The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การแพร่ของสาร (Diffusion) คือการเคลื่อนที่ของโมเลกุลหรือการกระจายตัวของอนุภาคภายในสสาร จากบริเวณที่มีความเข้มข้นสูงไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นต่ำ โดยอาศัยพลังงานจลน์ (Kinetic Energy) ของโมเลกุลหรือไอออนของสาร ให้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by junelove_2922, 2022-03-11 05:04:01

การแพร่ของสาร (Diffusion) คือการเคลื่อนที่ของโมเลกุลหรือการกระจายตัวของอนุภาคภายในสสาร จากบริเวณที่มีความเข้มข้นสูงไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นต่ำ โดยอาศัยพลังงานจลน์ (Kinetic Energy) ของโมเลกุลหรือไอออนของสาร ให้

การแพร่ของสาร (Diffusion) คือการเคลื่อนที่ของโมเลกุลหรือการกระจายตัวของอนุภาคภายในสสาร จากบริเวณที่มีความเข้มข้นสูงไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นต่ำ โดยอาศัยพลังงานจลน์ (Kinetic Energy) ของโมเลกุลหรือไอออนของสาร ให้

ใบความรู้

กัลชิญา แรมจะบก

การ
ลำเลียง
สารเข้า
ออกเซลล์

การแพร่ของสาร

การแพร่ของสาร (Diffusion) คือการเคลื่อนที่ของโมเลกุลหรือการกระจายตัวของอนุภาค
ภายในสสาร จากบริเวณที่มีความเข้มข้นสูงไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นต่ำ โดยอาศัยพลังงานจลน์
(Kinetic Energy) ของโมเลกุลหรือไอออนของสาร ให้เกิดการกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อ
สร้างสมดุลให้ทั้งสองบริเวณมีความเข้มข้นของสารเท่ากันหรือที่เรียกว่า “สมดุลของการแพร่”
(Diffusion Equilibrium) โดยการแพร่นั้นเกิดขึ้นได้ในทุกสถานะของสสาร ทั้งของแข็ง
ของเหลว และก๊าซ

ในชีวิตประจำวันของเรามีตัวอย่างของกระบวนการแพร่เกิดขึ้นมากมาย เช่น การเติมน้ำตาล
ลงในกาแฟ การแพร่กระจายของกลิ่นน้ำหอม การฉีดพ่นยากันยุง การแช่อิ่มผลไม้ หรือแม้แต่การ
จุดธูปบูชาพระ เป็นต้น

ประเภทของการแพร่

1. การแพร่ธรรมดา (Simple Diffusion) คือการเคลื่อนที่ของสาร โดยไม่อาศัยตัวพาหรือตัว
ช่วยขนส่ง (Carrier) ใดๆ เช่น การแพร่ของผงด่างทับทิมในน้ำ จนทำให้น้ำมีสีม่วงแดงทั่วทั้ง
ภาชนะ การได้กลิ่นผงแป้ง หรือการได้กลิ่นน้ำหอม เป็นต้น

2.การแพร่โดยอาศัยตัวพา (Facilitated Diffusion) ซึ่งเกิดขึ้นเฉพาะในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต
เท่านั้น คือการเคลื่อนที่ของสารบางชนิดที่ไม่สามารถแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้โดยตรง จึงต้องอาศัย
โปรตีนตัวพา (Protein Carrier) ที่ฝังอยู่บริเวณเยื่อหุ้มเซลล์ทำหน้าที่รับส่งโมเลกุลของสารเข้า-
ออก โดยมีทิศทางการเคลื่อนที่จากบริเวณที่มีความเข้มข้นสูงไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นต่ำ เช่น
การลำเลียงสารที่เซลล์ตับและเซลล์บุผิวลำไส้เล็ก หรือการเคลื่อนที่ของน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เซลล์
กล้ามเนื้อ เป็นต้น

ปัจจัยที่มีผลต่อการเเพร่

1. สถานะของสาร: สารที่มี 2. สถานะของตัวกลาง: ตัวกลางที่มี 3. ขนาดอนุภาค: สารที่มี
สถานะเป็นก๊าซจะมีอนุภาค ความหนืดสูงหรือมีอนุภาคอื่นเจือปน ขนาดของอนุภาคเล็กมัก
เป็นอิสระมากกว่า ส่งผลให้ มักทำให้กระบวนการแพร่เกิดขึ้นได้ เคลื่อนที่ได้ดี ส่งผลให้
เกิดการแพร่ได้รวดเร็วยิ่งกว่า ช้า ดังนั้น ตัวกลางที่มีสถานะเป็น อัตราการแพร่เกิดขึ้นได้
สารในสถานะของเหลวและ ก๊าซจึงมักมีแรงต้านทานต่ำที่สุด ส่ง
ง่ายและรวดเร็ว
ของแข็ง ผลให้มีอัตราการแพร่สูงสุด

4. อุณหภูมิ: ในบริเวณที่มี 5. ความดัน: ความ 6. ความเข้มข้นของสาร: 7. ความสามารถในการ
อุณหภูมิสูง อนุภาคของสาร ดันสูงส่งผลให้สารมี บริเวณที่มีความเข้มข้น ละลายของสาร: สารที่
สามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว อัตราการแพร่เพิ่มสูง ของสารแตกต่างกันมาก สามารถละลายได้ดีจะส่งผล
การแพร่มักจะเกิดขึ้นได้ดี ให้กระบวนการแพร่เกิดขึ้น
ขึ้น จากการได้รับ ขึ้น
พลังงานจลน์ที่สูงขึ้น ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

การเเพร่ของสารผ่านเยื่อเลือก
ผ่านภายในเซลของสิ่งมีชีวิต

1. ไดแอลิซิส (Dialysis) คือการแพร่ของตัวละลาย (Solute) ผ่านเยื่อเลือกผ่าน (Semipermeable
Membrane) หรือเยื่อกั้นบางๆ เช่น เยื่อหุ้มเซลล์ จากบริเวณที่มีความเข้มข้นของสารสูงไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้น
ของสารต่ำ

2. ออสโมซิส (Osmosis) คือการเคลื่อนที่ของตัวทำละลาย (Solvent) หรือน้ำผ่านเยื่อเลือกผ่านที่มีคุณสมบัติ
ในการยอมให้สารบางชนิดผ่านได้เท่านั้น กระบวนการออสโมซิสจะมีทิศทางการเคลื่อนที่จากบริเวณที่สารละลายมี
ความเข้มข้นต่ำไปยังบริเวณที่สารละลายมีความเข้มข้นสูง โดยมีแรงดันที่เกิดจากกระบวนการดังกล่าวเรียกว่า
“ความดันออสโมซิส” (Osmotic Pressure) ซึ่งขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารละลาย หากสารละลายมีความเข้มข้น
สูง จะส่งผลให้เกิดความดันออสโมซิสที่สูงขึ้นตามไปด้วย ขณะที่ภายในเซลล์จะเกิด “ความดันเต่ง” (Turgor
Pressure) ขึ้นจากการเคลื่อนที่หรือการออสโมซิสเข้ามาของน้ำ ซึ่งเมื่อความดันเต่งถึงจุดสูงสุด กระบวนการออสโม
ซิสจะถูกหยุดยั้งลง เนื่องจากเซลล์ไม่สามารถรับสสารหรือน้ำเข้ามาเพิ่มได้อีกแล้ว กระบวนการออสโมซิสที่สามารถ
พบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน เช่น การแช่ผักในน้ำ และการดูดน้ำเข้าสู่รากพืช เป็นต้น

• ความเข้มข้นของสาร: • อุณหภูมิ: เมื่อ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับ
เมื่อความเข้มข้นของ บริเวณดังกล่าวมี กระบวนการออสโมสซิส
สารแตกต่างกันมาก อุณหภูมิสูง กระบวน
กระบวนการออสโมซิส การออสโมซิสจะเกิด

จะเกิดขึ้นได้ดี ขึ้นได้ดี

• ขนาดของอนุภาค: • สมบัติของเยื่อกั้น:
อนุภาคที่มีขนาดเล็ก คุณสมบัติในการยอม
ส่งผลให้เกิดกระบวน ให้สารเคลื่อนที่ผ่าน
การออสโมซิสได้ดี ของเนื้อเยื่อภายใน

เซลล์

ประเภทของสารละลายจำแนก
ตามความดันออสโมซิส

สารละลายที่มีความเข้มข้นต่างกันส่งผล
ต่อเซลล์แตกต่างกันออกไป ดังนั้น
สารละลายที่อยู่นอกเซลล์สามารถจำแนกออก
เป็น 3 ประเภท ตามการเปลี่ยนแปลงของ
ขนาดเซลล์ เมื่ออยู่ภายในสารละลายนั้นๆ

ประเภทของสารละลายจำแนก
ตามความดันออสโมซิส

สารละลายไฮโพทอนิก สารละลายไฮเพอร์ทอนิก สารละลายไอโซทอนิก
(Hypotonic Solution) (Hypertonic Solution) (Isotonic Solution)
คือสภาพของสารละลาย
คือสภาพของสารละลาย คือสภาพของสารละลาย ภายนอกเซลล์ ซึ่งมีความ
ภายนอกเซลล์ ซึ่งมีความเข้มข้น ภายนอกเซลล์ ซึ่งมีความเข้มข้น เข้มข้นเท่ากับสารละลาย
ต่ำกว่าสารละลายภายในเซลล์ สูงกว่าสารละลายภายในเซลล์ ภายในเซลล์ ทำให้การออส
ทำให้น้ำที่อยู่ภายนอกเซลล์เกิด ทำให้น้ำภายในเซลล์เกิดการ โมซิสของน้ำระหว่างภายใน
การเคลื่อนที่หรือออสโมซิสเข้า เคลื่อนที่หรือออสโมซิสออกจาก กับภายนอกเซลล์ไม่เกิด
มาภายในเซลล์ ส่งผลให้เซลล์ เซลล์ ส่งผลให้เซลล์มีขนาดเล็ก ความแตกต่าง ส่งผลให้รูป
ร่างของเซลล์ไม่เกิดการ
เต่งและแตกได้ โดย ลงหรือมีสภาพเหี่ยวลง โดย
ปรากฏการณ์นี้มีชื่อเรียกว่า ปรากฏการณ์นี้มีชื่อเรียกว่า เปลี่ยนแปลงใดๆ
“พลาสโมไลซิส” (Plasmolysis)
“พลาสมอพไทซิส”
(Plasmoptysis)

รูปทรง
เรขาคณิต

รูปเรขาคณิตและ
รูปทรงเรขาคณิต

รูปเรขาคณิตและรูปทรงเรขาคณิต นั้นแตกต่างกัน เพราะว่ารูปทรงเรขาคณิตนั้นมีความ
หนา แต่รูปเรขาคณิตนั้นเป็นเพียงผิวหน้าหนึ่งของรูปทรงความแตกต่างของ รูป

สี่เหลี่ยมมุมฉากกับทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก คือรูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก เป็นรูปเรขาคณิตสอง
มิติไม่มีความหนา โดยจะมีส่วนกว้างและส่วนยาว ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก เป็นรูป

เรขาคณิตสามมิติที่มีความหนา โดยจะมีส่วนสูง ส่วนกว้าง และส่วนยาวความแตกต่าง
ระหว่างรูปวงกลมกับทรงกลม คือ



รูปวงกลม เป็นรูปเรขาคณิตสองมิติไม่มีความหนา
ทรงกลม เป็นรูปเรขาคณิตสามมิติที่มีความหนา

รูปเรขาคณิต รูปเรขาคณิตที่แสดงความกว้าง
สองมิติ และความยาวของรูป ซึ่งแบ่ง
ออกเป็น 4 ชนิดคือ สามเหลี่ยม
สี่เหลี่ยม หลายเหลี่ยม วงกลม

รูปเรขาคณิต รูปเรขาคณิตสามมิติ หรือ รูปทรง (Form) คือ
สามมิติ รูปที่ลักษณะเป็น 3 มิติ โดยนอกจากจะแสดง
ความกว้าง ความยาวแล้ว ยังมีความลึก หรือ

ความหนา นูน ด้วย เช่น รูปทรงกลม ทรง
สามเหลี่ยม ทรงกระบอก เป็นต้น ให้ความรู้สึก
มีปริมาตร ความหนาแน่น มีมวลสาร ที่เกิดจาก
การใช้ค่าน้ำหนัก หรือการจัดองค์ประกอบของรูป

ทรง หลายรูปรวมกัน

รูปสามเหลี่ยม
รูปสี่เหลี่ยม รูปเรขาคณิต
รูปหลายเหลี่ยม
วงกลม สองมิติ

ปริซึม
ทรงกระบอก (cylinder)

รูปเรขาคณิตสามมิติที่มีฐานทั้งสองเป็นรูป
เหลี่ยมที่เท่ากันทุกประการ ฐานทั้งสองอยู่บน
ระนาบที่ขนานกัน และด้านข้างแต่ละด้านเป็นรูป

สี่เหลี่ยมด้านขนาน เรียกว่า “ปริซึม”

มีหน้าตัด หรือฐานทั้งสองเป็นรูปวงกลมที่เท่า
กันทุกประการ และอยู่บนระนาบที่ขนานกัน

กรวย
ทรงกลม




มีฐานเป็นรูปวงกลมและมียอดแหลม
ซึ่งไม่อยู่บนระนาบเดียวกันกับฐาน มีผิวเรียบที่ทุกๆ จุด

บนผิวห่างจากจุดศูนย์กลางเท่ากัน

พีระมิด (Pyramid)



รูปเรขาคณิตสามมิติที่มีฐานเป็นรูปหลายเหลี่ยม มียอดแหลมซึ่งไม่อยู่บนระนาบ
เดียวกันกับฐาน และมีหน้าข้างเป็นรูปสามเหลี่ยม เรียกว่าพีระมิด การเรียกชื่อ

พีระมิดเรียกตามลักษณะของรูปหลายเหลี่ยมที่เป็นฐาน เช่น พีระมิดฐาน
สามเหลี่ยม หมายถึง พีระมิดที่มีฐานเป็นรูปสามเหลี่ยม


Click to View FlipBook Version