอะไร เมื่อไร
ทีไ่ หน ด้วยเหตุผลใด และอย่างไร ดังนี้
ยอ่ หนา้ น้สี อื่ เรือ่ งของใคร จะพบคำทีเ่ ขยี นต่างกนั ทเี่ กยี่ วข้องกับบุคคล ๓ คำ คอื คำวา่ “ชาวเรือ”
“พวกแม่ค้าที่ใช้เรือ” และ “เจ้าของเรือ” แม้คำทั้ง ๓ คำจะเขียนต่างกัน แต่สื่อความหมายเหมือนกันถึงบุคคลที่
เกี่ยวขอ้ งกับเรือ เมือ่ พจิ ารณาแลว้ คำทีส่ ่อื ความหมายครอบคลุมย่อหน้านก้ี ค็ ือ คำวา่ “ชาวเรือ”
ย่อหน้านี้สื่อเรื่องของ “ชาวเรือ” ทำอะไร จะพบข้อความที่แสดงถึงการกระทำของชาวเรือท่ี
แตกต่างกัน เช่น “มักไม่ยอมให้ใครเหยียบหัวเรือ แม้จะข้ามก็ยังไม่ยอมให้ข้าม” “เคร่งมากจะจุดธูปบูชาทั้งเช้า
และเย็น” “ที่เคร่งมาก ๆ ถึงกับจัดอาหารเซน่ ทุกเช้า” แต่การกระทำดังกลา่ วน้ีตา่ งสือ่ ความหมายรว่ มกนั แสดงให้
เห็นว่า ชาวเรือ “นับถือ” หรือ “ถือ” หัวเรือ นอกจากนี้จากการกระทำหลาย ๆ อย่างดังกล่าวยังแสดงให้เห็นถึง
การนับถอื หวั เรอื ของชาวเรอื ทม่ี ีมากดว้ ย
จากคำสำคัญที่ได้ สามารถสรุปใจความสำคัญของย่อหน้านี้ได้ว่า “ชาวเรือนับถือหัวเรือมาก”
ซง่ึ สอื่ ความหมายเหมอื นกบั ประโยคแรกของยอ่ หนา้ น้ีท่ีวา่ “สง่ิ ท่ีชาวเรือถอื กนั มากกค็ ือ ‘หวั เรอื ’”
แบบฝึกหดั
๗. ข้อใดเป็นประเด็นสำคญั ของข้อความต่อไปนี้ (O-NET ม.๖)
คำพูดของพ่อแม่อาจทำให้ลูกเกิดความเข้าใจไมต่ รงกัน และทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ เช่น พ่อแม่รักและ
เป็นห่วงลูกเรื่องการทำการบ้าน หรือการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบ แต่ถ้าคำพูดของพ่อแม่เป็นไปในลักษณะ
พร่ำบ่น ลูกอาจเข้าใจผิดคิดว่าพ่อแม่เคี่ยวเข็ญและก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวมากเกินไป จึงต้องมีการอธิบายเพื่อให้เกิด
ความเขา้ ใจซ่ึงกนั และกนั ลูกจะไดเ้ ขา้ ใจวา่ พอ่ แมห่ วงั ดตี อ่ ตน
๑) หนา้ ท่ีของลกู ที่ดี ๒) การอบรมสงั่ สอนลูก ๓) โลกส่วนตวั ของเดก็
๔) ความหวงั ดขี องพ่อแม่ ๕) การสื่อสารในครอบครวั
จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่า ย่อหน้านี้มีคำสำคัญ ๔ คำ คือ “คำพูด” “พ่อแม่” “ลูก” และ
“ความเขา้ ใจ”
คำสำคัญคำที่ ๑ “คำพูด” ปรากฏซ้ำ ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบในย่อหน้าทั้งลักษณะที่ ๑ คือ “คำพูด” ๒ ครั้ง
และลกั ษณะท่ี ๒ คือ “พร่ำบ่น” และ “การอธบิ าย” ทีส่ อ่ื ความหมายถึง “คำพูด”
สว่ นคำสำคญั คำท่ี ๒ “พ่อแม่” คำที่ ๓ “ลกู ” และคำที่ ๔ “ความเข้าใจ” ปรากฏซ้ำ ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบใน
ย่อหน้าเฉพาะลักษณะที่ ๑ คือ “พอ่ แม่” ๕ ครงั้ “ลกู ” ๓ ครัง้ และ “ความเขา้ ใจ” (หรอื “เข้าใจ”) ๓ ครงั้
๘
คำพูดของพ่อแม่อาจทำให้ลูกเกิดความเข้าใจไม่ตรงกัน และทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ เช่น พ่อแม่รัก
และเป็นห่วงลูกเรื่องการทำการบ้าน หรือการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบ แต่ถ้าคำพูดของพ่อแม่เป็นไปใน
ลักษณะพร่ำบ่น ลูกอาจเข้าใจผิดคิดว่าพ่อแม่เคี่ยวเข็ญและก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวมากเกินไป จึงต้องมีการอธิบาย
เพอ่ื ให้เกิดความเขา้ ใจซง่ึ กันและกัน ลกู จะได้เข้าใจว่าพอ่ แม่หวังดตี ่อตน
จากคำสำคัญที่ได้ ประเด็นสำคัญของย่อหน้านี้จึงตรงกับตัวเลือกที่ ๕) การสื่อสารในครอบครัว เพราะ
คำว่า “การสื่อสาร” สื่อความหมายครอบคลุมคำสำคัญ “คำพูด” “พร่ำบ่น” และ “การอธิบาย” ที่เกี่ยวข้องกับ
คำสำคัญ “ความเข้าใจ” เพราะในกระบวนการสื่อสารจะทำให้เกิดผลหรือปฏิกิริยาตอบสนอ ง ซึ่งหมายถึง
ปฏิกิริยาของผู้รับสารอันเป็นผลที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากการรับรู้ความหมายของสารที่ส่งมาให้ ตรงกับคำว่า
“ความเข้าใจ” หรือ “เขา้ ใจ” ส่วนคำวา่ “ครอบครวั ” สอ่ื ความหมายครอบคลุมคำสำคัญ “พอ่ แม”่ และ “ลกู ”
ส่วนตัวเลือก ๑), ๒), และ ๔) จะมีคำสำคัญไม่ครบ และตัวเลือก ๓) คำที่ใช้ไม่ปรากฏในย่อหน้าจึง
ไมถ่ กู ต้อง
๘. ข้อความตอ่ ไปนมี้ ปี ระเดน็ สำคัญตามข้อใด (O-NET ม.๖)
อากาศที่เราหายใจเข้าไปจะผ่านเข้าทางจมูก ผ่านลำคอ หลอดลม แล้วเข้าสู่ปอด ขณะที่อากาศผ่านจมูก
ต้องผา่ นโพรงจมกู โพรงจมกู จะทำให้อากาศอนุ่ ข้นึ และขบั สารเหลวออกมาเปน็ น้ำมูก ดักสิ่งสกปรกจำพวกเช้ือโรค
ฝนุ่ ละอองไมใ่ หเ้ ข้าไปในหลอดลมและปอด
๑) ทางผา่ นของลมหายใจ ๒) หน้าท่ขี องโพรงจมกู
๓) ประโยชนข์ องโพรงจมูก ๔) การทำงานของปอด
๕) การหายใจเข้าออก
๙. อ่านข้อความต่อไปนีแ้ ล้วตอบคำถาม (O-NET ม.๓)
คลองแสนแสบเป็นคลองขุดใหม่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ใช้เวลาใน
การขดุ ๓ ปี คือ ระหว่าง พ.ศ.๒๓๘๐ – ๒๓๘๓ คลองแสนแสบเริ่มขุดตั้งแต่บรเิ วณคลองบางลำพูกบั คลองโอ่งอ่าง
บรรจบกันมาถึงวังสระปทุม ผ่านเขตหนองจอก ถึงตำบลบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา แล้วเชื่อมต่อกับ
คลองบางขนากเพอ่ื ออกสู่แม่น้ำบางปะกง
การขดุ คลองแสนแสบมคี ุณค่าด้านใดอยา่ งชดั เจนตามข้อความข้างต้น
๑) การอนรุ กั ษ์ ๒) การเลยี้ งชพี
๓) การคมนาคม ๔) การท่องเท่ยี ว
๙
๑๐. ดีดีทีเป็นยาฆ่าแมลงที่นิยมใช้มากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ เพื่อควบคุมโรคมาลาเรียที่มียุงเป็นพาหะ
ประสิทธิภาพของดีดีทีทำให้เกิดความนิยมใช้ในการกำจัดศัตรูพืชด้วย อย่างไรก็ตามในปี ค.ศ. ๑๙๖๒
นักชีววิทยาชาวอเมริกัน ราเชล คาร์สัน เขียนหนังสือเกี่ยวกับผลกระทบของพิษดีดีทีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่
ก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์และทำให้สัตว์ป่าหลายชนิดโดยเฉพาะนก เช่น อินทรีหัวขาวมีจำนวนลดลงจนเสี่ยงต่อ
การสูญพันธุ์ อิทธิพลของหนังสือดังกล่าวทำให้เกิดการศึกษาวิจัยสืบเนื่องจนมีการรณรงค์ให้ยกเลิกการใช้ดีดีที
และเกิดอนุสญั ญาสต็อกโฮลม์ ทห่ี ้ามการใชด้ ดี ที ีทวั่ โลกในปี ค.ศ. ๒๐๐๑
บคุ คลใดแสดงความคิดเห็นได้สมเหตสุ มผลตามประเด็นสำคัญของขอ้ ความข้างตน้ (O-NET ม.๓)
๑) ปู่บอกวา่ เรอื่ งน้ีดี แตม่ ะเร็งอาจเกิดจากสาเหตุอืน่ ท่ีไม่ใชด่ ีดที กี ไ็ ด้
๒) ยา่ บอกวา่ เรือ่ งนีด้ ี เพราะทำใหเ้ หน็ ถึงความรุนแรงของโรคมาลาเรยี ทีย่ า่ เคยป่วยในสมัยเดก็
๓) ตาบอกวา่ เร่อื งนด้ี มี าก ๆ เพราะช่วยใหน้ กึ ถึงชว่ งสงครามโลกครัง้ ที่ ๒ ท่ตี าเคยเผชญิ มาในวยั เด็ก
๔) ยายบอกว่าเรื่องนีด้ ี เพราะทำให้รู้ว่าพษิ ดีดีทีมีผลต่อส่ิงมชี ีวติ หลายชนิดไมเ่ ฉพาะกบั แมลงเทา่ นั้น
๑๑. ขอ้ ใดเปน็ แนวคิดท่ผี ู้เขียนตอ้ งการนำเสนอในข้อความต่อไปน้ี (วชิ าสามัญ ม.๖)
คนเรามกั อ้าแขนต้อนรับความสุข ปฏเิ สธความทุกข์ พยายามหนคี วามทุกข์ให้ไกลท่สี ุด แต่มักมีความทุกข์
หลายอย่างที่ไม่ว่าเราจะพยายามหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น ในที่สุดก็ต้องพบ ถ้าพบความทุกข์แล้วเรายังปฏิเสธไม่
ยอมรับ ความทกุ ขน์ นั้ กจ็ ะบบี ค้ันเราให้ทกุ ข์หนักขึน้
๑) ในชีวิตของแตล่ ะคนยอ่ มมคี วามทุกข์มากกว่าความสขุ
๒) คนเราไมอ่ ยากหนีความทุกข์ ตอ้ งการมีแต่ความสขุ เทา่ นัน้
๓) ความทกุ ข์ทีท่ ุกคนต้องพบเป็นสิง่ ท่ีทำใหเ้ ราทุกข์หนักท่สี ุด
๔) เมอื่ พยายามหนคี วามทกุ ข์ กย็ ิง่ ประสบความทกุ ข์ตอ่ ไปเรือ่ ย ๆ
๕) หากประสบความทุกข์ทีห่ ลกี เล่ียงไม่ได้ เราควรทำใจยอมรบั ความทุกขน์ ้ัน
๓.๓ “บน่ั ทอนตัดส่วนขยาย”
ตดั ส่วนขยายใจความสำคญั ทิง้
ธรรมชาติของการเขียนนั้น การนำเสนอความคิดหรือความรู้ในงานเขียน ผู้เขียนไม่ได้เสนอแต่
ใจความสำคัญออกมาอย่างตรงไปตรงมา กล่าวคือ ผู้เขียนไม่ได้กล่าวตรง ๆ ว่า เรื่องที่เขียนนั้นมีใจความสำคัญ
อย่างไร แตจ่ ะถกู ห้อมล้อมดว้ ยบริบท๑ ซึ่งในโครงสร้างของการเขียนก็คือ การขยายความ อาจแสดงอยู่ในลักษณะ
การให้คำจำกัดความ การอธิบายให้รายละเอียด การให้เหตุผล การยกตัวอย่าง หรือการเปรียบเทียบก็ได้
ดงั น้นั หน้าที่ของผู้อ่านกค็ อื ต้องแยกใจความสำคัญออกจากข้อความทเ่ี ป็นสว่ นขยายใจความสำคญั ออกมาให้ได้
๑บรบิ ท คอื คำ ข้อความ หรือสถานการณแ์ วดล้อมเพื่อช่วยให้เขา้ ใจความหมายของภาษาหรือของถอ้ ยคำ
๑๐
ลักษณะการขยายความ
๓.๓.๑ การให้คำจำกัดความ การขยายความลักษณะนี้เป็นการอธิบายความหมายของคำ
หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งในเนื้อเรื่องเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจตรงกัน นอกจากนี้ยังรวมถึงการอธิบายขอบเขตของความหมาย
ของเรื่องดว้ ย การขยายความลักษณะนอ้ี าจจะมกี ารยกตัวอยา่ งประกอบด้วย
๓.๓.๒ การอธิบายให้รายละเอียด การขยายความลักษณะนี้จะใช้เมื่อต้องการแจกแจงสิ่งใด
สิ่งหนึ่ง อธิบายลักษณะหรือองค์ประกอบต่าง ๆ ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือแสดงขั้นตอน กระบวนการ บรรยาย
เหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง อาจจะขยายโดยอธิบายให้รายละเอียด หรืออธิบายให้รายละเอียดพร้อมยกตัวอย่าง
กไ็ ด้
การอธิบายให้รายละเอียดนี้นิยมใช้คำเชื่อม “คือ” “กล่าวคือ” เพื่อแสดงให้ทราบว่า ข้อความที่
อยู่หลงั คำเช่ือมดังกลา่ วเปน็ การอธบิ ายให้รายละเอยี ด
๓.๓.๓ การให้เหตุผล การขยายความลักษณะนี้ใช้เขียนให้ผู้อ่านเห็นคล้อยตามการขยายความ
ด้วยวิธีนี้ทำได้หลายวิธี อาจเสนอความคิดที่เป็นข้อสรุปและตามด้วยข้อสนับสนุนต่าง ๆ ซึ่งเป็นเหตุผล
หรือหลักฐานโดยการยกตัวอย่าง หรือเสนอผลลัพธ์เพื่อให้ผู้อ่านตระหนักแล้วตามด้วยสาเหตุต่าง ๆ ท่ี ทำให้เกิด
ผลนนั้
การขยายความดว้ ยการใหเ้ หตุผลน้มี กั จะปรากฏการใชค้ ำเชื่อมแสดงเหตผุ ล “จงึ ” และ “เพราะ”
ซึ่งมีลักษณะโครงสร้างคือ เหตุ + “จึง” + ผล และ ผล + “เพราะ” + เหตุ ส่วนที่เป็นใจความสำคัญ คือ ส่วนที่
แสดงผล
๓.๓.๔ การยกตัวอย่าง การขยายความลักษณะนี้มักจะใช้ร่วมกับวิธีอื่น เช่น การให้คำ
จำกัดความ การอธิบายให้รายละเอียด หรือจะใช้วธิ กี ารยกตัวอย่างแต่เพียงอยา่ งเดียวโดยการยกตวั อยา่ งหลาย ๆ
ตวั อยา่ ง แลว้ จึงสรุปทา้ ยยอ่ หน้าด้วยประโยคใจความสำคัญ
การยกตัวอย่างนี้นิยมใช้คำเชื่อม “เช่น” “ได้แก่” เพื่อแสดงให้ทราบว่า ข้อความที่อยู่หลัง
คำเชอ่ื มดงั กลา่ วเปน็ การยกตัวอย่าง
๓.๓.๕ การเปรียบเทียบ การขยายความลักษณะนี้จะใช้เขียนเพื่อเปรียบเทียบในลักษณะ
ข้อเท็จจริงท่ีสามารถพิสูจน์ได้ โดยอาจมีจุดมุ่งหมายเปรียบเทียบความเหมือนกันหรือความแตกต่างกัน
โดยกำหนดประเด็นที่เหมือนกันหรือแตกต่างกันว่ามีอะไรบ้าง แล้วจึงเปรียบเทียบไปทีละประเด็น เพื่อให้ผู้อ่าน
เข้าใจเรื่องที่ยกมาเปรียบเทียบได้ชัดเจนในด้านความเหมือนกันหรือความแตกต่างกัน หรืออาจใช้การยกเรื่องราว
เป็นอุทาหรณ์ขึ้นมาก่อนแล้วจึงสรุปประเด็นความคิดสำคัญที่จะเสนอ หรือการเขียนอุปมาเปรียบเทียบสิ่งที่มี
คุณสมบัตอิ ยา่ งเดยี วกันเพ่ือใหค้ วามคดิ สำคัญชัดเจนข้ึน
การขยายความด้วยการเปรยี บเทียบน้ีจะมีลกั ษณะโครงสร้างคือ
ตัวตัง้ + คำเชอ่ื มแสดง การเปรยี บเทียบ + ตัวเปรยี บ
ส่วนทเ่ี ป็นใจความสำคัญ คอื ส่วนทีแ่ สดงตวั ต้งั
๑๑
ตัวอยา่ งย่อหนา้ ทมี่ ีการขยายความด้วยการเปรยี บเทยี บ
งานเขียนเช่นเดียวกับอาหาร บางชนิดทำให้ร่างกายเติบโต บางชนิดเป็นวิตามินทำให้ร่างกาย
สดชื่นกระปรี้กระเปร่า บางชนิดบำรุงสมอง บำรุงปัญญา บำรุงจิตใจ สร้างพลังงาน จะเขียนอย่างไรก็ได้
ขอ้ สำคญั คือไมค่ วรปรุงอาหารบดู อาหารเป็นพษิ แก่รา่ งกาย มีแตโ่ ทษไมไ่ ด้ให้คุณหรือสร้างสรรคอ์ ะไร
๑. ยอ่ หน้าน้ีเปรยี บอะไรกับอะไร
________________________________________________________
๒. ย่อหน้านี้กล่าวถงึ อาหารในประเดน็ ใด
________________________________________________________
๓. ใจความสำคญั ของย่อหนา้ น้ี
________________________________________________________
๔. ประโยคใจความสำคญั ของยอ่ หน้านี้
________________________________________________________
แบบฝึกหัด
๑๒. การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาตินั้นกระทำได้หลากหลายแนวทาง แนวทางหนึ่งที่เยาวชนสามารถทำได้
ไม่ยากนักคือการทิ้งขยะลงในถังที่จำแนกตามประเภทของขยะ เช่น ถังขยะสำหรับภาชนะประเภทแก้ว พลาสติก
กระดาษ เป็นต้น จุดประสงค์หนึ่งก็เพื่อนำทรัพยากรมาหมุนเวียนใช้ใหม่ ซึ่งจะช่วยให้เรามีทรัพยากรใช้ใน
กจิ กรรมตา่ ง ๆ ในชวี ติ ประจำวนั ไปไดอ้ กี เวลานาน
ขอ้ ใดไม่ปรากฏในส่วนสรปุ ของเรยี งความขา้ งต้น (O-NET ม.๓)
๑) นยิ าม ๒) เหตผุ ล
๓) ตวั อยา่ ง ๔) รายละเอียด
๑๓. ขอ้ ความตอนใดใชก้ ลวธิ กี ารเปรียบเทียบ (O-NET ม.๓)
(๑) สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ หมายถึง สังคมที่มีประชากรอายุ ๖๐ ปีขึ้นไป เป็นอัตราส่วนอย่างน้อย
ร้อยละ ๒๐ ของประชากรทั้งหมดในสังคม (๒) ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ประเทศไทยได้เปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
โดยสมบูรณ์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ (๓) สถานการณ์นี้เป็นผลมาจากอัตราการเกิดและอัตราการตายของ
ประชากรลดลง ทำให้สัดส่วนประชากรของไทยเป็นรูปพีระมิดคว่ำ (๔) ประเทศไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนา
เพียงไม่กี่ประเทศที่อยู่ในกลุ่มสังคมผู้สูงอายุ เนื่องจากประเทศที่อยู่ในกลุ่มสังคมผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นประเทศ
พฒั นาแล้ว
๑) ตอนที่ (๑) ๒) ตอนที่ (๒)
๓) ตอนที่ (๓) ๔) ตอนที่ (๔)
๑๒
ตวั อยา่ ง
พระราชวัง หมายถึง วังของพระมหากษัตริย์ มีระดับความสำคัญรองจากพระบรมมหาราชวัง
เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ตามขัตติยราชประเพณีมาแต่โบราณ การเรียกวังว่าพระราชวังได้นั้น
พระมหากษัตริย์จะทรงประกาศพระบรมราชโองการสถาปนาวังขึ้นเป็น พระราชวัง จึงจะจัดเป็นที่ประทับของ
พระมหากษัตริย์ได้ เช่น พระราชวังดุสิต เมื่อแรกสร้างพระราชทานชื่อว่าสวนดุสิต ต่อมาจึงประกาศยกขึ้นเป็น
พระราชวังดุสิต สว่ นพระตำหนกั จิตรลดารโหฐานซึง่ เป็นที่ประทบั ของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั รัชกาลปัจจุบัน
สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ เป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังดุสิตเรียกว่า พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน สวนจิตรลดา
พระราชวังดุสิตไมเ่ รียกวา่ พระราชวงั จติ รลดา ราษฎรทั่วไปเรียกอย่างไมเ่ ปน็ ทางการวา่ สวนจติ รลดา
(รัตนา ฦๅชาฤทธ์ิ, ๒๕๔๖, น.๑๗๒)
จากตัวอย่างข้างต้น เมื่อพิจารณาคำสำคัญจะพบว่า มี ๑ คำ คือ คำว่า “พระราชวัง” จากนั้น
จึงพจิ ารณาตัดส่วนขยายใจความสำคัญท่ีปรากฏ ดงั นี้
(๑) “พระราชวัง หมายถึง วังของพระมหากษัตริย์” เพราะเป็นการให้คำจำกัดความของคำว่า
“พระราชวัง” ซ่ึงเป็นคำสำคัญของย่อหน้าน้ี
(๒) “มีระดับความสำคัญรองจากพระบรมมหาราชวัง เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ตาม
ขัตติยราชประเพณีมาแต่โบราณ” เพราะเป็นการอธิบายให้รายละเอียดของคำว่า “พระราชวัง” ซึ่งเป็นคำสำคัญ
ของย่อหน้าน้ี
(๓) “เชน่ พระราชวงั ดสุ ติ เมือ่ แรกสรา้ งพระราชทานชื่อวา่ สวนดุสิต ต่อมาจึงประกาศยกข้ึนเป็น
พระราชวังดสุ ติ สว่ นพระตำหนักจติ รลดารโหฐานซึ่งเปน็ ที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั รชั กาลปัจจุบัน
สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ เป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังดุสิตเรียกว่า พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน สวนจิตรลดา
พระราชวังดุสิตไม่เรียกว่าพระราชวังจิตรลดา ราษฎรทั่วไปเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่าสวนจิตรลดา” เพราะเป็น
การยกตวั อย่างเพอื่ ชว่ ยใหค้ ำวา่ “พระราชวงั ” ซึง่ เป็นคำสำคญั ของย่อหนา้ น้ีชดั เจนมากยิ่งขนึ้
เมื่อตัดส่วนขยายใจความสำคัญข้างต้นแล้ว จะพบว่าย่อหน้านี้มีใจความสำคัญเกี่ยวกับเรื่อง
“ข้อกำหนดการเป็นพระราชวัง” โดยปรากฏเป็นประโยคใจความสำคัญชัดเจนที่กลางย่อหน้าว่า “การเรียกวังว่า
พระราชวังได้นั้น พระมหากษัตริย์จะทรงประกาศพระบรมราชโองการสถาปนาวงั ขึ้นเป็นพระราชวัง จึงจะจัดเปน็
ทป่ี ระทับของพระมหากษัตริย์ได้”
๑๓
แบบฝึกหดั
๑๔. ข้อความต่อไปนก้ี ล่าวถึงเร่ืองใดเป็นสำคัญ (O-NET ม.๖)
แอปเปลิ้ เปน็ ผลไม้ท่เี หมาะกับคนที่ตอ้ งการลดน้ำหนักหรือลดความอว้ น การกินแอปเปิล้ ควรกินทั้งเปลือก
เพราะสารสำคัญคือ “โพลีฟีนอล” มักจะอยู่ตามเปลือกหรือเนื้อที่ติดอยู่กับเปลือก หากกินแต่เปลือกจะไม่ได้
สารสำคัญคือ “เพคติน” ที่อยู่ในเนื้อแอปเปิ้ล ซึ่งเป็นใยอาหารเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ช่วยซับไขมันและน้ำตาล
ดังนัน้ ควรกินท้งั เปลือกและเนอื้
๑) สารในเนอ้ื แอปเป้ลิ ๒) วิธกี ารกินแอปเปิ้ล
๓) คุณค่าของแอปเปลิ้ ๔) การลดนำ้ หนักดว้ ยแอปเป้ิล
๕) สรรพคุณทางยาของแอปเปล้ิ
จากตัวอย่างข้างต้น เมื่อพิจารณาคำสำคัญจะพบว่า มี ๑ คำ คือ คำว่า “แอปเปิ้ล” จากนั้นจึงพิจารณา
ตัดสว่ นขยายใจความสำคญั ท่ีปรากฏ ดงั น้ี
(๑) “แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่เหมาะกับคนที่ต้องการลดนำ้ หนกั หรือลดความอ้วน” เพราะเป็นการอธิบายให้
รายละเอยี ดของคำว่า “แอปเป้ิล” ซงึ่ เป็นคำสำคญั ของย่อหน้านี้
(๒) “เพราะสารสำคัญคือ ‘โพลีฟีนอล’ มักจะอยู่ตามเปลือกหรือเนื้อที่ติดอยู่กับเปลือก” เพราะเป็น
การใหเ้ หตุผลท่ีสนบั สนนุ ใจความสำคัญ “การกินแอปเปิ้ลควรกนิ ทัง้ เปลือก”
(๓) “คือ ‘เพคติน’ ที่อยู่ในเนื้อแอปเปิ้ล” เพราะเป็นการอธิบายให้รายละเอียดของสารสำคัญที่กล่าวถึง
ในประโยค “หากกินแต่เปลอื กจะไมไ่ ด้สารสำคัญ”
(๔) “ซึง่ เปน็ ใยอาหารเปรียบเสมือนฟองน้ำทีช่ ว่ ยซบั ไขมันและน้ำตาล” เพราะเป็นการเปรียบเทียบขยาย
ความประโยค “คือ ‘เพคตนิ ’ ท่ีอยใู่ นเนอ้ื แอปเปล้ิ ” ซง่ึ เปน็ สว่ นขยายท่ตี ดั ไปแล้ว
แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่เหมาะกับคนที่ต้องการลดน้ำหนักหรือลดความอ้วน การกินแอปเปิ้ลควรกินทั้ง
เปลือก เพราะสารสำคัญคือ “โพลีฟีนอล” มักจะอยู่ตามเปลือกหรือเนื้อที่ติดอยู่กับเปลือก หากกินแต่เปลือกจะ
ไม่ได้สารสำคัญคือ “เพคติน” ที่อยู่ในเนื้อแอปเปิ้ล ซึ่งเป็นใยอาหารเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ช่วยซับไขมันและ
น้ำตาล ดังนน้ั ควรกนิ ทงั้ เปลอื กและเนอ้ื
เมื่อตัดส่วนขยายใจความสำคัญข้างต้นแล้ว จะเหลือประโยคที่ต้องสนใจเป็นพิเศษ ๓ ประโยค คือ
“การกินแอปเปิ้ลควรกินทั้งเปลือก” “หากกินแต่เปลือกจะไม่ได้สาระสำคัญ” และ “ดังนั้นควรกินทั้งเปลือก
และเนือ้ ” ซ่งึ สมั พันธ์กับตัวเลือกขอ้ ๒) วธิ กี ารกนิ แอปเปล้ิ
๑๔
๑๕. รัฐบาลเวียดนามได้ประกาศระงับโครงการสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้า ๑๒ แห่ง หลังจากเขื่อนลา เกรล ๒
พังทลายลง เนื่องจากกักเก็บน้ำฝนที่ตกลงมาอย่างหนักหลายวันติดต่อกัน โดยให้เหตุผลการยกเลิกคือ
ความไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ความเสี่ยงด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมท้ังเป็นตัวการทำลายป่าไม้ ปัจจุบันน้ี
แม้เวียดนามมีเขื่อนผลิตไฟฟ้าประมาณ ๒๘๘ แห่งและมีโครงการจะสร้างเขื่อนขนาดเล็กเพื่อผลิตไฟฟ้าอีกมาก
แต่โครงการสร้างเขื่อน ๔๑๕ แห่งก็ได้ถูกระงับไป เพราะไม่สอดคล้องกับเกณฑ์มาตรฐานที่รัฐบาลกำหนด คือ
มั่นคงปลอดภัย มีผลกระทบน้อยต่อป่าไม้ ประชากร และสภาพแวดล้อมโลก ยิ่งเมื่อเวียดนามประสบภัยจาก
แผ่นดินไหว แผ่นดินเลื่อน ผู้เชี่ยวชาญเวียดนามกลุ่มหนึ่งได้สรุปว่า การสร้างเขื่อนเก็บน้ำที่เพิ่มขึ้นมากมายทำให้
แผ่นดนิ ตอ้ งรับน้ำหนักมากจงึ เป็นเหตุของการเกิดแผน่ ดนิ ไหว แผน่ ดินเลื่อน
สาระสำคญั ของขอ้ ความข้างต้นกล่าวถงึ เรื่องใด (O-NET ม.๓)
๑) การระงบั โครงการสร้างเขือ่ น ๒) การผลติ ไฟฟา้ พลงั น้ำ
๓) การสรา้ งเขือ่ นในประเทศเวยี ดนาม ๔) การเกิดแผน่ ดินไหว แผน่ ดินเล่ือน
๑๖. ปัจจุบันนี้คงต้องยอมรับกันว่าคอมพิวเตอร์จำเป็นต่อชีวิตและสังคมอย่างมหาศาล มีเด็กไทยเป็นจำนวน
มากที่ติดเกมคอมพิวเตอร์มากจนละเลยกิจกรรมอื่น ๆ ที่ควรทำ เช่น ทำการบ้าน เล่นกีฬา สังสรรค์กับคนอ่ืน
นอนเป็นเวลา ฯลฯ บ่อยครั้งท่ีนิสยั ดงั กล่าวติดตัวเด็กไปจนถึงวัยทำงาน “เด็กตดิ เกม” จงึ เปน็ ภยั รา้ ยท่ีแฝงตัวเงียบ
อยู่ในสังคมและนับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น นับได้ว่าเป็นปัญหาขั้นวิกฤตระดับประเทศและมีผลต่อการสร้าง
ความเจรญิ กา้ วหน้าของประเทศในระยะยาว
ผู้เขียนตอ้ งการนำเสนอแนวคดิ อย่างไรในข้อความข้างต้น (วิชาสามัญ ม.๖)
๑) คอมพิวเตอรม์ ีประโยชนอ์ นนั ตแ์ ละโทษมหนั ต์
๒) เกมคอมพิวเตอร์เป็นภัยคกุ คามตอ่ การพัฒนาเด็กไปจนโต
๓) การแกป้ ญั หาเด็กติดเกมทำไดย้ ากเพราะฝังรากลึกโดยไม่มใี ครสงั เกตมานาน
๔) ปญั หาเดก็ ติดเกมมีอนั ตรายตอ่ ตวั เด็กอยา่ งต่อเนือ่ งและมีผลตอ่ การพัฒนาประเทศ
๕) รัฐควรเรง่ รัดแก้ปญั หาเกมคอมพวิ เตอร์เพอ่ื ประโยชนใ์ นการพัฒนาประเทศ
๑๗. การแยกทางเดนิ ใหแ้ ก่ความสนใจจากสายหนึ่งไปสู่อีกสายหนึ่งนี้ทำยากเหลือเกนิ ถ้าหากท่านไม่ไดเ้ ตรยี ม
ถนนแห่งความสนใจไวห้ ลาย ๆ สาย ดงั นัน้ ในการเตรียมรับมือกับความทุกขท์ จ่ี ะเกิดขึ้นในวนั หนา้ จงึ ต้องเตรียมหา
ถนนแห่งความสนใจไวห้ ลาย ๆ สาย ตัง้ แตใ่ นเวลาอันผดุ ผ่องช่นื บาน เพอื่ วา่ เมือ่ ถึงภาวะฉกุ เฉินแห่งชวี ิต ท่านจะได้
มีทางออกหลาย ๆ ทาง
ข้อใดเปน็ สาระสำคัญของข้อความข้างตน้
๑) การเตรียมชีวิตให้พรอ้ มยอ่ มประสบความสำเรจ็
๒) การเปลี่ยนแปลงความคิดหรือความสนใจเปน็ เรื่องยาก
๓) ทกุ คนย่อมหาทางออกให้ชีวติ ไดเ้ สมอเมื่อมีความทุกข์
๔) ทุกคนควรพร้อมที่จะแก้ปัญหานานาประการในชีวติ
๑๕
๓.๔ “เติมคำเชื่อมที่หายไป”
เติมคำเชือ่ มส่วนขยายใจความสำคญั เพือ่ ตัดส่วนขยายใจความสำคญั ทิ้ง
แนวทางปฏิบัติของการอ่านจับใจความสำคัญในข้อ ๒.๓ ข้างต้นนั้น ผู้เรียนสามารถพิจารณา
ตัดส่วนขยายใจความสำคัญในย่อหน้าได้ง่าย โดยสังเกตจากคำเชื่อมแสดงส่วนขยายใจความสำคัญ หากทว่าใน
บางครั้งผู้เขียนอาจจะเรียบเรียงข้อความในย่อหน้าโดยไม่ใช้คำเชื่อมก็ได้ ดังนั้นหากต้องการจะจับใจความสำคัญ
ผเู้ รยี นจำเป็นตอ้ งเตมิ เติมคำเชอ่ื มส่วนขยายใจความสำคญั เพื่อตัดสว่ นขยายใจความสำคญั ท้งิ
คำเชอ่ื มท่ีนิยมเตมิ ในขอ้ ความในยอ่ หนา้ ได้แก่ กลา่ วคือ เชน่ จึง เพราะ
แบบฝึกหดั
๑๘. ผักและผลไม้สดจะมีเอนไซม์ที่เป็นตัวช่วยย่อยอาหารให้เป็นโมเลกุลที่เล็กที่สุดเข้าสู่กระแสเลือดไปใช้
ประโยชน์ในร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และเร่งปฏิกิริยาการยอ่ ยอาหารให้สมบูรณ์ เอนไซม์หลายชนิด
เป็นเอนไซม์ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ จึงต้องได้รับจากการรับประทานผักผลไม้เท่านั้น เอนไซม์บางชนิด
ยังช่วยเปลี่ยนอนุมูลอิสระเป็นน้ำและออกซิเจน บางชนิดช่วยเผาผลาญพลังงาน สลายไขมันและกำจัดสารพิษใน
ร่างกาย
ขอ้ ใดเปน็ ใจความสำคัญของข้อความขา้ งตน้ (O-NET ม.๓)
๑) การรับประทานผกั และผลไม้สดจะช่วยใหร้ า่ งกายแข็งแรงสมบูรณ์
๒) ผักและผลไมส้ ดมเี อนไซม์ชว่ ยยอ่ ยสารอาหารไปใชป้ ระโยชน์ในร่างกาย
๓) เอนไซม์หลายชนดิ เปน็ เอนไซม์ทรี่ ่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาไดเ้ อง
๔) เอนไซม์บางชนดิ ชว่ ยเปล่ยี นอนมุ ลู อิสระบางชนดิ ชว่ ยเผาผลาญพลังงาน
จากตัวอยา่ งข้างตน้ เมอื่ อ่านเนื้อหาในย่อหน้านี้แลว้
(๑) ตัง้ คำถามเพ่ือทำความเข้าใจภาพรวมของเนื้อหาทั้งหมด
(๑.๑) ยอ่ หนา้ น้กี ลา่ วถึงเรือ่ งอะไร
คำตอบ คอื ผักและผลไมส้ ด
(๑.๒) ผกั และผลไม้สดเป็นอยา่ งไร
คำตอบ คอื ผกั และผลไมส้ ดจะมเี อนไซม์
(๑.๓) เอมไซมด์ ังกลา่ วเปน็ อย่างไร
คำตอบ คือ เป็นตัวช่วยย่อยอาหารให้เป็นโมเลกุลที่เล็กที่สุดเข้าสู่กระแสเลือดไปใช้
ประโยชน์ในร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพมากทส่ี ุด และเร่งปฏกิ ริ ยิ าการยอ่ ยอาหารใหส้ มบูรณ์
(๒) พิจารณาหาคำสำคัญของยอ่ หนา้ นี้
ย่อหน้านี้มีคำสำคัญ ๒ คำ คือ “ผักและผลไม้สด” (หรือ ผักผลไม้) ซึ่งปรากฏซ้ำ ๒ คร้ัง
และ “เอนไซม”์ ซ่ึงปรากฏซำ้ ๕ คร้ัง
๑๖
(๓) เติมคำเชือ่ มส่วนขยายใจความสำคัญ เพือ่ ตดั สว่ นขยายใจความสำคญั ทง้ิ
จากย่อหนา้ ขา้ งต้นสามารถเติมคำเชื่อม “เพราะ” หนา้ ขอ้ ความ “เอนไซม์หลายชนิดเป็นเอนไซม์
ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้” ทำให้เหน็ ได้ว่าใจความสำคญั ของย่อหน้านี้ คือ “ผักและผลไมส้ ดจะมเี อนไซม์
ที่เป็นตัวช่วยย่อยอาหารให้เปน็ โมเลกุลที่เล็กที่สุดเข้าสู่กระแสเลือดไปใช้ประโยชน์ในร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ
มากที่สุด และเร่งปฏิกิริยาการย่อยอาหารให้สมบูรณ์” สอดคล้องกับคำตอบที่ได้จากการตั้งคำถามเพื่อทำ
ความเข้าใจภาพรวมของเนื้อหาทั้งหมด
ผักและผลไม้สดจะมีเอนไซม์ที่เป็นตัวช่วยย่อยอาหารให้เป็นโมเลกุลที่เล็กที่สุดเข้าสู่กระแสเลือดไปใช้
ประโยชน์ในร่างกายอยา่ งมปี ระสิทธิภาพมากที่สดุ และเร่งปฏิกริ ยิ าการย่อยอาหารใหส้ มบรู ณ์ เพราะเอนไซม์หลาย
ชนิดเป็นเอนไซม์ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ จึงต้องได้รับจากการรับประทานผักผลไม้เท่านัน้ เอนไซม์บาง
ชนิดยังชว่ ยเปลีย่ นอนุมูลอสิ ระเปน็ น้ำและออกซิเจน บางชนดิ ช่วยเผาผลาญพลังงาน สลายไขมันและกำจัดสารพิษ
ในรา่ งกาย
นอกจากนี้หากสังเกตเนื้อหาในตอนท้ายของย่อหน้าจะพบว่า เนื้อหาที่ปรากฏยังสนับสนุน
ใจความสำคัญของย่อหน้าน้ีใหช้ ดั เจนขึ้นด้วย ดังเห็นได้จากข้อความ “เอนไซม์บางชนิดยังชว่ ยเปล่ียนอนุมูลอิสระ
เป็นน้ำและออกซิเจน บางชนิดช่วยเผาผลาญพลังงาน สลายไขมันและกำจัดสารพิษในร่างกาย” ซึ่งมีลักษณะเป็น
คำสำคัญลักษณะท่ี ๒ ทเี่ ขียนตา่ งกนั แต่สอ่ื ความหมายเหมอื นกัน ปรากฏซ้ำ ๆ คือ
(๑) เอนไซมบ์ างชนิดยังช่วยเปลี่ยนอนุมูลอิสระเปน็ น้ำและออกซิเจน
(๒) บางชนดิ ช่วยเผาผลาญพลงั งาน
(๓) สลายไขมนั
(๔) กำจัดสารพษิ ในร่างกาย
สมั พนั ธ์กบั เนอ้ื หา “. . .ไปใชป้ ระโยชนใ์ นรา่ งกายอย่างมีประสิทธิภาพมากท่ีสดุ และเรง่ ปฏกิ ริ ิยาการย่อยอาหารให้
สมบูรณ์” ในใจความสำคญั ท่ีปรากฏตอนต้นย่อหน้า
คำตอบของแบบฝึกหัดข้อนี้จึงตอบข้อ ๒) ผักและผลไม้สดมีเอนไซม์ช่วยย่อยสารอาหารไปใช้ประโยชน์
ในรา่ งกาย
๑๗
๑๙. องค์การนาซากล่าวถงึ การค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะจากการส่งยานอวกาศไปสำรวจดาวเคราะห์
ที่มีขนาดใกล้เคียงกับโลกเมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๒ ยานอวกาศดังกล่าวจะมองหาดาวฤกษ์และดวงดาวที่อยู่ใกล้ ๆ
กาแล็กซที างชา้ งเผือกของเรา การคน้ พบคร้ังใหม่นีส้ ร้างความต่ืนเตน้ ให้แก่นักดาราศาสตร์เป็นอย่างมาก เน่ืองจาก
บรรดาดวงดาวท่คี ้นพบทงั้ ๑๐ ดวงซึ่งมขี นาดและอุณหภมู ิใกลเ้ คียงกบั โลก เอือ้ ตอ่ การอยอู่ าศยั ของสง่ิ มีชีวิต
ข้อใดคือใจความสำคญั ของข้อความขา้ งต้น (O–NET ม.๓)
๑) การค้นพบครัง้ นเี้ ปน็ การคน้ พบครงั้ ใหม่ซ่ึงนา่ ตน่ื เต้นมาก
๒) ดาวเคราะหท์ ้ัง ๑๐ ดวงนนี้ ่าจะมีขนาดและอณุ หภมู ใิ กล้เคียงกับโลก
๓) ข้อมูลการค้นพบดาวเคราะห์ได้มาจากยานอวกาศขององค์การนาซา
๔) องค์การนาซาคน้ พบดาวเคราะห์ ๑๐ ดวงนอกระบบสุริยะท่สี ิ่งมชี ีวติ อาจอยู่อาศัยได้
๒๐. จากขอ้ ความต่อไปน้ี ข้อความส่วนใดสามารถนำไปใช้เขียนย่อความได้ (O-NET ม.๓)
(๑) เชียงรายเป็นเมืองสำคัญของภาคเหนือที่เศรษฐกิจการค้ากำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะมีเส้นทาง
ขนส่งต่าง ๆ (๒) ทางน้ำมีแม่น้ำโขงไหลผ่านที่ติดต่อไปยังจีน เมียนมา และลาวได้สะดวก (๓) ทางบกมีสะพาน
มิตรภาพไทย - ลาว ๔ และถนนสายเอเชียหมายเลข ๒ ที่ไปสิ้นสุดที่จุดผ่านแดนถาวรพรมแดนไทย – เมียนมาใน
อำเภอแม่สาย (๔) ทางอากาศมีท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เป็นสนามบินที่สามารถขนส่งสินค้าระหว่าง
ประเทศได้ (๕) ด้วยทำเลที่ตั้งและระบบขนส่งทั้งทางน้ำ ทางบก และทางอากาศนี้เองที่ทำให้จังหวัดนี้เจริญ
อย่างมาก
๑) ส่วนท่ี (๑) และ ส่วนที่ (๔) ๒) สว่ นท่ี (๑) และ ส่วนที่ (๕)
๓) ส่วนท่ี (๒) และ สว่ นที่ (๓) ๔) ส่วนท่ี (๓) และ สว่ นท่ี (๕)
๓.๕ “สังเกตไวค้ ำขัดแยง้ ”
สงั เกตคำหรือกลุ่มคำแสดงความขัดแย้งหรือตรงขา้ มกนั ท่ีปรากฏในยอ่ หน้า
ปกติแล้วข้อความหรือประโยคแต่ละประโยคที่เรียงต่อกันในย่อหน้านั้นจะมีเนื้อหาเกี่ยวโยง
ต่อเนื่องสัมพันธ์กัน การลำดับความคิดและการเชื่อมโยงความคิดเป็นไปอย่างมีระเบียบ ชัดเจน “ประดุจนำมะลิ
แต่ละดอกมาร้อยเป็นวงรอบจนเป็นพวงมาลยั ท่ีเป็นระเบียบสวยงาม ทำใหผ้ ู้อ่านสามารถตดิ ตามเนื้อเรื่องได้ง่ายไม่
สบั สนวกวน อ่านแลว้ ไดเ้ นือ้ ความท่ีสมบรู ณ์แจ่มแจง้ ” (ราตรี ธนั วารชร, ๒๕๔๒, น.๘๒)
วิธีหนึ่งที่ทำให้ย่อหน้าเกิดการเชื่อมโยง คือ การใช้คำหรือกลุ่มคำเป็นเครื่องเชื่อมความ คำหรือ
กลุ่มคำที่เป็นเครื่องเชื่อมในย่อหน้านัน้ มหี ลายลักษณะ แต่มีคำหรือกลุม่ คำลกั ษณะหนึ่งท่ีช่วยให้จบั ใจความสำคญั
ได้ง่ายขึ้น คือ คำหรือกลุ่มคำแสดงความขัดแยง้ หรือตรงข้ามกัน เช่น เช่น แต่ ทว่า แต่หาก แต่ว่า แต่ทว่า อย่างไร
ก็ดี ในทางตรงข้าม ในทางกลับกนั ถึงแม้...แต่ ฯลฯ เพราะใจความสำคัญท่ผี ู้เขยี นต้องการสอ่ื ในย่อหน้าน้ันอาจอยู่
หลังคำหรือกลุ่มคำดังกลา่ ว
๑๘
แบบฝกึ หัด
๒๑. ข้อใดเป็นชือ่ เรือ่ งที่สอดคล้องกับข้อความตอ่ ไปนี้ (O-NET ม.๓)
กำแพงเมืองจีนสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันข้าศึก แต่นักประวัติศาสตร์ต่างลงความเห็นว่ากำแพงเมืองจีนน้ัน
ไม่สามารถป้องกันข้าศึกได้ เพราะข้าศึกสามารถโอบล้อมป้อมปราการเข้ามาได้หลายครั้ง เช่น กองทัพแทนจู
สามารถยกพลข้ามกำแพงมาพิชิตแผ่นดินจีนได้ส่วนหนึ่ง นอกจากกำแพงเมืองจีนจะไม่สามารถป้องกันข้าศึก
ทางบกได้แล้ว เมื่อกองทัพชาติยุโรปยกทัพมาทางทะเล ก็ยังสามารถกดดันให้จีนยอมจำนนได้สำเร็จในศตวรรษ
ท่ี ๑๙
๑) ความล้มเหลวของกำแพงเมอื งจนี ๒) มลู เหตุของการสรา้ งกำแพงเมอื งจนี
๓) กองทพั แมนจูผู้พิชิตกำแพงเมอื งจีน ๔) กำแพงเมืองจนี กบั การปอ้ งกันขา้ ศกึ ทางน้ำ
จากตัวอย่างข้างต้น เมื่อพิจารณาคำสำคัญจะพบว่า มี ๒ คำ คือ คำว่า “กำแพงเมืองจีน” และ
“ไมส่ ามารถปอ้ งกันขา้ ศึก” ซึ่งสอื่ ความหมายถงึ “ยอมจำนน” ดว้ ย จากน้นั จึงพจิ ารณาตัดส่วนขยายใจความสำคัญ
ที่ปรากฏ ดงั น้ี
(๑) “เพราะขา้ ศึกสามารถโอบล้อมป้อมปราการเข้ามาได้หลายครั้ง” เพราะเปน็ การให้เหตุผลที่สนับสนุน
ข้อความ “นักประวัติศาสตรต์ า่ งลงความเห็นวา่ กำแพงเมอื งจนี นั้นไมส่ ามารถป้องกันข้าศึกได้”
(๒) “เช่น กองทัพแทนจูสามารถยกพลข้ามกำแพงมาพิชิตแผ่นดินจีนได้ส่วนหนึ่ง” เพราะเป็นการ
ยกตัวอยา่ งสนบั สนนุ ข้อความ “เพราะขา้ ศึกสามารถโอบล้อมป้อมปราการเข้ามาไดห้ ลายครัง้ ”
กำแพงเมืองจีนสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันข้าศึก แต่นักประวัติศาสตร์ต่างลงความเห็นว่ากำแพงเมืองจีนนั้น
ไม่สามารถป้องกันข้าศึกได้ เพราะข้าศึกสามารถโอบล้อมป้อมปราการเข้ามาได้หลายครั้ง เช่น กองทัพแทนจู
สามารถยกพลข้ามกำแพงมาพิชิตแผ่นดินจีนได้ส่วนหนึ่ง นอกจากกำแพงเมืองจีนจะไม่สามารถป้องกันข้าศึก
ทางบกได้แล้ว เมื่อกองทัพชาติยุโรปยกทัพมาทางทะเล ก็ยังสามารถกดดันให้จีนยอมจำนนได้สำเร็จในศตวรรษ
ที่ ๑๙
เมื่อตัดส่วนขยายใจความสำคัญแล้วจะสังเกตได้ว่า ในย่อหน้านี้มีการใช้คำว่า “แต่” แสดงความขัดแย้ง
หรือตรงข้ามกันในย่อหน้า ใจความสำคัญที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอก็คือ “นักประวัติศาสตร์ต่างลงความเห็นว่า
กำแพงเมืองจนี นน้ั ไมส่ ามารถป้องกันขา้ ศกึ ได้”
ส่วนเนื้อหาในตอนท้าย “เมื่อกองทัพชาติยุโรปยกทัพมาทางทะเล ก็ยังสามารถกดดันให้จีนยอมจำนนได้
สำเร็จในศตวรรษที่ ๑๙” ก็เป็นส่วนขยายในลักษณะการยกตัวอย่างเพื่อสนับสนุนใจความสำคัญให้ชัดเจนขึ้น
กลา่ วคือ แสดงให้เห็นว่า กำแพงเมืองจีนไม่สามารถป้องกันข้าศึกทั้งทางบกและทางทะเล
คำตอบของแบบฝกึ หัดข้อน้ีจงึ ตอบขอ้ ๑) ความลม้ เหลวของกำแพงเมืองจีน
๑๙
๒๒. ขอ้ ใดเป็นใจความสำคัญของขอ้ ความต่อไปนี้ (O–NET ม.๓)
คนเราเกิดมาไม่มีใครสามารถอยู่ตัวคนเดียวได้ ต่างต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันทั้งนั้น ยิ่งเรารู้จักคน
มากเท่าใด ก็ยิ่งเป็นคนกว้างขวางและจะเป็นประโยชน์แก่ตัวเราเองมากขึ้นเท่านั้น ความสำเร็จทุกอย่างไม่ว่า จะ
เปน็ ทางราชการ ทางการค้าหรือในกจิ การสว่ นตวั ลว้ นขึ้นอยกู่ ับความกว้างขวางของตัวเราเป็นสำคัญ ฉะนั้นการมี
เพื่อนจึงจำเป็นที่สุด เราจะต้องพยายามรู้จักคนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้โดยไม่ต้องเลือกว่าใครเป็นใคร แต่ว่า
การคบเพื่อนน้นั มที งั้ คุณและโทษ ฉะนั้นจึงต้องระวงั ใหม้ าก
๑) ทุกคนตอ้ งพึง่ พาอาศัยกัน
๒) การคบเพื่อนจะต้องรอบคอบ
๓) คนเราจะขาดการคบเพ่อื นไมไ่ ด้
๔) การรู้จกั คนมากเป็นประโยชนใ์ นการทำงาน
๒๓. ขอ้ ใดเป็นสาระสำคัญของขอ้ ความต่อไปนี้ (วิชาสามญั ม.๖)
มนุษยน์ นั้ ถ้าไมฝ่ ึกอาจจะด้อยกว่าสัตว์ เพราะสัตว์ทั้งหลายอาศัยสัญชาตญาณได้มากกว่ามนุษย์ จะเห็นได้
จากการที่สัตว์หลายชนิดเมื่อเกิดมาก็เดินได้ ง่ายน้ำได้ หากินได้ แต่มนุษย์เมื่อเกิดมานั้นทำอะไรไม่ได้เลย ทิ้งไว้ก็
ตายสู้สัตวอ์ น่ื ไมไ่ ด้ ถ้ามนษุ ยไ์ มม่ ีการฝกึ ฝนกแ็ พ้สตั ว์ แต่ถา้ ฝกึ ดีแลว้ ก็ไม่มสี ัตวช์ นิดใดสูไ้ ดเ้ ลย
๑) สัตวท์ ำสิ่งตา่ ง ๆ ได้โดยไม่ต้องไดร้ ับการฝึกฝน
๒) สภาพดงั้ เดิมของมนษุ ยม์ ลี กั ษณะดอ้ ยกว่าสตั ว์
๓) มนษุ ยใ์ ช้ประโยชนจ์ ากสัญชาตญาณได้นอ้ ยกวา่ สตั ว์
๔) มนษุ ย์จะดีกว่าสัตว์ได้กต็ ่อเม่อื ไดร้ ับการฝกึ ฝนพฒั นา
๕) สญั ชาตญาณของมนุษยด์ อ้ ยกวา่ สญั ชาตญาณของสตั ว์
๒๔. คำกลา่ วตอ่ ไปนใ้ี หข้ อ้ คดิ สำคัญตามข้อใด (O–NET ม.๓)
ก่อนเรากลับจากโรงเรียน เราจะบอกเพื่อน ๆ ว่า พรุ่งนี้เจอกันนะ เวลาคุยโทรศัพท์กับเพื่อน แล้วนัดกัน
เราก็จะบอกว่า พรุ่งนี้เจอกันนะ เวลาไปเดินห้างกับเพื่อน พอแยกกัน เราก็จะบอกเพื่อนว่า พรุ่งนี้เจอกันนะ...ไม่มี
ใครรวู้ า่ ระหว่างพรงุ่ นก้ี ับชาติหนา้ อยา่ งไหนจะมาถึงก่อนกนั
๑) ชีวติ ไม่เที่ยงแทแ้ น่นอน
๒) การทำความดีไมต่ อ้ งรอพรุ่งนี้
๓) เพ่ือนคือสว่ นเตมิ เตม็ ของชีวิต
๔) วัยเรยี นเป็นวยั ที่มคี วามสขุ ที่สุด
๒๐
๒๕. ชาวบ้านชมุ ชนดอกลำโพงตัง้ บ้านเรือนอยู่ริมคลองมาตั้งแต่รัชกาลไหนจำไม่ได้ สืบทอดลูกหลานมาสิบรุ่น
ยังมีภาพถ่ายเป็นหลักฐาน พวกเขาจับปลากันในคลองเพือ่ ไว้กินเหลือกินก็ขาย มาในยุคก่อสร้างรุ่งเรืองมีธุรกิจดดู
ทรายในคลองไปขาย บ้านเมืองเจรญิ ข้ึน มีหลายคนใช้เรือวิ่งเร็วเพื่อความสะดวก มีกระทั่งพานักท่องเทีย่ วเขา้ ไปดู
วิถีริมน้ำ ด้วยเหตุเหล่านี้ทำให้น้ำเซาะตลิ่งเข้าไปถึงใต้ถุนบ้าน เรื่องราวนี้กลับตาลปัตรเป็นชาวบ้านถูกกล่าวหาวา่
ปลกู บา้ นรุกลำ้ ลำน้ำ
ขอ้ ใดเป็นแนวคดิ สำคญั ของข้อความข้างต้น (วชิ าสามัญ ม.๖)
๑) บา้ นดอกลำโพงเปน็ ชุมชนโบราณริมนำ้ ที่ควรอนุรกั ษไ์ วใ้ หน้ ักทอ่ งเทย่ี วได้ชม
๒) ธรุ กิจและการดำเนินชวี ติ บางอยา่ งทเี่ ปลี่ยนไปทำให้วิถชี ีวติ ด้ังเดมิ ของชาวบ้านริมนำ้ ประสบชะตากรรม
๓) การกล่าวหาชาวบา้ นที่มบี ้านเรอื นริมคลองมาแตโ่ บราณวา่ บุกรุกทางนำ้ เปน็ เรื่องที่ไมเ่ ปน็ ธรรม
๔) เวลานับรอ้ ยปกี ลนื กนิ ชีวิตความเปน็ อยูแ่ บบดั้งเดิมของชาวบ้านจนไมอ่ าจยื้อใหห้ วนคนื
๕) วถิ ชี ีวิตตลอดจนบ้านเรือนของชาวบ้านรมิ น้ำถูกทำลายเพราะการกระทำของคนบางกลุ่มโดยไม่มีคนรับผิดชอบ
๓.๖ หากย่อหน้านั้นไม่ปรากฏประโยคใจความสำคัญ ต้องพิจารณาเนื้อความในบริบทอื่น ๆ
โดยเฉพาะข้อความในย่อหน้าก่อนและหลัง โดยนำใจความสำคัญหรือความคิดหลักที่กระจายอยู่ในย่อหน้าน้ัน
นำมาประมวลและเรียบเรยี งใหเ้ ปน็ ประโยคใจความสำคัญด้วยสำนวนภาษาของตนเอง
ตัวอยา่ ง
พชื ที่คนไทยนำรากมาใช้ย้อมผ้า เช่น ขม้ิน ขา่ และยอป่า พชื ท่ีคนไทยนำลำต้นมาใช้ย้อมผ้า ได้แก่ มะพูด
หากใชเ้ ฉพาะส่วนเปลอื กนน้ั มีหลายชนดิ เชน่ กราย ฉำฉา กระหดู โกงกาง ปอแดง และประดู่ สว่ นพืชท่ีเรานำแกน่
ของเนื้อไม้มาใช้ย่อมผ้า คือ ขนุน ขี้เหล็ก และเข พืชที่เรานำผลของมันมาใช้ในการย้ อมผ้า คือ กระจาย หว้า
มะเกลือ และตะโก เมล็ดจากผลก็สามารถนำมาใชย้ ้อมผา้ ได้ด้วย เช่น คำแสด พืชที่เรานำดอกมาใช้ในการยอ้ มผ้า
คือ อัญชัน และคำฝอย พืชที่ใบให้สีในการย้อมผ้า ได้แก่ หูกวาง และคราม ซึ่งครามนั้นนอกจากจะใช้ใบจาก
ตน้ ครามย้อมผ้าได้แลว้ เรายงั สามารถใชก้ ่งิ ของมนั ในการยอ้ มผ้าได้ดว้ ย
(ปรับจาก ดาวรัตน์ ชูทรัพย์, ๒๕๔๗, น.๑๗๔ - ๑๗๕)
จากตัวอยา่ งขา้ งต้น เมอื่ อ่านย่อหนา้ จบแลว้ สงิ่ ทตี่ ้องพิจารณาในการจบั ใจความสำคญั คือ
(๑) ยอ่ หนา้ นก้ี ล่าวถงึ เรือ่ งอะไร
คำตอบคือ เรอื่ งเก่ยี วกบั การใช้ส่วนต่าง ๆ ของพืชมายอ้ มผา้ ของคนไทย
(๒) พจิ ารณาหาคำสำคญั ของยอ่ หน้าน้ี
คำสำคัญลักษณะที่ ๑ ท่ีปรากฏซ้ำ ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบในย่อหน้าคือ คำว่า “พืช” “คนไทย” ซึ่งใน
บางประโยคจะใช้คำว่า “เรา” แทนคำว่า “คนไทย” และ “ย้อมผ้า”
ส่วนคำสำคัญลักษณะที่ ๒ ในย่อหน้า คือ คำว่า “ราก” “ลำต้น” “เปลือก” “แก่นของเนื้อไม้” “ผล”
“เมล็ดจากผล” “ดอก” “ใบ” และ “กิ่ง” จะเหน็ ได้วา่ ทกุ คำนน้ั ส่ือถึงสว่ นต่าง ๆ ของพชื
๒๑
(๓) พิจารณาเนอื้ ความทเ่ี ป็นสว่ นประกอบคำสำคญั เพ่ือตัดสว่ นขยายใจความสำคญั
เนื้อความที่เป็นส่วนประกอบคำสำคัญ คือ การอธิบายให้รายละเอียดเกี่ยวกับส่วนต่าง ๆ ของพืชท่ี
คนไทยนำมาใช้ย้อมผ้า คือ ราก ลำต้น เปลือก แก่นของเนื้อไม้ ผล เมล็ดจากผล ดอก ใบ และกิ่ง ประกอบกับ
การยกตัวอยา่ งพชื ทคี่ นไทยนำส่วนต่าง ๆ แต่ละส่วนนน้ั มาใชย้ อ้ มผ้า สังเกตจากคำว่า “เชน่ ” “ไดแ้ ก่” และ “คอื ”
ทั้งหมดนค้ี ือสว่ นขยายใจความสำคัญทต่ี อ้ งตดั ทิง้
(๔) นำใจความสำคัญมาเรียบเรียงเป็นประโยคใจความสำคัญด้วยสำนวนภาษาของผู้อ่าน โดยคงตาม
เนื้อความเดิม จากตัวอย่างข้างต้น ประโยคใจความสำคัญของย่อหน้านี้คือ “คนไทยนำส่วนต่าง ๆ ของพืชมา
ใช้ยอ้ มผา้ ”
แบบฝกึ หัด
๒๖. ยี่โถเป็นไม้ดอกสวยงามและอยู่ในสวนมานานจคนคุ้นเคย แต่ยี่โถก็เป็นไม้มีพิษในทุกส่วนของต้น ทั้งราก
ก่งิ ก้าน ดอก ผล เมลด็ แม้กระทงั่ ควันไฟทีเ่ กิดจากการเผาไม้ชนิดนี้ก็ยงั เป็นพิษ สารพษิ ในย่ีโถออกฤทธิ์โดยตรงต่อ
หัวใจ คือเพิ่มแรงบีบของหัวใจ ขณะเดียวกันก็ทำให้หัวใจเต้นช้าลง จนหยุดทำงานในที่สุด ผู้ที่กินส่วนของยี่โถ
เข้าไปภายใน ๑ ถึงหลายชั่วโมงแล้วแต่ปริมาณ จะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน น้ำมูกน้ำลายไหล จากนั้นจะปวดท้อง
รุนแรง ท้องเสีย เป็นตะคริว ปวด มึนงงศีรษะ ถ้าตรวจร่างกายจะพบว่าหัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ คลื่นไฟฟ้ าหัวใจ
ผิดปกติ ในรายท่อี าการรุนแรงและไมไ่ ด้รับการรักษาจะเสียชีวติ ด้วยภาวะหวั ใจวาย
ใจความสำคัญ คือ______________________________________________________________
๒๗. ถ้าบอกว่ามีสีเขียวทั้งเผ็ดและฉุนขึ้นจมูกใช้รับประทานคู่กับปลาดิบ คุณคงต้องนึกถึงวาซาบิเป็นแน่
บางคนอาจจะร้องยี้ด้วยไม่ชอบรสชาติของมัน แต่รู้หรือไม่ว่าสารในวาซาบิที่ให้รสเผ็ดและกลิ่นฉุนนั้นมีสรรพคุณ
ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดฟันผุ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเอนไซม์ที่
ก่อให้เกิดหินปูนบนฟัน ช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตัน ช่วยต่อต้านแบคทีเรียและเชื้อราที่ทำให้อาหารเป็นพิษ
นอกจากนย้ี ังมีฤทธ์ิต้านมะเร็ง เชน่ มะเร็งปอด ลำไส้ใหญ่ ตับ หลอดอาหาร และเต้านมอีกด้วย
ใจความสำคัญ คอื ______________________________________________________________
๒๒
“พลกิ แพลงไดท้ ุกบทอา่ น”
ตัวอยา่ งแบบฝกึ หดั การอ่านจบั ใจความสำคญั บทอ่านหลายยอ่ หน้าและบทอ่านท่มี ีรูปภาพประกอบ
๒๘. จงสรุปใจความสำคัญของบทอ่านต่อไปนี้ เขียนด้วยตัวบรรจงครึ่งบรรทัดโดยใช้ภาษาไทยมาตรฐาน
(ภาษาไทยกลาง) ความยาวไมเ่ กนิ ๓ บรรทัด (O–NET ป.๖)
(๑) ร่างกายมนุษย์มีน้ำเป็นองค์ประกอบหลัก ในแต่ละเซลล์จะมีน้ำเป็นองค์ประกอบร้อยละ ๖๐ ในสมองมี
น้ำเป็นองค์ประกอบร้อยละ ๘๕ และในเลือดมีนำ้ เป็นองค์ประกอบรอ้ ยละ ๙๒
(๒) การดื่มน้ำอย่างถูกต้องและเหมาะสมจะส่งผลดีต่อร่างกาย เช่น ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่งสดใส ช่วยป้องกัน
การเกิดริ้วรอย ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแห้งกร้าน ช่วยให้ดวงตาสดใส ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย ทำให้เซลล์ต่าง ๆ
ในร่างกายไม่ขาดน้ำและทำงานได้อย่างเป็นปกติ ช่วยควบคุมอุณหภมู ิในร่างกายให้คงที่ ช่วยสรา้ งภูมิคุ้มกันท่ีและ
ป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆ ที่จะเข้าสู่ร่างกายได้อีกด้วย อาจกล่าวได้ว่า น้ำก็คือยาวิเศษดี ๆ นี่เอง อย่างไรก็ตาม
การได้รบั น้ำปริมาณมากเกินไปจะทำให้ไตทำงานหนักข้ึน ทำให้เลอื ดเจือจาง แรงดนั ในการดูดซึมของสารอาหารสู่
เซลล์น้อยลง ปริมาณน้ำในเซลล์เพิ่มขึ้นทำให้เซลล์บวมน้ำ ก่อให้เกิดภาวะน้ำเป็นพิษ จะเห็นได้ว่า การดื่มน้ำมาก
จนเกินไปกก็ ่อให้เกิดโทษไดเ้ ช่นเดียวกนั
(๓) การดื่มน้ำอย่างถูกวิธีคือการดื่มน้ำอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนมากหรือเย็นจัด และควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ
๘ แก้ว โดยดื่มในช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น ดื่มหลังตื่นนอนประมาณ ๒ แก้ว หลังจากนั้นควรดื่มก่อนมื้ออาหาร
ประมาณ ๑ ชวั่ โมง และจบิ ทุก ๆ ๕ - ๑๐ นาทตี ลอดวนั
ใจความสำคญั
ย่อหน้าที่ (๑) ______________________________________________________________________
ย่อหน้าท่ี (๒) ______________________________________________________________________
ย่อหน้าท่ี (๓) ______________________________________________________________________
เรยี บเรียง
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
___________________________________________________________________________________
๒๓
๒๙. จากข้อมูลท่ีปรากฏในภาพข้อใดสรปุ ถูกต้อง (O–NET ม.๓)
๑) ในบรรดาขนมไทยทกุ ชนิดลอดชอ่ งน้ำกะทมิ ีปรมิ าณน้ำตาลในขนมน้อยทส่ี ดุ
๒) ระหว่างทองหยอดกบั ฝอยทอง หากเลอื กกินฝอยทองจะได้รับปริมาณน้ำตาลน้อยกว่า
๓) ข้าวเหนียวหน้าปลาแหง้ กับหนา้ สงั ขยามีปรมิ าณนำ้ ตาลทตี่ ่างกนั เพราะหนา้ ขนมท่ใี ช้
๔) ข้าวตม้ จิม้ และขนมกล้วยแมจ้ ะมสี ว่ นผสมคลา้ ยกัน แต่ขนมกลว้ ยใชน้ ำ้ ตาลมากกวา่
๒๔
๔. สิ่งท่คี วรคำนึงในการจบั ใจความสำคัญ
การจับใจความสำคัญนั้น แม้จะมีหลักและวิธีการดังกล่าวแล้ว แต่ทุกครั้งที่จับใจความสำคัญควรคำนึงถงึ
ประเดน็ ต่าง ๆ ดังน้ี (ฐติ ิรัตน์ ลดาวลั ย,์ ๒๕๕๖, น.๕๖ - ๕๗)
๔.๑ วตั ถปุ ระสงค์
การจับใจความสำคัญควรวิเคราะห์ทุกครั้งว่า ผู้เขียนมีวัตถุประสงค์อย่างไรในการส่งสาร
โดยเฉพาะการจบั ใจความสำคัญจากการอ่านในย่อหน้าท่ีไม่ปรากฏรปู ประโยคใจความสำคัญ เพราะจะทำให้เข้าใจ
สารน้ันมากข้นึ ทำใหจ้ ับใจความสำคญั ไดอ้ ย่างถกู ต้อง
๔.๒ ประเภทของสาร
การจับใจความสำคัญของสารแต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน เช่น หากจับใจความสำคัญจาก
ข่าว หรือบันเทิงคดีต่าง ๆ เช่น นวนิยาย เรื่องสั้น บทละคร การจับใจความสำคัญจะเป็นลักษณะการจับใจความ
รวมของทั้งเรอ่ื ง ไม่จำเป็นตอ้ งจบั ใจความทลี ะย่อหน้า หากเนือ้ หาสาระมีความยาวมากกค็ วรจบั ใจความเปน็ ตอน ๆ
แล้วจึงนำมาประมวลเปน็ ใจความสำคญั ของเรอื่ ง
๔.๓ วิธีการเขียนของผู้เขียน
ปกติแลว้ ในหนึ่งย่อหน้าจะมีใจความสำคญั ประการเดียว แตผ่ เู้ ขยี นบางคนอาจเขยี นย่อหน้าโดยมี
ใจความสำคญั มากกวา่ หนึ่งข้อความ หรือเขยี นเปน็ ย่อหนา้ สัน้ ๆ โดยแต่ละบรรทดั จะมีใจความสำคญั หรือไม่กไ็ ด้
การจับใจความสำคญั ลักษณะนค้ี วรจบั ใจความสำคญั รวมทั้งเร่อื ง
การจับใจความสำคญั เป็นเร่ืองที่ผู้เรียนต้องศึกษาและฝึกฝน โดยตอ้ งเข้าใจวิธกี ารจับใจความสำคัญ เข้าใจ
สารที่ได้รับ ตลอดจนวัตถุประสงค์ของผู้เขียน การจับใจความสำคัญจึงจะบรรลุผล ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาและ
ความคดิ ของผเู้ ขียน ซึ่งจะเป็นประโยชนใ์ นการอา่ นขนั้ สูง คอื การอ่านวเิ คราะห์และตคี วามตอ่ ไป
บรรณานุกรม
ฐติ ริ ัตน์ ลดาวัลย์, ม.ล. (๒๕๕๖). “การอ่านจับใจความสำคัญ,” การใชภ้ าษาไทย (พิมพ์คร้ังท่ี ๕).
มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ ภาควชิ าภาษาไทย. หนา้ ๔๗ - ๕๘.
ดาวรตั น์ ชทู รพั ย์. (๒๕๔๗). หน่ึงรอ้ ยพันผสาน. กรงุ เทพมหานคร: บริษัท นิพลฟิล์ม จำกัด.
ถนอมวงศ์ ลำ้ ยอดมรรคผล. (๒๕๖๑). การอา่ นใหเ้ กง่ (พิมพค์ รง้ั ที่ ๑๗). นนทบุรี: ภาพพิมพ์.
รตั นา ชาฤทธิ.์ (๒๕๔๖). “มลู สถานแหง่ ราชวงศ์,” ภาษาไทยวันน้ี เล่ม ๗. กรุงเทพมหานคร:
โรงพิมพ์ครุ ุสภาลาดพรา้ ว, หน้า ๑๗๑ - ๑๗๓.
ราตรี ธันวารชร. (๒๕๔๒). “การเขียนย่อหน้า,” การใช้ภาษาไทย ๑ (พิมพ์คร้งั ท่ี ๓). มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
คณะศิลปศาสตร์ ภาควชิ าภาษาไทย. หน้า ๗๕ - ๙๕.
ส.พลายน้อย. (๒๕๖๐). เกดิ ในเรือ. กรุงเทพมหานคร : พิมพค์ ำ.
๒๕
ตวั อยา่ งข้อสอบการอ่าน PISA
ลำดบั ที่ ๒๕ ราปานุย
๒๖
๑. จากข้อมูลในบลอ็ ก อาจารยท์ ่านน้ีเร่มิ งานภาคสนามของเธอเมื่อใด
๑) ในช่วงครสิ ต์ทศวรรษ ๑๙๙๐
๒) เกา้ เดอื นท่ีแลว้
๓) หนง่ึ ปีทีแ่ ลว้
๔) ในช่วงต้นเดอื นพฤษภาคม
๒. ในย่อหน้าสุดท้ายของบล็อก อาจารย์เขียนว่า “มีอีกหนึ่งความลี้ลับที่ยังคงอยู่...” ความลี้ลับที่อาจารย์
กลา่ วถงึ คืออะไร
ตอบ ________________________________________________________________________
๒๗
บทวิจารณข์ องหนังสือ ล่มสลาย
(๑) หนังสือเล่มใหม่ของจาเร็ด ไดมอนด์ เรื่อง ล่มสลาย เป็นคำเตือนอย่างชัดเจนถึงผลที่จะตามมาจาก
การทำลายสิ่งแวดล้อมของพวกเรา ในหนังสอื เล่มน้ี ผ้แู ตง่ ไดบ้ รรยายถงึ หลายอารยธรรมทีล่ ่มสลายลงเน่ืองจากสิ่งท่ี
พวกเขาไดเ้ ลือกทำ และผลกระทบของการกระทำเหลา่ นั้นท่ีมีตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม ตัวอย่างที่นา่ สะเทือนใจท่ีสดุ เรอื่ งหน่ึง
ในหนังสอื เล่มน้ี คือ ราปานยุ
(๒) ตามที่ผู้แต่งได้เขียนไว้ ชาวโพลีนีเชียนมาตั้งถิ่นฐานที่ราปานุยในช่วงหลังจากปีคริสต์ศักราช ๗๐๐
พวกเขาพฒั นาจนเป็นสงั คมท่ีรงุ่ เรืองซึ่งมีประชากรราว ๑๕,๐๐๐ คน พวกเขาแกะสลักโมอายซงึ่ เป็นรูปแกะสลักที่
มีชื่อเสียง และใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่พวกเขามีเพื่อเคลื่อนย้ายโมอายขนาดมหึมาเหล่านี้ไปยังสถานที่ต่าง ๆ
รอบเกาะ เม่อื ชาวยโุ รปกลุม่ แรกเดนิ ทางเขา้ มาที่
(๓) ราปานุยในปี ๑๗๒๒ โมอายยังคงอยู่บนเกาะ แต่ต้นไม้กลับหายไปหมดแล้ว จำนวนประชากรที่ลดลง
เหลือไม่กี่พันคนกำลังดิ้นรนเพื่อการอยู่รอด ไดมอนด์เขียนไว้ว่า ชาวราปานุยถางป่าเพื่อใช้ที่ดินในการเพาะปลูก
และเพื่อจุดประสงค์อืน่ ๆ และพวกเขายังได้ล่านกหลากหลายสายพันธุ์มากจนเกินไปท้ังนกทะเลและนกปา่ ท่ีอาศัย
อยู่บนเกาะ เขาคาดเดาว่าการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติทำให้เกิดสงครามกลางเมืองและการล่มสลายของ
สังคมราปานุย
(๔) หนังสือที่ยอดเยี่ยมแต่ก็น่าตื่นตระหนกเล่มนี้ได้ให้บทเรียนว่า จากอดีตที่ผ่านมา มนุษย์เลือกที่จะทำลาย
สิง่ แวดลอ้ มของพวกเขาเองดว้ ยการตดั ต้นไม้ท่ีมีทงั้ หมดและการลา่ สตั วส์ ายพนั ธ์ุตา่ ง ๆ จนสญู พันธ์ุ หากมองในแง่ดี
ผู้แต่งชี้ให้เห็นว่า ในวันนี้พวกเราสามารถเลือกที่จะไม่ทำผิดเช่นเดิมอีก หนังสือเล่มนี้เขียนได้ดีมากและควรค่า
แกก่ ารอา่ นสำหรบั ทกุ คนท่หี ว่ งใยส่งิ แวดล้อม
๓. ข้อความขา้ งล่างมาจากบทวจิ ารณข์ องหนังสือ ลม่ สลาย ขอ้ ความเหลา่ นเ้ี ปน็ ขอ้ เท็จจริงหรือความคิดเหน็
ข้อความนเ้ี ปน็ ข้อเท็จจรงิ หรือความคดิ เหน็ ข้อเทจ็ จริง ความคดิ เหน็
ในหนังสือเล่มนี้ ผู้แต่งได้บรรยายถึงหลายอารยธรรมที่ล่มสลายลงเนื่องจากสิ่งท่ี
พวกเขาไดเ้ ลอื กทำ และผลกระทบของการกระทำเหล่านน้ั ที่มีตอ่ ส่ิงแวดลอ้ ม
ตัวอยา่ งที่น่าสะเทือนใจท่สี ุดเรอ่ื งหน่งึ ในหนงั สือเลม่ น้ี คอื ราปานยุ
พวกเขาแกะสลักโมอายซงึ่ เปน็ รปู แกะสลกั ท่มี ีชือ่ เสียง และใชท้ รัพยากรธรรมชาติ
ทพี่ วกเขามีเพอ่ื เคล่ือนยา้ ยโมอายขนาดมหึมาเหลา่ นี้ไปยงั สถานที่ตา่ ง ๆ รอบเกาะ
เมื่อชาวยุโรปกลุ่มแรกเดินทางเข้ามาที่ราปานุยในปี ๑๗๒๒ โมอายยังคงอยู่
บนเกาะ แต่ต้นไม้กลับหายไปหมดแล้ว
ห น ั ง ส ื อ เ ล ่ ม น ี ้ เข ี ย น ไ ด ้ ดี ม า ก แล ะ ค ว ร ค่ า แก ่ ก า ร อ ่ า น ส ำ ห ร ับ ท ุ ก ค น ท ี ่ห ่ว งใย
สงิ่ แวดล้อม
๒๘
ข่าววิทยาศาสตร์
หนูจด๊ี ทำลายตน้ ไม้ของราปานยุ ใช่หรือไม่ ?
โดย ไมเคลิ คมิ บอลล์ ผู้รายงานขา่ ววทิ ยาศาสตร์
(๑) ในปี ๒๐๐๕ จาเร็ด ไดมอนด์ ได้ตีพิมพ์หนังสือ ล่มสลาย ในหนังสือเล่มนี้ เขาได้บรรยายเกี่ยวกับ
การตั้งถน่ิ ฐานของมนุษยท์ ี่ราปานยุ (เรยี กอกี ชื่อหน่ึงวา่ เกาะอสี เตอร)์
(๒) หลังจากหนังสือเล่มนี้ได้มีการตีพิมพ์เผยแพร่ไม่นานนัก ก็ทำให้เกิดการโต้เถียงกันอย่างมาก
นักวิทยาศาสตร์หลายท่านตั้งข้อสงสัยต่อทฤษฎีของไดมอนด์เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนราปานุย พวกเขา
เห็นด้วยว่าเมื่อชาวยุโรปกลุ่มแรกได้เดินทางมาถึงเกาะในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ ต้นไม้ขนาดมหึมาได้หายไปแล้ว
แตพ่ วกเขาไมเ่ หน็ ด้วยกบั ทฤษฎีของจาเรด็ ไดมอนด์เกยี่ วกับสาเหตขุ องการหายไปของตน้ ไม้
(๓) ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์สองท่าน ได้แก่ คาร์ล ลิโป และเทอร์รี่ ฮันท์ ได้เผยแพร่ทฤษฎีใหม่ พวกเขา
เชื่อว่าหนูจีด๊ กนิ เมล็ดของต้นไม้ จึงเป็นการยับย้ังไม่ให้ต้นไม้งอกใหม่ได้ พวกเขาเชื่อว่าหนูชนิดนี้ถกู นำมาพร้อมกบั
เรือแคนทู ีผ่ ู้ตงั้ ถนิ่ ฐานกลมุ่ แรกใช้เพือ่ ขึ้นฝ่ังบนราปานุย อาจจะด้วยความบงั เอิญหรอื จงใจก็ได้
(๔) การศึกษาได้แสดงให้เห็นว่า ประชากรของหนูสามารถเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทุก ๆ ๔๗ วัน นั่นเป็น
หนูจำนวนมากที่จะต้องหาอาหารกิน เพื่อเป็นการสนับสนุนทฤษฎีของพวกเขา ลิโปและฮันท์ชี้ให้เห็นถึงซากของ
เมล็ดต้นปาล์มซึ่งมีรอยกัดแทะที่เกิดจากหนูแน่นอน พวกเขายอมรับว่ามนุษย์มีบทบาทสำคัญในการทำลาย
ปา่ ไม้ของราปานุย แต่พวกเขาก็เชือ่ วา่ ในบรรดาปจั จยั ต่าง ๆ หนจู ีด๊ เปน็ ตัวการทีส่ ำคัญย่ิงกวา่ สิ่งใด
๔. นกั วิทยาศาสตรท์ ่ีกลา่ วถึงในบทความน้ี และ จาเร็ด ไดมอนด์ มคี วามเหน็ ตรงกนั ในเรื่องใด
๑) มนุษยไ์ ปตง้ั ถน่ิ ฐานบนราปานุยเม่ือหลายร้อยปกี ่อน
๒) ต้นไม้ขนาดใหญไ่ ด้หายไปจากราปานยุ
๓) หนูจี๊ดกินเมลด็ ของต้นไม้ขนาดใหญบ่ นราปานยุ
๔) ชาวยโุ รปได้เดินทางมาถึงราปานุยในครสิ ต์ศตวรรษท่ี ๑๘
๕. หลักฐานใดที่ คาร์ล ลิโป และ เทอร์รี่ ฮันท์ ใช้เพื่อสนับสนุนทฤษฎีของพวกเขาเกี่ยวกับสาเหตุที่ต้นไม้
ขนาดใหญ่ของราปานยุ หายไป
๑) หนูเข้ามาอยู่บนเกาะดว้ ยเรือแคนูของผู้ตัง้ ถ่ินฐาน
๒) หนอู าจจะถูกนำมาด้วยความจงใจของผตู้ ัง้ ถิ่นฐาน
๓) ประชากรหนสู ามารถเพม่ิ ขน้ึ เป็นสองเทา่ ในทกุ ๆ ๔๗ วัน
๔) ซากของเมลด็ ต้นปาลม์ ซงึ่ มรี อยกดั แทะท่ีเกดิ จากหนู
๒๙
ใบกจิ กรรมที่ 1
คำช้ีแจง อ่ำนเรื่องนิทำนปลำดำว แล้วตอบคำถำม
นิทานเรอื่ งปลาดาว
เช้าวันหนึ่ง ชายชราลงไปเดินเล่นที่ชายหาด เมื่อกวาดสายตาไปบนหาดทรายสีขาวท่ีทอดยาว
สุดลูกหูลูกตา เขาก็มองเห็นปลาดาวนับพันตัวนอนเกยต้ืนอยู่ ปลาดาวพวกน้ีคงถูกพัดพามาช่วงท่ีน้าข้ึน
และพอตอนนา้ ลงมันคงว่ายกลบั ลงไปไม่ทนั จงึ มานอนแอง้ แมง้ อยา่ งท่ีเหน็
แสงจากพระอาทิตย์เร่ิมร้อนแรงข้ึนเรื่อย ๆ อีกไม่ก่ีชั่วโมงปลาดาวทั้งหลายก็จะแห้งตาย ขณะท่ี
ชายชรากาลังนึกสงสารปลาดาวผู้โชคร้ายเหล่านั้น เขาก็มองเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกาลังก้ม ๆ เงย ๆ
หยบิ ปลาดาวเขวย้ี งลงไปในทะเล ชายชราจึงเดินไปใกล้ ๆ แล้วเอ่ยว่า “ทาอะไรอยู่รเึ จา้ หนู”
“ผมกาลังช่วยชีวติ ปลาดาวอยคู่ รบั ”
“เอาจริงเหรอ หาดนี้ยาวมากนะ ปลาดาวก็มีเป็นพันเป็นหมื่นตัว เธอจะไปช่วยมันทันได้อย่างไร
รู้ตัวรึเปล่าวา่ ส่ิงท่เี ธอทามนั แทบไม่มีความหมายอะไรเลย”
เด็กชายคนนน้ั ยม้ิ ใหช้ ายชรา ก้มลงหยิบปลาดาว ชูมนั ข้ึนมา แล้วพูดว่า
“มีสคิ รบั อยา่ งน้อยมันก็มคี วามหมายกับปลาดาวตวั น้ี”
แล้วเด็กผู้ชายก็เขว้ยี งปลาดาวตัวน้ันลงทะเลไป ก่อนจะกม้ ลงไปเกบ็ ปลาดาวข้นึ มาอีกตัว
“แล้วก็ตัวน้ี…แลว้ ก็ตวั นี้…แลว้ กต็ วั น้ี…”
คำถำม คำตอบ
1. ตัวละครสำคญั ในนทิ ำนเร่ืองน้คี ือใคร (Who)
2. ตวั ละครสำคญั ในเรอ่ื งทำอะไร (What)
3. สถำนทท่ี ่ปี รำกฏในเร่ืองคือท่ใี ด (Where)
4. เหตุกำรณ์ในเรอ่ื งเกิดข้ึนเวลำใด (When)
5. เพรำะเหตุใดตัวละครสำคัญจึงทำพฤติกรรมนัน้ (Why)
6. ผลจำกกำรทีต่ ัวละครสำคัญทำพฤตกิ รรมนนั้ ส่งผลอยำ่ งไร (How)
-๔๖-
๓๐
ใบกจิ กรรมที่ 2
คำชแ้ี จง อำ่ นเร่ืองหมอชวี กโกมำรภจั จ์ แลว้ สร้ำงคำถำมและตอบคำถำมตำมแนวทำง 5W1H
หมอชีวกโกมำรภัจจ์
ครั้งพุทธกำลมีหมอใหญ่เล่ืองช่ืออยู่คนหนึ่ง นำมว่ำ “ชีวกโกมำรภัจจ์” ตำมตำนำนกล่ำวว่ำ
ท่ำนเป็นลูกของหญิงงำมเมืองหรือนำงนครโสเภณีซ่ึงสมัยนั้นถือว่ำเป็นเกยี รติยศของบ้ำนเมืองอย่ำงหนึ่งนำมว่ำ
“สำลวดี” ค่ำท่ีมำรดำมีอำชีพที่ต้องรักษำตัวให้เลอโฉมอยู่เป็นนิตย์ พอพลำดพล้ังเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมำ
นำงจึงหลบลี้หนีจำกวงสังคมไปพักใหญ่ ภำยหลังคลอดลูกชำยออกมำก็ส่ังให้คนสนิทเอำไปท้ิงกองขยะ
เพรำะวำ่ ลกู ชำยไม่สำมำรถสบื เชื้อสำยอนั ทรงเกยี รตขิ องมำรดำได้ หำกเลีย้ งไปกจ็ ะเกดิ ควำมอปั ยศแกต่ น
ดังนรกชังหรือสวรรค์แกล้งก็ไม่รู้ เผอิญเช้ำวันนั้นเจ้ำชำยอภัยพระโอรสองค์หนึ่งของพระเจ้ำพิมพิสำร
ทรงดำเนินผ่ำนมำทำงน้ันพอดี ทอดพระเนตรเห็นอีกำจำนวนมำกบินว่อนอยู่เหนือกองขยะ จึงทรงใช้
มหำดเลก็ ไปดู มหำดเล็กกรำบทูลว่ำ “เปน็ เด็ก” จึงทรงถำมกลับไปว่ำ “ตำยหรือเปน็ ” มหำดเล็กตอบว่ำ “ยังเป็น ๆ
อยู่เลยพระเจ้ำข้ำ” จึงทรงรับเด็กไว้ในพระรำชูปถัมภ์แล้วเรียกช่ือว่ำ “ชีวก” แปลว่ำ “ยังมีชีวิตอยู่”
หรอื แปลเป็นไทยอกี ช่อื หนงึ่ วำ่ “บุญรอด”
(ตดั ตอนจำก O-NET ม.3)
คำถำม คำตอบ
1. WHO :
2. WHAT :
3. WHERE :
4. WHEN :
5. WHY :
6. HOW :
-๔๗-
๓๑
คำถำมทใี่ ช้ในกิจกรรม “เพ่ิมเคล็ดลับหำคำสำคญั ”
(โปรแกรม Quizizz)
1. พริกเป็นพืชท่ีอุดมด้วยวิตำมินซี ซึ่งจำเป็นต่อกำรบำรุงผิวพรรณ เอ็นและกระดูก พริกขี้หนูหรือพริกชี้ฟ้ำดิบห่ัน
1 ถ้วยตวง (ประมำณ 10 ช้อนโต๊ะ) ให้วิตำมินซีเท่ำกับปริมำณที่ร่ำงกำยควรได้รับในแต่ละวัน ถ้ำเป็น
พรกิ แดงจะมีวิตำมินซมี ำกกวำ่ นีถ้ งึ 2 เทำ่
คำถำม คำสำคัญในยอ่ หน้ำนีต้ รงกบั ข้อใด
1. พชื วติ ำมนิ
2. วติ ำมิน พรกิ
3. พรกิ วติ ำมนิ ซี
4. วิตำมนิ ซี พรกิ ขี้หนู
2. กำรหัวเรำะจะกระตุ้นกล้ำมเนื้อให้ผ่อนคลำย ทำให้กำรหำยใจเข้ำออกดีข้ึน ช่วยนวดอวัยวะ ภำยใน
อย่ำงหวั ใจและปอด สง่ เสริมระบบภูมิค้มุ กันในร่ำงกำย ทำให้อดทนต่อควำมเครียดได้มำกข้นึ ลดอำกำรเจบ็ ปวด
ทำให้ระบบต่ำง ๆ ในร่ำงกำยทำงำนได้อยำ่ งสงบ ช่วยให้กำรย่อยอำหำรดขี นึ้ ชว่ ยกระตุน้ อำรมณ์ผ่อนคลำย
และบรรเทำอำกำรเจ็บปวดภำยในร่ำงกำย นอกจำกน้ีกำรหัวเรำะยังช่วยเร่งควำมเร็วกระบวนกำรเยียวยำ
ในร่ำงกำย ช่วยเพ่ิมกำรไหลเวียนของโลหิตในร่ำงกำย ช่วยลดควำมเครียด ควำมโกรธ และควำมหดหู่
เพิ่มออกซเิ จนในเลือดอกี ด้วย
คำถำม ข้อใดคอื คำสำคัญในย่อหน้ำน้ี
1. สรรพคณุ ชว่ ย
2. อวยั วะ อำรมณข์ ัน
3. ร่ำงกำย กำรหัวเรำะ
4. กำรหัวเรำะ ประโยชน์
3. ข้ำวแช่เป็นวัฒนธรรมทำงอำหำรท่ีไทยรับมำจำกคนมอญ สมัยรัชกำลที่ 1 มอญเข้ำมำอยู่ในดินแดนสยำม
ในฐำนะผู้ร่วมกู้ชำติ ซึ่งเป็นที่มำของต้นตระกูลคชเสนีในปัจจุบัน ชำวมอญ มีประเพณีส่งข้ำวแช่ในช่วง
สงกรำนต์ ชว่ งกอบกู้เมอื งในสมัยรชั กำลที่ 1 กม็ ีพิธสี ่งข้ำวแช่กัน วฒั นธรรมน้จี ึงเร่ิมแพรห่ ลำยต้งั แต่นน้ั มำ
คำถำม ข้อใดไม่ใช่คำสำคัญในย่อหน้ำนี้
1. ขำ้ วแช่
2. คนมอญ
3. สงกรำนต์
4. วฒั นธรรม
-๔๘-
๓๒
4. คำร์โบไฮเดรตเป็นสำรอำหำรที่สำคัญท่ีสุดในบรรดำสำรอำหำรที่ให้พลังงำนแก่ร่ำงกำย จำกสัดส่วน
ของพลังงำนที่ไดจ้ ำกอำหำรท้งั หมดใน 1 วนั จะมคี ำรโ์ บไฮเดรตประมำณรอ้ ยละ 40 - 80 ซึง่ จะสูงกวำ่ ท่ไี ด้จำก
ไขมนั และโปรตนี สำหรบั กำรกินข้ำวของคนไทย สดั ส่วนของขำ้ ว ก็จะมำกกว่ำกับข้ำว กรณีเช่นนี้สอดคล้อง
กับหลักวิชำกำรท่ีว่ำพลังงำนที่ได้จำกอำหำรนั้น ควรมำจำกคำร์โบไฮเดรตเป็นหลัก รองลงมำคือไขมัน
และโปรตีน
คำถำม ขอ้ ใดไม่ใชค่ ำสำคญั ในย่อหนำ้ น้ี
1. อำหำร
2. พลังงำน
3. สำรอำหำร
4. คำรโ์ บไฮเดรต
5. กำรทำอะไรแต่พอดีนั้นออกจะยำกอยู่หน่อยเหมือนกำรตักน้ำมำหนึ่งขันใหญ่แล้วนำมำกรอกใส่ขวดให้พอดี
น้ันยำก เพรำะต้องมีหกมีบ่ำมีขำดมีเกินอยู่บ้ำงเป็นธรรมดำ น้ำก็เหมือนผู้ให้ ขวดก็เหมือนผู้รับ น้ำมำกไป
ขวดเล็กไปก็ใส่ได้ไม่พอดี น้ำนดิ เดยี วขวดใหญ่ไปกใ็ ส่ไม่พอดอี ีกเหมือนกนั ดว้ ยเหตุนีน้ ้ำกับขวดจึงต้องพอดีกัน
คำถำม ขอ้ ใดไมใ่ ชค่ ำสำคัญในย่อหน้ำน้ี
1. น้ำ
2. ผ้ใู ห้
3. ผูร้ บั
4. ควำมพอดี
-๔๙-
๓๓
ตัวอยำ่ งรำ่ งแผนกำรจดั กำรเรยี นรู้
แผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ท่.ี .....................เรื่อง...........................................................................................
หนว่ ยกำรเรยี นรู้ท่ี....................เร่ือง.............................................. กล่มุ สำระกำรเรียนรู้..............................
รหัสวชิ ำ...................................รำยวชิ ำ......................................... ชัน้ มัธยมศกึ ษำปที .่ี ................................
ภำคเรยี นที่........................ปีกำรศกึ ษำ....................................... จำนวน............................................คำบ
ผ้สู อน..............................................................................................................................................................
1. มำตรฐำนกำรเรยี นรู้/ตวั ช้วี ดั
............................................................................................................................. ............................................
...................................................................................... ...................................................................................
............................................................................................................................. ............................................
2. จุดประสงคก์ ำรเรียนรู้
............................................................................................................................. ............................................
.........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ............................................
3. สำระสำคญั /ควำมคดิ รวบยอด
............................................................................................................................. ............................................
................................................................................................................................................................. ........
.......................................................................................................................... ...............................................
4. สำระกำรเรียนรู้
............................................................................................................................. ............................................
.............................................................................................................................................. ...........................
....................................................................................................... ..................................................................
5. สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รยี น
............................................................................................................................. ............................................
............................................................................................................................. ............................................
.........................................................................................................................................................................
6. คณุ ลักษณะอันพึงประสงคข์ องผเู้ รยี น
............................................................................................................................. ............................................
...................................................................................... ...................................................................................
............................................................................................................................. ............................................
7. ชนิ้ งำน/ภำระงำน
............................................................................................................................. ............................................
.........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ............................................
-57-
๓๔
8. กิจกรรมกำรเรียนรู้
............................................................................................................................. ............................................
....................................................................................................................................................................... ..
............................................................................................................................. ............................................
9. ส่ือกำรเรยี นรู้
............................................................................................................................. ............................................
..................................................................................................................................................... ....................
............................................................................................................................. ............................................
10. แหล่งเรยี นรู้
.........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ............................................
............................................................................................................................. ............................................
11. กำรวดั และประเมินผล
............................................................................................................................. ............................................
...................................................................................... ...................................................................................
............................................................................................................................. ............................................
12. กิจกรรมเสนอแนะ (ถำ้ มี)
............................................................................................................................. ............................................
.........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ............................................
13. บันทกึ หลังกำรจดั กำรเรียนรู้
............................................................................................................................. ............................................
.......................................................................................................................................................... ...............
................................................................................................................... ......................................................
-58-
๓๕
แบบตรวจสอบรำยกำรองคป์ ระกอบของแผนกำรจดั กำรเรียนรู้
คำชี้แจง
ศกึ ษำนเิ ทศก์หรือผู้เกีย่ วข้องตรวจสอบรำยกำรองค์ประกอบของแผนกำรจดั กำรเรยี นร้ตู ำมลำดับ ดงั นี้
1. ตรวจสอบองคป์ ระกอบของแผนกำรจดั กำรเรยี นรู้ตำมรำยกำรทกี่ ำหนด แล้วเขียนเคร่ืองหมำย
ลงในชอ่ งระดบั คะแนน โดยพิจำรณำตำมเกณฑ์กำรให้คะแนนและควำมเปน็ จริง
2. บันทึกข้อเสนอแนะเพ่ือกำรปรับปรุงและพัฒนำในแต่ละรำยกำร รวมถึงข้อเสนอแนะอ่ืน ๆ (ถ้ำมี)
เพอื่ ใหผ้ จู้ ดั ทำแผนกำรจัดกำรเรียนรู้ไดน้ ำไปใชป้ ระโยชน์ในกำรปรับปรุงและพัฒนำแผนกำรจัดกำรเรียนรู้ต่อไป
3. สรุปผลกำรตรวจสอบรำยกำรองค์ประกอบของแผนกำรจดั กำรเรียนรู้ตำมเกณฑ์กำรแปลผลระดับ
คณุ ภำพในภำพรวม
เกณฑ์กำรให้คะแนน มอี งคป์ ระกอบ ครบถ้วน ถกู ต้อง สมบรู ณ์ สอดคลอ้ งเหมำะสมทกุ รำยกำร
1 หมำยถึง มอี งค์ประกอบไม่ครบถ้วน หรือไม่ถูกต้อง หรือไม่สมบรู ณ์
0 หมำยถงึ หรือไม่สอดคล้อง หรือไมเ่ หมำะสมบำงรำยกำร ตอ้ งปรับปรุงแกไ้ ข
หรอื เพม่ิ เติม
เกณฑก์ ำรแปลผลระดับคุณภำพในภำพรวม ระดบั คุณภำพ 5 แปลผล ดีเยย่ี ม
คะแนนเฉลี่ย 0.80 - 1.00 ระดบั คุณภำพ 4 แปลผล ดี
คะแนนเฉล่ยี 0.70 - 0.79 ระดบั คุณภำพ 3 แปลผล ปำนกลำง
คะแนนเฉลี่ย 0.60 - 0.69 ระดับคุณภำพ 2 แปลผล พอใช้
คะแนนเฉลีย่ 0.50 - 0.59 ระดบั คุณภำพ 1 แปลผล ปรับปรงุ
คะแนนเฉลยี่ 0.00 - 0.49
รำยกำร ระดบั ขอ้ เสนอแนะ
1. มำตรฐำนกำรเรียนรู้และตัวชีว้ ดั คะแนน เพือ่ กำรปรับปรุงและพฒั นำ (ถำ้ มี)
2. จดุ ประสงคก์ ำรเรยี นรู้
3. สำระสำคญั /ควำมคดิ รวบยอด 01 ...........................................................................
4. สำระกำรเรียนรู้ ...........................................................................
5. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น ...........................................................................
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผ้เู รียน ...........................................................................
7. ชิ้นงำน/ภำระงำน ...........................................................................
...........................................................................
...........................................................................
...........................................................................
...........................................................................
...........................................................................
...........................................................................
...........................................................................
...........................................................................
...........................................................................
-59-
รำยกำร ระดับ ๓๖
คะแนน
8. กจิ กรรมกำรเรยี นรู้ ข้อเสนอแนะ
01 เพื่อกำรปรบั ปรุงและพัฒนำ (ถำ้ มี)
9. สอ่ื กำรเรียนรู้
...........................................................................
10. แหล่งเรียนรู้ ...........................................................................
...........................................................................
11. กำรวัดและประเมนิ ผล ...........................................................................
...........................................................................
12. กิจกรรมเสนอแนะ (ถำ้ มี) ...........................................................................
...........................................................................
13. บันทกึ หลงั กำรจัดกำรเรียนรู้ ...........................................................................
...........................................................................
รวม ...........................................................................
คะแนนเฉลี่ย ...........................................................................
ระดบั คุณภำพ ...........................................................................
แปลผล
ข้อเสนอแนะอ่นื ๆ (ถ้ำมี)
............................................................................................................................. ............................................
............................................................................................................................. ............................................
ลงช่อื ...............................................................
(.............................................................)
...................../......................./................
ผ้ตู รวจสอบ
-60-
แนวทำงกำรจดั กำรเรยี นรเู้ พ่อื พฒั นำสมรรถนะกำรอำ่ นข้ันสูง ๓๗
แนวทำงกำรจัดกำรเรยี นรู้
กำรพัฒนำสมรรถนะกำรอ่ำนข้ันสูงมีแนวทำงกำรจัดกำรเรียนรู้ซึ่งครูสำมำรถเลือกใช้ตำมควำมพร้อม
บริบทของสถำนศึกษำ และควำมถนัดของตนเอง โดยใช้แนวทำงกำรพัฒนำสมรรถนะผู้เรียนระดับกำรศึกษำขั้นพ้ืนฐำน
6 แนวทำงดงั นี้ (สำนักงำนเลขำธิกำรสภำกำรศึกษำ, 2562)
แนวทำงท่ี 1 ใช้งำนเดิม เสรมิ สมรรถนะ
เป็นกำรจัดกำรเรียนรู้ที่สอดแทรกสมรรถนะ ซ่ึงครูเห็นว่ำสอดคล้องกับบทเรียนน้ันเข้ำไป และคิด
กิจกรรมเสริม เพ่ือให้ผู้เรียนได้พัฒนำสมรรถนะน้ันเพ่ิมขึ้น เป็นกำรช่วยเพิ่มกำรเรียนรู้ของผู้เรียนให้เข้มข้น
มีควำมหมำยและเกิดสมรรถนะกำรอ่ำนเชงิ วชิ ำกำรทต่ี ้องกำร
แนวทำงที่ 2 ใช้งำนเดิม ต่อเตมิ สมรรถนะ
เป็นกำรจัดกำรเรียนรู้ที่ต่อยอด เพิ่มเติมจำกงำนเดิม ให้ต่อเนื่องไปถึงข้ันกำรฝึกฝนกำรนำควำมรู้
ทักษะ และเจตคติที่ได้เรียนรู้แล้วไปประยุกต์ใช้ในสถำนกำรณ์ที่หลำกหลำย เพื่อพัฒนำผู้เรียนให้มีสมรรถนะ
ในเรื่องท่เี รยี นรูน้ ัน้
แนวทำงท่ี 3 ใช้รูปแบบกำรเรยี นรู้ สู่กำรพัฒนำสมรรถนะ
เป็นกำรจัดกำรเรียนรู้ที่มีกำรนำรูปแบบกำรเรียนรู้ต่ำง ๆ มำวิเครำะห์เชื่อมโยงกับสมรรถนะ
ท่ีสอดคล้องกัน และเพ่ิมเติมกิจกรรมที่สำมำรถช่วยพัฒนำสมรรถนะน้ันให้เพ่ิมข้ึนอย่ำงชัดเจน อันจะส่งผลให้
กำรเรยี นกำรสอนตำมรปู แบบกำรเรยี นร้ทู ่ใี ช้มีประสทิ ธภิ ำพเพมิ่ ขนึ้ ดว้ ย
แนวทำงที่ 4 สมรรถนะเปน็ ฐำน ผสำนตัวชี้
เป็นกำรจัดกำรเรียนรู้โดยนำสมรรถนะกำรอ่ำนท่ีต้องกำรพัฒนำเป็นตัวตั้งและนำตัวชี้วัดที่สอดคล้อง
กันมำออกแบบกำรสอนร่วมกัน เพ่ือให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ทั้งเน้ือหำสำระและทักษะตำมท่ีตัวช้ีวัดกำหนด
ไปพร้อม ๆ กันกบั กำรพฒั นำสมรรถนะหลกั ทีต่ อ้ งกำร
แนวทำงท่ี 5 บรู ณำกำร ผสำนหลำยสมรรถนะ
เป็นกำรจัดกำรเรียนรู้ โดยนำสมรรถนะหลักหลำยสมรรถนะเป็นตัวตั้ง และวิเครำะห์ตัวชี้วัด
ท่ีเก่ียวข้อง แล้วออกแบบกำรสอนท่ีมีลักษณะเป็นหน่วยบูรณำกำรที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่ำงเป็นองค์รวม
โดยเห็นควำมสัมพันธ์ระหวำ่ งวชิ ำ/กล่มุ สำระกำรเรียนร้ตู ่ำง ๆ
แนวทำงท่ี 6 สมรรถนะชีวิต ในกิจวตั รประจำวนั
เป็นกำรสอดแทรกสมรรถนะท่ีส่งเสริมกำรทำกิจวัตรประจำวันต่ำง ๆ ของผู้เรียนให้มีประสิทธิภำพ
และคุณภำพมำกขึ้น เป็นกำรใช้กิจกรรมในชีวิตประจำวันที่ทำอยู่แล้ว เป็นสถำนกำรณ์ในกำรฝึกฝนสมรรถนะ
ซ่ึงนอกจำกจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะที่ต้องกำรแล้วยังช่วยทำให้กำรทำกิจวัตรประจำวันของผู้เรียน
มคี ุณภำพและประสทิ ธภิ ำพมำกขนึ้ ดว้ ย
-61-
ตัวอยำ่ งแผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ ๓๘
แผนกำรจดั กำรเรยี นรู้ท่ี 1 เร่ือง กำรอ่ำนจับใจควำมสำคัญ
หน่วยกำรเรียนรู้ท่ี 1 กำรพฒั นำสมรรถนะกำรอำ่ น กลุ่มสำระกำรเรียนรู้ภำษำไทย
รหัสวิชำ ท23101 รำยวชิ ำ ภำษำไทย 5 ชั้นมธั ยมศกึ ษำปที ี่ 3
ภำคเรยี นที่ 1 ปีกำรศกึ ษำ 2564 จำนวน 1 คำบ
1. มำตรฐำนกำรเรียนร้/ู ตัวชี้วดั
มำตรฐำน ท 1.1 ใชก้ ระบวนกำรอำ่ นสร้ำงควำมรู้และควำมคิดเพื่อนำไปใชต้ ัดสนิ ใจ
แกป้ ญั หำในกำรดำเนนิ ชวี ิต และมีนิสยั รักกำรอ่ำน
ตัวชว้ี ดั ท 1.1 ม.3/3 ระบใุ จควำมสำคญั และรำยละเอยี ดของข้อมลู ทีส่ นบั สนุนจำกเรือ่ งที่อำ่ น
2. จดุ ประสงคก์ ำรเรียนรู้
2.1 นักเรียนมีควำมรู้ควำมเข้ำใจวิธกี ำรอ่ำนจบั ใจควำมสำคัญ โดยใชเ้ ทคนคิ บันได 6 ขน้ั (บนั ไดข้ันท่ี 1 - 2) (K)
2.2 นักเรยี นสำมำรถระบุใจควำมสำคัญจำกเร่อื งท่อี ำ่ น โดยใช้เทคนิคบนั ได 6 ขัน้ (บันไดขั้นท่ี 1 - 2) (P)
2.3 นักเรยี นมีเจตคติทีด่ ีตอ่ กำรอำ่ น (A)
3. สำระสำคญั /ควำมคิดรวบยอด
กำรอ่ำนจับใจควำมสำคัญเป็นทักษะพื้นฐำนท่ีทุกคนจำเป็นต้องมีเพ่ือใช้สำหรับรับสำรผ่ำนกำรอ่ำน
ได้อย่ำงรวดเร็วและถูกต้องตรงประเด็น กำรจับใจควำมสำคัญได้อย่ำงแม่นยำจะช่วยให้ผู้รับสำรสำมำรถ
ใช้ทักษะทำงภำษำขั้นสูงยิ่งขึ้น สำมำรถนำใจควำมสำคัญจำกส่ิงที่ได้อ่ำนมำวิเครำะห์ ตีควำม ประเมินค่ำ
และนำไปใช้ประโยชน์ในด้ำนต่ำง ๆ ได้ ดังน้ัน ทุกคนควรศึกษำและหมั่นฝึกฝนทักษะกำรอ่ำนจับใจควำมสำคัญ
ให้เกดิ ควำมชำนำญเพื่อประโยชน์ต่อกำรศึกษำและกำรประยุกต์ใชใ้ นชวี ิตประจำวันตอ่ ไป
4. สำระกำรเรียนรู้
4.1 ใจควำมสำคญั และสว่ นขยำยใจควำมสำคญั หรือพลควำม
4.2 วธิ กี ำรอ่ำนจบั ใจควำมสำคัญตำมเทคนิคบันได 6 ขั้น
1) เทคนคิ บันไดขน้ั ที่ 1 กำรอ่ำนเร่อื งใหจ้ บ ตัง้ คำถำม 5W1H
2) เทคนิคบันไดขั้นท่ี 2 กำรหำคำสำคัญ (Key Words)
5. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น ควำมสำมำรถในกำรคิด
ควำมสำมำรถในกำรใช้ทักษะชีวติ
ควำมสำมำรถในกำรสอ่ื สำร
ควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำ
ควำมสำมำรถในกำรใชเ้ ทคโนโลยี
6. คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ของผู้เรยี น ซ่ือสตั ยส์ ุจริต
รักชำติ ศำสน์ กษัตริย์
มวี นิ ยั ใฝ่เรียนรู้
มุง่ มนั่ ในกำรทำงำน
อยูอ่ ยำ่ งพอเพยี ง
รักควำมเป็นไทย มจี ติ สำธำรณะ
7. ชน้ิ งำน/ภำระงำน
ใบงำน “ไขคดปี ริศนำ”
-62-
8. กิจกรรมกำรเรยี นรู้ ๓๙
ขนั้ นำ
1. นกั เรียนฟงั เพลง “รำวงลอยกระทง” แลว้ ตอบคำถำมพัฒนำกำรคิดต่อไปน้ี
“วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำก็นองเต็มตลิ่ง เรำท้ังหลำยชำยหญิง สนุกกันจริง วันลอยกระทง
ลอย ลอยกระทง ลอย ลอยกระทง ลอยกระทงกันแล้ว ขอเชิญน้องแก้วออกมำรำวง รำวงวันลอยกระทง
รำวงวันลอยกระทง บุญจะส่งใหเ้ รำสขุ ใจ บุญจะส่งใหเ้ รำสุขใจ”
1.1 บคุ คลท่กี ลำ่ วถึงในเพลงมใี ครบ้ำง (Who)
(แนวคำตอบ : เรำ ประกอบด้วย ผู้ชำยและผูห้ ญิง, น้องแก้ว)
1.2 บคุ คลในเพลงน้ที ำอะไร (What)
(แนวคำตอบ : ลอยกระทง, รำวง, รำวงวนั ลอยกระทง)
1.3 เหตกุ ำรณใ์ นเพลงนเ้ี กดิ ขึ้นเม่อื ไร (When)
(แนวคำตอบ : วนั เพ็ญเดอื นสิบสอง, วันลอยกระทง)
1.4 เหตกุ ำรณใ์ นเพลงน้ีเกิดขึ้นทไ่ี หน (Where)
(แนวคำตอบ : นำ่ จะเกดิ ท่ี รมิ แมน่ ้ำที่ไปลอยกระทง)
1.5 บคุ คลทีก่ ลำ่ วถึงในเพลงมคี วำมรสู้ กึ อย่ำงไร (How)
(แนวคำตอบ : บคุ คลที่กล่ำวถึงในเพลงมีควำมสขุ และสนกุ สนำน)
1.6 เพลงน้ีมีคำ กลุ่มคำ หรือประโยคที่เขียนและส่ือควำมหมำยเหมือนกันปรำกฏซ้ำ ๆ
ตงั้ แตต่ ้นจนจบเพลงคำใดบำ้ ง
(แนวคำตอบ: ลอย, ลอยกระทง, รำวง, รำวงวนั ลอยกระทง, บญุ จะส่งใหเ้ รำสขุ ใจ)
๒. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรำยสรุปคำตอบจำกคำถำมพัฒนำกำรคิด แล้วครูกล่ำวเช่ือมโยง
เข้ำส่บู ทเรียนเรื่องกำรอำ่ นจับใจควำมสำคญั
ขนั้ สอน
1. นักเรียนศึกษำเรื่อง ใจควำมสำคัญและส่วนขยำยใจควำมสำคัญหรือพลควำม จำกแหล่งเรียนรู้
บนเครอื ข่ำยอินเทอรเ์ นต็ ตำมควำมสนใจ พรอ้ มทง้ั รว่ มกนั อภิปรำยสรุปขอ้ ค้นพบตำมประเดน็ ดังน้ี
1.1 ลกั ษณะของใจควำมสำคัญ
1.2 ลกั ษณะของสว่ นขยำยใจควำมสำคญั
2. นักเรยี นรว่ มกันอภิปรำยสรุปคำตอบหรือข้อค้นพบท่ีเป็นลักษณะของใจควำมสำคัญและสว่ นขยำย
ใจควำมสำคัญ แล้วครอู ธบิ ำยเพิ่มเตมิ เก่ยี วกับวิธกี ำรอำ่ นจับใจควำมสำคัญตำมเทคนิคบันได 6 ขน้ั ดังนี้
2.1 เทคนคิ บันไดขน้ั ที่ 1 กำรอำ่ นเรื่องให้จบ ตง้ั คำถำม 5W1H
2.2 เทคนิคบันไดข้นั ท่ี 2 กำรหำคำสำคัญ (Key Words)
3. นักเรยี นแบ่งกลุ่ม 2 - 4 คน ทำใบงำน “ไขคดปี รศิ นำ” ดังน้ี
3.1 นักเรียนกำหนดบทบำทของสมำชิก โดยให้สมำชิก 1 คน มีบทบำทเป็น “นักสืบ”
และสมำชกิ คนอ่นื ๆ ในกลุ่มมีบทบำทเปน็ “ผู้ให้ข้อมูล”
3.2 นักเรียนท่ีมีบทบำทเป็น “นักสืบ” ให้นักเรียนแจกแหล่งข่ำวสำหรับไขคดี
ให้นกั เรียนทีม่ บี ทบำทเป็น “ผู้ให้ข้อมลู ” อ่ำนคนละ 1 แหล่งขำ่ ว
3.2 นักเรียนที่มีบทบำทเป็น “นักสืบ” สอบสวน นักเรียนท่ีมีบทบำทเป็น “ผู้ให้ข้อมูล”
ทุกคนในกลุ่ม โดยใชค้ ำถำมพัฒนำกำรคดิ ส่วนนักเรยี นท่ีมบี ทบำทเป็น “ผู้ให้ข้อมูล” หำคำตอบจำกแหล่งขำ่ ว
ท่ไี ด้รบั แล้วตอบคำถำมพฒั นำกำรคิดดังนี้
-63-
1) บุคคลทีก่ ล่ำวถงึ ในแหลง่ ขำ่ วมใี ครบำ้ ง (Who) ๔๐
2) บุคคลในแหลง่ ข่ำวทำอะไร (What)
3) เพรำะเหตุใดบุคคลในแหล่งข่ำวจึงทำเช่นนนั้ (Why)
4) เหตุกำรณใ์ นแหลง่ ขำ่ วเกิดข้ึนเม่อื ไร (When)
5) เหตกุ ำรณ์ในแหลง่ ขำ่ วเกิดขึ้นท่ีไหน (Where)
6) เหตกุ ำรณ์ในแหลง่ ขำ่ วเป็นอยำ่ งไร (How)
7) แหล่งข่ำวนี้มีคำ กลุ่มคำ หรือประโยคที่เขียนและส่ือควำมหมำยเหมือนกันปรำกฏซ้ำ ๆ
ตงั้ แตต่ น้ จนจบเรือ่ งคำใดบำ้ ง
8) แหลง่ ข่ำวนม้ี ีคำ กล่มุ คำ หรือประโยคทเี่ ขียนต่ำงกนั แต่สอื่ ควำมหมำยเหมอื นกัน
ปรำกฏซำ้ ๆ ต้งั แตต่ น้ จนจบเร่อื งคำใดบ้ำง
3.3 นักเรียนที่มีบทบำทเป็น “นักสืบ” สรุปคำตอบจำกคำถำมพัฒนำกำรคิด แล้วร่วม
อภปิ รำยคำตอบกบั นกั เรยี นท่ีมบี ทบำทเป็น “ผใู้ ห้ขอ้ มูล”
3.4 นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ สง่ คำตอบใบงำน “ไขคดปี รศิ นำ” ใหค้ รู
4. นักเรียนและครูร่วมกันอภปิ รำยคำตอบของแต่ละกลุม่ พร้อมทั้งร่วมกันเฉลยคำตอบใบงำน “ไขคดี
ปรศิ นำ”
ข้ันสรุป
1. นักเรียนและครูร่วมกนั อภิปรำยสรปุ วิธีกำรอ่ำนจับใจควำมสำคัญตำมเทคนิคบันได 6 ข้นั แล้วนักเรียน
บันทกึ ลงในสมดุ ตำมประเด็นดงั น้ี
1.1 เทคนิคบนั ไดขน้ั ท่ี 1 กำรอ่ำนเรอ่ื งให้จบ ต้ังคำถำม 5W1H
1.2 เทคนคิ บันไดขัน้ ที่ 2 กำรหำคำสำคญั (Key Words)
2. นกั เรยี นส่งสมุดและใบงำน “ไขคดปี ริศนำ” ตำมวนั เวลำทีค่ รกู ำหนด
9. สื่อกำรเรยี นรู้
9.1 เพลง “รำวงลอยกระทง”
9.2 คำถำมพฒั นำกำรคดิ
9.3 ใบงำน “ไขคดีปริศนำ”
10. แหล่งเรยี นรู้
10.1 ห้องสมุด
10.2 แหล่งเรียนรบู้ นเครือข่ำยอินเทอรเ์ นต็
-64-
11. กำรวดั และประเมินผล ๔๑
จดุ ประสงคก์ ำรเรยี นรู้ วธิ กี ำรวัด เคร่ืองมือ เกณฑ์กำรผ่ำน
1. สมุดบนั ทกึ นกั เรยี นสรุปวธิ กี ำรอ่ำนจบั ใจควำม
1. นกั เรียนมีควำมรู้ ครตู รวจสมุด สำคญั ตำมเทคนคิ บนั ได 6 ข้ัน
ของนกั เรียน (บนั ไดข้นั ที่ 1 - 2) ได้ โดยมรี ะดบั
ควำมเขำ้ ใจวิธีกำรอ่ำน บนั ทึกของ 2. แบบประเมิน คุณภำพตั้งแตร่ ะดบั ดีขึน้ ไป
จับใจควำมสำคญั โดยใช้ นักเรียน กำรสรุปสำระสำคัญ นักเรียนแต่ละกล่มุ ทำใบงำน
ถูกต้องได้คะแนนร้อยละ 80 ขึน้ ไป
เทคนคิ บันได 6 ขน้ั 1. ใบงำน “ไขคดี ของคะแนนเต็ม
ปรศิ นำ”
(บนั ไดขนั้ ท่ี 1 - 2) (K) นกั เรยี นมีเจตคติทีด่ ตี ่อกำรอ่ำน
2. เฉลยใบงำน “ไขคดี ในระดับปำนกลำงขน้ึ ไป
2. นกั เรยี นสำมำรถระบุ ครตู รวจใบงำน ปริศนำ”
ใจควำมสำคัญจำกเร่ือง แบบประเมินเจตคติที่ดี
ตอ่ กำรอำ่ น
ท่อี ำ่ น โดยใชเ้ ทคนิค
บันได 6 ขน้ั (บันได
ข้นั ที่ 1 - 2) (P)
3. นกั เรียนมเี จตคตทิ ด่ี ี นักเรียนประเมิน
ตอ่ กำรอ่ำน (A) ตนเอง
12. กิจกรรมเสนอแนะ
กรณีนักเรียนไม่มีอุปกรณ์หรือเครื่องมือในกำรเรียนรู้บนเครือข่ำยอินเทอร์เน็ต ครูอำจให้นักเรียน
เรียนรู้ร่วมกับเพื่อนที่มีอุปกรณ์หรือเครื่องมือเป็นคู่หรือเป็นกลุ่ม หรือเปลี่ยนกิจกรรมเป็นกำรศึกษำใบควำมรู้
แทนตำมควำมเหมำะสม
13. บันทกึ หลังกำรจัดกำรเรียนรู้
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
ลงช่ือ ...............................................................
(.............................................................)
...................../......................./................
-65-
๔๒
แอปพลเิ คชนั ท่ใี ชป ระกอบการจดั กจิ กรรมเรยี นการสอน
๑.๑ กจิ กรรมนำเขา สบู ทเรยี น
๑. AnswerGarden (www.answergarden.ch) แอปพลิเคชัน
สำหรับการระดมความคิดเห็นหรือขอเสนอแนะแบบออนไลน
เพ่ือการมีสวนรวมในการแลกเปล่ยี นขอมูลความรูรวมกนั
จุดเดนของ AnswerGarden คือ งายตอการใชงาน สามารถตั้งประเด็นคำถามหรือหัวขอที่ตองการ
สำรวจความคิดเห็นไดอยางอิสระ ไมจำเปนตองทำการสมัครหรือลงทะเบียนเขาใชงานรวมทั้งระบบ
สามารถรองรับคำตอบหรือความคิดเห็นไดไมจำกัดจำนวนครั้ง รูปแบบการแสดงความคิดเห็น
จะแสดงผลออกมาเปน word cloud ของคำตอบทั้งหมดแบบเรียลไทม โดยตัวอักษรของแตละ
ขอ ความจะมีขนาดเลก็ ใหญแ ตกตางกนั ตามความนยิ มและความถ่ขี องขอความนัน้ ๆ เพ่ือแสดงใหเห็น
ถงึ ความสำคญั ของแตละความคดิ เหน็ ซึง่ ชว ยทำใหผ ใู ชง านสามารถเหน็ ถึงลำดับเรอ่ื งและ Keywords
ที่สำคญั ๆ สามารถนำขอมูลทไี่ ดไปวเิ คราะหเพ่มิ เติมหรอื นำไปใชก ารอภิปรายกลุมไดทนั ที
๒. Mentimeter (www.mentimeter.com) แอปพลิเคชันท่ใี ช
สำหรับสรางพรีเซนเทชันที่ผูเรียนสามารถมีสวนรวมในการโตตอบ
ระดมสมอง แสดงความคดิ เห็นกบั ผสู อนผา นแบบสอบถามออนไลน
โดยสามารถสรางไดหลายรูปแบบ ไมวาจะเปนคำถามหลายตัวเลือก คำถามปลายเปด ซึ่งสามารถ
เห็นผลลัพธไดทันที ชวยใหการเรียนการสอนมีความนาสนใจ เพิ่มการมีปฏิสัมพันธในหองเรียน
ไดมากยงิ่ ข้นึ
๔๓
๓. Padlet (www.padlet.com) เว็บไซตที่ใหบริการกระดาน
แสดงความคิดเห็นออนไลน รองรับผูใชหลายคน ผูใชสามารถ
เขา มาอภปิ รายแลกเปลยี่ นขอมูลขา วสาร เขียนคำถาม คำตอบ
หรือสรุปเนื้อหา เปนชองทางแสดงความคิดเห็นของนักเรียนและครูหรือเพื่อน ๆ ในชั้นเรียน Padlet
สามารถโพสต ขอความ รูปภาพ วิดีโอ เสียง และลิงกเว็บไซต ทั้งยังสามารถ Export ขอมูลในบอรด
ออกมาเปนไฟล รูปภาพ pdf csv Excel หรือพิมพ และแชรผานชองทางตาง ๆ ได เชน Facebook
Twtter E-mail เปน ตน
๔. Wordwall (www.wordwall.net) เว็บแอปพลิเคชัน
สำหรับสรางเกมการศึกษาออนไลน เชน จับคู สุมคำถาม
เรยี งลำดบั สามารถเกบ็ ขอ มูลการเขาใชง านโดยการพมิ พช ่อื
นักเรียน เก็บคะแนนไดแ ละเพิ่มความสนุกดวยการมีตารางแสดงอนั ดบั แขง ขนั โดยมีจุดเดน ดงั น้ี
- สรา งไดง ายจาก Template เชน แบบทดสอบ จับคู เรยี งลำดับ อักษรไขว
- สามารถสลับ Template ได เชน เกมจับคู สามารถเปลี่ยนเปนเกมอักษรไขว โดยไมตอง
สรางใหม
- สามารถสรางเปน เกมออนไลน หรอื พิมพเ ปน ใบงาน
- กำหนดรายละเอยี ดในแตละเกมได เชน การจับเวลา การแสดงคำตอบ การแสดงอันดับ
- สงใหผูเรียนเขาเลนไดงายโดยการสงเปนลิงค และติดตามการเขาเลนของผูเรียนได
เพียงแคใ หนกั เรียนพิมพช อ่ื
๕. Wheel of Names (www.wheelofnames.com)
วงลอสุมชื่อ ที่ใชงานงาย แถมยังฟรีไมมีคาใชจายใด ๆ
ดวย ๓ steps งาย ๆ ในการใชงานท่ีไมวา ใครกท็ ำได
๑) ใสชอ่ื หรอื รปู ภาพ ใสไดทง้ั ชอ่ื ภาษาไทย ภาษาองั กฤษ และภาษาอ่นื ๆ
๒) ตง้ั คางา ย ๆ
๓) กดเลน
๔๔
๖ . Kahoot ( www.kahoot.com) เ ก ม ท ี ่ ต อ บ ส น อ ง ต อ
การเรียนการสอน ชวยใหนักเรียนสนุกกับการเรียน
เปน เคร่อื งมอื ชวยในการประเมนิ ผล โดยผานการตอบคำถาม
การอภิปราย หรือการสำรวจความคิดเห็น Kahoot เปนเกมการเรียนรู ซึ่งประกอบดวยคำถามปรนยั
เชนการตอบคำถาม การอภิปราย หรือการสำรวจ คำถามจะแสดงที่จอหนาชั้นเรียนและใหนักเรียน
ตอบคำถามบนอปุ กรณค อมพวิ เตอรข องตนเอง เชน คอมพิวเตอร มือถือ หรือแท็บเลต็ ฯลฯ
๗. Quizizz (www.quizizz.com) เปนเว็บไซตที่ชวยสราง
แบบทดสอบออนไลน e-Testing ไดฟรี ผูเรียนสามารถ
ทำแบบทดสอบผา นอุปกรณค อมพิวเตอร Notebook Tablet
SmartPhone ที่เชื่อมตอระบบ Internet ผูเรียนทราบผลการสอบทันที และผูสอนไดรับรายงาน
(Report) ผลการสอบและบันทึกลงเครอื่ งคอมพิวเตอรไ ด
Quizizz เหมาะกับการนำมาประยุกตใชกับการทำขอสอบกอนเรียน หลังเรียนเพื่อวัดผล
การเรียนรูของผูเรียน หรือจัดกิจกรรมการสอบแบบเกมสเพื่อเพิ่มความสนุกสนานในการเรียนได
อีกท้ังชวยใหสถาบันการศึกษาประหยัดคาใชจายจากการเตรียมสอบ และเปนการใชเทคโนโลยี
อยางเกิดประโยชน ชวยใหผูสอนลดเวลาในการทำขอสอบและจัดชุดทดสอบ อีกท้ังยังทราบ
จุดบกพรองการเรียนของนักเรียนแตละคนในแตละเนื้อหา วานักเรียนไมเขาใจในเนื้อหาการเรียน
เรื่องใด เพื่อนำมาปรับปรุง แกไข กระบวนการจัดการเรียนการสอนไดดียิ่งขึ้น ในดานของผูเรียนเอง
ก็จะไดทราบขอมูลและประเมินตนเองไดวาไมเขาใจเน้ือหาตรงสวนใดเพื่อจะไดกลับไปทบทวน และ
ทำความเขาใจในเนื้อหาน้ันอีกครั้งหนึ่ง เสมือนการสรางแรงจูงใจในการเรียน และใหผูเรียน
ตอ งเตรียมพรอ มในการเรยี นอยูเสมอ
๘. Youtube (www.youtube.com) เปนเว็บไซตแลกเปลี่ยน
วิดีโอที่มีชื่อเสียง ผูใชสามารถอัปโหลดวิดีโอเขาไป เปดดูวิดีโอ
ทม่ี อี ยู และแบงภาพวดิ โี อใหค นอ่ืนดไู ดโ ดยไมเ สียคา ใชจ ายใดๆ
ใน YouTube จะมีขอมูลเนื้อหารวมถึงคลิปภาพยนตรสั้น ๆ และคลิปที่มาจากรายการโทรทัศน
มิวสิกวิดีโอ และวิดีโอบล็อกกิ้ง (ซึ่งเปนการสรางบล็อกโดยมีสวนของขอมูลที่เปนภาพวิดีโอ
เปนสวนประกอบ โดยเฉพาะเปนภาพวิดีโอที่เกิดจากมือสมัครเลนถายกันเอง) คลิปวิดีโอที่เผยแพร
อยูบนเว็บไซต YouTube สวนมากเปนไฟลคลิปสั้น ๆ ประมาณ ๑ - ๑๐ นาที ถายทำโดยประชาชน
ทั่วไป แลวอัปโหลดขึ้นสูเว็บไซตของ YouTube โดยมีการแบงประเภทและจัดอันดับคลิปเอาไวดวย
เชน ไฟลล าสดุ , ไฟลท่ีมผี ูชมมากทีส่ ุด, ไฟลท ่ีไดรับการโหวตมากทีส่ ุด ฯลฯ
๔๕
๙ . Facebook Watch ( www.facebook.com) ส ร าง ขึ้ น
ใน Facebook สามารถเขาถึงไดผานเว็บไซตหลักของ
Facebook และแอปพลเิ คชนั Facebook บนแพลตฟอรม
มอื ถือและอปุ กรณสตรมี ม่ิง สามารถพบไดใ นแท็บ Watch ของตวั เองซ่ึงคลา ยกบั แทบ็ Marketplace
และ Messenger เปน บรกิ ารวดิ โี อออนดมี านดของ Facebook ท่รี วมแงม ุมของฟงกชนั การแชรว ิดโี อ
เขา กับเนือ้ หาระดบั พรเี มียม ชวยใหครีเอเตอรอ ปั โหลดวิดีโอทั้งสัน้ และยาวของตนเองได แตยังรวมถึง
รายการตลกดรามาและรายการขาว บริการนี้ฟรี แตตองใชบญั ชี Facebook
๑๐. TikTok (www.tiktok.com) คือแอปพลิเคชันที่เปน
บริการเครือขายสังคมสัญชาติจีน ติ๊กต็อกเปนบริการประเภท
ไมโครบลอ็ กกิง (micro-blogging) ซึ่งชว ยใหผใู ชสามารถสราง
เนื้อหาวิดีโอสั้น ๆ ความยาวไมเกิน ๑๕ วินาที เชน การแสดงทักษะหรือทาเตน การแสดงมุกตลก
การรองตามดวยริมฝปาก (ลิปซิงก) เปนตน โดยใหบริการทางไอโอเอสและแอนดรอยด TikTok
เริ่มตนใหบริการในประเทศจีนเมื่อป ค.ศ. ๒๕๑๖ โดยใชช่ือวา โตว อิน ตอมาจงึ เปด ใหบริการระหวาง
ประเทศในป ค.ศ. ๒๐๑๘ จนกลายเปนแอปพลเิ คชนั ทน่ี ยิ มใชกนั ทั่วโลก TikTok ไดร ับความนิยมมาก
ในกลมุ วยั รนุ ท่ัวโลก โดยมจี ำนวนผูใชแคในเฉพาะสหรัฐถงึ ๘๐ ลานคน
๑.๒ กิจกรรมการเรยี นการสอน
๔๖
๑๑. DLIT (www.dlit.ac.th) คือเครื่องมือที่มีเนื้อหาและ
เทคโนโลยีสำหรับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอยางครบวงจร
ต้ังแตก ารวางแผน การจัดการเรยี นรู การจดั การเรยี นการสอน
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาฯ การจัดการเรียนการสอนเพิ่มเติม การสอบที่มีประสิทธิภาพ
และการพฒั นาวชิ าชีพอยางยั่งยืน ในดานเนื้อหา DLIT มีเนื้อหาที่ตอบสนองความตองการและการใช
งานในชีวติ ของครูและนักเรยี นทุกคน ในดานเทคโนโลยี DLIT มีเทคโนโลยียุคใหมท ี่สง เสริมสนับสนนุ
ใหค รูจัดการเรยี นการสอนไดอยา งมีประสทิ ธิภาพและทนั สมัย
DLIT เปนสื่อที่เปดสำหรับทุกคน (Open Resources) ครู นักเรียน บุคลากรทางการศึกษา
ผูปกครอง และประชาชนทวั่ ไป เขา ถึง DLIT ไดทกุ ท่ี
ทุกเวลา และบนเครื่องมือทุกชนิด ไดแก โทรศัพทมือถือ แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร ทุกคนสามารถ
เรียนรูไดดวยตนเอง และนำไปใชประกอบการสอนนักเรียนได ยกเวนคลังขอสอบที่อนุญาตเฉพาะ
กลมุ และเทคโนโลยีบางประเภทท่สี นบั สนนุ เฉพาะบคุ ลากรทางการศกึ ษา
DLIT มีเปาหมายเพื่อใหผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาดีขึ้น นักเรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค
ที่สอดคลองกับศตวรรษที่ ๒๑ ครูมีเครื่องมือท่ีทำใหเกิดการพัฒนาวิชาชีพอยางตอเนื่อง และ
การศกึ ษาไทยกา วไปขางหนาอยา งแทจ ริง
๑๒. ครูพรอม (www.ครูพรอม.com) เปน Web Portal จาก
กระทรวงศึกษาธิการ ที่จัดทำขึ้นมาใหม เพื่อเสริมแพลตฟอรม
ตางๆ ทห่ี นวยงานในสังกดั ศธ.มีอยู โดยจะเปน คลงั สอื่ ขอมลู
การเรียนรู ตลอดจนรูปแบบการจัดกิจกรรม ซึ่งมีขอมูลทั้งของ สพฐ.-สช.-สำนักงาน กศน.-สอศ.
แบงเปนหัวขอหรือหมวดหมูตามความสนใจ ชวยอำนวยความสะดวกใหผูเรียนทุกกลุม ครู ผูบริหาร
และผูปกครอง สามารถเขาถึงไดผานระบบกลาง สวนกิจกรรมรูปแบบออฟไลน สถานศึกษา และ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) จะเปนผูออกแบบกิจกรรมรวมกับ ศบค.จังหวัด ซึ่งคิดขึ้นมา
จากเหตุการณรวมสมัย สิ่งสำคัญคือทุกคนสามารถเลือกหัวขอหรือกิจกรรมที่ตองการเรียนรูได
ดวยตัวเอง
๑๓. ทรูปลูกปญญา (www.trueplookpanya.com) เว็บไซต
คลังความรูคูคุณธรรมที่ใหญที่สุด ในประเทศไทย อัดแนนดวย
สาระความรู ทุกวชิ าทกุ ระดบั ชัน้ นำเสนออยา งสรางสรรค
ในรูปแบบมัลติมีเดีย สนุกกับการเรียนรูดวยตัวเอง ทั้งยังเปดโอกาสใหทุกคนสรางคอนเทนต
แลกเปลี่ยนความรู แบงปน ประสบการณรวมกัน เว็บไซตทรูปลูกปญญา เปนศูนยรวมองคความรู