การอา่ น
จับใจความสาคญั
ร้อยแกว้
ความร้พู ื้นฐานการอา่ นจบั ใจความสาคญั
การอ่านจับใจความสาคัญ คือ การค้นหาสาระสาคัญของเรื่องหรือของหนังสือ
ท่ีอ่าน ส่วนน้ันคอื ขอ้ ความทมี่ ีสาระครอบคลุมข้อความอน่ื ๆ ในย่อหนา้ น้ันหรือเนือ้ เรื่อง
ทั้งหมด ข้อความตอนหนึ่งหรือเรื่องหนึ่งจะมีใจความสาคัญที่สุดเพียงหนึ่งเดียว
ซงึ่ ใจความสาคัญก็คอื สิ่งทเ่ี ปน็ สาระสาคญั ของเรอ่ื งนั่นเอง
จดุ มงุ่ หมายในการอ่านจับใจความสาคัญ
๑ เพื่อให้นักเรียนอ่านและจับใจความได้ไม่ใช่เพียงเพื่อเรียนจบภายในชั่วโมงเท่านั้น
เพื่อให้กิจกรรมการอ่านมีความหมาย การอ่านจึงควรเป็นการอ่านจากเอกสาร
นอกเหนอื จากหนงั สือเรยี นหนงั สอื ไมค่ วรหนามาก ควรจบั เวลาให้พอเหมาะกบั เน้อื เร่ือง
๒ ให้ผู้อ่านสามารถบอกรายละเอียดของเรื่องราวที่อ่านว่ามีสาระอะไรบ้าง โดยเล่า
รายละเอียดไดช้ ดั เจนเพอื่ แสดงว่าผอู้ า่ นมีความเขา้ ใจในเร่ืองท่ีอา่ น
จดุ ม่งุ หมายในการอ่านจับใจความสาคัญ
๓ อ่านเพอ่ื ปฏบิ ัตติ ามคาสงั่ และคาแนะนา
๔ ฝึกการใชส้ ายตา นิยมอ่านเพอื่ ฝึกการอา่ นเรว็ และตอบคาถามได้ถูกต้องแมน่ ยา
๕ อา่ นเพอ่ื สรุปหรอื ยอ่ เรือ่ งทอี่ ่านเกี่ยวกบั อะไร
๖ อา่ นแลว้ สามารถคาดการณท์ านายเร่อื งว่าจะลงเอยอย่างไร
๗ อ่านและทารายงานย่อสรปุ มกี ารฝึกโน้ตย่อ
๘ อ่านเพอ่ื หาความจริง และแสดงขอ้ คดิ เหน็ ได้
หลกั การอา่ นจบั ใจความสาคญั
๑ ตั้งจุดมุ่งหมายในการอ่านให้ชัดเจน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการกาหนดการ
อา่ นได้อยา่ งเหมาะสมและสามารถจบั ใจความหรือคาตอบไดร้ วดเรว็ ยง่ิ ขน้ึ
๒ ฝึกการแบ่งจับสายตาในแต่ละบรรทัดโดยใช้สายตาจับเป็นจุด ๆ พยายาม
แผ่ช่วงสายตาให้กว้าง และใช้เวลาให้น้อย แล้วเคลื่อนสายตาไปอย่างรวดเร็ว
ทาซา้ หลายครั้งจนเกดิ ความชานาญ
หลักการอ่านจับใจความสาคญั
๓ พยายามเก็บแต่ใจความสาคัญของข้อความ หรือเร่ืองทอี่ ่านอย่างรวดเร็ว
๔ ขณะที่อ่านจะต้องรู้ว่าข้อความสาคัญอยู่ที่ใด โดยมีข้อสังเกตว่าใจความ
สาคัญสว่ นมากจะปรากฏใหเ้ ห็นในบรรทัดแรก หรือบรรทัดสุดทา้ ยของแตล่ ะยอ่ หน้า
๕ กาหนดปริมาณของข้อความที่จะอ่านไว้ล่วงหน้า และจับเวลาทุกครั้งเมื่อ
เริ่มต้นอ่านในแต่ละหน้า ซึ่งหากมีการฝึกหลายครั้งจะทาให้เวลาในการอ่านลด
น้อยลง
หลักการอา่ นจบั ใจความสาคัญ
๖ หากเรื่องที่อ่านเป็นเรื่องที่มีความยาวและหลายย่อหน้า เมื่ออ่านจบทุกครั้ง
ควรมีการทดสอบความเข้าใจด้วยการฝึกถามตัวเอง ดังนี้ เป็นเรื่องอะไร ใคร ทา
อะไร ท่ีไหนเม่ือไร อย่างไร และทาไม ซึ่งบางเรื่องอาจมีคาตอบไม่ครบ แต่ต้องตอบ
เท่าที่มีเพื่อจะจับใจความสาคัญให้ได้มากที่สุดแล้วจดลงในกระดาษ นาไป
เปรียบเทียบกับเนื้อเรื่องที่อ่านมาถึงความถูกต้องและพยายามสารวจหรือ
เปรียบเทยี บข้อบกพรอ่ งเพ่ือหาทางแก้ไข
ตัวอย่างการอา่ นจบั ใจความสาคัญ
ค้างคาวเปน็ สัตว์ที่ออกหากินในเวลากลางคืน มันสามารถบินผาดโผนฉวดั เฉวียนไปมาโดยไม่
ต้องพงึ่ สายตา มันอาศัยเสยี งสะทอ้ นกลบั ของตัวมนั เอง โดยค้างคาวจะส่งคล่ืนสญั ญาณพิเศษซ่ึงสัน้
และรวดเร็ว เมื่อสัญญาณไปกระทบสิ่งกีดขวางด้านหน้าก็จะสะท้อนกลับเข้ามา ทาให้รู้ว่ามีอะไรอยู่
ด้านหน้า มันจะบินหลบเลี่ยงได้ แม้แต่สายโทรศัพท์ที่ระโยงรยางค์เป็นเส้นเล็ก ๆ คลื่นเสียงก็จะไป
กระทบแล้วสะท้อนกลับเข้าหูของมันได้ ไม่มีสัตว์ชนิดไหนที่จะสามารถรับคลื่นสะท้อนกลับไปได้ใน
ระยะใกล้ แตค่ า้ งคาวทาไดแ้ ละบินวนกลับได้ทันท่วงที
วธิ กี ารสรุปใจความ
ใคร = ค้างคาว
ทาอะไร = ออกหากนิ
เม่อื ไร = ตอนกลางคืน
อยา่ งไร = โดยไม่ใช้สายตา แต่อาศัยเสยี งสะทอ้ นกลบั ของตวั เอง
ผลเปน็ อยา่ งไร = สามารถหลบสงิ่ กีดขวางได้
ใจความสาคัญของเรือ่ งนี้ คือ ค้างคาวจะออกหากนิ ในตอนกลางคนื
โดยไมต่ ้องอาศยั สายตา แตจ่ ะอาศยั เสียงสะทอ้ นกลับของตัวมนั เอง
การอ่าน
รอ้ ยกรอง